KW Original [พ่อใหญ่xกลิ่นแก้ว] คู่ชีวิต : 03
:
KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า
:
พ่อใหญ่ x กลิ่นแก้ว
:
Period Romantic Drama
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด
: อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
การมาเริ่มฝึกเป็นเพชฌฆาตเอาตอนอายุสิบสี่ปีนั้นถือว่าช้ามาก
ถึงแม้จะเคยจับดาบเพชฌฆาตจำลองที่พ่อใช้ฝึกเพลงดาบมาบ้างและมีพื้นฐานการเขียนอักษรขอมกับภาษาบาลีสันสกฤต
แต่มันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
เพราะฉะนั้นการเข้าสำนักครูเพชฌฆาตวันแรกจึงไม่ใช่อะไรที่น่าประทับใจนักสำหรับเจ้าแก้ว
ยิ่งศิษย์เอกที่จะถูกสั่งสอนจากพระอาจารย์โดยตรงมีกันอยู่แค่สองคนแบบนี้…เขาจึงโดนเปรียบเทียบกับอีกคนไปโดยปริยาย
เป็นต้นว่า
“เจ้ามิเคยฝึกเพลงดาบหรือหมัดมวยมาก่อนเลยสินะ? ร่างกายถึงได้ผอมแห้งแคระแกร็นเช่นนี้?
ต่อไปให้ฝึกหวดดาบทุกวันจนกว่ากล้ามแขนจะใหญ่เท่าเจ้าใหญ่ล่ะ
ดูเอาไว้เป็นตัวอย่างเสีย”
“......”
“ยกดาบแค่นี้ก็ถึงกับแขนสั่นแล้วรึ? เฮ้อ…เช่นนั้นวันนี้ก็นั่งดูแล้วจดจำท่ารำดาบไปก่อนก็แล้วกัน
เพลงดาบของเจ้าใหญ่นั้นสง่างามและแข็งแรงจนขนาดทหารในกองทัพก็ยังสู้มิได้เลยนะ
ดูไว้เป็นตัวอย่างเสีย”
“......”
“เจ้าพอจะรู้คาถาพื้นฐานนั้นเป็นสิ่งดี
แต่เพชฌฆาตเราจำเป็นต้องรู้ให้เท่าทันนักโทษประหาร ต้องรอบรู้
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคาถาอาคมในทางใด คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม บริโภคทรัพย์
เสน่ห์ยาแฝก หรือแม้แต่คุณไสยมนต์ดำ เราก็ต้องรู้และแก้ไขให้ได้
ฉะนั้นวันนี้ข้าจะสอนหนึ่งในพระคาถาที่ถูกจารึกไว้ในตำราพิชัยสงครามให้เจ้า
เป็นคาถาครอบจักรวาลเด่นเรื่องคงกระพันฟันแทงไม่เข้า ป้องกันภูตผีและสัตว์ร้าย
นามของพระคาถาคือ ข่ายเพชรพระพุทธเจ้า เดี๋ยวเจ้าท่องตามเจ้าใหญ่นะ
เสียงเจ้าใหญ่ชัดเจนกังวานกว่าคนแก่แบบข้ามาก ฟังไว้เป็นตัวอย่างเสีย”
“.......”
“การลงยันต์ก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ควบคู่ไปกับพระคาถา
เพื่อส่งเสริมให้คาถานั้นมีพลังอำนาจมากขึ้น เพราะฉะนั้นการเขียนอักขระในยันต์จึงสำคัญ
เจ้าฝึกเขียนตามเจ้าใหญ่ได้ ลายมือของเจ้าใหญ่งดงามตามตำรามิมีผิดเพี้ยน
จงดูไว้เป็นตัวอย่างเสีย”
“......”
“จงดูไว้เป็นตัวอย่างเสียๆๆๆ!!” ริมฝีปากรูปกระจับบ่นอย่างคับแค้นในใจเมื่อถึงเวลาเลิกเรียนและได้อยู่ตามลำพัง...เขาไม่เคยพ่ายแพ้ใครจนหมดรูปแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ
อ๋อ~ เข้าใจแล้ว~
การรู้สึกหมั่นไส้ใครบางคนที่พี่บัวคงจะเป็นมาตลอด
มันคงเป็นเช่นนี้นี่เอง!
“ฮึ่ย! ที่ข้าสู้มิได้เป็นเพราะข้าเริ่มช้ากว่าเท่านั้นเอง!” ใบหน้าเล็กบ่นอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนจะเก็บตำราลงย่ามโครมคราม
“...!” แล้วจู่ๆมือขาวก็หยุดใช้ความรุนแรงกับของที่ไม่มีทางสู้อย่างตำราคาถา
ก่อนใบหน้ารูปไข่จะยกยิ้มร้ายๆเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
บอกไว้ก่อนว่าเขามิใช่คนดีอย่างพี่บัวที่จะเก็บกดทุกอย่างเอาไว้ในใจ!
และการหาทางระบายออกของเขาก็คือต้องเอาคืนเจ้าคนน่าหมั่นไส้นั่นเท่านั้น! ฮึ!
ดวงกลมตาใสเปลี่ยนเป้าหมายจากที่คิดจะกลับบ้านเป็นมองหาแผ่นหลังของเจ้าใหญ่ทันที
จากที่ร่ำเรียนมาด้วยกันสองวันทำให้รู้ว่าเจ้าหมอนั่นมิใช่คุณชายที่พอเรียนเสร็จก็จะมีบ่าวไพร่ขนขบวนกันมารับกลับบ้านอย่างที่ลูกเจ้านายหลายๆบ้านเป็น
แต่หมอนั่นกลับไปไหนมาไหนตามลำพัง มาก็เช้า กลับก็เย็น
ต่อให้เลิกเรียนแล้วก็ยังอยู่ฝึกฝนวิชาต่อไปจนใครเขากลับกันหมดแล้ว
แต่ก็ดีละ!
ข้าจะแกล้งให้สาแก่ใจไปเลย!
ดวงตาซุกซนเจอเป้าหมายจนได้
เจ้าใหญ่ยืนพนมมือท่องคาถาอยู่ใต้ต้นฉำฉายักษ์ริมคลอง
กิ่งก้านของมันแผ่สาขาให้ร่มเงามืดครึ้ม...ช่างเป็นฉากที่เหมาะแก่การตกน้ำเสียจริงๆว่าหรือไม่?
“ฮึๆๆๆ” ร่างเล็กหัวเราะในลำคอมิต่างจากผู้ร้าย
สายตาตรึงเป้าหมายก่อนจะวางสัมภาระทุกอย่างลงอย่างแผ่วเบา
เขาค่อยๆย่อง...ย่อง...ย่อง...เข้าไปใกล้ร่างที่ยังยืนหันหลังไม่รู้เรื่องรู้ราว
เขาตั้งใจจะผลักให้เจ้าคนน่าหมั่นไส้นั่นตกน้ำไป
แล้วก็จะยืนหัวเราะมันที่มีสภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำให้สะใจไปเลย ฮึ!
มือเล็กกางนิ้วทั้งห้าพร้อมรอยยิ้มชอบใจ
กำลังท่องคาถาเพลินๆแบบนี้ไม่มีทางรู้และป้องกันตัวได้แน่ จงตกน้ำไปซะเจ้าคนอวดดี!
ผลั่ก!
แขนเล็กผลักร่างที่สูงกว่าตัวเองเต็มแรง
ถึงเขาจะไม่ได้มีกล้ามใหญ่โตแต่ก็อย่าดูถูกลิงทโมนที่ห้อยโหนต้นไม้อยู่ทุกวันนะ!
“หื๋อ?”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อแรงต้านมันไม่หมดลงเสียที?
ปกติแล้วต้องมีเสียงตู้มตกลงน้ำไปแล้วนี่?
“?”
เขาเงยมองแผ่นหลังที่ยังไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยนั่นด้วยความสงสัย? ไอ้หมอนี่!
ทำไมมันถึงแข็งปั่กเป็นหินแบบนี้เนี่ย?!!
“ฮึ่ย!”
แต่มาจนถึงขนาดนี้แล้วจะให้เสียศักดิ์ศรีวิ่งหนีก็คงมิใช่
เจ้าแก้วจึงยังดึงดันออกแรงผลักอีกฝ่ายต่อไป
แต่เจ้าใหญ่ก็แข็งแกร่งมากจนแรงเท่ามดนั้นมิอาจสั่นคลอนอะไรได้เลย
“....?” ใบหน้าคมคายยังอุตส่าห์หันมามองด้วยความสงสัย
ความรู้สึกเหมือนมีใครมาสะกิดสักอย่าง?
“ฮึบบบ อื้อออ!” ในขณะที่อีกคนนั้นกำลังออกแรงผลักหน้าดำหน้าแดง และมันก็ทำให้คนที่มิเคยคิดร้ายกับใครเข้าใจไปอีกทาง
“?
ข้าขวางทางเจ้ารึ? เช่นนั้นข้าจะหลบให้” จู่ๆร่างสูงใหญ่ก็ก้าวขาหลบให้
ถึงจะสงสัยก็เถอะนะว่าที่ทางมีตั้งมากมาย จะมาอยากเดินอะไรตรงนี้นัก?
“ห๊ะ? เดี๋ยว ไม่ชะ เหวอ~~!” และนั่นก็ทำให้คนที่กำลังผลักคนอื่นอยู่ดีๆถึงกับเซแท่ดๆไปข้างหน้า
สองขาคว่ำคะมำลงน้ำเสียเองแบบฉุดไม่อยู่
ตู้ม~~!!
เสียงน้ำแตกกระจายเป็นวงใหญ่เพราะคนที่ตกลงไปลงด้วยท่าพิศดารเต็มที
ลูกชายท่านโหรได้แต่ยืนงงอยู่ในดงฉำฉา มองเจ้าปลาตะเพียนยักษ์นั่นตีแขนตีขาบนน้ำอย่างสับสน
เจ้าแก้ว
ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่เนี่ย? ให้เขาหลบเพราะอยากจะเล่นน้ำ?
