Wind Breaker Au.Fic [UmeSaku] เหล้าบ๊วยกับชานมซากุระ : 04

 Wind Breaker Au.Fic [UmeSaku]  เหล้าบ๊วยกับชานมซากุระ : 04

 

: Wind Breaker Fanfiction Au

: Hajime Umemiya x Haruka Sakura

: Romantic

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ    

         

 

 

ถึงตัวเขาจะยอมรับความรู้สึกที่มีให้กับซากุระแล้วมันยังไงล่ะ?

 

ถึงเขาจะยอมรับว่าชอบในเชิงชู้สาวแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?

 

ในเมื่อเขาไม่รู้เลยว่าซากุระจะรับมันได้หรือเปล่า

 

เขาเป็นผู้ชาย แล้วซากุระก็เป็นผู้ชาย เจ้าเหมียวนั่น...จะยอมรับอ้อมกอดของเขาหรือเปล่า จะชอบ...เขาหรือเปล่า...

 

“เฮ้อ...”    หัวสีขาวที่ซบแนบอยู่กับโต๊ะถอนหายใจยาวอย่างคนกลุ้มใจ อย่างน้อยก่อนจะเริ่มจีบเขาก็ควรจะรู้ก่อนว่าซากุระโอเคกับเพศเดียวกันไหม จะรังเกียจหรือเปล่าที่มีผู้ชายตัวโตอย่างเขามาชอบ

 

ก็...ถ้ารู้ว่าไม่โอเคเขาจะได้ตัดใจก่อน เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราจบลงไปแบบที่มองหน้ากันไม่ติดอีก ถ้าซากุระรับไม่ได้ เขาจะได้อดทนเก็บความรู้สึกไว้ในใจไม่บอกออกไป ขอแค่...ได้อยู่ข้างๆก็ยังดี...

 

“เฮ้อ....”    

 

“จะถอนหายใจอีกนานไหม? โต๊ะเป็นด่างเป็นดวงหมดแล้วเนี่ย”     เสียงห้าวของเจ้าของร้านกาแฟแห่งนี้พูดออกมาอย่างติดจะรำคาญ ก่อนจะพยายามเอาผ้ามาเช็ดๆโต๊ะที่เขาเอาตัวพาดไว้อยู่

 

“โคโตฮะจัง~     เขาทำท่าจะโผเข้าไปกอดก่อนจะโดนผ้าเช็ดโต๊ะยันหน้าออกมา กับเด็กสาวที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กคนนี้ก็เป็นเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่งของเขานั่นแหละ

 

“แล้วยังไง? ตกลงจะจีบไหม?”    โคโตฮะนั่งลงที่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์บาร์ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ห๊ะ?”    ถะ ถามอะไรเนี่ย...

 

“ก็ที่มานั่งหายใจทิ้งขว้างอยู่นี่เพราะกำลังคิดเรื่องเจ้าเด็กเกเรนั่นอยู่ไม่ใช่เหรอ? พี่ชอบเจ้าเด็กนั่นไม่ใช่เหรอ?”     โอ้โห...สัญชาตญาณของผู้หญิงนี่มันน่ากลัวจริงๆ! เขายังไม่เคยบอกใครเลยด้วยซ้ำ ขนาดตัวเองยังเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอ๊ง~

 

“อะ เอ่อ...มองออกเลยเหรอ...”     เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรงราวกับคนทำอะไรผิดมา

 

“ถ้าเป็นคนที่เข้าใจธรรมชาติของพี่ ก็น่าจะมองออกนะ?”

 

“ระ เหรอ...”

 

“ถึงจะทำตัวใจดีจนน่ารำคาญแต่เอาเข้าจริงพอมีใครขยับเข้าหา พี่ก็มักจะถอยห่างออกไปก้าวหนึ่งเพื่อเว้นระยะ มีแค่เจ้าเด็กนั่นที่พี่เป็นฝ่ายเข้าใกล้ด้วยตัวเองและมักจะมองอย่างไม่ละสายตาอยู่เสมอน่ะ”     สิ่งที่โคโตฮะพูดมาทำเอาเขาเถียงอะไรไม่ออกเลย

 

“ก็...นั่นแหละ...ตามนั้นแหละครับ...”     ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีขาวยิ้มแห้งยอมรับอย่างจนซึ่งคำพูด

 

“งั้นก็จีบซะสิ อย่างซากุระน่าจะยังไม่รู้ตัวนะถ้าพี่ไม่ทำอะไรให้มันชัดเจน”    โคโตฮะเท้าคางพลางให้คำแนะนำ นี่กลายเป็นรายการปรึกษาปัญหาความรักไปแล้วสินะ

 

“ก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่หรอก...แต่ฉันยังไม่มั่นใจน่ะสิว่าซากุระจะโอเคกับผู้ชายด้วยกันไหม...จะให้ถามไปตรงๆมันก็...”

 

“อืม...นั่นสินะ”     โคโตฮะทำหน้าครุ่นคิด

 

“อ่ะ งั้นเอาอย่างงี้สิ”    แล้วก็เหมือนจะคิดอะไรออก เด็กสาวเดินกลับเข้าไปที่หลังร้านพักใหญ่ก่อนจะกลับออกมาอีกทีพร้อมด้วยถุงที่บรรจุอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน

 

“เอ้า นี่ช่วยเต็มที่เลยนะ เอาไปใช้กับเจ้าเด็กนั่นซะสิ”     เขามองถุงนั่นอย่างสงสัย และพอแง้มออกดูเท่านั้นแหละ! นี่มัน!!

 

“โคโตฮะจางงงง ขอบใจนะ จะใช้อย่างดีเลยยยย”     แล้วโคโตฮะก็ใช้ตะหลิวยันหน้าเขาออกมาอย่างรู้ทัน ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้กอดขอบคุณแต่เขาต้องรีบกลับไปเตรียมพร้อมกับของในถุงนี่เสียก่อน

 

 

 

วันนี้เขาจึงกลับไวกว่าเจ้าแมววัว ดูเหมือนทุกๆเย็นซากุระจะไปรวมตัวกับเพื่อนๆเพื่อซ้อมบาสอยู่เหมือนกันนะ แน่นอนว่าเขากำชับฮิอิรางิที่ถูกเขาบังคับให้เป็นคนรับผิดชอบกีฬาชนิดนี้ให้ดูแลซากุระให้ดี ห้ามให้ใครมาเต๊าะมาแตะได้เป็นอันขาด!

 

เขาวางของที่โคโตฮะให้มาไว้ข้างเตียง...

