Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 37 : END
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
:
Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
:
Warmhearted
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
-
หนึ่งร้อยคืนกับหมื่นคำรัก : Yesterday
Today and Tomorrow -
อันเลือดเนื้อและกายา ฉาบทาไว้
ให้แผ่นดิน
จิตวิญญาณมิดับดิ้น มอบให้
แก่วงศา
มือกอปรฟ้า หยดน้ำตา
แก้วกมลา
ข้ามอบให้ แด่เจ้า
จ้าวจอมใจ
ร่างโปร่งบางนั่งนิ่งๆให้ข้ารับใช้สางผม
แพสีดำนุ่มลื่นถูกสางราวกับเส้นไหมชั้นดีแต่เจ้าของมันกลับไม่ได้สนใจมากนัก
ใบหน้ามนเพียงเหม่อลอยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อคืนเขากลับมานอนอยู่บนฟูกได้ยังไงกันนะ?
เขาจำได้เพียงว่าตัวเองนอนคุดคู้อยู่ที่มุมห้องนี่?
แต่เมื่อเช้านี้เขากลับตื่นขึ้นมาภายใต้ผ้านวมหนาและอบอุ่นแถมมีหมอนหนุนอย่างดีบนหัว?
แน่ละ
คงจะมิใช่ใครอื่นที่ไปอุ้มเขามาจากพื้นเย็นเฉียบนั่น เพราะคงไม่มีใครสามารถเข้ามาในห้องนอนของฟูจิวาระ
ชูได้
ใบหน้ามนเง้างอดงุบงิบทั้งที่สองแก้มแดงระเรื่อ
“วันนี้ท่านยังจะทำอาหารเย็นไว้รอนายน้อยชูหรือไม่เจ้าคะ?
ไม่ต้องทำแล้วดีหรือไม่เจ้าคะ? หากเป็นข้าคงจะนำไปเทให้หมูให้หมากินไปแล้ว หึ!” สาวใช้กล่าวอย่างแง่งอนแทนผู้เป็นนายอย่างเขา
แต่ผู้ปกครองของบ้านกลับยิ้มอย่างไม่ถือสา
“ได้ข่าวว่าพวกเจ้าได้ปลาทะเลมานี่?
เช่นนั้นข้าทำซาชิมิดีหรือไม่?”
แคว้นคางะนั้นมีทางออกสู่ทะเลญี่ปุ่นถึงได้เป็นที่หมายตาของพวกมิโนะมาแต่ไหนแต่ไร
ฉะนั้นปลาทะเลจึงหาทานง่ายเสียยิ่งกว่าหมูเห็ดเป็ดไก่เสียอีก
“เคยมีใครบอกท่านหรือไม่เจ้าคะ
ว่าท่านนั้นดื้อรั้นไม่สมกับหน้าตาเลยสักนิด คิกๆ ได้สิเจ้าคะ
เดี๋ยววันนี้พวกข้าจะช่วยท่านทำซาชิมิเอง กินกับหัวไชเท้าขูดฝอยก็ดีนะเจ้าคะ”
“อื้ม
ฝากด้วยนะ”
รถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดลงที่หน้าจวนฟูจิวาระฝั่งตะวันออกหรือทิศบูรพาซึ่งเป็นจวนที่มีสำคัญรองลงมาจากจวนหลักของตระกูลเลยก็ว่าได้
ซึ่งมันจะเป็นที่อยู่ของใครไปไม่ได้เลยนอกจากฟูจิวาระ ชู
ท่านเจ้าเมืองผู้มีศักดิ์เป็นอาก้าวขาลงมาจากรถม้าโดยมิได้บอกกล่าวกับเจ้าของจวนมาก่อนว่าจะมาเยี่ยมเยือน
ฉะนั้นเมื่อข้ารับใช้มองเห็นว่าใครมาจึงเลิ่กลั่กกันไปหมด
“คาราวะท่านเจ้าเมือง
เดี๋ยวข้าไปเรียนนายหญิงให้นะเจ้าคะว่าท่านมา
เชิญท่านที่ห้องรับรองก่อนเจ้าค่ะ”
สาวใช้เอ่ยบอกลุกลี้ลุกลนแต่คนสบายๆกลับยกมือห้าม
“ไม่ต้องไปบอกหรอก
พาข้าไปพบมินาโตะคุงเลยก็แล้วกัน”
ผู้สูงวัยแค่ตั้งใจจะมาทำให้ประหลาดใจเล่นๆและอีกใจหนึ่งก็อยากจะมาดูความเป็นอยู่จริงๆของเด็กคนนั้นสักหน่อยว่าตบแต่งเข้าตระกูลเขามาแล้วสบายดีหรือไม่
มีความคับข้องใจอะไรหรือเปล่า
แล้วเขาก็คิดถูกจริงๆที่มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า...
เพราะสิ่งที่สองตาของผู้ผ่านน้ำร้อนมามากได้พบเห็นอยู่ในตอนนี้มิใช่คู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันที่กำลังพรอดรักกันกระหนุงกระหนิง
แต่กลับเป็นร่างโปร่งบางของหลานสะใภ้ที่นั่งทอดถอนใจอยู่ใต้ต้นซากุระเพียงลำพัง
“นายน้อยของเจ้าไปไหนเสียล่ะ?” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยหันไปถามข้ารับใช้
ทำไมถึงปล่อยภรรยาอยู่คนเดียวแบบนี้ทั้งๆที่เพิ่งจะแต่งงานได้อาทิตย์กว่าๆเท่านั้น
ลูกหลานคนอื่นๆของเขาหลังจากวันแต่งงานไปบางคนก็ไม่ออกจากบ้านเป็นเดือนๆก็มี
“นายน้อยชูน่ะหรือเจ้าคะ
นู่น ออกไปค่ายทหารแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ!
แล้วก็นะเจ้าคะ...ฯลฯ”
สาวใช้ได้ทีฟ้องนายใหญ่ยืดยาวจนแทบจะหมดไส้หมดพุง
ผู้มาเยือนได้แต่ยิ้มแห้งเพราะดูเหมือนผู้เป็นหลานชายจะถูกแปรพรรคจากบรรดาข้ารับใช้ในบ้านเสียแล้ว
และนั่นก็พอจะบ่งบอกได้ว่าหลานสะใภ้ของเขาสามารถดูแลคนในปกครองได้ดีขนาดไหน
เพิ่งมาอยู่แค่ไม่นานเท่าไหร่ก็ได้ใจของคนทั้งบ้านไปจนหมด
เรื่องที่น่าหนักใจก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่เขากังวลมาตลอดนั่นแหละ...ความเย็นชาของเจ้าชู
เห็นที
เขาคงต้องเรียกมาตักเตือนเสียบ้างแล้ว
บ่ายวันนั้นท่านแม่ทัพแห่งคางะจึงถูกท่านเจ้าเมืองเรียกตัวเข้าไปพบที่จวนทันที
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากลับบ้านมืดค่ำทุกวัน
และปล่อยให้ภรรยาของเจ้าต้องนั่งทานข้าวอยู่คนเดียว” ผู้เป็นอาเปิดประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม
“......”
