ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 22
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
แสงไฟจาก
ASTON
MARTIN DB11 สาดส่องลงบนถนนเส้นเล็กๆที่ตัดผ่านดินแดนแห่งการเกษตรอันอุดมสมบูรณ์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ
เขตการปกครองนี้มีชื่อว่าคอตสโวลด์ส (Cotswolds) รถสปอร์ตสีเทาเข้มมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านไบบิวรี่
(Bibury)ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตปกครองนี้ หมู่บ้านชนบทเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่
12 เรียกว่าเป็นหมู่บ้านแบบอังกฤษดั้งเดิมเลยทีเดียว
น่าเสียดายที่พวกเขามาถึงมืดไปหน่อย
คงต้องเอาไว้พรุ่งนี้ที่จะได้ชื่นชมความงามของที่นี่
แอสตันมาร์ตินแล่นเข้าไปจอดหน้าโรงแรมที่ดัดแปลงบ้านอายุหลายร้อยปีมาเป็นที่พัก Swan Hotel
เป็นโรงแรมที่ยังคงกลิ่นอายแบบดั้งเดิมเอาไว้อย่างครบถ้วน
นักบิดแชมป์สี่สมัยหันไปปลุกเจ้าตุ๊กตาหน้ารถที่หลับปุ๋ยอยู่บนเบาะข้างๆ
ตั้งแต่ออกจากวอริกเชอร์เจ้ากระต่ายก็หลับเป็นตายมาตลอด
“จ้านเกอ
ตื่นได้แล้วครับ ถึงแล้ว”
มือใหญ่เขย่าไหล่บางเบาๆ
เจ้ากระต่ายค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ
“หื๋อ?
ถึงอิตาลีแล้วเหรอ?” อิตาลีอะไรล่ะ?
ยังอยู่ในอังกฤษนี่แหละ นี่คิดว่าตัวเองหลับไปกี่วันกี่คืนกัน?
“ไบบิวรี่ครับ
มา ลงจากรถเถอะ ระวังๆด้วย” เจ้ากระต่ายครึ่งหลับครึ่งตื่นก้าวขาลงจากรถด้วยความเบลอจนเขาต้องคอยประคองไว้
ห้องที่เขาจองคือ Cottage
Trumpeter จึงเหมือนได้บ้านแถวเล็กๆมาหนึ่งคูหา มีรั้วหน้าบ้านของตัวเอง
มีสวนเล็กๆของตัวเอง และมีประตูหน้าบ้านของตัวเอง
พนักงานยื่นกุญแจห้องให้ก่อนจะขอตัวออกไป
เขาหันไปมองเจ้ากระต่ายที่ยืนตาปรือ
“ง่วงแล้วอ่ะ
ไม่กินข้าวได้ไหม...” ใบหน้ามนเริ่มงอแง
เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนแถมวันนี้ยังใช้พลังในการติ่งมาทั้งวันอีก
คงจะแบตหมดเกลี้ยงแล้วจริงๆ
“งั้นก็ไปนอนก่อนก็ได้
เดี๋ยวผมสั่งรูมเซอร์วิสไว้ให้ ถ้าพี่ตื่นมาแล้วหิวค่อยกิน”
“อื้อ...ไหนล่ะเตียง?” ใบหน้าจะหลับมิหลับแหล่หันมองหาที่นอนแต่ก็ไม่เห็น
“อยู่ข้างบนครับ” และพอได้ยินเขาบอกแบบนั้น
“นอนโซฟาแล้วกัน...” เจ้ากระต่ายก็เตรียมจะเดินเตาะแตะไปหาโซฟา
“ไปนอนข้างบน” เวลาง่วงขึ้นมานี่งอแงมาก
เขาต้องลากขึ้นชั้นสองไปนอนบนเตียงดีๆ
ห้องพักนี้เป็นแบบสองชั้น
เป็นห้องสวีทที่ตกแต่งในสไตล์ค็อทเทจ
ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่นซึ่งมีโซฟาหนานุ่มกับเตาผิง ส่วนชั้นบนเป็นเตียงคิงไซส์
ทั้งห้องใช้สีเอิร์ธโทนอบอุ่น ทุกอย่างดูน่ารักตามสไตล์บ้านพักแบบกระท่อมในชนบทจริงๆ
เจ้ากระต่ายทิ้งตัวนอนคว่ำลงไปบนเตียงอย่างไม่สนใจอะไรอีก
ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นเข้าสู่นิทราทันที มือใหญ่ต้องจัดการจับกระต่ายถอดเสื้อผ้า
เจอทั้งฝุ่นเจอทั้งฝน นอนชุดเลอะๆแบบนี้พรุ่งนี้ได้จามไม่หยุด เขาเริ่มจากการถอดรองเท้าผ้าใบสีแดงออกจากฝ่าเท้าทีละข้าง
ค่อยๆวางมันไว้ที่ปลายเตียง ตามมาด้วยการค่อยๆถอดถุงเท้าสีแดงออกจากฝ่าเท้าเย็นอย่างนุ่มนวล
ฝ่ามือบีบนวดฝ่าเท้าขาวซีดนั่นเบาๆเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้ เขาดึงผ้าห่มมาคลุมมันไว้ก่อนจะพลิกร่างกายโปร่งบางให้นอนหงาย
กระดุมกางเกงถูกปลดและซิปถูกรูดลง กางเกงยีนส์สีอ่อนจะค่อยๆถูกดึงผ่านสะโพกมน
เขาต้องอุ้มตัวเจ้ากระต่ายขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้กางเกงหลุดออกมาได้โดยไม่ต้องใช้แรงมากนัก
เจ้ากระต่ายจะได้ไม่เจ็บและผิวที่บอบบางนี้จะได้ไม่เป็นรอย
มือใหญ่ดึงแว่นตาออกจากใบหน้ามนแผ่วเบา
เขาค่อยๆม้วนเสื้อไหมพรมคอวีตัวบางขึ้นก่อนจะค่อยๆดึงผ่านหัวสีดำอย่างทะนุถนอม
จากนั้นจึงค่อยๆแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างเบามือ ค่อยๆดึงมันผ่านท่อนแขนผอมบางอย่างไม่ให้ช้ำ
เขาไม่เคยรำคาญเวลาที่ต้องดูแลอีกฝ่ายแบบนี้ เขากลับยินดีทำให้เสียมากกว่า เจ้ากระต่ายส่งเสียงอืออาๆมาบ้างแต่ก็ยอมให้เขาถอดชุดให้
ดวงตาคู่โตทำยังไงก็ไม่ยอมลืมขึ้นมา
ตอนนี้ร่างโปร่งบางจึงเปลือยเปล่า
ผิวขาวๆสะท้อนแสงไฟนวลตาจนเขาต้องลอบกลืนน้ำลาย
มือใหญ่ตวัดผ้าห่มผืนหนาคลุมให้
จะจับใส่ชุดนอนก็ยุ่งยาก นอนมันทั้งอย่างงี้แหละ
ยังไงเจ้ากระต่ายก็ไม่หนาวตายเพราะมีเขาคอยกอดไว้
ครืด...ครืด...ครืด....
