KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 16
:
KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า
:
องศา x พายุ , เก้า x เจ้าจอม
, ภาค x กังหัน
:
Warmhearted Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด
: อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หัวคิ้วของคุณหมอกังหันยังคงขมวดมุ่นถึงแม้ว่าจะหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้ามาในคอนโดแล้วก็ตาม...
ยังคงมีแต่คำถามและความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่อีกฝ่ายเห็นเขาเป็นแค่คู่นอนที่นึกอยากก็มาหากันง่ายๆ
ทำเสร็จแล้วก็คงจะไปเหมือนอย่างเมื่อวันก่อน
เขาไม่ได้อยากจะให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนเป็นแบบนี้เลย
ไม่ชอบ ไม่เอา แต่เขากลับปฏิเสธไม่ได้ รู้สึกว้าวุ่นใจ
หงุดหงิดในตัวเองจนแม้แต่ความเยือกเย็นแบบผู้ใหญ่ก็แทบจะรักษาไว้ไม่ได้แล้วตอนนี้
แล้วในขณะที่เขาเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
เจ้าเด็กนั่นกลับเดินฮัมเพลงตามมาด้วยท่าทางสบายๆ
นี่ไม่ได้รับรู้เลยหรือไงว่าเขาเครียดจนอกจะแตกตายอยู่แล้วเนี่ย!
มือบางหันไปทุบแขนแข็งแรงนั่นอย่างหมั่นไส้
ทำเอาคนที่ยังมีท่าทางคูลๆหันมามองอย่างสงสัย แต่ใบหน้าหล่อเหลานั่นก็แค่หัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อมองเห็นหน้ายุ่งๆของเขา
เจ้าเด็กนี่รู้อะไรมาห๊ะ?! เดี๋ยวพ่อฟาดให้แขนเดี้ยงเลย
นี่แหน่ะๆๆ!
จู่ๆท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป
จากคนที่พยายามวางตัวเป็นผู้ใหญ่กว่ากลับเริ่มงอแงเหมือนเด็ก
เขายังฟาดฝ่ามือใส่ร่างสูงไม่ยั้ง
แต่ดูเหมือนจะเป็นภาคเสียมากกว่าที่ใจเย็นกว่าเขา เหมือนอีกฝ่ายก็จะเข้าใจว่าเขารู้สึกยังไง...
แล้วทำไมต้องมากดดันกันด้วย?
ทำไมต้องมาลองใจเขาแบบนั้นด้วย? เจ้าเด็กร้ายกาจ! เจ้าเด็กภัยพิบัติ!
ตุ้บ!
สองมือของเขาถูกสองมือใหญ่ๆนั่นจับกดไว้กับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว
ภาคดึงเขาเข้ามาในห้องและปล่อยให้ประตูค่อยๆปิดไปด้วยตัวของมันเอง...
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเหลือบมองมือใหญ่ๆที่รวบข้อมือของเขากดติดกับผนังเอาไว้
มือของเจ้าเด็กนี่ใหญ่กว่ามือเขามาก ดูแข็งแรงกว่ามาก
เพราะงั้นเขาจึงขัดขืนอะไรไม่ได้เลย
ดวงตาที่เย็นชาอยู่เสมอช้อนมองเขาด้วยแววลึกซึ้งแปลกๆ
เขาได้แต่โดนดวงตาคู่นั้นสะกดไว้...จนไม่อาจหลบหลีกจากริมฝีปากที่ขยับเข้ามาจุมพิตเบาๆนี้ได้เลย...
บ้าเอ้ย
หัวใจจะเต้นแรงขนาดนี้ทำไมเนี่ย?!
ภาคแตะริมฝีปากลงมาอีกทีและคราวนี้ลิ้นร้อนก็ชอนไชบีบบังคับให้เขาต้องยอมอ้าปาก จริงๆนะ
จูบของเด็กนี่ดุเดือดมาก...
“อื้ม~” มาก...จนเขาถึงกับขาแข้งอ่อนแรงไปหมด...
“อึก...อื้อ~” เสียงจ๊วบๆจุ๊บๆดังก้องอยู่ในหูจนรู้สึกอาย
สองแก้มของเขาแทบจะมอดไหม้ไปกับจูบร้อนแรงที่อีกฝ่ายมอบให้
เหมือนลิ้นร้อนจะเต็มแน่นอยู่ในปาก มันลากไล้เกี่ยวพันกันอย่างหิวกระหาย
จากข้อมือที่เคยพยายามจะขืนไว้...กลับกลายเป็นถูกมือใหญ่สอดประสานนิ้วทั้งห้าแล้วกอบกุมกันไว้แทน
“แฮ่ก...แฮ่ก...” หัวสีดำเงยพิงผนังเพื่อกอบโกยอากาศเข้าปอด
ที่ซอกคอรู้สึกได้ถึงแรงกดจูบซุกไซร้...แต่เขาก็มิอาจทำอะไรได้นอกจากปรายตามอง...
จะ...จะทำเลยเหรอ?...
จะไม่พูดคุยอะไรกันก่อนบ้างเลยหรือไง
เข้าห้องมาได้ก็จะเอาเลยใช่ไหมเนี่ยเจ้าเด็กบ้านี่
สองมือที่เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระจึงใช้แรงเฮือกสุดท้ายยับยั้งแผ่นอกหนาไว้
เขาลองเอ่ยต่อรองกับอีกฝ่าย ถึงจะไม่รู้ว่าเด็กนี่จะยอมฟังหรือเปล่า
“เอ่อ...ถ้าเราไม่ทำเรื่องอย่างว่า...แต่แค่นอนดูเน็ตฟลิกด้วยกันแบบนั้นดีไหม?” เขาช้อนตามองใบหน้าที่จ้องตอบเขานิ่ง...คงจะ...ไม่ยอมสินะ?
“ก็ได้ครับ”
“เอ๊ะ?” แต่แล้วคำตอบของเด็กหนุ่มก็ทำให้เขาแปลกใจจนถึงกับอุทานออกมา
ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองหน้าเขาไม่วางตา
จ้องมองแบบนั้นอยู่อีกหลายนาที...
มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจเลย
แต่กลับเป็นความเงียบงันที่ชวนใจเต้นไปกับสายตาและลมหายใจของกันและกัน
ราวกับเป็นช่วงเวลาก่อนวินาทีที่จะถูกสารภาพรัก...
“ที่จริง...ผม...ก็แค่อยากจะมาขอโทษ...เรื่องเมื่อวาน...” แล้วภาคก็พูดมันออกมา...ก่อนจะก้มจรดหน้าผากเอาไว้กับไหล่ของเขา
เอ๊ะ?
ไม่ได้อยากจะมีเซ็กส์เลยมาหาเขางั้นเหรอ?
ไม่ได้มาหาเขาเพราะเห็นว่าเขาเป็นแค่คู่นอนงั้นเหรอ?
“ห๊า?
แล้วจะมาทำให้ตกอกตกใจทำไมเนี่ย เจ้าเด็กนิสัยไม่ดี!” เขาตะโกนใส่พร้อมกับแยกเขี้ยวให้อีกหนึ่งที
คนเขากังวลจนแทบจะสติแตกเลยนะ!
“ฮะฮะ
ขอโทษครับ...”
แต่เจ้าเด็กนี่ก็ยังหัวเราะนิ่งๆอยู่ได้
“เพราะก่อนที่ผมจะพูดเรื่องต่อไปนี้
ผมอยากจะทำให้แน่ใจก่อนว่าผมคิดไม่ผิดที่เลือกหมอ”
“...อะไร?” เขายกแขนขึ้นมากอดอกเสียงแข็ง
“หมอห่วงผมใช่ไหมล่ะครับ?
ถึงได้เอาตัวเองเข้ามาถ่วงเวลาผมไว้แบบนี้น่ะ หมอไม่อยากให้ผมเตลิดไปเจอกับคนไม่ดี
ถึงได้เอาตัวเองเข้ามาฉุดรั้งผมเอาไว้”
....รู้ด้วยเหรอ...ยิ่งเด็กหนุ่มพูดมาเขาก็ยิ่งหน้าแดง
จึงพยายามกลบเกลื่อนมันด้วยการเชิดหน้าขึ้น
“......หมอบอกแล้วใช่ไหมล่ะ
ว่าเธอจะต้องเสียใจภายหลังแน่”
“ผมไม่ได้เสียใจครับ” แต่เสียงทุ้มก็ยังพูดด้วยความหนักแน่น
“อ้าว?
ไม่เสียใจแล้วจะมาขอโทษทำไม?”
“ผมก็แค่รู้สึกว่า...วิธีมันผิดไปหน่อย...”
“วิธี?” เขาเอียงคอสงสัย เด็กนี่พูดถึงอะไรกันน่ะ?
“ช่างเถอะครับ”
“ห๊ะ?”
“เอาเป็นว่า
เรามาเริ่มกันใหม่ดีไหมครับ?” หลังจากทำให้เขางง เจ้าเด็กนี่ก็เอื้อมมือมาลากเขาให้เดินตามไปยังโซฟา
“เอ๊ะ?
เริ่ม? เริ่มอะไร?” ไหนว่าไม่ทำแล้วไง?
สองมือเตรียมจะตะครุบชายเสื้อของตัวเองไว้ แต่ภาคกลับทำเพียงแค่กดให้เขานั่งลงบนโซฟาเฉยๆ
?
“ก็อย่างเช่น...ชื่อของผม” ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามายิ้มให้
มันเป็นรอยยิ้มที่สดใสและอ่อนโยนเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับจากอีกฝ่าย
“?” แต่กระนั้นเขาก็ยังตามเด็กหนุ่มไม่ทันอยู่ดี
ต้องการจะทำอะไรกันแน่?
“ผมชื่อภาค
ชื่อจริงคือน่านฟ้า ปัทมวารินทร์” เด็กหนุ่มเริ่มแนะนำตัว
ถึงเขาจะรู้ชื่อของอีกฝ่ายอยู่แล้วก็เถอะแต่ก็ยังตอบรับตามน้ำไป
“อะ
โอ้...?”
“เรียนอยู่ปีสาม
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เกรดเฉลี่ย 3.89 สูง 185 น้ำหนัก 80 เลือดกรุ๊ป
A มีอะไรที่อยากรู้เกี่ยวกับตัวผมอีกไหมครับ?”
“ห๊ะ?
ก็ไม่นะ?” เขาตอบรับไปอย่างมึนงงเพราะยังไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย
“ขนาดของไอ้นั่นผมคงไม่ต้องบอก?
เพราะคุณหมอก็น่าจะรู้ด้วยตัวเองแล้ว?”
“อึ้ก!
หมอก็ไม่ได้อยากจะรู้โว้ย~” ถึงจะรู้ไปแล้วก็เถอะ! 56ได้!..... อ๊ากกกกกก!
