ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 23


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 23

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค





มาราเนลโล่เป็นเมืองเล็กๆและสงบสุขมากแห่งหนึ่งในอิตาลี ยิ่งตอนเช้าๆยิ่งอากาศดีเหมาะกับการวิ่งออกกำลังกายมาก

ร่างสูงสง่าของนักบิดแห่ง Monster Yamaha ถึงได้ชอบตื่นแต่เช้าแล้วออกวิ่งไปตามถนนที่เงียบสงบ บ้านเรือนสีอิฐสลับกับเหลืองมัสตาร์ดอ่อนๆที่ตั้งอยู่สองฝั่งถนนก็เพิ่งตื่นจากการหลับใหล ปล่องควันไฟจากฮู้ดทำอาหารเริ่มมีควันลอยกรุ่นออกมา ชีวิตชีวาและเช้าวันใหม่กำลังจะเริ่มต้น สนามหญ้าของสวนสาธารณะเริ่มมีแสงสีทองสาดส่องลงมา เหล่าคุณปู่คุณย่าก็เริ่มมาเดินออกกำลังให้เห็นประปราย

สองขาวิ่งไปเรื่อยๆ เช้าๆแบบนี้ยังไม่มีความวุ่ยวาย เขาจึงสามารถวิ่งวนเข้าไปในจัตุรัสกลางเมืองซึ่งเป็นวงเวียนจุดตัดของถนนห้าสาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารูปปั้นที่อยู่กลางวงเวียนนั้นจะเป็นรูปอะไร เจ้าม้าลำพองหล่อด้วยเหล็กสีดำตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้น และไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหนมันก็มีแต่สัญลักษณ์ของเฟอร์รารี่เต็มไปหมด ขนาดโบสถ์เล็กๆสไตล์โกธิคเก่าแก่ของเมืองนี้ก็ยังตีระฆังให้ทุกครั้งที่ทีมแข่งรถเอฟวันของเฟอร์รารี่ชนะเลย

ร่างสูงสง่าหยุดยืนอยู่ที่ลานหน้าโบสถ์เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเองดัง เขาหยิบผ้าขนหนูที่พาดคออยู่มาซับเหงื่อตามใบหน้าในขณะที่กดรับโทรศัพท์

“ครับจ้านเกอ?”   ปลายสายคือเจ้ากระต่ายนั่นเอง วันนี้ตื่นไวแหะ ปกติเขากลับจากจ๊อกกิ้งทีไรก็ยังไม่ตื่นทุกที

“นายอยู่ไหน...”   เสียงเจ้ากระต่ายยังงัวเงียสงสัยจะเพิ่งตื่น

“ผมออกมาวิ่ง ตอนนี้อยู่หน้าโบสถ์”

“โบสถ์....”   เจ้ากระต่ายเงียบไปเหมือนกำลังใช้สมองประมวลผลอยู่

“แวะซื้อโดนัทนมสดให้ด้วยสิ!”   แล้วเสียงคนเพิ่งตื่นก็ดูสดชื่นขึ้นเมื่อพูดถึงของกินที่ตัวเองชอบ

“โดนัทนมสด?”   เขาจำได้ว่าเจ้ากระต่ายชอบกินมาก แต่ก็ไม่ค่อยได้กินเพราะมันมักจะขายหมดแต่เช้า ไม่เคยตื่นมาซื้อทันเลย

“ร้านอยู่ในซอยข้างๆโบสถ์อ่ะ เหล่าหวัง~ อยากกิน~ ซื้อให้หน่อย~   เสียงใสอ้อนมาซะขนาดนี้เขามีหรือจะต้านทานได้

“ร้านอยู่ข้างๆโบสถ์นะ?”

“อื้อ นายเห็นก็จะรู้เองแหละว่าร้านไหน ซื้อมาให้ได้นะ”

“ครับ”   แล้วเจ้ากระต่ายก็วางสายไป  เขาจึงเดินงงๆไปตามทางที่อีกฝ่ายบอก...เห็นแล้วก็รู้เองงั้นเหรอ?

แล้วเมื่อเขาเดินตามถนนข้างโบสถ์มา...อ่า...รู้เลยทันทีครับว่าร้านไหนและทำไมเจ้ากระต่ายถึงย้ำนักย้ำหนาว่า “ซื้อมาให้ได้นะ”  เพราะว่าตั้งแต่หน้าร้านยาวไปจนเกือบครึ่งกิโลล้วนเต็มไปด้วยคนที่ยืนต่อแถวอยู่! แล้วที่พีคกว่านั้นคือมีแต่ลุงๆป้าๆที่มารอซื้อ!

เขาอ้าปากค้างให้กับความยาวของแถวและความอาวุโสของคนซื้อ ร่างสูงสง่ายืนเหงื่อแตกพลั่กแถมยังลังเลว่าจะเข้าไปต่อด้วยดีไหม?  เขาเป็นถึงคูลกายเชียวนะ เป็นถึงนักบิดที่เย็นชาที่สุดในกริดเชียวนะ จะให้มายืนต่อแถวซื้อโดนัทโฮมเมดกับลุงๆป้าๆเหมือนต่อแถวซื้อปาท่องโก๋กับอาซิ้มอาอึ้มเนี่ยนะ? มันไม่คูลเลย

“เฮ้อ...”   แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปต่อแถวเมื่อนึกถึงเสียงแง้วๆจะกินๆของเจ้ากระต่าย...นี่ถ้าไม่รักมากไม่มีทางทำให้ขนาดนี้นะบอกเลย!

เขาพยายามก้มหน้าก้มตาเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น หมวกก็ไม่ได้เอามาจะรอดไหมเนี่ย...

ก็อย่างว่าแหละนะ มาราเนลโล่ไม่ใช่เมืองใหญ่แถมยังเป็นบ้านของม้าลำพองอีกต่างหาก คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเกี่ยวข้องกับเฟอร์รารี่แทบทั้งนั้น แล้วบุคลากรชื่อดังอย่างเจ้ากระต่ายย่อมเป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งหมู่บ้านอย่างช่วยไม่ได้ และเขาที่เป็นแฟนของเจ้าดีไซน์เนอร์ตัวท็อปนั่นจึงเป็นที่รู้จักไปโดยปริยาย...

“หวังอี้ป๋อ? นี่หวังอี้ป๋อไม่ใช่เหรอ?”   อ๊าก อย่าทักสิ!

“มาซื้อโดนัทเหมือนกันเหรอ? ที่นี่อร่อยมากเลยนะ”   แล้วพอมีลุงคนหนึ่งทัก บรรดาพี่ป้าน้าอาทั้งหลายก็หันมามองกันทั้งแถวด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอคนดัง ยังไม่พอ เหล่านี้คือคนอิตาลีที่อัธยาศัยดีและเป็นมิตรที่สุดในโลก เสียงโหวกเหวกโวยวายจึงดังตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว! อ่า...ไม่ต้องหลบมันแล้ว! 

“เซียวจ้านล่ะ? ไม่มาด้วยกันเหรอ? เด็กคนนั้นน่ารักเนอะ เห็นมาตั้งแต่สมัยยังใส่ชุดนักเรียน แทบไม่เปลี่ยนไปเลย”

“นี่ออกมาวิ่งใช่ไหม? ลองไปที่สวนฝั่งตะวันตกดูสิ เดี๋ยวป้าก็จะพาหมาไปเดินเล่น ลุงคนนั้นก็ไป มันดีนะ”

“ไม่นึกว่าคนหนุ่มก็จะชอบกินโดนัทสูตรดั้งเดิมของเมืองเราด้วย นี่หากินที่ไหนไม่ได้เลยนะ”

“แล้วจะกลับไปแข่งอีกเมื่อไหร่? เซียวจ้านไปอยู่ดูคาติเป็นยังไงบ้าง อยากให้กลับมาทำรถของพวกเราต่อไวๆจัง เธอช่วยดูแลเค้าให้ดีๆทีนะ”

คำถามประดังประเดเข้ามารอบตัวเหมือนเขากลับบ้านที่ไม่ได้กลับมานานแล้วคนทั้งหมู่บ้านต่างก็สนใจเรื่องของเขา ใบหน้าหล่อเหลาพยักพเยิดไปตามน้ำส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ถึงคิวเขาไวๆทีเถอะ ลุงๆป้าๆพวกนี้ชวนเม้าท์มอยไม่พอยังยัดเยียดขนมปังฝรั่งเศลเอย ไข่ไก่เอย นมเนยน้ำตาล สารพัดอาหารที่เพิ่งแวะซื้อมาใส่มือเขา แถมกำชับบอกให้เอาไปบำรุงเจ้ากระต่ายให้ดีๆจะได้มีแรงทำรถให้เฟอร์รารี่ต่อ  

ถึงจะมีเหงื่อซึมที่ขมับไปบ้างแต่ความอบอุ่นเป็นกันเองที่คนในเมืองนี้มอบให้ก็ใช่ว่าจะทำให้รู้สึกไม่ดี เขาเคยอยู่แต่ในเมืองใหญ่ที่ไม่รู้จักใคร เคยแต่วิ่งอยู่ในฟิตเนสบนตึกสูงระฟ้า การได้มาเจอบรรยากาศแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน ชีวิตเขาเปลี่ยนไปหลายอย่างเพราะเจ้ากระต่ายทั้งนั้น...มันดีขึ้น

เขามองโดนัมนมสด 10 ชิ้นในถุงกระดาษ  ในที่สุดก็ได้มันมา นักบิดจากทีมยามาฮ่ารีบโกยอ้าวออกจากตรงนั้นทันทีก่อนที่เขาจะกลายเป็นขวัญใจลุงป้าหน้าร้านโดนัทไป แต่เขาวิ่งออกจากร้านได้ไม่เท่าไหร่ เจ้ากระต่ายตัวดีก็โทรมาอีก

“ครับ?”   คงจะไม่ได้ให้เขาวนกลับไปซื้ออะไรอีกนะ? ตื่นมาได้ก็วุ่นวายเลยเชียว

“อี้ป๋อแย่แล้ว!! บ้านท่านเคานต์แตกละเอียดเลยอ่ะ!”   ห๋า? บ้านท่านเคานต์นี่คืออะไร?