โทรศัพท์มือถือของเขาสั่นไหวเพราะมีสายเข้าและเมื่อดวงตาคมกล้าเห็นว่าเป็นชื่อใคร
ร่างสูงสง่าก็ละออกมาจากเตียงก่อนจะเดินลงไปคุยที่ชั้นล่าง
เรื่องที่เจ้ากระต่ายถูกสะกดรอยตามเขาได้คุยกับพวกเฟอร์รารี่มาบ้างแล้ว
พวกนั้นเลยโยนให้หมาล่าเนื้อที่ช่วงนี้ว่างงานอยู่พอดีตามสืบเรื่องนี้ให้เขา ยามาโตะโนะคามิ
ยาสึซาดะของวองโกเล่ถึงได้โทรเข้ามา
“ครับ” เขากดรับอย่างคุ้นเคย หมู่นี้เขาคุยกับนักฆ่าของหน่วยสังหารคนนี้บ่อยกว่าคนที่บ้านเสียอีก
“ผมกำลังคิดว่าพวกที่สะกดรอยตามคุณไม่ใช่อานัส
ซัลมาน”
อีกฝ่ายทิ้งจังหวะเอาไว้เหมือนให้เขาทำใจ
“แต่เป็นคนของ
Diamond
crown” เขาได้แต่ชะงักไปด้วยความมึนงง Diamond crown? แบรนด์ค้าเพชรระดับโลกนั่นน่ะนะ?
ทำไม
Diamond
crown ถึงต้องมาสะกดรอยตามเขากับเจ้ากระต่ายล่ะ?
ไม่เห็นจะเข้าใจเลย?
“จะมีคนของ
Diamond
crown อย่างน้อย 2 คนที่เดินทางออกนอก UAE โดยมีจุดหมายปลายทางคือประเทศที่มีแข่ง
Moto GP ที่คุณกับเซียวจ้านอยู่ จะว่าไปทำธุรกิจมันก็แปลกไปหน่อยรึเปล่าที่ธุรกิจนั้นดันอยู่ในประเทศที่มีแข่ง
Moto GP พอดี
ถึงแม้มันอาจจะมีความเป็นไปได้ที่ลูกค้าจะอยู่ในวงการแข่งรถของพวกคุณ
แต่คนที่เดินทางออกนอกประเทศพวกนั้นกลับเป็นบอร์ดี้การ์ดซึ่งไม่มีความสามารถในการเจรจาธุรกิจ” UAE คือประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ซึ่งมีเมืองอย่างดูไบที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Diamond crown อยู่
เขาได้แต่ฟังอย่างสับสน
“ส่วนอานัส
ซัลมานยังคงกลบดานอย่างเงียบกริบ ผมยังหาตัวไม่เจอเหมือนกัน”
สมองประมวลผลอย่างว่องไว
หรือพวก Diamond
crown ก็ยังหาตัวอานัส ซัลมานที่ยักยอกเพชรไปไม่เจอเหมือนกัน? จึงคิดว่าถ้าตามเฝ้าเจ้ากระต่ายเอาไว้
สักวันอานัส ซัลมานอาจจะโผล่หัวมาหาเจ้ากระต่ายของเขา?
พวกนั้นจะได้จัดการเรื่องยักยอกเพชรได้?
แต่แบบนี้มันอันตรายต่อพวกเขาเกินไปหรือเปล่า?
เจ้ากระต่ายต้องถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วยทั้งๆที่ไม่ได้รู้เรื่องการขัดผลประโยชน์ของพวกนั้นเลย
เกิดหลงไปอยู่ในดงกระสุนตอนที่พวกนั้นไล่ฆ่ากันขึ้นมาล่ะ?
แล้วเจ้ากระต่ายมึนของเขานี่ก็มีความเป็นไปได้เสียด้วย
ชอบถูกลากเข้าไปพัวพันกับเรื่องอะไรก็ไม่รู้อยู่เรื่อย
แล้วเรื่องที่ทำให้เขาสับสนอีกอย่างก็คือ
Diamond
crown น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของพี่ชายเขา จากหลักฐานเรื่องจำนวนคนที่มาลักพาตัวพี่ชายไปซึ่งไม่ตรงกับจำนวนคนที่วองโกเล่เคยบอกเขา
ทำให้เขาย้อนกลับไปพิจารณาข้อมูลบางอย่างที่เขาเคยคิดว่ามันไม่สำคัญเกี่ยวกับพี่ชายของเขาใหม่
และมันทำให้เขาเชื่อว่า...ตอนนี้...หวังอี้เฟิงยังมีชีวิตอยู่…
พี่ชายของเขาน่าจะเกี่ยวพันกับองค์กรค้าเพชรอันดับหนึ่งของโลกนี้ด้วย
การตายและการลักพาตัวอาจจะเป็นเพียงการจัดฉากเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากการเป็นคนของตระกูลหวังและออกไปใช้ชีวิตได้ดังใจ?
แต่ถ้าอี้เฟิงเป็นคนของ
Diamond
crown จริง...การทำเรื่องอันตรายต่อเจ้ากระต่ายย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายไม่เห็นเขาเป็นน้องชายแล้วหรือยังไง?
เรื่องของเขากับเซียวจ้านนั้นเปิดเผยไปทั่วโลก
เขาไม่เชื่อหรอกว่าพี่ชายจะไม่รู้ว่าคนที่ตัวเองตั้งใจจะใช้เป็นนกต่อล่ออานัส
ซัลมานออกมานั้นคือคนรักของเขา
ใบหน้าหล่อเหลาสูดลมหายใจอย่างพยายามสงบสติ
ตอนนี้ยังเป็นเพียงสมมติฐานของเขา ยังสรุปแบบนั้นไม่ได้ ยังไงเขาก็ต้องพยายามเชื่อใจพี่ชายของเขา...
ฉัน...เชื่อใจนายได้ใช่ไหม
อี้เฟิง?