ไม่สิ?
หรือที่จริงแล้วเด็กคนนี้ตั้งใจจะผลักเขาลงน้ำ?
เด็กชายยืนลูบคางคิดทบทวนท่าทีของอีกฝ่ายอย่างสุขุม...ในขณะที่เจ้าตัวดีกำลังตีน้ำอย่างกับปลากระดี่...นี่ก็ท่าว่ายน้ำอะไรอีก?
เจ้าใหญ่ที่ไม่เคยเจอสถานการณ์ชวนงงเช่นนี้ถึงกับทำอะไรไม่ถูก
“อื้อ! อย่ามัวแต่ยืนดูสิ! แค่ก! ข้าว่ายน้ำไม่แข็ง
ลงมาช่วยข้าด้วยสิ!” เจ้าคนที่คิดจะผลักเขาตกน้ำตะโกนโวยวายขึ้นมาจากในคลอง
“..........ห๊ะ?” นี่มันยังไงกันนะ?
อีกฝ่ายตั้งใจจะผลักเขาตกน้ำไม่ใช่รึ? แต่กลับเรียกให้เขาลงไปช่วยเนี่ยนะ?
“ลงมาสิเจ้าบ้านี่! แขนข้าจะหมดแรงแล้ว!” เจ้าแก้วตะโกนไปตะกุยน้ำไป
ลูกหมาตกน้ำแท้ๆ~เลยนะนั่น...
“อ่า
อื้ม?” มือใหญ่วางตำราคาถาลงอย่างมึนงง
ก่อนจะกระโดดลงน้ำไปช่วยอีกฝ่ายขึ้นมาจนได้...???
ใช่...เขายังงงไม่หาย
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“เจ้า!
ทำไมไม่ตกน้ำไปเสียเล่า! ข้าผลักเจ้าเจ้าก็ต้องตกลงไปสิ!” ขึ้นมาได้ก็งอแงใส่เขาทันที มือเล็กทุบปั่กๆมาที่ต้นแขนเขาอย่างไม่ปรานี
เขาจึงได้แต่มองใบหน้าเปียกชุ่มและเนื้อตัวเปียกโชกนั่นอย่างอึ้งๆ
บัดนี้เขาแน่ใจแล้วว่าเจ้าแก้วตั้งใจจะแกล้งเขาจริงๆ
ในเมื่อผู้ร้ายรับสารภาพเองเสียขนาดนี้
“....เจ้าแกล้งข้า
ข้าต้องทำตามด้วยรึ?”
“ใช่!” ใบหน้าเปียกลู่ตอบเสียงแข็ง
.........ห๊ะ?
“ฮึ!
ฮะฮะฮะ”
เขาถึงกับหลุดขำออกมาเป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้งงงทั้งขำ ไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ
“อะไรกันเล่า
หัวเราะทำไม!
จำไว้เลยนะ ข้าจะแกล้งเจ้าให้เจ็บแสบเลยคอยดู! จะเอาคืนในส่วนของพี่บัวให้ครบเลยด้วย!” เจ้าแก้วลุกขึ้นบีบน้ำที่ชายเสื้อก่อนจะมองเขาตาเขียว
ชื่อของพี่บัวที่หลุดออกมาจากปากเจ้าแก้วทำให้เสียงหัวเราะและรอยยิ้มหายไปจากใบหน้าเขาทันที
“...เจ้าจะกลับบ้านแล้วใช่หรือไม่?
เดี๋ยวข้าเดินไปส่ง”
เขาลุกขึ้นยืนตาม...ถ้าเขาถือโอกาสนี้เริ่มต้นใหม่กับน้องชายของพี่บัว
พี่บัวจะให้อภัยเขาบ้างไหม?...ความเข้าใจผิดระหว่างเราที่เขามิเคยได้มีโอกาสอธิบายออกไป...
“จะไปส่งทำไม?
ข้าแค่ตกน้ำมิได้ขาขาดเสียหน่อย!”
ร่างเล็กสะบัดตัวไปหยิบย่ามของตัวเองก่อนจะเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
แล้วเจ้าใหญ่ก็เดินตามเจ้าแก้วไปอย่างเงียบๆ...เดินตามห่างๆโดยมิได้พูดอะไร
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองท้องร่องอย่างมิรู้จะเริ่มต้นอย่างไร
ภาพสิ่งที่เขาเคยผิดต่อพี่บัวมักจะซ้อนทับอยู่ในหัว
ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้ ทำไมเขาไม่เข้าไปพูด ไปอธิบาย ไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย
เขาเฝ้าคิดมาตลอดหลังจากพี่บัวตายไป มันกลายเป็นความผิดที่กัดกินหัวใจเขาไปแล้ว
และเขาก็ไม่อยากให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นระหว่างเขากับเจ้าแก้วอีก
ครั้งนี้เขาจะพยายาม...พยายามเข้าหาอีกฝ่ายให้มากขึ้น
ต่อให้โดนผลักไส ต่อให้โดนไล่ราวกับหมูหมา เขาก็จะพยายาม
แต่มันควรจะเริ่มยังไง?
การเปิดบทสนทนาพูดคุยกับใครก็ตามที่นอกเหนือจากเรื่องหน้าที่การงานนั้นมันต้องทำอย่างไร?
ต้องคุยเรื่องอะไร? เขาไม่รู้เลย
“นี่เจ้า!
จะเดินตามข้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่?
ยิ่งเดินเงียบๆแบบนี้ข้าก็นึกว่าเจ้าจ้องจะบีบคอข้าเสียแล้วนะ! หน้าตาก็ดีทำไมหลอนเช่นนี้?”
กลับเป็นเจ้าคนปากดีที่เริ่มบ่นออกมาก่อน
ใบหน้ารูปไข่เหล่มองเขาอย่างหวาดระแวงจริงๆ
“.....เช่นนั้น
เจ้าอยากให้ข้าพูดสิ่งใดกับเจ้าเล่า?”
เขาลองถามออกไป ในเมื่อตัวเขาเองคิดไม่ได้เผื่อเจ้าแก้วจะคิดออก?
“อืม....ถ้างั้นเจ้าท่องคาถาให้ข้าฟังซิ!
คาถาที่เจ้าร่ำเรียนมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้!” คนหนึ่งหวังจะครูพักลักจำ
ส่วนอีกคนก็พยักหน้าอย่างยินดี
เสียงทุ้มจึงท่องคาถาดังกังวานไปทั่วป่ามะนาว
ผีสางที่เคยอาศัยอยู่ในนี้ต่างก็หนีแตกกระเจิงไปหมด ร่างเล็กเดินกอดอกนำหน้าผงกหัวหงึกๆราวกับกำลังจดจำ
ส่วนคนเดินตามก็มองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบางๆ
ทั้งคู่ต่างเปียกมะล่อกมะแล่กหัวหูยับยุ่ง
ถึงจะเป็นภาพที่ดูแปลกปละหลาดแต่กลับอบอุ่นเข้ากับแสงสีส้มของแดดยามเย็นที่สาดส่องเข้ามา...
หลังจากส่งเจ้าแก้วเสร็จ
นายน้อยของจวนโหรหลวงก็กลับถึงบ้านตนเองตอนพลบค่ำพอดี
ผู้เป็นพ่อยืนลูบเครามองเด็กชายที่กำลังจะกลายเป็นเด็กหนุ่มในอีกไม่นานอยู่บนหัวบันไดชานเรือน
อันที่จริงท่านโหรหลวงมองเห็นเด็กชายตั้งแต่ที่เดินออกจากสวนมา
คนเป็นผู้ใหญ่ได้แต่ส่ายหน้า
ทั้งๆที่จะให้บ่าวไพร่เอาเรือไปรับก็ได้แต่เจ้าใหญ่กลับขอเขาว่าจะไปและกลับเอง
ชอบไปไหนมาไหนด้วยตนเองมากกว่า ไม่ชอบให้มีคนติดตาม
แต่ก็นั่นละนะ
นี่อาจจะเป็นลักษณะจำเพาะของคนที่มีดวงเพชฌฆาตก็เป็นได้
ที่จริงคนที่มีดวงเช่นนี้มิใช่คนใจคอโหดร้ายแต่อย่างใด เป็นเพียงคนดวงแข็ง
มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ตัดสินใจเรื่องใดก็จะเด็ดขาดมิมีลังเล
ไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใดหากไม่จำเป็น ชอบอยู่ตัวคนเดียวไม่ชอบพึ่งพาใคร
เขาเห็นลักษณะเหล่านี้ได้จากเจ้าใหญ่ทั้งหมด
“มีเรื่องกระไรดีๆเกิดขึ้นรึ?” เขาเอ่ยทักเมื่อลูกชายเดินขึ้นบันไดมา
อันที่จริงสิ่งที่ทำให้เขามองตามเด็กชายตั้งแต่ไกลนั้นก็เพราะสังเกตเห็นสีหน้าพ่อใหญ่ดูมีความสุขต่างจากทุกที
ปกติมักจะกลับจากสำนักพระอาจารย์ด้วยใบหน้าเคร่งครึมราวกับกำลังทบทวนบทเรียนอยู่ในหัว
แต่วันนี้...ดูเหมือนจะมีเรื่องอื่นใดให้คิดเสียมากกว่า?
เจ้าใหญ่เพียงแค่อมยิ้มแล้วส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยถามเขาว่า
“ท่านพ่อ...ถ้าข้า...จะขออนุญาตพาเพื่อนมาที่บ้านบ้าง
ท่านจะอนุญาตหรือไม่?”