“ไม่รู้โดนอะไร น้ำไหลเต็มบ้านเลย รีบกลับมาช่วยหน่อย!”   อ๋อ หรือจะหมายถึงตู้ปลาเทราต์? เดี๋ยวนะ ถ้าตู้นั่นแตกละก็ พรมในห้องนั่งเล่นเขาได้หายนะแน่! ว้อยยยย

จากจ๊อกกิ้งชิลๆตอนนี้หวังอี้ป๋อต้องวิ่ง 4x100 เพื่อกลับบ้านให้ไวที่สุด โดนัทนมก็ต้องประคอง สองขาก็ต้องวิ่งหูดับตับไหม้ ทำไมการเป็นสามีมันลำบากขนาดนี้เนี่ย?! เขาเป็นลูกชายผู้มีอิทธิพล เขารวยล้นฟ้า แล้วทำไมเขาต้องมาทำอะไรแบบนี้แทนที่จะนั่งกระดิกเท้าอยู่ในคฤหาสน์สบายๆด้วยเนี่ย? บางทีก็งงตัวเองเหมือนกัน!

“จ้านเกอ! เป็นไงบ้าง?! แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”   เขาเปิดประตูบ้านพรวดพราดเข้าไป ลมหายใจหอบถี่เพราะวิ่งมาแบบไม่ได้พัก

“ระวังลื่นนะ! ระวังเศษแก้วด้วย ยังดีที่น้ำยังไหลไปไม่ถึงพรม”    เจ้ากระต่ายกำลังใช้ไม้ถูพื้นซับน้ำที่เจิ่งนองออกไป เศษแก้วบางส่วนยังกระจัดกระจายอยู่ใต้ฐานตู้ปลา พรมถูกเลิกขึ้นมาพาดไว้บนโซฟา ตอนนี้ห้องนั่งเล่นในบ้านเขากำลังเละสุดๆ

โดนัทนมสดถูกวางไว้บนโต๊ะกินข้าวก่อนที่เขาจะเข้าไปช่วยเจ้ากระต่าย กว่าเช้าที่อลหม่านนี้จะผ่านพ้นไปได้ พวกเขาก็ถึงกับลงไปนั่งหอบหันหลังชนกันอยู่บนพื้นหน้าทีวี

ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองเจ้าท่านเคานต์ที่ว่ายน้ำสบายใจเฉิบอยู่ในกะละมัง นี่เพิ่งสร้างความเดือดร้อนให้เขาไม่พอ ยังทำหน้าทำตาไม่สำนึกอีกนะเจ้าปลานี่ เหมือนเจ้าหมีแพนด้านั่นไม่มีผิด!

“จมูกมันเป็นแผลหรือเปล่า? หรือมันจะว่ายชนตู้?”   เจ้ากระต่ายชะโงกหน้าไปมองดูมันก่อนจะเอานิ้วกวนน้ำราวกับกำลังเล่นด้วย เดี๋ยวมันก็งับเอาหรอก บอกเลยว่ามันน่าจะเห็นนายเป็นแค่กระต่ายน่ากินอ่ะไม่ใช่เจ้าของมัน 

“หรือว่าเจ้าปลานี่มันโตตามธรรมชาติมาตลอด มันเคยอยู่ในบ่อน้ำกว้างๆ เราย้ายมันมาอยู่ในตู้เล็กๆแบบนี้มันอาจจะไม่ชิน?”   เขาพูดออกไป

“ผมเคยได้ยินมาว่าปลาเทราต์มันชอบว่ายทวนน้ำคล้ายๆแซลม่อน การอยู่ในน้ำนิ่งมันอาจจะไม่ชอบหรือเปล่า?”   เขามองเจ้าปลาลายจุดตัวใหญ่ในกะละมัง

“ผมว่าเราตัดใจ จับมันย่างกินไปเลยดีไหม?”


ผลั๊วะ!


“นายจะกินท่านเคานต์งั้นเหรอ? เจ้าหมาป่าใจร้ายใจดำ นายจะเลี้ยงท่านเคานต์เอาไว้กินแบบที่เลี้ยงชั้นไว้กินไม่ได้นะ! ตีให้ตายเลยนี่แหน่ะๆ!”   มือกระต่ายฟาดผลั๊วะๆมาไม่ยั้ง  รู้อีกว่าเขาเลี้ยงตัวเองไว้กิน

“งั้นจะให้ทำไงอ่ะ? มันไม่น่าจะชอบอยู่ในตู้ปลานะ”   ต่อให้ทำตู้ปลาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมก็คงได้พื้นที่เพิ่มไม่เท่าไหร่เพราะบ้านของเจ้ากระต่ายก็ไม่ได้หลังใหญ่มากนัก

“อืม...”   เจ้าดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่ลูบคางอย่างใช้ความคิด ใบหน้ามนหันไปมองสวนหลังบ้านก่อนจะพึมพำออกมา

“งั้นก็ขุดสระไว้หลังบ้านไหม? ขุดเป็นลำธารยาวๆ เดี๋ยวชั้นออกแบบระบบกรองกับระบบสร้างน้ำไหลเหมือนลำธารจริงๆให้”   จู่ๆบ้านเขาก็มีตู้ปลาเทราต์นี่ก็งงมากแล้วนะ จะให้ขุดลำธารเพิ่มเพื่อเจ้าปลานั่นเลยงั้นเร๊อะ? มันจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปแล้ว~

“โอเคตามนี้”   เจ้ากระต่ายพูดเองเออเองเสร็จสรรพ แน่นอนว่าเขาก็ต้องตามใจอย่างทำอะไรไม่ได้!

นักออกแบบรถมือหนึ่งของวงการฟอร์มูล่าวันหยิบกระดาษกับดินสอมาสเก็ตอะไรบางอย่างลงไป อีกมือก็หยิบโดนัทนมสดกินไปด้วย

“อร่อยอ่า กินไหม?”   เจ้ากระต่ายทำหน้าฟินก่อนจะหันมาชวนเขา เอาจริงๆแค่ได้มองใบหน้ายามกำลังกินของอีกฝ่ายเขาก็อิ่มแล้ว แก้มป่องเคี้ยวตุ้ยๆน่ารักน่าเอ็นดูสุดๆจนเขาต้องลอบกลืนน้ำลาย แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากกินโดนัทแต่เขาอยากกินอย่างอื่น...

ใบหน้าหล่อเหลาจึงขยับเข้าไปหา เจ้ากระต่ายนึกว่าเขาอยากกินโดนัทในมือบางจึงยื่นมาให้ แต่ใบหน้าของเขากลับขยับเฉียดเจ้าโดนัทสีน้ำตาลแล้วเลยผ่านมันไป เพราะเป้าหมายของเขาคือกลีบปากสีระเรื่อนั่นต่างหาก

“อื้อ?”   เสียงนุ่มเอ่ยออกมาได้นิดเดียวก็ถูกริมฝีปากของเขากดปิดไป จุมพิตละมุนละไมถูกมอบให้อย่างอ่อนโยน กลีบปากอวบอิ่มยังมีรสชาติหวานๆของน้ำตาลจากโดนัทหลงเหลืออยู่ เช่นเดียวกับไอรักที่ลอยอบอวลไปทั่ว หัวใจของเขาเต้นตึกตักตลอดช่วงเวลาที่ริมฝีปากแนบชิดกัน เขานิ่งค้างอยู่แบบนั้นอย่างไม่อยากจะละออกมาเลย

ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆขยับออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เจ้ากระต่ายเขินจนหน้าแดงไปหมด มือบางยัดโดนัทมาปิดปากเขาก่อนจะเสไปสเก็ตรูปต่อ เขายิ้มมองคนขี้อายด้วยความเอ็นดู

“เอาแบบนี้แล้วกัน”   จากกระดาษเปล่ากลับมีลายเส้นที่เขียนเป็นลำธารขึ้นมา แถมไม่ใช่ลำธารทื่อๆธรรมดา เจ้ากระต่ายยังเนรมิตสวนแบบอิตาลีใส่เข้าไปอีก มีพื้นปูหิน มีรูปปั้นเทพเจ้า มีน้ำพุ มีซุ้มต้นไม้ จากการหาบ้านให้ปลามึนๆตัวนึงกลายเป็นอภิมหาโปรเจ็คในสวนหลังบ้านไปแล้ว...เขามองอย่างปลงๆ

“เอาห้องเครื่องไว้ตรงนี้แล้วกัน ชั้นออกแบบคร่าวๆได้ก็จริงแต่พวกงานระบบบ่อปลานี่คงต้องหาบริษัทผู้เชี่ยวชาญมาทำ”   แล้วเจ้ากระต่ายก็หยิบโทรศัพท์โทรหาใครคนหนึ่งซึ่งเขาแทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใคร

“บอส! อยากได้ลำธารอ่า หาให้หน่อย”   ก็นะ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่แม้แต่เรื่องจะเอาลำธารมาไว้ในบ้านก็โทรหาแต่ทีมบอสของเฟอร์รารี่นี่แหละ เป็นเอลวิน สมิธนี่ก็น่าสงสารแท้

“.......”   ปลายสายสตั๊นไปสามสิบวินาทีก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงนิ่งๆว่า

“ใช้ Free Space Decorate ก็แล้วกัน เดี๋ยวชั้นส่งเบอร์ให้”    นี่ก็รู้อีก! สมเป็นทีมบอสฟ้าประทานจริงๆ!