เพราะคำขอโทษสุดท้ายก่อนที่พี่ชายจะถูกพาตัวไปยังคงฝังอยู่ในหัวใจของเขา
อี้เฟิงขอโทษเรื่องอะไร? มันคือสิ่งที่เขาสงสัยเรื่อยมา
และคำขอโทษในครั้งนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเชื่อว่าพี่ชายยังมีชีวิตอยู่...ตอนนี้...เขาคิดว่าที่พี่ชายขอโทษก็เพราะต้องทิ้งภาระทั้งหมดไว้ที่เขา
ตัวเองได้ออกไปใช้ชีวิตที่ต้องการโดยทิ้งความกดดันทุกอย่างไว้ที่น้องชายอย่างเขาแทน
เพราะการเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหวังนั้นไม่ง่ายเลย
เขาพักเรื่องของพี่ชายไว้ในใจก่อนจะหันมาคุยกับปลายสายต่อ
“นายคิดว่า...ทางอานัส
ซัลมานมีความเป็นไปได้แค่ไหน ว่าอาจจะยังไม่ยอมตัดใจจากเรื่องของเซียวจ้านอยู่” เขาลองถามยามาโตะโนะคามิ
ยาสึซาดะดูถึงเปอร์เซ็นต์ที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น
“หึ...เขากล้าหาญมากนะที่คิดจะชิงตัวเซียวจ้านในอิตาลีในตอนนั้น...และผม...เข้าใจคนแบบนี้ดีเพราะเป็นคนประเภทเดียวกับผม” ปลายสายตอบกลับมาด้วยเสียงเย็นสมกับที่เป็นรองหัวหน้าหน่วยพิรุณโลหิต
“เขาจะไม่ยอมปล่อยเซียวจ้านจนกว่าเขาจะตายแน่นอน
คุณระวังตัวเอาไว้ก็แล้วกัน”
มือใหญ่ถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้ฟัง
ถ้าอย่างงั้นไม่เขาก็หมอนั่นคงต้องตายกันไปข้างเพราะเขาก็ไม่มีวันปล่อยจ้านเกอไปและจะไม่ยอมให้คนที่เขารักต้องมีอันตรายด้วย
“ที่ผมให้คุณระวังคือให้คุณเตรียมพร้อมอยู่เสมอ...ผมยังหาเขาไม่เจอก็จริง
แต่ผมสามารถเตือนคุณล่วงหน้าได้ ก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัวเซียวจ้าน” ดูเหมือนวองโกเล่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าทึ่งโดยการใช้ไฟจากแหวนอะไรสักอย่างอยู่
ถึงเขาจะไม่เข้าใจแต่มันก็ทำให้บอสมาเฟียอย่างวองโกเล่เดซิโม่หรือวองโกเล่รุ่นที่สิบซึ่งมีค่าหัวมหาศาลคนนั้นยังมีชีวิตรอดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ และเพราะอานัส
ซัลมานกล้าไปกระตุกหนวดเสือด้วยการลักพาตัวเซียวจ้านในถิ่นของเสือ
พวกวองโกเล่ที่ถูกท้าทายจึงทุ่มเทกับเรื่องของเซียวจ้านเต็มที่
เขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน
ว่าหมอนั่นจะชิงตัวเซียวจ้านไปจากคนของตระกูลหวังที่ร่วมมือกับวองโกเล่ได้ยังไง?
ส่วนหวังอี้เฟิง...ถ้าพี่ชายไม่เห็นเขาเป็นน้องชายแล้วจริงๆ
เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องปรานีเช่นกัน
มือใหญ่กดวางสายไปก่อนจะเดินกลับขึ้นชั้นบน
เขาไม่ได้เปิดไฟ แสงจันทร์จากภายนอกจึงสาดส่องตัวเขาเห็นเป็นเงาสีดำที่กำลังนั่งลงที่ขอบเตียง
ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกละใบหน้าหลับใหลออกไป
เขาเฝ้ามองใบหน้าที่หลับตาอย่างเป็นสุขนั้นอยู่เนิ่นนาน
ในหัวใจร่ำร้องเพียงอยากปกป้องให้ปลอดภัย ต่อให้ต้องแลกกับอะไรเขาก็ยอมได้ทั้งนั้นขอแค่เจ้ากระต่ายยังอยู่ด้วยกันตรงนี้
เพราะได้นอนเต็มที่ทำให้เช้าวันใหม่ของดีไซน์เนอร์จากเฟอร์รารี่นั้นเริ่มต้นอย่างสดใส
ดวงตาคู่โตค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆถึงจะไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วแต่เขาน่าจะหลับไปเป็นสิบชั่วโมงแน่นอน
ท่อนแขนผอมบางยืดออกไปบิดขี้เกียจ
แพรไหมเรียบลื่นของผ้าห่มผืนหนาที่สัมผัสไปทั่วตัวทำให้เขารู้ว่าเขาน่าจะไม่ได้สวมเสื้อผ้า
และการตื่นมาในสภาพนี้ก็แทบจะเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้ว
ใบหน้ามนก้มลงไปมองท่อนแขนแข็งแรงที่พาดอยู่บนเอว
แผ่นหลังยังคงซึมซับได้ถึงความอบอุ่นและอุณหภูมิที่คุ้นเคย
ตัวของหวังอี้ป๋อจะอุ่นประมาณนี้ แผ่นอกและกล้ามหน้าท้องที่รองรับเขาไว้ก็จะแข็งประมาณนี้
ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอที่เป่ารดหลังไหล่ของเขาก็จะมีจังหวะประมาณนี้ เขาจดจำร่างกายของอีกฝ่ายได้ดีทุกอย่าง
ร่างโปร่งบางพลิกกายหันหน้าเข้าหาเจ้าของอ้อมแขนที่กอดเขาแนบแน่นมาทั้งคืน
มันหาได้ยากที่เขาจะตื่นก่อนหวังอี้ป๋อ เพราะงั้นนี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้นอนมองหน้าของอี้ป๋อบ้าง
พวกเขาหนุนนอนอยู่บนหมอนใบเดียวกัน
เพราะฉะนั้นหน้าของเราจึงอยู่ใกล้แสนใกล้
เขาไล่มองใบหน้าที่ยังหลับใหลนั่นช้าๆ
มองตั้งแต่หน้าผากจนถึงปลายคาง มองในระยะใกล้แบบที่ใครก็ไม่สามารถทำได้
ริมฝีปากบางๆนั่นชอบจูบเขาไปทั่วทั้งตัว
จมูกโด่งเป็นสันนั่นชอบซุกไซร้ซอกคอให้จั๊กจี้และรู้สึกดี
ดวงตาดุดันคู่นั้นก็ชอบมองเขาราวกับถูกสะกด
แก้มสะอาดใสหมดจดนั่นก็ชอบกดแนบคลอเคลียยามเมื่อจะอ้อนเอาอะไรขึ้นมา
หน้าผากนั่นก็คอยใช้วัดไข้เวลาเขาไม่สบาย ปลายคางนั่นก็ชอบเกยไว้บนไหล่ยามที่เข้ามากอดเขา...ใบหน้านี้...คือใบหน้าของคนที่เขารัก
แค่ได้นอนมองหน้าก็รู้สึกว่าโลกนี้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
แค่ได้ตื่นมาในอ้อมแขนของกันและกันแค่นั้นหัวใจของเขาก็เต้นอย่างเป็นสุขแล้ว
มันอบอุ่นจริงๆนะความรู้สึกของเขาในตอนนี้
ราวกับหวังอี้ป๋อจะรู้ตัวว่าถูกจ้องมองอยู่
คิ้วเรียวค่อยๆขมวดน้อยๆก่อนที่ดวงตาซึ่งปิดสนิทจะเริ่มขยุกขยิกแล้วค่อยๆเปิดขึ้นมา
เขายิ้มหวานให้พร้อมกับเอ่ยอรุณสวัสดิ์ “ตื่นแล้วเหรอ?”