ผู้เป็นพ่อถึงกับเอียงคออย่างแปลกใจ
เพราะเท่าที่รู้ลูกชายไม่เคยมีคนที่เรียกได้ว่าเพื่อนมาก่อน...หรือจะเป็น!
“เจ้าแก้ว?
ลูกชายพ่อมิ่งเพชฌฆาตดาบที่หนึ่งนั่นน่ะรึ?”
ตอนนี้ก็น่าจะได้เวลาที่เด็กคนนั้นเข้ามาเรียนที่สำนักพระอาจารย์แล้วสินะ?
“ขอรับ” ลูกชายพยักหน้ารับ
ภาพใบหน้าเอาเรื่องกับดวงตาเขียวปั๊ดที่มองพ่อใหญ่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อในวันแรกที่เจอกันนั่นยังอยู่ในความทรงจำ...อย่างเด็กคนนั้นน่ะรึจะยอมเป็นเพื่อนกับพ่อใหญ่?
ถึงเขาจะประหลาดใจแต่ก็คงดูถูกดวงเนื้อคู่ของทั้งสองคนไม่ได้เสียกระมัง ฮ่าๆๆ
“เอาสิ
พามาได้เลย อยากมาเมื่อไหร่ก็มาเถิด
ข้าและจวนหลังนี้ยินดีต้อนรับเพื่อนของเจ้าเสมอ” เขายิ้มอย่างยินดีและนั่นก็ทำให้ใบหน้าของเด็กชายขึ้นสีน้อยๆ
“ขอบคุณขอรับท่านพ่อ”
ร่างที่สูงใหญ่เกินกว่าเด็กวัยเดียวกันเดินกลับเรือนของตัวเอง
บนใบหน้าคมคายยังคงมีรอยยิ้มอย่างดีใจ
ในห้วงความคิดยังมีเพียงแผ่นหลังเล็กๆที่เดินกอดอกนำอยู่ข้างหน้า
เจ้าแก้วนั้นไม่เหมือนใครจริงๆ
แต่ก็เพราะความไม่เหมือนใครนั่นแหละ ระหว่างเราจึ่งได้มีบทสนทนา?กันเช่นนี้
หากเป็นคนอื่น...ความเงียบงันก็คงจะโรยรอบไปตลอดทาง
ถึงจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังหาทางเอาคืนเขา
แต่น่าแปลกที่เขากลับมิได้ไม่ชอบใจเลยสักนิด? ซ้ำยังคิดว่าแผนการกลั่นแกล้งแบบเด็กๆนั่นมันก็น่ารักดีอีกต่างหาก?
การเรียนการฝึกฝนยังคงดำเนินต่อไป
เช่นเดียวกับแผนการเอาคืนศิษย์รักของพระอาจารย์ที่สุดแสนจะน่าหมั่นไส้ก็ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้
ณ
ต้นฉำฉาต้นเดิม
เพิ่มเติมคือตอนนี้เป็นเวลากลางวันและในมือบางก็มีปิ่นโตที่มิใช่ของตัวเองอยู่
“ฮึ!” ใบหน้าซุกซนเผยรอยยิ้มร้าย ปิ่นโตนี่จะเป็นของใครไปมิได้
มันก็ต้องของเจ้าใหญ่อยู่แล้ว!
ร่างเล็กนั่งคุกเข่าอยู่ริมขอบคลองในขณะที่มือก็ถือวาวสาสะเปิดปิ่นโตของคนอื่นไปด้วย
โอ้โห นี่มันปิ่นโตชาววังหรือกระไรกัน
ทำไมมันถึงได้อลังการงานสร้างถึงขนาดนี้เนี่ย?
ดูสิ
มีตั้งสี่ชั้นยังไม่พอ
แถมแต่ละชั้นยังอัดแน่นไปด้วยข้าวปลาอาหารทั้งของคาวของหวานครบ
สมกับที่เป็นบุตรชายของผู้มีอันจะกินเสียจริงนะ!
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ขโมยมันมาเพื่อกินเองหรอก!
มือบางเทปิ่นโตชั้นแรกลงน้ำอย่างไม่ไยดี
ข้าวสวยที่ยังร้อนๆอยู่กระจายหายลงคลองทันที
ตามมาด้วยแกงเนื้อชวนน้ำลายสอที่อยู่ในชั้นสอง
ผักต้มไข่ต้มกับน้ำพริกปลาย่างที่อยู่ในชั้นสาม และขนมชั้นกับผลไม้แกะสลักในชั้นที่สี่...
เคร้ง!
ก่อนจะโยนปิ่นโตพวกนั้นไว้ที่โคนต้นฉำฉาแล้วเดินตัวปลิวกลับมา
ใบหน้ามนกระหยิ่มยิ้มย่องที่ได้กลั่นแกล้งอีกฝ่าย
จงอดข้าวกลางวันไปเสียเถิดเจ้าคนน่าหมั่นไส้!
แล้วมาดูกันว่าบ่ายนี้เจ้าจะทนไหวได้อย่างไร
ข้าจะคอยสมน้ำหน้ายามที่เจ้าบ้านั่นเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าพระอาจารย์เพราะหิวข้าว
ฮึ ฮ่าๆๆ!
ร่างเล็กบางเดินอารมณ์ดีกลับไปที่แคร่ซึ่งวางห่อข้าวของตัวเองเอาไว้
แต่ก่อนจะได้เอ่ยเย้ยหยันคนที่คาดไว้ว่าคงกำลังพลิกแผ่นดินหาเถาปิ่นโตของตัวเอง...
กลับเป็นเขานี่แหละที่ต้องอ้าปากค้าง!
เพราะข้าวห่อใบบัวของเขาที่ควรจะวางอยู่บนแคร่
มันกลับไปอยู่ในปากเจ้าใหญ่หมดแล้วน่ะสิ!!
“เจ้า!
เอาข้าวของข้าไปกินได้อย่างไร?!”
ร่างเล็กตะโกนโวยวายและนั่นก็ทำให้ร่างสูงที่นั่งอยู่บนแคร่ถึงกับตกใจ
“ของเจ้า?”
เจ้าใหญ่เงยมองหน้าเขาทีสลับกับห่อข้าวในมือตัวเองทีราวกับไม่รู้เลยว่านั่นมิใช่ของตัวเอง
“ก็ใช่น่ะสิ
นั่นมันข้าวห่อใบบัวของข้า!”
มือเล็กชี้นิ้วอันสั่นระริกใส่หน้า
ดวงตาก็เหลือกมองข้าวห่อใบบัวที่ไม่เหลือข้าวเลยสักเม็ด
ถึงจะดีใจแทนแม่ที่มีคนบ้ากินหมดไม่เหลือแม้แต่ผักสักชิ้นแต่มันก็ไม่ใช่เวลาแล้วไหม! แล้วกลางวันนี้เขาจะกินอะไรล่ะเฮ้ย?! กรรมจะตามทันก็ให้มันนานกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้เร๊อะ!!
“......ข้าก็ยังว่าอยู่...วันนี้ปิ่นโตมันแปลกๆ
แล้วมันก็น้อยไปหน่อย...?”
เจ้าใหญ่ลูบคางมองใบบัวว่างเปล่าพลางพูดงึมงำ
นี่ไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์นะโว้ย เอาข้าวข้าคืนมา!!
ร่างเล็กแทบจะพุ่งเข้าไปหยุมหัว
ดีที่มือใหญ่รวบข้อมือทั้งสองข้างนั่นชูเหนือศีรษะเอาไว้ได้ก่อน ตอนนี้สภาพเจ้าแก้วจึงแทบจะห้อยต่องแต่งๆบนพื้น
“เช่นนั้นแล้ว...ปิ่นโตของข้าล่ะ?”
เจ้าใหญ่หันมามองเขาหลังจากวิเคราะห์อย่างสุขุมเรียบร้อยแล้ว
“อึ้ก! เอ่อ.....” และนั่นก็ทำเอาคนผิดที่แท้จริงถึงกับกรอกตามองสี่ทิศสิบสองนาฬิกาอย่างเลิ่กลั่กเหงื่อกาฬแตกพลั่กออกอาการพิรุธเสียจนคนหัวดีเริ่มรู้ทัน
เจ้าแก้วเอาปิ่นโตของเขาไป?
ตั้งใจจะแกล้งกันอีกแล้ว?
โคร่ก~
เสียงท้องร้องดังมาจากคนที่ยังถูกจับห้อยเอาไว้
ทำเอาเจ้าใหญ่เอียงคออย่างแปลกใจ
“เจ้าไม่ได้กินมันรึ?”
โคร่ก~~~
“กินแล้วท้องจะร้องเช่นนี้หรือไงเล่า~” เจ้าแก้วประท้วงพลางดิ้นไปมา
แกล้งเขาแล้วก็ถูกเขาจับได้ทันทีแบบนี้นี่มัน...ซ้ำยังดูเหมือนจะถูกกรรมตามสนองทันควันอีกต่างหาก.....
“....ข้า...ขอโทษที่กินข้าวของเจ้าไป
ข้าไม่รู้ ข้านึกว่านั่นคืออาหารกลางวันที่บ่าวในบ้านนำมาวางไว้ให้
พวกเขาจะเอามาให้ตอนใกล้ๆเพล ข้าไม่ได้ถือมันมาเองตั้งแต่เช้า
ข้าจึงไม่รู้ว่าแต่ละวันปิ่นโตของข้าจะเป็นเช่นไร
แล้ว...ข้าก็เห็นว่าข้าวห่อใบบัวนี้วางอยู่ลำพัง เจ้าก็ไม่อยู่แถวนี้
ข้าเลยนึกว่ามันเป็นของข้า ข้าขอโทษนะ
เดี๋ยวข้าจะกลับไปเอาปิ่นโตที่บ้านมาให้เจ้าใหม่ เจ้ารอก่อน” นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาออกปากแก้ตัวและเอ่ยขอโทษยาวเหยียดขนาดนี้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด
ปกติแล้วหากเขาทำผิดเขาก็จะขอโทษสั้นๆโดยไม่คิดจะแก้ตัวใดๆแต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป
มือใหญ่ปล่อยมือบางออกจากพันธนาการแล้วตั้งท่าจะเดินกลับบ้านจริงๆ
“ฮึ่ย!