“แล้วคุณหมอละครับ?”
“เอ๋?” อยากรู้ขนาดของฉันด้วยเหรอ? ก็เห็นไปหมดแล้วนี่
“แนะนำตัวสิครับ” อึก...ไม่ใช่สินะ...
“เอ่อ...นายแพทย์กังหัน
ชญวนิช กุมารแพทย์แผนกโรคหัวใจ โรงพยาบาลศิริราช...?” ใบหน้าหล่อเหลาพยักรับและรอฟังต่อ
“เอ่อ...สูง
178
น้ำหนัก 62...เดี๋ยวสิ
ทำไมเราต้องมาแนะนำตัวกันแบบนี้ด้วย?”
เขาชักจะตามน้ำต่อไปไม่ไหวจึงถามออกไปจนได้
“ถ้าอยากจะทำความรู้จักกัน
ก็ต้องเริ่มจากการแนะนำตัวนี่ครับ”
แต่เด็กหนุ่มกลับทำหน้าราวกับจะบอกว่าแปลกตรงไหน?
“เราอยากรู้จักกันเหรอ?”
“ผมอยากรู้จักคุณหมอครับ”
“......” เจ้าเด็กนี่...รุกแรงเป็นบ้า
เป็นเหมือนภัยพิบัติที่คืบคลานเข้าหาเขาอย่างหนักหน่วงและพร้อมจะบดขยี้จนหนีไปไหนไม่ได้
เป็นเหมือนสึนามิ เป็นเหมือนทอร์นาโด เป็นเหมือนไฟป่า เป็นเหมือนอุกาบาต!
แต่เขาจะปล่อยมันเลยตามเลยไม่ได้ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สานต่อ!
“ทำไม?
เกิดติดใจขึ้นมาหรือไง? นี่ จะบอกให้นะว่าเราตกลงกันแล้วว่ามันจะเป็นแค่ One night stand เพราะงั้นเธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกรับผิดชอบอะไรหรอกนะ” เขาสะบัดหน้าตอบเสียงแข็ง
...ใจ...ก็ต้องแข็งไว้นะกังหันเอ้ย~
“เพราะงั้นผมถึงได้ขอเริ่มต้นกันใหม่ไงครับ
ด้วยวิธีที่ถูกต้องน่ะ” ใบหน้าหล่อเหลามองมาที่เขาราวกับคนกำลังขอความรัก
“.........” เขาจ้องตอบกลับไป...นี่ถ้ามาพูดแบบนี้กับเขาเมื่อวานก็คงจะตอบตกลงไปทันทีแน่
“นี่เธอ...จะจีบหมอเหรอ?”
“ครับ” อย่ายอมรับหน้าตาเฉยแบบนั้นเซ่~!!
เขาต้องรีบสะบัดหน้าหนีเพื่อเก็บอาการและซ่อนรอยแดงบนสองแก้มเอาไว้
“ปีนี้หมออายุจะ
30 แล้วนะ?” เขาเริ่มต้นด้วยเรื่องความต่างของอายุ
“แล้วยังไงครับ?” แต่เจ้าเด็กนี่ก็ไม่ได้สนใจใยดีเอาซะเลย
“เราอายุต่างกันตั้ง
9 ปีไง”
“ก็แล้วยังไงล่ะครับ?
ผมดูแลหมอได้ก็แล้วกัน” เจ้าเด็กนี่....
“ยังทะเลาะกับพ่อจนมาลงที่หมออยู่เลย
แล้วบอกว่าจะดูแลกันได้เนี่ยนะ? ใครจะไปเชื่อ”
ใบหน้ามนบ่นพลางเหล่ตามอง
แต่ภาคกลับยิ้มมุมปาก อ้า~ ให้ตายเถอะ
เพราะว่าหล่อแบบนี้ไงปากมันเลยไม่ยอมปฏิเสธ! แถมเรื่องบนเตียงก็ยังเข้ากันได้ดีมากอีกต่างหาก...เข้ากันได้ดีจนเขาไม่คิดว่าชาตินี้จะหาใครทำถึงเท่าเจ้าเด็กนี่ได้แล้วอ่ะ
ขนาดนั้นเลย
แต่ถึงแบบนั้นก็ต้องตั้งมั่นในปณิธานสิ! อย่างน้อยก็ต้องเล่นตัวก่อน~
“หมอยุ่งมาก
คงไม่มีเวลาดูแลเด็กอย่างเธอหรอก ไปหาคนอื่นเถอะ” เขากอดอกก่อนจะหันหน้าหนี
“ผมเองก็ยุ่งมากเหมือนกันครับ
เพราะงั้นผมไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่อาจจะไม่ค่อยได้เจอกันหรอก
คุณหมอก็น่าจะพอรู้ว่าพวกเด็กถาปัดแม้แต่เวลานอนยังไม่ค่อยจะมี”
....แล้วมันดีรึไงเนี่ยถ้าคบกันแล้วจะไม่ได้เจอกันบ่อยๆน่ะ? งงแล้วนะ??
“....ยังไงก็ไม่ได้หรอก
เรายังไม่รู้จักกันเลย”
“ถ้างั้นก็ทำความรู้จักกันเสียสิครับ
ถ้าคุณหมอโอเคเมื่อไหร่ ค่อยตกลงคบกับผมก็ได้”
“....นี่ไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธเลยสินะ?
ทำไมถึงมั่นใจขนาดนี้เนี่ย?”
“นั่นสิครับ
ผมคงมองเห็นอนาคตได้ละมั้งครับ”
ยิ้ม...ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว ให้ตายเถอะ! บางที...เจ้าเด็กนี่อาจจะมีเซ้นส์แล้วก็พอจะรู้อยู่แล้วก็ได้...ว่าเขาเองก็มีใจเอนเอียงเข้าหาอยู่บ้างเหมือนกัน
“เฮ้อ...เอาเถอะ...อยากจีบก็จีบไปแล้วกัน
แต่ตอนนี้หมอยังไม่คิดจะมีแฟนหรอกนะครับ ถ้าเธอเบื่อเมื่อไหร่ก็จากไปได้เลย” เขาจะแข็งใจต่อภัยพิบัติลูกนี้ไหวไหมนะ?
คนเรามันไม่ควรจะหล่อขนาดนี้สิ!
“ขอบคุณที่ยอมรับฟังนะครับ
ผมจะทำให้คุณหมอคิดอยากจะมีแฟนเองครับ”
โอ๊ยยยย นิสัยอย่างกับสึนามินี่ก็อีก!
เขาจะทนไหวไหมถ้าถูกถาโถมเข้ามาจังๆแบบนี้อยู่ทุกวันเนี่ย!
“คืนนี้...ผมนอนที่นี่ได้ไหมครับ?” แล้วจู่ๆเด็กหนุ่มก็เอนหลังไปพิงโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน
เหมือนกับพอทำภาระกิจเสร็จก็ถึงเวลาตายพอดีอะไรงี้
“เอ๊ะ?
อ่อ อื้อ อยากนอนก็นอนไปสิ” เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินเลี่ยงๆออกมาเผื่อว่าเจ้าเด็กนี่มันจะเปลี่ยนใจหันมาจับเขากด
แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าเขาจะเอาของไปเก็บ
เดินไปเช็คจดหมายและพัสดุที่วางอยู่หน้าห้อง
ทำนู่นทำนี่ที่ต้องทำหลังจากกลับมาบ้านจนครบหมด
ภาคก็ไม่มีวี่แววจะลุกตามเขามาเลย...
“.........” ร่างสูงโปร่งกลับมายืนอึ้งอยู่หน้าโซฟา
เจ้าเด็กนั่นมัน
“นอน” จริงๆด้วย!!
ร่างสูงใหญ่นั่งหลับอยู่ท่าเดิมเป๊ะ
หลับนิ่งจนนึกว่ากลายเป็นศพไปแล้ว!
คะ
คงไม่ได้ตายแล้วจริงๆหรอกใช่ไหม?
นายจะมาสารภาพรักกับฉันแล้วตายทันทีแบบนี้ไม่ได้นะ~
นิ้วของคนเป็นหมอแตะลงไปที่ลำคอ...ฮู่ว~
โล่งอกไปที ยังมีชีพจรอยู่!
เขาทำหน้าหงึใส่เจ้าซอมบี้ที่หลับเป็นตาย
ทีตอนอยากให้หลับเจือกไม่หลับ ทีตอนนี้ละมาหลับ!
“นี่!
ลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อน!” มือขาวสะอาดเขย่าแขนที่แน่นิ่งอยู่ข้างลำตัว
เขามองคนที่ไม่กระดุกกระดิกอย่างชั่งใจ ถะ ถ้า...ลองเรียกชื่อดูจะตื่นไหมนะ...
“ภะ
ภาค...” สองแก้มถึงกับร้อนวาบขึ้นมาทันที...ก็เขาอยากจะเรียกชื่อนี้จากปากของตัวเองมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่นา...ถึงมันจะผิดต่อปณิธานก็เถอะ
ฮื้อ~
“ภาค!” เขาเรียกเสียงดังขึ้นพร้อมกับแรงเขย่าที่มากขึ้นด้วย
คนหลับจึงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
“อือ...?
คุณหมอ?” ไม่ได้ปลุกยากเหมือนเด็กชื่อพายนั่นแหะ...ถ้ามีสภาพเดียวกันเขาไม่รู้เลยนะว่าจะทำยังไง
เพราะเขาคงอุ้มเจ้าหมอนี่พาดบ่าไปล้างหน้าในห้องน้ำเหมือนที่เก้าทำไม่ได้แน่ๆ
ฮ่าๆๆ
“ละ
ลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อน...” เสียงใสเอ่ยบอกคนที่ลืมตางัวเงีย
“จะอาบด้วยกันเหรอครับ?”
“ไม่ใช่โว้ย~
เธอก็อาบของเธอไปสิ!” มันง่วงแน่ใช่ไหมเนี่ย?!
สองแขนดึงให้ร่างสูงใหญ่นั่นลุกขึ้นก่อนจะดันแผ่นหลังกว้างนั่นเข้าห้องน้ำไป
เขาเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ ทั้งเสื้อยืดสีขาวตัวที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขามี
ทั้งกางเกงขายาวเอวยางยืดที่เด็กนั่นใส่คงกลายเป็นกางเกงสี่ส่วน...
ภาคใช้เวลาอาบน้ำไม่ได้นานนัก
ร่างสะอาดสะอ้านก็มานอนล้มฟุ้บลงไปบนเตียงเขาไม่ยอมขยับ
เขาทอดสายตามองร่างที่นอนคว่ำอยู่นั่นอย่างเอ็นดู
ตัวโตซะเปล่า เจ้าลูกหมีควายเอ้ย~
“ผมไม่ได้นอนมาสองคืนแล้ว...” ใบหน้าที่ตะแคงข้างมองเขาเอ่ยออกมาเบาๆ
“ไม่ได้ปิดเทอมอยู่หรือไง?”
