Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 12 : END
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
:
Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
:
Warmhearted
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
เขาไม่เคยเดือดร้อนเลยจริงๆ
ที่จะต้องอยู่คนเดียวในโลกนี้
จนกระทั่ง…วันที่มินาโตะเดินเข้ามา
รถสีดำหรูหราเกินกว่าจะเป็นแค่รถรับส่งเด็กนักเรียนกำลังวิ่งไปตามถนน
เสียงล้อบดกับพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนขับรถนั้นเป็นมืออาชีพขนาดไหน
หากรถคันนี้จะเป็นรถของคนระดับผู้บริหารยังไม่น่าแปลกใจเลย
แต่คนที่นั่งอยู่บนเบาะหลังเพียงลำพังกลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
แสงไฟจากภายนอกสาดกระทบชุดนักเรียนของโรงเรียนมัธยมปลายคิริซากิเป็นระยะๆ
ร่างสูงสง่านั่งไขว่ห้างพลางเท้าคางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนไม่ได้คิดอะไรอยู่ ทว่า
[ผมขอถอนตัวจากตำแหน่งตัวหลักครับ]
คำพูดของสึกาวาระ
มันจิยังคงดังก้องอยู่ในหัว
เพราะเรื่องของมันจิทำให้เขานึกถึงเรื่องของมินาโตะ…
วันนั้น…เขาก็พูดอะไรกับมินาโตะไม่ได้เลยเหมือนกัน
วันที่มินาโตะตัดสินใจถอนตัวออกจากทีมหลัก
ทั้งๆที่ในใจเขาร่ำร้องอยากให้มินาโตะคิดใหม่
อยากจะรั้งเอาไว้แทบตาย แต่เขาก็พูดออกไปไม่ได้
เพราะตระกูลฟูจิวาระเข้มงวดกับเขาเสมอ
เข้มงวดกับเขามาตั้งแต่เด็ก ให้เก็บอารมณ์ความรู้สึกและเคารพการตัดสินใจของผู้อื่นให้มาก
รักษาเกียรติของตัวเองและให้เกียรติผู้อื่น
ฉะนั้น…อะไรที่อีกฝ่ายตัดสินใจมาดีแล้ว
เขาจึงไม่ปริปากคัดค้าน
ถึงแม้คำพูดของเขาอาจจะสั่นคลอนการตัดสินใจนั้นได้ ถึงจะมีคนอยากให้เขาคัดค้านการถอนตัว
อยากให้เขาดึงรั้งอีกฝ่ายไว้เหมือนที่เซ็นอิจิอยากให้เขาพูดอะไรกับมันจิบ้าง
เพราะเห็นว่าหากเป็นเขา เป็นฟูจิวาระ ชูที่ทุกคนยกย่อง เป็นฟูจิวาระ
ชูที่เก่งกาจไม่เคยทำอะไรผิดพลาด เป็นฟูจิวาระ
ชูที่สูงส่งเหนือใครๆและอยู่ไกลเกินเอื้อมคนนั้น หากเขาพูดออกไป
คนที่ตั้งใจจะจากไปอาจจะยอมฟังเขา
แต่มันจะมีประโยชน์อะไร
หากคนคนนั้นอาจจะต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดนี้ต่อไปเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของเขา
คำพูดของคนที่ไม่ได้เข้าใจความเจ็บปวดของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งเพียงพอ
สู้ฟังความคิดของตัวเองตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าหรือไง
คนอื่นคงจะคิดว่าเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไร
คิดว่าเขาเย็นชา ทว่า…เขาเพียงแค่เก็บความรู้สึกเศร้าหมองที่ไม่อาจจะทำอะไรได้นั้นเอาไว้ในใจ
เขาได้แต่หวังว่ามันจิจะไม่ท้อแท้และกลับมาได้เหมือนมินาโตะ
เขาทำได้แค่เชื่อมั่นในตัวเพื่อนของเขาเท่านั้น
เพราะใกล้จะถึงวันแข่งยิงธนูระดับภูมิภาคแล้ว
ทั้งเขาทั้งมินาโตะต่างก็ต้องอยู่ซ้อมกันจนเย็น
ทำให้ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้เจอมินาโตะเลย
บรรยากาศรอบกายของฟูจิวาระ
ชูจึงค่อนข้างจะเย็นยะเยือกมากเป็นพิเศษ
ทั้งจากความเครียด
ความคาดหวัง ความที่ทุกคนมองเขาราวกับเป็นผู้กอบกู้โลก
เขาจึงได้รับแรงกดดันไปโดยปริยาย
ถึงจะบอกกับตัวเองเอาไว้เสมอว่าเขาไม่ได้ยิงธนูเพื่อผลแพ้ชนะ
แต่ยิงเพื่อที่จะก้าวข้ามตัวเอง
กระนั้นสายตาที่ยกย่องเทิดทูนและคาดหวังในตัวเขาจากทุกคนในชมรม
มันก็ทำให้เขามองข้ามไปไม่ได้
อ่า…อยากเจอมินาโตะจัง…
เขาคิดพลางเดินตามสมาชิกชมรมยิงธนูโรงเรียนคิริซากิเข้าไปในอาคารที่ใช้เป็นสนามแข่ง
และแค่พวกเขาก้าวขาเข้ามาเท่านั้น
ทุกคนที่อยู่ในอาคารต่างก็มองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว
ชื่อของคิริซากิยังทรงอานุภาพอยู่เสมอ
พวกเขาก้าวไปที่ไหนก็จะเหมือนมีพลังที่ยิ่งใหญ่ห่อหุ้มไว้
โดยเฉพาะกลุ่มทีมหลักที่เดินอยู่ตรงกลาง ทุกคนล้วนมีออร่าที่แข็งแกร่งเป็นของตัวเอง
คนทั่วไปแค่ได้มองก็ต้องรู้สึกหวาดหวั่นแล้ว
“พวกคาเซไมกำลังจะแข่งรอบต่อไป ไปดูกันเถอะ” ถึงประธานชมรมจะไม่เอ่ยชวน เขาก็ตั้งใจจะไปดูอยู่แล้ว
เสื้อวอล์มสีม่วงดำถูกหยิบมาสวมใส่อีกครั้งหลังจากที่เพิ่งถอดไป
คันธนูถูกเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบสมกับที่เป็นห้องพักของทีมชื่อดังของภูมิภาคนี้