ชื่อบริษัทพร้อมเบอร์โทรและที่อยู่ถูกส่งมาให้ทางแชท เขาชะโงกหน้าไปมอง บริษัทรับตกแต่งสวนและบ่อปลานี้ตั้งอยู่ที่ Rome นี่

เขานึกอะไรดีๆออก ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วจะใช้โทรคุยกับส่งแบบทางอีเมล์ก็ได้ แต่เขากลับเอ่ยปากชวนเจ้ากระต่าย  “ไปโรมกัน จะได้คุยกับบริษัทให้ครบไปเลยว่าพี่จะเอาอะไรบ้าง จะตกแต่งยังไง เค้าจะได้ทำทีเดียว”   เจ้ากระต่ายก็พยักหน้ารับอย่างงงๆ






Ferrari Portofino เปิดประทุนแล่นออกจากมาราเนลโล่ตอนสายๆ อากาศกำลังสบายๆทำให้การขับรถ 4 ชั่วโมงไม่ได้รู้สึกหนักหนาอะไร ใบหน้าหล่อเหลาสวมแว่นกันแดดสีดำ เขาเริ่มชินกับการขับรถในอิตาลีหลังจากใช้ชีวิตที่นี่มาปีกว่า แต่ครั้งนี้ก็นับว่าเขาเพิ่งขับรถลงไปถึงภาคกลางเป็นครั้งแรก เพราะมาราเนลโล่เป็นเมืองที่อยู่ค่อนไปทางเหนือ เขาจึงคุ้นเคยกับตอนบนของอิตาลีมากกว่า

โรมหรือโรม่าในภาษาอิตาลีเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้ ถ้าดูในแผนที่จะเป็นเมืองที่อยู่กึ่งกลางของรองเท้าบูทพอดี เมืองหลวงเก่าแก่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน เคยเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่รุ่งเรืองถึงขีดสุดของมวลมนุษยชาติ เป็นศูนย์กลางของศิลปะและความงามในยุคคลาสสิคล่วงเลยมาจนถึงเรอเนซองส์และบาโรก เพราะฉะนั้นแค่ก้าวขาเข้ามาในกรุงโรม คุณก็จะได้พบกับความโรแมนติกที่ส่งผ่านมากับกาลเวลาและประวัติศาสตร์อันยาวนานได้ทันที

เขาพาเจ้ากระต่ายไปคุยกับบริษัทรับทำสวนและบ่อปลาก่อน หลังจากถูกพนักงานทั้งบริษัทอมยิ้มอย่างเอ็นดูเพราะเพิ่งเคยเจอมนุษย์คนแรกที่คิดจะเลี้ยงปลาเทราต์ไว้เฝ้าบ้านแทนที่จะเลี้ยงปลาสวยงามอย่างปลาคราฟเขาก็หมดธุระกับที่นั่นตอนบ่ายกว่าๆ พวกเขาเซ็นต์สัญญาเรียบร้อยเหลือก็แค่รอบริษัทมาสร้างให้เท่านั้น

แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดจะกลับมาราเนลโล่ในวันนี้เลยหรอก  Ferrari Portofinoจอดลงที่ลาดจอดรถนอกโซน ZTLของโรม จากตรงนี้ไปเขาต้องใช้การเดิน

ZTL ย่อมาจาก Zona Traffico Limitato คือโซนจำกัดการจราจรของอิตาลีที่มักจะอยู่ในเมืองใหญ่ ความหมายของมันก็คือรถต่างถิ่นที่ไม่ใช่รถที่อยู่ในเมืองนั้นๆห้ามขับเข้าไปในโซนที่กำหนดขอบเขตเอาไว้อย่างเด็ดขาดถ้าไม่อยากโดนปรับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโซนที่มีอาคารทางประวัติศาสตร์อายุหลายร้อยหลายพันปีตั้งอยู่ เพื่อป้องกันเมืองเก่าเหล่านี้จากการจราจรที่หนาแน่นและมลพิษที่จะทำให้เกิดความเสียหายได้ ในเขตอนุรักษ์พวกนี้นักท่องเที่ยวจึงต้องเดินด้วยเท้าเป็นส่วนใหญ่

แต่การเดินท่ามกลางศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์อันสวยงามตระการตาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาจับมือเจ้ากระต่ายเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน โรมมักจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ สำหรับเขาแล้วมันอาจจะดีที่จะใช้ในการพรางตัว ถ้าอยู่กับคนเอเชียด้วยกันความสูงของเขากับจ้านเกอนั้นค่อนข้างเป็นปัญหา ทว่า ยามเมื่อเดินอยู่ในหมู่คนยุโรปแล้วแทบจะกลมกลืน อาจจะมีคนสังเกตเห็นพวกเขาบ้างแต่ก็คงจะไม่แน่ใจเพราะคงไม่คิดว่าคนดังแห่งวงการ Moto GP จะมาเดินปะปนกับผู้คนบนถนนแบบนี้

“ไม่ได้มาที่นี่ตั้งนานแล้ว คนเยอะเหมือนเดิมเลย”   เจ้ากระต่ายเอ่ยออกมา ตอนนี้พวกเขากำลังเดินไปที่ Piazza Navona หรือจัตุรัสนาโวน่า

“เมื่อก่อนพี่มาเที่ยวบ่อยเหรอ”   เขาทำเสียงหงอยๆอย่างเสียดายที่เพิ่งเจอกันและไม่ได้มีส่วนร่วมในอดีตหลายๆอย่างของอีกฝ่าย มือบางจึงบีบมือเขาเบาๆก่อนจะจับเอาไว้ เจ้ากระต่ายเลิกเขินอายและยอมให้เขาเดินจับมือไปไหนต่อไหนโดยไม่สนสายตาใครและสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้มันก็ทำให้เขาสบายใจ

“ชั้นเป็นดีไซน์เนอร์นี่นา ถึงจะออกแบบรถแต่การค้นหาแรงบันดาลใจมันก็สำคัญ อย่าง Ferrari Roma รุ่นที่คิโยมิตสึใช้อยู่ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากที่นี่แหละ”   อ๋อ เจ้ารถตัวจี๊ดที่พาพวกเขาหนีจากเงื้อมมือของอานัส ซัลมานนั่นสินะ

“ถ้ามีเวลาว่าง ชั้นก็จะชอบขับรถไปเรื่อยๆ นายดูสิ อิตาลีสวยขนาดนี้”   เจ้ากระต่ายผายมือก่อนจะเงยหน้ามองไปรอบๆ ส่วนสายตาของเขานั้นกลับหยุดอยู่ที่ใบหน้ามนที่น่าหลงใหล

“ว่าแต่คนเยอะแบบนี้นายไม่กลัวแฟนคลับจำได้เหรอ?”   เจ้ากระต่ายหันมาถามเขา ใบหน้าหล่อเหลาจึงส่ายไปมาอย่างไม่ใส่ใจ

“ชั้นจะเล่าอะไรให้ฟัง มีอยู่ครั้งนึง คุณรีไวพาเอเลนไปเที่ยวที่เวโรน่า จะไปบ้านจูเลียต ที่เป็นต้นแบบของฉากในเรื่องโรมิโอกับจูเลียตน่ะ แล้วทีนี้นะ สองคนนั้นก็กลัวคนจำได้ใช่มะ เอเลนก็เลยลากคุณรีไวไปปลอมตัว ตอนนั้นเจ้าเด็กนั่นยังอยู่ไฮสคูลเลยไปขอยืมชุดจากชมรมการแสดงของโรงเรียน”

“แล้วนายรู้ไหมว่าชุดที่สองคนนั้นใส่คือชุดอะไร? ชุดย้อนยุคสมัยโรมิโอกับจูเลียต!!! ฮ่าๆๆ ไม่รู้ปลอมตัวอิท่าไหนกลายเป็นเด่นจนคนทั้งถนนต้องหันมามองอ่ะ”   เจ้ากระต่ายเล่าไปก็หัวเราะไป ขนาดเขายังถึงกับยิ้มตามกับความบ้าบอของประชากรม้าลำพองพวกนั้น แล้วหน้าดุโฉดโหดเถื่อนอย่างคุณรีไวในชุดโรมิโอนี่ก็นะ...

