Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 36 : END
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
:
Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
:
Warmhearted
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
-
หนึ่งร้อยคืนกับหมื่นคำรัก : Yesterday
Today and Tomorrow -
อันเลือดเนื้อและกายา ฉาบทาไว้
ให้แผ่นดิน
จิตวิญญาณมิดับดิ้น มอบให้
แก่วงศา
มือกอปรฟ้า หยดน้ำตา
แก้วกมลา
ข้ามอบให้ แด่เจ้า
จ้าวจอมใจ
ผงฝุ่นสีขาวฟุ้งกระจายไปทั่วทำให้ห้องเล็กๆแห่งนี้ราวกับอยู่ในฝัน...
เป็นดั่งม่านหมอกขาวโพลนให้ทุกอย่างดูพร่าเลือนไปหมด
มองเห็นเพียงเงาร่างบอบบางในกิโมโนสีขาวที่นั่งนิ่งให้ช่างแต่งแต้มใบหน้าอย่างเงียบงัน
แป้งสีขาวที่มีกลิ่นราวกับดอกไม้ค่อยๆถูกกดซับทับลงไปบนผิวใสเนียนนุ่มขับเน้นให้ใบหน้าราวกับตุ๊กตายิ่งดูสูงศักดิ์และจับต้องไม่ได้ ทั้งที่ควรจะดูไร้ชีวิตและจิตใจแต่เป็นเพราะดวงตากลมใสที่กำลังทอดถอนใจอยู่นั้นทำให้หน้ากากที่ช่างแต่งหน้าอุตส่าห์รังสรรค์ให้กลับยังเต็มไปด้วยความรู้สึก
พู่กันจุ่มลงไปในตลับชาดก่อนจะวาดลงบนริมฝีปากอวบอิ่มจนมีสีแดงฉาน
ดวงตาที่หลุบต่ำเพียงมองฝ่ามือที่ถือพู่กันอยู่นั้นอย่างใจลอย
หัวใจดวงน้อยสัมผัสได้เพียงความรู้สึกว้าเหว่หาได้ตื่นเต้นอย่างที่ควรจะเป็นไม่...ทั้งๆที่วันนี้...คือวันเสกสมรสที่ถูกตระเตรียมไว้อย่างยิ่งใหญ่อลังการของเขาเอง...
และสาเหตุที่ทำให้เจ้าสาวเพียงหนึ่งเดียวเศร้าหมองได้ขนาดนี้นั่นก็เป็นเพราะเจ้าบ่าวใจร้ายผู้นั้นไม่ได้มาพบหน้ากันอีกเลย...
ต่อให้มันเป็นการแต่งงานที่ไร้ซึ่งความรัก
แต่อย่างน้อยก็มิควรจะทำตัวเย็นชากับเขาทั้งที่ยังไม่ทันจะเข้าหอเช่นนี้สิ
“ท่านนารุมิยะ?”
ช่างแต่งหน้าถึงกับผงะไปเมื่อจู่ๆก็มีละอองน้ำใสๆติดอยู่ที่แพขนตาสีดำหนา
เขาจำต้องรีบกระพริบตาไล่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนี้ออกไป
มือบางที่วางอยู่บนหน้าตักบีบเข้าหากันอย่างข่มความรู้สึก...เขาควรจะต้องรู้สิว่านี่คือสิ่งที่เจ้าสาวซึ่งถูกแต่งเข้ามาในฐานะทรัพย์สินทางการเมืองจะต้องพบเจอ
เขาต้องเข้มแข็ง ต้องอยู่ให้ได้สิถึงแม้จะไม่มีมือที่อ่อนโยนของใครยื่นมาให้เขาจับแล้วก็ตาม
“ข้า...ไม่เป็นไร...” เสียงนุ่มที่พูดออกไปนั้นเบาหวิว
ช่างแต่งหน้าเพียงแสดงแววตาเห็นใจโดยไม่สามารถจะปลอบโยนใดๆได้
เพราะเหล่าหญิงสาวในแคว้นคางะต่างรู้กันดีว่าคุณชายฟูจิวาระ ชูนั้นเป็นเช่นไร
หากพวกเธออยากมีอำนาจล้นฟ้าแต่จะไม่ได้รับความรักจากสามีก็วาดฝันถึงชายผู้นั้นได้
เพราะท่านแม่ทัพของพวกเธอนั้นขึ้นชื่อเรื่องไร้หัวใจที่สุดแล้ว ถึงจะหล่อเหลาและสมบูรณ์แบบเพียงไหนแต่กลับเป็นชายที่ไม่เคยมีความรักให้กับผู้ใด
แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องการคงมิใช่เงินทองและอำนาจ
แต่เป็นเพียงเรื่องเล็กๆที่ผู้ชายไม่เคยเห็นค่าอย่างอ้อมแขนของคนที่จะเป็นคู่ชีวิตก็เท่านั้น
ท่านหญิงตรงหน้า
ช่างน่าสงสารเหลือเกิน...
สิ่งที่เธอพอจะช่วยได้คงมีเพียงแต่งแต้มใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูนี้ให้งดงามเกินกว่าเจ้าสาวคนไหนๆ
งดงามจนแม้แต่ชายที่เย็นชาผู้นั้นยังต้องตกตะลึง
ผ้าสำลีถูกวางเสริมบนแผ่นอกก่อนที่กิโมโนเจ้าสาวจะถูกสวมทับลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า
มันทั้งหนาและหนักราวกับเป็นตัวแทนของสิ่งที่ร่างโปร่งบางนี้ต้องแบกรับไว้บนบ่าเล็กๆนั่น
เอวคอดถูกโอบิสีบริสุทธิ์รัดพันไว้จนแน่นไม่ต่างจากภาระและหน้าที่ซึ่งกำลังมัดแขนมัดขาจนแทบหายใจไม่ออก
แขนเล็กๆค่อยๆกางออกก่อนที่ฮาโอริสีขาวจะถูกสวมทับมาเป็นอย่างสุดท้าย
ใบหน้ามนหลุบต่ำมองพื้นด้วยสีหน้าเฉยชา
หมวกคลุมผมของเจ้าสาวถูกสวมลงไปบดบังใบหน้าส่วนใหญ่แต่กลับยิ่งทำให้ดูมีมนต์ขลัง
เจ้าสาวที่ยืนอยู่กลางห้องนั้นดูบอบบางราวกับแก้วที่พร้อมจะแตกสลาย
แต่ก็งดงามน่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตาได้
ดวงตาสีเขียวใสทอดมองกิ่งดอกบ๊วยที่ห้อยย้อยอยู่นอกหน้าต่าง
ทั้งๆที่รอบกายดอกไม้กำลังผลิบาน แต่เหตุใดในใจเขาถึงได้ห่อเหี่ยวเช่นนี้กันนะ...
“ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะท่านนารุมิยะ” หญิงชราตรวจตราดูความเรียบร้อยของเจ้าสาวอีกครั้งก่อนจะค่อยๆพาเดินออกจากห้องไป
น่าแปลกที่หัวใจอันเหี่ยวเฉากลับตื่นเต้นขึ้นมาอีกคราเมื่อรู้ว่ากำลังจะได้เผชิญหน้ากับชายผู้นั้นอีกครั้ง...ฟูจิวาระ
ชูจะทำหน้ายังไงกันนะเมื่อได้เห็นเขาที่อยู่ในชุดเจ้าสาวเป็นครั้งแรก
จะตื่นเต้นดีใจเหมือนเขาไหม? หรือจะไม่ชอบจนคิ้วขมวด?
แค่คิดก็ทำเอาลุกลี้ลุกลนจนแทบอยู่นิ่งไม่ได้
มันน่าประหลาดจริงๆที่ผู้ชายคนนั้นทำให้จิตใจที่เคยสงบดั่งสายน้ำของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ได้...นี่ฟูจิวาระ
ชูกลายเป็นคนที่มีอิทธิพลเหนือหัวใจของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ฝ่าเท้าเล็กๆค่อยๆสอดลงไปในรองเท้าสีดำและมันก็ทำให้ทุกคนหันมาเฝ้ามอง ทุกย่างก้าวที่เดินไปตามทางโรยกรวดนั้นสะกดทุกสายตาของผู้คนเอาไว้
ไม่มีใครกล้าเอ่ยเลยว่านี่เป็นเจ้าสาวที่ไม่คู่ควรกับฟูจิวาระ ชู
เพราะยามที่ทั้งสองยืนคู่กันอยู่บนเส้นทางสู่ศาลเจ้า...หลายคนก็แทบจะลืมวิธีหายใจไปเลย
คงไม่มีเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่ไหนจะงดงามเหมาะสมกันได้เท่านี้อีกแล้ว...
เหมาะสมกันยิ่งกว่ามังกรกับหงสา
ควรคู่กันยิ่งกว่าดวงดารากับฟากฟ้ายามราตรี
สง่ายิ่งกว่านทีคู่ภูผา
สูงค่ายิ่งกว่าเพชรคู่มงกุฎ
งดงาม...ดุจดั่งภาพวาดในเทพนิยายเลยทีเดียว
แต่ถึงคนอื่นจะมองด้วยสายตาชื่นชมเพียงไรก็มิได้ทำให้หัวใจดวงน้อยห่างหายจากความหนาวเหน็บได้เลย...
ในเมื่อชายผู้ยืนอยู่ข้างๆเขากลับไม่เหลียวมองกันสักครั้ง...
ดวงตากลมใสลอบมองใบหน้าเย็นชาของฟูจิวาระ
ชูจากใต้หมวกคลุมหน้าเจ้าสาว...ร่างสูงสง่าที่อยู่ในชุดมงซึกิฮาโอริฮากามะที่ปักตราประจำตระกูลฟูจิวาระไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา
ไม่มีสีหน้าตกตะลึงยามที่เจ้าบ่าวได้เห็นเจ้าสาวแสนสวยของตัวเองเป็นครั้งแรก ไม่มีความตื่นเต้นดีใจ
ไม่มีอะไรเลย...
มีเพียงใบหน้าที่เมินเฉย...
หัวใจดวงน้อยถึงกับเจ็บแปลบ
นั่นยิ่งไม่ต้องคาดหวังถึงรอยยิ้มและความอ่อนโยนใดๆจากชายผู้นี้...ชายที่กำลังจะกลายเป็นสามีของเขา
ไม่สิ...เป็นไปแล้วด้วยซ้ำ...
ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร...