เขาก้าวขาเดินตามสมาชิกในทีมไปเงียบๆ
“นั่นไง ฟูจิวาระ ชู เจ้าชายของชมรมยิงธนูคิริซากิ
ขนาดในหมู่เด็กคิริซากิเองก็ยังดูโดดเด่นแตกต่างออกมาเลย” ประโยคแบบนี้มักจะลอยเข้าหูเขาอยู่เสมอไม่ว่าจะไปที่ไหน
ตัวตนของเขานั้นอยู่ไกลเกินเอื้อมไม่ว่าจะเรื่องอะไร
ทั้งๆที่เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง
เป็นแค่มนุษย์ที่สามารถทำเรื่องผิดพลาดได้
ความสมบูรณ์แบบของเขามันทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
มันทำให้เขารู้สึกเหมือนยืนอยู่บนยอดเขานั่นตามลำพังมาตลอด
เขาอาจจะรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บ้างแต่เขาไม่เคยเหงา
เพราะเขามีมินาโตะ
นัยน์ตาสีม่วงทอดมองไปยังร่างที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ในลานยิงที่สอง
ในตำแหน่งโอจิหรือคนยิงคนสุดท้ายของโรงเรียนคาเซไม
เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้เผยรอยยิ้มและสายตาที่อ่อนโยนขนาดไหนออกไปยามที่ได้จ้องมองร่างโปร่งบางในชุดฮากามะนั่น
มินาโตะค่อยๆยืนขึ้น…ด้วยท่วงท่าที่สง่างามจับใจ
ท่ายิงของมินาโตะก็งดงามมากจนแทบไม่ต้องมองเลยว่าลูกธนูดอกนั้นจะไปจบอยู่ตรงไหน
เสียงทสึรุเนะก้องกังวานแว่วหวานผ่านหูของเขาไป
ก่อนที่มันจะปักเข้ากลางเป้าพอดี
สวย…มากจริงๆ…
เขากลับไปเตรียมตัวอยู่ในห้องพักอีกครั้งหลังจากมินาโตะแข่งจบ
ถึงจะน่าเสียดายที่ดอกสุดท้ายไม่เข้าเป้า
แต่ทีมของมินาโตะก็ชนะมาได้และเขาก็ดีใจกับอีกฝ่ายด้วยใจจริง
“เอาเข้าไปให้ดีไหม?” สมาชิกผู้หญิงในชมรมกำลังยืนซุบซิบลังเลอะไรกันอยู่ที่หางตาของเขา
ในมือของเด็กสาวถือถุงเครื่องรางอยู่ด้วย
“ของแบบนี้ฟูจิวาระคุงคงไม่อยากได้หรอก อย่าเลย” ….ที่ไม่อยากได้ไม่ใช่เพราะมันเป็นแค่ของชิ้นเล็กๆที่หาได้ทั่วไปแบบนี้
แต่ที่เขารับมันไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ของที่มาจากมินาโตะ
เขาจะรับของแทนใจจากคนอื่นนอกจากแฟนตัวเองได้ที่ไหน
“นั่นสิ ช่วงนี้ฟูจิวาระคุงดูเย็นชากว่าปกติด้วย อย่าเข้าไปกวนใจเลย”
เขาฟังคำพูดพวกนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
คนอื่นมักจะตัดสินตัวเขาเอาเอง อยากจะคิดว่าเขาสูงส่งแค่ไหนก็คิดกันเอาเอง
ทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นเลย
“งั้นเอาไปให้ประธานเถอะ” เด็กสาวพวกนั้นตัดสินใจกันเอาเองก่อนจะหันไปหาประธานชมรมผู้ใจดีและเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าแทน
“ชู!” แต่แล้วเสียงที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินก็ดังมาจากประตู
มินาโตะยืนโบกมืออยู่ตรงนั้นและมันก็ทำให้ความอุ่นวาบฉาบลงไปบนหัวใจที่หนาวเหน็บของเขาทันที
“มินาโตะ” ร่างสูงสง่าลุกเดินเข้าไปหาโดยไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ
“ขอยืมลูกธนูสำรองหน่อยได้ไหม?” ใบหน้ามนยิ้มสดใสมาให้
ดวงตาสีมรกตทอประกายที่เขาหลงใหลทำให้เขาตอบออกไปโดยง่าย
“ได้สิ” มีแต่เสียง เอ๋~ ดังอยู่รอบกาย มีแต่สายตาอึ้งๆและตื่นตะลึงมองมาที่พวกเขา
เพราะมินาโตะเองก็เป็นที่รู้จักดีในชมรมยิงธนูคิริซากิ
การสนทนาระหว่างพวกเราสองคนจึงเป็นที่สนใจของสมาชิกคนอื่นๆที่อยู่ในห้อง
“จะเอาไปให้เรียวเฮย์น่ะ ได้ใช่ไหม?” มินาโตะขอร้องออกมาตรงๆ
นอกจากมินาโตะแล้วก็คงไม่มีใครกล้าเข้ามาขอร้องเขาแบบนี้อีกแล้ว
เพราะในสายตามินาโตะ… ฟูจิวาระ
ชูก็คือฟูจิวาระ ชู เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆที่พูดคุยด้วยง่ายๆ ขอให้ช่วยอะไรก็ได้
ไม่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาแต่ยืนอยู่บนพื้นดินข้างๆกัน
มีแค่มินาโตะที่เห็นเขาเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
“ได้สิ ฉันก็ไม่คิดว่ามินาโตะจะเอาไปใช้เองอยู่แล้ว” เพราะช่วงแขนที่ยาวต่างกัน มินาโตะจึงใช้ลูกธนูของเขาไม่ได้
เขาเดินไปหยิบกระบอกใส่ธนูก่อนจะดึงลูกธนูสำรองในนั้นออกมา
ลูกธนูที่ทำจากขนอินทรีดำและก้านเป็นคาร์บอนเป็นลูกธนูที่มีค่าและราคาแพงมาก
นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีเด็กรุ่นเดียวกันคนไหนใช้อีก
นี่จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะให้ยืมง่ายๆแบบนี้
เพราะไม่เคยมีใครกล้ามาขอร้องเขาต่างหาก
สำหรับเขาแล้ว…ลูกธนูพวกนี้จะซื้ออีกเท่าไหร่ก็ได้
มีแค่มินาโตะเท่านั้นที่เขาหาซื้อจากที่ไหนไม่ได้อีก