“สุดท้ายสองคนนั้นก็ทำเนียนเป็นนักแสดงข้างถนน แล้วก็ดันมีนักท่องเที่ยวขอถ่ายรูปแถมให้เงินอีกต่างหาก ฮ่าๆๆ ได้เงินกลับมาเป็นกอบเป็นกำจนคนทั้งพิตแซวว่าถ้าเลิกขับเอฟวันไปทำอาชีพนี้ก็ดีนะ ฮ่าๆๆ”   เขาฟังไปก็ยิ้มแก้มปริไป เนี่ย พิตสีแดงมันเป็นอย่างเงี้ยแหละ มีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้แบบนี้แหละ

เขาจับมือเจ้ากระต่ายเดินแหวกฝูงชนจนมาถึงกึ่งกลางจัตุรัส สถาปนิกยุคคลาสสิคของอิตาลีถนัดเรื่องการสร้างอิมแพคสเปซและการวางผังเมืองตามแนวแกนมากๆ การเดินจากในตรอกซอกซอยแคบๆก่อนจะมาเจอพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ในทันทีทันใดนั้นสร้างความตื่นตะลึงได้โดยง่ายและตอนนี้เขาก็รู้สึกแบบนั้นอยู่  หมู่อาคารที่ล้อมรอบจัตุรัสนาโวน่าจนกลายเป็นพื้นที่ปิดนั้นทั้งสูงตระหง่านและสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมเรอเนซองส์ผสมบาโรค อาคารแต่ละหลังทาด้วยสีคุมโทนอย่างส้มอิฐ ครีม เหลืองมัสตาร์ด ชมพูอ่อน หน้าต่างทรงแคบยาวที่ถูกจัดวางอย่างมีจังหวะประดับประดาด้วยบัวและกระถางดอกไม้เหล็กดัดน่ารักจนเขาต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป แน่นอนว่านางแบบของเขาก็คงมีอยู่คนเดียว

เจ้ากระต่ายในเชิ้ตเบาบางสีขาวบนแบ็กกราวด์ตึกเรอเนซองส์สีสันแบบอิตาลี...ภาพนี้ก็สวยเต็มสิบอีกแล้ว

นอกจากนี้จัตุรัสนาโวน่าก็ไม่ได้เป็นเพียงจัตุรัสว่างๆเปล่าๆ แต่ทั่วทั้งลานกลับเต็มไปด้วยแผงขายงานศิลปะทั้งภาพวาดสีน้ำ สีน้ำมัน ภาพพิมพ์ ศิลปินที่มานั่งวาดกันสดๆเลยก็มี นอกจากนี้รอบๆจัตุรัสยังมีร้านอาหารให้มานั่งกินไปชมบรรยากาศสดใสในจัตุรัสไป ที่น้ำพุทั้งสามแห่งของลานก็มีเด็กๆวิ่งเล่น นกพิราบตัวใหญ่ที่ลงมากินน้ำต่างก็โผบินเมื่อถูกรบกวนเกิดเป็นภาพที่มีชีวิตชีวา

แล้วน้ำพุแต่ละอันของที่นี่ก็ประดับประดาไปด้วยรูปปั้นอันอลังการสมเป็นงานของอิตาลีที่ขึ้นชื่อเรื่องความสมจริงของอนาโตมี่ สเกลเทพเจ้า และใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซึ่งปั้นออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่เข้ากรุงโรมมาเขาก็ได้อยู่ท่ามกลางรูปปั้นรูปแกะสลักหินอ่อนแบบนี้มาตลอดไม่ว่าจะเดินอยู่ที่ไหน มันทำให้รู้สึกราวกับว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของมนุษย์แต่เป็นดินแดนแห่งเทพ

โรม...สวยมากจริงๆ

เขาจับเจ้ากระต่ายไปนั่งลงที่ขอบบ่อน้ำพุสี่มหานที (Fontana dei Quattro Fiumi) ซึ่งเป็นน้ำพุใหญ่ที่อยู่ตรงกลางจัตุรัส รูปปั้นมนุษย์ที่เป็นตัวแทนสี่ทวีปสีขาวล้อมรอบเสาโอบิลิสสีน้ำตาล ด้านหลังเป็นโบสถ์แบบบาโรกจัดเต็ม น้ำในอ่างเป็นสีฟ้าน้ำทะเลมีเจ้ากระต่ายนั่งเหม่ออยู่ข้างหน้าและเขาก็กดชัตเตอร์ทันตอนที่ฝูงนกโผบินขึ้นจากด้านหลังพอดี ภาพนี้ก็สวยประมาณงานที่ถ่ายลงนิตยสารได้

มือใหญ่เอื้อมออกไปให้มือบางคว้าเอาไว้ เขาดึงเจ้ากระต่ายขึ้นก่อนจะเดินเล่นในจัตุรัสไปเรื่อยๆ แผงขายงานศิลปะมีภาพวาดสวยๆมากมาย มีทั้งภาพเล็กภาพใหญ่ ภาพอาคารบ้านเรือน ภาพคน ภาพอาร์ตๆ ภาพดอกไม้ ภาพวิวทิวทัศน์ ละลานตาไปหมด แค่ได้เดินอยู่ในนี้ก็รู้สึกว่าจิตใจที่วุ่นวายถูกจรรโลงด้วยงานศิลปะ มันไม่เหมือนการไปเดินดูภาพในพิพิธภัณฑ์ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยสีสันและมีชีวิตชีวากว่ามาก

เขาเดินตามถ่ายรูปเจ้ากระต่ายที่เดินดูภาพบนแผงขายรูป ใบหน้ามนดูเพลิดเพลิน เขาเองก็ถ่ายรูปเพลินเหมือนกัน แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

“คนนี้วาดรูปสวยจัง”   เจ้ากระต่ายแวะที่ร้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านรับวาดรูปสดๆ แต่ศิลปินท่านนี้ไม่ได้สเก็ตด้วยดินสอเหมือนร้านอื่นๆ แต่กลับลงสีแบบมีสไตล์ด้วยสีน้ำ

“ให้เค้าวาดรูปเรากันไหม?”   ใบหน้ามนหันมาถามด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาจึงพยักหน้าตามใจ เราสองคนจึงนั่งลงข้างๆกัน หันมองหน้ากันพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ

ปกติแล้วเขาจะเป็นคนถ่ายภาพเจ้ากระต่าย ส่วนเจ้ากระต่ายเองก็วาดรูปเป็นอยู่แล้ว เพราะงั้นการที่ต่างฝ่ายต่างต้องมานั่งนิ่งๆเป็นแบบให้คนอื่นวาดรูปให้จึงเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ทีเดียว

มันไม่ใช่ภาพถ่าย...แต่เป็นภาพที่คนอื่นมองพวกเขาแล้ววาดมันออกมาด้วยมือ

และเขาก็รู้สึกชอบมัน...เมื่อได้มองเห็นภาพสีน้ำของเราสองคน

ถึงจะมองด้วยสายตาของคนอื่น แต่เขากลับรู้สึกว่าในรูปนั้นมีความรักปรากฎอยู่

“เจลาโต้!”   เจ้ากระต่ายวิ่งปรู๊ดไปทันทีที่เห็นร้านเจลาโต้ 

“ซื้ออันเดียวพอนะ ผมกินกับพี่”   เขาจึงตะโกนไล่หลังไป อันที่จริงนักแข่งรถอย่างพวกเขาต้องควบคุมน้ำหนัก อย่างพวกนักขับเอฟวันนี่เกินมาขีดเดียวยังไม่ได้เพราะน้ำหนักตัวจะถูกเอาไปคำนวณรวมกับน้ำหนักของรถด้วย พวกนั้นเลยจะตัวไม่สูงใหญ่ ไม่เหมือนนักกีฬาทั่วไป

“อื้อ”   เจ้ากระต่ายหันมาตอบก่อนจะเดินเข้าร้านที่มีถาดหลากสีสัน เจลาโต้ของอิตาลีส่วนใหญ่มักเป็นแบบโฮมเมดซึ่งมันอร่อยมาก

เขานั่งรอที่ขอบน้ำพุเทพเจ้าเนปจูน เพราะรูปยังไม่แห้งดีเขาจึงต้องถือมันไว้ก่อน ดวงตาคมกล้าทอดมองรูปสีน้ำนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน

“มาแล้ว”   เจ้ากระต่ายถือเจลาโต้สีแดงที่โปะอยู่บนสีขาวน้ำนมเดินมานั่งลงข้างๆก่อนจะกินมันด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย

“เหมือนรูปพรีเวดดิ้งเลยเนอะ”   เขาโพล่งออกไปในขณะที่สายตายังไม่ละจากรูปสีน้ำในมือ

“แค่ก! แค่กๆๆ”   ถึงกับสำลักเจลาโต้เลยเร๊อะเจ้ากระต่ายนั่น เขาจึงหยอกเย้าต่อไป

“พรีเวดดิ้งของเราไม่ต้องจ้างสตูถ่ายรูปหรอก ผมว่าให้ศิลปินมาวาดรูปของพวกเราแบบนี้ดีกว่า ไม่เหมือนใครดีด้วย พี่ดูสิ ศิลปินพวกนี้วาดภาพสวยๆทั้งนั้นเลย เนอะ เอาตามนี้เนอะ”

“งื้อ! พรีเวดดิ้งอะไรเล่า”   เจ้ากระต่ายหน้าแดงยิ่งกว่าเจลาโต้ในมือแล้วนั่น เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะหันไปจ้องใบหน้ามน

ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆขยับเข้าไปหาแล้วค่อยๆโน้มใบหน้าลงไปเลียเจลาโต้ในมือบาง เรียวลิ้นสัมผัสเนื้อแน่นๆของเจลาโต้ ส่วนสายตาก็จ้องมองใบหน้าเขินอายอย่างสื่อความหมาย

“กะ กินดีๆสิ...”   ตอนนี้สีระเรื่อบนแก้มใสนั้นลามไปจนถึงใบหูแล้ว เมื่อลิ้นของเขามันไม่ได้เลียแค่เจลาโต้แต่ยังแลบเลียนิ้วเรียวที่ถือมันอยู่ด้วย ก็เขาเห็นเจลาโต้มันหยดลงมานี่นา ก็เลยเช็ดให้

“อร่อย”   เขาละออกมาก่อนจะยิ้มกริ่ม ได้แหย่ให้เจ้ากระต่ายอายม้วนได้เขาก็สบายใจละ มือบางบิดมาที่สีข้างเขาแก้เขินก่อนจะหันไปกินเจลาโต้ต่อ

