Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 13 : END
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
:
Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
:
Warmhearted
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
**เนื้อหาฟิคตอนนี้มีการสปอยด์เนื้อเรื่องในอนิเมะซีซั่นสอง ตอนที่สามนะคะ
ใครยังไม่ได้ดูไปดูก่อนได้น้า**
[ไม่รู้จุดที่แย่อย่างงั้นเหรอ?]
[มินาโตะ นายอย่ายืนตรงหน้าเป้าไปสักพักนะ]
[ฉันขอห้ามนายง้างลูกธนูและการยิงธนูไปก่อน]
เสียงของมาสะซังยังดังก้องอยู่ในหัว…
เขาก็แค่ไม่รู้
ไม่เข้าใจ จำเป็นต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือไง?
ถึงจะรู้ว่าทั้งหมดนี้มาสะซังล้วนทำเพื่อเขา
ต้องการให้เขาเติบโตและก้าวข้ามปัญหาได้ด้วยตัวเอง ต้องการให้เขามองเห็นจุดบกพร่องของตัวเอง
แต่ตอนนี้…เขาก็ยังเป็นแค่เด็กม.ปลายปีหนึ่งเอง…
ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างพยายามสะกดกลั้นความน้อยใจไว้ข้างใน
อารมณ์ดำดิ่งจนไม่รู้ว่าขึ้นรถไฟ ลงรถไฟ จนเดินมาถึงบ้านได้ยังไง
เซยะที่เดินอยู่ข้างๆมาตลอดก็เลือกที่จะเงียบเพราะรู้ดีว่าในเวลานี้ไม่มีคำใดจะปลอบใจเขาได้
มันทั้งเสียใจ
ทั้งเศร้าหมอง ที่ไม่อาจทำตามความคาดหวังของมาสะซังและเพื่อนๆในทีมได้
มันทั้งโกรธ
ทั้งเจ็บใจ ทั้งโมโหตัวเองที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
ทั้งน้อยใจ
ทั้งไม่พอใจ เขาก็อยากจะได้รับคำปลอบโยนแบบเด็กๆบ้าง ทำไมต้องใจร้ายกับเขาถึงขนาดนี้
จะไม่ให้จับธนูเลยเนี่ยนะ?
ไม่ให้แตะธนูเลยเนี่ยนะ?
มือบางได้แต่กำแน่น
อารมณ์ร้ายๆกำลังทำให้ทุกสิ่งรอบกายดูเป็นเส้นขยุกขยุยสีดำๆพันกันยุ่งเหยิงจนแกะไม่ออก
แล้วมันก็กำลังรัดพันตัวเขา
ตั้งแต่ปลายเท้าไล่มาจนถึงปลายแขน พันแน่นจนหายใจไม่ออกเมื่อมันลุกลามมาจนถึงลำคอ
เขาอยากจะแหวกมันทิ้งแล้ววิ่งออกไป
แต่ดูเหมือนอารมณ์ที่มืดมนนี้ก็ยังไล่ตามมาไขว่คว้าให้เขาจมหายลงไปในตัวมัน
พอกันที!
ช่วยเอามันออกไปที!!
"ชู"
แล้วชื่อที่ออกมาจากปากของเซยะก็ทำให้เขาเบิกตากว้าง…
ออร่าที่สงบนิ่งมั่นคงทำให้เส้นอารมณ์ที่บีบรัดอยู่รอบกายเขาค่อยๆขยายจนกลายเป็นเส้นทางไปสู่เงาร่างของคนคนหนึ่งซึ่งยืนรอเขาอยู่หน้าบ้าน
เป็นเงาร่างที่ทำเอาน้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว…
"ฉันเข้าบ้านก่อนนะ…" ได้ยินเสียงเซยะเอ่ยอยู่ไกลๆ
ตัวเขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว สองขาได้แต่เดินโซเซเข้าไปหาชูที่ยืนรออยู่…
ตุ้บ…
หน้าผากใสชนลงไปบนแผงอกแข็งแรง
ร่างกายที่เหนื่อยล้าก็ทิ้งลงไปให้ร่างสูงใหญ่รองรับ
อ่า...นี่มัน...กลิ่นของชู...