“ขอบใจนะ ชู!” มินาโตะบอกว่าจะมาดูเขายิงธนูด้วยและแค่ได้เห็นรอยยิ้มของมินาโตะ
บรรยากาศหนาวเย็นที่อยู่รอบกายเขาก็หายไปทันที
เขามองตามแผ่นหลังของมินาโตะไปจนสุดสายตา
รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าเขาอย่างที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน
วันนี้…เขาจะทำให้ดี…กำลังใจมันเกิดขึ้นได้ง่ายๆแค่เพราะได้เห็นหน้าคนที่เรารักเท่านั้นเอง
การแข่งขันระดับภูมิภาคในรอบแรกผ่านพ้นไปทำให้เสาร์อาทิตย์นี้เขาพอจะมีเวลาไปหามินาโตะที่บ้านอยู่บ้าง
[มินาโตะ อยู่บ้านไหม?]
นิ้วยาวส่งข้อความไปถามก่อนทั้งๆที่ปกติเขาไม่เคยต้องถาม
แต่เพราะไม่แน่ใจว่าคาเซไมมีซ้อมพิเศษอะไรไหม เขาจึงไลน์ถามก่อนจะได้ไปหาถูกที่
แต่แทนที่มินาโตะจะตอบเป็นข้อความกลับมา
โทรศัพท์เขากลับสั่นเพราะสายเรียกเข้าจากมินาโตะแทน
“มินาโตะ?” เขากดรับก่อนจะคุยกับปลายสาย
มีเสียงหอบหายใจส่งมาก่อนที่มินาโตะจะได้พูดอะไร
“แฮ่ก…เดี๋ยวฉัน…จะออกไปข้างนอกน่ะ
ชู…” เสียงมินาโตะฟังดูลนๆชอบกล
“เกิดอะไรขึ้น? แล้วจะไปไหน?” ดวงตาสีม่วงเหลือบมองแสงแดดสีส้มที่ฉาบไล้สวนหลังบ้านอันกว้างใหญ่ของเขา
นี่มันใกล้จะมืดแล้วนะ? จะไปไหนอีก?
“พ่อน่ะสิ ดันลืมเอกสารที่จะใช้ในการประชุมไว้ ฉันเลยจะเอาไปให้
ต้องไปที่เมืองข้างๆด้วย ต้องรีบแล้วเดี๋ยวไม่ทันรถไฟขากลับ” เสียงสวบสาบดังมาจากปลายสายเหมือนมินาโตะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ถ้าเป็นเมืองข้างๆนั่งรถยนต์ไปไม่ไวกว่าเหรอ?
“มินาโตะ รออยู่ที่บ้าน เดี๋ยวฉันไปรับ” ไม่ต้องคิดอะไรมากเขาเอ่ยปากออกไปทันที
“เอ๊ะ?”
“เดี๋ยวเอารถที่บ้านฉันไป ใช้รถยนต์น่าจะไวกว่า”
“อ่า….อืม….ถ้างั้นก็รบกวนด้วยครับ”
มินาโตะดูลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ในที่สุดก็ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา
และนั่นก็ทำให้เขาดีใจจนเผลอยิ้มออกมา
มินาโตะไม่เคยคิดมากที่จะต้องพึ่งพาเขา
มินาโตะทำให้เขารู้ว่าคนที่จะเดินเคียงข้างไปกับเขาได้ไม่ว่าจะสูงแค่ไหนก็คือมินาโตะ
“รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันไป” เขาวางสายพร้อมกับกวาดตามองหาพ่อบ้านของตระกูลฟูจิวาระที่คงกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นให้เขา
“โทโจซัง” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกพ่อบ้านที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก
“ครับนายน้อยชู?” ชายวัยกลางคนหันมามองเขาอย่างแปลกใจ
“ผมรบกวนหน่อยได้ไหมครับ พอดีผมมีธุระที่เมืองข้างๆ ช่วยขับรถให้ผมที”
เพราะคนขับรถประจำตัวเขาต้องคอยไปรับไปส่งน้องสาวของเขาไปเรียนเปียโนในช่วงเวลานี้
เขาจึงต้องขอร้องพ่อบ้านของตระกูลฟูจิวาระแทน
“ได้สิครับ” ใบหน้าสวมแว่นตายิ้มอ่อนโยนตอบกลับมา
“เดี๋ยวผมไปเอารถมาครับ” เขาพยักหน้าพร้อมกับยืนรออีกฝ่ายอยู่ที่โถงทางเข้าบ้าน
อันที่จริงเขาเองก็ขับรถเป็นแต่เขายังไม่มีใบขับขี่เพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะทำได้
ก็เลยไม่อยากขับไกลๆให้เกิดปัญหาหากโดนตำรวจเรียกขึ้นมาและไม่อยากให้มินาโตะต้องกังวลไปด้วย
นานแล้วที่นายน้อยชูไม่ได้เอ่ยปากขอร้องให้เขาช่วยทำอะไรให้แบบนี้
หัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลฟูจิวาระคิดอยู่ในใจในขณะขับรถไปตามทางที่นายน้อยบอก
ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากเหลือบมองเด็กหนุ่มที่เติบโตมาอย่างดีในกระจกมองหลัง
จะบอกว่านายน้อยคือความภาคภูมิใจของเขาก็ว่าได้ ทั้งที่มีทุกอย่างอยู่ในกำมือ
แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลยสักครั้ง
และคนที่กำลังเปิดประตูบ้านแล้ววิ่งออกมาก็คงจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นายน้อยชูเป็นแบบนี้
“โทษทีที่ต้องกวนนายนะชู เอ่อ…สวัสดีครับ
รบกวนด้วยนะครับ” เด็กหนุ่มที่เพิ่งขึ้นรถมาเอ่ยทักทายเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะขับรถต่อไป
เขารู้จักเด็กคนนี้ดี…นารุมิยะ
มินาโตะ… เพื่อน…เพียงคนเดียวของนายน้อยชู
ที่นายน้อยชูเอ่ยปากขอร้องเขา
ที่แท้ก็เป็นเรื่องของเด็กคนนี้นี่เอง…ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ
“คุณพ่อประชุมเย็นขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่ใช่ว่าไปถึงนู่นก็มืดแล้วเหรอ?”