“อืม....กี่โมงแล้ว?”
เสียงทุ้มตอนเพิ่งตื่นนอนนั้นเซ็กซี่มาก
จริงๆเขาชอบฟังแต่ด้วยความที่อี้ป๋อมักจะตื่นก่อนเขา นานๆทีถึงจะได้ยิน
“ไม่รู้เหมือนกันแต่น่าจะยังเช้าอยู่” แสงภายนอกยังสลัวๆ บางทีพระอาทิตย์อาจจะยังไม่ขึ้น
“นอนต่อไหม?”
เสียงนุ่มถามนักบิดหนุ่มที่ยังงัวเงีย
ดูท่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอนคงดึกดื่น อี้ป๋อมักจะดูแลเขาอย่างดีเสมอ อย่างเช่น
ถ้าเขาอยู่คนเดียวเมื่อคืนคงนอนมันหน้าประตูนั่นแหละไม่เดินขึ้นมาถึงนี่หรอก
แต่อี้ป๋อมักจะลากเขาไปนอนดีๆเสมอ บางครั้งถึงขั้นอุ้มไปก็ยังมี ไม่พอ
ยังจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตลอด ที่พักพวกนี้อี้ป๋อก็เป็นคนหาเป็นคนจอง
ไม่ว่าจะสถานที่ท่องเที่ยวหรือร้านอาหารอี้ป๋อก็เป็นคนจัดการเสร็จสรรพ การอยู่กับอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกสบาย
เพราะเขาไม่ถนัดเรื่องพวกนี้
ในหัวเขามีแต่เรื่องรถและอี้ป๋อก็ไม่เคยบอกให้เขาเลิกสนใจมันและหันมาสนใจในเรื่องที่เขาไม่ถนัด
เขาจึงไม่เคยรู้สึกอึดอัดหรือฝืนใจในเวลาที่คบกับอีกฝ่ายเลย
ท่อนแขนแข็งแรงกอดกระชับดึงเอวเขาให้ขยับแนบชิดหน้าท้องของอีกฝ่าย
ใบหน้าของคนที่เพิ่งตื่นยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดหยอกเย้า “ไม่นอนละ
ทำอย่างอื่นดีกว่า”
มือเขาฟาดผลั๊วะไปตามความเคยชิน
เพราะ “อย่างอื่น” ที่ว่าเนี่ยคงไม่พ้นเรื่อง…แน่ๆ
เขาเอื้อมมือไปตะปบมือใหญ่ที่เริ่มเลื้อยไปจับก้นเขา
“ตื่นมาก็หื่นเลยนะเจ้าหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์!” เขาทำหน้าดุขู่ หวังอี้ป๋อดีต่อเขาทุกอย่างยกเว้นเรื่องนี้
เหมือนเลี้ยงเขาเอาไว้กินยังไงก็ไม่รู้???
ก็เข้าใจอยู่หรอกว่ายังหนุ่มยังแน่นยังมีพลังเหลือเฟือ
แต่บางครั้งมันก็มากไปไหม?
ถึงจะอ่อนโยนแต่ให้มีอะไรกันทั้งคืนเนี่ยบางทีเขาก็เกือบจะตายเอา
“งั้นก็ไปอาบน้ำแล้วออกไปเดินเล่นกัน
พี่รู้รึเปล่าว่าเราอยู่ที่ไหน?”
“เหมือนเมื่อคืนจะได้ยินนายบอกว่า
ไบบิวรี่?”
“ครับ
ผมว่าพี่น่าจะชอบ”
ใบหน้าหล่อเหลายิ้มให้เขา หวังอี้ป๋อมักจะเอาใจใส่เขาแบบนี้เสมอ
“อื้อ” เขาตอบรับด้วยความสดใสก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัว
ครึ่งชั่วโมงให้หลังเขาก็ลงมายืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง
เขามองทุกอย่างตาค้าง เมื่อคืนง่วงจนไม่ได้สนใจอะไร
ตอนนี้จึงเพิ่งเห็นว่าห้องนี้ตกแต่งได้น่ารักมาก เป็นห้องนั่นเล่นสไตล์ค็อทเทจที่น่านอนกลิ้งไปกลิ้งมาสุดๆ
มือบางเปิดประตูออกไปอย่างตื่นตาตื่นใจ แล้วสวนเล็กๆกับเก้าอี้เหล็กดัดก็ทำให้เขาถึงกับยิ้มกว้าง
บรรยากาศดีสุดๆ ชุดชากาแฟและอาหารเช้าถูกยกมารอไว้อยู่แล้ว
เขาจึงหันไปมองหวังอี้ป๋อที่ยังไม่ลงมาอย่างรอคอย
ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปสำรวจ
English
Breakfast ที่ถูกจัดเตรียมไว้ กลิ่นขนมปังหอมๆคละเคล้ากับกลิ่นกุหลาบจนเขาต้องเงยหน้ามองหาก่อนจะตะลึงจนดวงตาเบิกกว้าง
กลิ่นกุหลาบมาจากนี่เอง…ผนังอาคารเต็มไปด้วยกุหลาบเลื้อยเกาะเกี่ยว
ดอกสีชมพูบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนฝัน เขาถึงกับต้องถอยออกไปมองไกลๆ
แล้วภาพรวมของอาคารทั้งหมดก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ...นี่มันสวยมาก...สวยสุดๆ!