“ไอ้พวกถาปัดไทยเวรนั่น...มันมายืมบ้านผมตัดโมไม่พอ...เมื่อเช้ามันมีส่งงาน
เมื่อคืนพวกผมก็เลยต้องไปช่วยมัน...”
ใบหน้าหล่อเหลาบ่นทั้งที่ตาหรี่ปรือ
ดีนะที่เขาดูคลิปนั่นมาจึงค่อนข้างจะชินกับคำหยาบของเจ้าเด็กพวกนี้บ้างแล้ว
“อะ
โอ้...งั้นก็นอนซะนะ...” เขาเดินไปตบไหล่หนานั่นปุๆ
“ขอโทษคุณหมอด้วยนะครับที่วันนี้ผมไม่ได้ทำการบ้าน” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาทั้งที่ตาปิดไปแล้ว
ว้อยยย ปากไอ้เด็กนี่นี่นะ! ตระกูลท่านทูตสอนมายังไงเนี่ย!
“เธอไม่ได้มีการบ้านต้องส่งทุกวันหรอกนะ
ไม่ต้องกังวล...นอนซะๆ” มือบางตบปุๆเบาๆทั้งที่ใจจริงอยากเบิร์ดกระโหลกมันไปสักที
“ผม...ชอบคุณหมอ...นะครับ...”
แล้วประโยคสุดท้ายที่เอ่ยลอยๆออกมาอย่างไร้สตินั่นก็ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว...
จริงสิ...ยังไม่ทันได้ถามให้ดีๆเลยว่าชอบเขาหรือยังไงถึงได้อยากจะจีบเขา?
แล้วชอบเขาได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่...
คงไม่ใช่...ตั้งแต่ที่มานั่งมองอยู่ทุกวันนั่นแล้วหรอกใช่ไหม?
ร่างสูงโปร่งล้มตัวลงไปนอนเคียงข้างร่างที่หลับสนิทหลังจากที่อาบน้ำเรียบร้อย
ทุกวันๆก่อนนอนเขามักจะหยิบหนังสือสักเล่มมาอ่าน...
แต่วันนี้...เขามีหนังสือเล่มที่ไม่ว่าอ่านเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อนอนอยู่ข้างๆ...
เขานอนตะแคงทอดสายตามองร่างที่หลับใหล
มองใบหน้าที่ราวกับเทพเจ้าปั้นแต่งมาให้
มองจมูกโด่งเป็นสันที่รับกับริมฝีปากหยักนิดๆ
มองเปลือกตาที่ปิดสนิทและคมกล้าเวลาที่มันเปิดขึ้นมา...
หล่ออ่า~
เขากลิ้งไปมาก่อนจะมาจบอยู่ที่ท่าเดิม
ถึงจะยังมีแต่คำถามและความตั้งใจที่ลุ่มๆดอนๆของเขา
...แต่ตอนนี้ ขอนอนมองใบหน้าที่หลับสนิทนี่เป็นอาหารตาอาหารใจไปก่อนก็แล้วกันนะ
“คุณหมอ” อือ...เหมือนเขาจะได้ยินเสียงเรียกอยู่ไม่ไกล...เสียงของเด็กนั่น...
“คุณหมอครับ...” เขาลืมตาขึ้นมาข้างนึงอย่างที่สติสตังยังไม่เข้าร่างดีนัก
ภาคนั่งอยู่ที่ขอบเตียงเหมือนกับเช้าวันก่อน...อ้อ...
“...จะไปแล้วเหรอ?...” เขาถามออกไปด้วยเสียงงัวเงีย
“เปล่าครับ
ผมแค่จะถามว่าตอนเช้าคุณหมอทานอาหารเช้าไหมครับ?” หื๋อ? อะไรน่ะ?
ด้วยความที่ยังมึนเบลอเขาจึงตอบไปตามสัญชาตญาณ
“กาแฟ...ขนมปังสองแผ่น...กับไข่ดาวใบนึง...” เพราะนั่นคือสิ่งที่เขามักจะกินในทุกๆเช้า
“ครับ
นอนต่อเถอะครับ”
สัมผัสได้ถึงจูบเบาๆที่ขมับ ก่อนที่เขาจะหลับต่อไป
กว่าจะรู้เรื่องรู้ราว
เขาก็ถูกเด็กนั่นพามานั่งหัวยุ่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวไปแล้ว...?
ถ้วยกาแฟหอมกรุ่นนั้นมีไอลอยออกมา
จานที่วางอยู่ตรงหน้าก็มีขนมปังปิ้งสีเหลืองน่าทานสองแผ่น
ไข่ดาวแบบไข่แดงไม่สุกดีและแทบจะไม่มีรอยไหม้หนึ่งฟอง
แถมด้วยไส้กรอกรมควันกับสลัดผักราดน้ำสลัดงา
ถึงจะไม่ใช่อาหารเช้าที่หรูหราอะไรแต่มันก็น่าประทับใจไหมล่ะถ้ามีแฟนหนุ่มหล่อๆตื่นมาทำอะไรแบบนี้ให้
“ทานมื้อเช้าก่อนออกไปทำงานด้วยกันนะครับ” ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองร่างสูงใหญ่ที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม
บรรยากาศราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันนี่มันอะร๊ายยย?!
เราไม่ได้คบกันซักหน่อย
ไม่ได้ค๊บบบ~
“เธอ...ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?” มือบางหยิบส้อมมาจิ้มไส้กรอกก่อนจะกัดเข้าปาก
“ถ้าเป็นอาหารเช้าง่ายๆแบบนี้ก็พอจะทำได้ครับ”
มันก็ไม่ได้ง่ายสำหรับผู้ชายอย่างพวกเราหรอกนะที่จะทอดไข่ดาวไม่ให้ไหม้
ทอดไส้กรอกไม่ให้เกรียมเนี่ย แถมสลัดผักนี่ยังดูน่ากินสุดๆ
เจ้าเด็กนี่แกะแล้วล้างมาอย่างดีเชียว
“ผมทำแซนวิชไว้ให้ด้วยนะครับ
เผื่อตอนกลางวันคุณหมอหิว” นอกจากความหล่อแล้วความใส่ใจนี่แหละที่ถือเป็นเสน่ห์อันร้ายกาจของเจ้าเด็กนี่
“อะ
อื้อ...ขอบใจนะ...”
“ทานแล้วก็นึกถึงผมด้วยนะครับ” เขาเบะปากใส่แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างอารมณ์ดี
ก็ถือเป็นมื้อเช้าที่เรียบง่ายแต่อุดมไปด้วยความรู้สึกจั๊กจี้ชวนขวยเขินยังไงชอบกล
เขาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมพร้อมจะออกไปเผชิญกับงานอันแสนหนักหน่วง
แต่วันนี้...ก็เหมือนจะมีกำลังใจดีๆ...ดวงตาภายใต้กรอบแว่นทอดมองกล่องแซนวิชที่วางอยู่ไม่ไกล
“เอากุญแจรถมาสิครับ
เดี๋ยวผมขับให้ ผมจะติดรถไปโรงพยาบาลด้วยครับ”
เขามองร่างสูงใหญ่ก่อนจะส่งกุญแจรถให้ ทำไมถึงเป็นผู้ชายที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจเวลาอยู่ใกล้ได้ขนาดนี้กันนะ
หนทางหนีรอดของเขาดูเหมือนจะเลือนลางเต็มทีแล้วตอนนี้
ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับพลางมองขวดเก็บความร้อนในมือ...ตั้งแต่ซื้อมาก็เพิ่งเคยได้ใช้เป็นครั้งแรกนี่แหละ...ภาค...ชงกาแฟให้แล้วใส่มันไว้ในนี้...
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเหลือบมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
ขนาดขับรถก็ยังเท่ห์เลยให้ตาย ทำได้ยังไงเนี่ย!
บนถนนจรัญสนิทวงศ์นั้นก็ไม่ได้ต่างจากถนนเส้นอื่นๆของกรุงเทพ
ในยามเช้ารถยังคงติดอย่างสาหัสเหมือนทุกๆวัน
แต่วันนี้ออกจะต่างไปก็ตรงที่เขาได้นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปรบรากับรถกระบะเอย
มอเตอร์ไซค์เอย แล้วภาคก็ดูสุขุม ดูใจเย็นมากเวลาขับรถ
เขายังไม่ได้ยินเสียงสบถออกมาจากริมฝีปากรสบุหรี่นั่นเลย
มีอะไรบางอย่างร้อนวาบๆอยู่ในใจ...นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มีใครทำอะไรต่อมิอะไรให้แบบนี้
กับพวกแฟนเก่า...ก็ไม่เคยมีใครทำเรื่องแบบนี้ให้ อาจจะไปกินข้าวด้วยกันในร้านหรูๆแต่ก็ไม่เคยมีใครตื่นแต่เช้ามาทอดไข่ดาวให้เขา
อาจจะซื้อของแบรนด์เนมแพงๆให้แต่ก็ไม่เคยมีใครทำแซนวิชง่ายๆด้วยความใส่ใจให้เขา อาจจะไปไหนมาไหนด้วยกันแต่ก็ไม่เคยมีใครถ่างตาฝ่ารถติดขับมาส่งเขาถึงที่ทำงาน
ทุกๆอย่างที่เด็กนี่ทำให้...มันชวนตกหลุมรักไปหมดเลยให้ตายเถอะ
“วันนี้...จะทำอะไรต่อเหรอ?...หลังจากส่งหมอที่โรงพยาบาลแล้วน่ะ” เขาชวนคุยเพื่อไม่ให้รถมันเงียบหรอกนะ
ไม่ได้อยากจะรู้อะไรขนาดนั้นหรอกนะ~
“วันนี้คุณย่าออกจากโรงพยาบาลแล้วน่ะครับ
ผมคงต้องไปอยู่กับท่านที่บ้าน คืนนี้ผมคงมาหาคุณหมอไม่ได้ อย่าเศร้าไปเลยนะครับ” ไม่ได้เศร้าโว้ย~ อยากจะตะโกนใส่ใบหน้ามั่นๆนั่นเหลือเกิน~ แต่เขาก็ทำได้เพียงเหล่ตามองอย่างอาดูร...
“ไปอยู่กับคุณย่าเถอะครับ
ไม่ต้องห่วงหมอ...”
“คุณหมอก็ไปพบคุณย่าด้วยกันไหมครับ?”
“ทำไมหมอต้องไปพบท่านด้วย?”