 

ดวงตาสีฟ้าอมเทาจ้องมองมันด้วยแววเจ้าเล่ห์พร้อมกับรอยยิ้มกริ่มที่ฉาบอยู่บนใบหน้า หึๆๆ เสร็จฉันแน่เจ้าเหมียว

 

เขากลับไปเตรียมอาหารเย็นไว้รอซากุระ เมนูของวันนี้คือสเต็กแฮมเบิร์กเนื้อไส้ชีส เขาบังคับให้ซากุระกินผักมาหลายมื้อ วันนี้เลยเอาใจด้วยเนื้อและเนื้อสักหน่อย มือใหญ่นวดผสมเนื้อบดกับเครื่องปรุงให้เข้ากันพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี เขาไม่เคยทำอาหารให้ใครกินแล้วมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ แค่นึกถึงใบหน้าของซากุระเวลากินมันเข้าไปเขาก็แทบจะยิ้มแก้มปริแล้ว

 

ติ๊ดๆๆๆๆๆ  แกร่ก...

 

“ทะ ทาไดมะ...”    

 

“โอคาเอริ ซากุระ!     และนี่ก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งของเขาในช่วงนี้...การได้ขานรับเวลาที่ซากุระกลับบ้านมา

 

เจ้าเหมียวกินอาหารที่เขาทำด้วยสีหน้ามีความสุข ทุกอย่างดำเนินต่อไปเหมือนที่เกิดขึ้นในทุกๆเย็น กินข้าวด้วยกัน ช่วยกันเก็บกวาดเคาน์เตอร์ครัว ล้างจาน อาบน้ำ ปูฟูกนอน...

 

ซากุระมักไม่ยอมให้เขาทำเรื่องเหล่านั้นให้แต่พยายามจะทำเองตลอด และนั่นมันจึงทำให้แผนการของเขากับโคโตฮะสำเร็จไปด้วยดี

 

เมื่อมุมผ้าห่มกระพือไปคลุมกับของที่วางอยู่ข้างๆเตียงเข้า

 

มันไม่ใช่ของอันตรายหรือดูน่าสงสัยใดๆหรอกน่า แต่เป็นเพียงมังงะหกเจ็ดเล่ม...Hitorijime My Hero คือชื่อเรื่องที่เด่นหราอยู่บนนั้น...

 

“รักหมดใจมายฮีโร่? โอ้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนนักเลงแหะ? นี่! ฉันเอาไปอ่านนะ!     เจ้าเหมียวขี้สงสัยหยิบมันขึ้นมาเปิดดูก่อนจะหันมาบอกเขา นะ ดูจากปกและรูปเล่มภายนอกมันก็ไม่ต่างจากมังงะเล่มอื่นๆของเขาที่ซากุระเคยอ่านเท่าไหร่หรอก

 

“เชิญตามสบายเลยครับ”     เขาลอบยิ้ม...ก็เนื้อหาข้างในน่ะมัน....

 

“ฉันออกไปอ่านหนังสือข้างนอกนะ”     เขาหยิบหนังสือเรียนขึ้นมา เห็นแบบนี้เขาก็เป็นนักเรียนเตรียมสอบนะ

 

“อื้อ”     เจ้าเหมียวตอบโดยไม่ละสายตาจากหน้ามังงะ หึ...รอก่อนเถอะ...รออีกเดี๋ยว...

 

เขานั่งลงที่โต๊ะเตี้ยหน้าทีวีก่อนจะเปิดตำราทำโจทย์ฆ่าเวลาไปพลางๆ เขาแทบจะนับเป็นนาทีได้เลย เพราะตอนที่เขาลองอ่านเจ้ามังงะนั่นครั้งแรก มันก็จะใช้เวลาประมาณนี้แหละที่...

 

“อ๊ากกกกกก!    

 

ตึงๆๆ 

 

ได้ยินเสียงร้องตกใจตามมาด้วยเสียงวิ่งตึงตังดังมาจากด้านในห้องนอน ก่อนที่

 

ปัง!!

 

ประตูห้องจะเปิดผางออกมาพร้อมกับซากุระที่หน้าตาตื่นแถมแดงจัดอีกต่างหาก

 

“อุ อุเมมิยะ...นะหนังสือการ์ตูนของแกนี่มัน...มัน...มัน...!!!     มันเป็นมังงะวายนั่นเอง ฮ่าๆๆ

 

เขายิ้มให้ใบหน้าเลิ่กลั่กของซากุระที่ยังคีบมังงะนั่นไว้ในมือ

 

“มานั่งนี่สิซากุระ”    เขาเอ่ยเรียกด้วยเสียงอ่อนโยน เจ้าเหมียวเดินโซเซมาด้วยใบหน้าที่มีควันลอยฟู่ๆออกมา

 

แหมะ...ซากุระนั่งแปะลงบนพื้นใกล้ๆเขา

 

“นะๆๆนี่มันอะไรน่ะ?”     ใบหน้ามนมึนงงสงสัยและสับสนไปหมดเพราะไม่เคยรู้จักกับอะไรแบบนี้มาก่อน

 

“มังงะที่โคโตฮะให้ยืมมาไง ไม่สนุกเหรอ?”     เขาแสร้งถามอย่างไม่รู้ไม่ชี้

 

“กะ ก็สนุกอยู่หรอก ตะๆๆแต่ว่า นี่มันผู้ชาย กับผู้ชาย? ทำไมจะๆๆจูบกันล่ะ? แถมยังบอกว่า...ชอบ...กันด้วย...”     ดวงตาสองสีเสหลบอย่างเขินๆ

 

“นายไม่โอเคเหรอ? ความสัมพันธ์แบบนี้น่ะ?”     ได้เวลาที่เขาจะค่อยๆตะล่อมถามแล้ว

 

“หื๋อ?”    ซากุระยังดูสับสนอยู่มาก ก็อย่าว่าแต่ความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเลย แม้แต่ความรักแบบชายหญิงทั่วไปเจ้าเด็กนี่ยังไม่ประสีประสาเลยด้วยมั้ง

 

“ก็...ความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายน่ะ...นาย...โอเครึเปล่า?”    เขาเอียงหน้าช้อนสายตาถามอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซากุระกรอกตาไปมาก่อนจะค่อยๆผ่อนลมหายใจ

 

“แบบสองคนในเรื่องนี่น่ะเหรอ?”    มือบางเปิดมังงะขึ้นมาดูใหม่

 

“อื้ม”     เขาค่อยๆถาม ค่อยๆนวดไปเรื่อยๆ

 

“มันก็...แปลกๆนะ...ไม่เคยคิดว่าผู้ชายจะจูบกันได้ด้วย?”