แน่นอนว่าร่างสง่าก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆหลุดออกมาจากปาก
“ถึงนั่นจะเป็นสิ่งที่เจ้าเคยทำมาทั้งชีวิต
แต่ตอนนี้เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะชู เจ้าต้องปรับตัวสักหน่อยสิ” คนเป็นผู้ใหญ่ตักเตือนด้วยความหวังดี
“งานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินก็สำคัญ
แต่เจ้าจะสู้รบไปเพื่อสิ่งใดหากมิใช่เพื่อปกป้องครอบครัวของเรา ปกป้องคนที่เรารัก
หากแม้แต่บ้านของเจ้าเองเจ้ายังดูแลให้มีความสุขไม่ได้แล้วจะรบรากับคนอื่นไปทำไม”
“อย่างไรเสียมินาโตะก็เป็นลูกหลานของตระกูลนารุมิยะซึ่งจะกลายเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายเรา
เจ้าควรปฏิบัติต่อเด็กคนนั้นให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่เพราะยังไงเสียก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว”
“ตอนนี้เจ้ามิได้มีเพียงหน้าที่ต่อชาติบ้านเมือง
แต่เจ้ายังมีหน้าที่ของสามีที่ต้องปฏิบัติให้ดีด้วย” ท่านเจ้าเมืองสอนแกมบ่นและคนต้นเหตุก็นั่งฟังแต่โดยดี
“เจ้าร่ำเรียนมาก็มาก
เจ้าฉลาดเหนือใครๆ เจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าหน้าที่ของสามีนั้นมิได้มีเพียงแค่อยู่ด้วยกันในยามค่ำคืนเพียงอย่างเดียว”
“....ขอรับ”
“อย่าให้ข้าต้องเรียกเจ้ามาพบด้วยเรื่องนี้อีก
เด็กคนนั้นก็มีพ่อมีแม่ อย่าให้ข้าต้องกลายเป็นคนเถื่อนที่ไปเอาลูกเขามาทรมาน
ถึงเจ้าจะมิได้มีใจให้แต่ก็ควรปฏิบัติกับมินาโตะให้สมเกียรติ”
“ขอรับ...” ร่างสูงสง่าค่อมหัวรับ
“เจ้าไปได้แล้ว
ชู”
ขายาวก้าวไปตามระเบียงทางเดินยาวเหยียด
ถึงใบหน้าจะยังนิ่งเฉยแต่ในหัวของฟูจิวาระ
ชูยังคงนึกถึงคำพูดของผู้เป็นอาเมื่อกี้นี้
มิได้มีใจงั้นหรือ...
ในสายตาของคนอื่นคงจะมองเห็นเป็นเช่นนั้นสินะ?
แต่ใครเลยจะรู้ดีเท่าตัวเขาเล่า?
กองบัญชาการทหารของคางะยังคงเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านแม้เวลาจะบ่ายคล้อยแล้ว
เพราะที่นี่เป็นทั้งสถานที่ฝึกซ้อมของเหล่าซามูไร
เป็นที่ตั้งของหน่วยบัญชาการและการวางแผนรบ เป็นที่จัดเก็บและพัฒนายุทธโธปกรต่างๆนานา
และก็เป็นสถานที่ที่คุณชายฟูจิวาระ ชูอาศัยอยู่มาเกินครึ่งชีวิต
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
แม่ทัพของกองทหารที่หนึ่งขอตัวออกจากห้องไปด้วยสีหน้าแปลกใจหน่อยๆที่วันนี้ลูกพี่ลูกน้องของตนอย่างฟูจิวาระ
ชูนั้นยอมปล่อยให้การปรึกษาหารือเรื่องการลาดตระเวนจบลงก่อนที่จะมืดได้
เขาได้แต่สงสัยว่าร่างสูงสง่านั่นคงจะมีธุระอื่นกับกองทหารอื่นๆต่อ?
เพราะมิใช่ว่าชูทำงานช้าหรือตัดสินใจไม่เด็ดขาด
แต่งานที่หน่วยวางแผนการรบอย่างหมอนั่นแบกรับไว้มันมากมายมหาศาลจนใครก็ไม่อาจเทียบเคียงได้เลยน่ะสิ
ตำราพิชัยสงครามที่เต็มล้นชั้นวางกับแผนที่ทางภูมิศาสตร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้กลางห้องและมันก็มิใช่แค่ของประดับที่ตั้งไว้เฉยๆ
ทุกจุดล้วนมีร่องรอยการปักธงปักหมุดมาแล้วทั้งสิ้น
“ชู
ข้าได้ยินมาว่ากรมพิธีการกำลังจัดสวนดอกไม้สำหรับงานเทศกาลชมดอกไม้ที่กำลังจะมาถึงนี้อยู่ละ
ถ้าเจ้าอยากพาภรรยาสุดที่รักไปดูตอนที่ดอกไม้ยังสดใหม่และไม่มีคนก็ไปตอนนี้ได้เลยนะ” คนขี้เล่นหันไปบอกทิ้งท้ายก่อนจะก้าวขาออกไป
ซึ่งใบหน้านิ่งก็ฟังไว้และไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป
แกร่บๆๆ
เสียงม้วนกระดาษนั้นดังมาจากรองแม่ทัพคู่กายของฟูจิวาระ
ชูที่ยังอยู่ในห้องเป็นคนสุดท้าย
ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราลอบมองเจ้านายของตนอย่างสงสัย วันนี้ก็มิได้มีนัดกับใครต่อแล้วไม่ใช่รึ?
แต่ท่านแม่ทัพของเขากลับเร่งเนื้อหาการประชุมด้วยการตัดสินที่ฉับไวกว่าปกติมาก
เรียกว่าเขานั้นแทบจะตามไม่ทัน ขนาดทำงานรับใช้นายน้อยชูมานานขนาดนี้
เหมือนจะรีบไปไหน?
“....รองแม่ทัพ
ข้ามีเรื่องจะถามท่าน...”
แล้วเสียงราบเรียบก็เอ่ยออกมาจากร่างสง่าที่ยืนอยู่ด้านหลังแผนที่ทางภูมิศาสตร์ขนาดใหญ่นั่น
เป็นเพราะรับใช้นายน้อยชูมานานนั่นแหละเขาเลยจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เยือกเย็นเช่นปกติ?
“ขอรับ?
ยังมีแผนการรบใดที่ตกหล่นไปหรือขอรับ?”
“เปล่า...ไม่ใช่แผนการรบ...”
“เช่นนั้น...เรื่องใดหรือขอรับ?” ใบหน้าราวกับรูปสลักนั่นมีทีท่าอึกๆอักๆราวกับไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไรดี
“.......เวลาที่...ภรรยาของเจ้าโกรธเจ้า...เจ้าทำอย่างไรรึ...”
รองแม่ทัพผู้น่าเกรงขามแทบจะหลุดขำพรืดแต่จำต้องรีบซุกซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ในสีหน้าจริงจัง
ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยได้เห็นท่าทีน่าเอ็นดูของท่านแม่ทัพเป็นครั้งแรก
คนที่เก่งทุกเรื่องแต่กลับง้อภรรยาไม่เป็น
ต้องขอบคุณนายหญิงจริงๆที่ทำให้เขาได้รู้จักกับตัวตนด้านนี้ของฟูจิวาระ ชู
“ท่านทำให้เขาโกรธเรื่องใดเล่า?
หากเป็นเรื่องกลับบ้านช้าท่านก็ลองกลับบ้านให้ไวขึ้นสักหน่อย หากเป็นเรื่องที่ปล่อยให้เขาต้องทิ้งอาหารที่อุตส่าห์ทำไว้รอท่าน
ท่านก็กลับไปทานอาหารนั้นเสียก็หมดเรื่อง”
เขาลอบยิ้มให้กับใบหน้าของท่านแม่ทัพที่ตั้งใจจดจำทุกคำพูดของเขาน่าดู
“แล้วหากท่านรู้ว่าภรรยาท่านชอบสิ่งใด
ท่านก็หาสิ่งนั้นไปมอบให้ เช่นดอกไม้หรือเครื่องประดับ” เขาพยายามแนะนำเท่าที่ชายฉกรรจ์แบบพวกเขาจะนึกออก
“....ข้าไม่รู้
ว่านารุมิยะ มินาโตะชอบสิ่งใด” ท่านแม่ทัพเอ่ยด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
คนที่รู้ทุกเรื่องแต่กลับไม่รู้ว่าภรรยาตนเองชอบอะไร
นี่คงจะสร้างบาดแผลทางใจให้เจ้านายของเขาไม่น้อย ฮ่าๆๆ
“เช่นนั้นก็เป็นดอกไม้ดีหรือไม่?
นายหญิงดูอ่อนโยน ก็น่าจะชอบดอกไม้นะขอรับ”
นั่นแหละ...
เพราะคำแนะนำของผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องก่อนหน้ากับรองแม่ทัพนั่นแหละ...ถึงได้ทำให้ตอนนี้ในอ้อมแขนของนายใหญ่แห่งจวนฟูจิวาระฝั่งตะวันออกเต็มไปด้วยกระถาง?ต้นไม้ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งไปหมด
หลังจากที่เขาถ่อไปถึงกรมพิธีการ
หลังจากเฟ้นหาอยู่พักใหญ่ก็ไปสะดุดตาดอกบันมัตสึริสีม่วงขาวดอกเล็กๆพวกนี้เข้า
แต่จะเอามาให้กิ่งหรือสองกิ่งก็กลัวมันจะเหี่ยวเฉาไป
เลยยกมาให้ทั้งกระถางมันเสียเลย
แต่เป็นเพราะไม่เคยกลับบ้านก่อนตะวันตกดิน
เขาจึงไม่รู้เลยว่าคนที่เขาจะมอบดอกไม้กระถางนี้ให้ทำอะไรอยู่ที่ไหน
เพราะไม่ว่าจะเดินหาอย่างไรก็ไม่เห็นมีสักที่ในบ้านหลังนี้?
ปั่ก!
ร่างสูงสง่าเดินมาจนถึงกลุ่มอาคารด้านหลังที่ห่างไกลออกมาพอสมควร
เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจึงพยายามเงี่ยหูฟัง
ปั่ก!
ก่อนจะพบว่ามันเป็นเสียงทสึรุเนะที่เกิดจากการยิงธนู...
เป็นเสียงทสึรุเนะที่ก้องกังวานและทรงพลังมาก...ฝีมือใครกัน?
คนที่จะยิงธนูจนเกิดเสียงแบบนี้ได้ต้องมีฝีมือมากทีเดียว
ฝ่าเท้าก้าวไปตามระเบียงทางเดินไม้ซึ่งเชื่อมต่อไปยังโรงฝึกธนูส่วนตัวของเขา
หัวใจทั้งรู้สึกสงบนิ่งและพองโตแปลกๆ เขาไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รู้ความจริงว่าคนที่ยืนอยู่หน้าลานยิงนั้นเป็นใครมากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
ขายาวยังก้าวตรงไปไม่หยุด
ถึงแม้จะพอเดาได้ก็ยังอยากจะเห็นด้วยตาของตัวเอง ถึงแม้จะพอรู้จากกลิ่น
ถึงแม้พอจะรู้ว่าคงไม่มีใครกล้ามาใช้โรงฝึกของเขานอกจากคนที่มีศักดิ์เท่ากันในบ้านหลังนี้
ปั่ก!
ราวกับมีใบซาซากินับพันพัดปลิวผ่านใบหน้า
เมื่อสองขาของเขาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าโรงฝึกที่เปิดโล่งจนมองเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าลานยิง
เป็น...นารุมิยะ
มินาโตะ...อย่างที่คิดจริงๆ...
ดวงตาสีม่วงที่ไม่เคยถูกสิ่งใดกระตุ้นให้สนใจได้กำลังเบิกค้างอย่างตื่นตะลึงอยู่ในตอนนี้
สวยมาก...เขาไม่เคยเห็นใครยิงธนูได้สวยขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
มันทั้งสวยงามแล้วก็แข็งแกร่ง ท่าง้างคันธนูนั้นไม่มีที่ติเลยจริงๆ
ปั่ก!
แล้วลูกธนูหางอินทรีดำพวกนั้นยังเข้ากลางเป้าทั้งหมดอีกด้วย...
ราวกับดวงตาของเขาจะกลายเป็นแก้วแวววาวไปแล้ว
ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจนี้คือเขากำลังดีใจอย่างนั้นใช่หรือไม่?
เพราะมันเหมือนกับว่าเขาเพิ่งได้รับสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งมาทีเดียว
ทั้งๆที่ในชีวิตนี้เขาไม่เคยต้องการสิ่งใดมาก่อน
ไม่ว่าจะเพชรนิลจินดาหรือทองล้วนไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเท่ากับคนที่ยืนถือคันธนูอยู่ตรงหน้า...
“อ๊ะ?
ท่านแม่ทัพ?” นารุมิยะ
มินาโตะเงยหน้ามาเห็นเขาเข้าก็ตกใจ
ชุดฮากามะสำหรับยิงธนูนี้ช่างเหมาะกับอีกฝ่ายเสียจริงๆ
และมันก็ทำให้เขาได้รู้จักกับความรู้สึกหลงใหลเป็นครั้งแรกในชีวิต
“เอ่อ...ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่รึ?
เหตุใดวันนี้จึงกลับบ้านไวนัก? หรือจะแวะมาเอาเอกสาร?”
เขามองใบหน้าราวกับตุ๊กตาที่มัดผมเป็นหางม้ารวบตึงอยู่บนหัว...น่ารัก...น่าจะเป็นความรู้สึกแบบนี้เองสินะ?
“ข้าแค่เอาสิ่งนี้มาให้เจ้า” มือใหญ่ยื่นกระถางดอกไม้ไปให้
มือบางก็ยื่นมารับอย่างมึนงง
“นี่คือ...” ใบหน้ามนก้มมองดอกไม้สีม่วงขาวนับร้อยก่อนจะทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
นัยน์ตาสีเขียวมองดอกบันมัตสึริในมือตาเป็นประกาย...ก่อนจะยิ้มให้มันด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ขอบคุณขอรับ...” ดูเหมือนจะกลับไปเป็นนารุมิยะ
มินาโตะตามปกติแล้ว? ไม่ได้ดุร้ายเหมือนเมื่อคืนแล้ว? เขาเห็นเช่นนั้นก็โล่งใจ
“แล้ว
ท่านทานข้าวมาหรือยัง?” ทั้งๆที่เขาไม่เคยกลับมากินข้าวที่บ้าน
แต่อีกฝ่ายก็ยังถามเขา ยังเฝ้าทำอาหารไว้รอแบบนี้ทุกวัน ถาม…ด้วยสายตาที่ห่วงใยคนที่ทำตัวเหมือนเป็นสามีแค่ในนามอย่างเขา
“ยัง” เสียงทุ้มตอบกลับไป ถึงจะสั้นๆแต่ก็ทำให้ใบหน้ามนยิ้มกว้าง
“ถ้าเช่นนั้นก็มาทานด้วยกันเถิดนะขอรับ
ข้าเตรียมไว้ให้ท่านแล้ว”
“อื้ม”
เงาร่างทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปตามระเบียงทางเดินส่งผลให้เหล่าสาวใช้ที่แอบดูอยู่ถึงกับหวีดร้องกันยกใหญ่
แต่ก็ยังมิทันได้พูดคุยปรับความเข้าใจ เสียงฝีเท้าที่รีบเร่งก็แยกพวกเขาออกจากกันเสียก่อน
“ท่านแม่ทัพขอรับ
ขออภัยที่มารบกวนเวลาพักผ่อนขอรับ”
ใครว่าชนชั้นปกครองนั้นสบาย
ฐานะของพวกเขาล้วนถูกแลกมาด้วยความเป็นส่วนตัวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะกำลังทำอะไรเรื่องของบ้านเมืองก็ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก
และสีหน้าของรองแม่ทัพคนสนิทซึ่งเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดก็ทำให้เขามองข้ามไปไม่ได้เสียด้วย
ดวงตาสีม่วงจึงสบประสานกับดวงตากลมใสอย่างแสนเสียดายก่อนจะจำต้องละทิ้งไป
“มีอะไรรึ?”