ยิ่งคำสัญญาที่ท่านเคยให้ไว้ว่าจะปกป้องข้าไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นมันผุดพรายอยู่ในใจ...ใต้แผ่นอกซ้ายของข้าก็ยิ่งเจ็บ
น้ำตารื้นขึ้นมาจนภาพตรงหน้ามันพร่ามัว
แต่ความทรมานมันก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเขาไม่อาจจะปล่อยโฮหรือร้องไห้ต่อหน้าใครต่อใครได้
จึงต้องฝืนกล้ำกลืนทุกอย่างเข้าไปแล้วใช้ใบหน้าของเจ้าสาวที่ถูกแต่งแต้มไว้หนาเตอะนั่นปกปิดมันเอาไว้
คำถามมากมายถาโถมเข้ามาในหัวว่าเขาทำเรื่องใดผิดไป
ทำไมมันถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ เขาเฝ้าคิดจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
และทันทีที่ต้องก้าวย่างตามท่านมิโกะที่เดินนำขบวนอยู่ข้างหน้า...
“อ๊ะ?” ความหนาหนักของชุดกิโมโนเจ้าสาวก็ทำให้เขาเซถลาและทำท่าจะล้มลง!
หมับ!
แต่ในขณะที่เพิ่งรู้ตัวและได้แต่หลับตาพร้อมรับความอับอาย
ฝ่ามือใหญ่ก็คว้าหมับมาที่เอวบางก่อนจะประคองร่างของเขาไว้
“.......?”
และนั่น...ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้สบตากันในวันนี้...
เขาไม่ได้พูดอะไรและฟูจิวาระ
ชูก็ไม่ได้พูดอะไร...แต่เวลาในเสี้ยววินาทีนั้นกลับถูกหยุดไว้ราวกับผ่านไปชั่วกัปชั่วกัลป์
มัน...ทำให้หัวใจที่แทบจะแหลกสลายของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง...
ถึงสีหน้าและแววตาของฟูจิวาระ
ชูจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เขากลับรับรู้ถึงความห่วงใยส่งผ่านมาจากที่ไหนสักที่...?
กลิ่น...หรือเปล่านะ?
อันที่จริงเขาติดใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว...ฟูจิวาระ
ชูมีกลิ่นที่หอมมากๆ
หอมจนเขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นเป็นกลิ่นของชายชาตินักรบที่เนื้อตัวมีแต่คาวเลือด
ซ้ำมันยังเป็นกลิ่นที่ส่งผลต่อเขาโดยตรง
บางครั้งมันก็ทำให้เขากลัว บางครั้งมันก็ทำให้เขาแทบจะขยับตัวหรือขัดขืนไม่ได้
แต่บางครั้ง...มันก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจที่จะได้อยู่ใกล้
ร่างในกิโมโนชิโรมุคุค่อยๆขยับยืนตรงอย่างมั่นคงและมือใหญ่ก็ค่อยๆปล่อยเอวเขา
ทว่าตอนนี้ใบหน้ามนภายใต้หมวกคลุมหน้าเจ้าสาวนั้นแดงระเรื่อไปหมดแล้ว
เพราะว่าฝ่ามืออุ่นร้อนข้างนั้นไม่ได้หายไปไหน...
มันยังคงจับมือของเขาไว้โดยไม่ได้พูดอะไร
ไม่ได้หันมามองแต่มันก็จับไว้ไม่ปล่อย...
ราวกับกลัวว่าเขาจะล้มลงไปอีก...
พวกเราต่างเดินตามขบวนแห่ของมิโกะไปเงียบๆ
แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากำลังเบิกค้างอย่างสับสนอยู่ภายใต้หมวกสีขาวใบนั้น...
ตกลงว่า...เจ้าของมือใหญ่ๆข้างนี้เป็นคนเช่นไรกันแน่?
เย็นชาและไม่ได้สนใจเขาจริงๆน่ะหรือ? หรือว่ากำลังเข้าใจเขาผิดเรื่องใด?
เขาต้องหาคำตอบของคำถามนี้ให้จงได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่อีกฝ่ายถึงได้ทำตัวห่างเหินไปเช่นนี้
ดีละ
ถึงฟูจิวาระ
ชูจะมีท่าทีที่ทำให้เขาสับสน แต่มือที่จับเขาไว้ในตอนนี้ก็ทำให้เขากลับมามีไฟ
ทำให้เขากลับมาฮึดสู้ใหม่อีกครั้ง
เขาจะไม่ยอมแพ้
ไม่ยอมถอดใจง่ายๆอย่างเด็ดขาด
หากท่านอยากจะทำตัวเย็นชาเป็นน้ำแข็งก็ทำไป
ข้าก็จะเป็นดั่งไฟหลอมน้ำแข็งของท่านให้ละลายเอง เรื่องความมุ่งมั่นดื้อรั้นนั้นข้าก็มีไม่แพ้ใครหรอก
หากทหารหาญอย่างท่านนั้นทุ่มเทให้กับบ้านเมือง
ภรรยาอย่างข้าก็ควรจะทุ่มเททั้งกายใจทำให้ท่านรักข้าและปกป้องแผ่นหลังให้ท่านมิใช่หรือ
ข้าน่ะ
ดื้อกว่าที่ท่านคิดเอาไว้มากนัก รู้หรือไม่?
ใบหน้ามนที่เคยทอดถอนใจกลับอมยิ้มอยู่ภายใต้หมวกคลุมผมเจ้าสาว
กลิ่นอ่อนๆที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้มือใหญ่เผลอบีบกระชับฝ่ามือบางโดยไม่รู้ตัว
จากหัวใจที่กำลังจะแตกสลายกลับสมานเข้าหากันจากปฏิกิริยาเล็กๆเพียงแค่นั้น
ปฏิกิริยา...ที่มีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่เข้าใจ
เขารู้
และฟูจิวาระ ชูก็รู้...
พิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่นี้ถูกจัดขึ้นที่ศาลเจ้าประจำตระกูลฟูจิวาระซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองคางะ
ผู้คนทั้งเมืองต่างแห่มาดูพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อหวังจะได้เห็นหน้าเจ้าสาวของท่านแม่ทัพที่ยังไม่เคยมีใครได้เห็นสักครั้ง
ถึงจะรู้ว่าคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพิธีจะถูกกันไว้ด้านนอกศาลเจ้า
ทว่าศรัทธาก็คือศรัทธา ถึงจะรู้ว่าไม่ได้เข้าแต่ก็ยังมา
และเสียงเครื่องเป่าแห่งการเฉลิมฉลองที่ดังก้องอยู่ภายในนั้นก็ทำให้ชาวเมืองต่างแซ่ซ้องยินดี
ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวถูกขบวนมิโกะพาไปยังแท่นพีธีด้านในอาคารศาลเจ้า
มือใหญ่ถึงได้ยอมปล่อยมือบางออกอย่างแช่มช้า ปลายนิ้วแข็งแกร่งที่ละผ่านปลายนิ้วเรียวไปทำให้ใบหน้าภายใต้หมวกเจ้าสาวร้อนผ่าว
จากที่เคยหดหู่ราวกับอยู่ในงานศพแต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเสียงอะไรก็ฟังรื่นหูไปเสียหมด
ไม่ว่าจะเสียงเครื่องดนตรีญี่ปุ่นโบราณที่เป่าประโคมขึ้นมา
หรือว่าเสียงสวดจากนักบวชชินโตที่ประกอบพิธีกรรมให้
แม้แต่เสียงรินเหล้าสาเกของมิโกะก็ยังเป็นเสียงที่ไพเราะสำหรับเขาเลย
มือบางยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบสามครั้งอย่างน่าเอ็นดู
ก่อนจะค่อยๆไล่ไปยังถ้วยที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆทั้งหมดสามใบ
กว่าจะครบแก้มใสก็แดงระเรื่อชวนมอง
คำสาบานถูกอ่านต่อหน้ากันและกัน
ถึงมันจะเป็นเพียงพิธีกรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ทว่า ทุกถ้อยคำที่ออกมาจากปากของฟูจิวาระ
ชูกลับสลักฝังลงไปในหัวใจของเขาราวกับคำสาบานรัก
นับแต่นี้ไปชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็คือสามีของข้า
และจะเป็นสามีเพียงหนึ่งเดียวที่ข้าจะยอมมอบกายถวายหัวใจให้
จะเป็นคนของฟูจิวาระ ชูจนกว่าลมหายใจสุดท้าย
แน่นอนว่าข้าก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อคว้าหัวใจของท่านมาให้ได้เช่นกัน
ในฐานะภรรยาอันเป็นที่รักของท่าน
ถึงแม้พิธีสมรสครั้งประวัติศาสตร์ที่กล่าวขานไปทั่วแคว้นคางะและใกล้เคียงจะจบลงแล้ว
แต่ภายในเมืองก็ยังเฉลิมฉลองติดต่อกันไปอีกเจ็ดวันเจ็ดคืน
แต่เสียงครึกครื้นภายนอกก็ช่างแตกต่างจากความเงียบเชียบภายในจวนเจ้าบ่าวเจ้าสาวแห่งนี้ยิ่งนัก
ทางเดินทั่วบ้านมีเพียงตะเกียงไฟที่จุดไว้สลัวๆ
ไม่รู้ว่าสร้างบรรยากาศหรือแค่ตัดขาดจากโลกภายนอกกันแน่ ยิ่งใกล้เรือนพักส่วนตัวของท่านแม่ทัพแห่งคางะก็ยิ่งเงียบกริบ
ชุดเจ้าสาวที่หนักอึ้งได้ถูกถอดออกไปแล้ว
เหลือเพียงกิโมโนตัวในและเทียนไขที่ส่องแสงแดงระเรื่อไปทั่วห้อง
ร่างโปร่งบางของคนที่เพิ่งจะถูกรับเข้าตระกูลฟูจิวาระมาหมาดๆนั่งทับส้นขยุกขยิกอย่างประหม่าอยู่กลางฟูก
ยิ่งมันเงียบราวกับไม่มีแม้แต่ลมหายใจของหริ่งเรไร
ก็ยิ่งทำให้นายหญิงคนใหม่ของเรือนแห่งนี้อยู่ไม่สุข
ครืด...
ประตูเลื่อนถูกเปิดออกในจังหวะที่ไม่ช้าไม่เร็วและนั่นก็ทำให้ร่างบางขยับมานั่งตัวตรง...แน่นอนว่าคนที่ก้าวขาเข้ามาย่อมมิใช่ใคร...ฟูจิวาระ
ชู สามีของเขานั่นเอง
ร่างสูงสง่าอยู่ในชุดกิโมโนตัวในสีดำเพียงแค่ตัวเดียว
คงจะส่งแขกเหรื่อที่ตามมาส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวกลับหมดแล้วสินะ?
อันที่จริงคืนเข้าหอแทบจะไม่สำคัญสำหรับพวกเขาแล้วเพราะพวกเราเคยได้เสียกันมาก่อนหน้านี้
ใบหน้ามนจึงคิดว่าคนที่เย็นชานั่นคงจะแค่ล้มตัวนอนลงไปเฉยๆ
แต่เปล่าเลย...
ฟูจิวาระ
ชูนั่งคุกเข่าทับส้นลงตรงหน้าเขา...แขนแข็งแรงสอดเข้าไปในแขนเสื้อทั้งสองข้าง...ก่อนที่สาบเสื้อจะค่อยๆถูกแหวกลงจนพ้นไหล่...ส่งผลให้กิโมโนท่อนบนไหลลงไปกองอยู่ที่เอว...