 

“งั้นเหรอ? เป็นเพราะนายไม่เคยรู้จักมันหรือเปล่า?”     ถึงสีหน้าของซากุระจะดูสับสนพอควร แต่เขาคงต้องรุกต่อไป

 

“ความรักมันก็คือความรักไม่ใช่เหรอซากุระ? จะเพศไหนๆก็มีความรักได้”

 

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่...ก็...ไม่เห็นจะเป็นไร...คุณค่าของคนคนนึงมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นนี่”      เขาอมยิ้มกับคำตอบและทัศนคติของซากุระเลยรุกถามเข้าไปอีก เพราะตอนนี้ซากุระน่าจะมองว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่นอยู่

 

“แล้วถ้าเรื่องแบบนี้มันเกิดกับตัวนายเองล่ะ? ถ้าวันหนึ่งเกิดมีผู้ชายมาชอบนายล่ะ? นายคิดว่าตัวเองจะรังเกียจคนคนนั้นไหม?”

 

“ถ้ามันเป็นคนเห่ยๆฉันก็คงจะเกลียด แต่ถ้าไม่ใช่....อือ....ถะ ถ้าหมอนั่นชอบฉัน...ชอบฉัน......”    แล้วใบหน้ามนนั่นก็แดงแปร๊ดเหมือนกำลังเขินเรื่องที่จะมีคนมาชอบตัวเองมากกว่า ซากุระคงไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องรักๆไคร่ๆเกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อนเลยละมั้ง

 

“นายรังเกียจรึเปล่าถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายด้วยกัน?”    เขายังคงถามไล่ต้อนเพื่อไม่ให้เจ้าแมววัวเบี่ยงประเด็น

 

“รังเกียจไหมงั้นเหรอ...อือ...อา...อ๊า! ถามอะไรของแกเนี่ย! เรื่องรักๆแบบนั้นมัน...ไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันหรอก!     หัวสองสีสะบัดไปมาอย่างรุนแรงจนกลิ่นแชมพูหอมๆฟุ้งกระจาย

 

“สมมติไง สมมติ”    เขายังคงตะล่อมต่อไป

 

“ถ้าสมมติละก็...ก็...ไม่รู้สิ...ไม่เคยมีใครมาชอบฉันนี่ จะไปรู้ได้ไง...ถ้าไม่เจอกับตัว...ก็ไม่รู้หรอก...”     การที่ซากุระไม่ได้ฟันธงว่ารังเกียจแน่ๆแบบนี้แสดงว่าเขายังมีโอกาส เพราะถ้าเป็นผู้ชายที่ไม่โอเคกับการรักเพศเดียวกันก็จะปฏิเสธเสียงแข็งออกมาแล้ว

 

แต่ซากุระจะโอเคกับผู้ชายคนนั้นไหมน่าจะขึ้นอยู่กับว่าคนที่มาจีบเป็นใครมากกว่า อาจจะไม่ได้สนใจเพศสภาพอย่างที่เขากังวลมากนักก็ได้

 

 

ดีละ ถ้างั้นตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป...เขาจะใช้หัวใจทั้งหมดของเขา...ทำให้ซากุระตกหลุมรักให้ได้

 

 

“งั้นเหรอ...งั้นนายก็ค่อยๆเรียนรู้มันไปก็ได้...”     เขายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

 

“หื๋อ?”     ซากุระทำหน้างงเขาจึงเบี่ยงประเด็นไปที่มังงะเล่มนั้นแทน

 

“นายลองอ่านดูสิ เรื่องราวของสองคนนี้น่าสนใจมากนะ”

 

“ฉะ ฉันก็คิดว่า...ถ้าตัดเรื่องที่เป็นผู้ชายเหมือนกันออกไป...นี่มันก็เป็นแค่เรื่องของคนสองคนที่รักกันนี่นา...ก็แค่รักกัน”      เสียงใสพูดงึมงำ

 

“เอ้า! พิงตรงนี้แล้วก็อ่านต่อไปสิ”    เขาลุกไปหยิบหมอนมาจากในห้องนอนก่อนจะตั้งไว้ข้างตัวแทนหมอนอิงแล้วตบปุๆให้เจ้าเหมียวเอนตัวลงมา

 

ซากุระลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แมวมักจะต่อต้านสถานที่นุ่มๆที่ดูน่านอนไม่ได้  ไม่นานร่างโปร่งบางจึงเอนหลังนอนพิงสีข้างของเขาเอาไว้

 

เขาอมยิ้ม...ในขณะที่มือก็แก้โจทย์คณิตต่อไป เสียงพลิกหน้ากระดาษมังงะดังเป็นจังหวะๆฟังแล้วมันก็เพลินดีเหมือนกันนะ แถมบรรยากาศแบบนี้ก็ชวนสุขใจแบบสุดๆไปเลย

 

กับไออุ่นของซากุระ...ที่แผ่ผ่านหมอนใบใหญ่นั่นมา...

 

“ว่าแต่ยัยนั่นทำไมถึงได้มีการ์ตูนแบบนี้นะ?”     เสียงใสเอ่ยออกมาอย่างสงสัยทำให้เขาหัวเราะฮะฮะฮะตอบกลับไป

 

ยังมีอีกเยอะเลยละ...โคโตฮะจังน่ะ...

 

 

 

 

 

 

“ทางนี้ๆ เดินให้มันตรงๆสิวะไอ้บ้านี่ ฮ่าๆๆ”

 

“ทำไว้ให้คนวิ่งหรืออะไรวิ่งวะ เลื้อยเป็นงูเชียวนะมึง ฮ่าๆๆ”

 

เสียงหัวเราะเฮฮาด่าทอกันหยาบๆคายๆดังอยู่ข้างสนามฟุตบอล ซึ่งตอนนี้สีเขียวเป็นคนรับผิดชอบเรื่องทำลู่วิ่งที่จะใช้ในงานกีฬาสี

 

ก็นะ บรรดาห้องเด็กเรียนทั้งหลายต่างใช้ข้ออ้างว่ามีเรียนพิเศษหนีไปกันจนหมด จึงเหลือแต่ห้อง 1-F ของพวกเขานี่แหละที่ว่างแสนว่างและกำลังช่วยกันทำลู่วิ่งอยู่ในตอนนี้

 

“เอ่อ...ขอบใจที่พาเพื่อนๆมาช่วยกันนะ...”     พี่สาวแว่นเอ่ยขอบคุณอย่างอักๆอึกๆ เพราะถ้าพวกเขาไม่มาช่วย พวกกรรมการของสีเขียวที่มีอยู่ราวๆห้าหกคนก็ต้องทำกันเอง ซึ่งไม่น่าจะเสร็จภายในวันนี้แน่

 

“โอ...”    เขาตอบรับพลางเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ ดวงตาสองสีเสมองพื้น...การได้รับคำขอบคุณจากคนอื่น...มัน...ไม่ค่อยชิน...