“...เนินหญ้าที่เซียน่าก็สวยนะ”   จู่ๆเจ้ากระต่ายก็พูดงึมงำอะไรออกมา

“หื๋อ?”   เขาจึงหันไปมองด้วยเครื่องหมายคำถามบนใบหน้า

“พรีเวดดิ้งไง ที่นั่น...ถ้าวาดด้วยสีน้ำมันต้องสวยมากแน่ๆ”   ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับนิ่งค้างไปห้าวินาที เพราะเขาแค่คิดเล่นๆไม่คิดว่าเจ้ากระต่ายจะเห็นด้วย ตอนนี้เขาจึงยิ้มแฉ่งแก้มแทบปริ อีกฝ่ายเลยรู้ตัวว่าถูกเขาแหย่

“ง่ะ! นี่นายแกล้งชั้นเหรอ? นี่แน่ะ! ไม่คุยด้วยแล้ว!”   มือกระต่ายฟาดผลั๊วะๆมาที่ต้นแขนก่อนจะทำหน้างอนหันไปอีกฝั่ง

“ผมไม่ได้แกล้ง พี่คิดไว้สิว่ามีที่ไหนสวยๆอีกบ้าง เอาตามที่พี่ชอบเลย ไม่งอนนะครับ”   เขารีบง้อ เจ้ากระต่ายทำหน้าหงึเบะปากใส่ ก็ดูสิ งอนแล้วน่ารักขนาดนี้เขาเลยกลายเป็นคนขี้แกล้งไปแล้วเนี่ย

“แต่ถ้าจะให้ศิลปินวาดรูปให้ คงต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้แล้วเนอะ เพราะแต่ละรูปใช้เวลาวาดนาน เดี๋ยวไม่ทันงานแต่ง”   เขายังแซวต่อ

“ยังไม่หยุดอีกใช่ไหม? นี่แหน่ะๆๆ”   คราวนี้มือกระต่ายทั้งบิดทั้งตีส่วนเขาก็หัวเราะร่วนอย่างสุขใจ ทำไมถูกตีแล้วมีความสุขแบบนี้ก็ไม่รู้ งงตัวเองเหมือนกัน

เขาเหลือบมองเจ้ากระต่ายที่นั่งเลียเจลาโต้อยู่ข้างๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่รู้จักกันเขาจะทำอะไรอยู่นะเวลานี้? ก็คงนั่งเล่นเกมแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมของคอนโด คิดไม่ถึงเลยว่าอย่างเขาจะได้ทำสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ด้วย ออกมาเดินเล่นท่ามกลางเมืองสวยๆ เดินดูแผงขายงานศิลปะ นั่งให้ศิลปินวาดรูป เดินกินเจลาโต้ มีความสุขอยู่ข้างๆคนที่รัก

เขาอยากจะถนอมช่วงเวลาที่มีค่าเหล่านี้ไว้ อยากให้มันอยู่กับเขาไปตราบนานเท่านาน





เขาจูงมือเจ้ากระต่ายเดินเล่นในโรมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องตั้งใจไปที่ใดเพราะไม่ว่าจะมุมไหนในโรมก็สวยไปหมด ที่นี่แทบไม่มีตึกสูงหรือตึกโมเดิร์นสมัยใหม่เลย ทุกอณูยังคงเป็นอิตาลีดั้งเดิมอยู่ เขาจึงรู้สึกเหมือนเดินผ่านเข้าไปในยุคเรอเนซองส์ก็ไม่ปาน ไม่สิ บางที่ก็เหมือนอยู่ในจักรวรรดิโรมันเลยด้วยซ้ำ  ก่อนหน้านี้เขาเคยสนใจที่ไหน ไม่ว่าจะโคลอสเซียมหรือโรมันฟอรั่มมันก็เป็นเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น  แต่เจ้ากระต่ายกลับร่ายยาวเป็นมหากาพย์เมื่อเดินผ่านวิหารแพนธีออน...  นี่คือหนึ่งในสุดยอดสถาปัตยกรรมจากยุคโรมันโบราณที่เด็กสายออกแบบทุกคนต้องรู้จัก นายดูอาคารทรงกลมกับโดมที่เป็นผนังรับน้ำหนักนี่สิ ผนังมันต้องหนาถึง 7 เมตรเลยนะถึงจะรับแรงถีบของโดมขนาดใหญ่นี่ได้ แล้วโดมนี่ยังก็เป็นต้นแบบของโดมในยุคหลังๆอย่างไบเซนไทโดม, เรอเนซองส์โดมเลยนะ มันอาจจะดูเก่าๆและไม่ได้ประดับประดาอะไรมากนักแต่มันอยู่ตรงนี้มาสองพันปีแล้วนะ ตัวโดมก็ไม่ได้ก่อไปถึงข้างบนแต่เว้นเป็นรูตรงกลาง เวลาแสงส่องลงมาจะรู้สึกราวกับว่าสาดมาจากสวรรค์ ยิ่งถ้ามาตอนที่ฝนหรือหิมะตกนะจะสวยมาก นายคิดดูสิ ในแง่โครงสร้างมันมหัศจรรย์ขนาดไหน ส่วนหน้าจั่วกับเสาคอรินเธียนนี่ก็ได้รับอิทธิพลมาจากกรีกโบราณ อาคารหลังนี้คือลูกผสมที่มีทั้ง อาร์ค โวลต์ โดม ผนังรับน้ำหนัก เสาและคาน มันสุดยอดมากๆ”   บลาๆๆ ถึงเขาจะไม่เข้าใจแต่เขาก็ชอบฟังเจ้ากระต่ายพล่ามเรื่องพวกนี้ที่สุด เหมือนตอนที่ได้ฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่องชิ้นส่วนรถนั่นแหละ

เขาอมยิ้มในขณะถ่ายรูปเจ้ากระต่ายจากมุมเสย หน้าจั่วหินซึ่งสลักภาษาละตินตัวใหญ่เอาไว้ดูยิ่งใหญ่และคลาสสิคมากจริงๆ

พวกเขาเดินเลาะแม่น้ำไทเบอร์ก่อนจะข้ามมาอีกฝั่งด้วยสะพาน St.Angelo เดินไปเรื่อยๆเหมือนมีแรงดึงดูดจากสิ่งที่อยู่สุดปลายถนน ที่นั่นเป็นที่ที่ทุกคนต้องไปเมื่ออยู่ในโรม


St.Peter ; นครรัฐวาติกัน


เขากับเจ้ากระต่ายเดินมากึ่งถึงกลางจัตุรัสรูปวงรีหน้ามหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยรู้สึกอิมแพคขนาดนี้มาก่อนไม่ว่าจะไปสถานที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ถึงจะเห็นจากในรูปถ่ายมามากมายแต่ความรู้สึกที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้จริงๆกลับบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย เขากับเจ้ากระต่ายยืนจับมือหันหน้าเข้าหากันก่อนจะค่อยๆหันมองไปรอบๆ ความรู้สึกของมนุษย์ตัวเล็กๆที่หลุดไปอยู่ในดินแดนแห่งเทพมันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ เพราะเสาดอริกสูงเสียดฟ้ากว่า 284 ต้นที่โอบล้อมพวกเขาตามแขนวงรีพวกนั้นให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในอ้อมแขนของพระผู้เป็นเจ้า รูปปั้นนักบุญกว่า 140 องค์ที่ยืนมองพวกเขาจากทุกทิศทุกทางมาจากบนหลังคาระเบียงโค้งก็ทำให้รู้สึกถึงมนต์ขลัง มีพลังและความศรัทธาแฝงอยู่เต็มเปี่ยม

ขนลุก...ถึงกับขนลุก...

ที่นี่...เป็นงานระดับเทพเจ้าที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ เขากล้ายืนยัน

“นายขนลุกด้วย ฮ่าๆๆ”   เจ้ากระต่ายเอ่ยแซว มือบางแกว่งมือเขาที่จับอยู่ไปมา

“ไม่แปลกหรอก นายรู้ไหมตอนชั้นมาที่นี่ครั้งแรกชั้นถึงกับน้ำตาไหลเลย ในแง่การออกแบบแล้วที่นี่ถือเป็นมาสเตอร์พีซชิ้นหนึ่งในโลกเลยนะ ตัวโบสถ์ถูกออกแบบโดยสถาปนิกเอกของยุคเรอเนซองส์ไม่รู้กี่คนกว่าจะมาจบที่แบบนี้ได้ จากผังแบบกรีกครอสหรือกากบาทแขนสั้นมาเป็นละตินครอสหรือผังแบบไม้กางเขน ส่วนลานรูปไข่นี้ก็เป็นฝีมือของเบอร์นีนี่ สถาปนิกเอกแห่งยุคบาโรก”   

เพราะนครรัฐวาติกันคือเมืองหลวงของศาสนจักรโรมันคาทอลิก มีศักดิ์เป็นประเทศของตัวเอง ถึงจะอยู่ในอิตาลีแต่ก็ไม่ใช่ประเทศอิตาลี เพราะฉะนั้นทั้งสถาปัตยกรรมและผลงานศิลปะที่อยู่ที่นี่ล้วนอลังการงานสร้างและมีชื่อเสียงระดับโลกทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงความศรัทธาที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า

“ขึ้นยอดโดมกัน”   เจ้ากระต่ายหันมาชวน  เขาใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการต่อแถวท่ามกลางความสงสัยของคนรอบกายว่าเขาใช่หวังอี้ป๋อกับเซียวจ้านไหม แล้วในที่สุดลิฟท์ก็พาเขามาส่งที่ชั้นหลังคาจนได้

ใช่ ตรงนี้เป็นเพียงหลังคาชั้นต้น การจะขึ้นไปจนถึงยอดโดมของเซ็นต์ปีเตอร์นั้นยังต้องเดินขึ้นไปอีกไกล