เขาได้แต่มองร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของคนตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง
หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักๆจนดังลั่นสนั่นสองหู เขามองดูกล้ามหน้าท้องที่เป็นลอนชัดสมชายชาตรีสะท้อนแสงเทียน
ไม่ว่าจะกล้ามแขนหรือกล้ามอกก็ดูแข็งแกร่งและสวยงามไปหมด...ถึงจะเคยกอดรัดกันมาทั้งคืน
แต่เขาก็เพิ่งจะเคยได้เห็นเรือนร่างของสามีชัดๆเป็นครั้งแรก...ทำเอา...ลมหายร้อนผ่าวและใจติดๆขัดๆไปหมด...
และตอนนี้ร่างสูงสง่านั่นก็กำลังคืบคลานเข้ามาหา...ทำให้เขาเผลอขยับถอยหนีโดยไม่รู้ตัว
“ท่าน...คิดจะทำอะไร...คืนนี้เรามิใช่ว่าจะนอนพักหรอกหรือ?” เขาถามด้วยสีหน้าเอียงอาย
เพราะท่าทีของอีกฝ่ายดูก็รู้แล้วว่าจะทำอะไร...
“เจ้ากับข้ามีหน้าที่ที่จะต้องทำมิใช่รึ?” แต่ใบหน้าเฉยชากลับตอบออกมาเช่นนั้นด้วยเสียงราบเรียบ
นี่แทบจะเป็นประโยคแรกที่พูดคุยกับเขาเลย
“หน้าที่?” เสียงใสย้อนถามกลับไป
“มีลูกไง
ในสัญญาระหว่างสองแคว้นก็ระบุไว้ชัดเจน
ว่าเจ้ากับข้าต้องมีลูกและส่งเด็กที่เป็นอัลฟ่าให้กับแคว้นฮิดะของเจ้าอย่างน้อยหนึ่งคน” ฟูจิวาระ ชูยังคงตอบหน้าตาเฉย
ไม่รู้ทำไม
ทั้งๆที่คำพูดคำจาของผู้ชายตรงหน้านั้นช่างเย็นชาไร้เยื่อใย
แต่เขากลับรู้สึกเอ็นดูในความหน้าตายและตรงเป็นไม้บรรทัดนั่นเสียมากกว่า...ราวกับว่านี่ก็คือฟูจิวาระ
ชูที่เป็นฟูจิวาระ ชูมิใช่ใครอื่น
พอตั้งมั่นว่าจะเอาชนะใจอีกฝ่ายให้ได้แล้ว
เขาก็เลิกน้อยใจเลิกคิดมากกับนิสัยราวกับปลาตายนี้ไปแล้วสินะ?
เพราะหากเป็นคนอื่นมาพูดกับเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เช่นนี้
เขาก็คงจะเชื่อสนิทใจว่าอีกฝ่ายทำไปตามหน้าที่จริงๆ...อีกอย่าง...มันเป็นเพราะ
“กลิ่น” ของฟูจิวาระ ชูในยามนี้ด้วยที่ทำให้เขาคิดว่ามันมีมากกว่าคำว่า “หน้าที่” อย่างที่อีกฝ่ายพูดมา
“ท่านก็เลยคิดจะทำลูกกับข้า?” ดวงตากลมโตช้อนถามด้วยสองแก้มที่แดงระเรื่อ
“ใช่” เจ้าคนตรงหน้ายังคงตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้านทั้งที่เขานี่อายจนแทบจะกลายเป็นไข่ม้วนได้แล้ว
“พักสักคืนก่อนได้หรือไม่?” เขาพยายามต่อรองไปอย่างงั้น
“ไม่ได้
มันเป็นหน้าที่”
แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ยอมลดราวาศอกให้เสียเลย
หน้าที่ทำลูกนี่มันสำคัญมากขนาดนั้นเชียวรึ? เขาคิดไปก็เขินไป
“แล้วหากคืนนี้ข้ายังไม่มีลูกล่ะ?”
“ก็ทำไปจนกว่าจะมี
เพราะ-“
“มันเป็นหน้าที่สินะขอรับ?” เขาหัวเราะคิกคักที่หยอกเย้าอีกฝ่ายได้
ฟูจิวาระ ชูดูจะอึ้งไปที่เห็นเขายิ้ม
มือใหญ่เอื้อมมาแตะสัมผัสแก้มใสที่ถูกล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำยาวซึ่งถูกปล่อยละต้นคอ
เขาเสหน้าอย่างเขินอายลงไปมองที่พื้นก่อนจะใช้ฝ่ามือยันแผ่นอกที่ขยับเข้ามาใกล้
“ถ้าไม่ใช่ข้า
ท่านจะยังมุ่งมั่นทำหน้าที่นี้อีกหรือไม่?”
เสียงใสถามออกไปเพื่อประวิงเวลา
เขาตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลมให้ได้แล้วตอนนี้
เพราะบรรยากาศมันไม่เหมือนเมื่อคืนนั้นที่เขาอยู่ในช่วงดำรงพันธุ์
ตอนนั้นพวกเราต่างก็ถูกสัญชาติญาณครอบงำจนไร้ซึ่งสติ ต่างก็หน้ามืดตามัวไปกับความต้องการของร่างกาย
ไม่มีเวลาได้เขินอายหรือพูดจากันเช่นนี้
“เจ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในสัญญาฉบับนั้น
จึงมีเพียงเจ้าที่สามารถทำหน้าที่นี้กับข้าได้
หาใช่เจ้าแล้วเหตุใดข้าจะต้องทำ” ท่านแม่ทัพแห่งคางะชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด
สรุปก็คือถ้าไม่ใช่เขาก็ไม่ทำสินะ? ถึงจะเอาหน้าที่มาอ้าง แต่มันกลับเรียกความร้อนผ่าวขึ้นฉาบไล้จนทั่วใบหน้าเขาไปหมด
หมับ! พรืด~
มือใหญ่จู่โจมเข้ามาโดยที่เขามัวแต่เขินอาย
มันรวบสะโพกของเขาก่อนจะดึงเข้าไปหาทำให้สองขาอ้ากว้างรับร่างที่ขยับมาคุกเข่าอยู่ตรงกลางพอดี...
“อึก?” ฝ่ามืออุ่นร้อนถลกเลิกชายกิโมโนขึ้นไป
ขาเรียวเล็กที่ขาวใสราวกับน้ำนมจึงปรากฎแก่สายตา
เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าผู้เป็นสามีเพิ่งจะลอบกลืนน้ำลายลงคอ?
แต่พอทุกอย่างมันกระจ่างชัดด้วยสติเช่นนี้จึงทำให้หัวใจดวงน้อยถึงกับเต้นโครมคราม
กลิ่นของอัลฟ่าหนุ่มที่กำลังต้องการร่วมรักทำให้ทั่วทั้งร่างของเขาร้อนผ่าวไปหมด มันเหมือนถูกสะกดให้ต้องยินยอม
มันทำให้มัวเมาและเคลิบเคลิ้มตามโดยง่าย เขาไม่อาจปฏิเสธริมฝีปากที่ถาโถมลงมาบนกลีบปากของเขาได้เลย
ร่างทั้งร่างทำได้เพียงหยัดแขนตั้งรับจูบที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงนั่นโดยไม่ให้เอนหลังล้มลงไป
“อื้ม~” ร่างสูงสง่าแทบไม่ยอมเสียเวลาให้ชักช้า
ในขณะที่ปากก็จูบฝ่ามือใหญ่ก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกไปด้วย
ทั้งใบหน้าร้อนราวกับจะมอดไหม้กับการรุกล้ำที่รุนแรงของอีกฝ่าย
ท่านแม่ทัพทำเหมือนกำลังอยู่ในสนามรบ ริมฝีปากร้อนบดขยี้เขาราวกับกองทัพที่กำลังกลืนกินศัตรู
และเขาก็คงเป็นได้แค่ฝ่ายปราชัยต่อเรียวลิ้นที่ไล่ต้อนไปทั่วโพรงปากเช่นนี้...ทั้งร้อน...ทั้งรู้สึกดีจนต้องส่งเสียงครางครือออกมา
“ฮ้า...”
ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปหมดเมื่อปากร้อนๆนั่นกดงับอยู่ที่ลำคอ
สัมผัสที่แยกไม่ออกระหว่างจูบหรือกัดมันแปลกประหลาดมากเพราะมันดันทำให้ร่างกายเขากระตุกด้วยความรู้สึกรัญจวน?
มือแข็งแกร่งจับโคนขาของเขาแยกออกจากกันท่ามกลางสติที่เริ่มจะมึนเบลอ
เขารู้สึกได้ถึงผิวส่วนหัวของแท่งเนื้อร้อนๆราวกับเหล็กไหลซึ่งกดแนบลงมายังปากทางเบื้องล่าง...
ก่อนที่มันจะพยายามกดเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย!
“โอ๊ย?!” เขาอุทานพร้อมกับสะดุ้งโหยง ร่างกายดิ้นพล่านถอยหนีในฉับพลัน
เจ็บ! มันเจ็บเหมือนถูกมีดกรีดลงบนเนื้อสดๆยังไงอย่างงั้น!
“เดี๋ยว!
เจ็บขอรับ มันเจ็บ!”
มือบางดันต้นขาแกร่งก่อนจะพยายามดันตัวหนี
น้ำตาของเขาไหลลงมาอาบแก้มแบบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“?” ใบหน้าหล่อเหลาที่เหยียดมองลงมานั้นเต็มไปด้วยความพิศวงที่เห็นเขาถอยหนีจนความเป็นชายนั่นหลุดออกไปจนได้
ดูท่าทางฟูจิวาระ ชูจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเจ็บในเมื่อคืนนั้นพวกเรายังทำกันได้?
เขาควรจะดีใจหรือไม่เพราะสามีของเขาน่าจะไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครมาก่อนถึงไม่รู้ขั้นตอนเลยว่ามันต้องทำยังไง?
แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน เขาจึงพยายามนึกถึงสิ่งที่ท่านแม่เคยสอนไว้...
ช่วงดำรงพันธ์ของโอเมก้ากับอัลฟ่านั้นถูกเรียกขานตามภาษาต่างแดนแตกต่างกัน
ของโอเมก้าคือฮีท ของอัลฟ่าคือรัท
แน่นอนว่าระยะเวลาและความรุนแรงนั้นก็ต่างกันด้วย
เขารู้แค่ว่าหากไม่ใช่ช่วงฮีทร่างกายของเขาก็แทบไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไป
ช่องทางข้างหลัง...มันจะไม่ได้เปียกแฉะและอ่อนนุ่มด้วยตัวเองได้...