 

“งานเสร็จไวขนาดนี้เพราะซากุระคุงเลย...นึกว่าจะ...เป็นคนน่ากลัวว่านี้ซะอีก...แหะๆ ก่อนหน้านี้ขอโทษด้วยนะ”     พี่สาวแว่นนั่งลงข้างๆก่อนจะยิ้มให้นั่นยิ่งทำให้เขาเลิ่กลั่กไปใหญ่

 

ก็การได้พูดคุยกับคนอื่นแบบนี้ การได้มีส่วนร่วมกับงานของโรงเรียนแบบนี้...นี่คือครั้งแรกเลย

 

“อะ โอ...”     สองแก้มรู้สึกร้อนๆไปหมด ใบหน้ามนจึงสะบัดกลับไปมองที่สนามแข่งวิ่งที่พวกเขาช่วยกันตีเส้นขึ้นมา เพื่อนๆของเขาลากเจ้าเครื่องมือทำลู่วิ่งนั่นไปถึงอีกฝั่งของสนามแล้ว ทิ้งความเงียบสงบเอาไว้ตรงนี้ กับเขาที่คอยนั่งกำกับอยู่บนขั้นบันไดปูน

 

แล้วจู่ๆบรรดาพี่สาวกรรมการสีเขียวก็มารวมกลุ่มกันตรงนี้เฉย?

 

อ่า...รู้งี้เดินไปกับเจ้าพวกนั้นเสียก็ดี อยู่ตรงนี้มันน่าอึดอัดชะมัด ก็พี่สาวพวกนั้นแอบมองเขาอยู่ไม่ใช่เหรอเนี่ย?! คงจะสงสัยเรื่องสีผมกับสีตาของเขาอยู่สินะ!

 

“ซา~ กุ~ ร้า~~     และแล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ทำให้อาการประหม่าค่อยบรรเทาลงหน่อย เขาหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะยกมือรับขวดน้ำที่ถูกโยนมาแทบไม่ทัน

 

อะไรอีกเนี่ย เจ้าอุเมมิยะ!

 

“ไม่มีของพวกเราด้วยเหรอคะประธาน~     พวกพี่สาวกรรมการหันไปโวยวายใส่ร่างสูงใหญ่ที่เดินทอดน่องสบายใจเข้ามาหา

 

“ฮ่าๆๆ โทษทีๆ ของพวกเธอน่ะไม่มีหรอก ฉันกดมาให้ซากุระคุงคนเดียวละ”     ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้าง ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ดูสนิทกับทุกๆคนดี

 

“เห๋~ อะไรเนี่ย~ ใจร้ายจัง~     สารพัดเสียงตัดพ้อที่เอ่ยออกมาอย่างหยอกล้อ อุเมมิยะแวะทักทายพี่สาวกลุ่มนั้นที่นั่งอยู่ไม่ไกล เขาจึงก้มมองขวดชาเขียวในมืออย่างไม่แน่ใจว่าควรจะกินหรือยื่นให้พวกเธอดี?

 

แต่อุเมมิยะก็เอื้อมมือมาดึงมันไป

 

แกร่ก

 

ก่อนจะบิดเปิดมันให้แล้วยื่นคืนมาให้เขา...

 

“อุ้ย...”     ทำเอาพี่สาวพวกนั้นปิดปากอุทานแล้วมองมาด้วยสายตามีเลศนัยกันเป็นแถว....มะ ไม่ใช่นะ นี่มัน...???

 

“ลู่วิ่งใกล้เสร็จรึยัง? ฮ้า~ วันนี้ฉันก็ต้องคอยเดินตรวจนู่นตรวจนี่จนเย็นเลยแหะ แต่ก็นับว่าโชคดีที่นายยังไม่กลับนะซากุระ”    แล้วเจ้าตัวต้นเรื่องก็นั่งแหมะลงข้างๆเฉย

 

“โชคดี?”     ดวงตาสองสีเหล่มองอย่างสงสัย

 

“ก็จะได้กลับบ้านพร้อมกันไง”    อุเมมิยะยิ้มในขณะที่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า สายลมที่พัดมาทำให้เส้นผมสีขาวพลิ้วไหว

 

“ห๊ะ?”     ถึงเขาจะอุทานออกไปแบบนั้นแต่กลับใจเต้นแรงกับภาพอันแสนละมุนละไมตรงหน้า และคำชวนกลับบ้านด้วยกันของอุเมมิยะก็ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว...กับเรื่อง...แค่นี้เองเนี่ยนะ...

 

“เอ๊ะ? อะไรกันๆ? ทั้งสองคนอยู่บ้านใกล้กันเหรอ?”     พวกพี่สาวต่างชะโงกหน้ามาถามอย่างสนใจ ในขณะที่เขากำลังชะงักค้างเพราะไม่รู้จะตอบออกไปยังไง

 

“เปล่า ไม่ได้อยู่ใกล้ แต่อยู่บ้านเดียวกันน่ะ อะฮะๆๆ”     ร่างสูงใหญ่กลับตอบแบบนั้นไปหน้าตาเฉย...

 

“......”

 

“รออยู่ตรงนี้นะซากุระ ถ้าหนีกลับก่อนละก็ พี่ชายจะตามไปหลอกหลอนทั้งคืนเลยจริงๆด้วย~    เจ้าอุเมมิยะเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะโบกไม้โบกมือวิ่งจากไป ตกลงมาทำอะไรกันแน่เนี่ย~

 

“อึก...”     ก็ไม่ได้กลัวคำขู่หรอกนะ แต่เจ้าหมอนั่นมันน่ารำคาญจริงๆนะถ้าต้องโดนหลอกหลอนเนี่ย...

 

“บ้านเดียวกันนี่คืออพาทเม้นต์เดียวกันงั้นเหรอซากุระคุง?”     พี่สาวพวกนั้นหันมารุมถามเขา

 

“ถึงว่า พวกนายดูสนิทกันแปลกๆทั้งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้เลยนะ”

 

“......ก็...ประมาณนั้น...”    จะให้บอกว่าอยู่ห้องเดียวกันนอนฟูกเดียวกันเลยครับได้ไงล่ะ น่าอายจะตาย! เขาไม่ใช่เจ้าบ้าไม่รู้จักอายนั่นสักหน่อย

 

เดี๋ยวก็มีคนเอาไปลือแปลกๆหรอก...