นายน้อยชูพูดคุยกับคุณนารุมิยะด้วยสีหน้าอ่อนโยนซึ่งเขาแทบไม่เคยเห็นนายน้อยมีสีหน้าแบบนี้กับใครนอกจากคุณหนูซาเอะผู้เป็นน้องสาว
“พ่อประชุมพรุ่งนี้แต่เช้าน่ะ
แต่เพราะติดงานอื่นอยู่ด้วยก็เลยกลับมาเอาไม่ได้ สงสัยจะแก่แล้วจริงๆ
ขี้หลงขี้ลืมมากหมู่นี้” เขาลอบมองนายน้อยชูที่หัวเราะเบาๆไปกับคำพูดของคุณนารุมิยะผ่านกระจกมองหลัง
“ถ้างั้นคืนนี้ท่านก็ไม่กลับบ้านน่ะสิ?”
“อื้ม”
“มินาโตะต้องกลับมาอยู่คนเดียว?”
“ใช่”
ทั้งสองคนคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อไปเรื่อยๆจนเขาแปลกใจ
คนที่ไม่ค่อยพูดอย่างนายน้อยกลับพูดเรื่องทั่วๆไปออกมา บทสนทนาเกี่ยวกับสินค้าลดราคาบ้าง
วันหมดอายุของนมสดในตู้เย็นบ้าง วันทิ้งขยะบ้าง ที่โรงเรียนทำอะไรบ้าง
เรื่องเหล่านี้เขาไม่คิดจริงๆว่าจะได้ยินจากปากนายน้อยที่มักจะพูดเฉพาะเรื่องที่เป็นการเป็นงานเท่านั้นของเขา
เหนืออื่นใด…ในขณะที่พูดเรื่องธรรมดาๆพวกนี้
ใบหน้าของนายน้อยชูกลับเต็มไปด้วยความสุขจนแม้แต่เขายังดูออก
สายตาที่มองคุณนารุมิยะ
ต่อให้เป็นคนนอกอย่างเขายังเข้าใจว่ามันเต็มไปด้วยความรักขนาดไหน
ไม่แปลกใจเลยที่คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายถอดใจไปแล้วกับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน
“จอดตรงนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมลงไปเอง นายรออยู่นี่ก็ได้ชู” คุณนารุมิยะเอ่ยบอกเมื่อมาถึงหน้าออฟฟิศขนาดกลางหลังหนึ่ง
เด็กหนุ่มวิ่งลงไปจากรถเพื่อไปหาชายวัยกลางคนที่ยืนรออยู่
“คุณพ่อของมินาโตะน่ะ ผมรบกวนเขาไว้เยอะจริงๆ” นายน้อยชูเอ่ยบอกเขาในขณะที่พยักหน้ารับเมื่อชายวัยกลางคนคนนั้นโบกมือให้
“ขอโทษที่ให้รอนะ เรียบร้อยแล้วละ กลับกันเถอะ” ร่างโปร่งบางกลับมาขึ้นรถอีกครั้ง
“แวะทานอาหารก่อนดีไหมครับ? กว่าจะกลับถึงบ้านก็น่าจะดึกแล้ว”
เขาเอ่ยถามทั้งสองคนที่อยู่เบาะหลังและนายน้อยชูก็เห็นด้วยกับเขาทันที
“ครับ ดีครับ” รถคันงามจึงวิ่งเข้าไปในเมือง
ถ้าจำไม่ผิดแถวนี้น่าจะมีร้านอาหารที่เขาเคยพาคุณผู้ชายมารับรองแขกของบ้านฟูจิวาระอยู่
เขาหักพวงมาลัยเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นแบบที่เป็นห้องรับรองส่วนตัวร้านหนึ่ง
ด้วยความที่ทำงานให้ตระกูลฟูจิวาระมานานเขาจึงไม่รู้จักร้านที่ธรรมดากว่านี้แล้ว
“มะ มาร้านแบบนี้มันไม่แพงไปเหรอ?” คุณนารุมิยะยืนอึ้งอยู่หน้าร้าน
“ไม่หรอก มินาโตะเลี้ยงข้าวฉันทุกเย็นอยู่แล้ว ให้ฉันเลี้ยงนายบ้าง”
นายน้อยชูเดินนำเข้าไปด้วยความคุ้นเคย
“แล้วก็…ไว้นายค่อยขอบคุณฉันทีหลังก็ได้”
ใบหน้าหล่อเหลาหันไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับใบหน้ามนจนดวงตาสีมรกตหรี่มองราวกับรู้ทัน…ขอบคุณ?
“เชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานต้อนรับแต่งกายด้วยชุดกิโมโนเรียบร้อยเดินนำพวกเขาเข้าไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
มันเป็นห้องเสื่อทาทามิที่มีสวนญี่ปุ่นอยู่ข้างๆ
ไฟในสวนถูกจัดไว้อย่างสวยงามเหมาะกับการเดตมากจริงๆ?
“โทโจซังก็มาทานด้วยกันเถอะครับ” นายน้อยชูเอ่ย
“ไม่ได้หรอกครับ” เขาเป็นพ่อบ้านจะไปนั่งร่วมโต๊ะเจ้านายได้ยังไง
“มาเถอะครับ” คุณนารุมิยะเอ่ยชวนด้วยอีกแรง
และเขาก็ต่อต้านดวงตาใสๆนั่นไม่ได้เลย
“....เข้าใจแล้วครับ”
“ถ้างั้น เดี๋ยวฉันไปห้องน้ำก่อนนะมินาโตะ อยู่กับโทโจซังไปก่อนนะ”
นายน้อยพยักหน้าให้เขาน้อยๆเพื่อบอกให้เขาคอยดูแลเด็กหนุ่มอีกคนให้ดี
ทั้งๆที่เขาไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรเลยแท้ๆ
คุณนารุมิยะดูเป็นธรรมชาติมาก
และมันก็ทำให้เขานึกถึงวันเก่าๆตอนที่เขายังต้องคอยไปรับไปส่งเจ้านายตัวน้อยอยู่เพราะตอนนั้นนายน้อยชูยังไม่มีคนขับรถประจำตัว
“ผมจำคุณได้ครับ คุณคือเด็กอีกคนที่อาจารย์ไซออนจิสอนธนูให้สินะครับ”
ใบหน้ามนที่มองสวนญี่ปุ่นอยู่หันมามองเขาอย่างแปลกใจ
“เอ่อ…ครับ จริงๆไม่ต้องพูดสุภาพกับผมก็ได้…”
เด็กหนุ่มประหม่าเล็กน้อยเมื่อคนอายุเท่าเขาพูดสุภาพด้วย
“ว่าแต่ คุณเคยเจอผมด้วยเหรอครับ?” ใบหน้ามนเอียงคอสงสัย
“เคยสิครับ ผมเห็นคุณทุกครั้งที่นายน้อยไปฝึกยิงธนูนั่นแหละ”
เขายิ้มให้
“เอ๊ะ?”
“ที่จริงแล้ว…นายน้อยชูไม่ได้ขึ้นรถไฟกลับบ้านหรอกครับ
ผมเป็นคนขับรถไปรับไปส่งนายน้อยเอง แต่เพราะเขาอยากเดินกลับกับคุณ ก็เลยให้ผมไปรอรับที่สถานีรถไฟ”
และนั่นก็เป็นคำขอแรกจากเจ้านายตัวน้อยที่ไม่เคยเอาแต่ใจและไม่เคยขอร้องอะไรพ่อบ้านอย่างเขามาก่อน
“อันนี้เป็นความลับระหว่างเรานะครับ
ที่จริงแล้วผมคอยขับรถตามทั้งสองคนตลอดตั้งแต่ออกจากโรงฝึกเลยครับ”
“เอ๋?” ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วยิ่งโตเข้าไปใหญ่เมื่อเด็กหนุ่มได้ฟังเรื่องราวจากเขา
“นายน้อยชูเป็นนายน้อยคนสำคัญของเรา ผมจึงต้องคอยดูเขาทุกฝีก้าว”
และนั่นก็ทำให้เขาได้เห็นรอยยิ้มและแววตาที่สดใส
แววตาที่ทอประกายว่ามีสิ่งที่อยากได้อยากปกป้องแล้วในชีวิตของนายน้อยชูเป็นครั้งแรก
“ช่วย…อยู่ข้างๆนายน้อยชูต่อไปทีนะครับ”
เขาขอร้องเด็กหนุ่มจากใจจริง
เพราะเขาเห็นมาตลอดว่านายน้อยโดดเดี่ยวขนาดไหน
ทั้งๆที่ยังเป็นแค่เด็กม.ปลายแต่กลับต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ
ไม่มีที่จะให้อ่อนแอหรือระบายออกได้เลย
“....ครับ” เด็กหนุ่มตอบรับด้วยใบหน้าอึ้งๆ
“อันที่จริง…ที่บ้านฟูจิวาระรู้ถึงความสัมพันธ์ของคุณกับนายน้อยดีครับ
และไม่มีอะไรต้องกังวล” นายน้อยที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดและไม่เคยแสดงอารมณ์ในทางที่ไม่ดี
กลับแสดงความต้องการออกมาถ้าเป็นเรื่องของเด็กคนนี้
ทุกคนในบ้านใหญ่ฟูจิวาระต่างก็รู้ดี
ครืด…
บานประตูเลื่อนเปิดออกพอดี
ทั้งนายน้อยชูทั้งอาหารถูกนำเข้ามา
บทสนทนาระหว่างเขากับคุณนารุมิยะจึงหยุดลงแค่นั้น
แต่เท่าที่ได้พูดคุยกัน
เขาก็คงไม่ต้องห่วงนายน้อยชูอีกแล้ว…
รถยนต์คันหรูแล่นมาจนถึงหน้าบ้านมินาโตะ
ดวงตาสีม่วงทอดมองใบหน้าของคนที่หลับซบอยู่ที่ไหล่เขาก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าบอกพ่อบ้านประจำตระกูลฟูจิวาระ
“ผมจะค้างที่นี่ครับ โทโจซังขับรถกลับบ้านได้เลยครับ
คุณพ่อของมินาโตะไม่อยู่บ้าน ผมไม่อยากปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว”
“ครับ” โทโจมองนายน้อยของตนอุ้มร่างโปร่งบางลงจากรถก่อนจะขับออกไปเมื่อเห็นว่าพวกเขาเข้าบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว
ท่อนแขนแข็งแรงอุ้มร่างที่ไม่ได้หนักอะไรเลยขึ้นไปตามบันได
ก่อนจะวางร่างนั้นลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล
มือใหญ่เริ่มลงมือปลุกเจ้าของห้องด้วยการถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น
ทีละชิ้น?