พอนึกมาถึงตรงนี้เขาก็อ้าปากค้างในใจ...ท่านแม่ไม่เคยสอนเขาเลยนี่ว่าการร่วมรักระหว่างเขาที่เป็นผู้ชายกับอัลฟ่าที่เป็นผู้ชายเหมือนกันในวันที่ไม่ได้ฮีทต้องทำยังไง?
แล้วก็ดูเหมือนว่าคนที่มักจะทำอะไรด้วยความฉับไวจะไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป
“มันเป็นหน้าที่
เจ้าต้องอดทน” มือใหญ่ดึงโคนขาของเขาเข้าหาอีกครั้ง
ปลายแท่งเนื้อร้อนระอุที่บวมเป่งจนแทบจะระเบิดนั่นพยายามจะกดเข้ามาอีกหน
“ฮึก...แต่มันเจ็บขอรับ
ข้า ไม่...” เขาเองก็พยายามจะถอยหนีด้วยร่างกายที่สั่นระริก
น้ำตาพรั่งพรูลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาร้องไห้...ทั้งที่ปกติแล้วมิใช่คนชอบงอแงแต่อย่างใด
เคยบาดเจ็บจนหัวล้างข้างแตกยังทนได้...แต่ครั้งนี้...ที่น้ำตารินไหล...เพราะลึกๆในใจก็อยากได้รับการทะนุถนอมจากผู้เป็นสามีมิใช่หรือ
มือบางปัดป้องตัวเองอย่างน้อยใจและไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้าใกล้
แต่ร่างสูงใหญ่ก็ยังดึงดันและจับข้อมือของเขากดลงบนฟูกราวกับรำคาญใจ?
หากเขายังเป็นเช่นนี้...หากสิ้นสุดราตรี...ท่านแม่ทัพจะยิ่งเหินห่างเขามากกว่าเดิมหรือไม่กันนะ
ในเมื่อเขาขัดขืน ในเมื่อเขาไม่อาจตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายได้
ความกังวลใจทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่นในขณะที่ยังหลับหูหลับตาไม่กล้ามองหน้า
ทว่า...ทุกอย่างกลับนิ่งค้างไป...?
มิใช่แค่เสี้ยววินาทีแต่นานกว่านั้นมาก...นานจนเขาต้องค่อยๆลืมตาขึ้นมาดูด้วยความสงสัย...คงมิใช่ว่าท่านแม่ทัพไม่พอใจที่เขาปฏิเสธจนลุกออกไปแล้วหรอกใช่ไหม?
“อ๊ะ?”
เสียงใสอุทานออกมาเบาๆยามเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วสบประสานกับสายตาที่จ้องมองเขาจากเบื้องบน...ฟูจิวาระ
ชูไม่ได้ถอยออกไป
แต่นัยน์ตาสีม่วงนั่นยังจับจ้องเขาอย่างนิ่งงัน...และมันก็ทำให้สองแก้มของเขาแดงแปร๊ดในทันที
อีกฝ่ายยอมหยุดเพราะเห็นเขาร้องไห้อย่างงั้นหรือ?
...ท่านนี่มัน...ขยันทำให้ข้าสับสนเสียจริงเชียว...
มือใหญ่ที่เคยรังแกเขาขยับมาประคองที่แก้มแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้
ฟูจิวาระ ชูอาจจะทำไปตามสัญชาตญาณก็ได้ถึงได้โน้มตัวลงมาจูบเขาอย่างอ่อนโยนเช่นนี้
ร่างสูงใหญ่ทำท่าจะละออกไปและเขาเองก็คงจะทำไปตามสัญชาตญาณเช่นกัน...มือบางถึงได้ดึงรั้งชายกิโมโนสีดำนั่นเอาไว้...
“.......”
ใบหน้าหล่อเหลามองเขาด้วยสายตาราวกับกำลังประเมิน เสียงใสจึงรีบเอ่ยงึมงำออกไป...
“ข้า...จะอดทน...” หากจะถูกทอดทิ้ง...สู้เขายอมฝืนทนต่อความเจ็บปวดนั้นคงจะดีกว่า
แค่หนึ่งราตรีเขาคงไม่ถึงตายหรอก...
“.......” แต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังคงมองเขานิ่งเฉย
“เจ้ากลัวว่าข้าจะเบื่อหน่ายแล้วละออกไปเช่นนั้นรึ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาจึงพยักหน้าเบาๆ
“ฮึ...ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก” แต่ฟูจิวาระ ชูกลับหัวเราะในลำคอเบาๆทำเอาเขางงงวย...เอ๊ะ?
ท่านไม่ได้กำลังจะลุกออกไปด้วยรำคาญใจที่ข้าอ่อนแออย่างนั้นรึ?
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาหา
ก่อนประโยคถัดไปจะถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเจ้าเล่ห์ยังไงชอบกล?
“เพราะข้า...ไม่เคยละเลยต่อหน้าที่” ใบหน้ามนถึงกับผงะ หนะ หน้าที่อะไรของท่าน...
สองแก้มถึงกับร้อนผ่าว
ร่างสูงใหญ่หยัดกายขึ้นเพียงเท่านั้น
สองขายังกางคร่อมลำตัวของเขาไว้ไม่จากไปไหน
ใบหน้าหล่อเหลาเพียงมองไปที่ขวดเซรามิกสีขาวหลายขวดที่วางอยู่บนถาด
สิ่งของพวกนี้ข้ารับใช้เตรียมไว้ให้มันน่าจะมีความหมาย? ฟูจิวาระ ชูเลยหยิบขวดหนึ่งมาดมดูก่อนจะลองใช้นิ้วแตะบี้เบาๆ
น้ำใสๆนั่นเหนียวหนืดราวกับพวกน้ำมันหอมระเหยเลย?
“สิ่งนี้น่าจะช่วยเจ้าได้” ฟูจิวาระ ชูไม่พูดให้มากความ
นิ้วยาวและแข็งแกร่งสอดใส่เข้าไปแทนที่ความเป็นชายพร้อมด้วยน้ำมันนั่น
“อึ้ก?!” เขาสะดุ้งเบาๆจากความเย็นของมัน
แต่นอกนั้นก็นับว่าดีกว่าเจ้าแท่งเนื้อของคุณชายฟูจิวาระเป็นไหนๆ
“อึก...อื้อ?...”
ดูเหมือนท่านแม่ทัพจะขยับนิ้วเข้าๆออกๆเลียนแบบเจ้าสิ่งนั้นเมื่อครั้งที่ร่วมรักกันคราวก่อน
เขาถึงกับสะดุ้งเฮือกจากความเสียววาบที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน? ช่องทางเบื้องล่างจึงเผลอตอดรัดนิ้วยาวโดยอัตโนมัติจนเจ้าของนิ้วแทบเก็บอาการไม่อยู่
ใบหน้าที่เคยเฉยเมยเย็นชาเผลอพ่นลมหายใจหนักๆออกมา
บนแก้มสะอาดใสก็ขึ้นสีแดงระเรื่อน้อยๆจนหัวใจของเขาถึงกับเต้นตึกตักกับภาพที่เห็น
“อ๊ะ
อื้อ~” เขาแทบทนไม่ไหวกับปลายนิ้วที่สัมผัสโดนอะไรบางอย่างภายใน
เขาไม่เคยรู้เลยว่าร่างกายเขามีจุดที่ไวต่อสัมผัสขนาดนี้ด้วย...แน่นอนว่าฟูจิวาระ
ชูก็ไม่เคยรู้ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายรู้แล้ว
ฉะนั้นมีหรือที่ชายผู้ชอบไล่ต้อนผู้อื่นจะยอมปล่อยมันไป
ปลายนิ้วยาวจึงเอาแต่คลึงผ่านมันย้ำๆอยู่แบบนั้น
“อื้อ!
ทะ ท่านแม่ทัพ...ตรงนั้น อ๊า! อย่าขอรับ” เขาร้องครางพลางบิดเร่า
เขารู้สึกพ่ายแพ้ต่อสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จ้องมองเขาไม่วางตานี้เหลือเกิน
แขนบางจึงพยายามจะยกมาปิดหน้า ทว่า ผู้เป็นสามีกลับไม่ยอม
มือใหญ่กดข้อมือเขาไว้กับฟูกนอนเพื่อที่จะได้มองหน้าแดงซ่านของเขาต่อไป อ๊า~น่าอายจริงเชียว
เสียงแจ๊ะๆที่แสดงถึงความเปียกแฉะก็ยิ่งทำให้หน้าเขาแดงจัด
ถึงเขาจะเป็นผู้ชายแต่เพราะเขาเป็นโอเมก้า
ถึงจะแฉะด้วยตัวเองไม่ได้แต่หากถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรงเช่นนี้ย่อมแฉะตามได้ไม่ยาก
บัดนี้ช่องทางของเขาจึงอ่อนนุ่มชุ่มเยิ้มจนเจ้าของปลายนิ้วที่สอดใส่อยู่ข้างในถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
เขาคงจะเป็นคนแรก...ที่ได้เห็นใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยไฟราคะของชายผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเย็นชาที่สุดในแคว้นคางะ
“ยังเจ็บอีกหรือไม่?” นิ้วที่สามถูกสอดใส่เข้ามา
เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ มันไม่เจ็บแล้ว แต่สามนิ้วนี้ก็ยังห่างไกลกับเจ้ากระบอกไม้ไผ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นมากนัก
เขาเขินจนแดงไปถึงใบหูเมื่อแอบลอบมองดูความเป็นชายที่สมชายของผู้เป็นสามี...มันใหญ่
มันยาว มันแข็ง มันเต็มไปด้วยเส้นเลือด แล้วมันก็ดูดุดันมากในยามนี้...เจ้านี่...เคยเข้าไปในตัวเขาจริงๆน่ะเหรอ?
ได้ด้วยเหรอ? แค่คิดก็อยากจะมีความสามารถเปิดปิดช่วงฮีทได้ดั่งใจเสียจริงๆ
เขาจะได้ไม่ต้องมากลัวมันจนแทบจะเป็นลมเหมือนอย่างในตอนนี้
“ถ้าไม่เจ็บแล้วก็...” นิ้วทั้งสามถูกดึงออกไปเพื่อถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก
ใบหน้ามนสูดหายใจเข้าด้วยความตื่นเต้น
“อื้อ!” แกนกายร้อนเป็นไฟถูกสอดใส่เข้ามาช้าๆ
แต่มันถูกหันเหความสนใจด้วยรอยกัดบนลาดไหล่และลำคอ...เขาไม่รู้เลยว่าเขาเจ็บที่ตรงไหน...มันเจ็บๆ
แสบๆ เสียวๆ...