เสียงทุ้มยังคงเอ่ยออกไปอย่างใจเย็นและนั่นก็ทำให้คนที่รีบร้อนพอจะสงบใจลงได้บ้าง
ความพึ่งพาได้ของฟูจิวาระ ชูนั้นแผ่ออกมาจากร่างกาย แผ่ออกมาจากคำพูด
แผ่ออกมาจากการกระทำ มันทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้สึกอุ่นใจ
“เกิดไฟไหม้ที่ยุ้งเสบียงขอรับ
ทหารยามที่เฝ้าอยู่รายงานว่าเป็นการวางเพลิงแน่นอนขอรับเพราะการเฝ้ายามมิได้หละหลวมเลย” ...ไม่น่าจะเกิดจากภัยธรรมชาติหรืออุบัติเหตุได้สินะ? ใบหน้าที่เพิ่งได้รู้ข่าวร้ายยังคงเรียบเฉย
“คิดว่าเป็นฝีมือของพวกมิโนะหรือไม่ขอรับ?” แทบจะไม่มีคำตอบอื่นสำหรับคำถามนี้เลย
เพราะคนที่คิดจะมาเผายุ้งเสบียงที่ใช้ในการรบของพวกเขาก็ต้องเป็นศัตรูที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่อย่างแคว้นมิโนะเป็นแน่
“ก็เป็นไปได้
ต้องจับตัวคนวางเพลิงให้ได้ ไปกันเถอะ”
นัยน์ตาสีม่วงเหลือบมองใบหน้ามนแว่บหนึ่งแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจและไม่ได้แง่งอนอะไร
ซ้ำยังถามอีกว่า
“ให้ข้าไปช่วยด้วยหรือไม่?” ใบหน้าหล่อเหลาจึงส่ายเบาๆ
“เจ้า...อยู่ที่นี่แหละ...คอยดูแลบ้าน
ดูแลแผ่นหลังให้ข้า” ใบหน้ามนถึงกับแดงระเรื่อเมื่อเขาพูดออกไปแบบนั้น
เพราะเขาก็รู้สึกวางใจจริงๆที่จะให้อีกฝ่ายดูแลบ้านหลังนี้ให้
เขารู้ว่าร่างบอบบางนี้มิได้เป็นเพียงไม้ประดับ
ดูเหมือนภายนอกจะวุ่นวายกันพอดู
ร่างโปร่งบางได้ยินเสียงม้าวิ่งผ่านรอบๆจวนไม่เว้นว่าง
“ว่าอย่างไรบ้าง?
ไฟลุกลามไปแค่ไหนแล้วรึ?” เขาเอ่ยถามสาวใช้ที่ให้ออกไปดูลาดเลาเหตุการณ์ภายนอกซึ่งกำลังวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“ป้องกันไฟลุกลามได้แล้วเจ้าค่ะ
แต่โรงเก็บอาหารแห้งก็วอดไปเป็นหลังๆเลยเจ้าค่ะ
ดีที่พังผนังเข้าไปขนของข้างในบางส่วนออกมาได้ เลยไม่ถึงกับเสียหายมากนัก
ตอนนี้กองทหารหน่วยสองกับสามกำลังควบคุมเพลิงอยู่เจ้าค่ะ
ส่วนนายน้อยชูไปกับหน่วยที่หนึ่งเพื่อตามล่าตัวคนวางเพลิงเจ้าค่ะ” สาวใช้รายงานอย่างไม่พักหายใจ
ยุ้งเสบียงของคางะน่าจะใหญ่มากไฟถึงได้แดงฉานไปทั่วท้องฟ้าทิศใต้จนแม้แต่จากที่จวนยังมองเห็นได้
ได้ยินแบบนั้นก็ทำให้ร่างโปร่งมีสีหน้าโล่งใจขึ้นมานิดหนึ่ง
เพราะอย่างน้อยเพลิงก็คงจะไม่ลุกลามมาถึงที่นี่หรือไหม้บ้านเรือนประชาชน
“แต่อย่างไรเราก็ห้ามประมาท
ให้คนงานผู้ชายคอยเดินตรวจตรารอบๆอย่าให้ขาด มิแน่ว่าจวนของท่านแม่ทัพก็อาจจะตกเป็นเป้าหมายได้เช่นกัน”
เขาเอ่ยสั่งด้วยใบหน้าขึงขังและนั่นก็ทำให้บรรดาข้ารับใช้ต่างขานรับกันอย่างมุ่งมั่น
ยามนี้เจ้าบ้านอย่างฟูจิวาระ ชูไม่อยู่
เขาจึงต้องทำหน้าที่ดูแลและเป็นที่พึ่งให้กับทุกคนแทน
ร่างโปร่งบางนั่งทับส้นอย่างลุกลี้ลุกลนอยู่ในห้องรับรองเพื่อรอฟังข่าวจากสามีหรืออาจจะเป็นท่านรองแม่ทัพที่อาจจะแวะมา
แต่ยิ่งเวลามันเดินผ่านไปเท่าไหร่ ใบหน้ามนก็ยิ่งชะเง้อมองไปที่ประตูทางเข้า
ยังตามจับตัวคนร้ายไม่ได้อีกรึ? ถึงยังไม่มีใครกลับมาเช่นนี้
ถึงจะรู้ว่าอย่างฟูจิวาระ
ชูคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่เป็นเพราะเวลาผ่านไปค่อนคืนแล้ว
เขาจึงเริ่มนั่งไม่ติด
“ว่าอย่างไรบ้าง?
ท่านแม่ทัพส่งข่าวอะไรมาบ้างหรือไม่?”
เขาถามสาวใช้ที่สลับสับเปลี่ยนกันออกไปดูลาดเลาภายนอก
“แฮ่กๆๆ...ไม่มีเลยเจ้าค่ะ
เห็นว่าท่านแม่ทัพไล่ตามร่องรอยของคนวางเพลิงไปทางชายแดนติดต่อกับฮิดะเจ้าค่ะ และตอนนี้ก็ยังไม่มีรายงานอะไรกลับมา”
ถึงร่างโปร่งบางจะพยายามเก็บอาการต่อหน้าข้ารับใช้
แต่ก็ปกปิดความกังวลบนใบหน้าไม่มิด
“นายหญิง
ท่านไปนอนพักผ่อนก่อนดีหรือไม่? ภายนอกเริ่มสงบแล้ว ไฟก็ถูกดับหมดแล้วเช่นกัน
ท่านก็รู้ว่านายน้อยชูแข็งแกร่งเกินใคร ไม่มีเรื่องอันใดต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ” พวกสาวใช้พยายามปลอบใจแต่เขาก็ส่ายหน้า
“ข้าจะหลับตาลงได้อย่างไร
ข้าจะรอท่านแม่ทัพกลับมาเสียก่อน”
หากเป็นนายกองที่อยู่ควบคุมเพลิงไหม้ภรรยาอย่างเขายังพอจะออกไปส่งข้าวส่งน้ำช่วยเป็นแรงหนุนได้
แต่พอสามีของเขาต้องออกไปไล่ล่าผู้ร้ายด้วยตัวเองแบบนี้เขาจึงทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรออีกฝ่ายกลับมา
ถึงจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงแต่ถึงจะแข็งแกร่งเช่นไรฟูจิวาระ
ชูก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ย่อมมีวันพลาดพลั้งได้
เขาจึงนั่งรออีกฝ่ายกลับบ้านต่อไป
เทียนไขไหลย้อยจนต้องเปลี่ยนแท่งใหม่มาแล้วนับไม่ถ้วน
จนข้ารับใช้ที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนต่างก็สัปหงกน้ำลายย้อยแต่กระนั้นคนที่รอก็ยังไม่กลับมา
ฟ้าใกล้จะสางแล้ว...
ใบหน้ามนสะบัดไปมาเพื่อไล่ความง่วงงุน
เขายังคงชะเง้อมองไปยังประตูรั้วที่ไม่มีวี่แววจะเปิดออกเลย
แต่แล้วเสียงฝูงม้าที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้หูผึ่ง
ร่างบางขยับนั่งหลังตรง ไม่มีทหารม้าวิ่งผ่านแถวนี้มาพักใหญ่แล้ว
หรือฝูงม้าที่กำลังมุ่งหน้ามาอาจจะเป็นม้าของสามีเขาก็ได้?
ฮี่~
แล้วมันก็หยุดลงที่หน้าจวนจริงๆ!