ดีไซน์เนอร์เป็นผู้ที่ชอบความสวยงามฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะรถ เสื้อผ้า หรือว่าสถาปัตยกรรม อะไรที่เป็นความงามพวกเขาก็ชอบดูทั้งนั้น ร่างโปร่งบางจึงวิ่งปรู๊ดออกไปยืนกลางถนนก่อนจะมองหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ด้วยความตะลึง
บ้านที่มีอายุหลายร้อยปีพวกนี้มีหลังคาจั่วใหญ่ทรงสูงกับจั่วเล็กๆด้านหน้า
ตัวบ้านสร้างจากหินทั้งหลังตั้งแต่ผนังไปจนถึงหลังคา แล้วหินที่ว่านั่นก็ได้สร้างเอกลักษณ์ของที่นี่ขึ้นมาเพราะหินปูนสีน้ำผึ้งหรือ
Yellow
Limestone นั้นมีเฉพาะในแถบคอตสโวลด์สเท่านั้น
ถนนเส้นเล็กๆกับบ้านเรือนที่ดูเหมือนกระท่อมหินสีน้ำผึ้งเรียงรายลดหลั่นกันไปตามเนินที่ทอดขึ้นลง
บางหลังมีเถาไอวี่เกาะเกี่ยวจนมองเห็นเป็นสีเขียวไปกว่าครึ่งหลัง
บางหลังก็ปลูกกุหลาบเถาเลื้อยเต็มผนังส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
ประกอบกับสวนแบบอังกฤษที่ดูร่มรื่นเขียวชอุ่มยิ่งทำให้หมู่บ้านชนบทแห่งนี้งดงามราวกับอยู่ในภาพวาด
เขารู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปยืนอยู่ในศตวรรษที่17ยังไงอย่างงั้น
“ชอบไหม?”
เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆพร้อมกับอ้อมแขนที่โอบกอดเขาจากข้างหลัง
“ชอบมาก” เขาหันไปมองหวังอี้ป๋อพร้อมกับรอยยิ้ม
ใบหน้าหล่อเหลายิ้มตามแค่เพราะเห็นเขามีความสุข
“ไปกินข้าวกัน
ชั้นอยากออกไปถ่ายรูปแล้ว”
เขาดึงอี้ป๋อกลับเข้าไปในโรงแรมอย่างกระตือรือร้น
มื้ออาหารเช้าผ่านไปในบรรยากาศที่ราวกับอยู่ในฉากหนึ่งของนิยาย
พวกเขาออกไปเดินเล่นในหมู่บ้านกันตั้งแต่ยังไม่มีคน
ดีไซน์เนอร์ของเฟอร์รารี่จึงได้ถ่ายรูปจนหนำใจ ถึงจะเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมดั้งเดิมที่ไม่ได้กว้างใหญ่แต่มุมน่ารักๆให้ถ่ายรูปนั้นก็มีมากมายจนใช้เวลาครึ่งค่อนวันก็ไม่พอ
แน่นอนว่าหวังอี้ป๋อไม่พลาดที่จะเดินตามถ่ายรูปคนที่กำลังง่วนกับการถ่ายรูปสถาปัตยกรรมพวกนั้นอีกที
“นายดูหงส์เด็กพวกนั้นสิ
น่ารักเนอะ” เจ้ากระต่ายนั่งยองๆลงไปข้างๆลำธารใสแจ๋วซึ่งมีแม่หงส์สีขาวลอยละล่องอยู่ในน้ำพร้อมลูกน้อยที่ขนยังเป็นสีเทา
ใบหน้ามนมองลูกหงส์สองสามตัวพวกนั้นด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
แชะ
และเมื่อเจ้ากระต่ายได้ยินเสียงชัตเตอร์
ใบหน้ามนก็หันมายิ้มให้เขาพลางเล่นกับกล้อง ภาพที่เขาเก็บมาได้จึงสวยงามและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“ไปตกปลากันไหม?
ที่นี่มีฟาร์มปลาเทราต์ด้วยนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยชวนเมื่อพวกเขาเดินเล่นกันจนรอบหมู่บ้านแล้ว
“ไป” ร่างโปร่งบางลุกขึ้นปัดฝุ่นก่อนจะเดินตามเขาอย่างว่าง่าย
พวกเขาใช้ชีวิตชิลๆอยู่ในหมู่บ้านที่ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเสียจนดูแทบไม่รู้เลยว่าพวกเขาเพิ่งจะมาจากสนามแข่งรถที่ทำทุกอย่างด้วยความเร็วเหนือมนุษย์และมีเทคโนโลยีล้ำที่สุดในโลก
พวกเขาเดินเลาะแปลงนาเขียวชอุ่ม
ในหมู่บ้านแห่งนี้นอกจากบ้านเรือนสีน้ำผึ้งแล้ว ฟาร์มปลาเทราต์ก็ยังเป็นอีกที่หนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวมักมาทำกิจกรรมกันที่นี่
เพราะมีทั้งให้อาหารปลา ตกปลา รวมไปถึงเอาปลาที่ตกได้มาทำอาหารปิกนิกอีกต่างหาก
ตราปั๊มรูปปลาถูกประทับลงบนหลังมือเพื่อแทนสัญลักษณ์บัตรผ่าน
และเขาก็ชอบถ่ายรูปอะไรแบบนี้เก็บไว้
“จ้านเกอ” เขาเรียกเจ้ากระต่ายก่อนจะคว่ำหลังมือให้
ดวงตาคู่โตเห็นก็เข้าใจและคว่ำหลังมือของตัวเองลงมาวางข้างๆกัน
ปลาคู่นั้นจึงว่ายเคียงคู่อยู่บนหลังมือของพวกเรา
แชะ...