“อ้า~” จนกระทั่งฟูจิวาระ ชูอดรนทนไม่ไหวกระแทกใส่เข้ามารวดเดียวในช่วงท้ายนั่นแหละ
เขาถึงได้ร้องลั่น มันทั้งจุกแน่นทั้งเสียววูบจนเกือบจะเสร็จเสียให้ได้
ช่างเป็นความทรมานที่สับสนปนเปเหลือเกิน
แขนบางเผลอกอดคนที่โน้มลงมาหา
ลมหายใจหนักๆและเส้นผมสีชาจึงซบอยู่บนไหล่ เขารับรู้ได้ว่าฟูจิวาระ
ชูแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังปรานีหยุดพักให้เขาได้ปรับตัว
ข้างล่าง...มันแน่นจนเขาน้ำตาปริ่ม
หลังจากพยายามผ่อนลมหายใจและผ่อนคลาย
อัลฟ่าหนุ่มของเขาก็กัดลงมาที่ซอกคออีกหลายรอยเพื่อระบายความต้องการที่ยังไม่สามารถขยับได้
เจ้าสิ่งนั้นมันเต้นตุบๆอยู่ในกายเขาจนรู้สึกได้ และเมื่อเขาเผลอบีบรัดมันนิดหน่อย...ชายผู้ที่มีความอดทนและเยือกเย็นที่สุดในตระกูลฟูจิวาระก็ดูจะต่อสู้กับสัญชาตญาณดิบของตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป
นี่...คงจะเป็นสิ่งแรกที่ทำให้คนอย่างฟูจิวาระ
ชูพ่ายแพ้...
“อ๊า~! ดะ เดี๋ยว~”
มือใหญ่ตรึงสะโพกของเขาเอาไว้ก่อนจะเริ่มขยับกายเข้าออกทันที
แค่กระแทกไม่กี่ครั้งก็ทำเอาเขาแทบจะสิ้นสติสมประดี
ความรู้สึกที่ทำเอาแทบจะคุ้มคลั่งแบบนี้มันคืออะไรกัน?
แค่สอดประสานร่างกายก็ทำให้มองเห็นสวรรค์ได้ด้วยหรือ?
เขาร้องครางแทบขาดใจในขณะที่ถูกกระแทกใส่อย่างดุเดือด
อีกฝ่ายทำให้เขาปลดปล่อยออกมานับครั้งไม่ถ้วนจนคืนนี้คืนเดียวก็แทบจะเท่ากับจำนวนครั้งที่เขาเคยปลดปล่อยด้วยตัวเองมาทั้งชีวิต...
และในเมื่อเข้ามาได้แล้ว...ฟูจิวาระ
ชูก็ดูจะไม่ยอมออกไปง่ายๆอีก
อีกฝ่ายยังคงมุ่งมั่นที่จะทำ
“หน้าที่” ของตนจวบจนรุ่งสาง
ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาถูกทิ้งไว้บนฟูกกับน้ำกามที่ไหลเลอะเต็มก้นและโคนขา...แน่นอนว่ามันไหลออกมาจากช่องทางที่รับไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
มันเยอะขนาดไหนก็คิดดูเถอะ!
ดวงตาค่อยๆเปิดขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงแสงสว่างจ้ากระทบใบหน้า...อ้า...สายป่านนี้แล้วเหรอ?
เขาไม่เคยตื่นสายจนตะวันขึ้นสู่ยอดไม้แบบนี้เลยสักครา
แต่สิ่งที่เจอมาทั้งคืนจะให้เขาตื่นเช้าก็คงไม่ไหว...ท่านแม่ทัพเพิ่งจะยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมอกก็เมื่อตอนน้ำค้างแรกหยดลงยอดหญ้านี่เอง
“อึก...” เขาถึงกับส่งเสียงในลำคอเมื่อพยายามจะยกร่างกายที่หนักอึ้งนี้ขึ้นมา
แขนขาสั่นระริกไปหมดอีกทั้งเบื้องล่างยังปวดระบมเมื่อยล้า
ตามผิวกายก็รู้สึกเจ็บแสบไม่ว่างเว้นโดยเฉพาะที่ลาดไหล่กับลำคอ...นี่คือผลของการร่วมรักอย่างต่อเนื่องยาวนานและดุดันเช่นนั้นสินะ...
แล้วทำไมถึงมีแต่เขาที่ลุกไม่ขึ้นกันเนี่ย?
ดวงตาสีเขียวทอดมองไปยังฟูกที่ว่างเปล่าไร้เงาของฟูจิวาระ
ชู...อีกฝ่ายออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว
ยังดีที่ยังปรานีลุกขึ้นมาดูอาการของเขาก่อนจะจากไป แต่พอนึกถึงความแข็งแรงของผู้เป็นสามีแล้วเขาก็ได้แต่ฟึดฟัดอยู่คนเดียว
“อื้อ...” เสียงใสเผลอเปล่งออกไปเมื่อพยายามจะลุกขึ้นนั่ง
แต่ความเจ็บแปลบที่แล่นลิ่วขึ้นมาจากเบื้องล่างก็ทำให้ยอมแพ้และนอนคว่ำพังพาบลงไปเช่นเดิม...ทำยังไงดีเนี่ย?
ลุกไม่ขึ้นเลยจริงๆ...
“นายหญิง?” และก็เพราะเสียงร้องเบาๆของเขานั่นแหละเลยทำให้ข้ารับใช้ที่รออยู่หน้าห้องอยู่ก่อนแล้วเอ่ยทัก
“ท่านตื่นแล้วใช่หรือไม่?
ให้ข้าเข้าไปช่วยท่านดีไหม?” ใบหน้ามนก้มมองสภาพที่ไม่เรียบร้อยเอาเสียมากๆของตัวเอง
ในใจนึกอยากจะปฏิเสธ แต่ดูก็รู้ว่าถ้าเขาไม่ให้ใครสักคนเข้ามาช่วย
เขาคงไม่ได้ลุกไปไหนทั้งวันแน่ๆ
“อะ
อื้อ เข้ามาเถอะ...”
เสียงใสจึงจำต้องตอบรับออกไปเบาๆ
“ตายจริง...”
สองสาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาถึงกับปิดปากอุทานเมื่อเห็นเขาที่นอนหมดสภาพอยู่บนฟูก
ถึงจะมีกิโมโนลายนกกระเรียนสีดำของคุณชายฟูจิวาระคลุมเบื้องล่างเอาไว้แต่แผ่นหลังขาวที่เต็มไปด้วยรอยกัดรอยจูบนั้นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเมื่อคืนนี้ทั้งคู่เร่าร้อนกันขนาดไหน
“พวกเจ้า...ยิ้มอะไรกันรึ...” ใบหน้ามนซีดเซียวถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นสองสาวใช้พากันยิ้มกรุ้มกริ่มท่าทางชอบใจ
“ไม่คิดว่านายน้อยชูจะ...ขนาดนี้น่ะเจ้าคะ
ปกติท่านไม่ใช่คนมักมากในกามเลย ท่านไม่เคยสนใจที่จะหลับนอนกับผู้หญิงด้วยซ้ำ”
ทั้งคู่พูดด้วยรอยยิ้มในขณะที่ช่วยพยุงเขาลุกขึ้นนั่ง
น้ำรักที่เลอะเต็มโคนขายิ่งทำให้สองสาวหันไปกระแอมกระไอกันอย่างเก็บอาการไม่อยู่
“ไม่เคยเลยสักครั้ง?” เขาถามย้ำอย่างอายๆ
ก็ไม่ได้อยากให้ใครมาเห็นสภาพแบบนี้ของเขาหรอกแต่แค่จะลุกขึ้นนั่งเขาก็สั่นไปทั้งตัวแล้ว
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบอย่างมั่นใจว่านายของตนไม่เคยทำเรื่องแบบนี้กับใครแน่ๆ
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไร
เขาออกนอกบ้านไปเจ้าก็ไม่รู้แล้ว”
เขาพูดอย่างเป็นกันเองกับสาวใช้
มือบางก็จับสาบเสื้อกิโมโนสวมไปด้วย
บนแผ่นหลังว่าเยอะแล้วแต่บนแผ่นอกและซอกคอยิ่งเยอะกว่า...รอยรักที่เจ้าของจวนหลังนี้ฝังเอาไว้
“ย่อมต้องรู้แน่นอนเจ้าค่ะ
หากหญิงใดได้หลับนอนกับนายน้อยชูย่อมต้องรีบออกมาป่าวประกาศเป็นแน่
อีกทั้งออกจากบ้านไป ท่านก็อยู่แต่ในค่ายทหาร ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลยสักครั้ง” ใบหน้ามนยิ้มบางๆเมื่อได้ฟังอย่างนั้น
เขานึกอยากจะทำอะไรไว้รอเอาใจสามีผู้ที่ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางของเขาบ้างเสียแล้วสิ
ตลอดบ่ายวันนั้นนายหญิงแห่งจวนฟูจิวาระจึงได้ขลุกตัวอยู่แต่ในครัว
เสียงสาวใช้พูดคุยหยอกล้อในขณะที่รับใช้นายหญิงทำให้จวนที่เคยเงียบงันและเย็นยะเยือกแห่งนี้ดูมีสีสันขึ้นมาถนัดตา
“ท่านแม่ทัพชอบทานอะไรงั้นรึ?
พอจะบอกข้าได้หรือไม่?” หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะทำอาหารเย็นไว้รออีกฝ่ายมาทานด้วยกันแต่เขานั้นก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับฟูจิวาระ
ชูเลย ไม่รู้เลยว่าของโปรดของสามีคืออะไร มีสิ่งใดที่กินไม่ได้หรือไม่ชอบบ้างไหม?
เขาจึงหันไปถามข้ารับใช้ที่อยู่ที่นี่มานานที่สุด
“เอ่อ.....?” แต่นางกลับอ้ำอึ้งไป
สาวใช้ทำท่านึกก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ...แต่ทุกคนกลับมีอาการเดียวกัน?
“เอ๋?
พวกเจ้าไม่รู้รึ?” เขาอุทานอย่างประหลาดใจ
เท่าที่เขารู้หลายคนก็อยู่ที่จวนนี้มาเป็นสิบปีแล้วนะ? จะไม่รู้ได้อย่างไร?
“ก็ไม่เชิงว่าจะไม่รู้นะเจ้าคะ
แต่ว่า...นายน้อยชู...ไม่มีอาหารที่ชอบหรือเกลียดเป็นพิเศษเลยเจ้าค่ะ
ประมาณว่าเวลาทานอาหาร...สีหน้าของท่านไม่เคยเปลี่ยนเลยเจ้าค่ะ พวกเราจึงไม่มีใครรู้เลยว่าท่านชอบอะไร
ไม่ชอบอะไร ท่านก็ไม่เคยพูดอะไรด้วย ทำอะไรให้ก็ทานไปตามนั้นเจ้าค่ะ
เจ้ารู้หรือไม่?” สาวใช้หันไปถามเพื่อนนางอีกรอบ
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน?” แล้วทุกคนก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
จะเป็นไปได้รึที่คนเราทั้งคนจะไม่มีอาหารหรือสิ่งใดที่ชอบเลย?