กลิ่นหอมเย็นๆของชู…
แค่ได้กลิ่นของชู…
สองแขนยกขึ้นช้าๆก่อนจะสอดเข้าข้างเอวแกร่ง
เสียงเนื้อผ้าที่สัมผัสกันทำให้รู้สึกเบาใจอย่างน่าประหลาด
เส้นขยุกขยุยที่รัดพันคอเขาค่อยๆถอยหนีออกไป…
คงจะเป็นเพราะความร้อนจากตัวของชูแน่ๆ
มือบางค่อยๆโอบกอดแผ่นหลังที่กว้างใหญ่นั่นเอาไว้
และไออุ่นก็ทำให้เขาหลับตาลงช้าๆ
อ่า…มันน่าแปลกใจจริงๆ…เมื่อกี้เขายังเหมือนคนกำลังจะจมน้ำอยู่เลย
แต่ตอนนี้…กลับสบายใจขึ้นมาอย่างง่ายดาย
ที่ของเขาตรงนี้
คือที่ที่เขาสามารถระบายทุกอย่างออกไปได้
ถึงจะไม่มีคำพูดใดๆ
แต่แค่มีชูอยู่ มันก็เป็นคำปลอบโยนที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว
มือบางกำเสื้อของชูเอาไว้แน่น
ให้อ้อมแขนเล็กกอดกระชับจนตัวเองจมเข้าไปอยู่ในอกกว้าง
ชูค่อยๆยกแขนขึ้นมา…
กอดตอบเขาช้าๆ…
จากที่เคยยืนนิ่งให้เขาพึ่งพิง
ยืนอยู่นิ่งๆจนเขาใจเย็นลง
สองแขนแข็งแกร่งก็ค่อยๆโอบกอดไปที่แผ่นหลังของเขา...แล้วกดร่างกายเขาเข้าหามากกว่าเดิม
ทุกสัมผัสที่นุ่มนวลและเงียบงันนั่นราวกับกำลังชำระล้างจิตใจที่ขุ่นมัวของเขา
และเขาก็ปล่อยร่างกายให้จมหายลงไปในอ้อมแขนของชู
ให้ความเยือกเย็นโอบกอดเขาไว้
อ่า...ใจเขารู้สึกสงบลงมากจริงๆ
มือใหญ่ลูบท้ายทอยเขาเบาๆก่อนจะค่อยๆกอดหัวสีดำให้ซบลงไปที่ไหล่
เขาได้ยินเสียงหัวใจของชู…
มัน…อบอุ่นเหลือเกิน…
ชูกดจูบลงมาบนหัวเขาราวกับกำลังปลอบโยน
ก่อนจะกอดเขาเอาไว้เฉยๆ
กอด…อย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม…
กลิ่นกายของชูทำให้เขาสบายใจ
เขาจึงแนบหน้าลงไปถูไถแผงอกแข็งแรงนั่นไปมา
แล้วก็ซบมันอยู่นิ่งๆแบบนั้น
เรายืนกอดกันอยู่หน้าบ้านนานแค่ไหนก็ไม่รู้…
แต่ชูจะไม่ยอมละออกไปเด็ดขาดถ้าเขายังไม่ดีขึ้น
ตอนนี้…เขาสบายใจขึ้นแล้วละ
ใบหน้ามนจึงเงยมองใบหน้าหล่อเหลาทั้งๆที่ยังอยู่ในอ้อมแขน
"นึกว่านายกลับบ้านไปแล้ว หรือไม่ก็ไปฉลองกับเพื่อนในชมรม"
เสียงของเขาแผ่วเบา แต่ใกล้จนแทบจะจูบกันได้ชูคงได้ยิน
"มินาโตะก็รู้…ว่าคิริซากิไม่ฉลองเวลาชนะ
และไม่เศร้าเวลาที่เราแพ้" เขาทำหน้างุ้ย
ก็จริงแหะ ตอนเขาอยู่ม.ต้นที่นั่น ต่อให้ชนะระดับไหนมา เราก็ไม่ได้ฉลองอะไรกัน
"แล้วก็…เห็นมินาโตะทำหน้าแบบนั้น…ฉันจะกลับบ้านได้ยังไงล่ะ" ใบหน้ามนถึงกับยิ้มแฉ่ง
เขาซบหน้าลงไปบนอกชูอีกครั้งก่อนจะกอดกระชับเอวหนา
ที่ตรงนี้เป็นที่ของเขา
มันทำให้ทุกความรู้สึกร้ายๆหายไปได้จริงๆ เพราะเขารู้ว่าชูจะคอยเฝ้ามองเขาอยู่เสมอ
"มินาโตะ…"
"หื๋ม?"