นักบิดจากทีมยามาฮ่าเดินถือถังและเบ็ดไปยังลำธารเล็กๆในฟาร์ม
จริงๆมันก็ไม่ได้ลึกและน้ำก็ใสจนมองเห็นตัวปลา
เรียกว่าอยากตกตัวไหนก็เลือกเอาจากที่มองเห็นได้เลย
เขาจึงหย่อนเบ็ดลงไปตรงหน้าปลาเทราต์ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง
เจ้ากระต่ายซึ่งทำตัวเลียนแบบเกษตรกรมองเบ็ดตกปลาในมือเขาด้วยดวงตาระยิบระยับ...อยากเล่นบ้าง? มือใหญ่จึงส่งเบ็ดตกปลาให้แล้วถอยไปยืนมองด้วยความเอ็นดู
“นายว่ามันจะกินไหม?” เจ้ากระต่ายพูดกับเขาทั้งๆที่ตาจ้องปลาลายจุดนั่นเขม็ง
ดูท่าทางตื่นเต้นที่ได้เล่นสนุกเป็นเด็กๆ
“อย่าพูดเสียงดังสิ”
ปลาพวกนี้เป็นปลาที่ฟาร์มเลี้ยงไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวตกเป็นกิจกรรมของครอบครัวอยู่แล้ว
เพราะงั้นมันคงตกไม่ยาก เด็กๆจากบ้านข้างๆพวกนั้นยังตกได้เลย
เขาเหลือบมองเด็กประถมสองคนที่มากับพ่อแม่ก่อนจะหันมามองเจ้ากระต่าย อืม
ก็คล้ายๆกันแหละ...
พั่บๆๆ
บนผืนน้ำเริ่มมีความเคลื่อนไหว
ดูเหมือนปลาจะติดเบ็ดของเจ้ากระต่ายแล้ว!
“อี้ป๋อ! ปลาๆๆ!” สายเบ็ดถูกปลาดึงจนตึง
เจ้ากระต่ายร้องอย่างตกอกตกใจ
มือบางพยายามดึงคันเบ็ดเอาไว้แต่เจ้าปลาตัวใหญ่นั่นก็แข็งแรงใช้ได้
“อ๊า
อย่าดึงสิ!”
เจ้ากระต่ายตะโกนใส่ปลาที่ดิ้นสู้อยู่ใต้น้ำ
ด้วยความที่เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี แทนที่จะดึงปลาขึ้นมาได้ เจ้ากระต่ายของเขากลับเป็นฝ่ายถูกปลาลากลงน้ำซะงั้น?!
“ทำไมมันสู้อ่ะ!
หยุดนะ!” เจ้ากระต่ายโวยวายในขณะที่ถูกเบ็ดลากเข้าหาน้ำมากขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆ
“อุ๊บ!” มือใหญ่ยกขึ้นมาปิดปากก่อนจะกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
ภาพตรงหน้าทั้งน่าเอ็นดูทั้งตลกจนอดหัวเราะไม่ได้
“บอกว่าอย่าดึง!
แล้ว ขึ้น มา ดี ดี!”
ร่างโปร่งบางพยายามขืนตัวเองเอาไว้
ส่วนเจ้าปลานั่นก็ยังตั้งหน้าตั้งตาลากคนที่ตกมันได้ลงไป ยื้อๆยุดๆกันอยู่จนเขาหยุดขำไม่ได้
โว้ยยยย
มันมีด้วยเหรอคนที่มาตกปลาแต่จะโดนปลาลากลงน้ำแบบนี้เนี่ย?!
“ฮ่าๆๆๆๆ” ไม่ไหวแล้ว
เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่
“หัวเราะอะไรของนาย!
มาช่วยกันสิ!” เจ้ากระต่ายหันมาด่าเขาไปหันไปสู้กับปลาไป
หลังจากหัวเราะจนพอใจ ร่างสูงสง่าจึงขยับไปยืนซ้อนข้างหลังคนที่อีกไม่กี่เซ็นต์ก็จะถึงน้ำแล้ว
“ออกแรงหน่อยสิครับที่รัก” เสียงทุ้มกระซิบที่ใบหู อ้อมแขนโอบอ้อมลำตัวบางจนแผ่นอกแนบชิดกับแผ่นหลัง
มือใหญ่จับมือบางที่กุมคันเบ็ดอยู่
ก่อนจะออกแรงทีเดียวเจ้าปลานั่นก็ลอยวืดขึ้นมาเหนือน้ำ
“อ๊ะ” เจ้ากระต่ายเซมาปะทะกับแผงอกของเขาที่ยืนอย่างมั่นคงรับเอาไว้
ใบหน้าใสขึ้นสีน้อยๆก่อนจะเสไปมองเจ้าปลาตัวใหญ่ที่ดิ้นพั่บๆอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียว
ต่อให้กอดกันมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
แต่หัวใจก็ยังเต้นโครมครามได้เสมอเมื่อตกไปอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน
บรรยากาศหวานๆทำให้พวกเขาทั้งคู่นิ่งค้างอยู่แบบนั้นเนิ่นนาน
พั่บๆๆ
ใบหน้ามนหลุดออกจากห้วงแห่งรักเมื่อเจ้าปลาที่กำลังจะขาดน้ำตายดิ้นประท้วงอยู่บนหญ้าหนานุ่ม
“ปล่อย...ได้แล้ว” มือบางตีลงมาบนท่อนแขนที่ยังเนียนกอดอีกฝ่ายเอาไว้
“ไม่ตกปลาต่อแล้วเหรอ?
ต้องอยู่ท่านี้แหละ ไม่งั้นเดี๋ยวพี่โดนปลานั่นลากลงน้ำไปอีกนะ” ร่างสูงสง่าหยอกเย้าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
มือกระต่ายเลยฟาดเข้าให้อีกที อ้อมแขนแข็งแรงถึงยอมปล่อยได้ เขาเดินไปหยิบเจ้าปลาลายจุดใส่ไว้ในกระป๋องน้ำ
“ก็ดูมันสิ
ตัวใหญ่แถมหน้าโหดขนาดนี้ ใครจะไปสู้แรงมันได้!” เจ้ากระต่ายเท้าต้นขาก้มมองเจ้าปลาที่ว่ายอย่างสบายใจเฉิบอยู่ในกระป๋องอย่างไม่ยอมรับความจริง
ปลาเทราต์มันก็หน้าตาแบบนี้หมดแหละไหม? แถมเขายังตวัดทีเดียวได้อีกต่างหาก
“จะเอามันไปทำอะไรดี?
ย่างไหม? หรือว่านึ่งดี? หรือเอากลับไปให้ที่โรงแรมทำอาหารเย็นให้ดี?”
เขาถามออกไปเพราะใครๆที่ตกปลาได้ก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น แต่เขาดันลืมคิดไปว่าเจ้ากระต่ายของเขาเหมือนใครเสียที่ไหน!
“ชั้นเลี้ยงมันได้ไหมอ่ะ?
มันดูเหมือนจะเอาไว้เฝ้าบ้านได้เลย”
เดี๊ยวววว!! ใครเค้าเลี้ยงปลาเทราต์ไว้เฝ้าบ้านกัน?!