“จะได้แนะนำหลานสะใภ้ให้ท่านรู้จักไงครับ” ใบหน้าหล่อเหลาหันมายกยิ้มหยอกเย้า
มันเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายล้อเล่นกับเขา มันทำเอาทั้งดีใจทั้งเขินอายเลยไอ้บ้าเอ้ย
ฝ่ามือบางจึงฟาดแขนหนาเข้าให้หนึ่งทีแก้เขิน
“คอนโดคุณหมอนี่อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากเลยนะครับ
เราเลยได้อยู่ด้วยกันแค่นิดเดียวเอง”
มือใหญ่หมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลด้วยท่าทางเยือกเย็น
เขาชอบมองใบหน้าด้านข้างของเจ้าเด็กนี่จัง
โดยเฉพาะเวลาที่อีกฝ่ายสนใจอะไรบางอย่างอย่างเช่นการมองไปที่ถนนในเวลานี้
“จากนี้ไป...ก็จะไม่มานั่งที่สนามเด็กเล่นแล้วสิ?...” เขาถามออกไปด้วยเสียงเหงาๆ
ในเมื่อคุณย่าของภาคออกจากโรงพยาบาลแล้ว
เด็กนี่ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องมานั่งเล่นที่โรงพยาบาลอีก...
“ครับ
เพราะถ้าผมอยากมองคุณหมอ ผมก็จะไปหาที่คอนโดครับ” ว้อยยยย คนอุตส่าห์กำลังจะทำซึ้ง
แต่เจ้าคนขี้แกล้งที่พูดจาไม่สนฟ้าสนฝนนี่ก็ทำให้ความซาบซึ้งหายไปจนหมด!
“หมอสงสัยมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว...เธอชอบหมอเหรอ?...ถึงได้คิดจะจีบกัน...”
เอี๊ยด!!
ภาคเหยียบเบรคจนเขาแทบจะหัวทิ่ม
ตอนนี้รถเลยจอดอยู่บนถนนที่ไม่ค่อยจะมีคนผ่านเพราะเป็นอาคารที่เอาไว้เก็บอาจารย์ใหญ่ก่อนที่จะเอาไปให้นักศึกษาเพทย์เรียน...อื้ม บรรยากาศช่างโรแมนติกสมเป็นซีนสารภาพรักสุดๆ...โรแมนติกจนหมาแทบจะหอนกันระงมแล้วเนี่ย
อย่ามาจอดตรงนี้สิ!
ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองเขาอย่างตื่นตะลึง?
ห๊ะ? ตกใจกับคำพูดของเขาขนาดนั้นเลย?
“ผมไม่จีบคนที่ไม่ได้ชอบหรอกนะครับ?” เด็กหนุ่มหันมามองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เฮ้อ....เพราะแบบนี้ไง...ผมถึงได้บอกว่าผมทำผิดพลาดไปแล้ว...ที่ไปเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคุณหมอด้วย
One
Night Stand แบบนั้น ผมขอโทษจริงๆครับ” ภาคถอนหายใจ
“อะ
อื้อ...” เขาลอบมองอีกฝ่ายอย่างงงๆ
“ผมจะบอกคุณหมอเอาไว้นะครับ...ว่าที่ผมคิดจะประชดพ่อด้วยการนอนกับผู้ชายสักคนน่ะ...ที่ผมคิดเรื่อง
One
Night Stand...นั่นก็เพราะว่าคนที่ยืนอยู่กับผมในตอนนั้น...คือคุณหมอครับ”
ภาคสารภาพออกมาหมดเปลือกและมันก็ทำให้เขาตกใจมาก
“เอ๊ะ?” หมายความว่าไง? หมายความว่าที่เลือกจะทำเรื่องแบบนั้นเพราะเป็นเขางั้นเหรอ?
“ถ้าไม่ใช่คุณหมอ
ผมก็ไม่คิดจะทำเรื่องแบบนั้นหรอกนะครับ ผมไม่ใช่คนที่จะนอนกับใครไปทั่ว
ถ้าไม่ใช่คนที่ผมชอบ ผมจะไม่เข้าใกล้เด็ดขาด ผมขยะแขยงครับ” ภาคหันมาพูดด้วยสีหน้าหนักแน่น
น่าแปลกที่คำพูดเด็ดขาดเอาแต่ใจคล้ายคำด่าพวกนั้นกลับทำให้เขาหน้าแดงแปร๊ดและใจเต้นแรงสุดๆไปเลย
“เธอ...เป็นพวกรักความสะอาดงั้นเหรอ?”
เพราะพูดอะไรไม่ถูกแล้วก็เลยเฉไฉไปเรื่องนั้น...เขาเขินจนหูเหอแดงไปหมดแล้วเนี่ย
“ครับ
ผมถึงได้เลือกคนที่สะอาดๆและไว้ตัวอย่างคุณหมอไง
ผมรังเกียจคนที่พยายามจะเข้าหาผมทั้งๆที่ผมไม่ต้องการ ผมขยะแขยงคนที่อยากจะนอนกับผมทั้งๆที่ผมไม่เอา
ผมเชื่อว่าคนเราจะมีจังหวะที่ใช่และไม่ใช่...ซึ่งคุณหมอคือคนที่ใช่สำหรับผมครับ” ....โอ๊ยยยย เจ้าเด็กนี่มันภัยพิบัติจริงๆ!
ถาโถมเข้ามาแบบนี้แล้วเขาจะหนีทันได้ไง! พอได้รับรู้ความในใจของอีกฝ่าย
เขาก็ยิ่งถอนตัวไม่ขึ้นไปใหญ่!
นี่ถ้าเขาก้าวผิดจังหวะไปนิดก็คงจะพลาดกับเด็กนี่ไปแล้วสินะ?
ถ้าเขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าหา
ถ้าเขาไม่ใช่เขาคนที่ไม่คิดจะก้าวเข้าไปในโลกของอีกฝ่ายก่อน เด็กนี่ก็คงจะถอยห่างออกไปแล้วก็ได้
มันช่าง...เป็นจังหวะชีวิตที่พอเหมาะพอดีกันเสียจริงๆ
“เธอนี่...สมกับเป็นคุณชายเลยนะ
เอาแต่ใจเก่งเหมือนกันนี่”
เขาทำหน้าหงึแซวทั้งๆที่หูแดงไปหมดแล้ว
“ผมก็คุณชายจริงๆนั่นแหละครับ
ผมไม่เถียงหรอก แต่เพราะแบบนั้นผมถึงได้มีสิทธิ์เลือกคนดีๆ
คนที่เหมาะสมกับผม”
ใบหน้าหล่อเหลาหันมายกยิ้มให้อย่างไม่สะทกสะท้าน เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนที่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้นี่แหละ...
แต่ก็เพราะอีกฝ่ายมั่นใจในตัวเอง
มั่นใจในสิ่งที่เลือก...มันเลย...ทำให้เขาพลอยมั่นใจในตัวเองไปด้วย...
เพราะเขา...คือคนที่ผู้ชายที่เพอร์เฟ็คแบบนั้นเลือกมาเลยนี่นา...
“ชอบหมอ...ได้ยังไงกัน?
เราไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ อีกอย่าง...เธอเองก็น่าจะมีคนมาให้เลือกเยอะแยะเลยนี่
ทำไมถึงเป็นหมอล่ะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ
แต่คุณหมอไม่เคยรู้สึกแบบนี้เหรอครับ...ตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งที่คนอื่นๆบอกว่ามันน่ารักแทบตาย
แต่ในสายตาเรากลับมองว่ามันเฉยๆไม่เห็นจะน่ารักเลย...แต่กับตุ๊กตาหมีอีกตัวที่คนอื่นมองข้าม
มันอาจจะน่ารักมากในสายตาเราก็ได้”
“ผม...ไม่ได้เลือกคนที่ผมจะรักจากปากและสายตาของชาวบ้านหรอกนะครับ”
“แต่ผมเลือกเขาคนนั้น...โดยฟังจากเสียงหัวใจของผมเอง”
เขาได้แต่จ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั่นด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง
“ตั้งแต่...เมื่อไหร่?...” เขาพูดออกไปด้วยเสียงที่ล่องลอยราวกับอยู่ในความฝัน
“น่าจะนานแล้วละครับ
แต่ผมก็เพิ่งยอมรับมันเหมือนกัน”
ภาคพูดในขณะที่หันไปเข้าเกียร์แล้วขับรถต่อ
“งะ
งั้นเหรอ...”
“คุณหมอเอง...ก็ลองฟังเสียงหัวใจของตัวเองดูสิครับ” ใบหน้าที่มองถนนอยู่เอียงคอมามองเขา
ก่อนจะเอ่ยหยอกเย้า
“มันน่าจะกำลังบอกว่ารักผมอยู่ไม่ใช่เหรอครับ?”
แง้~ เขาได้แต่หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย
อายุปูนนี้แล้วยังใจเต้นเป็นเด็กๆอีก~
เด็กหนุ่มถอยรถเข้าซองจอดให้อย่างเรียบร้อย...ได้เวลาต้องไปแล้วสินะ...
ในขณะที่เขายังละล้าละลัง
คนที่นั่งอยู่ข้างๆกลับเอี้ยวตัวมา...ก่อนจะจูบที่ริมฝีปากเบาๆ
“แล้วเจอกันนะครับ” เสียงทุ้มพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะออกจากรถไป
ทิ้งให้เขานั่งหน้าแดงอยู่ตามลำพัง
ถ้าจะให้ฟังเสียงของหัวใจเขาตอนนี้ละก็...มันก็คงบอกให้ตอบตกลงจริงๆนั่นแหละ...
รถบิ๊กไบต์ขับเข้ามาในบ้านพร้อมด้วยฝนที่ตกไล่หลังมา
ร่างสูงใหญ่ที่ก้าวขาลงมาจากมอเตอร์ไซต์คันใหญ่เปียกมะล่อกมะแล่ก
หมวกกันน็อคถูกถอดออกมือใหญ่จึงยกขึ้นลูบผมสกินเฮดของตัวเองไปมา
เสื้อผ้าเปียกหมดเลยแหะ...
ขายาวเดินขึ้นบันไดไปก็ถอดเสื้อคลุมไป
ยังดีที่ไม่เปียกมาถึงเสื้อยืดด้านใน จู่ๆก็ตกลงมาเฉยเลยนะไอ้ฝนพวกนี้
ดวงตาเรียวเหลือบมองไปนอกหน้าต่างที่ฝนเริ่มตกหนัก
“ไอ้พาย
มึงปิดหน้าต่างห้องมึงยังเนี่ย? ฝนสาดนะโว้ย”
เขาโผล่หน้าเข้าไปในห้องของเพื่อนตัวดีก่อนจะเข้าห้องตัวเองเสียอีก
แล้วก็เป็นอย่างที่ห่วงนั่นแหละ ไอ้ห่านั่นมันยังนั่งปั้นหัวตุ๊กตาไม่สนเลยว่าลมจะหอบลูกมันปลิวไปแล้ว
“ห๊ะ?