“โดมนี้ถูกออกแบบเป็นโดมสองชั้น ทำให้เราสามารถเดินลอดช่องตรงกลางขึ้นไปถึงยอดโดมได้ โดมในยุคเรอเนซองส์จะเป็นแบบนี้แหละเพราะระบบโครงสร้างเปลี่ยนไป จากผนังรับน้ำหนักทึบตันของโรมันเป็น Hoop tie system ถ่ายน้ำหนักลงตามจุด ทำให้สามารถเปิดช่องแสงได้ด้วย บลูเนลเลชชี่คนคิดระบบนี้นี่เจ๋งจริงๆ”   เขาฟังเจ้ากระต่ายเล่าอย่างเพลิดเพลิน พวกเขาเริ่มเดินเข้าไปในทางลาดขึ้นที่อยู่ในระหว่างโดมชั้นนอกและชั้นใน ทางเดินนี้ไม่ถึงกับกว้างมากนัก พอให้คนเดินสวนกันได้ ทั้งพื้นและผนังกรุด้วยกระเบื้องสีทองประกอบกับแสงไฟสลัวๆดูทั้งขลังทั้งน่ากลัว

“ส่วนคนออกแบบโดมอันนี้ก็คือพ่อของชั้นเอง ไมเคิลแองเจโล่!!”   ใบหน้ามนกู่ร้องอย่างภูมิใจ เดี๋ยวก่อน ศิลปินเอกของโลกคนนั้นไปเป็นพ่อนายตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเอ็นดูในความติ่งไอดอล(?)ของเจ้ากระต่าย

“ท่านพ่อน่ะจริงๆเกิดที่ฟลอเร้นซ์ เดวิดก็เลยถูกสร้างอยู่ที่ฟลอเร้นซ์ จากนั้นพระสันตะปาปาของศาสนจักรก็เรียกตัวมาทำงานที่วาติกัน ท่านพ่อเลยมีผลงานอยู่ที่นี่มากมาย อย่างในแง่สถาปัตยกรรมก็คือยอดโดมของเซ็นต์ปีเตอร์  ประติมากกรรมก็รูปสลักหินอ่อนปิเอต้าที่อยู่ในเซ็นต์ปีเตอร์  จิตรกรรมก็ภาพวาดสีเฟรสโก้ Creation of Adam กับ The Last Judement ในโบสถ์ซีสทีนของวาติกัน คนเราจะเก่งทุกอย่างขนาดนี้ได้ยังไง~”   เจ้ากระต่ายติ่งทำหน้าชื่นชม

“ครับๆ ว่าแต่เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย?”   เพราะยิ่งเดินทางยิ่งแคบ บางช่วงก็ต้องปีนบันไดขึ้นไป ทำให้รู้สึกว่าน่าจะใกล้ถึงยอดโดมแล้ว?

“อย่าบ่นน่า โดมนี้กว้าง 42 เมตร สูง 132 เมตร ต้องวนกี่รอบ เป็นระยะทางกี่กิโลก็ลองคิดดู”

เจ้ากระต่ายกอดแขนเขาแน่นเพราะรู้ถึงความซุ่มซ่ามของตัวเองดี อาจจะเป็นเพราะว่าขายาวแต่ดันสายตาสั้นก็เลยกะระยะที่พื้นไม่ค่อยจะถูกจนหกล้มหัวร้างข้างแตกกลายเป็นแขกประจำของห้องพยาบาลไปแล้ว แล้วก็ถ้าลื่นล้มตรงนี้ละก็...บอกเลยว่ายาว...กลิ้งยาวลงไปถึงปลายทางนู่นแหละ

แล้วจากที่เดินในผนังทึบอยู่ดีๆ ขนแขนก็ต้องลุกเกรียวอีกรอบเมื่อทางเดินมีการเบี่ยงให้เข้าไปเดินด้านในของโดม ทำให้เขาได้เห็นกลีบโค้งของโดมซึ่งตกแต่งด้วยภาพเขียนอลังการในระยะใกล้ๆเหมือนเอื้อมอีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้วและมองลงไปก็เห็นด้านในโบสถ์ในมุมสูง มันสวยมากจริงๆ

พวกเขาเดินต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ พอเมื่อยๆเหนื่อยๆก็ถึงยอดโดมพอดี

หลังจากที่ประตูเปิดออกความรู้สึกราวกับมีอิสระและสามารถโบยบินอยู่ในท้องฟ้าก็ถาโถมเข้ามา ภาพตรงหน้าคือจัตุรัสเซ็นต์ปีเตอร์และโรมทั้งเมือง ยิ่งมองจากตรงนี้จะยิ่งเห็นแขนรูปวงรีทั้งสองข้างที่โอบกอดลานตรงกลางเอาไว้ได้อย่างชัดเจน มันเหมือนแขนของพระเจ้าจริงๆ

ยอดโดมสามารถเดินได้รอบ 360 องศา เขาจึงหาที่นั่งชมวิวยามเย็นของกรุงโรมจากมุมที่ดีที่สุด หลังคากระเบื้องสีอิฐรับกับแสงอาทิตย์ที่ทอประกายอ่อนๆเกิดเป็นภาพที่แสนโรแมนติก  ถึงที่นี่จะเป็นคริสตจักร ต้องห้ามแต่ก็สวยงาม

เสียงระฆังจากโบสถ์ดังหง่างเหง่ง เขายังจับมือเจ้ากระต่ายเอาไว้ตลอดและฝ่ามือของเขาก็สัมผัสแหวนเงินกลมเกลี้ยงที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั่นเสมอ


แหวน...ที่เขาก็มีเหมือนกัน


“จัดในโบสถ์ดีไหม? โรแมนติกดีนะ”   จู่ๆเขาก็พูดออกไป เจ้ากระต่ายเลยหันมาทำหน้างง

“จัดอะไร?

“ก็งานแต่งงานของเราไง”   เขาหันไปยิ้มให้ อาจจะดูเหมือนพูดทีเล่นทีจริงแต่เขาก็คิดอยู่เหมือนกันนะ

“ง่ะ!”   เจ้ากระต่ายผงะไปเพราะคิดว่าโดนแกล้งอีกแล้ว
  
“ก็...เราอาจจะแต่งแบบจีนไม่ได้นี่นา ถึงจะน่าเสียดายก็เถอะที่ผมจะอดเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงของพี่ แต่แต่งแบบคริสต์ก็ดีเหมือนกัน”   เขาหันออกไปมองหลังคาโบสถ์ก่อนจะยิ้มบางๆ

“ผ้าคลุมหน้าสีแดงอะไรของนาย?!  เจ้ากระต่ายยู่หน้าใส่ก่อนจะหันไปเหม่อมองหลังคาโบสถ์ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

“.......”

“อี้ป๋อ......

“....ชั้นไม่เสียใจเลยที่ไม่สามารถแต่งงานแบบจีนเหมือนคนอื่นๆได้ แล้วก็ไม่เสียใจเลยที่จะไร้ทายาทสืบสกุล”   จ้านเกออาจจะกังวลว่าเขาจะคิดมากเลยพูดออกมา จริงๆเราสองคนไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้กันเท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างละเอียดอ่อน

“ชั้นไม่เคยเสียใจ ที่เลือกนาย”   ใบหน้ามนหันมายิ้มให้เขา เมื่อผสมกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่เปล่งประกายอยู่ข้างหลัง รอยยิ้มนี้จึงสวยงามและหวานจนโลกแทบละลาย

“ผมก็เหมือนกัน”   เขาเอง ก็ยิ้มให้คนตรงหน้าเหมือนกัน อาจจะเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุดในชีวิตแล้วก็ได้

“ไหนเมื่อกี้ยังบอกว่าเสียดายที่ไม่ได้เปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงอยู่เลย? เจ้าคนกลับกรอก”   แต่หวานกันได้ไม่เท่าไหร่ก็กลับมาตีกันแหย่กันเหมือนเดิม

“หึ กะอิแค่ผ้าคลุมหน้าจะไปเสียดายทำไม ในเมื่อเสื้อผ้าสีแดงที่คลุมทั้งตัวพี่นี่ผมก็เปิดมาหมดแล้วป่ะ”

“งื้อ!”

“แต่ผมคิดจริงจังนะ ว่าสักวันจะแต่งงานกับพี่”   ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับไปเหม่อมองหลังคาสีส้มของเมืองโรมอีกครั้ง

“นายนี่...ทั้งๆที่ดูเหมือนไม่ใช่คนที่จะใส่ใจกับเรื่องแบบนี้แท้ๆ”   เจ้ากระต่ายดึงมือเขาไปวางไว้บนหน้าตักก่อนจะลูบนิ้วของเขาเล่น

“ผมอยากให้เกียรติพี่ ผมอยากทำให้มันถูกต้องที่สุด อยากรับพี่เข้ามาอยู่ในชีวิตผมแบบที่พี่ไม่ต้องกลัวใคร”  

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอะไรรู้ไหม?    มือใหญ่คว้าจับมือบางเอาไว้ก่อนจะประสานนิ้วเข้าไป

.....