 

 

 

 

 

ร่างในชุดนักเรียนสองร่างเดินเคียงข้างกันไปตามถนนของย่านร้านค้า

 

“เป็นไง? ได้ลองทำลู่วิ่งดู สนุกไหม?”     สิ่งที่อุเมมิยะตั้งใจจะถามเขาคือการได้ทำงานร่วมกับคนอื่นสนุกไหมต่างหาก

 

“กะ ก็ดี...”     เสียงห้าวตอบอ้อมแอ้ม

 

“งั้นก็ดีแล้วละ”      ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีขาวอมยิ้ม เขาเสสายตาไปมองกระเป๋านักเรียนที่อีกฝ่ายสะพายไหล่อยู่แทนที่จะมองหน้าต่อไปให้ใจเต้นแปลกๆ

 

หมู่นี้...เขามักจะใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ...และทุกครั้งก็จะมีอุเมมิยะมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ...

 

มันอาจจะเป็นเพราะหมอนี่ทำให้เขาได้ทำอะไรอย่างที่คนปกติทั่วไปเขาทำกัน อย่างการมีส่วนร่วมในการแข่งกีฬาสีครั้งนี้ การได้ช่วยคนอื่นทำลู่วิ่ง...มันก็มาจากฝีมือของอุเมมิยะทั้งนั้น

 

ลึกๆในใจเขาก็รู้สึกขอบคุณอยู่หรอก...

 

มันเหมือนกับ...หมอนั่นเป็นมือที่มองไม่เห็น...ที่ยื่นเข้ามาหาเขาซึ่งกำลังนั่งคุดคู้อยู่ในกล่องที่มืดสนิท

 

เป็นมือ...ที่มาฉุดรั้งเขาออกไป

 

และตอนนี้...มันก็กำลังจับเขาเอาไว้แบบสุดกำลัง

 

ให้เขาได้อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยแสงสว่างต่อไป

 

 

“อ่ะ อุเมะจัง! กลับมาแล้วเหรอ”     เสียงทักจากป้าร้านขายผักปลุกเขาออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเอง

 

เขาสังเกตมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ว่าตั้งแต่เดินเข้าย่านร้านค้านี่มา แทบจะทุกร้านต่างส่งเสียงทักทายอุเมมิยะทั้งนั้น เจ้าหมอนี่...เป็นคนดังแม้แต่กับพี่ป้าน้าอาลุงย่าแถวนี้เลยแหะ

 

“เอาสตรอว์เบอร์รี่นี่ไปกินสิ ฉ่ำมากจนวางขายต่อไปไม่ได้แล้วละ รีบกินนะ”    แล้วคุณอาร้านขายผลไม้ก็ยัดกล่องสตรอว์เบอร์รี่หอมฟุ้งใส่มือใหญ่

 

“ฮ่าๆๆ ขอบคุณครับ”    แล้วกว่าจะเดินจนสุดซอยเจ้าหมอนี่ก็ยังได้ขนมปังอบ ขนมเค้ก นม เนย ผักเอย เนื้อเอยมาอีกสารพัด...นี่สินะ ที่มาของอาหารเย็นที่เขากินอยู่ทุกวันนี้

 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แสดงว่าอุเมมิยะต้องเป็นที่รักไม่ใช่เหรอ ทุกคนถึงทำดีด้วยแบบนี้

 

แล้วเขาจะดีใจกับหมอนี่ทำไมเนี่ย? อ๊า!

 

“เอ๊ะ นั่นมันพ่อหนุ่มคนนั้นนี่! คนที่ไล่พวกเด็กอันธพาลที่ชอบมาไถเงินเด็กม.ต้นแถวนี้”     แล้วจู่ๆหัวข้อสนทนาก็หันมาที่เขาเฉยเมื่อป้าคนหนึ่งดันทักขึ้นมา

 

“ไหนๆ? คนนี้เหรอ?”    แล้วก็กลายเป็นว่าลุงป้าน้าอาต่างออกมารุมมองดูเขาซะงั้น

 

“ขอบใจที่ช่วยไล่ไปให้นะพ่อหนุ่ม เดือดร้อนกันมากๆเลยเนี่ย”     คุณป้าเอ่ยชมพลางตบป้าบๆมาที่ไหล่ เขาที่ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยมีใครชมแบบนี้จึงทำได้แค่ขยับเข้าไปหลบอยู่หลังอุเมมิยะ

 

“เป็นเพื่อนกับอุเมะจังนี่เอง” 

 

“ครับ ชื่อซากุระน่ะ มีอะไรก็เรียกใช้ได้เลยนะ”     เจ้าอุเมมิยะหัวเราะร่าทำหน้าภูมิใจราวกับเขาเป็นลูกชายที่ได้รับคำชม น่าหมั่นไส้จริงๆ

 

“ได้สิๆ โฮะๆๆ”

 

“....ใครบอกว่าจะช่วยฟ๊ะ...”     เขาบ่นงึมงำตอนที่เดินห่างออกมา...มัน...ก็ไม่ได้แย่หรอกนะความรู้สึกแบบนี้

 

“จริงสิ! วันนี้ไข่ไก่ลดราคานี่ นายก็มาช่วยกันหน่อยสิซากุระ!     เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยนะเฟ้ย แล้วทำไมเขาต้องไปช่วยซื้อไข่ไก่ด้วยฟ๊ะ? เดี๋ยว!!

 

จู่ๆมือใหญ่ก็จับมือเขาแล้วดึงให้วิ่งตามไปเสียแบบนั้น ก็จริงอยู่ที่เจ้าอุเมมิยะมีแรงเยอะกว่าเขา แต่ตอนนี้เขากลับทำเพียงแค่ทอดสายตามองมืออุ่นร้อนที่จับมือของเขาเอาไว้...

 

ทำไมถึงไม่สะบัดกันนะ?

 

เขาวิ่งตามแผ่นหลังกว้างใหญ่นั่นไป ทำไมเมืองที่เดินผ่านมาตั้งนานถึงดูสนุกสนานขึ้นมานะ? ไม่เห็นจะเคยรู้สึกแบบนี้เลย...

 

 

 

“ดีจริงๆที่นายมาช่วย ไข่ลดราคานี่ขายแบบจำกัดแค่คนละสองแผงเท่านั้น เนี่ย เลยซื้อได้สี่แผงเลย ดีจังน้า~      ....แกวางแผนเอาไว้อยู่แล้วสินะ? ตั้งแต่ชวนฉันกลับบ้านแปลกๆนั่นแล้วสินะ!