ฝนไร?” ใบหน้าสวยหันมาตามเสียงเรียกอย่างแปลกใจ
ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าต่าง
“เฮ้ย!
ไอ้เชี่ยฝน! มึงตกตั้งแต่เมื่อไหร่ฟ๊ะ?!”
ร่างโปร่งบางเด้งจากเก้าอี้และโต๊ะที่เปิดไฟสว่างจ้าไปยังหน้าต่างที่ฝนกำลังสาดเข้ามาอย่างกับพายุพลางด่าไปด้วย...ปากมึงนี่ไม่สมกับที่เป็นคุณหนูเลยนะ...เขาเดินเข้าไปช่วยมันอย่างปลงๆ
“ฮู่ว...ดีที่ไม่โดนอะไรมาก”
มือบางลูบหัวลูกมันอย่างปลอบโยน...ดูกี่ทีก็น่าหมั่นไส้นะไอ้ตุ๊กตาพวกนี้ ดูแลดียิ่งกว่าเพื่อนอย่างกูอี๊กกก
“มึงปั้นอะไรอยู่วะ...อืม...ทำไมกูรู้สึกว่าหน้ามันคุ้นๆ?”
เขาแวะไปดูโต๊ะทำงานของไอ้พายที่มีเครื่องมือปั้นวางอยู่เต็มไปหมด
หัวตุ๊กตาที่มันปั้นคาอยู่นั้นให้ความรู้สึกที่คุ้นชินยังไงชอบกล? เหมือนมันมีต้นแบบมาจากคนแถวๆนี้เลยแหะ?
“ช่างกูเหอะน่า
เอาไว้เสร็จแล้วมึงก็จะรู้เองนั่นแหละ”
ไอ้พายบ่ายเบี่ยง แต่ก็น่าแปลกจริงๆนั่นแหละ
ปกติมันไม่ปั้นตุ๊กตาที่มีต้นแบบมาจากคนจริงๆนะ มันบอกไม่หล่อพอ...อื้ม
“นี่มึงเพิ่งกลับมาเหรอ?
ปิดเทอมแบบนี้ก็ยังอุตส่าห์หางานมาทำให้ปวดหัวอีกเนอะ” ร่างที่อยู่ในเสื้อคอกว้างสีดำหันมาถาม ตลอดปิดเทอมที่ผ่านมานี้เขาต้องเข้าไปฝึกงานที่ออฟฟิศของพ่อ
มันก็ไม่ได้แย่จนต้องฝืนใจทำนักหรอกเพราะยังไงสักวันมันก็ต้องเป็นของเขากับพี่ชายอยู่แล้ว
รู้เอาไว้ก็ดี
อีกอย่างไอ้พี่เฮงซวยพวกนั้นมันก็ไม่ปล่อยให้เขาได้อู้อยู่คนเดียวในขณะที่พวกมันต้องทำงานเสียด้วย
“กูไม่เหมือนมึงนี่ไอ้ลูกเทวดา~ ถ้ากูไม่ไปช่วยพ่อกูทำงาน
กูคงไม่มีเงินซื้อขนมปังมาให้มึงขโมยแน่~” เขาขยี้หัวที่มัดรวบไว้ลวกๆของมันอย่างหมั่นไส้
“ถ้างั้นก็ตั้งใจทำงานไปนะคร้าบพี่เก้าคร้าบบบ~” แล้วดูมันตอบกลับ...น่าบี้ไหมล่ะ
“ว่าแต่มึงทำอยู่ที่ไหน
ในออฟฟิศเหรอ?” ไอ้พายถามในขณะที่เขายืนดูมันปั้นอะไรไปเรื่อย
“พ่อกูส่งไปอยู่ไซต์ที่
Z.House
สาทร” รณฤทธิ์มีงานก่อสร้างตั้งแต่ตัดถนน ทำรถไฟฟ้า ทำสะพาน ทำอาคารนู่นนี่นั่นยันตึกสูง
งานที่พอจะให้นักศึกษาสถาปัตย์ปีสามอย่างเขาเข้าไปเรียนรู้ได้ก็คือการออกไปอยู่ตามไซต์งานอาคารต่างๆนั่นแหละเพราะออฟฟิศพ่อเขาไม่ใช่ออฟฟิศออกแบบ
แต่เป็นออฟฟิศก่อสร้างที่รวมตัวของบรรดาวิศวกรโยธาเสียมากกว่า
ไอ้พี่เฮงซวยของเขาก็เป็นวิศวกรโยธาคนนึง เครื่องกลอีกคนนึง
“ไซต์ไรวะ?” ไอ้พายถาม
“คอนโด
20 ชั้นที่ออฟฟิศพ่อมึงออกแบบไง”
“กูไม่รู้ด้วยหรอก
กูมีหน้าที่ใช้เงินอย่างเดียว พ่อกูทำไรกูไม่สนหรอก ฮ่าๆๆ”
“ไอ้ลูกเนรคุณ”
เขาขยี้หัวมันด้วยความหมั่นเขี้ยวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกมา
จะว่าไปก็ไม่ได้ไปหาเจ้าจอมมาหลายวันแล้วน้า
แอบคิดถึงเหมือนกันแหะ มือใหญ่จึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดวีดีโอคอลในขณะที่กำลังเดินเข้าห้อง
“มึงทำไรอยู่วะเนี่ย?” เขาถามทันทีที่อีกฝ่ายกดรับ
แต่ที่หน้าจอโทรศัพท์กลับดูมืดแปลกๆ มีเสียงซ่าๆนึกว่าอยู่ในหนังผีดังแทรกเข้ามา
ไม่ได้อยู่ที่ห้องหรอกเหรอเจ้าเด็กนั่น?
“พี่เก้า?
หวัดดีครับ ผม ผม”
ภาพในหน้าจอส่ายไปมาเหมือนเจ้าจอมถือโทรศัพท์ไม่ค่อยมั่นคงนัก เสียงครื้นๆซ่าๆยังดังแทรกมาไม่หยุด
“เกิดอะไรขึ้นวะเฮ้ย?
ทำไมสภาพเป็นงั้น?”
เขาพยายามเพ่งมองอย่างตกอกตกใจ เจ้าจอมเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้าได้
“ประตู!
มันหลุดครับ! ฝนเลยสาดเข้ามา!” เจ้าจอมตะโกนแข่งกับเสียงข้างนอก
แล้วไปทำอิท่าไหนให้ประตูมันหลุดได้เนี่ย? ดูเหมือนเด็กนั่นกำลังดันประตูอยู่เลย?
เดี๋ยวก็ล้มทับเอาหรอกกก!
“เหวอ?!!” แล้วภาพปลายสายก็วูบไหวหายไป
แต่เสียงซ่าๆยังดังอยู่ หรือว่าจะทำโทรศัพท์หลุดจากมือ? ปัดโธ่โว้ย
คลาดสายตาไม่ได้เลยจริงๆนะเจ้าเด็กนี่!
“มึงรอก่อน!
เดี๋ยวกูไปช่วย! มึงระวังประตูล้มทับด้วยนะ เจ้าจอม!” เขาเลยพลอยตะโกนใส่โทรศัพท์ไปด้วยเลย
ร่างสูงใหญ่หันไปหยิบกล่องเครื่องมือช่างติดตัวก่อนจะวิ่งไปห้องข้างๆ
“ไอ้พายมึงไปกับกูหน่อย
แถวนั้นรถมันจอดนานไม่ได้ มึงไปคอยขับวนให้กูที” ใบหน้าแบดบอยตะโกนบอกเพื่อนด้วยอาการร้อนลนจนคนที่เพิ่งคุยเล่นกันอยู่เมื่อกี้ทำหน้างง
“ไปไหนวะ?”
“ห้องเจ้าจอม
มันโดนมรสุมเข้าอยู่เนี่ย ไปเร็ว!”
“ห๊ะ?
เออๆ” เขากับไอ้พายแทบจะโดดลงบันได
มือบางโยนกุญแจรถให้เขาขับ มินิคูเปอร์สีเทาคาดดำจึงมาถึงย่านวังหลังในอีกไม่นาน
ร่างสูงยาววิ่งฝ่าสายฝนไปตามร่มเงาผืนผ้าใบของร้านค้าในตลาดวังหลัง
ฝนที่ตกอย่างหนักทำให้ผู้คนต่างยืนหลบอยู่ในที่ร่มไม่มีใครออกมาวิ่งอย่างเขาสักคน
บนพื้นตรอกซอกซอยแคบๆก็มีน้ำท่วมไหลบ่าสูงน่าจะเป็นสิบเซ็น
แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลามารอให้ฝนซาแล้ว ในใจนึกห่วงเจ้าจอมที่ดูท่าจะไม่ดีเลย
เขาวิ่งขึ้นบันไดข้างตึกสวนกับน้ำที่ไหลซะลงมา
มือใหญ่เปิดประตูรั้วเหล็กเข้าไปด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ
ประตูหน้าบานที่ควรจะปิดสนิทกลับเปิดอ้าซ่า
สายลมรุนแรงพัดซู่ออกมาอย่างต่อเนื่องจนเขาต้องยกแขนขึ้นมาป้องหน้า
นี่มัน...อะไรกันวะ?
ร่างสูงใหญ่ยืนอึ้งกับสภาพห้องที่เห็น
นี่มันเละเทะยิ่งกว่ามรสุมเข้าไปแล้วนะ!
“พี่เก้า?!”
เสียงของเจ้าจอมที่ดังมาจากข้างในทำให้สติเขากลับคืนมา
สองขารีบวิ่งพรวดไปยังห้องทำงานซึ่งอยู่ด้านในสุด
ประตูกระจกบานนี้นี่เอง...สาเหตุของทุกสิ่งทุกอย่าง!
“พี่เก้า!
ประตูมันเลื่อนแล้วหลุดออกมา!” เจ้าจอมตะโกนแข่งกับเสียงฝนที่ดังสนั่น
ร่างบางๆนั่นยังยืนเอามือยันประตูไว้สุดแรง
แต่ทั้งลมทั้งฝนก็ทำให้มันแทบจะกันอะไรไม่ได้
เขารีบมองดูประตูเลื่อนกระจกบานนั้นคร่าวๆ
ดูเหมือนล้อมันจะเก่ามากจนมันหักออกมา ประตูทั้งบานจึงหลุดออกจากรางเลื่อน และตอนนี้ก็เหลือล้อที่ยังใช้ได้อยู่แค่อันเดียว
ต่อให้ขยับใส่บานประตูเข้าไปเดี๋ยวมันก็จะหลุดออกมาอีก ทางเดียวคือต้องเปลี่ยนล้อ
แต่เขาไม่มีทั้งอะไหล่ทั้งเวลา ตอนนี้คงต้องซ่อมแบบฉุกเฉินไปก่อน
“ล้อมันหลุดจากรางนี่หว่า!