ฟูจิวาระ ชูเติบโตมาอย่างไร้หัวใจขนาดไหนกันเนี่ย? ขนาดอาหารการกินก็ยังถือเป็นหน้าที่
ไม่ยอมให้ใจกับสิ่งใดเลย...
แล้วอย่างข้า...จะเป็นสิ่งแรกที่เขาผู้นั้นชอบได้หรือไม่กันนะ?
แค่คิดก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาเลย...
“อืม...เช่นนั้นก็ทำตามที่วัตถุดิบมีไปก่อนก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นนายหญิงคนใหม่แห่งจวนฟูจิวาระก็ตั้งอกตั้งใจเตรียมอาหารเย็นไว้อย่างดี
ร่างโปร่งบางลงมือเองทุกขั้นตอน โชคดีที่เขาพอจะมีฝีมือด้านการทำอาหารอยู่บ้าง
ขนาดพวกข้ารับใช้ยังมองอาหารที่เขาเตรียมไว้กันน้ำลายสอ
กลิ่นที่หอมตลบอบอวลทำเอาคนทั้งจวนต่างท้องร้องไปตามๆกัน
ทว่า...
เขารอแล้วรอเล่า...คนที่ตั้งใจทำให้ก็ยังไม่กลับบ้านสักที...
ร่างโปร่งบางนั่งทับส้นมองจานอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างประณีต
ท้องฟ้าภายนอกนั้นมืดมิดไปหมดแล้ว...ปกติท่านแม่ทัพกลับบ้านช้าขนาดนี้เลยหรือ?
หรือแค่ไม่ได้สนใจไยดีภรรยาที่เพิ่งตบแต่งเข้ามาเองแบบเขากันแน่?
“เฮ้อ...” ใบหน้ามนถอนหายใจ
เขาก็เคยเป็นคนที่ไม่ได้สนใจอะไรและความรู้สึกช้า ทว่าตั้งแต่แต่งงานมาทำไมเขาถึงได้เอาแต่คิดเรื่องของอีกฝ่ายแบบนี้กันนะ?
“นายหญิงเจ้าคะ
ท่านทานก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ อาหารเย็นหมดแล้ว...”
ข้ารับใช้คนหนึ่งเอ่ยบอกเขาก่อนจะมองมาด้วยสายตาเห็นใจ
“ปกติ...ท่านแม่ทัพกลับบ้านช้าแบบนี้หรือ?...” เสียงใสถามออกไปลอยๆ
“เจ้าค่ะ...ท่านมักจะกลับมืดค่ำแบบนี้ทุกวัน...แต่ก็ไม่คิดว่าแม้แต่วันที่เพิ่งเข้าหอแบบนี้ก็ยังจะกลับค่ำอีก...”
ไม่สมกับเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันอย่างนั้นสินะ...
ที่ไหนในใจของเขาสักที่รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
แต่กระนั้นเขาก็ต้องปั้นหน้านิ่งต่อไป
“นายหญิงเจ้าคะ
ท่านรองแม่ทัพเข้ามาเอาเอกสาร
ข้าเลยเชิญเขามาเผื่อว่าท่านจะสอบถามเรื่องของนายน้อยชู”
และแล้วสาวใช้คนหนึ่งซึ่งเปิดประตูเข้ามาด้วยความตื่นเต้นก็พอจะทำให้จิตใจที่ห่อเหี่ยวของเขาพอจะมีน้ำมาหล่อเลี้ยงได้บ้าง
ร่างโปร่งบางจึงหันไปมองชายร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งทับส้นอยู่ที่หน้าประตู
“ท่านแม่ทัพ...ยังไม่กลับหรือ?...” เสียงใสถามออกไปแผ่วเบา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครานั่นเหลือบมองโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีก่อนจะมีท่าทีกระอักกระอ่วน
“เอ่อ...ท่านยังประชุมอยู่ที่ค่ายทหารขอรับ...และท่านแม่ทัพก็...ทานมื้อเย็นกับพวกทหารไปแล้วขอรับ...”
กลายเป็นรองแม่ทัพผู้นี้เสียเองที่ทำสีหน้ารู้สึกผิดและเกรงใจเขา
เห็นอาหารมากมายขนาดนี้อีกฝ่ายก็คงจะรู้แล้วว่าเขาตั้งใจทำไว้ให้นายของตน
“งั้นรึ...เจ้ากลับไปได้แล้วละ
ข้า...ไม่มีเรื่องใดจะสอบถามแล้ว...”
ใบหน้ามนหงอยลงจนทั้งข้ารับใช้และรองแม่ทัพต่างสงสารจับใจแต่ก็มิมีใครสามารถจะเอ่ยปลอบใจเขาได้ในเมื่อฟูจิวาระ
ชูก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร
“เช่นนั้น...ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ...”
รองแม่ทัพลาจากไปพร้อมกับหัวใจของเขาที่ห่อเหี่ยวลงอีกครั้ง...ก็...ช่วยไม่ได้ละนะ
ในเมื่ออีกฝ่ายมีภาระหน้าที่ที่ใหญ่หลวงขนาดนี้...
มือบางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบข้าวเข้าปากเงียบๆ
ในเมื่อรอต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ทว่า เขาก็ทานได้ไม่กี่คำ ความรู้สึกจุกแน่นในอกมันก็ทำให้กลืนอะไรไม่ลงอีก
มือบางวางตะเกียบลงอีกครั้งทั้งที่กับข้าวยังไม่พร่องลงไปเลยสักนิด
“พวกเจ้าเก็บอาหารเถอะ
ข้า...อิ่มแล้วละ”
ขนาดหริ่งเรไรยังรู้เวลาเข้านอน
ใบหน้ามนทอดถอนใจอีกครั้งเมื่อหันมองไปยังเทียนไขที่หายไปกว่าครึ่ง...สามีเขาก็ยังไม่กลับบ้าน...
ร่างกายที่ยังไม่หายเคล็ดขัดยอกดีตัดสินใจนอนลงบนฟูกช้าๆ
เขาเองก็ง่วงเสียเต็มประดาแล้วเช่นกัน ในเมื่อนั่งรอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่กลับมา
ถ้างั้นเขาขอพักสายตาสักครู่ก็แล้วกัน...
แล้วในขณะที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น
กำลังอยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน สติสัมปชัญญะกำลังสะลึมสะลือได้ที่
ลมหายใจอุ่นร้อนของใครบางคนกลับรดลงมาที่ต้นคอ?
“?
ท่านแม่ทัพ?” เขาหันหน้าไปมองด้วยความงัวเงีย
ที่จริงเขาไม่ต้องหันไปก็ยังได้ เพราะเขารู้ว่าเป็นอีกฝ่ายจากกลิ่นที่โชยมา
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ?
แล้วนี่ท่าน...กำลังจะทำสิ่งใด?” เขาถามด้วยน้ำเสียงง่วงงุน
คนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังกำลังดึงรั้งคอเสื้อกิโมโนของเขาก่อนจะกดจูบไปตามลาดไหล่ด้านหลัง
ลมร้อนจากลมหายใจทำให้ใบหน้าเขาแดงซ่าน
ไม่เพียงแต่ด้านบนเท่านั้นด้านล่างเองก็กำลังถูกผู้เป็นสามีปลุกปั่นอยู่เช่นกัน
มือใหญ่สอดเข้ามาตามรอยแหวกของกิโมโนก่อนจะกอบกุมบีบเคล้นคลึงแกนกายของเขาจนทำเอาร่างทั้งร่างอยู่ไม่สุข
“อื้อ~” เขาครางเบาๆก่อนจะพยายามหยุดมือข้างนั้นด้วยสองมือที่แรงน้อยกว่ามาก
ใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งมองปฏิกิริยาของเขาจากทางด้านหลังจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงหนักแน่น
“ข้าก็จะทำหน้าที่ของข้าอย่างไรเล่า
ทำให้เจ้ามีลูก” เสียงสูดกลิ่นดังฟืดอยู่แถวๆซอกคอ
ถึงเขาจะเริ่มหมั่นไส้ในความมุ่งมั่นทำหน้าที่ของอีกฝ่ายแต่อ้อมแขนนี้ก็ทำให้ไม่อยากจะดิ้นหนีเลยจริงๆ
ทั้งๆที่เขายังงอนยังน้อยใจที่อีกฝ่ายกลับบ้านดึกอยู่แท้ๆนะ!
“เดี๋ยว
อ๊ะ?” ชายกิโมโนของเขาถูกถลกเลิกขึ้นมา
จากที่เคยรู้สึกว่ามันมีอะไรแข็งๆร้อนๆบางอย่างแนบอยู่แถวๆก้นครานี้จึงรู้ซึ้งเป็นอย่างดีเลยว่ามันคืออะไร
เสียงจุกขวดน้ำมันหอมถูกดึงออกดังเป๊าะก่อนที่น้ำเหนียวหนืดจะราดรดลงบนก้นข้างหนึ่ง
มันค่อยๆไหลลงไปก่อนจะถูกนิ้วปาดไล้ไปยังที่ที่มันควรจะเข้าไป
“อึก
อะ~” ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งที่โอบกอดแผ่นหลังเขาไว้จนไม่มีทางหนี
นิ้วยาวถูกสอดใส่เข้ามาก่อนจะควานหาจุดไวสัมผัสที่จะทำให้เขาร้องครางแทบขาดใจ
กลิ่นของฟูจิวาระ ชูนั้นส่งผลโดยตรงต่อเขา มันทำให้ลุ่มหลงมัวเมา
กลิ่นของเขาเองก็คงจะเช่นกัน
มิเช่นนั้นอีกฝ่ายจะสูดกลิ่นเขาคละเคล้าไปกับการกัดและจูบตามร่างกายเขาราวกับคนโดนของแบบนี้หรือ
“ฮ้า...” เขาฟังเสียงหอบหายใจที่ราวกับจะทนไม่ไหวแล้วของผู้เป็นสามี
หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก
ความคิดที่ว่าอยากจะผลักไสอีกฝ่ายให้หายงอนจึงถูกทับถมไปทันที
“อะ
อ้า~”
เขาได้แต่ปล่อยให้เจ้ากระบอกไม้ไผ่นั่นสอดใส่เข้ามาในร่างกาย
ได้แต่ปล่อยให้มันกระแทกกระทั้นตามแต่ใจ ปล่อยให้มันปลดปล่อยไว้ข้างใน
ปล่อยให้ราตรีนี้ยังคงยืดยาวต่อไป...
“เห็นที
จวนฟูจิวาระที่เคยเงียบเหงาแห่งนี้คงจะมีเหล่าเจ้านายตัวน้อยๆออกมาวิ่งเล่นหัวปีท้ายปีเสียกระมังแบบนี้”
“.......”
“เจ้าต้องไปบ้านใหญ่
ขอยาบำรุงมาให้นายหญิงเสียแล้ว ดูสิ หน้าตาซีดเซียวหมดแล้ว”
“........”