"ไปที่ไหนไกลๆกันไหม?"
"ตอนนี้เนี่ยนะ?" เขาเงยหน้ามองชูอย่างแปลกใจ
แต่สายตาที่หนักแน่นคู่นั้นก็ทำให้เขารู้ว่าชูจะทำอย่างที่พูดจริงๆ
"ตอนนี้แหละ ไปกับฉันนะ มินาโตะ" เสียงทุ้มเอ่ย
อ้อมแขนที่รัดแน่นค่อยๆคลายออกก่อนจะกอดเอวเขาไว้หลวมๆ
"เข้าใจแล้ว ไปสิ" ชูคงไม่อยากให้เขาจมอยู่กับความคิดเดิมๆ
ถึงจะสบายใจขึ้นแล้วแต่ถ้ายังอยู่ตรงนี้เขาคงอดที่จะกลับมาคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้ ชูเลยจะพาเขาออกไปให้ไกล
เขาเองก็อยากจะหลุดออกมาจากเส้นอารมณ์ขุ่นมัวพวกนั้นเหมือนกัน
เขาจึงจับมือชูอย่างไม่ลังเล
พวกเรากระโดดขึ้นรถไฟสักสายอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง
เราไม่ได้มองด้วยซ้ำว่ามันกำลังจะไปไหน
ตอนนี้...แค่มีชูอยู่กับเขาก็พอ
“มินาโตะ”
อื้อ….?
"มินาโตะถึงแล้ว ตื่นเถอะ" เขาได้ยินชูเรียกอยู่ไกลๆ
เรียกอยู่หลายรอบ เปลือกตาที่หนักอึ้งจึงยอมเปิดขึ้นมาอย่างง่วงงุน
สิ่งแรกที่เขามองเห็นก็คือเนื้อผ้าสีขาวของเสื้อยิงธนูที่ชูใส่อยู่
สิ่งต่อไปที่เข้ามาอยู่ในสายตาก็คือคอขาวๆยาวๆของชู…ลูกกระเดือกนั่นก็ของชู
เขาจำได้
เขามองสิ่งเหล่านั้นด้วยสายตาเลื่อนลอย
กว่าจะรู้ตัวว่าร่างทั้งร่างของเขาอิงแอบแนบอยู่กับไหล่กว้างก็ผ่านไปนานพอสมควร
แถมไม่ได้พิงเฉยๆ
สองแขนของเขายังกอดแขนของชูไว้อีกต่างหาก?
อ่า…ต้องโทษเสียงกึงกังๆของรถไฟและจังหวะการโยกไปมาราวกับอยู่ในเปลนั่นแหละ
มันถึงทำให้เขาหลับเป็นตายได้ขนาดนี้ เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่ามาถึงนี่ได้ยังไง
นั่งมานานแค่ไหนแล้ว
แต่เพราะได้นอน
ตอนนี้ในหัวที่เคยยุ่งเหยิงของเขาถึงได้ปลอดโปร่ง
เขาหลับลงได้ก็เพราะไหล่กว้างๆนี่แท้ๆเชียว
ร่างโปร่งบางยันตัวเองออกมาจากแขนของชู…หมอนี่…นั่งรถไฟ Local ในสภาพนี้ไม่อายบ้างหรือไงนะ?
เขาหลับเขาเลยไม่รู้สึกอะไร แต่ชูน่ะตื่นอยู่นะ
ปกติก็ดึงดูดสายตาอยู่แล้ว
ยังมีเขานั่งซบไหล่กอดแขนมาตลอดทาง แถมยังใส่ฮากามะด้วยกันทั้งคู่…ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆสินะ?
ดูจากหน้าแล้ว…
"อื้อ…ที่ไหนเนี่ย?" เขาถามออกไปด้วยเสียงงัวเงีย
มือขยี้ตาก่อนจะพยายามมองไปรอบๆที่มีเพียงความมืด
"ไม่รู้เหมือนกัน"
"เอ๊ะ?" คำตอบของชูทำให้เขาผงะไป
เราตกลงกันว่าจะนั่งรถไฟไปเรื่อยๆ อยากลงที่ไหนก็ลง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลงที่ไหนก็ไม่รู้แบบนี้?
เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินตามชูออกจากสถานีรถไฟเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
แม้แต่นายสถานีก็ไม่มี เกทอัตโนมัติก็ไม่มี
คนที่เดินอยู่ข้างหน้าทุกคนต่างหย่อนตั๋วใส่กล่องเอาไว้เฉยๆ
"เรานั่งรถไฟมาจนสุดสาย ยังไงก็คงอยู่ในญี่ปุ่นนี่แหละ"
ชูตอบหน้าตาย
"พรืด…ฮึ ฮ่าๆๆๆ" เขาอดหัวเราะไม่ได้เลยจริงๆ
"หัวเราะอะไรน่ะมินาโตะ?" ชูหันมามองหลังออกจากสถานีมาได้
มีถนนเพียงเส้นเดียวซึ่งทอดไปไหนก็ไม่รู้ ร้านค้าที่มีอยู่ประปรายต่างก็ปิดกันไปหมดแล้ว
"ก็ไม่สมเป็นชูเลยนี่นา ปกตินายต้องเตรียมพร้อมอย่างดีสิ"
เขาอมยิ้มด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นมาก
"....."
แต่ชูกลับมองเขาด้วยสายตาที่เป็นเส้นตรง
คงจะเคืองที่เขาหยอกเย้า แต่ไม่นานชูก็ยิ้มออกมา
".....ฉันก็มีของที่เตรียมพร้อมอย่างดีนะ" มันเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์จนเขาเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้ทันที
"เดี๋ยว!" มือบางแทบจะตะครุบของที่ชู 'เตรียมพร้อมอย่างดี' จนต้องพกติดตัวไว้ตลอดแทบไม่ทัน
เขามองไปรอบๆด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก
"อย่าเอาออกมาสิ ยังมีคนอยู่นะ" เขากระซิบกระซาบก่อนจะยัดซองเจลหล่อลื่นเก็บเข้าไปในเสื้อของชู
"ให้ตายเถอะ ขนาดชุดยิงธนูที่ศักดิ์สิทธิ์นายก็ยังแอบซ่อนมันเอาไว้ได้อีกเหรอ?"
เขาบ่นก่อนจะเดินนำออกไป
"ตอนแข่งหรือตอนอยู่ในชมรมฉันไม่ได้พกไว้หรอกน่า หรือควรจะพกไว้ดี? เหมือนเครื่องรางน้ำโชค? เผื่อเดินๆอยู่จะได้เจอมินาโตะ"
คราวนี้ชูเป็นฝ่ายหยอกเย้าเขาบ้าง
"พอเลย! เจ้าคนบาป" เขายู่หน้าใส่
"ฮึ"
พอได้คุยเรื่องไร้สาระกันแบบนี้ก็ทำให้ความขุ่นมัวความน้อยใจหายไปเลย
“ดูเหมือนข้างหน้านี้จะเป็นทะเลญี่ปุ่นละ” ชูเอ่ยออกมาหลังจากส่องแผนที่ในโทรศัพท์มือถือ
ยังดีที่สมัยนี้โลกพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะไปอยู่ตรงไหนก็ไม่ต้องกลัวหลง
“....เที่ยงคืนกว่าแล้วแหะ เดินไปเรื่อยๆกันไหม?” เขาดูนาฬิกาในมือถือของตัวเองบ้าง จะกลับก็ไม่มีรถไฟแล้ว
เมืองสุดสายแห่งนี้ก็เป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆที่ไม่มีอะไรเลย
จะหาโรงแรมนอนก็ดูยุ่งยาก
“ถ้าเดินตรงไป…จะเจอทะเล” เสียงราบเรียบเอ่ยบอก
“งั้นไปกันเถอะ” เขาหันไปมองชูอย่างตื่นเต้น
“อื้ม” ชูเดินตามเขามาอย่างว่าง่าย
จะว่าไปเราไม่เคยมาทะเลด้วยกันเลยสักครั้ง
การเดินทางอย่างไร้จุดหมายแบบนี้บางทีก็ดีเหมือนกันนะ
ไม่ต้องคิดอะไรมากดี…
ร่างโปร่งบางเดินรับลมไปเรื่อยๆ
ยิ่งไกลออกมาจากสถานีรถไฟก็ยิ่งไม่มีผู้คน ถนนทั้งสายว่างโล่ง
ขนาดไฟจราจรยังเปลี่ยนเป็นกระพริบเตือนให้ระวังเฉยๆ
บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ห่างๆกันก็ปิดไฟเงียบ
ตอนนี้...เหมือนมีแค่พวกเราอยู่ในโลกกันแค่สองคนเลย
“ฮึ” เขาหลุดหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ชูมองมาที่เขาพลางยิ้มบางๆไปด้วย
ชูคงไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่
แต่เพียงแค่เขายิ้มได้...ชูก็คงดีใจแล้ว...