“?...”
ดวงตาสีมรกตเปิดขึ้นมามองด้วยความง่วงงุนเพราะรู้สึกว่าถูกพลิกตัวไปมา
เขาลืมตาตอนที่ชูกำลังดึงขอบกางเกงออกจากสะโพกพอดี
“ชู…ทำอะไรน่ะ?” จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขานอนสบายขึ้นงั้นเหรอ?
ชูนี่ช่างเอาใจใส่และเป็นคนดีจริงๆ
ขาเรียวจึงปล่อยให้กางเกงยีนส์ถูกรูดออกไปโดยไม่ต่อต้านอะไร
หื๋อ? แล้วทำไมต้องถอดแม้แต่กางเกงในเนี่ย?
“ได้เวลาต้องขอบคุณฉันแล้วไม่ใช่เหรอ? มินาโตะ”
ร่างที่คร่อมอยู่ด้านบนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ตอนนี้บนตัวเขาไม่เหลือแม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้น
“ห๊ะ?” แล้วทุกความสงสัยก็หมดไป
เมื่อมือใหญ่ของชูถอดเสื้อของตนพ้นหัวออกไป แค่ได้เห็นท่อนบนเปลือยเปล่าเขาก็รู้แล้วว่าชูกำลังจะทำอะไร
ที่ชมว่าหมอนี่ช่างเป็นคนดีเมื่อกี้นี้
เขาขอถอนคำพูด!
“พ่อมินาโตะไม่อยู่บ้านด้วย ทำกันถึงเช้าเลยเถอะ” เดี๊ยววว~ ที่บอกโทโจซังมันไม่ใช่แบบนี้นี่
เขาได้ยินรางๆอยู่นะะะะ
ครืด!
ชูดึงข้อเท้าเขาเข้าไปหาตัวเองทำให้ร่างทั้งร่างที่ยังไม่ทันตั้งตัวถูกลากตามไปด้วย
หัวสีดำสไลด์ไปตามพื้นเตียงนิ่มและเมื่อทุกอย่างหยุดลง
โคนขาและก้นของเขาก็ปะทะอยู่กับต้นขาและสิ่งนั้น…ของชู
ทำไมมันตื่นแล้วล่ะ?
ใบหน้าเขาถึงกับร้อนผ่าว…
ฟึ่บ
แล้วแทนที่หมอนจะถูกใช้รองหัว
ตอนนี้มันกลับกำลังรองรับเอวและสะโพกของเขาแทน
มือใหญ่ยกบั้นท้ายของเขาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะสอดหมอนเข้าไปให้เข้าที่
ข้อเท้าถูกดึงขึ้นไปอีกครั้ง
ก่อนที่ดวงตาสีม่วงจะจ้องมองช่องทางสีชมพูที่ถูกยกขึ้นสูง
สายตาของชูทำให้เขาหน้าแดงแปร๊ดทันที “อย่ามองสิ…”
เขาเอ่ยออกไปเสียงสั่นด้วยความความอาย
“ไม่มองแล้วจะเข้าไปถูกได้ไง” เขาถึงกับยกสองมือขึ้นมาปิดหน้าเพราะคำพูดน่าอายที่ออกมาจากใบหน้าตายนั่น
ตอนนี้สีแดงคงลามไปถึงหูเขาแล้วแน่ๆ
และเพราะไม่ได้จับตาดูชูเอาไว้นั่นแหละเขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร
จนกระทั่ง
สวบ…
“อื้อ~” สิ่งที่สอดใส่เข้ามาอย่างไม่บอกกล่าวคือนิ้วที่ชุ่มโชกไปด้วยเจลหล่อลื่น
จู่ๆก็กดเข้ามาเต็มแรงหน้าท้องของเขาจึงเกร็งไปหมด
สองมือถึงกับขยับไปดึงรั้งผ้าปูที่นอนโดยไม่รู้ตัว
“มินาโตะ อย่าเกร็งสิ” เสียงราบเรียบเอ่ยบอกเมื่อช่องทางกำลังบีบรัดแน่น
“แฮ่ก…จะไม่เกร็งได้ไง จู่ๆนายก็ใส่เข้ามา…”
เขาส่งสายตาคาดโทษไปให้แต่กลับได้รอยยิ้มตอบกลับมา มันน่านัก
“อ๊ะ…แฮ่ก…แฮ่ก…”
แต่เขาก็เกร็งอยู่ได้ไม่นาน
ชูที่รู้จักร่างกายเขาดีทุกส่วนก็ทำให้เบื้องล่างผ่อนคลายขึ้น
“น่าจะได้แล้วละ” นิ้วทั้งสามถูกดึงออกมา
ร่างสูงสง่าขยับคุกเข่ายืดกายขึ้นพร้อมกับจับข้อเท้าเขาดึงจนขาเหยียดยาวไปพาดอยู่บนไหล่หนา
เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องรองบั้นท้ายเขาไว้ด้วยหมอน
เพราะชูเป็นพวกหลั่งช้าแล้วก็ไม่ชอบเปลี่ยนท่าบ่อยๆ
ถ้าต้องอยู่ท่านี้นานๆเอวเขาคงพังแน่พรุ่งนี้
“จะเข้าไปแล้วนะ มินาโตะ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมา
เขามองเห็นได้เต็มสองตา ทั้งใบหน้าเย็นชาที่อมยิ้มนิดๆ ทั้งร่างสูงใหญ่ของชู
กล้ามเนื้อคอ กล้ามเนื้อแขน กล้ามอกแน่นๆ
มาจนถึงกล้ามหน้าท้องที่สมส่วนสวยงามไปหมด แล้วก็เห็นเต็มสองตาเลยว่า…ความเป็นชายของชูกำลังจดจ่ออยู่ที่ปากทางเข้าของเขา
สองแก้มร้อนผ่าวเพราะภาพที่เห็นมันชัดเจนเกินไป