ไม่ต้อง! ถือเสียว่าข้าก็เอาของเจ้าไปก็แล้วกัน!”
ใบหน้าเล็กแยกเขี้ยวก่อนจะสะบัดตัวเดินหนีไป
ใบหน้าคมคายมองตามอย่างเป็นห่วงคนไม่ได้กินข้าวกลางวันแต่ก็ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะพระอาจารย์ลงมาที่ศาลาเรียนแล้ว
หากบอกว่าจะกลับบ้านไปเอาปิ่นโตใหม่คงถูกพระอาจารย์ซักไซร้และเรื่องที่เจ้าแก้วกลั่นแกล้งเขาก็คงจะแดงขึ้นมาแน่
เขา...ก็ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายโดนดุ...
ร่างสูงจึงเลือกที่จะปิดบังทุกอย่างเอาไว้
แล้วช่วงบ่ายวันนี้วิชาที่ร่ำเรียนก็มิได้ปรานีต่อคนไม่ได้กินข้าวเลยสักนิด...
เคร้ง!
ดาบในมือบางเริ่มเงื้อฟันอย่างสะเปะสะปะเพราะตาเริ่มลาย
ต้องโทษความฉลาดของตัวข้าเองนี่แหละที่ดันวางแผนมาดีเกินไป!
เพราะความตั้งใจก็จะใช้วิชาฝึกดาบที่ต้องใช้แรงมากๆนี่แหละทำให้เจ้าใหญ่ที่ไม่ได้กินข้าวมันเป็นลม! แต่ใครจะไปคิดว่ากรรมมันจะตามสนอง ของมันจะเข้าตัวเสียเองแบบนี้! เริ่มฝึกไม่ทันสิบนาทีเขาก็เริ่มจะหน้ามืดแล้วเนี่ย!
“เจ้าแก้ว!
เพลงดาบสำนักไหนของเจ้าถึงได้ดูเหมือนตั๊กแตนเมาเหล้าขาวเช่นนี้!”
พระอาจารย์ตะโกนด่าปาวๆมาจากในศาลาเรียน ท่ารำดาบของเขาคงจะตลกมากในตอนนี้
ปัดโธ่!
ลองพระอาจารย์ไม่ได้กินข้าวมารำดาบก็มีสภาพไม่ต่างจากข้าหรอกน่า!
เขาได้แต่เถียงในใจเพราะตอนนี้แม้แต่แรงจะยกไม้กวาดยังแทบไม่มี
แล้วจู่ๆโลกทั้งใบก็ดับมืดไป
“แก้ว!!”
เสียงสุดท้ายที่แว่วเข้าหูมาก็คือเสียงของเจ้าใหญ่...จากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป...
“......”
ดวงตากลมใสกระพริบปริบๆเมื่อมันเปิดขึ้นมาอีกครั้ง ตะวันคล้อยหลังต้นไม้ลงต่ำบ่งบอกว่าได้เวลาบ่ายแก่ๆแล้ว
“......?” แล้วนี่ข้านอนอยู่ที่ใดกัน?
แคร่ข้างลานฝึกรึ? ร่างเล็กพยายามลุกขึ้นนั่งก่อนจะเห็นว่าข้างๆมีเจ้าใหญ่นั่งมองด้วยสายตาห่วงใยอยู่?
“...เจ้าเป็นลมหมดสติไป วันนี้พระอาจารย์เลยให้เลิกฝึกได้…” เสียงราบเรียบเอ่ยบอก
ใบหน้ารูปไข่หันมองสิ่งที่ใช้หนุนหัวตนก่อนจะพบว่ามันคือตั้งตำราคาถาที่ถูกปูทับด้วยผ้าอย่างใส่ใจ
นอกจากนี้ยังมีการบูร พิมเสน สารพัดสมุนไพรแก้วิงเวียนวางอยู่ไม่ไกล
ถึงจะรู้ว่าคงมิใช่ใครที่คอยดูแลเขาแต่ก็อดที่จะประชดประชันออกไปมิได้
“........คงสาแก่ใจเจ้าแล้วสิ ทำข้าเป็นลมต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ได้ ฮึ!” ใบหน้าเล็กเบะปากหน้างอ
“ข้ามิเคยคิดเช่นนั้น!” เจ้าใหญ่รีบปฏิเสธอย่างหนักแน่นทันที
“แล้วเดิมที…ข้าก็มิได้ตั้งใจจะแย่งข้าวเจ้ามากินด้วย…”
อึ้ก! เจ้าแก้วเหมือนถูกเข็มย้อนกลับมาทิ่มกลางอก
เพราะคนที่คิดแผนการชั่วร้ายทั้งหมดนั้นมันก็ตัวเขาเองนี่แหละ…
“ก็ได้! ข้าทำตัวเองก็ได้! ฮึ่ย” ใบหน้าเล็กสะบัดหนี
ตอนนี้ยังไม่มีแรงจะสู้กลับ ท้องยังร้องจ๊อกๆอยู่เลยเนี่ย
เพราะเช่นนั้น…พอเจ้าใหญ่ยื่นถาดหวายปูใบตองที่มีขนมสีฟ้าหยดตรงกลางด้วยไข่สีทองหน้าตาน่าทานมาตรงหน้า
เขาถึงได้เปลี่ยนทีท่าเฉย
“ขนมบุหลันดั้นเมฆ ข้าให้คนไปเอาจากที่บ้านมาให้ พอดีตอนนี้ยังมิใช่เวลาอาหารเลยไม่มีสำรับกับข้าวเหลือแล้ว
ข้าต้องขอโทษด้วยที่หาให้เจ้าได้เท่านี้ เจ้ากินรองท้องไปก่อนสิ
ยังมิมีสิ่งใดตกถึงท้องเลยนี่?” เจ้าใหญ่อธิบายเสียยืดยาว
ดวงตาก็จ้องมองคนที่มีท่าทางสนใจขนมในถาดอยู่ไม่น้อย
“บะบุหลันอะไรนะ?”
“บุหลันดั้นเมฆ เป็นขนมชาววังชนิดหนึ่ง”
“อ๋อ~ พ่อเจ้าเป็นโหรหลวงก็คงเข้านอกออกในวังแทบทุกวันสินะ
ในเมื่อเจ้าเอามาขอโทษข้า ข้าก็จะรับไว้ก็แล้วกัน” จะคิดอย่างนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก
เพราะมันเทียบกับใบหน้าตื่นตาตื่นใจที่เจ้าแก้วแสดงออกมาไม่ได้เลย
เขามองมือเล็กที่หยิบขนมเข้าปากพลางกินเอาๆ
เขามองริมฝีปากสีระเรื่อ มองลิ้นเล็กๆที่แล่บเลียเศษขนมที่เลอะอยู่รอบๆ
เขามองแก้มกลมที่อมขนมก่อนจะเคี้ยวตุ้ยๆ
เขาไม่เคยเห็นใครที่กินแล้วดูน่าอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
“ยังมีอีกมาก เจ้าเอากลับไปกินที่บ้านด้วยสิ
แล้ววันนี้ก็ให้ข้าเดินไปส่งเจ้า เผื่อเจ้าเป็นลมตกท้องร่องไปข้าจะได้คว้าเจ้าไว้
ขนมจะได้ไม่เสียหาย” เจ้าใหญ่พยายามตะล่อม
“.....ตามใจเจ้าสิ ขาก็ขาของเจ้า จะเดินไปไหนมันก็เรื่องของเจ้า”
เจ้าแก้วเหล่ตามองก่อนจะเชิดหน้าพูดออกมา
ไม่ได้โดนตกได้ด้วยของกินหรอกนะข้าน่ะ!
พ่อมิ่งแทบจะวิ่งขึ้นเรือนมาด้วยจิตใจที่ร้อนลนเสียเต็มประดา
สำนักครูเพชฌฆาตกับกรมราชทัณฑ์ก็มินับว่าห่างไกลกันเรื่องข่าวสาร
เช่นนั้นเขาจึงรู้เรื่องที่เจ้าแก้วฝึกหนัก?จนถึงกับเป็นลมเป็นแล้งคาสำนัก
เลยรีบเร่งกลับบ้านมาดูด้วยความเป็นห่วง
แต่แทนที่จะได้พบลูกชายในสภาพหน้าดำคร่ำเครียดขอบตาแดงกล่ำ
เขากลับเจอเจ้าแก้วที่กำลังนอนหลับน้ำลายยืดมือเกาพุงขยับปากแจ๊บๆอยู่บนตั่งชานเรือนเสียอย่างนั้น…
“แม่กิ่ง…ลูกชายเจ้ามิได้เป็นลมล้มพับเพราะฝึกหนักหรอกรึ?”
มือใหญ่เอานิ้วจิ้มแก้มใสให้คนหลับส่งเสียง ‘คร่อก’ รับกลับมา
สภาพไม่ได้เหมือนคนฝึกหนักแต่อย่างใดเลยนะ? ซ้ำแก้มยังดูมีน้ำมีนวลอ้วนฟูกว่าตอนก่อนเข้าสำนักเสียอีก?
มือนี่ก็ยังมีขนมคาอยู่เลยด้วย
“เป็นลมน่ะใช่ แต่เป็นเพราะฝึกหนักที่ไหนกันล่ะ!
ลูกชายพี่น่ะไปแกล้งพ่อใหญ่เขาไว้ต่างหาก” แล้วผู้เป็นแม่ก็แฉวีรกรรมที่เค้นคอลูกชายมาได้
ผู้เป็นพ่อฟังจบก็ทอดสายตามองเจ้าตัวดีอย่างละเหี่ยใจ…เขาควรจะโล่งใจหรือควรจะเครียดดี?