 

เขายืนหรี่ตามองเจ้าคนที่ยัดไข่ไก่สองแผงใส่อ้อมแขนเขาหน้าตาเฉย เกิดมาเพิ่งเคยได้ทำอะไรแบบนี้จริงๆให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นใบหน้าเริงร่าเหมือนหมาซามอยด์ก็ยิ่งเดือดปุดๆอยู่บนหัว

 

ร่างโปร่งบางยืนนิ่งค้างอยู่ท่ามกลางซุปเปอร์มาเก็ตที่เต็มไปด้วยแม่บ้านเดินเลือกซื้อของสดไปทำอาหารเย็นกัน เจ้าอุเมมิยะไปหยิบตะกร้ามาก่อนที่ไข่ไก่สี่แผงจะถูกวางลงไปในนั้น

 

“เพราะงั้นเย็นนี้ฉันจะตามใจนายก็แล้วกัน อยากกินอะไรล่ะซากุระ?”     ใบหน้ายิ้มแย้มหันมาถามเขา ใบหน้ามนจึงตอบกลับไปทันที

 

“โอยาโกะด้ง...”     ข้าวหน้าไก่ใส่ไข่แบบฉ่ำๆ ถึงจะเป็นข้าวด้งธรรมดาๆแต่จู่ๆก็เกิดนึกอยากกินขึ้นมา

 

“โอ้ส ได้เลยครับ เดี๋ยวคืนนี้พี่ชายจะทำโอยาโกะด้งให้กินนะ เนื้อไก่สิน้า~ ไปหยิบกัน~     แล้วอุเมมิยะก็เดินนำไปที่ชั้นตู้เย็นซึ่งมีเนื้อไก่แพคอย่างดี

 

จะ...ทำให้กินจริงๆเหรอ? แค่บอกว่าอยากกินอะไรก็ตามใจทันทีแบบนี้เลยเหรอ? ปกติแล้วนายใจดีกับทุกคนแบบนี้เลยจริงๆน่ะเหรอ?

 

ไหน...บอกว่าจะใจร้ายกับฉันไง? ไม่เห็นจะใจร้ายตรงไหน...

 

เขาเดินตามร่างสูงใหญ่นั่นไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่มันเริ่มล้นขึ้นมาในหัวใจที่เคยว่างเปล่า...การมาเดินซื้อของไปทำอะไรกินด้วยกันมันเป็นความรู้สึกแบบนี้เองเหรอ...มันเหมือนกับมีอะไรแผ่ซ่านอยู่ในใจ...มันทำให้ใบหน้าของเขาร้อนอีกแล้วทำยังไงดี...

 

“ใส่นี่ด้วย”    อุเมมิยะหันมาอีกทีพร้อมกับต้นหอม เขาจึงตอบกลับไปราวกับเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ

 

“ไม่เอาวัชพืช”     ไม่เอาผัก!

 

“วัชพืชที่ไหนล่ะ? นี่มันต้นหอมไง ต้นหอม~ ต้องใส่สิมันถึงจะอร่อย แล้วมันก็มีประโยชน์ด้วยนะ อ่า หอมหัวใหญ่ด้วย”

 

“ไม่เอา”    แต่เจ้าอุเมมิยะก็ถือไปจ่ายเงินเฉย ไม่ฟังเขาเลยสักนิด

 

นี่สินะที่บอกว่าจะใจร้ายกับฉันน่ะ! เดี๋ยวจะเขี่ยใส่จานแกให้หมดเลยคอยดู!

 

 

 

 

 

เขาช่วยอุเมมิยะหอบหิ้วทั้งของที่เพิ่งซื้อและของที่ได้มาตามรายทางพะรุงพะรัง ทำไมบรรยากาศมันดูชวนเข้าใจผิดแปลกๆแหะ แล้วยัยป้าๆน้าๆพวกนี้จะหันมาอมยิ้มอะไรกัน! ไม่เคยเห็นคนมาซื้อของเข้าบ้านเร๊อะ?

 

เขาหันไปแยกเขี้ยวให้สายตาเอ็นดูเหล่านั้น พวกเขาเดินเคียงข้างกัน หันมาแหย่บ้างโดนตบกลับไปบ้างแต่มันก็ดูมีความสุขดี

 

จนกระทั่ง...

 

“เอ๋? นั่นนักเรียนห้อง 2-C ไม่ใช่เหรอ?”     อุเมมิยะเอียงคอสงสัยเมื่อเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งหลบอยู่ในเงามืดของย่านถนนคนเดินที่เริ่มจะปิดร้านกันแล้ว ผู้หญิงคนนั้นยังใส่ชุดนักเรียนอยู่และนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้

 

“รู้จักทุกคนในโรงเรียนเลยหรือไงเนี่ย?”     เขาหรี่ตามองใบหน้าที่ยิ้มอย่างยอมรับ ก็สมเป็นหมอนี่...คนที่คอยเฝ้ามองทุกคนอยู่ตลอด

 

ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ดูไม่ค่อยดีเลยแหะ สีหน้าดูเหมือนจะหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ซ้ำขอบตาช้ำๆนั่นก็เหมือนจะผ่านการร้องไห้มา?

 

ไม่แปลกที่อุเมมิยะเห็นแล้วจะติดใจ ขนาดเขายังรู้สึกว่าปล่อยผ่านไปไม่ได้เลย

 

“เข้าไปถามหน่อยดีกว่า”    อุเมมิยะเดินนำเข้าไป  ในทีแรกเขาก็ลังเลอยู่หรอกว่าเขาควรจะเข้าไปด้วยไหม ไม่ใช่ว่าเห็นเขาแล้วจะยิ่งกลัวกว่าเก่าหรือเปล่า?

 

แต่อุเมมิยะกลับกวักมือให้เขาเข้าไปช่วยถือของที่หมอนั่นหอบหิ้วอยู่แทน เขาจึงต้องตามไปอย่างช่วยไม่ได้

 

“เอ้า ถือนี่ไว้ก่อนนะ”    แล้วแผงไข่ไก่ก็ถูกย้ายมาไว้ในอ้อมแขนเขาแทน...ให้มันได้อย่างงี้สิ

 

“ทานากะซัง?”    เสียงแบบพี่ชายถูกเอ่ยออกไปทำให้คนที่นั่งก้มหน้าอย่างเศร้าหมองอยู่เงยขึ้นมาอย่างประหลาดใจ

 

“รุ่นพี่...อุเมมิยะ?...กับ...?!     และวูบหนึ่งที่เธอเหลือบมาเห็นเขาเข้ามันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ เพราะเธอทั้งตกใจและโล่งใจ?