สองขายังเดินต่อไปเรื่อยๆ
ยิ่งใกล้ทะเลก็ยิ่งได้กลิ่นอันเป็นเอกลัษณ์ลอยมา
ลมก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆแต่มันกลับทำให้เขาสบายใจเมื่อได้เงยหน้าให้มันเข้าปะทะ
ชายฮากามะพลิ้วไหวราวกับเขาใส่กระโปรงอยู่
จริงสิ ทั้งเขาทั้งชูยังอยู่ในชุดแข่งธนูทั้งคู่เลยนี่นา
ถ้าใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าแปลกแน่ๆ
ก็สภาพของพวกเราสองคนมันไม่เข้ากับทะเลสุดๆไปเลยน่ะสิ
“อ๊ะ ทะเลละ ชู!” นิ้วเรียวชี้ไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า
ได้ยินเสียงซ่าๆดังมาพร้อมกับคลื่นลูกใหญ่
“กลางคืนน้ำขึ้น เลยมองไม่เห็นหาดเลย” ชูทอดสายตามองละอองคลื่นที่ซัดสาดมายังผนังกันคลื่นที่พวกเขายืนอยู่
“เรา…นั่งอยู่ตรงนี้ได้ไหม?” ดวงตากลมโตช้อนมองอย่างไม่แน่ใจนักว่าชูอาจจะอยากหาโรงแรมสักที่แล้วนอนพัก
วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
“ได้สิ” แต่ชูก็ยอมตามใจเขา
“แต่ทะเลฝั่งนี้ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรอกนะ” ชูเอ่ยบอกในขณะที่เขานั่งลงกับพื้นคอนกรีตของกำแพงกันคลื่น
“ไม่เป็นไร แค่ได้อยู่กับนายก็พอ” ชูชะงักไปน้อยๆก่อนจะนั่งลงมาข้างๆ…ใบหูของชู…แดงระเรื่อ…
“คิก” เขาเผลอหัวเราะออกไปอย่างชอบใจ
พวกเราสองคนถือเป็นขวานผ่าซากประจำชมรมยิงธนูคิริซากิม.ต้น
แต่เวลาแบบนี้การที่เขาพูดอะไรออกไปตรงๆก็ดีเหมือนกัน
เพราะมันทำให้เขาได้เห็นชูเขิน
“เซยะบอกฉันหมดแล้ว เรื่องทาคิกาวะซัง” ชูพูดออกมาในขณะที่สายตาของเราทั้งคู่ยังอยู่ที่ท้องทะเลบ้าคลั่ง
ทว่า อารมณ์ของเขากลับสงบเยือกเย็นลงแล้ว
“ช่างเถอะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะตามหาสาเหตุนั่นให้เจอ”
ชูมองหน้าเขาด้วยสายตาอุ่นๆ
เขารู้ว่าชูเป็นห่วงเขาและไม่อยากให้เขาต้องเจอกับเรื่องเจ็บปวดอีก
แต่เรื่องนี้ถ้าเขาไม่ผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวเอง
เขาจะกล้าไปยืนอยู่ข้างๆชูได้ยังไง
เพราะใจเย็นลงนี่แหละถึงคิดได้
และคนที่อยู่ข้างๆเขาก็คือผู้ชายคนนี้…
มือบางเอื้อมไปแตะฝ่ามือของชูที่วางอยู่บนตัก
ปลายนิ้วลูบมือข้างนั้นเบาๆ
สายตาของเขาจ้องมองมันอย่างเหม่อลอยน้อยๆ มือของชู…อยู่กับเขาเสมอ…
มันใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ปลายนิ้วค่อยๆสอดเข้าไปในง่ามนิ้วทั้งห้า
มือชูไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนมือคุณชายทั่วไป
แต่มันแข็งกระด้างจากการจับคันธนูมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ชูพยายามมาตลอด
เขาเองก็จะพยายามเช่นกัน
เขาจับมือข้างนั้นเอาไว้