งงไปหมดแล้วตอนนี้
“พี่มาก็ดีแล้ว ช่วยอุ้มลูกเข้าไปนอนในห้องหน่อยเถอะ
ข้าเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น เดี๋ยวยุงก็หามไปพอดี”
“อื้ม” มือใหญ่วางดาบลงก่อนจะหันมาอุ้มลูกชาย
โตจนป่านนี้แล้วยังต้องให้พ่ออุ้มเข้านอนอีกนะเจ้าลูกคนนี้
ตอนเจ้าบัวอายุเท่านี้ก็เลิกพึ่งพาพ่ออย่างเขาไปนานแล้ว
ซ้ำเวลานี้คงยังนั่งท่องตำราทวนคาถาอยู่ในห้องไม่มาหลับน้ำลายยืดแต่หัววันเช่นนี้หรอก
ดวงตาคมกล้ามองขนมที่ไม่คุ้นตานั่นชัดๆเมื่อได้ก้มลงมาใกล้…บุหลันดั้นเมฆ?
“ใครให้ขนมเจ้าแก้วมารึ?” เขาหันไปถามแม่กิ่ง
“เห็นว่าพ่อใหญ่ให้มาเพื่อเป็นการขอโทษน่ะ ขอโทษอันใดกัน
ตัวเองเป็นคนผิดแท้ๆนะเจ้าลูกคนนี้” แม่กิ่งส่ายหน้าในขณะที่นั่งพับกลีบบัวต่อ
“พ่อใหญ่นี่ก็เป็นเด็กดีผิดคาดนะ เดินมาส่งเจ้าแก้วมันทุกวัน
ซ้ำยังมีสัมมาคาราวะ เจอหน้าข้าก็ยกมือไหว้” เขาฟังผู้เป็นภรรยาพูดอย่างแปลกใจ
เพราะเท่าที่เคยได้ยินมาลูกชายของท่านโหรหลวงนั้นมิได้ใกล้เคียงกับคนที่จะทำอะไรเช่นนี้เลย?
วันถัดมา
ร่างเล็กบางเดินเช็ดมือหลังจากไปล้างมันมาเพื่อเตรียมจะกินข้าวกลางวัน
แต่พฤติกรรมของอีกคนที่นั่งอยู่บนแคร่ก็ทำให้ใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวประบ่าต้องเอียงคออย่างสงสัย
“?
ทำไมเจ้ายังไม่กินอีก?” ก็เจ้าใหญ่ทำท่าเหมือนกำลังนั่งรออะไรอยู่?
ปิ่นโตของตัวเองก็ยังไม่เปิดออกมา?
“ข้ากลัวจะเป็นอย่างเมื่อวาน
ข้าต้องได้เห็นเจ้ากินก่อนข้าถึงจะสบายใจ”
ใบหน้ามนแอบขึ้นสีที่เป็นฝ่ายได้รับสายตาแห่งความห่วงใยเช่นนั้น...ทั้งๆที่เขาเป็นฝ่ายแกล้งเจ้าใหญ่ก่อน
แต่แทนที่จะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพระอาจารย์กลับไม่พูดอะไรเลย
“อะ
อะไรของเจ้า”
ร่างเล็กกระแทกกายนั่งลงบนแคร่ก่อนจะหยิบห่อข้าวของตัวเองออกมา
แม่ห่อทุกอย่างใส่ใบตอง ไม่ว่าจะข้าวสวย หมูทอด ปลาสลิด
เพราะเขาเคยเล่นซนจนไปลืมปิ่นโตไว้ที่ใดก็ไม่รู้หลายสิบเถาจนแม่ระอาจึงดัดสันดานเขาด้วยการห่อข้าวมันด้วยใบตองนี่แหละ
ดวงตากลมใสแอบเหลือบมองในปิ่นโตของคนข้างๆอย่างอยากรู้อยากเห็น
ว่าวันนี้เจ้าคนมีฐานะนี่จะเอาอะไรมากิน!
แล้วใบหน้าเล็กก็ถึงกับหันควับมาจ้องมองเม็ดอะไรบางอย่างในปิ่นโตอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
“นี่เม็ดอะไร?”
เจ้าแก้วถามถึงสิ่งที่สงสัยออกมาทันทีอย่างไม่ห่วงมาดใดๆ
และนั่นก็ทำให้ระหว่างเราเกิดบทสนทนาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
หากเป็นคนอื่น...ก็คงจะมึนตึงใส่เขา
หรือไม่ก็เฝ้าอิจฉาที่ได้เห็นอาหารดีๆเช่นนี้
“เม็ดมะม่วงหิมพานต์
นี่คือไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เจ้าลองทานดูสิ”
เขาแอบลุ้นในใจว่าเจ้าแก้วจะมีปฏิกิริยาเช่นไร จะปฏิเสธหรือไม่
จะน้อยเนื้อต่ำใจหรือเปล่า?
“งะ
งั้นข้าลองกินเม็ดหนึ่ง...”
แต่ดูเหมือนเขาจะกังวลมากไป เพราะตอนนี้ดวงตากลมใสคู่นั้นเป็นประกายวาววับและน้ำลายก็แทบจะทะลักออกมาจากริมฝีปาก
มือเล็กหยิบเม็ดมะม่วงเข้าปากก่อนจะหันมาทำตาโตใส่เขา...ชอบสินะ?
“...ถ้าถูกปากเจ้า...ก็กินอีกสิ” เขาออกปากชวน
หัวใจก็เต้นแรงกว่าปกติเพราะบริบทแบบนี้เขาไม่เคยทำกับใครมาก่อนเลยจริงๆ...มันคือการกินข้าวกับเพื่อน?
ใช่ไหม?
“ได้เหรอ?
ข้ากินอีกได้เหรอ?” เจ้าแก้วยิ้มแฉ่งอย่างลืมไปแล้วว่าตัวเองเพิ่งตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาอยู่หยกๆ
“อะ
อื้ม” เขาอมยิ้มหลังจากที่หัวเราะออกมาเบาๆ
เขามองแก้มใสที่เคี้ยวเม็ดมะม่วงตุ้ยๆอย่างชอบอกชอบใจ
ทั้งๆที่โดนแย่งกับข้าวแต่เขากลับรู้สึกว่ามื้ออาหารนี้มันช่างอร่อยกว่ามื้อไหนๆ
แล้วมันก็ยังไม่จบเพียงแค่นั้น
“เอ้า!”
จู่ๆเจ้าแก้วก็วางปลาสลิดทอดตัวหนึ่งลงมาบนปิ่นโตข้าวของเขา
ดวงตาคมกล้าจึงเบิกกว้างเหลือบขึ้นไปมอง
“ข้าไม่เอาของเจ้าฝ่ายเดียวหรอก
เดี๋ยวเจ้าจะคิดเป็นหนี้บุญคุณ ฮึ!” ถึงปากคอจะเราะรายแต่เจ้าปลาสลิดตัวนี้กลับทำให้หัวใจของเขาอุ่นวาบ
เขาได้รับทุกอย่างในฐานะเจ้านายของจวนโหราธิบดีมาตลอด
แต่ไม่เคยได้รับสิ่งใดในฐานะเพื่อนมาก่อน นี่จึงเป็นครั้งแรก...
“ขอบใจนะ...” เขามองเจ้าปลาตัวนั้นด้วยความซาบซึ้ง
ใจนึกอยากจะห่อมันกลับบ้านเก็บไว้เป็นที่ระลึกเลยทีเดียว
ก่อนจะหักเลี้ยวแทบไม่ทัน...
“ข้าไม่ได้ให้เจ้าเฉยๆนะ
แกะให้ข้ากินด้วยสิ” .....ห๊ะ?
“แม่ข้านี่ชอบบังคับให้ข้ากินปลาที่สุดแล้ว
เจ้ารู้หรือไม่ว่าก้างมันเยอะเพียงใด เพราะฉะนั้นแกะเอาแต่เนื้อมาให้ข้านะ
ก้างข้าไม่เอา”
เขานึกอยากจะขำพรืดออกไปเสียจริงๆ เจ้าเด็กคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่โกรธและยินดีที่จะทำให้
ไม่รู้เลยว่าเจ้าแก้วทำเล่ห์กลอันใดใส่เขาถึงได้เป็นเช่นนี้
มือใหญ่หยิบปลาเจ้าปัญหามาแกะให้แต่โดยดี
รอยยิ้มบางๆปรากฏได้ทุกครั้งที่เขามองเห็นเถาปิ่นโตที่อยู่ในมือ
มิรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ในหัวของเขากลับมีเรื่องราวของคนอีกคนที่นอกเหนือไปจากตำราเรียน
ร่างสง่างามเดินเลยบันไดทางขึ้นเรือนไป
สองขามุ่งหน้าไปยังเรือนครัวและนั่นก็ทำให้บ่าวไพร่ที่กำลังเตรียมอาหารอยู่ถึงกับแตกตื่น
“คุณใหญ่?! เอาวางไว้ที่หอนั่งดังเดิมก็ได้นะเจ้าคะ
เดี๋ยวบ่าวไปเก็บเองมิต้องเอามาให้ถึงนี่ก็ได้เจ้าค่ะ” แม่สายบัวหัวหน้าแม่ครัวถึงกับรีบแจ้นคุกเข่ามาหาเมื่อนายน้อยของบ้านวางเถาปิ่นโตลงที่แคร่หน้าเรือนครัว
“พอดีข้ามีเรื่องจะบอกป้าสายบัวด้วยน่ะ” น้ำเสียงของพ่อใหญ่มักจะราบเรียบแต่ก็ทรงพลังทำเอาโรงครัวที่วุ่นวายถึงกับเงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงน้ำเดือดสักปุด
“เจ้าค่ะ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?” หัวหน้าแม่ครัวยกมือขึ้นพนมกลางอกพลางตั้งใจฟัง
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ช่วยเพิ่มสำรับกับข้าวให้ข้าอีกหน่อย
และให้ทำอาหารแปลกตาที่เด็กชาวบ้านทั่วไปไม่รู้จักอย่างน้อยหนึ่งอย่าง”
“อาหารที่เด็กชาวบ้านไม่รู้จัก?”