“เจ้าว่าเป็นโสมพันปีดีหรือไม่?
นายน้อยชูพละกำลังมากกว่าคนทั่วไปแล้วยังไม่บันยะบันยังเช่นนี้อีก
นายหญิงจะรับไหวได้อย่างไร เห็นทีต้องบำรุงหนักๆเสียแล้ว”
“........”
เขานั่งฟังข้ารับใช้พูดคุยกันในขณะที่ช่วยพยุงเขาลุกขึ้นนั่งและช่วยแต่งตัวให้
ใบหน้ามนได้แต่ยิ้มแห้งอย่างพูดอะไรไม่ออกทำได้แค่ปล่อยให้สองสาวใช้พูดคุยกันต่อไป
ร่องรอยการร่วมรักนั้นไม่ได้น้อยกว่าเมื่อวานเลย
เขาจะไม่มีแรงแม้แต่จะขยับแขนก็ไม่แปลก
“วันนี้นายหญิงอยากจะทำอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” สาวใช้เอ่ยถามในขณะที่ช่วยสวมกิโมโนตัวนอก
“อืม...ข้าอยากจะลองทำเนื้อตุ๋นมันฝรั่งสูตรฮิดะบ้านข้าให้ท่านแม่ทัพลองทานดูน่ะ”
“ดีเลยเจ้าค่ะ
เช่นนั้นข้าน้อยช่วยเตรียมเนื้อกับมันฝรั่งนะเจ้าคะ”
เขาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ
สำหรับหน้าที่ของภรรยาแล้วคงไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการหุงหาอาหารอร่อยๆไว้รอสามีกลับบ้านอีกแล้ว
เขาจึงไม่ย่อท้อที่จะทำมัน
ทว่า
เนื้อตุ๋นมันฝรั่งก็ต้องเป็นหมันอีกครั้งจนได้...
เย็นนี้...ฟูจิวาระ
ชูก็ไม่กลับมาทานข้าวเย็นที่บ้านเช่นเคย...
มือบางเขี่ยชิ้นเนื้อหนานุ่มที่ตุ๋นมาอย่างดีในถ้วย
บัดนี้มันเย็นชืด กลิ่นที่เคยหอมตลบอบอวลก็จืดจางลงไปนานแล้ว
ทั้งๆที่มันเป็นเนื้อตุ๋นมันฝรั่งที่อร่อยมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาอยากอาหารขึ้นมาเลย
มือบางจึงวางตะเกียบลงหลังจากทานข้าวเย็นตามลำพังไปได้แค่คำสองคำ
คนเป็นแม่ทัพนี่...งานยุ่งขนาดนั้นเชียวหรือ...ยุ่งถึงขนาดที่เจียดเวลามาทานข้าวเย็นกับเขาสักนิดไม่ได้เชียวหรือ...
อันที่จริงเรื่องการกลับมาทานอาหารฝีมือเขานั้นมิใช่ประเด็นหรอก
สิ่งที่เขาต้องการจริงๆคือช่วงเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันต่างหาก ได้พูดคุยกันบ้าง
ได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกันในแต่ละมื้ออาหาร...มิใช่ว่าเพียงแค่กลับมาหลับนอนกับเขาเท่านั้น...
“เฮ้อ...” เขาเรียกข้ารับใช้มาเก็บสำรับไป
นี่ฟูจิวาระ
ชูคงจะไม่ได้ลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่ามีภรรยาอย่างเขารออยู่ที่บ้าน
ไม่สิ
ไม่ได้ลืมหรอกว่าตัวเองมีภรรยา
เพราะอีกฝ่ายก็ยังเข้าหาเขาอย่างหนักหน่วงอยู่ทุกคืน
หน้าที่ของสามีไม่เคยทำ
แต่หน้าที่ผลิตลูกนี่ไม่เคยขาด!
พอนานวันเข้าเขาก็ชักจะทนไม่ไหว!
วันนี้...น่าจะครบอาทิตย์แล้วที่ความสัมพันธ์ของเขากับฟูจิวาระ
ชูวนเป็นวงกลมอยู่แบบนี้
พอกันทีกับการที่เขาต้องนั่งรออีกฝ่ายกลับมาทานข้าวด้วยกัน!
มือบางวางตะเกียบลงด้วยใบหน้าเง้างอดผิดปกติ
ร่างโปร่งบางลุกออกจากห้องทานอาหารก่อนจะเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำมิใช่ห้องนอนอย่างทุกที
เอาสิ! ในเมื่อท่านยังไม่ยอมทำหน้าที่สามีที่ดีให้ข้า
ข้าก็จะไม่ทำหน้าที่ภรรยาอย่างที่ท่านต้องการเช่นกัน!
“ฮึ่ม!” เขาไม่ได้ถอดใจหรอกนะแต่แค่งอน! แค่งอนน่ะแค่งอน!
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฟูจิวาระ
ชูมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไป
เพราะแผ่นหลังบอบบางที่มักจะนอนอยู่บนฟูกนั้นมันหายไป
ห้องทั้งห้องว่างเปล่าไร้เงาผู้ใด
“นารุมิยะ
มินาโตะล่ะ?”
ร่างสูงสง่าถอยกลับมาถามข้ารับใช้ที่นั่งทับส้นค่อมหัวอยู่หน้าห้อง
“นายหญิงอยู่ที่ห้องอาบน้ำเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆแปลกๆ?
“อาบน้ำ?
ตอนนี้รึ?”
“เจ้าค่ะ
นายหญิงรอใครบางคนกลับมาทานข้าวด้วยกันแต่เขาก็ไม่มาสักทีเลยไปอาบน้ำดีกว่าเจ้าค่ะ” สาวใช้ก้มหัวให้ก่อนจะลุกออกไป
ใบหน้าหล่อเหลามองตามพวกนางไปอย่างอึ้งๆ...ดูเหมือนข้ารับใช้ในบ้านของเขาจะกลายเป็นพวกพ้องของนารุมิยะ
มินาโตะไปหมดแล้วสินะ?
ร่างสูงสง่าเข้าไปนั่งทับส้นรออยู่บนฟูก
แต่รอแล้วรอเล่าร่างโปร่งบางก็ไม่มาสักที แค่อาบน้ำเวลานี้ก็ผิดปกติแล้ว? แล้วนี่ยังนานขนาดนี้...?
ครืด!
ท่านแม่ทัพแห่งคางะเปิดประตูห้องนอนก่อนจะก้าวขาไปตามระเบียงทางเดินซึ่งมุ่งหน้าสู่ห้องอาบน้ำ
ข้ารับใช้ที่แอบดูอยู่ถึงกับยิ้มกริ่ม ในที่สุดก็มีวันนี้
วันที่ผู้ชายเย็นชาคนนั้นต้องไปตามง้อภรรยากลับห้องของตัวเอง แต่พูดก็พูดเถอะ
พวกเธอก็ไม่คิดจริงๆว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้ของฟูจิวาระ ชูผู้สูงศักดิ์และหยิ่งทระนง
ที่ผ่านมานายน้อยของพวกเธอเคยสนใจใครเสียที่ไหน ตอนแรกพวกเธอยังคิดกันอยู่เลยว่าร่างสง่านั่นคงจะดับไฟเข้านอนคนเดียวไปเสียแน่ๆ
ครืด!
ประตูห้องอาบน้ำถูกเลื่อนเปิด
ไอร้อนที่ลอยกรุ่นอยู่เหนือบ่อน้ำตามธรรมชาติจึงปะทะเข้าใบหน้า
สามด้านที่ล้อมไว้คือรั้วไม้ไผ่ ส่วนด้านบนก็คือท้องฟ้ายามราตรี
ท่ามกลางบรรยากาศแสนดีนั้นมีร่างโปร่งบางที่คุ้นตานั่งหันหลังให้อยู่ริมบ่อ
ความร้อนของน้ำทำให้ผิวที่เคยขาวใสขึ้นสีอมชมพู
ร่องรอยที่ร่างสูงฝากไว้ยิ่งเด่นชัดว่ามันมากยิ่งกว่าดวงดาวที่พร่างพราวอยู่บนฟ้าเวลานี้
ลำคอแกร่งลอบกลืนน้ำลายแค่ได้เห็นเพียงเรือนร่างด้านหลัง
แค่ได้เห็นไหล่บอบบางความกำหนัดก็พุ่งพล่านจนร่างกายเริ่มร้อนขึ้นมา...เขาเคยสงสัยนะว่าร่างกายของผู้ชายมันน่ากอดได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร?
เขาอยู่ในกองทัพกับผู้ชายนับหมื่นยังไม่เคยเกิดความใคร่กับใครแบบนี้มาก่อน
“นารุมิยะ
มินาโตะ”
เสียงทุ้มทำให้ไหล่บางสะดุ้งโหยงแต่เจ้าของชื่อก็ยังไม่ยอมหันกลับมา
“มิใช่ว่าเจ้าอาบน้ำนานแล้วหรือ?
เหตุใดยังไม่ขึ้นมาอีก?”
ดวงตาสีม่วงทอดมองท้ายทอยน่าเอ็นดูเพราะผมยาวถูกมัดรวบไว้ลวกๆ
ตั้งแต่จำความได้นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาสนใจไยดีผู้อื่นแบบนี้
หากเป็นปกติแล้วใครจะแช่น้ำจนเปื่อยตายเขาก็คงเมินเฉย
“......” ความเงียบโรยตัวเข้ามาเมื่อทั้งนารุมิยะ
มินาโตะทั้งเขาไม่มีใครพูดอะไร
ใบหน้ามนนั่นไม่ยอมหันมามองเขาอย่างทุกที?...หรือจะโกรธเรื่องอะไร?
ร่างสูงใหญ่เดินตรงไปที่บ่อ
ซ่า!!
ก่อนจะอุ้มร่างโปร่งบางนั่นขึ้นมาจากน้ำอย่างง่ายดาย
“อ๊ะ?
ปล่อยข้านะ!” ใบหน้ามนตื่นตระหนกก่อนจะพยายามดิ้นหนี
ท่อนแขนแข็งแรงจำต้องปล่อยร่างโปร่งบางนั่นลงไป
“......?” เขามองแววตาดุดันเหมือนเสือร้ายตัวน้อยๆนั่นอย่างไม่เข้าใจ
มองใบหน้างอๆนั่นอย่างสงสัย เสียงทุ้มจึงเอ่ยถามไป
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง?” แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นท่าทีฟึดฟัดอย่างน่าเอ็นดู
“ฮึ่ม!
ข้าเจ็บ! เจ็บจนนั่งแทบไม่ได้เลยขอรับ!
พอใจรึยัง?!”