ทั้งเขินทั้งอายทั้งตื่นเต้นเพราะรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
ความสุขสมแบบไหน…ที่เขากำลังจะได้รับ…
“อ๊า~~” เสียงครางถูกเปล่งออกไปตามสัญชาติญาณ
นอกจากดวงตาที่มองเห็นว่าชูกำลังกดตัวเองเข้ามาแล้ว …ข้างใน…เขาก็สัมผัสได้ทั้งหมด
แท่งเนื้อขนาดใหญ่ที่ร้อนราวกับไฟกำลังค่อยๆแทรกกายเข้ามาจนสะโพกเผลอถอยหนี
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะสองแขนแข็งแรงจับยึดสองขาของเขาเอาไว้อยู่
ชูกำลังเข้ามา…อย่างช้าๆ…ไม่รีบร้อน…
เขารู้ว่าชูชอบช่วงเวลานี้ที่สุด
ตอนที่กำลังสอดใส่เข้ามาในร่างกายเขา ชูจะค่อยๆกดมันเข้ามา ให้มันดื่มด่ำไปกับทุกอณูในร่างกายเขา
ให้เขาค่อยๆโอบกอดมันไว้ทีละน้อย
“แฮ่ก…แฮ่ก…” เขาหอบหายใจจนไหล่สั่นสะท้าน
ไม่ได้มีแค่ชูหรอกที่ชอบ เขาเองก็รู้สึกดีมาก
แค่ใส่เข้ามา…ก็แทบจะถึงได้แล้ว…
“แฮ่ก…ยัง…เข้าไม่หมดอีกเหรอ…”
เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าวันนี้มันเข้ามาลึกกว่าปกติ
เข้ามาถึงในที่ที่ไม่เคยมาถึง…
ชูเริ่มกัดฟันแล้วแสดงว่าคงใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วเหมือนกัน
สองมือของเขาจึงเตรียมหาที่ยึดด้วยการขย๋ำผ้าปูที่นอนไว้
“ฟู่…หมดแล้ว” ชูสูดลมหายใจเพื่อผ่อนคลายสัญชาติญาณดิบ
“จะขยับแล้วนะมินาโตะ” แล้วไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านี้ด้วยหรือเปล่ามันถึงทำให้ชูสามารถขยับได้ตามแต่ใจ
“อ๊ะ อ้า~” เขารู้สึกเหมือนมันหมุนควงอยู่ข้างในเลย
ชูดึงมันออกไปจนสุดก่อนจะกดเข้ามาจนสุด หน้าท้องของชูปะทะเข้ากับก้นของเขาทุกครั้ง
“ชู~” แล้วมันก็ทำให้ในท้องของเขาร้อนวูบวาบไปหมด
ความเสียวซ่านมาพร้อมกับการสอดใส่ที่หนักหน่วงและเต็มแน่น
“อื้อ~ ชู~” เขาร้องครางแทบไม่เป็นภาษา
เขาเรียกชื่อชูออกมาไม่รู้กี่รอบ มันดีมาก ดีมากจริงๆ ดีจนหัวขาวโล่งไปหมด
เขาคิดอะไรไม่ออกเลย ตอนนี้มีเพียงตัวตนของชูเท่านั้นที่เขารับรู้ มีแต่ชูและชู
“มินาโตะ” เสียงทุ้มสั่นพร่าเองก็เรียกชื่อเขาเหมือนกัน
ใบหน้าของชูเต็มไปด้วยความต้องการ เต็มไปด้วยความปรารถนาในตัวเขา
สองแขนแข็งแกร่งกอดขาของเขาไว้ก่อนจะขยับโยกกายแรงขึ้น
“อ้า~ ชู~~ ไม่นะ ตรงนั้น อ้า~”
แกนกายร้อนระอุขยับไปโดนจุดไวต่อความรู้สึกของเขาจนถึงกับต้องร้องครวญคราง
“ชู~ ได้โปรด~” มือบางถึงกับย้ายไปตะกายเล็บลงบนต้นขาแกร่งเพราะชูยังคงกระแทกเข้าใส่มันแรงๆ
เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาอยากปลดปล่อย แต่ชูยังคงกดปิดแกนกายของเขาไว้ มันทรมานแทบขาดใจ
“แฮ่ก…” ชูก้มมองเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจ
ราวกับร่างกายที่กำลังบิดเร่าของเขาช่วยกระตุ้นเร้าอารมณ์ของชูมากยิ่งขึ้น
“อ้า~ เดี๋ยว~ ทำไมมันขยายอีก?
อื้อ~” ผนังภายในรับรู้ได้ถึงการขยายตัวของชู
หัวสีดำชื้นเหงื่อของเขาถึงกับสะบัดไปมาอยู่บนพื้นเตียง
มันทั้งอึดอัดทั้งรู้สึกดีมากจนไม่รู้จะพูดยังไง
“อ๊ะ อ้า~” วันนี้ชูไม่ได้เริ่มด้วยจังหวะเนิบช้าเหมือนทุกทีแต่กลับใส่เอาๆ
ราวกับกำลังจะบอกกับเขาว่าคืนนี้ยังอีกยาวไกล…เอาไว้ค่อยดื่มด่ำกับร่างกายเขาตอนที่เขาเริ่มหมดแรงไปแล้วก็ได้
ยังไงอย่างงั้น…
จิ๊บ
จิ๊บ จิ๊บ…
ทำ…ถึงเช้าจริงๆด้วย…
ดวงตาสีมรกตเลื่อนลอยเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
แสงยามเช้ามาเยือนแล้วแต่เจ้าชูตัวน้อยในร่างกายเขาก็ยังไม่ยอมหยุด!