มันน่าจะหักแล้ว! มึงมีผ้าใบหรืออะไรที่น่าจะพอกันฝนได้บ้างไหม?! เดี๋ยวกูจะเอาประตูออกมา! มึงก็ขึงผ้าใบกันฝนไปก่อน!”
เขาตะโกนฝ่าสายฝนพื่อบอกเจ้าจอม
“ครับ!
มีครับ!” ใบหน้าที่เปียกลู่ตะโกนตอบกลับมา
“เดี๋ยวกูดันไว้เอง
มึงไปเอาผ้าใบมา!”
“ครับ!”
เขาใช้ไหล่รับน้ำหนักของประตูแทนเจ้าจอมที่รีบวิ่งไปหยิบผ้าใบซึ่งน่าจะเอาไว้ใช้รองตอนวาดรูปออกมาจากใต้ซิงค์ล้างจาน
ประตูนี่หนักไม่ใช่เล่นๆเลยนะ ไหนจะโดนแรงลมแรงฝนสาดอีก ตัวบางๆแค่นั้นทนได้ยังไงกันเนี่ย
“ผูกมุมทั้งสองด้านด้วยเชือก!
แล้วมัดกับราวม่านไว้!”
เขาตะโกนบอกคนที่ระล่ำระลักทำอะไรไม่ถูก
“ครับ!” เจ้าจอมทำตามที่เขาบอกก่อนจะพยายามแขวนผ้าใบไว้กับราวม่าน
แต่ด้วยความที่ตัวเตี้ยจึงเขย่งขาไม่ถึงสักที
“มึงมาดันประตูนี่แทนกู!”
เขาเปลี่ยนตัวกับเจ้าจอมก่อนจะเอื้อมไปมัดผ้าใบกับราวม่านได้อย่างง่ายดาย
เขาขึงจนแน่ใจว่ามันจะกันฝนได้ชั่วคราวจากนั้นจึงหันไปรับบานประตูแทนร่างบาง
ฮู่ว...ก็ถือว่าพ้นวิกฤตไปได้หนึ่งอย่าง
เพราะตอนนี้ฝนไม่สาดเข้ามาแล้ว
ลมก็ถูกผ้าใบกันไว้ทำให้เสียงที่เคยดังลั่นกลับเงียบลงจนพอจะคุยกันแบบปกติรู้เรื่อง
เขาค่อยๆถอดบานประตูออก
ยังดีที่มันไม่ใช่กระจกบานใหญ่ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็หนักพอดู น่าจะเอาไอ้ภาคมาด้วย
โธ่เว้ย
มือใหญ่พิงประตูนั่นไว้กับผนังอย่างทุลักทุเล
ร่างสูงต้องปีนเก้าอี้ขึ้นไปเพื่อซ่อมล้อของบานเลื่อนให้พอจะยึดรางได้ชั่วคราวไปก่อน
“มันเก่าจนน็อตสนิมขึ้นหมดแล้วเนี่ย
มันเลยหัก ต้องเปลี่ยนล้อทั้งชุดนี่แหละ”
เขาตะโกนบอกเจ้าจอมที่หันไปยืนจับชายผ้าใบไม่ให้พัดปลิวไปตามแรงลมที่โหมกระหน่ำอยู่ด้านนอก
“เอาไว้พรุ่งนี้กูค่อยมาเปลี่ยนให้แล้วกัน
วันนี้กูเอากาวอัดให้มันพออยู่ได้ไปก่อน!”
เขาซ่อมแบบเร่งด่วนให้ก่อนจะจับบานประตูยัดเข้าใส่ราง
เสียงเลยยิ่งเงียบลงหลังจากที่บานประตูกลับไปทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง
เจ้าจอมถึงกับถอนหายใจ ส่วนเขาก็ปาดหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ทั่วใบหน้า เฮ้อ...
“มึงอย่าเพิ่งเลื่อนประตูล่ะ
ให้มันอยู่นิ่งๆแบบนี้ไปก่อน”
เขายกขาเพื่อลุยน้ำที่สูงเป็นเซ็นต์เลยนะในห้อง...
“มึงไม่เป็นไรใช่ไหม?
หน้าซีดมากเลยนะเนี่ย บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? หนาวไหม?
อยู่แบบนั้นมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย? ทำไมไม่โทรหากูล่ะ?”
เขารัวคำถามออกไปเป็นชุดในขณะที่จับร่างบางหมุนดู
สองมือจับแก้มที่เย็นเฉียบพลางสบถอยู่ในใจว่าทำไมเขาไม่โทรมาให้มันเร็วกว่านี้
ปวดบวมไปจะทำยังไงเนี่ย
“พี่เก้า
พี่เก้า! ผมไม่เป็นไรครับ!” มือบางรีบวางทาบลงมาบนมือของเขาพร้อมกับเรียกสติให้เขาใจเย็นลง
“ผมก็เพิ่งกลับมาเหมือนกัน
อยู่แบบนี้ไม่ได้นานเท่าไหร่หรอกนะครับ ไม่เป็นไรเลยจริงๆ” ใบหน้ามนยิ้มให้ เขาจึงถอนหายใจออกไป
“กูจะเป็นบ้าตายเพราะกูเป็นห่วงมึงนี่แหละ” สองมือที่อบอุ่นบี้แก้มใสไปมา
อุณหภูมิของเขาทำให้แก้มที่เคยซีดเซียวค่อยๆเริ่มกลับมามีสีเลือดอีกครั้ง
“คิก~
ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่มาด้วยนะครับ...”
เจ้าจอมยิ้มให้และมันก็เป็นรอยยิ้มที่น่ารักมาก
ชายเถื่อนอย่างเขาได้แต่มองรอยยิ้มนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน
มองด้วยความรู้สึกที่แผ่ซ่านอยู่เต็มหัวใจ...เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าผู้ชายควรมีภรรยาน่ารักๆรออยู่ที่บ้าน
เพราะหลังจากทำงานหนักมาทั้งวันมันช่วยเยียวยาจิตใจได้จริงๆนะรอยยิ้มพวกนี้
“แล้วนี่...จะนอนยังไง?” หลังจากที่หายตกใจกับบานประตู
เขาก็ต้องมาตกใจกับห้องที่เปียกเละต่อ ฟูกนั้นถูกน้ำซึมจนไม่น่าจะนอนได้
เศษกระดาษก็ลอยเกลื่อนไปหมด
เขากับเจ้าจอมต้องช่วยกันวิดน้ำออกไปก่อน
หลังจากเช็ดจนพอแห้งแล้วแต่มันก็ยังดูเละมากอยู่ดี...
“คืนนี้มึงไปนอนบ้านกูก่อนเถอะ
ที่นี่ไม่น่าจะนอนได้แหะ” เขาเสนอออกไป
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวผม...ไปนอนห้องเขตต์ก็ได้ครับ” เจ้าจอมตอบเขาอย่างเกรงใจ
“อือ
เอางั้นก็ได้ แต่มึงมีกุญแจห้องพี่ชายอยู่ใช่ไหม?” เขาถามอย่างไม่คิดอะไรมากเพราะยังไงน้องชายก็น่าจะต้องมีกุญแจห้องพี่ชายฝาแฝดอยู่แล้ว?
“...?...ไม่มีครับ
แต่เขตต์น่าจะอยู่ห้อง...” แต่เจ้าจอมกลับตอบเขาด้วยสีหน้างงๆ
ห๊ะ? ไม่มีกุญแจแถมยังไม่รู้อีกว่าพี่ชายไปไหน?
“อยู่ที่ไหนล่ะ!
เด็คปีหนึ่งเค้าไปเชียงใหม่กันไม่รู้เร๊อะ?!
ไอ้สองมันลงรูปในไอจีโครมๆจนกูอยากจะกดรีพอร์ตให้รู้แล้วรู้รอดอยู่ทุกวันเนี่ย” เขามองใบหน้ามนอึ้งๆ
“...........เหรอครับ...” แต่เจ้าจอมกลับดูอึ้งกว่า...
ไม่รู้จริงดิ? พี่ชายทั้งคนนะ ไปไหนไม่บอกกันเลยรึง๊าย?
“เออดิ
ไม่เชื่อมึงลองคอลหาพี่ชายดู”
“เขตต์
อยู่ไหนน่ะ?” เจ้าจอมวีดีโอคอลหาพี่ชายซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายกัน
เบื้องหลังของเจ้าเด็กนั่นเป็นวัดที่ดูยังไงก็ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพแน่ๆ
“เชียงใหม่ไง?
เคยบอกไว้แล้วนี่? มีอะไรหรือเปล่าขวัญ?”
นั่นไงล่ะ เขาน่ะไม่ได้แปลกใจเลย แต่ดูหน้าเจ้าจอมสิสตั๊นสุดขีดไปแล้ว
ฮ่าๆๆๆๆ
“เอ่อ....” ร่างบางยืนอ้าปากค้างสมองแบล็งก์โหลดไม่ขึ้นไปแล้วตอนนี้
เขาจึงยื่นหน้าเข้าไปในจอโทรศัพท์เพื่อคุยกับพี่ชายของเจ้าจอมแทน
“หวัดดี~”
“อ๊ะ?!
พี่เก้า? ทำไมไปอยู่ในห้องขวัญล่ะ?”
สัญชาตญาณของพี่ชายสินะ?
ที่จะรับรู้ได้ว่าน้องชายหรือน้องสาวกำลังมีอันตราย หึๆๆ
“มึงดูสภาพห้องน้องมึง”
แล้วมือใหญ่ก็จับโทรศัพท์ในมือบางแพลนกล้องไปรอบๆห้อง
แฝดของเจ้าจอมดูจะตกใจกับสภาพที่เห็นมาก
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?
โจรเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก
ประตูมันหลุดน่ะ แล้วฝนตกหนักมาก
น้ำก็เลยสาดเข้ามา...พี่เก้ามาซ่อมประตูให้ชั่วคราวแล้ว...แต่ห้องมัน...ไม่น่าจะนอนได้...” เจ้าจอมเอ่ยเสียงละห้อยเมื่อรู้ว่าที่พึ่งสุดท้ายก็ไม่อยู่เสียแล้ว
“เฮ้อ...นายไม่มีกุญแจห้องฉันด้วยนี่?...ทำไงดี...”