เป็นคำสั่งที่แปลกประหลาดจนแม้แต่หัวหน้าแม่ครัวที่มีวัยวุฒิมากกว่าใครก็ยังมิอาจเข้าใจได้
“ก็อย่างเช่นเม็ดมะม่วงหิมพานต์ของวันนี้” และเมื่อได้ฟังแม่สายบัวที่เคยทำงานอยู่ในห้องเครื่องในวังก็ตบเข่าอย่างเข้าใจ
“อ๋อ~! ได้เลยเจ้าค่ะ!”
ใบหน้าคมคายพยักหน้าขอบคุณแล้วเดินจากไป
เล่นเอาบ่าวไพร่ที่แอบอยู่แถวนั้นรีบกรูเข้ามาถาม
เพราะนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เจ้านายตัวน้อยของพวกตนมีสิ่งต้องประสงค์และเดินลงมาสั่งการถึงที่นี่ด้วยตัวเอง
ปกติทำอะไรให้ก็รับไว้โดยไม่บ่น ไม่เคยเอาแต่ใจหรือเกรี้ยวกราดใส่บ่าวไพร่ใต้ปกครองเลยสักครั้ง
ทั้งหมดที่ข้าทำไป
ก็เพียงแค่อยากหาเรื่องคุยกับเจ้าให้มากขึ้น...สักนิด...ก็ยังดี
ถึงฝ่ายหนึ่งจะคิดแบบนั้น
แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมุ่งมั่น?ที่จะกลั่นแกล้งกันต่อไป
อะไร?
แกล้งอันใดกัน ข้าก็แค่จะทบทวนบทเรียนที่ได้ร่ำเรียนมาก็เท่านั้นเอง ฮึๆๆๆ
เจ้าแก้วยิ้มร้ายยืนหัวเราะหึๆถือใบไม้แห้งใบหนึ่งไว้ในมือ
วันนี้พระอาจารย์เพิ่งสอนวิชาเสกใบไม้ให้เป็นนกมา
ไหนมาดูกันซิว่านกของข้าจะทำสิ่งใดได้บ้าง!
สองมือเล็กยกขึ้นพนมโดยมีใบไม้อยู่ตรงกลาง
คาถาถูกว่ากล่าวออกไป สมาธิและจิตมุ่งมั่นก่อเกิดเป็นพลังอาคมที่มองไม่เห็น
มวลมิติรอบกายเหมือนจะบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ ก่อนที่ภาพเบลอๆเปลี่ยนไปแปลงมาแปลบๆปลาบๆนั้นจะมารวมอยู่ที่ฝ่ามือ
ดวงตาสุกใสลุกวาวราวโรจน์
มือเล็กค่อยๆคลายออกก่อนจะแบขึ้นฟ้า จากใบไม้แห้งก็กลายเป็นนกท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งในบัดดล!
“จิ๊บๆ
จิ๊บๆ”
เอ่อ...
คิ้วเรียวถึงกับขมวดเข้าหากัน
ภาพในจินตนาการนั้นคือพญาเหยี่ยวสีน้ำตาลอันยิ่งใหญ่...แล้วไหงเจ้านี่ถึงออกมาเป็นนกกระจิบตัวเล็กๆกลมฟูดูน่ารักเช่นนี้เล่า?!
ฮึ่ม...พลังอาคมของข้าในเพลานี้คงจะสร้างได้แต่เจ้ากระจิบตัวจิ๋ว?
เอาเถอะ
เจ้ากระจิบนี่ก็ดู...ดุร้าย?...อยู่แหละมั้ง? นะ?
เจ้าตัวแสบพยายามคิดเข้าข้างตัวเองก่อนที่ดวงตาซุกซนจะมองหาแผ่นหลังที่คุ้นตา
เจ้าใหญ่ยืนทบทวนคาถาอยู่ใต้ต้นฉำฉาริมน้ำอีกแล้วจึงมิต้องไปหาที่ไหนไกล!
ดีละ!
ริมฝีปากรูปกระจับขมุบขมิบท่องคาถา
นกที่เกิดจากอาคมนั้นย่อมต่างจากนกธรรมดา
เพราะว่ามันจะฟังคำสั่งผู้สร้างไม่ว่าจะสั่งให้มันทำอะไรก็ตาม!
“ไปไล่จิกเจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเสีย!” ใบหน้ามนแสยะยิ้มอย่างไม่ห่วงมาดคนดี
เสียงหัวเราะหึๆดังอยู่ในลำคอมิต่างจากตัวร้ายในละครนอกเลยสักนิด
แต่ก็ออกจะเป็นตัวร้ายที่น่าเวทนาสักหน่อย...
ก็เจ้านกน้อยที่บินถลาออกไปจากฝ่ามือเพื่อโจมตีอีกฝ่ายนั้น...ยังมิทันจะได้ไปถึงตัวเจ้าใหญ่ดี
จู่ๆมันก็ถูกคาถาตีกลับ!!
ดูเหมือนเจ้าใหญ่ก็กำลังทบทวนคาถาเดียวกับเขาอยู่
เพราะฉะนั้นแค่เจ้านกกระจิบบินเข้าไปในข่ายอาคมของร่างสูงใหญ่
มันก็กลายร่างเป็นอีกาตัวมหึมาดวงตาแดงก่ำดุร้ายกางปีกสยายน่าสยดสยองทันที!
เฮือก?!
ร่างเล็กถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเป้าหมายโจมตีของมันเปลี่ยนไป
ใบหน้าดำเมี่ยมปากแหลมคมค่อยๆหันมาหาเขา
แน่นอนว่าสองขาโกยอ้าวก่อนสมองจะได้ประมวลผลเสียอีก!
โว้ยยยย
ไอ้นกกระจิบเนรคุณ! แปรพักตร์ไม่พอยังกลายเป็นอีกาหน้าตาเฉยแบบนั้นได้ยังง๊ายยย!
ร่างเล็กวิ่งปรู๊ดไวยิ่งกว่าปรอท
แต่กระนั้นก็ยังมิไวเท่าอีกาอาคมที่บินตัดทะลุผ่านทุกอย่างพุ่งตรงไปที่เจ้าแก้วทันที
“เหวอ~!!”
อีกาไล่จิกตีคนที่ให้ทุกข์แก่ท่านแต่ทุกข์นั้นดันถึงตัวจนหัวหูยุ่งฟูไปหมด
“โอ๊ย! หยุดนะ! อีกาบ้าตัวนี้ ข้าบอกใหยุดไง! นี่! เจ้าใหญ่! หยุดอีกาของเจ้าเดี๋ยวนี้!”
เจ้าแก้วตะโกนโวยวายทำให้คนที่กำลังตั้งสมาธิทบทวนคาถาอยู่เพิ่งรู้ตัว
ใบหน้าคมคายลืมตาก่อนจะหันมามองอย่างตกใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อีกา?
นั่นของข้ารึ? แต่ข้าไม่ได้เสกใส่ใบไม้...?”
ร่างสูงยังวิเคราะห์อย่างสุขุมในขณะที่อีกคนแทบจะพ่นไฟใส่เจ้านกสีดำนั่นแล้ว
“ของเจ้านั่นแหละ!
หยุดมันเดี๋ยวนี้!”
ใบหน้ามนร้องโวยวาย เส้นผมยาวที่เคยเรียบสวยยุ่งเหยิงไปหมด ถึงพ่อใหญ่จะยังงงงวยแต่ก็ยอมหยุดคาถาให้
แล้วอีกาผู้ดุร้ายก็กลายร่างเป็นใบไม้แห้งร่วงหล่นลงมาทันที...
ดวงตาคมกล้าจ้องมองใบไม้นั่น...หรือว่าเจ้าแก้วจะกลั่นแกล้งอันใดเขาอีกแล้ว?
แล้วเหตุใดคนแกล้งถึงได้มีสภาพยับเยินเช่นนี้กัน?
ใบหน้าคมหลุดขำเมื่อมองเห็นเจ้าคนที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่กับพื้น
“ฮึ่ย” ใบหน้ารูปไข่แยกเขี้ยวใส่เขา มือเล็กพยายามสางผมที่พันกันกระเซอะกระเซิง
แล้วยิ่งสางมันก็ยิ่งพันกันไปใหญ่
จนมิรู้ทำอิท่าไหนถึงดึงนิ้วออกจากผมไม่ได้ไปเสียอย่างนั้น...
คิก...เขาหยุดหัวเราะในความน่าเอ็นดูนี้ไม่ได้เลย
เจ้าเด็กวายร้ายตรงหน้านี้ช่างน่ารักเสียจริง
“เจ้าจะมัวหัวเราะหาพระแสงงอง้าวอันใด
รีบมาช่วยข้าแกะนิ้วออกจากผมสิ! โอ๊ย?!
ทำไมติดแน่นแบบนี้เนี่ย!” เจ้าตัวดีตะโกนโวยวายสีหน้าเหยเก
เฮ้อ...
ร่างสูงเดินเข้าไปก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้า
มือใหญ่ยกขึ้นมาก่อนจะค่อยๆช่วยสางเส้นผมพวกนั้นแผ่วเบา
“เจ้าอยู่นิ่งๆก่อน” เขาค่อยๆแก้ปมที่พันกันจนยุ่งเหยิงจนในที่สุดเจ้าแก้วก็ดึงนิ้วออกมาจากผมตัวเองได้
มือใหญ่ค่อยๆสางค่อยๆจัดผมให้ส่วนร่างเล็กก็ยอมอยู่นิ่งให้เขาทำแต่โดยดี
หัวใจ...แอบเต้นแรง...เพราะไม่เคยจับผมของคนอื่นแบบนี้มาก่อน...