นารุมิยะ มินาโตะหลับหูหลับตาตะโกนใส่กลับมา
“.....ทำไมถึงเจ็บ?” ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคอถามหน้าตาย
เล่นเอาฝ่ายตรงข้ามถึงกับเดือดปุดๆ
“ง่ะ.....ทะ
ท่านนี่มัน....” ใส่ไม่ยั้งแบบนั้นแถมยังไม่ใช่ช่วงฮีทด้วย
ช่องทางของเขาจึงไม่ได้อ่อนนุ่มชุ่มเยิ้มขนาดนั้นเพราะยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย ดวงตากลมใสจ้องอีกฝ่ายเขม็งหน้าแดงเป็นลูกท้อไปหมดแล้ว
“ไม่รู้ล่ะ
คืนนี้เราแยกกันนอนเถอะขอรับ!”
ร่างโปร่งสะบัดกายเดินหนีก่อนที่มือบางจะหยิบยูกาตะที่พับไว้มาตวัดสวมลวกๆแล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากห้องอาบน้ำทั้งที่ยังไม่ทันจะผูกโอบิดี
“นารุมิยะ
มินาโตะ”
แต่ร่างสูงสง่าก็ยังไม่ยอมง่ายๆ ท่านแม่ทัพยังคงเดินตามมาซ้ำยังเรียกเขาไม่หยุด
ดวงตาสีเขียวเหลือบไปเห็นห้องว่างๆห้องหนึ่งจึงก้าวขาเข้าไปอย่างไม่ลังเล
ปึ้ง!
มือบางปิดประตูใส่ใบหน้าราวกับรูปสลักนั่นอย่างที่ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับฟูจิวาระ
ชูมาก่อน
“นั่นไม่ใช่ห้องของเรา...”
“ก็บอกแล้วไงว่าคืนนี้เราจะแยกกันนอน!
ข้าจะนอนที่นี่ ท่านก็กลับไปนอนที่ห้องเถิดขอรับ!”
“แต่ห้องนี้ไม่มีฟูก”
“ข้านอนได้
ข้านอนพื้นก็ได้!”
“........”
นี่คงจะเป็นการทะเลาะกับใครสักคนเป็นครั้งแรกของคนที่มักจะเฉยชาต่อโลกอย่างพวกเขาสองคน
ร่างโปร่งบางฟึดฟัดอยู่ในห้องในขณะที่ร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งคว้างอยู่หน้าห้อง
ทั้งๆที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศแสนงอนแต่บรรดาข้ารับใช้ที่แอบดูอยู่กลับหัวเราะกันคิกคัก
เวลาผ่านไปพักใหญ่
ใบหน้ามนเงี่ยหูฟังเสียงจากภายนอกที่เงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของใคร
ไม่มีเงาร่างฉาบทับบนบานประตูกรุกระดาษสา ไม่น่า...จะมีใครยืนอยู่หน้าห้องแล้ว...?
ถึงกระนั้นร่างโปร่งบางก็ยังไม่วางใจ
เขาคงต้องใช้คุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่มีเพียงเขากับฟูจิวาระ ชูเท่านั้นมาพิสูจน์ให้แน่ชัด
จมูกรั้นจึงยื่นเข้าไปใกล้ๆบานประตูก่อนจะดมกลิ่นฟุดฟิดๆ
ไม่มีกลิ่นของผู้ชายคนนั้นแล้ว...ไปแล้ว...สินะ...
หัวใจดวงน้อยวูบโหวงอย่างผิดหวังอยู่นิดหน่อยที่อีกฝ่ายจากไปง่ายดายเช่นนี้
“เฮ้อ...” แต่ก็นั่นแหละ นั่นคือฟูจิวาระ
ชูมิใช่ใครอื่นนี่นา...
มือบางจึงแตะลงไปที่ขอบบานประตูก่อนจะค่อยๆเลื่อนช้าๆ
ใบหน้ามนค่อยๆยื่นออกไปชะโงกดูที่ทางเดินด้านนอก
แต่แล้ว! คนที่คิดว่าจากไปแล้วกลับยังยืนอยู่ที่หน้าประตู
ยืนอยู่ที่เดิมนั่นแหละ!
“เอ๊ะ?!”
หมับ!!
ไวเท่าเสียงอุทาน
มือใหญ่จับหมับลงไปที่ขอบประตูพร้อมกับรั้งมันไว้ไม่ให้เขาปิดมันได้
แล้วโอเมก้าหรือจะสู้แรงอัลฟ่าได้ ฟูจิวาระ ชูแรงเยอะจนแม้เขาจะออกแรงจนสั่นหงึกๆไปทั้งตัวก็สู้อีกฝ่ายไม่ไหวจริงๆ
เขาจนปัญญาที่จะปิดเจ้าประตูเลื่อนนั่นได้แล้ว
เขาเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มมองลงมาด้วยท่าทางสบายๆนั่นอย่างนึกเคือง
“เหวอ?” เขาร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆลำตัวก็ถูกดึงออกไป
ท่อนแขนแข็งแรงอุ้มเขาพาดบ่าก่อนจะเดินกลับห้องหน้าตาเฉย!
อ๊า! เขาเสียรู้ฟูจิวาระ
ชูจนได้! คงไม่ได้มีแต่เขาสินะที่สังเกตเห็นว่าพวกเราทั้งคู่มีกลิ่นเฉพาะตัวที่สามารถใช้สื่อสารกันทางอารมณ์ได้
อีกฝ่ายก็รู้แถมยังฉลาดพอที่จะควบคุมมันได้อีก!
ฮึ่ย! ถึงมันจะน่าภูมิใจที่เขามีสามีแสนปราดเปรื่องแบบนี้ก็เถอะนะ!
ตุ้บ
ร่างโปร่งบางถูกวางลงบนฟูกกลางห้องนอนที่เขาพยายามจะหนีจากมันไป
แต่ฟูจิวาระ ชูก็ไปเอาตัวเขากลับมาจนได้สินะ ให้ตายเถอะ!
ร่างสูงตามมาคร่อมอยู่ด้านบนอย่างไม่ให้เขาได้พักหายใจหายคอ
มือใหญ่แหวกสาบเสื้อกิโมโนของเขาออกก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะกดเม้มลงมาที่ซอกคอ
มือบางรีบผลักไสแผ่นอกหนาออกไปทันที
วันนี้เขาจะเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสนั่นไม่ได้!
“ไม่เอา
ปล่อยข้า”
เขาผลักตรงไหนอีกฝ่ายก็ไล่จับข้อมือเขาตรงนั้น
ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซร้พัวพันหวังให้เขาติดกับ แต่เขาก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะขัดขืนให้ถึงที่สุด!
ต้องให้รู้เสียบ้างว่าเขากำลังงอนอยู่!
“อึก?” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาถึงกับชะงักเมื่อได้กลิ่นเลือดจางๆมาจากริมฝีปากที่เพิ่งจะโดนเขากัด
ร่างโปร่งบางอาศัยจังหวะนี้ดิ้นหนีจนหลุดออกไปจากกรงแขนแข็งแกร่งจนได้
เขารีบคว้าผ้าห่มก่อนจะตลบพันตัวแล้วล้มนอนลงที่มุมหนึ่งของห้อง
แผ่นหลังบางที่หันให้อีกฝ่ายแทนคำปฏิเสธชัดว่าวันนี้จะไม่ยอมทำอย่างเด็ดขาด
ฟูจิวาระ
ชูถึงกับนิ่งอึ้งไป...
เป็นครั้งแรกที่ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่รู้จะรับมือกับการต่อต้านเล็กๆนั่นยังไงดี?
ดวงตาสีม่วงได้แต่มองแผ่นหลังคุดคู้นั่นอย่างจนใจ
หากเขาจะใช้กำลังกับอีกฝ่ายนั้นมันง่ายแสนง่าย
แต่กลิ่นของนารุมิยะ
มินาโตะในยามนี้กลับทำให้หัวใจของเขาปวดหนึบยังไงชอบกล?...เด็กคนนั้น...โกรธเขาเรื่องอะไรกัน?
อาการที่อีกฝ่ายเป็นอยู่นี้น่าจะเรียกว่า...งอน?
ใบหน้าราวกับรูปสลักถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะนั่งทับส้นลงบนฟูก
มือใหญ่จับสาบเสื้อที่แหวกกว้างให้ปิดกระชับเรียบร้อย นี่ก็คงจะเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เขายอมลามือจากหน้าที่ที่ต้องทำ
ที่เขายอมปล่อยอีกฝ่ายไป
เขารอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมหันกลับมา
ร่างสูงสง่าจึงล้มตัวลงนอนโดยหันหน้าเข้าหาแผ่นหลังที่นอนห่างออกไป
ดวงตาสีม่วงไล่มองเอวคอดและแผ่นหลังบอบบาง...เขารู้สึกได้...ว่านารุมิยะ
มินาโตะผอมลง...
เพราะได้กอดทุกวัน
ได้สัมผัสกับเรือนร่างเปลือยเปล่านั่นทุกวัน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ค่อยได้กินข้าวกินปลา
เป็นเพราะเขาอย่างนั้นหรือ?
รองแม่ทัพมักจะคาบข่าวมาบอกกับเขาว่านารุมิยะ
มินาโตะเตรียมอาหารเย็นไว้ให้และรอทานข้าวด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยกลับบ้านก่อนตะวันจะตกดิน
ภาระหน้าที่ของเขายังไม่เสร็จสิ้น เขาจึงคิดว่าแค่วันสองวันเด็กคนนั้นก็คงจะถอดใจและเลิกทำแบบนั้นไปเอง
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น
เขามิได้ละเลยอีกฝ่ายและทุกการกระทำของนารุมิยะ มินาโตะก็อยู่ในสายตาของเขาเสมอมา...ถึงจะไม่ได้ทานอาหารพวกนั้น
แต่ทุกค่ำคืนเขาก็มักจะแวะไปดูที่ห้องครัว
อาหารมากมายถูกเก็บใส่กล่องไม้ไว้อย่างดี มันไม่เคยซ้ำกันเลย
วัตถุดิบทุกชิ้นที่ถูกใส่อยู่ในอาหารจานนั้นก็ประณีตสวยงามมาก
เขาจึงรู้ว่าคนทำตั้งอกตั้งใจขนาดไหน
เพราะเขา...ไม่ยอมกลับมาทานอาหารพวกนั้นสินะ?
เจ้าของแผ่นหลังบอบบางนั่นจึงประท้วงเขาแบบนี้?
นี่...ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่มีคนกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้
เป็นคนแรก...ที่งอนเขา ต่อต้านเขา ประท้วงเขา
เพียงเพราะเขาไม่ยอมกลับมากินข้าวเย็นด้วยกัน...
ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มบางๆ...เหตุใดเขาถึงไม่มองว่าการกระทำของอีกฝ่ายไร้สาระเหมือนที่เคยรู้สึกกับคนอื่นกันนะ?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
ขอยาดรวบทอล์คไปตอนหน้าทีเดียวเลยนาคะ
เพราะลงพร้อมกันสองตอนค่ะ อุฮิๆๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น