ถึงมันจะหน้าโหดและแรงเยอะ แต่มันก็เป็นแค่ปลา! เป็นแค่อาหาร!
“นะ
อี้ป๋อ~~” เจ้ากระต่ายตัวดีช้อนตามองเขาอย่างออดอ้อนทันที
แน่นอนว่าเขาก็แพ้สายตาแบบนี้และไม่เคยขัดใจอะไรเจ้ากระต่ายได้เลย!
วันดีคืนดีบ้านในมาราเนลโล่ของเขาก็มีตู้ปลาเทราต์เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านซะงั้น....
บนเตียงมีเจ้ากระต่าย
บนโซฟามีหมีแพนด้า ข้างหน้าต่างมีตู้ปลาเทราต์ ในสวนยังมีกระบองเพชรและต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ซื้อมาตอนไปแข่ง....
และทั้งหมดนี้หวังอี้ป๋อก็ต้องเป็นคนดูแล!
ชีวิตนักบิด
Moto
GP นั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ ว่าไหม?
กลิ่นกุหลาบหอมฟุ้งลอยมาต้อนรับหลังจากที่เขาเพิ่งกลับจากการไปส่งปลาเทราต์ไปมาราเนลโล่ล่วงหน้าก่อน DHLน่าจะทำให้มันมีชีวิตรอดมากกว่าขึ้นเครื่องบินไปด้วยกัน มือใหญ่เปิดประตูห้องสวีทเข้าไปก่อนจะเห็นเจ้ากระต่ายนอนอ่านนิยายสบายใจอยู่บนโซฟาหน้าเตาผิง
“อี้ป๋อ!
ชั้นรู้แล้วว่าจะตั้งชื่อปลานั่นว่าอะไร!” เจ้ากระต่ายเด้งจากโซฟาขึ้นมาเมื่อเห็นเขา
“ชื่อ
ท่านเคานต์ ดีไหม? เพราะเราไปปราสาทวอริกก่อนจะมาเจอมันที่นี่” ตั้งชื่อปลาเทราต์ว่าท่านเคานต์เนี่ยนะ?
ว่าแต่ปลานี่มันต้องมีชื่อด้วยเหรอ?
“ครับ” เอาเถอะ อยากตั้งอะไรก็ตามใจแค่ไม่ใช่ “อากง”
ก็พอ มีอาม่าอยู่ที่บ้านตัวนึงแล้ว ถ้ามีอากงอีกคงหลอนน่าดู
เอาจริงๆเขาก็รู้สึกมาสักพักแล้วนะ
ว่าสกิลการตั้งชื่อของเจ้ากระต่ายนี่ดูจะมีปัญหาอยู่ไม่ใช่น้อยเลย…
“ออกไปที่สวนของโรงแรมกัน” เขากวักมือเรียกคนที่ยังนอนจมอยู่ในโซฟา
เขาพาเจ้ากระต่ายไปนั่งลงที่ม้านั่งเหล็กดัดตัวหนึ่งในสวนสไตล์อังกฤษที่ดูร่มรื่น
เป็นเพราะฝนตกอยู่ตลอดเวลาทำให้ใบไม้ใบหญ้าดูหนานุ่มและมีสีเขียวสด
ดอกไม้สีน้ำเงินชูช่อเบ่งบานแซมอยู่ตามจุดต่างๆยิ่งส่งให้บรรยากาศสดชื่น
แค่นั่งอยู่เฉยๆก็เหมือนจิตใจได้รับการเยียวยาแล้ว
พนักงานของโรงแรมยกชุดน้ำชาเข้ามา
เจ้ากระต่ายมองชั้นวางขนมสำหรับ Afternoon tea ด้วยดวงตาระยิบระยับ ทั้งสามชั้นของมันมีทั้ง
แซนวิช สโคน ขนมอบ เค้กช็อกโกแลต ทาร์ตผลไม้และเยลลี่
ขนมชิ้นเล็กๆหน้าตาน่ารักๆพวกนี้ถูกจัดวางไว้อย่างสวยงาม
กลิ่นชาหอมๆลอยกรุ่นผสมผสานไปกับกลิ่นธรรมชาติและดอกไม้รอบกายได้บรรยากาศชายามบ่ายของผู้ดีอังกฤษสุดๆ เขานั่งอมยิ้มมองเจ้ากระต่ายที่หยิบขนมอบใส่ปากด้วยใบหน้าฟิน
แสงสีทองจากฟ้าที่นานๆจะเปิดทีทำให้ภาพตรงหน้าดูนวลๆเหมือนใช้ฟิวเตอร์สีซีเปีย
เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเจ้ากระต่ายกับชายามบ่ายเก็บเอาไว้ ถ่ายยังไงก็สวยในเมื่อคนในภาพนั้นกำลังมีความสุข
“สงบสุขดีจัง” ริมฝีปากสีระเรื่อพูดออกมาทั้งๆที่ยังหลับตาพริ้มจากการได้ลิ้มลองชารสดี
ขนมบนชั้นหายเกลี้ยงลงท้องไปหมดแล้ว
ตอนนี้เจ้ากระต่ายที่กินจนอิ่มแปล้จึงนั่งแผ่อยู่บนเก้าอี้อย่างขยับตัวไม่ไหว
สภาพน่ารักน่ากินอย่าบอกใคร
“สงบสุขไปก่อนเถอะ
เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับไปวุ่นวายเหมือนเดิมแล้ว” เขาเหลือบตาขึ้นมามองนักออกแบบรถของทีมดูคาติที่ยังทำหน้ามีความสุขก่อนจะก้มลงมามองที่หน้าจอมือถือต่อ
เขากำลังโพสรูปลงไอจีตามปกติ
ทั้งหมดก็เป็นรูปของเจ้ากระต่ายที่ถ่ายมาในวันนี้ แล้วคนก็กดหัวใจให้แบบถล่มทลายภายในเวลาไม่กี่วินาที
ถึงในสนามพวกเขาจะเป็นคู่แข่งที่เกือบจะตีกันตาย แต่นอกสนามก็เป็นเพียงคู่รักหวานๆที่แฟนคลับชอบตามดู
พวกนั้นชอบบอกว่าพวกเขาเหมือนคู่ที่สวรรค์สรรสร้างมา?
ดวงตาคมกล้าไล่อ่านคอมเม้นต์เพ้อๆพวกนั้นอย่างขำๆ
แต่อ่านได้ไม่เท่าไหร่ แจ้งเตือนโพสใหม่ของคนที่ฟอลโลว์กันไว้ก็ทำให้เขาต้องเลื่อนขึ้นไปดู
เป็นโพสของนักบิดมือสองในทีมของเขาเองและรูปที่ลงก็เป็นรูปที่เจ้าเด็กนั่นกำลังตกปลาอยู่เช่นกัน...