ร่างโปร่งบางลุกพรวดขึ้นไปอย่างไม่รอช้า
ทว่า กลุ่มคนที่เปิดประตูเข้ามากลับไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย
“คาราวะนายหญิง
ข้าน้อยนำคำสั่งมาจากจวนเจ้าเมืองขอรับ”
อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ใส่ชุดทหารของคางะ
แล้วเขาก็ไม่เคยออกจากบ้านจะไม่รู้จักทหารชั้นผู้น้อยเหล่านี้คงไม่แปลก
“อ้อ
อืม เข้ามาที่ห้องรับรองก่อนสิ...”
การปรากฏตัวของอีกฝ่ายทำให้เขาใจคอไม่ดีเอาเสียเลย เพราะมันน่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสามีของเขาหรือไม่?
เงียบหายไปอาจจะยังดีเสียกว่า
“มีม้าเร็วจากกองทหารที่หนึ่งส่งมาแจ้งข่าวขอรับ
ว่าท่านแม่ทัพไล่ล่าทหารของมิโนะซึ่งเป็นผู้วางเพลิงไปจนถึงชายแดน
แต่ปรากฏว่ามีกองทหารขนาดใหญ่ดักรออยู่ และตอนนี้ท่านแม่ทัพก็ถูกล้อมจับตัวไปขอรับ” สิ่งที่นายทหารรายงานมาทำให้เขาแทบจะเป็นลม
เพราะต่อให้ฟูจิวาระ ชูจะเก่งกาจขนาดไหนแต่หากเจอคนสักพันก็คงสู้ไม่ไหวอยู่แล้ว
“ท่านเจ้าเมืองจึงส่งให้ข้ามาแจ้งข่าวต่อท่าน
เพราะรู้ว่าท่านคงกำลังรออยู่ และยังบอกมาด้วยว่า หากท่านอยากจะเข้าฟังการปรึกษาหารือเพื่อเตรียมแผนรับมือของเหล่าแม่ทัพที่เหลือ
ก็เชิญท่านไปที่จวนเจ้าเมืองกับพวกข้าได้เลยขอรับ”
“ไป!
ข้าจะไป เจ้ารออยู่ที่นี่สักครู่นะ ข้าขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” เขาตอบรับอย่างไม่ต้องยั้งคิด
ตอนนี้ในใจของเขาร้อนลนไปหมดแล้ว เป็นห่วงคนที่ถูกจับตัวไปยิ่งกว่าอะไร
พวกมิโนะจะยังรอช้าหรือในเมื่ออุตส่าห์จับคนอย่างฟูจิวาระ ชูได้
ป่านนี้อาจจะถูกทรมานไม่ก็ถูกทำร้าย เขาได้แต่ภาวนาว่าพวกมันจะยังไม่ฆ่าสามีของเขา
จากกิโมโนสีหญ้าอ่อนถูกเปลี่ยนเป็นฮากามะแสนทะมัดทะแมง
ในมือนายหญิงแห่งจวนฟูจิวาระตะวันออกถืออาวุธยาวอย่างหนึ่งมาด้วย
“ฝากพวกเจ้าดูแลบ้านให้ที” ใบหน้ามนยังหันไปสั่งกับสาวใช้
“เจ้าค่ะนายหญิง
ท่านก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ”
ร่างโปร่งบางขึ้นม้าสีดำก่อนจะควบไปท่ามกลางวงล้อมของทหารที่มารับตัว
แต่ก็น่าแปลก...ทั้งๆที่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นเมืองทั้งเมืองกลับยังเงียบสงบ?
มิใช่ว่าจะต้องเรียกรวมพลเพื่อไปยกกองทัพบุกไปชิงตัวท่านแม่ทัพกลับมาหรอกหรือ?
หรือตั้งใจจะส่งไปแต่ยอดฝีมือแบบเงียบๆเพื่อไม่ให้ประชาชนแตกตื่น?
จะยังไงก็แล้วแต่เขาเพียงแค่ต้องรีบไปถึงจวนท่านเจ้าเมืองให้ไวที่สุด
“หื๋อ?” ใบหน้ามนเอียงคออย่างสงสัยเมื่อเห็นว่าทิศทางที่ทหารพวกนี้พาเขาไปมันดูจะไม่ใช่
จวนของเขาอยู่ทางทิศตะวันออกมันก็ควรจะมุ่งหน้าไปทางตะวันตกสิ
แต่นี่กลับพาเขาขึ้นมาทางทิศเหนือ?
“เราต้องไปทางตะวันตกมิใช่หรือ?”
เสียงนุ่มเอ่ยถามนายทหารที่ขี่ม้าขนาบอยู่ข้างๆ
“พอดีถนนทางทิศตะวันตกมีการขนย้ายเสบียงน่ะขอรับ
มันเลยไม่สะดวก”
เสบียงจากยุ้งที่เกิดเพลิงไหม้น่ะเหรอ? แต่ดูยังไงมันก็ไม่น่าใช่...
แต่เป็นเพราะม้าที่ประกบอยู่นั้นกำลังควบด้วยความเร็วเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะชะลอและจำต้องตามทหารพวกนั้นไป
มันยังคงขึ้นเหนืออย่างต่อเนื่อง
“ข้าว่ามิใช่แล้ว
เรากลับไปทางเดิมกันดีหรือไม่?”
เขาตะโกนบอกแต่ทหารทุกคนกลับทำทีไม่สนใจ
นี่มัน...
“ก็มิใช่นั่นแหละขอรับ”
แล้วจู่ๆทั้งขบวนก็ชะลอความเร็วลง...เมื่อพาตัวเขามายังชายป่าที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง!!
เขาถูกล้อมไว้ด้วยทหารที่แต่งกายต่างออกไปนับครึ่งร้อย
พวกมันย่างสามขุมออกมาจากเงามืดของชายป่า
และพวกทหารที่พาเขามาล้วนโดดลงจากหลังมาเพื่อไปสมทบกับพวกนั้น นี่มัน!
อย่าบอกนะว่าที่ลงทุนลงแรงเผายุ้งเสบียงของคางะจนล่อฟูจิวาระ
ชูออกไปจากเมืองได้ เป้าหมายก็คือเพื่อจะจับตัวเขามาฆ่าทิ้งน่ะ? ทั้งหมดนี้ทำเพื่อกำจัดเขาอย่างนั้นหรือ?
“ลงมาเถิดขอรับ
ท่านมาถึงที่แห่งนี้แล้วคงไม่มีทางรอดกลับไปได้อีก
ข้าจะรักษาเกียรติให้ท่านด้วยการสังหารให้ไวที่สุดเองขอรับ” แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ
“เฮ้อ....”
ใบหน้ามนถอนหายใจยาวก่อนจะก้าวขาลงจากหลังม้า ยังดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากเพลิงไหม้พวกนั้น
ไม่เช่นนั้นเขาคงจะรู้สึกผิดกว่านี้มาก
ตัวเขามีค่าพอที่จะให้เผาบ้านเผาเมืองขนาดนั้นเชียวรึ?
“ข้าก็เป็นเพียงแค่ภรรยาคนหนึ่งก็เท่านั้น”
แต่หากคิดว่าคนที่เป็นแค่ภรรยาอย่างเขาจะยอมให้ฆ่าแกงกันง่ายๆละก็
คิดผิดถนัด
อย่างน้อย...เขาก็เป็นภรรยาของผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นคางะเชียวนะ
มือบางปลดเชือกที่มัดถุงอาวุธในมือออก
ดูเหมือนสิ่งที่นายหญิงของจวนแม่ทัพถือมานั้นจะเป็นธนู ทว่า
เมื่อถุงผ้าถูกถอดออกสิ่งที่ตวัดอยู่ในมือบางกลับเป็นง้าว!
ง้าวนางินาตะ! อาวุธประจำกายของท่านหญิงแห่งตระกูลนารุมิยะ!