“ไปนอนที่บ้านกูไง
เหอะ มึงดูไว้นะ กูจับน้องมึงเป็นตัวประกันอยู่นะ ถ้ามึงทำอะไรน้องสาวกูละก็ กูจะจับน้องมึงแดกไม่เหลือซากแน่” เขาแสยะยิ้มขู่ซึ่งเขตต์ก็ยิ้มแห้ง
“เอ่อ...ครับ...ฝากขวัญด้วยนะครับ”
“มึงไม่ต้องห่วงหรอก
กูจะดูแล~ให้อย่างดีเลย”
เขาแสยะยิ้มข่มขู่อีกรอบ
“ครับ...” แฝดของเจ้าจอมวางสายไป
เขาจึงหันไปบอกคนที่ยังยืนเหม่อ
“เก็บแต่ของที่จำเป็นต้องใช้ไปก่อนแล้วกัน
ส่วนห้องมึงเนี่ย พรุ่งนี้ค่อยมาดูอีกที ดึกแล้ว”
“ครับ
ขอบคุณนะครับ...”
เจ้าจอมหันมาหัวเราะแหะๆ เขาจึงช่วยเก็บบรรดาหนังสือที่มีน้ำไหลโจ่กขึ้นมา
นี่ก็น่าจะต้องเอาไปตากก่อนสินะ ไม่ทำให้ดีมีฟูแน่อ่ะ
“พวกมึงนี่เป็นฝาแฝดกันยังไงวะ
พี่ชายไปไหนก็ไม่รู้” ใบหน้าหล่อร้ายบ่นแบบขำๆ แต่เขาก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกเพราะนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของนิสัยเจ้าจอม
“.......เหมือนเขตต์จะเคยบอก
แต่ผมลืม...” นั่นไง
ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ได้สนใจก็จะไม่ได้สนใจจริงๆ เหมือนอยู่แต่ในโลกของตัวเอง
“ส่วนกุญแจ...เขตต์ก็เคยจะให้ไว้
แต่ผมไม่อยากไปวุ่นวายเลยไม่เอา”
“มึงก็ควรจะมีสำรองไว้หน่อยไม่ใช่หรือไงวะ” เขาหัวเราะเบาๆ
ถ้ามองว่านิสัยมึนๆแบบนี้มันน่ารัก มันก็น่ารักแหละ
“ครับ...คราวหน้าผมจะขอไว้...”
“คิดอีกทีไม่ต้องก็ได้
มีอะไรมึงจะได้ไปนอนที่บ้านกู”
เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์และนั่นก็ทำให้แก้มใสแดงระเรื่อก่อนจะเสสายตาหนีพัลวัน
อ้า~ น่ารักจริงโว้ย~
มือบางล็อคกุญแจบ้านก่อนจะพากันฝ่าฝนที่เริ่มซาออกมา
พี่เก้าพาเขาไปที่รถซึ่งจอดรออยู่ที่ประตูวังหลัง
เขาแปลกใจนิดๆเพราะนึกว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์คันเดิม แต่นี่กลับเป็นรถมินิคูเปอร์แทน...ดวงตากลมใสเหลือบมองป้ายทะเบียน
5ก-999 หรือว่านี่จะเป็นรถตองเก้าที่เป็นชื่อกลุ่มของพี่เก้า?
“มึงเข้าไปก่อน” เพราะมีร่มคันเดียว พี่เก้าจึงยัดเขาเข้าไปที่เบาะหลังก่อนจะเดินไปเปิดท้ายเก็บของให้
เขาจึงเพิ่งเห็นว่ามีคนอีกคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“เอ่อ...หวัดดีครับ..” เสียงนุ่มเอ่ยทักทาย พี่คนนี้...น่าจะชื่อพี่พาย?
“อื้อ”
ใบหน้าที่จะบอกว่าหล่อก็ได้สวยก็ได้หันมาพยักให้ผ่านกระจกมองหลัง
พี่คนนี้มักจะใส่แต่ชุดแนวๆโกธิคสีดำเขาจึงกลัวอยู่นิดหน่อย
อย่าบอกนะว่าตลอดเวลาที่พี่เก้าอยู่กับเขา
พี่พายก็รออยู่ในรถแบบนี้ ไม่รู้ทำไมใต้แผ่นอกซ้ายถึงรู้สึกแปลบๆแปลกๆพอคิดว่าเขาไม่ได้อยู่กับพี่เก้าตามลำพัง
เขาไม่รู้จักเพื่อนพี่เก้าคนอื่นๆ
เขาเลยรู้สึกเกร็งๆเวลาที่ต้องอยู่ใกล้ เพราะเขาไม่ชินกับการที่ต้องอยู่กับคนที่โดดเด่นอย่างพี่ๆพวกนี้
“โดนฝนเล่นซะเละเลย
กูเลยพากลับไปนอนที่บ้าน”
พี่เก้าก้าวขาเข้ามาในรถตรงเบาะข้างคนขับ
“เออ
กูโทรบอกไอ้ภาคแล้ว เดี๋ยวไอ้ห่าพวกนั้นตกใจ”
ชื่อของพี่อีกคนในกลุ่มถูกเอ่ยออกมาทำให้เขามึนงง ไม่ได้จะพาเขาไปส่งที่บ้านพี่เก้าหรอกเหรอ?
“นี่ไอ้พาย...มึง
พอจะรู้จักอยู่ใช่ไหม?”
พี่เก้าหันมาแนะนำให้รู้จักเพื่อนตัวเอง เขาจึงพยักหน้าเบาๆ
“บ้านที่กูอยู่น่ะ
เราอยู่ด้วยกันห้าคน เพราะงั้นมึงไม่ต้องกลัว แล้วก็ไม่ต้องเกร็ง ไอ้พวกนี้มันใจดี
ไม่กัด”
พี่เก้ายิ้มกวนประสาทไปให้คนที่กำลังขับรถ
“กูไม่ใช่หมา” อีกฝ่ายก็สวนมาทันที
เขาเพิ่งรู้เลยว่าพี่ๆทั้งห้าคนนี้นอกจากจะชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน
ยังเช่าบ้านอยู่ด้วยกันอีกด้วย คงจะสนิทกันมาก
ถ้าเทียบกับเขาที่ไม่มีเพื่อนสนิทแบบนี้เลยสักคน...
มันก็อดที่จะอิจฉานิดหน่อยไม่ได้แหะ
“แล้วมึงจะให้น้องเค้านอนที่ไหน?
นอนห้องกูม๊ะ? จะได้ช่วยกูปั้นหัวตุ๊กตา น้องมันเรียนจิตรกรรมนี่
ต้องปั้นเก่งแน่ๆ” พี่พายพูดไปก็ขับรถไปด้วยท่าทางชิวๆคูลๆ
พอได้มามองใกล้ๆแบบนี้ก็เป็นพี่ชายที่เท่ห์มากๆเลยแหะ
ไม่แปลกใจเลยที่มีเพื่อนเขาหลายคนอยากให้พี่พายมาเป็นแบบวาดรูปให้
“มึงอย่ามาหวังผล
แล้วห้องมึงน่ะ หาทางเดินให้ได้ก่อนเถอะ รกอย่างกับป่าดงดิบ” พี่เก้าหันไปหัวเราะหึใส่
“รกเหรอ?”
“เออ!”
“ให้นอนห้องกูนี่แหละ
กูเป็นคนพามานี่” พี่เก้าพูด และมันก็ทำให้เขาชะงักค้าง
แค่ไปนอนบ้านพี่เก้านี่เขาก็เขินจะแย่แล้วนะ นี่ต้องนอนห้องเดียวกันด้วยเหรอ?
ดวงตากลมใสถึงกับกรอกไปมาเลิ่กลั่ก
“มึง...เลิกคิดจะแดกหัวน้องเค้าแล้วแน่ๆใช่ไหม?” พี่พายถามขำๆ
“กูไม่แดกหรอก
แต่กูจะค่อยๆรับประทานอย่างละเลียดละเมียดละไมไปทีละน้อยๆ ฮึๆๆ” พี่เก้าหันมาแสยะยิ้มให้
แก้มใสของเขาจึงแดงแปร๊ดในทันที
“เอ่อ....” ต้องตอบว่าอะไรไหมเนี่ย?
หรือไม่ต้องตอบก็ได้? อ้า~
“น้องมันก็อยู่กับมึงได้เนอะ
แกล้งเค้าตลอดมึงอ่ะ เจ้าจอม...ใช่ไหม?”
พี่พายมองเขาผ่านกระจกมองหลัง
“ครับ...”
“ถ้าไอ้ห่านี่แกล้งมึง
มึงก็บ้องหูมันไปสักทีก็ได้ จุดอ่อนมันอยู่ที่หู” พี่พายยกยิ้มให้
“อ้าวไอ้สัส
มึงจะไปบอกมันทำไม”
แล้วมือใหญ่ก็ขยี้หัวสีดำนั่นอย่างเมามัน
“กูขับรถอยู่นะโว้ย
มึงอยากไปหาพ่อมึงในนรกหรือไง”
“กูน่าจะเจอแต่มึงมากกว่านะในนรกเนี่ย” เขามองทั้งสองคนที่เถียงกันไปมา
ดูก็รู้ว่าสนิทกันมาก อีกทั้งเขายังต้องพยายามหุบยิ้มกับประโยคด่ากันฮาๆนั่นอีก
มินิคูเปอร์แล่นเข้าไปจอดในบ้านเรือนไทยสมัยร.5แต่ตกแต่งไว้อย่างน่ารักหลังหนึ่งแถวๆสะพานปิ่นเกล้า
เพื่อนของพี่เก้าอีกสามคนต่างโผล่หน้าออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีร่องรอยของคนไม่ใช่น้อยที่เข้าๆออกๆ
มันเลยทำให้เขาลดความเกร็งลงไปได้บ้าง
พี่เก้าพาเขาเข้าไปในห้องของตัวเองซึ่งดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าที่คิด
เขากวาดตามองเตียงหลังใหญ่ โต๊ะเขียนแบบดร๊าฟท์ไฟ โต๊ะคอมพิวเตอร์ โต๊ะตัดโมเดล
ตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือที่เกี่ยวกับงานสถาปัตย์อัดกันแน่น
ชั้นที่เก็บแบบและโมเดลเก่าๆ กับพวกอุปกรณ์ออกกำลังกายอย่างดัมเบล ก็ดูเป็นห้องเฉพาะทางที่เท่ห์มากๆเลยทีเดียว
เขาวางข้าวของที่หอบมาด้วยอย่างทึ่งๆ
ก่อนที่พี่เก้าจะช่วยรื้อมันออกมา
“หนังสือมึงเปียกหมดเลย
เฮ้ย! ของห้องสมุดด้วย? รีบตากให้แห้งเถอะ”
พี่เก้าคุกเข่าเปิดกองหนังสือเล่มใหญ่ที่เขาเอามาด้วยอยู่ที่พื้น
ก็เพราะรู้ว่ามันเปียกนั่นแหละเลยต้องรีบเอามาตาก
แต่ตอนนี้เสียงของพี่พายกำลังลอยวนเวียนอยู่ในหัวของเขาเพราะมองเห็นหัวสกินเฮดนั่นอยู่แค่เอื้อม......