 

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ? นี่มันก็มืดมากแล้วนะ จะว่าเพิ่งเลิกเรียนพิเศษก็ไม่น่าใช่หรอก ใช่ไหม?”    เสียงทุ้มที่ฟังดูสบายๆของอุเมมิยะนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น รู้สึกถึงความพึ่งพาได้ เด็กสาวจึงยอมเล่าออกมา

 

“มีพวกทวงหนี้นอกระบบมาที่บ้านน่ะค่ะ...ฉัน...ก็เลยหนีมา ฮึก...ตอนนี้...เลยกลับไปที่นั่นไม่ได้แล้ว...”    มือเล็กๆปาดน้ำตาซ้ายทีขวาที เพราะแบบนี้นี่เองเธอถึงได้ดูเบาใจเมื่อเห็นหน้าเขา ก็ถ้าพวกทวงหนี้โผล่มาตอนนี้เธอก็คงไม่ต้องกลัวว่าจะโดนทำร้าย ในเมื่อมีอันธพาลที่น่ากลัวกว่าอย่างเขาอยู่ด้วย

 

“แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ล่ะ?”     อุเมมิยะยังซักต่อไป

 

“ทั้งสองคน...น่าจะกำลังหาทางรับมือกับเจ้าหนี้พวกนั้นอยู่ค่ะ ก็เลยให้ฉันหนีมา ฉันกลัวมาก...ทั้งๆที่ควรจะเข้าไปช่วยพ่อกับแม่แท้ๆ”     น้ำตายังหยดลงมาอีกจนเขาได้แต่หันไปสบถอีกทาง 

 

“อย่างเธอจะเข้าไปช่วยอะไรได้ หนีมาน่ะถูกแล้วเฟ้ย”     เขาพูดออกไปตามตรง อ่อนแอก็ต้องรู้ตัวสิว่าอ่อนแอ ยิ่งเข้าไปยุ่งพ่อแม่เธอนั่นแหละที่จะลำบาก แต่เขาอาจจะพูดตรงไปหน่อย เด็กสาวเลยยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม บ้าจริง

 

“เรื่องนี้มันเกินกำลังเด็กอย่างพวกเรานะ ให้ผู้ใหญ่จัดการเถอะ”    เสียงทุ้มของอุเมมิยะเอ่ยปลอบใจและพอจะทำให้ไหล่บางนั่นหายสั่นสะท้านไปได้บ้าง

 

“ก่อนอื่นก็...ต้องแจ้งตำรวจให้ไปช่วยตรวจดูแถวนั้นสักหน่อย เขียนที่อยู่ที่บ้านให้ที”    อุเมมิยะจัดการได้สมกับที่เป็นคนมีวุฒิภาวะ  มือแข็งแรงยื่นบิลที่ได้จากซุปเปอร์เมื่อกี้ให้เด็กสาวเขียนที่อยู่ ในขณะที่ตัวเองก็โทรแจ้งตำรวจและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดไป

 

ถ้าเป็นเขา...ก็คงจะใช้กำลังแก้ปัญหา คงจะไปกระทืบไอ้พวกนั้นด้วยตัวเองไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่าจะต้องติดร่างแหอะไรไปอีกรึเปล่า

 

“ไม่ต้องห่วงนะ คุณตำรวจบอกว่าจะไปลาดตระเวนแถวนั้นให้แล้วล่ะ”     อุเมมิยะหันมายกนิ้วโป้งให้

 

“อืม...ทีนี้ก็จะเหลือปัญหาที่ว่า...ต้องหาที่นอนให้เธอในคืนนี้ก่อน...”    และเมื่ออุเมมิยะพูดออกมาแบบนั้น...มันก็อาจจะถึงตาที่เขาจะต้องทำอะไรบ้างแล้วก็ได้?

 

อุเมมิยะคงคิดจะช่วยผู้หญิงคนนี้ด้วยการพาไปนอนค้างที่บ้านแบบที่เคยช่วยเขาก็ได้?

 

ถ้างั้นเขาก็ควรจะกลับไปนอนที่บ้านของตัวเองได้แล้วไหม? เพราะดูยังไงผู้หญิงคนนี้ก็เดือดร้อนกว่าเขาเห็นๆ อีกอย่างที่บ้านของเขาถึงเสื่อทาทามิจะยังเละเทะอยู่แต่ก็แห้งพอจะซุกหัวนอนได้แล้ว

 

“ให้ฉัน...กลับไปนอนที่บ้านของฉันไหม? แล้วนาย...ก็พาผู้หญิงคนนั้นไปพักที่บ้านนาย”      เขาขยับเข้าไปกระซิบถามอุเมมิยะ...ไม่รู้ทำไม...ใต้แผ่นอกซ้ายถึงรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตแปล๊บๆ

 

เขาอาจจะติดรสชาติกับข้าวอร่อยๆฝีมือหมอนี่ อาจจะติดที่นอนอุ่นๆเพราะร่างกายหมอนี่ไปแล้วก็ได้ เพราะหากจะถามว่าไม่หวงพื้นที่ตรงนั้นเลยหรือไง...เขาก็ตอบได้ไม่เต็มปากเสียแล้ว

 

เจ้าอุเมมิยะ...ทำให้เขาเสียนิสัยไปแล้วสินะ...

 

ร่างสูงใหญ่ไม่ได้ตอบเขาเพราะกำลังไถโทรศัพท์หาเบอร์ใครสักคนอยู่ ทว่า...มือที่อุ่นร้อนอีกข้างนั้นกลับดึงมือของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย...

 

“อ่า ซาโต้ซัง ขอโทษที่โทรมารบกวนตอนดึกๆครับ พอดีมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย”     แล้วอุเมมิยะก็เล่าเรื่องของผู้หญิงคนนั้นให้ปลายสายฟังอีกรอบ

 

พวกเขานั่งรออยู่สักพักคนของสถานสงเคราะห์ก็มารับตัวเด็กสาวไป  ในขณะที่เขาสองคนยืนส่ง ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาก้มหัวให้จนลับสายตา

 

“พวกเราก็กลับบ้านกันเถอะ”     อุเมมิยะหันมายิ้มให้ มือที่จับเขาไว้ตลอดนั้นชื้นเหงื่อไปหมด เมื่อไหร่จะปล่อยซักทีเนี่ย?

 

“นึกว่าจะพาไปค้างที่บ้านด้วยซะอีก...”      เขาพูดออกไปเบาๆในขณะที่เดินขึ้นเนิน

 

“จะบ้าหรือไงอีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิงนะ ให้มาค้างด้วยไม่ได้หรอก”    อ๋อ คงจะไม่เหมาะสมสินะถ้าชายหญิงจะนอนค้างอ้างแรมด้วยกัน ยิ่งเป็นห้องๆเดียวแบบนั้นด้วย?