ไปเอาแรงมาจากไหนเยอะแยะเนี่ย?!
“ชู…ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆนะ…เอาของนายออกไปก่อนไม่ได้เหรอ…”
เขาปล่อยร่างกายอันอ่อนระโหยโรยแรงให้ชูกอดไว้จากด้านหลัง
หัวสีน้ำตาลซบอยู่ที่ไหล่เขาทั้งที่เบื้องล่างยังฝังกายอยู่ในร่างเขา
มันยังขยับเข้าออกเบาๆราวกับไม่อยากจะยอมปล่อยเขาไป
ทั้งๆที่ไม่มีอะไรจะออกมาแล้วแท้ๆ…
“ไม่เอา อยู่ในนั้นมันอุ่นดี” ท่อนแขนแข็งแรงกอดกระชับตัวเขาให้จมลงไปในอ้อมแขนอย่างหวงแหน…จะว่าไงดี…ชูตอนงอแงเพราะจะต้องแยกจากเขานี่แหละเป็นอะไรที่จัดการยากที่สุดแล้ว
“แต่เครื่องในฉันมันเคลื่อนไปหมดแล้วนะ ปล่อยฉันไปเถอะ”
“เครื่องในมนุษย์ไม่เคลื่อนที่ไปได้หรอก ลำไส้ก็จะอยู่แต่ตรงนี้
ตรงนี้เป็นกระเพาะ” เจ้าคนรู้ดีไปเสียทุกอย่าง
รู้แม้กระทั่งอนาโตมีของมนุษย์ที่ไม่รู้จะรู้ไปทำไมในเมื่อไม่ได้จะเรียนแพทย์เสียหน่อย
มือใหญ่ลูบลงไปที่หน้าท้องของเขาตามตำแหน่งที่เอ่ยออกมาจากปาก
“ตรงนี้ตับ ตรงนี้ปอด” ฝ่ามืออันอบอุ่นลากไล้ขึ้นมาตามเอวก่อนจะผ่านไปถึงหน้าอก
“ตรงนี้หัวใจ” ก่อนจะลากไปวางเหนืออกซ้าย
ทุกสัมผัสนั้นช่างอ่อนโยนมากจริงๆ
“ส่วนทั้งหมดนี้คือหัวใจของฉัน” สองแขนแข็งแกร่งโอบกอดเขาเอาไว้ทั้งตัวบ่งบอกว่าหัวใจของชูก็คือเขา
แก้มใสร้อนผ่าว
ริมฝีปากเผลอยิ้มออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ฮะฮะฮะ...เหมือนกันนั่นแหละน่า…” เขาก้มงุดอย่างเขินอาย
“มินาโตะ…”
“หื๋ม?”
“ถ้าไม่มีมินาโตะ ฉันคงเป็นผู้ชายที่โดดเดี่ยวมาก จุดที่ฉันยืนอยู่ไม่มีใครเข้าถึงเลยสักคน…มีแค่นาย ที่พุ่งเข้ามาหาฉันราวกับลูกธนู” เขาฟังเสียงของชูอยู่เงียบๆ
สองแขนวางทาบลงไปบนท่อนแขนแกร่งที่ยังโอบกอดเขาไว้ไม่ปล่อย
“การปรากฏตัวของมินาโตะในวันนั้น มันสำคัญกับฉันมากจริงๆ”
“อย่างที่ฉันเคยบอก นายเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกที่โดดเดี่ยวของฉัน
นายทำให้ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้อีกต่อไป นายเป็นคนเดียวที่จะเดินข้างๆฉันได้”
“เพราะฉะนั้น… มินาโตะต้องรับผิดชอบ”
เขาอมยิ้มบางๆ
“ฮึ…เข้าใจแล้ว…ฉันจะรับผิดชอบนายไปทั้งชีวิตเลย
ดีไหม?” เขาหันไปมองใบหน้าที่เกยอยู่บนไหล่
ดวงตาสีม่วงแสนสวยคู่นั้นมันอยู่ใกล้แสนใกล้
ใกล้จนเขามองเห็นความโดดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ภายใน
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชูใช้ชีวิตมาแบบไหน
ในเมื่อเกินกว่าครึ่งชีวิตของชูมันเป็นของเขามาตลอด
เขาสัญญา
ว่าจะรักชูเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะรักได้ จะรักและโอบกอดความโดดเดี่ยวนั่นเอาไว้
จะไม่ทิ้งชูไปไหนอีก
“อื้ม ห้ามคืนคำนะ
ฉันจะตามมินาโตะไปสุดหล้าฟ้าเขียวเลย เพื่อให้มินาโตะรักษาสัญญา”
“รู้แล้ว…ตอนนี้…นอนก่อนเถอะ…เพราะตื่นมา…ต้องซักผ้าปูที่นอนอีก…”
เขาปิดตาลงทั้งรอยยิ้ม ความเหนื่อยล้าทำให้สติหายไปโดยง่าย
“ฝันดีนะ มินาโตะ” เสียงของชูดังอยู่ไกลๆ…
จุ๊บ…
รอยจูบที่แตะลงมาบนขมับก็เช่นกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
แล้วความคุณชายของชูที่เพิ่งเปิดเผยออกมาในอนิเมะตอนนี้ก็คือที่เคยเขียนไว้ในฟิคนี่ไม่เกินจริงเลยซักอย่างค่ะ
คุณชายมาก คุณชายจริงๆ >////<
แถมน้องสาวก็น่ารักมาก
นี่ก็หวีดอยู่ในเฟสทุกวัน
เรือแรงมากจริงๆ งื้อ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจที่มอบให้กันเลยนะคะ ดีจัยยยยยย แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น