มันทำให้จิตใจของเขาสงบลง ราวกับความมั่นคงของชูส่งผ่านมาทางมือข้างนี้เลย
เขามองมือที่จับกันอยู่นั่นไม่วางตา
รอยยิ้มเบ่งบานอยู่บนใบหน้าไม่รู้ตัว
จนกระทั่งชูมองหน้าเขาไม่ละไปไหนนั่นแหละ
เขาถึงได้หุบยิ้มอย่างเขินๆ
“ถ้ามินาโตะอยากให้ฉันจัดการหมอนั่นให้ก็บอกล่ะ” เสียงราบเรียบเอ่ยเรื่องน่ากลัวออกมาอย่างไม่รู้เลยว่านี่ล้อเล่นหรือเอาจริง
“เดี๋ยวเถอะ อย่าไปก่อกวนมาสะซังนะ ยังไงเขาก็ทำเพื่อฝึกฝนฉัน”
คำว่าหวงขึ้นเต็มหน้าชูจนแม้แต่เขายังรู้เลย
นายมีจุดประสงค์แอบแฝงใช่ไหม? อย่าเอาการฝึกของเขามาอ้างเลย
เขาส่ายหน้าเบาๆก่อนจะแกว่งมือที่จับกันอยู่นั่นไปมา
“อ้า~ ได้อยู่แบบนี้นี่ดีจัง~~” เขาหันไปตะโกนใส่คลื่นที่ซัดสาด
“ฉันจะเอาชนะมาสะซังให้ได้เลยคอยดู!”
เขาตะโกนแบบนั้นออกไปได้ก็เพราะไม่คิดมากอะไรแล้ว
ไม่จำเป็นต้องทำอะไร
ไม่จำเป็นต้องอยู่ในวิวหมื่นล้าน ไม่จำเป็นต้องมีอาหารดีๆ
แค่ได้อยู่กับชูในวันที่ทุกข์ใจแบบนี้…มันก็ทำให้เขารู้สึกดีและมีกำลังใจจะกลับมาสู้ต่อไปแล้วละ
ดวงตาสีมรกตหันไปทอดมองท้องทะเลสีดำอย่างปล่อยใจให้ลอยไปเรื่อยๆ
“ชู”
“หื๋ม?”
“แต่งงานกับฉันเถอะ”
“อึก?! มิ…นาโตะ?...”
ชูถึงกับสะอึกไปและตวัดหน้ามามองเขาตาโต
“ฮึ ฮะฮะฮะ” เขาหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
แต่ชูสิ กลับมองเขาด้วยสายตาคาดโทษเพราะคงคิดว่าเขาล้อเล่น
“ฉันพูดจริงๆนะ ฉันอยากมีนายอยู่ข้างๆไปตลอดชีวิต
แล้วฉันก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะต้องทำยังไงให้นายไม่จากฉันไปไหน”
เขายืดแขนชูมือที่ยังจับกันไว้ออกไปจนสุด
ต่อให้ข้างหน้าคือทะเลกว้างใหญ่ก็จะไม่ทำให้มือของเราแยกออกจากกัน
ชูมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆก่อนจะตอบออกมาท่ามกลางเสียงคลื่นที่เบาลง
“อื้ม ได้สิ ฉันจะแต่งงานกับมินาโตะ” ใบหน้ามนหันไปยิ้ม
จะว่าไปก็เขินเหมือนกันแหะ เขาคงสติหลุดไปแล้วถึงได้ทำเรื่องบ้าๆแบบนี้
หัวสีดำเอนซบไหล่แข็งแรงก่อนจะทอดสายตามองทะเลสีคล้ำตรงหน้า…มันคงจะเป็นทะเลที่สวยงามที่สุดในความทรงจำของเขาไปแล้วละ
ทะเล...ที่ได้มาพร้อมกับชู
“จริงสิ ฉันยังไม่ได้ยินดีกับนายเลยชู” เสียงใสเอ่ยทั้งที่ยังไม่ละจากไหล่หนา
ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองเขาในระยะที่ใกล้แสนใกล้
“ยินดีที่ชนะเลิศและได้ไปแข่งระดับประเทศด้วยกันนะ ชู”
เขารู้ว่าชูกำลังยิ้มถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องเงยหน้ามองเลยก็ตาม
“ขอบใจนะ มินาโตะ…นายเป็นคนทำให้จิตใจของฉันสงบลงจนยิงได้แบบนั้น”
ชูจูบขมับเขาเบาๆ ทุกการกระทำมันเต็มไปด้วยความรัก
ทุกสัมผัสมันเต็มไปด้วยหัวใจ
เขาถึงได้เผลอยิ้มออกมาอีก
“นายหิวไหมชู?”