เหล่าทหารที่ยืนล้อมอยู่ต่างสะอึกไม่ก็ตะลึงงัน...เพราะคนที่จะใช้ง้าวชนิดนี้ได้นั้นไม่ใช่คนที่มีฝีมือธรรมดา
มันสามารถลากคอทหารที่อยู่บนหลังม้าลงมาได้ในพริบตาเลยนะ
ขนาดในกองทัพเองคนที่จะใช้ง้าวนางินาตะได้ยังต้องเป็นทหารชั้นสูงที่มีเพียงหยิบมือเลยทีเดียว
สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังร่างสะโอดสะองที่ถือง้าวด้ามยาวปักลงกับพื้นดิน
ปลายที่ชี้ขึ้นฟ้าส่องประกายคมกล้าของดาบใบโค้งที่คมกริบออกมา
ดูก็รู้แล้วว่าเป็นง้าวประจำตระกูลที่ถูกทำขึ้นมาอย่างประณีตและไม่ได้มีไว้ประดับบ้านเท่านั้น
แต่มันน่าจะผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างโชกโชน...
และคนที่ถือมันอยู่ก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกอันกดดันนั้นเข้าไปอีก
ดวงตาที่เคยสดใสและอ่อนโยนกลับจ้องเขม็งมาที่พวกเขาราวกับสายตาของพยัคฆา
มันลุกวาวราวกับดวงตาของเจ้าป่าที่น่าขนลุกขนพอง
สองขาที่กางออกใต้กางเกงฮากามะและแขนเล็กๆที่จับด้ามง้าวด้วยความมั่นคงทำให้ใครก็ไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวว่าง้าวนั่นจะบั่นคอพวกเขาทั้งที่ยังไม่ทันจะกระพริบตา
ร่างโปร่งบางตรงหน้างดงามมาก
แต่เป็นความงดงามที่น่ากลัวสุดขั้วหัวใจ...ทั้งใบหน้าราวกับตุ๊กตาที่มิได้หวั่นไหวไปกับจำนวนคนมากมายที่ล้อมตนไว้ราวกับมั่นใจว่าจะเอาชนะพวกเขาได้
ยืน...อยู่เหนือหัวพวกเขาไปหลายก้าว
แล้วไหนจะจิตสังหารที่สุขุมแต่หนาวเย็นไปถึงไขสันหลังนี่อีก...
ตระกูลฟูจิวาระได้สะใภ้แบบไหนมากันแน่?
ไม่เห็นจะอ่อนแอ ไม่เห็นจะบอบบางน่าทะนุถนอมอย่างที่ใครๆล่ำลือกันเลยนี่?
พวกเขาต่างลอบกลืนน้ำลาย...หากปล่อยไว้...นายหญิงคนนี้น่าจะเป็นคู่บุญคู่บารมีกับฟูจิวาระ
ชูได้เลยมิใช่หรือ...
ยิ่งคิดถึงเลือดเนื้อเชื้อไขที่กำลังจะเกิดมาจากคนสองคนนี้ก็ยิ่งปล่อยไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ขนาดพ่อแม่ยังแข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว
ลูกที่เป็นอัลฟ่าจะน่าหวาดกลัวขนาดไหนไม่อยากจะนึก
ต้องกำจัด
ต้องกำจัดสถานเดียวเท่านั้น แต่ จะทำได้ยังไงกัน
“เข้ามาสิขอรับ
บัดนี้ข้าเป็นคนของตระกูลฟูจิวาระแล้วและจะไม่ยอมให้ใครดูแคลนสามีของข้าเป็นอันขาด!”
ปึ้ง!
กล่าวจบด้ามง้าวก็กระแทกลงที่พื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น
มันไม่รอให้ใครได้หายใจอีกต่อไป เพราะในชั่วพริบตานั้นใบดาบโค้งคมกริบก็ตวัดผ่านลำคอของทหารนับสิบไป
เป็นการวาดดาบที่งดงามมาก
ยิ่งปลายสีเงินนั่นหนักแน่นเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีพลังทำลายล้างมากขึ้นเท่านั้น
เลือดต่างกระเซ็นขึ้นฟ้าจนเหมือนฟองอากาศสีชาด
เหมือนใบโมมิจิสีเพลิงที่ถูกสะบั้นตัดขาดจนปลิดปลิวพลิ้วไสวไปทั่ว
“สะกัดไว้!”
เสียงตะโกนอย่างหวาดหวั่นดังคละเคล้าไปกับเสียงดาบปะทะกับง้าวที่หนักหน่วง
“อ๊ากกกก!” ร่างโปร่งบางพลิ้วไหวราวกับสายลมที่หลบหลีกคมดาบทั้งหมดพร้อมตวัดด้ามง้าวปัดป้องทุกอย่างออกไปพร้อมกับฟาดคมดาบโค้งเข้าใส่ด้วยความรวดเร็ว
เฉียบขาด และคล่องแคล้วจนทหารของอีกฝ่ายที่นับว่าคัดแต่ทหารมากฝีมือมาแล้วก็ยังตามไม่ทัน
ชึ่บ!
ปลายดาบโค้งคมกล้าตัดแขนขาและลำคอไปไม่รู้เท่าไหร่
แต่ใบหน้าราวกับตุ๊กตากลับมิได้หวั่นไหวแม้เพียงน้อย
ง้าวนางินาตะนั้นเป็นง้าวญี่ปุ่นชนิดหนึ่งซึ่งเอาไว้ตัดขาม้าหรือลากคนบนหลังมันลงมา
ใช้จัดการกับทหารม้าที่นับเป็นทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพโดยเฉพาะ
แต่เพราะมันใช้งานยากและต้องมีทักษะค่อนข้างมาก
หลังๆมานี้ง้าวนางินาตะจึงไม่ค่อยมีใครใช้ในสนามรบมากนักและถูกแทนที่ด้วยหอกที่สั้นและใช้งานง่ายกว่าแทน
ง้าวนางินาตะจึงกลายมาเป็นอาวุธประจำกายของภรรยาซามูไรที่ต้องคอยปกป้องบ้านเรือนยามที่สามีไปออกรบแทน
และมันก็มักจะเป็นอาวุธที่ตกทอดมาจากทางฝั่งแม่
เป็นของที่เจ้าสาวมักจะนำติดตัวมาเองหลังจากตบแต่งเข้าตระกูลของสามี
เขาที่เป็นโอเมก้า...จึงถูกผู้เป็นแม่ฝึกฝนการใช้ง้าวนางินาตะเล่มนี้มาตั้งแต่เยาว์วัยแทนที่จะให้ใช้ดาบคาตานะเหมือนผู้ชายทั่วไป
แขนที่เล็กจนคิดว่าแม้แต่ไม้กวาดสักอันคงยกไม่ไหวจึงวาดด้ามง้าวที่หนักนับสิบกิโลได้สบายๆ
“แฮ่ก...แฮ่ก...”
แต่ถึงอย่างนั้นหากต้องใช้ติดต่อกันนานๆและถูกคนเป็นสิบรุมอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้มันก็เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ร่างโปร่งบางเริ่มหายใจหอบหนัก
จากที่เคยขยับอย่างมั่นคงเริ่มมีโซเซบ้างแต่กระนั้นเขาก็ยังจ้องไปที่ศัตรูไม่ละสายตา...ต้องฆ่าให้หมด...จะปล่อยให้ใครรอดไปไม่ได้
จะปล่อยให้ใครคาบข่าวไปบอกทางฝั่งแคว้นมิโนะว่าเขามีความสามารถขนาดนี้ไม่ได้
แค่สิบกว่าคนเขายังรับมือไหว
แต่ถ้าอีกฝ่ายส่งคนมามากกว่านี้เพราะรู้ว่าเขามีฝีมือ เขาคงต้านไม่ได้เป็นแน่
“แฮ่ก...” สายตาของเขาเริ่มพร่ามัวจากความเหนื่อยล้า
ทว่าก็ยังยืนหยัดรับดาบของศัตรูอย่างไม่ย่อท้อ
แคร้ง!
ควับ! ชึ่บ!
สองมือจับด้ามง้าวมั่นก่อนจะใช้มันรับคมดาบก่อนจะช้อนตวัดมันกลับไป
เขาเสือกด้ามที่ยาวท่วมหัวนั่นเข้าใส่ก่อนจะฟันคอศัตรูจนขาดกระเด็นไปต่อหน้า
แต่ก็ไม่มีเวลาให้ไชโยโห่ร้องเพราะด้านหลังก็โรมรันเข้ามาทันที
“อึก?!”