“เจ้าเด็กขี้อิจฉา” เจ้ากระต่ายยื่นหน้ามามองพร้อมกับเบะปาก
เขาเอ็นดูเจ้าคนที่อยู่ตรงนี้มากกว่า
“ก็ยังเด็กแหละ
พี่อย่าไปใส่ใจเลย” ปลายนิ้วเลื่อนผ่านอย่างไม่สนใจ
เจ้าเด็กนั่นเพิ่งจะขยับขึ้นมาขับให้ทีมใหญ่ของยามาฮ่าปีนี้นี่เอง
เพิ่งจะอายุ 18 ปี ฝีมือก็จัดว่าดี ยังไปได้อีกไกล แต่นิสัยนี่ก็ยังเด็กสมอายุนั่นแหละ
พยายามจะเอาชนะมือหนึ่งของทีมอย่างเขาในทุกๆเรื่องไม่เว้นแม้แต่ไลฟ์สไตล์
ก็จริงอยู่ที่พวกเราต้องทำงานกันเป็นทีม
แต่รถทั้งสองคันในทีมก็มีอิสระที่จะแข่งกันได้ในสนามเพราะคะแนนที่ได้ก็เป็นของใครของมัน
แต่การแข่งขันนั้นต้องอยู่ในขอบเขตที่จะไม่ทำให้รถและทีมเกิดความเสียหาย
ต้องไม่ชนกันจนออกจากการแข่งขันทั้งคู่ ต้องไม่ทำให้คะแนนรวมของทีมสูญเสียไป
“คะชูก็ยังเด็ก
ไม่เห็นจะทำตัวไม่น่ารักแบบนี้เลย!” เจ้ากระต่ายเถียง กรณีของคะชู คิโยมิตสึนั้นเขาคิดว่าหมอนั่นเด็กแค่อายุ
แต่คะชูมีประสบการณ์ในวงการแข่งรถโชกโชน แถมแต่ละที่ที่ไปมาก็โหดสาหัส คงจะสอนเด็กนั่นไว้อย่างดีว่าควรจะเคารพรุ่นพี่
“คอยดูเถอะ
ถ้าหมอนั่นหาเรื่องนายละก็ ชั้นจะสั่งสอนมัน!” ดูเหมือนเจ้ากระต่ายไม่ค่อยชอบขี้หน้ารุ่นน้องในทีมของเขานัก
ถึงเขาจะไม่ใส่ใจแต่เจ้ากระต่ายกลับไม่ยอมให้ใครมาทำเรื่องไม่ดีหรือเสียมารยาทกับเขา
“หึ
พี่อยู่คนละทีมนะอย่าลืม จะมาสั่งสอนนักบิดมือสองของทีมผมได้ไง?” เขายิ้มแซว
เอาจริงๆเจ้าเด็กนั่นไม่อยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ อยากจะเรียกร้องความสนใจจากทีมหรือจากสื่ออะไรก็ทำไป
เขาไม่สนใจอยู่แล้ว
“ชั้นทำได้
นายคอยดูก็แล้วกัน
ชั้นทำให้หมอนั่นและคนทั้งโลกอิจฉานายจนเส้นเลือดในสมองแตกตายได้ เชื่อชั้น” เขาเชื่อ...เขาเชื่ออย่างไร้ข้อโต้แย้งเลยจริงๆ
ว่าเจ้ากระต่ายจะทำให้คนทั้งโลกอิจฉาเขาได้...เพราะเขาเป็นผู้ครอบครองคนที่แสนเพอร์เฟ็คอย่างเซียวจ้านไว้นี่ไง
อีกอย่าง...อยู่ด้วยกันมาปีกว่า
ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าเจ้ากระต่ายมาเฟียแห่งเฟอร์รารี่นี่แสบขนาดไหน
ไม่ได้ใสๆอย่างที่เห็นด้วยตาเปล่าหรอก
เชื่อได้เลยว่าคนที่กล้าหาเรื่องเขามันต้องโดนเจ้ากระต่ายร้ายๆนี่เอาคืนอย่างสาสมแน่ๆ
ฮึ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวอีกซักสองสามตอนก็จะตัดเข้าบทสุดท้ายแล้ว
(ซึ่งบทสุดท้ายน่าจะมีอีกไม่ต่ำกว่าห้าตอนถถถ) แต่ก็นะ
จะไปเที่ยวกันเฉยๆก็กลัวจะเบื่อ555 เลยแอบแทรกเรื่องในสนามแข่งอีกหน่อย อิอิ คือการแข่งรถอ่ะมันไม่ได้สนุกเฉพาะการแข่งในสนามอย่างเดียว
เรื่องของนักขับทั้งระหว่างทีมหรือในทีมเดียวกันเนี่ยก็น่าติดตามมาก มีทั้งรบข้ามทีม
รบในทีมเดียวกัน รักกันข้ามทีมก็มี รักกันในทีมเดียวกันก็มี
เต็มไปด้วยสงครามและความรัก(?)มากค่ะ555 คู่จิ้นมีทุกวงการ กร๊ากกก
ส่วนฉากของฟิคตอนนี้
หมู่บ้านไบบิวรี่(หรือบางคนอ่านไบบุรี)ในคอตสโวลด์สนี่ก็สวยงามน่ารักโรแมนติกมากค่ะ
เรามีกระทู้รีวิวประกอบ (จริงจังมาก) 555
สวยเนอะ
>////<
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามมากๆนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า ขอไปนั่งมองท้องฟ้าสีครามกับเมฆสีขาวก่อง =////= บ้าจริงกัปตันเนี่ย เรือพุ่งทะลุจักรวาลไปแล้วค่ะ แอร๊ยยยย
ปล.ตอน
20.5 กับ 21.5 กะลังเขียนอยู่นาคะ รอหน่อยน้า มันต้องใช้พลังงานเย้ออออ 555+
ไม่ได้มาตามฟิคคุณกวางนานม๊ากค่ะ ตั้งแต่สมัยรีเอ วันนี้เลย23ตอนรวดเลยค่ะ ตอนหวานก็คือจิกหมิน กัดมุมขาดไปหมดแล้วค่า ส่วนตอนพี่จ้านร้องไห้ก็คือร้องตามไปเลย รอติดตามต่อนะคะ //ปูเสื่อ
ตอบลบ