ดวงตาคมกล้าทอดมองผมเส้นเล็กนั่นอย่างเผลอไผล
ผมของเจ้าแก้วนิ่มมากซ้ำยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกแก้วโชยออกมา
เขาสังเกตเห็นมานานแล้วว่าเจ้าแก้วมักจะทัดดอกแก้วไว้ที่ปมของผมเปียด้านหลัง
พอได้มาเห็นใกล้ๆก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใดจึ่งทำให้ใจเต้นแรงเช่นนี้
“พอแล้วๆๆ!” มือเล็กผลักอกเขาออกมาเขาถึงได้หลุดจากภวังค์
“จะจัดให้เรียบแปล้เป็นกะลาขัดมันเลยมั้ง?” ใบหน้ารูปไข่บ่นพลางเหล่ตามองเขา
ร่างเล็กลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าไปมา
แล้วดวงตาซุกซนก็เหลือบไปเห็นใบไม้ที่ลอยอยู่เหนือน้ำแล้วก็ยังมีที่หล่นเกลื่อนกลาดอยู่ใต้ต้นไม้
หัวสมองก็นึกอะไรร้ายๆออกจึงเอ่ยท้าทายร่างสูงใหญ่
“เก่งจริงเจ้าเสกใบไม้แห้งทั้งหมดในที่นี้ให้กลายเป็นนกให้ข้าดูสิ
หากทำไม่ได้ พรุ่งนี้เจ้าจงเดินสี่ขาเหมือนหมามาที่สำนักซะ” ใบหน้าเล็กยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนคนฟังก็ได้แต่ถอนใจ
หัวสมองเจ้านี้เอาไปทำเรื่องมีคุณประโยชน์ประเทศชาติคงจะพัฒนาไปไกล
ดวงตาคมกล้ากวาดมองใบไม้แห้งทั้งหมดอย่างประเมินกำลัง
เขาก็มิเคยลองเหมือนกันว่าอาคมของตนจะทำได้มากแค่ไหน
ใบหน้าคมคายหันไปหาคนท้าทายก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสุขุม
“แล้วถ้าข้าทำได้ เจ้าจะให้สิ่งใดแก่ข้า?”
“ห๊ะ? ทำไมข้าต้องให้อะไรเจ้าด้วย?” เจ้าแก้วชะงัก ดูเจ้าเด็กเจ้าเล่ห์นี่สิ คิดจะได้อยู่ฝ่ายเดียวหรือไง? ฮึ
“เช่นนั้นมันจะเป็นการเดิมพันได้ยังไงล่ะ? เจ้า...อยากเดิมพันกับข้ามิใช่รึ?”
เสียงของเขายังคงหนักแน่นว่าจะต้องมีสิ่งใดมาแลกทำเอาคนที่ท้าทายถึงกับลุกลี้ลุกลน
“.....ฮึ่ม! เช่นนั้นเจ้าอยากได้สิ่งใดล่ะ? แต่ข้าจะไม่เดินสี่ขาเหมือนหมาแน่ๆ!” ท้าทายเขาเองแท้ๆ~แต่จะไม่ยอมเสียอะไรที่เท่าเทียมกันเลยสินะ
เขายิ้มในความฉลาดแกมโกงของอีกฝ่าย แต่ก็นั่นแหละ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะแกล้งให้เจ้าแก้วต้องเดินสี่ขาเหมือนหมาหรอก
เพราะสิ่งที่เขาอยากได้น่ะ เขามองว่ามันมีค่ามากกว่านั้น
“สิ่งที่ข้าอยากได้…ก็คือดอกแก้วที่เสียบอยู่บนผมของเจ้า”
ทั้งเส้นเสียงที่แน่วแน่
ทั้งสายตาที่มั่นคง ทำให้คนที่ถูกขอในสิ่งที่ไม่คาดคิดถึงกับออกอาการปั่นป่วน
“ห๊ะ? นี่น่ะเหรอ? เจ้าจะเอาไปทำไม?
มันก็แค่ดอกแก้วธรรมดาที่แม่ข้าเสียบไว้เองนะ?” เจ้าแก้วชี้ไม้ชี้มือไปที่ด้านหลังหัวของตัวเองอย่างมึนงง
“เจ้ายังมิรู้นี่ว่าข้าจะได้มันจริงหรือไม่?” เขาใช้คำพูดล่อลวงให้อีกฝ่ายตายใจ
“ฮึ! นั่นสินะ เจ้าอาจจะได้คลานสี่ขามากกว่า! ฮ่าๆๆ ได้สิ
ถ้าเจ้าทำได้ข้าจะมอบดอกแก้วบนหัวข้าให้!” เจ้าแก้วดูมั่นอกมั่นใจว่าเขาไม่มีทางทำได้แน่
แต่มิรู้ทำไม
พอของเดิมพันมันเป็นดอกแก้วช่อนั้น คนที่มิเคยสั่นคลอนต่อคำท้าทายใดๆ มิเคยข้องเกี่ยวกับอบายมุข
มิเคยคิดจะเล่นพนันขันต่อเลยสักครั้งในชีวิต กลับอยากจะเดิมพันมันด้วยพลังอาคมทั้งหมดที่เขามี
ทั้งที่มันก็มิได้ต่างไปจากดอกแก้วที่บ้านไหนๆก็มี
แต่ใจเขากลับอยากได้มันรุนแรงถึงเพียงนี้
ร่างสูงใหญ่จึงขยับไปยืนอยู่กลางวง
ตั้งสมาธิและตั้งจิตอันแรงกล้า สองตาปิดลง สองมือพนมขึ้นเหนืออก
ก่อนจะเปล่งคาถาออกไปด้วยเสียงก้องกังวานจนแผ่นดินสะท้าน
ทั่วคุ้งน้ำสั่นสะเทือนจนผิวที่เคยนิ่งสนิทเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมไปทั่ว สายลมส่งเสียงหวีดหวิวทั้งที่ใบไม้มิได้ขยับสักคืบก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดูวิปริตแปรปรวน
คนที่ยืนอยู่ด้วยกันถึงกับหันเลิ่กลั่กมองไปรอบๆ
ราวกับมิติบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงในชั่วพริบตา
พลังอาคมหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาจากทั่วสารทิศจนขนทั้งร่างลุกเกรียว เจ้าใหญ่มีอาคมมากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ?
จู่ๆ
แสงวาววับสีแดงก็ค่อยๆกระพริบพรึ่บพั่บจากที่ที่เคยว่างเปล่าเกิดเป็นภาพที่ชวนขนหัวลุก
เหล่าใบไม้แห้งระเบิดร่างกลายเป็นอีกาสีดำเมี่ยมเกาะอยู่ตามพื้นบ้าง
บนกิ่งไม้บ้าง จับอยู่เหนือน้ำบ้าง ไม่ว่าจะหันไปทางใดเหนือใต้ออกตกล้วนมีแต่อีกาตาแดงฉานนับพันนับหมื่นล้อมอยู่โดนรอบ!
“ก๊า! ก๊า!”
เสียงทรงพลังที่หวีดร้องออกมาทำเอาไหล่บางสะดุ้งโหยง
นี่มัน...สุดยอดไปเลย...
หากมิใช่คนที่ใจแข็งพอภาพเช่นนี้คงน่าสะพรึงกลัวจนแทบฉี่ราด
แต่บรรยากาศสุดหลอนนี้กลับทำให้ดวงตากลมใสเป็นประกายวิบวับด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าทำได้อย่างไรเนี่ย!! สุดยอด! อีกาเต็มไปหมดเลย!” น้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นของคนข้างๆทำให้เจ้าของผลงานค่อยๆลืมตาขึ้นมา
เขาเห็นเจ้าแก้วกำลังหมุนตัวมองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจราวกับกำลังวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งดอกไม้
กลับเป็นร่างสูงใหญ่เองเสียอีกที่แอบโล่งใจ…
เพราะเขาเคยแสดงอาคมเต็มกำลังเช่นนี้…แต่กลับมิเคยมีใครปลื้มใจนอกจากพระอาจารย์เลยสักคน…
คนอื่นๆที่เห็นจะพากันหวาดกลัวหรือไม่ก็ไม่ชอบใจที่เขาทำเกินหน้า
เขาไม่เคยเห็นแววตาแบบที่เจ้าแก้วมีให้เขาจากใครมาก่อนเลย
“เจ้ามิกลัวรึ?”
“กลัวอันใด? ข้าก็จะทำบ้าง!”
แล้วเจ้าแก้วก็ขยับไปยืนแทนที่เขา
ทำแบบเดียวกับเขาทุกอย่าง
แต่แล้ว...เสียงอีกาที่เคยร้องระงมน่าวังเวงกลับกลายเป็นเสียงจิ๊บๆๆมากมาย…?...จากบรรยากาศแห่งฝันร้ายและความตายกลายเป็นโลกอันสดใสขึ้นมาทันที?
เมื่อจู่ๆอีกาพวกนั้นก็กลับกลายเป็นฝูงนกกระจิบเสียนี่!
“อ๊ากกก! ทำไมพวกแกถึงยังเป็นนกกระจิบอยู่อีกเล่า!
ข้าอุตส่าห์ต่อยอดจากอาคมของเจ้าทำไมไม่เป็นนกสมชายชาตรีเช่นเหยี่ยวหรืออินทรีเช่นนี้ล่ะ!”