ความเจ็บแปลบแล่นลิ่วอยู่ที่ข้อเท้าจนต้องนิ่วหน้า
ดาบคาตานะด้ามหนึ่งมาถึงตัวเขาโดยไม่ทันรู้ตัวเลยจริงๆ
ร่างโปร่งบางจึงกระโดดหลบถอยหลังให้ห่างไปไกล
“แฮ่ก...แฮ่ก...”
เขาไม่มีเวลาจะก้มดูด้วยซ้ำว่าเขาบาดเจ็บมากขนาดไหน
ร่างที่สูงใหญ่กว่าเขามากกำลังยืนจังก้าถลึงตามองมาด้วยความเคียดแค้น
แน่นอนว่าเขาพุ่งเข้าใส่โดยไม่ลังเล
ความยาวของง้าวนางินาตะทำให้เขาได้เปรียบหากอยู่ในระยะที่ไกลพอดีๆ
ดีที่ทหารพวกนี้ใช้เพียงดาบคาตานะธรรมดาจึงยากจะเข้าถึงตัวเขาได้
หากเป็นดาบใหญ่โอดาจิเขาก็อาจจะแย่ก็ได้
“เจ้า!
ตายซะ!”
ฝ่ายตรงข้ามขู่คำรามเสียน่ากลัว
แต่สมาธิและจิตใจที่มั่นคงของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายทำอะไรเขาไม่ได้เลย
เคร้ง!
เสียงร้องโหยหวนจบลงด้วยเสียงร้องขอชีวิต
แต่ปลายง้าวคมกริบก็มิได้คิดจะปล่อยให้ใครรอดไปได้อยู่แล้ว
คอของคนที่กำลังกระถดระถอยหนีจึงหล่นตุ้บกลิ้งกระดอนอยู่บนพื้นในที่สุด
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...” ร่างโปร่งบางยืนโซซัดโซเซ
แผลที่ข้อเท้าทำเอาตาลายไปหมดแล้วตอนนี้
ง้าวนางินาตะถูกยันลงไปบนพื้นก่อนจะใช้ค้ำร่างที่กำลังโงนเงน
มือที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดค่อยๆไหลครูดลงไปตามด้ามไม้พร้อมๆกับร่างกายของเขาที่ทรุดลงจนเข่าชนพื้น
ไม่ไหวแล้ว...ตาลายเหลือเกิน...
ฟึ่บ!
แล้วในขณะที่กำลังจะล้มหงายหลัง...ฝ่ามือของใครบางคนก็เอื้อมมารองรับลำตัวบางเอาไว้ได้ทันท่วงที
“ท่าน...แม่ทัพ...มาแล้วหรือขอรับ...” ใบหน้ามนพูดด้วยรอยยิ้มและสายตาที่เลื่อนลอย ก่อนจะค่อยๆสลบไปในอ้อมแขนที่แข็งแกร่ง
อ่า...ข้ารู้ว่าท่านกำลังมาช่วยข้า
ข้าได้กลิ่นของท่าน...เพราะเช่นนั้นข้าจึงยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้
เพราะข้ารู้ว่าท่านกำลังมา...เพราะข้ารู้ว่าท่านจะไม่มีวันทอดทิ้งข้า...
เพราะท่านคือชายที่อยู่กับข้าในป่าไผ่ในวันนั้น
“มินาโตะ...นารุมิยะ
มินาโตะ”
มือใหญ่ประคองแก้มใสก่อนจะตบเบาๆเพื่อเรียกสติ
แต่ดวงตาที่ปิดสนิทไปแล้วก็มีแต่จะทำให้หัวใจที่เคยเป็นน้ำแข็งได้แต่ร้อนลน
ใบหน้าหล่อเหลาหันซ้ายแลขวา นี่มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?
เพราะมันแทบไม่ต่างจากกลางสมรภูมิรบเลยสักนิด
ฝ่าเท้าของเขาจมอยู่ในหนองน้ำโลหิตที่ส่งกลิ่นคาวคลุ้งน่าสะอิดสะเอียน
ทั้งหมดนี่...คือฝีมือของคนที่สลบไสลอยู่ในอ้อมแขนของเขางั้นหรือ?
บาดแผลที่ทำเอาถึงแก่ชีวิตที่พวกศัตรูโดนเข้าไปมันเกิดจากอาวุธเพียงชนิดเดียวเท่านั้น...และมันก็คือสิ่งที่อยู่ในมือบางของนารุมิยะ
มินาโตะไม่ผิดแน่...ง้าวนางินาตะด้ามนี้
นัยน์ตาสีม่วงมองสำรวจไปทั่วลำตัวบาง
แต่นอกจากแผลที่ข้อเท้าแล้วก็ไม่พบแผลที่อื่นอีก คงจะเหน็ดเหนื่อยจนสลบไป?
ชึ่บ
“ปล่อยข่าวออกไปว่าข้าเป็นคนจัดการพวกมันเอง
อย่าให้ใครล่วงรู้เด็ดขาดว่านี่เป็นฝีมือของมินาโตะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกรองแม่ทัพที่ตามติดมา ก่อนที่ท่อนแขนแข็งแรงจะอุ้มร่างโปร่งขึ้นแนบอกในท่าอุ้มเจ้าสาว
สองขาเดินย่ำฝ่าบ่อเลือดพวกนั้นไปอย่างไม่ไยดีเพื่อจะกลับไปยังจวนของเขาให้เร็วที่สุด
ถึงแผลจะไม่ได้ลึกมากแต่ก็เลือดออกเยอะพอสมควร ต้องรีบพากลับไปรักษา
มือใหญ่กอดกระชับจนหัวสีดำแนบมากับแผ่นอกอย่างหวงแหน
ไม่เคยมีอะไรมาทำให้เขาร้อนใจได้ขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ ถึงตอนนี้จะรู้แล้วว่าภรรยาของเขาสามารถปกป้องตัวเองได้
แต่ความกระวนกระวายใจนี้กลับไม่หายไปเสียที ไม่รู้เหมือนกันว่าห่วงอะไร
ต้องกังวลใจถึงแค่ไหน
เขาไม่รู้
เขาไม่ชิน เพราะเขาไม่เคยรู้จักมันมาก่อน
แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เขาเพิ่งจะรู้...
นารุมิยะ
มินาโตะนั้นไม่ได้มาเพื่อเป็นภาระของเขา แต่มาเพื่อเป็นคู่ชีวิตที่จะส่งเสริมกันไปจนวันตายเลยต่างหาก
ดวงตากลมใสเปิดขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางแสงเทียนสลัวๆและห้องนอนที่แสนอบอุ่น
เขานอนราบอยู่บนฟูกโดยมีผ้านวมคลุมจนถึงคอ
ถึงร่างกายจะรู้สึกหนักๆไปบ้างนอกนั้นก็สบายดี อ้อ เหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าสินะ?
แต่ตอนนี้มันไม่เจ็บเลยสักนิด น่าจะมีใครสักคนทำแผลให้เขาอย่างดี
“ตื่นแล้วรึ?
เป็นอย่างไรบ้าง?”
แล้วเสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็เรียกให้เขาเงยหน้ามองไปทางด้านข้าง ฟูจิวาระ
ชูนั่งทับส้นอยู่บนเบาะรองนั่งอย่างสง่างามอยู่ตรงนั้น...นี่อีกฝ่าย...นั่งเฝ้าเขาอยู่ตลอดเลยงั้นหรือ?
คนที่เอาแต่ทำงานไม่กลับบ้านกลับช่องคนนั้นน่ะนะ?
“ไม่เป็นไรแล้วขอรับ” ใบหน้ามนจึงยิ้มบางๆส่งไปให้ และอีกฝ่ายก็มิมีทีท่าว่าจะลุกไปไหน
หรือเขาควรจะถามเรื่องที่ค้าคางใจตอนนี้ดีหรือไม่?
ไหนๆอีกฝ่ายก็ยอมคุยกับเขาดีๆแล้ว
“เหตุใด...ท่านถึงได้ทำตัวเย็นชากับข้ายิ่งนัก
ท่านบอกข้าได้หรือไม่?”