....ถ้าไอ้ห่านี่แกล้งมึง
มึงก็บ้องหูมันไปสักทีก็ได้ จุดอ่อนมันอยู่ที่หู...จุดอ่อนมันอยู่ที่หู...จุดอ่อนมันอยู่ที่หู...
มือบางจึงเอื้อมออกไปราวกับถูกใครสะกด
เขาไม่ได้บ้องหูอย่างที่พี่พายแนะ แต่เขาแค่แตะปลายนิ้วลงไปบนติ่งหูของพี่เก้า...
“เฮ้ย?!!!”
พี่เก้าสะดุ้งโหยงถอยครูดไปไกลแถมเอามือปิดหูไว้ทันที
เขาจึงมองปฏิกิริยานั้นด้วยดวงตาระยิบระยับ...
นี่มันเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของเขาเลยนะเนี่ย~
แล้วในขณะที่เขามองร่างสูงใหญ่นั่นอย่างย่ามใจที่ค้นพบจุดอ่อนที่จะเอาคืนพี่เก้าเวลาแกล้งเขาได้บ้าง
ทว่า ใบหน้าเรียวกลับมองสวนมาด้วยสายตานิ่งๆ
“มึงอย่าแตะมันสุ่มสี่สุ่มห้านะ” พี่เก้าพูดพลางย่างเท้าเข้ามาหา
สายตาคู่นั้นบ่งบอกว่านี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย...ไม่ชอบ...ขนาดนั้นเลยเหรอ?
จากที่ได้ใจตอนนี้เขากลับรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ
ทว่า...เมื่อคำพูดถัดมาถูกเอ่ยที่ใบหู
ก็ทำให้เขารู้ว่ามันเสียเวลามากที่รู้สึกผิด!
“เพราะมันคือจุดที่ไวต่อความรู้สึก
ถ้ามึงทำให้น้องชายกูตั้งขึ้นมาละก็ มึงต้องเป็นคนรับผิดชอบนะ”
“เอ๊ะ?” หน้าเขาแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที
ระๆๆรับผิดช๊อบ?
“ฮึ” ใบหน้าหล่อร้ายๆยกยิ้ม
แล้วเขาก็ไม่เคยเอาคืนพี่เก้าได้เลยจริงๆ!
“ผม...จะเอาหนังสือไปตาก” เขารีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะก้มลงไปหอบหนังสือขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน
รีบเดินไปยังอีกมุมห้องก่อนกางหนังสือตากไว้ตรงนั้น
“เดี๋ยวกูไปยืมไดร์เป่าผมไอ้ธีร์ให้แล้วกัน
จะได้แห้งไวขึ้น”
เสียงห้าวเอ่ยบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ครับ...” ทิ้งให้เขานั่งหน้าแดงอยู่ตามลำพัง อ้า~ พี่เก้านี่ละก็~~
กว่าจะตากหนังสือเสร็จ
กว่าเก็บของที่กวาดมาลวกๆเสร็จ ก็ผ่านไปครึ่งค่อนคืน...
ร่างเล็กบางเปิดประตูห้องน้ำออกมาพร้อมกับไอหอมฉุย
การได้อาบน้ำอุ่นๆในคืนที่หนาวเหน็บแบบนี้มันช่างดีเหลือเกิน
เขาค้นพบว่าชีวิตคนเราแค่เรื่องเล็กๆแบบนี้ก็มีความสุขแล้ว
“หน้าฟินเชียวนะ” ก่อนจะถูกเบรกด้วยเสียงแซวจากเจ้าของห้องที่นั่งอยู่หลังโต๊ะคอมพิวเตอร์
พี่เก้ากำลังเขียนแบบ?ด้วยโปรแกรมที่หน้าจอสีดำๆซึ่งเขาไม่รู้จัก
“ครับ...” เขาก้มหน้าอย่างอายๆ
“มึงนอนบนเตียงกูไปแล้วกัน
นอนเปิดไฟได้ใช่ไหม? กูต้องทำงานต่ออีกหน่อย”
ขนาดมีงานที่ต้องทำก็ยังไปช่วยเขาอีกเนี่ยนะ? เพราะเพิ่งรู้ตอนนี้เขาจึงรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายมาก
“ขอโทษด้วยจริงๆนะครับที่รบกวน
ทั้งๆที่พี่มีส่งงาน”
“มึงจะเกรงใจอะไรวะ?
กูเป็นคนพุ่งออกไปเองนี่หว่า” พี่เก้าหันมายิ้มและเขาก็ได้แต่มองรอยยิ้มนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม
“ครับ...” พี่เก้าคงไม่รู้หรอกว่าวินาทีที่พี่เก้าพุ่งพรวดเข้ามาในห้อง
วินาทีที่พี่เก้ามาหาเขา เขาดีใจมากแค่ไหน ตอนแรกเขาทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆนะ
แต่แค่เห็นหน้าพี่เก้าเขาก็น้ำตาแทบจะไหลด้วยความอุ่นใจ เขารู้ว่าเขาพึ่งพาผู้ชายคนนี้ได้
พี่เก้าทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ถึงแม้ภาพลักษณ์ภายนอกของพี่เก้าจะดูดิบเถื่อนน่ากลัว
แต่สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
มือของพี่เก้า...อุ่นมากๆ...
“ไม่ต้องขอโทษ
แค่ขอบคุณก็พอ” เสียงห้าวพูดประโยคที่อบอุ่นนั่นออกมา
“ครับ
ขอบคุณครับ...” และมันก็ทำให้เขาวางใจได้ในทุกๆเรื่อง
ขอแค่มีพี่เก้าอยู่ใกล้ๆ
“หึ
เท่านี้มึงก็ติดหนี้กูแล้วหนึ่งครั้ง”
“.....” เขาแกล้งทำมึนเดินเมินๆไปที่เตียง
“เอ่อ...จริงๆให้ผมนอนที่พื้นก็ได้นะครับ”
ใบหน้าใสหันไปมองอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ
“กูบอกให้มึงนอนบนเตียงไง” เสียงห้าวพูดเป็นเชิงบังคับเขาจึงต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ครับ...” แต่จะนอนตอนนี้ก็เกรงใจคนที่หันกลับไปทำงาน
“เอ่อ...มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”
“ไม่มีหรอก
แค่เคลียร์รายการวัสดุที่จะต้องสั่งซื้อนิดหน่อยน่ะ ยังไม่มีอะไรที่มึงช่วยได้หรอก” พี่เก้าพูดทั้งที่ไม่ได้หันกลับมา
เอี๊ยด
แต่แล้วจู่ๆเก้าอี้สูงนั่นก็หมุนมาหา
ใบหน้าเรียวยกยิ้มก่อนจะพูดหยอกเย้า
“หรือถ้ามึงจะช่วยนวดไหล่ให้
กูก็ไม่ว่าอะไรนะ” พี่เก้ายักคิ้ว
“อึก...” ใบหน้าใสร้อนผ่าว นะ
นวดไหล่?....ดวงตากลมโตเหลือบมองสองมือของตัวเองอย่างชั่งใจ
แล้วร่างสูงใหญ่ก็หมุนเก้าอี้กลับไปอย่างสบายใจแล้วที่ได้แหย่ร่างผอมบาง
โดยไม่ได้คาดหวังหรอกว่าเจ้าจอมจะทำตามที่เขาบอก
ทว่า...จู่ๆก็มีเงามาทาบทับอยู่ด้านหลัง
“?”
เขายังไม่ทันหันไปมองก็มีฝ่ามือนุ่มๆวางลงมาบนไหล่
เฮ้ย? เฮ้ยๆๆ?
“ผม...นวดไหล่ไม่เป็นหรอกนะครับ
แค่บีบๆแบบนี้ได้ไหมครับ?...”
แล้วก็มีแค่แรงกดเบาๆนวดลงมาบนไหล่เขา เอาจริงๆมันไม่ได้รู้สึกถึงการนวดเลย
แต่เขากลับแทบจะหุบยิ้มไม่ได้
“อื้อ” เขาปล่อยให้มือเล็กๆนั่นนวดไหล่ไปเรื่อยๆ
ดีนะที่เขาทำงานไปได้เยอะแล้ว เพราะตอนนี้แทบไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับรายการวัสดุพวกนี้เลย
มือใหญ่เอื้อมออกไปจับมือที่วางอยู่บนไหล่โดยปราศจากคำพูดใดๆ
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไปทำไม แค่ใจมันอยากทำ
“เอ่อ...แบบนี้ผมนวดต่อไม่ได้...”
“พอแล้วละ
มึงไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องใช้แรงเก็บของอีกเยอะนะ” แค่นี้ก็เหมือนได้ชาร์ตแบตจนเต็มหลอดแล้ว
“ครับ...แล้วพี่จะนอนเมื่อไหร่เหรอครับ?”
“พูดอย่างกับอยากให้กูไปนอนด้วย?” เขายิ้มแหย่คนที่เพิ่งรู้ตัวและกำลังทำหน้าเลิ่กลั่ก
เวลาเจ้าเด็กนี่มันขุดหลุมฝังตัวเองทีไรนี่มันช่างน่ารักกกก
“เอ๊ะ?
ปะ เปล่า แค่ถามดู...”
“......” เขาไม่ได้พูดอะไรแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งไปให้จนคนเขินรีบยัดตัวเองเข้าไปในผ้าห่มแล้วรีบนอนลง
“ราตรีสวัสดิ์นะครับ...” เขายกยิ้มก่อนจะหันมาทำงานต่อด้วยหัวใจที่พองฟู
ปัญหาต่อไปก็คือ...เขาจะนอนหลับข้างๆร่างผอมบางนั่นได้ยังไงกันนะ...
ตื่นเต้นเป็นบ้า เวรเอ้ย~
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
เอ๊ะ
คุณกวางได้บอกไปบ้างยังนะว่าคำเรียกแต่ละคณะที่ปรากฎในเรื่องนี้มันหมายถึงอะไรยังไง
อย่างเด็กถาปัดก็หมายถึงเด็กคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์อย่างที่ทราบกันนั่นแหละ
แต่บางคณะที่คุณกวางไม่แน่ใจว่าที่อื่นเค้ามีกันไหมก็อย่างเช่น
เด็กเด็คจะหมายถึงเด็กจากคณะมัณฑณศิลป์ เด็กจิตรกรรม(เรียกว่าจิดกำเลยอ่ะ555)หมายถึงเด็กจากคณะจิตรกรรม
ประติมากรรมและภาพพิมพ์
อีกคณะที่อาจจะมีบทในอนาคตก็คือ เด็กโบราณหมายถึงเด็กจากคณะโบราณคดีค่ะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามมากๆนะค้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น