“เพราะพี่คือคนที่ผมรักมากไง”   เขาพูดออกไปทั้งรอยยิ้ม

....หว่า~~ หวังอี้ป๋อ~~ นายอยากให้หน้าชั้นระเบิดเหรออออ”   เจ้ากระต่ายดึงมือกลับไปจับใบหน้าที่ไม่รู้ว่าพระอาทิตย์หรือแก้มใสนั่นแดงกว่ากัน

บรรยากาศอันสงบสุขยังคงดำเนินต่อไป พวกเขานั่งเล่นอยู่บนนั้นอีกพักใหญ่และกว่าจะลงมาจากยอดโดมได้ ในตัวโบสถ์ก็ปิดไปแล้ว









แม้จะมองจากที่ไกลๆแต่ยอดโดมของเซ็นต์ปีเตอร์ก็ยังคงสวยงามและยิ่งใหญ่อยู่เสมอ

ดวงตากลมโตทอดมองยอดโดมที่ถูกสาดไฟจนเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนผ่านกระจกหน้าต่างบานใหญ่ ตอนนี้เขากับหวังอี้ป๋อพักอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในโรม

สัมผัสจากริมฝีปากที่กดลงมาอย่างเนิบนาบบนลำคอทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างห้ามไม่ไหว ราวกับเป็นการล่อลวงจากซาตานทั้งๆที่เขากำลังยืนหันหน้าเข้าหาพระเจ้า และเงาร่างของ Demon ที่ซ้อนอยู่ข้างหลังก็ปรากฏอยู่บนเงาสะท้อนของกระจก

ท่อนแขนแข็งแรงกอดรัดร่างกายของเขาจนมันแทบจะหลอมรวมกับแผ่นอกของอีกฝ่าย และ Demon ตนนั้นคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก หวังอี้ป๋อ ผู้ที่ล่อลวงเขาด้วยความรัก

มือบางเอื้อมไปกำผ้าม่านสีแดงที่ห้อยจากฝ้าจรดพื้นเมื่อถูกรุกไล่ด้วยริมฝีปากร้อนจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ กระดุมถูกปลดไปสามสี่เม็ดส่วนคอเสื้อก็ถูกดึงไปข้างหลัง ไหล่แคบบางจึงไร้สิ่งใดป้องกันทำให้ Demon ตนนั้นจู่โจมเขาได้โดยง่าย เขามองภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจกด้วยลมหายใจติดขัด ผิวสีขาวยิ่งเด่นชัดเมื่อในห้องมีเพียงแสงสลัวๆ ใบหน้าคมคายของปิศาจร้ายกำลังกดจูบไปทั่วลาดไหล่และซอกคอ ส่วนเขาก็ต้านทานอะไรไม่ได้ ได้แต่เอียงคอเปิดให้อีกฝ่ายทำตามใจราวกับถูกสะกดเอาไว้

ริมฝีปากสีสดเผยอออกน้อยๆเพื่อผ่อนลมหายใจ เขาไม่เคยรู้เลยว่าใบหน้าของตัวเองตอนถูกหวังอี้ป๋อกอดมันจะเซ็กซี่ขนาดนี้ จู่ๆก็รู้สึกอายขึ้นมา มือบางจึงดึงผ้าม่านสีแดงมาปิดกระจก

“ยืนไม่ไหวแล้วเหรอครับ? งั้นไปที่เตียงนะ”   ท่อนแขนแข็งแรงนึกอยากจะอุ้มก็อุ้ม นึกอยากจะหิ้วก็หิ้วจนเขาแทบปลิวและรู้สึกตัวอีกทีก็มานั่งอยู่บนเตียงแล้ว

เจ้า Demon นั่นยังตามมากดจูบนัวเนียจนเขาแทบจะอ่อนระทวย ถ้าไม่มีสองแขนของหวังอี้ป๋อกอดรัดเอาไว้เขาคงได้ล้มหงายหลังลงไปบนเตียงแล้ว

“ฮ้า...ฮ้า.....”   เขาพ่นลมหายใจออกไปทางปากเพราะตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวร้อนลุ่มไปหมด ใบหน้าสะบัดเงยเหม่อมองฝ้าที่ตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหรา รู้สึกถึงแรงกดจูบไล่ลามอยู่บนลำคอจนกระทั่งมันมาหยุดอยู่ที่สัญลักษณ์แสดงความเป็นผู้ชายของเขา หยุดนิ่งอยู่หลายวินาทีก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะไล่ขึ้นมาบนปลายคางแล้วหยุดอีกครั้งที่กลีบปาก

“อื้ม~”   คราวนี้เขาต้องตวัดแขนไปกอดแผ่นหลังของหวังอี้ป๋อเอาไว้ เพราะจูบของอีกฝ่ายมีอานุภาพรุนแรงจนเขาน่าจะทรงตัวไม่ไหวจริงๆถ้าไม่มีที่ยึด

เรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาทั้งรุกเร้าเอาแต่ใจ ทั้งนุ่มนวลชวนฝัน ทั้งหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า หน้าทั้งหน้าของเขาร้อนไปหมด สิ่งที่ต่างมอบให้กันในพื้นที่เล็กๆนั้นคือความสุขล้นจนสมองมึนเบลอ มีเพียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำอย่างชัดเจน หากชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องหายใจพวกเขาคงไม่คิดจะละออกจากกัน

“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”   เขาหอบจนไหล่สั่นสะท้านแต่คนที่เพิ่งมากวาดต้อนความหวานไปจากปากของเขากลับกดจูบลึกล้ำต่ำลงไปเรื่อยๆ เขาเลยเพิ่งรู้ตัวว่ากระดุมถูกปลดไปหมดแล้วและตอนนี้เสื้อผ้าของเขาก็หลุดลุ่ยจนปกปิดอะไรไม่ได้อีก ความเขินอายทำให้เสใบหน้าไปมองพื้นเตียง แล้วเขาก็เห็นอะไรบางอย่าง...

อาจจะเป็นเพราะตอนนี้อิตาลีอยู่ในช่วงฤดูร้อน โรงแรมจึงไม่ใช้ผ้าห่มผืนหนาทว่าสิ่งที่ให้มาคือ ผ้าแพรสีแดง...

คำพูดของหวังอี้ป๋อเมื่อตอนเย็นยังติดอยู่ในใจเขา เพราะฉะนั้น ถึงมันจะเกิดขึ้นจริงๆไม่ได้ หากแต่ในเวลาแบบนี้เขาก็น่าจะมอบมันให้อีกฝ่ายได้

“อื้อ~ เดี๋ยวก่อน”   สองมือพยายามผลักแผ่นอกที่บดเบียดเข้ามาให้ใจเย็นๆ ไม่รู้เป็นยังไงถึงได้ดูหิวกระหายนักทั้งๆที่กินเขาแทบทุกวัน กระเพาะเจ้าสิงโตนี่ต้องใหญ่ขนาดไหนถึงได้กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มแบบนี้ 

หวังอี้ป๋อถอยออกไปมองอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าหล่อเหลานั่นเริ่มจะทนไม่ไหวเร่าๆจะขยับเข้ามาจัดการเขาต่อแต่มือบางก็ยังดันแผงอกแข็งแรงนั่นออกไป

“รอเดี๋ยว”   เขาเอื้อมมือไปหยิบผ้าแพรสีแดงที่พับเอาไว้ที่ปลายเตียงก่อนจะค่อยๆคลี่มันออก จากนั้นจึงค่อยๆปรายตามองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูจะอึ้งๆไป หวังอี้ป๋ออาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าเขากำลังจะทำอะไร

ใบหน้ามนจึงคลี่ยิ้มก่อนจะสะบัดผ้าสีแดงผืนนั้น...แล้วคลุมมันลงมาบนหัว...


“อี้ป๋อ...เปิดสิ...”


มือใหญ่ถึงกับยกขึ้นมาปิดปากอย่างอึ้งๆ นักบิดจากทีมยามาฮ่ายืนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตื่นตะลึง คนที่เขารักสุดหัวใจในผ้าคลุมหน้าสีแดง...

มือที่เอื้อมออกไปนั้นสั่นน้อยๆ จะว่านี่คือความฝันก็อาจจะเป็นได้ เป็นฝันที่ไม่กล้าฝัน และเจ้ากระต่ายก็ทำให้มันกลายเป็นจริง จ้านเกอมอบมันให้กับเขา สิ่งหนึ่งที่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา

เขาค่อยๆเปิดผ้าสีแดงนั้นขึ้นด้วยหัวใจที่เต็มตื้น ความสุขมันจุกแน่นอยู่เต็มอกจนมันเอ่อล้นออกมาที่ดวงตา น้ำใสๆรื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่


“เจ้าสาวของผม”


เสียงทุ้มที่สั่นน้อยๆเอ่ยออกไป ใบหน้ามนที่หลุบตาต่ำค่อยๆเผยออกมาเมื่อผืนผ้าถูกเปิดออก ขนาดไม่ได้ปรุงแต่งอะไรแต่เจ้าสาวของเขาก็ยังสวยที่สุดในโลก

“จ้านเกอ...”   เขาเอ่ยชื่อแผ่วเบาเพื่อตอกย้ำว่านี่คือความจริง เขา...ดีใจมากจจริงๆ

“ผมดีใจมาก...ขอบคุณนะครับ จ้านเกอ”    เขาพูดกับคนที่ยังมีผ้าสีแดงคลุมอยู่บนหัวแต่บัดนี้ผ้าบนใบหน้าถูกเปิดออกจนหมด รอยยิ้มสวยๆจึงส่งมาให้เขา

มือบางเอื้อมมาเช็ดน้ำใสๆที่หางตาให้ ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันด้วยความรู้สึกรักที่อัดแน่นอยู่ภายใน สิ่งเล็กๆที่ทำให้กันนั้นมันยิ่งใหญ่จนไม่คิดว่าจะรักใครได้มากกว่านี้อีกแล้ว

ริมฝีปากถูกดึงดูดเข้าหากันอีกครั้ง เสียงครางแว่วหวานดังก้องกังวานสานต่อจากบทรักที่ถูกหยุดไป

และคราวนี้มันคงจะแนบแน่นยาวนานกว่าครั้งไหนๆแน่ๆ...









ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองร่างโปร่งบางที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง มือใหญ่ขยับผ้าแพรสีแดงมาคลุมไหล่เปลือยเปล่าให้ เขานั่งมองเจ้ากระต่ายอยู่แบบนี้มาตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเหนื่อยจนหลับไป หากไม่มีนัดเขาก็คงจะนั่งมองอีกฝ่ายอยู่แบบนี้ไปจนเช้า

เขาเซอร์ไพรส์และดีใจมากจริงๆกับสิ่งที่เจ้ากระต่ายทำให้เขา มันคงจะติดอยู่ในหัวใจดวงนี้ไปจนวันตาย

เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้รู้ว่าได้เวลาแล้ว ร่างสูงสง่าจึงละออกมาจากเตียง

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งทำให้เขาถ่อมาถึงโรมนั่นก็เพราะข้อความจากนักฆ่าของวองโกเล่...ตอนนี้ ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ กำลังทำภารกิจอยู่ที่นี่และไม่สามารถปลีกตัวกลับไปมาราเนลโล่ได้ อีกฝ่ายเลยบอกเขาว่าถ้ามีเวลาก็อยากให้มาเจอกันเพราะข้อมูลใหม่ที่ได้มานั้นน่าสนใจมากทีเดียวและไม่สะดวกจะคุยผ่านโทรศัพท์

เขาจึงลงไปพบอีกฝ่ายที่เลาจน์ของโรงแรม จะว่าไปโรงแรมนี้ก็เป็นโรงแรมในเครือของวองโกเล่ที่อีกฝ่ายแนะนำมานั่นแหละ ถึงพวกหน่วยพิรุณจะย้ายฐานบัญชาการไปอยู่ที่มาราเนลโล่เกือบหมดแต่ศูนย์บัญชาการหลักของวองโกเล่ที่ยังมีอีกหลายหน่วยนั้นยังคงปักหลักอยู่ที่โรม  รวมถึงบอสมาเฟียอย่างวองโกเล่เดซิโม่หรือวองโกเล่รุ่นที่สิบก็อยู่ที่เมืองหลวงของอิตาลีแห่งนี้ด้วย

“ขอโทษที่ต้องให้มาถึงที่นี่นะครับ พอดีผมกำลังเค้นคอคนที่บังอาจมาค้ายาในถิ่นของพวกเราอยู่ เรื่องน่ารำคาญแบบนี้หัวหน้าหน่วยของเราก็ไม่ค่อยชอบทำเสียด้วย ผมเลยลำบากหน่อย”   ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะอยู่ในชุดฮากามะของญี่ปุ่นอยู่เสมอ อีกฝ่ายทักทายอย่างมีมารยาทจนดูแทบไม่รู้ว่าเป็นมาเฟีย

“นี่เป็นประวัตินายใหญ่ของ Diamond crown เธอเป็นผู้หญิง ดูแล้วก็เหมาะกับแบรนด์ขายเพชรนะครับ”   รองหัวหน้าหน่วยพิรุณเปิดประเด็นพร้อมกับยื่นเอกสารปึกหนึ่งมาให้

เขาสังเกตรอบๆตัวอยู่เสมอ มันน่าประหลาดใจไหมล่ะที่ตั้งแต่ฝ่าเท้าเหยียบลงมาในแผ่นดินอิตาลี เขาก็ไม่รู้สึกว่าถูกสะกดรอยตามอีกเลย มีแค่บอร์ดี้การ์ดของเขาที่ตามเฝ้าอยู่ห่างๆเท่านั้น   กลุ่มคนที่เป็นยอดมงกุฎของ Diamond crown จริงๆน่าจะอยู่เป็นและรู้ว่าถิ่นใครเป็นถิ่นใคร พวกนั้นคงจะมีหัวคิดพอที่จะไว้หน้ามาเฟียอิตาลีและเลือกที่จะไม่สร้างศัตรู...ซึ่งต่างจากชนชั้นกลางขององค์กรอย่างอานัส ซัลมาน

มือใหญ่เปิดดูประวัติของประธาน Diamond crown ซึ่งเป็นผู้หญิง รูปที่เธอไปปรากฏตัวตามงานสังคมรวมถึงงานเปิดตัวเครื่องเพชรเครื่องประดับถูกลงไว้ในสื่อต่างๆซึ่งหาได้ไม่ยาก แต่เขากลับรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ถึงผู้หญิงคนนี้จะมีชื่อจดทะเบียนเป็นเจ้าของ Diamond crown อย่างถูกต้องตามกฎหมายก็จริง แต่เขากลับไม่รู้สึกเลยว่าเธอจะมีอำนาจพอที่จะควบคุมพวกนายหน้าค้าเพชรและการ์ดที่มีรอยสักพวกนั้นได้ เธอไม่มีออร่าซึ่งแสดงถึงอำนาจ เธอดูเป็นนักธุรกิจหญิงธรรมดาๆที่อาจจะเอาไว้บังหน้าบอสตัวจริงขององค์กรนี้เสียมากกว่า

“เธอมีลูกหรือแต่งงานหรือยังครับ?”   เขาถามออกไป

“หึ...คุณนี่สัญชาติญาณดีสมกับที่มีสายเลือดตระกูลทหารอยู่ในตัวจริงๆ”   ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะยิ้มเย็นๆ

“ถูกต้องครับ เธอมีลูกชายคนหนึ่งและลูกชายของเธอก็น่าสนใจมาก กว่าผมจะตามสืบมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะเด็กคนนี้ถูกเลี้ยงอยู่ที่แคนาดาตั้งแต่เกิด”   รูปของเด็กคนนั้นถูกส่งมาให้และเมื่อเขาเปิดขึ้นมาดู ดวงตาคมกล้าก็ถึงกับเบิกกว้าง...

เพราะเด็กคนนั้น...

หน้าเหมือนเขาตอนอายุราวๆห้าหกขวบไม่มีผิด...

นี่มัน...

มือใหญ่ยกขึ้นมาปิดปากก่อนจะประมวลผลจนหัวแทบระเบิด

จากที่คิดว่าพี่ชายเขาอาจจะเป็นแค่สมาชิกคนหนึ่งใน Diamond crown แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว

ไม่มีทางเลยที่ลูกชายของนายหญิงแห่ง Diamond crown จะมีหน้าตาเหมือนพี่ชายของเขาราวกับแกะได้ ถ้าพี่ชายเขาไม่ใช่ตัวใหญ่ที่สุดในองค์กรนี้


บางที...หวังอี้เฟิงอาจจะเป็นถึงยอดมงกุฎของ Diamond crown เลยก็ได้




.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.



ขออภัยที่หายไปหลายอาทิตย์ค่ะ แบบว่าช่วงนี้งานหลวงเข้ารัวๆมากค่ะ แทบล้มประดาตาย แง๊ แต่เพราะวันครบรอบฉายอาลิ่ง ต่อให้ตรูจะกลายเป็นซากซอมบี้เละติดพื้น ตรูก็จะต้องแต่งฟิคมาลงให้ได้~~ แฮ่กๆๆ ก็วันนี้ของเมื่อปีที่แล้วมันทำให้เรากลายเป็นติ่งป๋อจ้านนี่นา >/////< ยังจำได้ว่าตอนแรกก็กะจะเอาไว้ดูตอนกินข้าวเพลินๆไม่ได้คิดไรมาก แต่พอดูตอนแรกจบเท่านั้นแหละจ้า~~ โดนตกไปเต็มๆ หลงรักพี่จ้านเว่ยอิงจนโงหัวไม่ขึ้นอ่ะ จากนั้นก็กลายเป็นรักวันจันทร์เหมือนทุกคนนั่นแหละค่ะ 555+ ขอบคุณอาลิ่ง ซีรี่ย์ดีๆที่มอบฟามสุขให้เรานะคะ >3<

แล้วก็นอกจากนี้ อาทิตย์หน้า F1 จะกลับมาเปิดเทอมแง้ว >////<  ตอนนี้ทุกทีมเปิดสนามของตัวเองซ้อมกันอยู่ค่ะ พวกม้าซ้อมอยู่ที่สนามมูเจลโล่ในอิตาลี นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสนามที่เป็นสมบัติของพวกนาง555+ แต่พิตม้าปีนี้มันแดงได้ใจมากค่ะ ชอบมากสีแดงของเฟอร์รารี่ปีนี้ ปีที่แล้วมันจะแดงส้มๆ แต่ปีนี้คือแดงจัดเลย >////<

ส่วนอันนี้เป็นคลิปเมืองโรมค่ะ =////= สวยยยยย




มีรีวิวเขียนโดยคุณกวางเองอีกนิดหน่อย สนใจกะตามไปดูได้ อิอิ เขียนมาตั้งแต่ปี 2015 จนปัจจุบันก็ยังไม่จบถถถ


อันนี้จะเกี่ยวกับเซ็นต์ปีเตอร์เยอะหน่อย แต่ถ้าอยากดูรีวิวที่อื่นๆในโรมอีกก็กดลิ้งค์ที่อยู่ในนั้นตามไปดูได้เด้อ

ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆนะคะ  ช่วงนี้อาจจะแต่ง GLIDE มากหน่อยแต่ฟิคป๋อจ้านอีกสองเรื่องก็ยังเขียนอยู่นะ ยังไม่ไหนะ 5555+ ขอบคุณที่ถามถึงค่า >////< จริงๆชอบแต่งฟิคแบบ “JUNE” มากๆเลย เต็มไปด้วยรัก  

แล้วเจอกันตอนหน้าค่า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น