เจ้าแก้วยืนเท้าสะเอวด่านกหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“เจ้าดูดีๆสิ มันมิใช่นกกระจิบนะแต่เป็นนกกระจาบต่างหาก ถือว่ามีพัฒนาการ”
เขาชี้ให้ดูนกพวกนั้นดีๆแต่คนที่กำลังโมโหกลับฟาดปั้กๆมาที่แขนเขาทำเอากลั้นขำแทบไม่ไหว
ก็ตั้งแต่ในเวลาเรียนมาแล้วที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งเจ้าแก้วก็จะเสกออกมาเป็นนกกระจิบเสมอ
“พัฒนาการอะไรของเจ้า! ไป! ไสหัวไปให้หมดเลยนะไอ้นกไม่ได้ความพวกนี้!”
ร่างเล็กหันไปวิ่งไล่นก
เขาจึงคลายคาถาก่อนจะมองตามเจ้าแก้วที่วิ่งเตะใบไม้แห้งพวกนั้นด้วยรอยยิ้ม
ลำพังร่างเล็กๆนั่นยังไม่มีกำลังพอที่จะเสกนกมากมายขนาดนี้ได้
แต่เจ้าแก้วน่าจะมีสมองอันชาญฉลาดถึงได้สามารถร่ายคาถาทับคาถาของเขาแล้วเอาไปใช้เป็นของตัวเองได้เช่นนี้
นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาทึ่งมาก
แล้วพอร่างเล็กๆนั่นเดินกลับมา
เขาก็แบมือลงตรงหน้าทันที
“ดอกแก้วของข้าล่ะ?”
เสียงราบเรียบเอ่ยทวงและนั่นก็ทำให้เจ้าแก้วถึงกับหน้าหงิกหน้างอ
“ของเจ้าเสียที่ไหน!” ถึงจะบ่นกระฟัดกระเฟียดแต่ก็ยอมหยิบดอกแก้วที่เสียบอยู่บนผมมาวางลงบนมือใหญ่แต่โดยดี
เดิมทีเจ้าแก้วนั้นคิดว่าเจ้าใหญ่คงจะเอาดอกแก้วนี้ไปขยี้ขย๋ำเล่นเพราะมันคงจะเป็นสัญลักษณ์ว่าเขาได้พ่ายแพ้ให้อีกฝ่าย
ทว่า
เจ้าใหญ่กลับดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาก่อนจะห่อมันด้วยความทะนุถนอม?
แล้วเหตุใด...พฤติกรรมที่หาความหมายมิได้นี้จึ่งทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวเช่นนี้กันนะ?
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ...
ร่างเล็กบางเดินครุ่นคิดไปตลอดทางที่เดินกลับบ้าน
วันนี้ก็ยับเยินอีกแล้วทำไมกันเนี่ย?!
ตั้งใจจะแกล้งเขาแต่เหตุใดถึงได้อนาถกว่าคนถูกแกล้งก็ไม่รู้?
“ฮึ่ม!” ใบหน้าเล็กฟึดฟัดอยู่คนเดียว
หรือจะเป็นเพราะกำลังของเขาน้อยเกินไป? ดีละ!
เช่นนั้นถ้าลงมือหลายๆคนเจ้าใหญ่ต้องพ่ายแพ้เป็นแน่!
ร่างเล็กบางเดินไปก็วางแผนร้ายไป
พอเห็นว่าลงมือเองไม่ไหวก็คิดจะเรียกพวกลูกสมุนมาช่วยเสียอย่างนั้น!
เจ้าไม่ถอยข้าก็ไม่ท้อเหมือนกัน! ฮึ!
กล่องไม้ประดับมุกลายพรรณพฤกษาผสมผสานกับลายประจำยามแสนประณีตนั้นเคยว่างเปล่ามาตลอด
แต่บัดนี้มีสิ่งหนึ่งที่จะเติมเต็มมันได้แล้ว
มือใหญ่วางดอกแก้วช่อเล็กๆนั่นลงไป
ต่อให้มันจะเหี่ยวเฉามันก็จะยังคงเป็นของมีค่าสำหรับเขาเสมอ
ดวงตาคมกล้าจ้องมองเจ้าของกลิ่นหอมนั่นอย่างอ่อนโยน
ไม่รู้ทำไมถึงอยากจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าแก้วให้มาเอาไว้อย่างดี
อาจจะเพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนคนแรกของเขา?
เป็นมิตรภาพที่หาจากที่ใดมิได้?
ใช่
คงจะเป็นเช่นนั้นแหละ?
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป
วันนี้มีแบบบ้านเรือนไทยของพ่อใหญ่มาให้ดูด้วยค่ะ
เป็นมรดกตกทอดมาจากการเรียนของคุณกวางมันค่ะ
กร๊ากกก เขียนไว้ตอนเรียนปีสอง ฉกมาใช้ซะเลย
เอาผังกับรูปด้านหน้าไปดูก่อนนะคะ
หลังใหญ่หลังโตมาก จะเป็นกลุ่มเรือนไทยที่ประกอบด้วยอาคาร 7
หลังในเบื้องต้นก่อนนะคะ เพราะคิดว่าถ้าพ่อใหญ่โตเป็นหนุ่ม พ่อฮีน่าจะต่อเรือนส่วนตัวออกไปให้อีกค่ะ
เวลามีเสียงอื้อๆอ้าๆ(?)อะไรจะได้ไม่ได้ยิน~ อิๆๆ
บ้านพ่อใหญ่ ก็จะประกอบด้วย
1.เรือนนอนประธาน - เมื่อก่อนท่านโหรหลวงนอนเรือนนี้
แต่พอโต๊ะหมู่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตำราที่สะสมไว้เริ่มเยอะเข้า
ท่านก็ย้ายไปนอนที่เรือนหน้าซึ่งใกล้ห้องน้ำแล้วใช้เรือนนี้เป็นห้องพระกับห้องเก็บตำราและของมีค่าแทนค่ะ
2.เรือนนอนเล็ก(เรือนหน้า) – เรือนนอนของท่านโหรหลวง
3.เรือนนอนเล็ก(เรือนหลัง) – เรือนนอนของพ่อใหญ่
4.หอนั่งด้านหน้า – ใช้รับแขก ใช้นั่งเล่น ทานอาหาร
5.หอนั่งด้านใน – ใช้นั่งเล่นสำหรับคนในบ้านเท่านั้น
พ่อใหญ่ก็มักจะนั่งอ่านตำราฝึกคัดตัวอักษรอยู่ที่นี่
6.ห้องน้ำ
7.ศาลาท่าน้ำและโรงเก็บเรือ
นอกจากนี้มันก็จะมีพวกซุ้มประตูหน้า
ซุ้มประตูหลัง ผนังระเบียงแล้วก็ชานบ้านขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้ขึ้นตรงกลางอีกด้วยค่ะ
ส่วนพวกกลุ่มเรือนนอนทาสกับเรือนครัวจะแยกไปอยู่โซนด้านหลังบ้านค่ะ
ส่วนบ้านเจ้าแก้วเด่วขอโฟโต้ช็อปก่อนนะคะ5555 แบบชุดนี้ก็คือเขียนมือล้วนๆถถถ คือถ้ามีเป็นAuto cadคงจะง่ายชีวิตกว่านี้มาก ^ ^” ละจำได้ว่าบ้าระห่ำมากตอนจะส่งโปรเจคบ้านทรงไทยชิ้นนี้ คือมันจะมีคอนวงลูซิเฟอร์ก่อนวันส่งงานหนึ่งวันค่ะ แบบถ้าคอนวันอาทิตย์อินี่ก็ส่งงานวันจันทร์งี้ แล้วดร๊าฟบ้านทรงไทย 8 หลัง(จริงๆมันมี8ค่ะฮ่าๆๆ)คือไม่ง่าย แต่คอนกุก็จะไปดู ก็คือหนึ่งอาทิตย์ก่อนส่งไม่ต้องนอนค่ะ ปั่นหัวฟูแบบใครอย่ามายุ่งกับกุมาก 5555 เพราะมันไม่ใช่แค่แบบไงที่ต้องส่ง โมเดลด้วยจ้า โมบ้านทรงไทย8หลังฉ่ำๆไปเลยจ้า5555 แน่นอนว่าฝาปะกนสายบัวใดๆครบ ฝาห้องครัวเป็นขัดแตะโมกุก็ขัดแตะนะจ๊ะ555 จำได้ว่าโมตัวที่ส่งอาจารย์อ่ะ มีเทเรซิ่นน้ำสำหรับคลองหน้าบ้านด้วยนะ5555 (แต่ด้วยความที่วางไว้นอกตู้หลายปี มดมันก็มาแดกขี้เลื้อยที่โรยเป็นดินไว้จนฐานมันพัง ก็เลยเลาะเอาแต่โมตัวบ้านไว้แล้วเปลี่ยนฐานใหม่ถถถ) แล้วต้องทำคนเดียวอีกเพราะสายรหัสก็ต้องส่งเหมือนกันไม่มีคนมาช่วย พี่รหัสก็มาช่วยไม่ได้เพราะอินี่มันไปดูคอนไง วันก่อนส่งงานก็เจือกไม่อยู่อีก555 เนี่ย เลยจำฝังใจจนถึงตอนนี้ กุก็มีชีวิตรอดมาได้เนอะถถถ
สำหรับรูปโมเดลเด่วไว้แปะทอล์คตอนหน้าแล้วกันน้า
เด่วจะยาวเกิน สำหรับตอนนี้ก็ขอขอบคุณมากๆๆเลยนะคะที่เข้ามาอ่านกัน
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามด้วยนะคะ
ตอนหน้าจะเริ่มติดเหรียญแล้วน้า ฝากติดตามยัยแก้วกับพ่อใหญ่ของเราด้วยน้า
ขอบคุณมากค่า
สำหรับที่บล็อกสปอตรบกวนไปติดตามต่อได้ที่รีดอะไรท์เลยนาคะ
ลิ้งค์ตามนี้เลยค่ะ m(_
_)m
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น