“ไม่หิว แต่ถ้าให้กินมินาโตะฉันก็จะกิน”
“ไม่ได้สิ ฉันไม่ใช่อาหาร แล้ว นายง่วงรึเปล่า?”
“ไม่ง่วง แต่ถ้าให้นอนหนุนตักมินาโตะฉันก็จะนอน”
“งั้นก็นั่งให้ฉันซบไหล่ไปซะ”
“แต่ท่ายิงธนูของรุ่นพี่นิไคโดวนี่ยังเท่ห์ไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”
“ฉันเท่ห์กว่า”
“.........”
“หรือมินาโตะไม่ได้คิดแบบนั้น?”
“ครับ ท่านขุนนางแห่งคิริซากิเท่ห์ที่สุดเลยครับ เอาเถอะ
ยังไงฉันก็ชอบท่ายิงธนูของชูที่สุด”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็มันทั้งมั่นคง ทั้งแข็งแกร่ง ไม่มีความรู้สึกที่แตกกระจายเลย”
“ฉันก็ชอบท่ายิงธนูของมินาโตะที่สุด”
“ทำไมๆ?”
“มินาโตะในชุดฮากามะน่ะ…เซ็กซี่ที่สุดแล้ว”
“เดี๋ยวเถอะ”
“แต่เซยะก็บอกว่าชอบท่ายิงธนูของฉันมากกว่าของชูนะ”
“.......เอาไว้ฉันจะฝากรอยกัดของตัวชูไปให้หมอนั่นดูต่างหน้า”
“ฮะฮะฮะ”
เรานั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันเรื่อยเปื่อยจนเวลาผ่านไปไม่รู้เท่าไหร่
เสียงคลื่นก็ดูเหมือนจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
ชายหาดที่เต็มไปด้วยทรายสีหม่นค่อยๆถูกผืนน้ำคืนกลับมา
แล้วในที่สุด…ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างสดใส
ความมืดมิดผ่านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หัวใจที่หม่นหมองของเขาก็เช่นกัน
เพราะเขามีชูอยู่ข้างๆ
ชูที่เป็นท้องฟ้าสว่างของเขา
“กลับกันเถอะมินาโตะ” มือใหญ่ยื่นมาให้
และเขาก็จับมือข้างนั้นอย่างไม่ลังเล
“อื้ม!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
ขออภัยหากตอนนี้จะสั้นๆหน่อยนาคะ
ก็คือดาเมจมาจากตอนที่ฉายเมื่อคืนก่อนเบยค่ะ 55555 อยากหอมหัวน้อง
อยากกอดปลอบน้องงง แต่มี๊ทำไม่ได้ ส่งชูไปแทนแบ้วกัน กร๊ากกก
เรือนี้เค้ายังแรงไม่แผ่วนะคะ สายตงสายตาที่มองกันและกันนี่แบบ โอ๊ยยยย
แต่งกันเลยไหม แต่งให้จบๆไปปปปป ยิ่งช็อตสุดท้ายที่ชูหันมายิ้มให้น้อนก่อนจะเดินออกไปอ่ะ
ตายๆๆๆ รอยยิ้มอ่อนโยนมากกกก แง๊ >/////<
แล้วก็…อยากจะอุดปากกรี๊ดมากค่ะอาทิตย์ที่ผ่านมา
ในที่สุด มูฟวี่ ทสึรุเนะ ก็เข้าฉายในไทยแล้วค่ะะะ แง๊ ดีใจมากกกกกก
ไม่คิดว่าจะได้ดูในโรงเลยจริงๆๆนะคะ แค่คิดว่าจะได้เห็นชูซังตัวเท่าบ้านกล่าวคำปฏิญาณรัก(?)กับน้อนว่า “นายต้องรับผิดชอบ” ก็อดกรี๊ดก่อนไม่ได้เลยค่ะ5555 ถึงมูฟวี่จะเป็นรีแคปของอนิเมะภาคแรก
แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าแต่ละฉากบอกรัก(?)ของภาคแรกมันแรงมากกกกก
กัปตันเรือทุกคนคือแรงกันมากๆๆอ่ะ เพราะงั้นต้องไปดูในโรงค่ะ อิๆๆๆ
แล้วเสียงทสึรุเนะในโรงหนังอ่ะ แค่คิดก็ขนลุก งื้ออออ >/////< ตอนนี้ในกทม.ตั๋วน่าจะSold outหมดทั้งสามรอบแล้ว
ปลื้มปริ่มแทนลูกชายจริงๆ >/////< ถ้าอยากดูในโรงต้องไปชลบุรี
ไม่ก็บินไปเชียงใหม่ขอนแก่นแล้วค่ะ^ ^ เหมือนที่ตูบินมาจากสุโขทัยเพื่อมาดูน้อนนี่แหละ!