ในที่สุดเขาก็ถามออกไป
“....เจ้าควรจะพักผ่อนให้หายดีเสียก่อน” แต่ผู้เป็นสามีก็พยายามบ่ายเบี่ยง
“ท่านบอกข้ามาตามตรง
ข้าไม่อยากให้ระหว่างเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันอีกแล้ว ตลอดเวลาที่มือข้าจับง้าวฟาดฟันศัตรูโดยที่มิอาจรู้ได้เลยว่าจะถูกฆ่าตายเมื่อใด
สิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในใจของข้าคือข้ายังไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกับท่าน
ยังมิได้พูดคุยกันดีๆเลยสักครั้ง
ข้าเสียใจที่ปล่อยให้เวลาแห่งความหมางเมินล่วงเลยมาถึงป่านนี้”
“......”
“ท่านโกรธ...ที่ข้าโกหกท่านว่าข้าไม่ใช่นารุมิยะ
มินาโตะงั้นรึ?”
“........” ฟูจิวาระ ชูยังคงปากแข็ง
เขาเลยใช้ไม้ตายตามที่ท่านแม่เคยสอนไว้ว่าผู้ชายมักจะใจอ่อนหากทำสีหน้าออดอ้อนเช่นนี้แล้วเรียกอีกฝ่ายว่า
“ท่านพี่...ได้โปรดบอกข้า...” ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับชะงักไป
ดูเหมือนสิ่งที่ท่านแม่สอนไว้จะได้ผล?
“เฮ้อ...เข้าใจแล้ว...” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาถอนหายใจอย่างยอมจำนน
“ข้าไม่ได้โกรธเจ้าเรื่องที่เจ้าโกหกและปกปิดตัวตนของตนเอง
เพราะในสถานการณ์เช่นนั้นนั่นคือวิธีการที่ฉลาดที่สุดแล้ว”
“แต่เรื่องที่ทำให้ข้าไม่พอใจและหลุดพ้นจากความรู้สึกฉุนเฉียวนี้ไปไม่ได้สักที...นั่นก็คือ...”
“หากในคืนนั้น...หากผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ข้า
ไม่ใช่ฟูจิวาระ ชู...เจ้าจะยังกลับมาแต่งงานกับข้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้หรือไม่?”
เขาถึงกับผงะไป...ที่แท้ก็เรื่องนี้เองสินะ...ใบหน้ามนยิ้มด้วยสีหน้าอ่อนลง
“ที่แท้...สิ่งที่ติดอยู่ในใจของท่านก็คือเรื่องนี้เอง” เสียงนุ่มจึงเอ่ยสิ่งที่ตนเองก็เคยตั้งใจจะทำออกไปบ้าง
“ที่จริง...ข้าเองก็ตั้งใจว่าจะกลับมาสารภาพถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น...และขอยกเลิกการแต่งงานอยู่แล้ว...ข้า...ตกเป็นของชายอื่นจะยังมีหน้าแต่งงานกับท่านแม่ทัพได้อย่างไร...ข้าถึงได้ถามท่านมาตลอดทางอย่างไรเล่า
ว่าท่านจะปกป้องดูแลข้าได้หรือไม่ เพราะข้าจะเลือกท่าน
คนที่เป็นเพียงนายทหารซึ่งโอบกอดข้าอย่างอ่อนโยนคนนั้น”
“เจ้าตั้งใจจะเลือกผู้ชายคนนั้นมากกว่าฟูจิวาระ
ชูรึ?” ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าอ่อนลงเช่นกัน
“ถ้าเขาเลือกข้าละก็นะ
แต่ถ้าไม่ ข้าก็แค่กลับไปอยู่เดียวดายเช่นเดิมก็เท่านั้น
ข้าไม่เคยคิดจะทำให้ท่านต้องเสื่อมเสียไปกับข้าด้วยหรอก”
“เจ้าชอบผู้ชายคนนั้นมากกว่าฟูจิวาระ
ชูงั้นรึ?” อีกฝ่ายยังคงถามหน้าตายอย่างน่าหมั่นไส้จริงเชียว
เขาเลยตอบกลับไปด้วยแววเง้างอดประชดประชันเล็กๆ
“อย่างน้อยเขาก็ใจดีกับข้ามากกว่าฟูจิวาระ
ชูที่อยู่ตรงนี้...เขาสัญญาว่าจะปกป้องข้า ไม่รังแกข้า
จับไก่ป่ามาย่างให้ข้ากินด้วย” จู่ๆใบหน้าหล่อเหลาก็อมยิ้มก่อนจะดึงมือเขาไปจูบเบาๆ
“ท่านไม่รู้หรอกว่าข้าดีใจจนแทบจะบ้าตายขนาดไหนที่รู้ว่าท่านคือฟูจิวาระ
ชู”
“ข้าตกหลุกรักผู้ชายที่อยู่กับข้าในป่าไผ่วันนั้น
และเขาก็คือฟูจิวาระ ชู คนที่ข้าจะต้องแต่งงานด้วย
จะมีเรื่องใดน่ายินดีไปกว่านี้อีก ทั้งๆที่ข้าดีใจมาก
แต่ท่านกลับเอาแต่เย็นชาใส่ข้า”
เสียงใสเอ่ยอย่างงอนๆ
“....ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก”
ใบหน้าหล่อเหลาแนบแก้มของตนลงมาบนหลังมือเขาราวกับสำนึกผิดแล้ว
“แล้วอะไรอีก?”
“....ข้าขอโทษ...”
“คิก~ ข้ารู้มาว่าท่านแม่ทัพแห่งคางะไม่เคยเอ่ยคำขอโทษต่อผู้ใด”
“เพราะข้าไม่เคยทำสิ่งใดผิด...นี่คือครั้งแรก...”
“ข้าให้อภัยท่าน
เรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีหรือไม่?”
“อื้ม”
ฟูจิวาระ
ชูยิ้มให้เขาและเขาก็ยิ้มให้อีกฝ่าย เรื่องที่เคยคับข้องใจต่างไขกระจ่างหมดแล้ว
หัวใจดวงน้อยจึงรู้สึกเบาโหวงจนสามารถหลับตาลงได้อีกครั้งเสียที
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
ก่อนอื่นเลย...สวัสดีปีใหม่
2025
ล่วงหน้ากันนะคะทุกคนนนน ขอให้เป็นปีที่ดีๆมีแต่ความสุขสมหวังกันถ้วนหน้าน้า
จริงๆตั้งใจจะลงตั้งแต่วันเกิดน้องมิแระค่ะ
แต่มันไม่เสร็จ555 คริสต์มาสก็ยังไม่เสร็จ
ก็เลยรีบปั่นอย่างตั้งมั่นว่ายังไงปีใหม่ก็ต้องให้ทันให้ดั้ยยยย
ยังไงก็ฝากเอ็นดูฟิคน้อยๆเรื่องนี้กันต่ออีกหน่อยนาคะ
หายไปนานมากเลยขอบคุณที่ยังคิดถึงกันเสมอมาด้วยน้า ใครไม่มีแพลนจะไปไหนก็มาอยู่บ้านอ่านฟิคข้ามปีด้วยกันนะคะ555
มีภาพของขวัญ(?)ของชายชูมาให้ดูด้วยค่ะ
อิ๊ๆๆ อยากแกะของขวัญบ้างจังเลยนะคะ
แต่เกรงว่าแค่ยื่นมือเข้าไปคงได้โดนลูกธนูปักแน่ค่ะ555
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทมากๆๆเลยนะคะ ปีหน้าฟ้าใหม่ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยอีกปีนะคะ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาในฟิคและนิยายทุกๆเรื่องของคุณกวางเลยค่ะ ครึ่งปีหลังนี้คือวุ่นวายแบบวุ่นจริงๆก็เลยไม่ได้ลงฟิคซักเรื่องเลยค่ะ หวังว่าปีหน้าโลก(?)จะสงบสุขซักที555 แล้วเจอกันค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น