กดตั๋วหนังเสร็จต้องไปกดตั๋วเครื่องบินต่อถถถ แล้วตอนกดตั๋วหนังก็คือทุกคนคือสัสตูมาก555
แบบ ที่นั่งที่เล็งๆไว้ถูกกดไปต่อหน้าต่อหน้า
รอบวันอาทิตย์คือไปไวมาก รอตูก๊อนนน
คือไม่คิดว่าจะต้องมาตบตีแย่งชิงตั๋วหนังอะไรขนาดนี้5555
แล้วก็
สำหรับคนที่เห็นฉากสวยๆในเรื่องแล้วสงสัยว่ามันมีสถานที่จริงอยู่ไหม…มันมีค่ะะะ
เกือบทุกที่ในเรื่องนี้มีสถานที่จริงเป็นต้นแบบอยู่ค่ะ เกี๊ยวนางยกเมือง Nagano
มาแทบทั้งเมืองเลยค่ะะะะ ขอแปะลิ้งค์อีกรอบนะคะ
คุณกวางมันเคยไปตามรอยอนิเมะเรื่องนี้มาเมื่อต้นปี
2020
ช่วงก่อนโควิดน่ะค่ะ แล้วก็ยังมีอีกหลายที่ที่ยังไปไม่ถึงเพราะเวลาน้อย
เช่นโรงฝึกของมาสะซังที่อยู่ที่คานาซาว่า เป็นโรงฝึกธนูที่อยู่ในศาลเจ้าจริงๆค่ะ
รออนิเมะภาคสองฉายจบก่อน เราอาจจะได้ไปทัวร์สเตเดี้ยมกัน5555 ความติ่งนั้นไม่มีใครเข้าใจนอกจากติ่งด้วยกัน เพราะงั้นไปตามรอยกันได้นะคะ
แล้วคุณจะหลงรัก Nagano อวยมากอ่ะ เมืองเค้าน่ารักมว๊ากกก
อ้อ
เมื่อตอนที่แล้วมีคอมเม้นต์เรื่องจะไปดูอนิเมะเรื่องนี้ได้ที่ไหนบ้าง
ของภาคแรกดูแบบฟรีได้ที่แอพ Bilibili เลยค่ะ มีตอนพิเศษด้วยนะคะ
ใครยังไม่ได้ดูคุณชายชูใส่เสื้อคนรับใช้ไปดูกันได้ค่ะ555 ส่วนของภาคสองดูแบบฟรีได้ที่แอพ iqiyi ค่ะ
(ทั้งสองแอพนี้ดูขึ้นจอทีวีได้ค่ะ กล่องทรูไอดี) แต่ถ้าใครอยากดูจากแอพเดียว
จะมีของ AIS Playค่ะที่มีทั้งสองภาค
แต่ต้องเสียเงินสมัครสมาชิกพรีเมี่ยมก่อนนะถึงจะดูได้ค่ะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทด้วยนะคะ จริงๆฟิคตอนที่ตั้งใจจะลงอาทิตย์นี้ไม่ใช่ตอนนี้หรอกค่ะ
เป็นตอนยาวๆที่แต่งคาไว้อยู่ แต่ด้วยดาเมจของ EP3 เมื่อวาน….ขอแทรกหน่อยแล้วกัน555 ส่วนตอนที่ว่าจะลงอาทิตย์นี้ถ้าทันก็ไว้เจอกันนะคะ
>/////<
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น