 

“แต่ถึงจะเป็นผู้ชายก็ไม่ได้เหมือนกัน”     อุเมมิยะหันมาโบกมือไปมา

 

“เอ๊ะ? ทำไมล่ะ? ที่ฉันยังพาไปอยู่ด้วยเลย?”     เขาจึงหันไปมองอย่างตกใจ ไม่ใช่ว่าเห็นใครเดือดร้อนก็พากลับไปนอนที่บ้านหมดหรอกเหรอ?

 

“ก็เพราะว่าเป็นนายไงฮารุกะ ซากุระ  ฉันพากลับไปด้วยเพราะเป็นนาย  ไม่ใช่ใครก็ได้”    แล้วคำพูดของอุเมมิยะก็ทำให้ดวงตาสองสีเบิกกว้าง

 

“ทำไมล่ะ? ฉันต่างจากคนอื่นหรือไง?”

 

“ใช่น่ะสิ นายต่างจากคนอื่น”      เขาอ้าปากค้างอย่างมึนงง และอุเมมิยะก็ใช้จังหวะนั้นขยับเข้ามาใกล้

 

ริมฝีปากของอีกฝ่ายเป่าลมหายใจรดใบหูก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

 

“เพราะฉัน...อาจจะกำลังคิดไม่ซื่อกับนายอยู่ก็ได้”

 

“คะๆๆคิดไม่ซื่อ?”     มือบางตะปบใบหูตัวเองก่อนจะหันไปมองเลิ่กลั่ก แต่เจ้าคนที่ชอบเปลี่ยนเรื่องก็เดินหนีไปซะงั้น

 

“อื้มมม กลับบ้านไปทำข้าวเย็นกินกันเถอะ หิวแล้วเนี่ย โอยาโกะด้ง โอยาโกะด้ง!

 

“เดี๋ยวก่อนสิ คิดไม่ซื่อนี่คือยังไง? นี่! ตอบมาก่อนสิ อย่าหนีนะ! อุเมมิยะ!

 

 

 

 

 

 

 

พรุ่งนี้ก็จะถึงวันแข่งกีฬาสีแล้ว...ตอนนี้ทุกสีจึงนัดซ้อมกันอย่างดุเดือด รวมไปถึงคนที่มีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ต่างก็กำลังวิ่งวุ่นกันอย่างหัวหมุน

 

ร่างโปร่งบางในชุดวอล์มปล่อยชายสบายๆเดินไปตามโถงกว้างโล่งของชั้นหนึ่งใต้อาคารเรียน  เขาเพิ่งแยกมาจากกลุ่มเพื่อนที่ไปซ้อมบาสด้วยกันเพราะดันลืมชุดนักเรียนเอาไว้ในล็อกเกอร์ เจ้าพวกนั้นเลยพากันกลับบ้านไปก่อนแล้ว

 

แถมระหว่างทางดันไปเจอพวกพี่สาวแว่นกรรมการสีเขียว เลยต้องไปช่วยเดินดูความเรียบร้อยของลู่วิ่งเป็นครั้งสุดท้าย กว่าจะเสร็จเลยเย็นย่ำอย่างที่เห็น

 

ขาเรียวเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ยังเหลือคนอยู่ประปรายท่ามกลางแสงแดดสีส้มที่ฉาบไล้ไปทั่วพื้นหินขัด

 

“อ๊า~ แย่แล้ว!     แล้วจู่ๆความสงบของเขาก็ถูกรบกวนด้วยเสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงพร้อมกับถังน้ำขนาด20ลิตรที่กลิ้งหลุนๆมาตามพื้น

 

อะไรวะนั่น?

 

ปั้ก!

 

จะอะไรก็ไม่รู้แหละแต่เขาก็หยุดเจ้าถังน้ำที่กำลังกลิ้งกลุกๆนั่นไว้ด้วยฝ่าเท้าแบบคูลๆ

 

“ขะ ขอโทษที พอดีว่ามันหลุดมือ...”     ดวงตาสองสีเหลือบมองเด็กผู้หญิงสองคนที่กำลังก้มหัวขอโทษขอโพยอยู่ตรงหน้าสลับกับถังน้ำใบเท่าควาย...จะยกไม่ไหวก็ไม่แปลก

 

“จะเอาไปไหน?”    เสียงห้าวถามออกไปทำให้สองสาวถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะคิดว่าเขาจะหาเรื่อง

 

“อะ เอาไปใส่คูลเลอร์ตรงนู้นค่ะ”    สองสาวหลับตาปี๋...แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเขาที่ดึงถังน้ำนั่นขึ้นมาแบกบนบ่าเอง

 

ร่างโปร่งในชุดวอล์มก้าวเดินต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไร ทำให้สองสาวถึงกับมองตาโต

 

“ดูๆไป...ซากุระคุงก็เท่ห์ดีนะ?...ถึงสีผมกับสีตาจะแปลกไปหน่อยแต่ก็เป็นคนที่หล่อมากไม่ใช่เหรอเนี่ย?”     ได้ยินเสียงซุบซิบดังมาจากด้านหลัง เขาไม่ได้หันไปโต้ตอบเพราะจู่ๆหูก็แดงขึ้นมา

 

“ใช่...ยิ่งตอนอยู่กับรุ่นพี่อุเมมิยะนะ ดูเหมือนแมวเลยละ”     อึ้ก! แมวบ้าอะไรฟ๊ะยัยพวกนี้!

 

“ไม่เห็นจะน่ากลัวอย่างที่ใครๆบอกเลย...”    เสียงค่อยๆหายไปเรื่อยๆตามระยะทางที่ห่างออกมา  

 

เขาเดินเลี้ยวไปตามทางเดินที่เชื่อมระหว่างตึกเรียนกับสนามฟุตบอล ถ้าจำไม่ผิดใต้ตึกตรงนั้นมีคูลเลอร์กับพวกตู้กดน้ำอยู่ น่าจะเป็นตรงนั้นมั้ง

 

อ่ะ เจอแล้ว  ในที่สุดเขาก็เจอคูลเลอร์ที่ไม่มีถังตั้งอยู่

 

กึ้ง!

 

เขายกถังน้ำคว่ำใส่คูลเลอร์ แต่ยังไม่ทันจะไปไหน ก็มีคนมาลองกดน้ำให้ทันที

 

เจ้าของหัวสีขาวที่คุ้นตากำลังยื่นกรวยกระดาษมากดน้ำต่อหน้าต่อตา และนั่นก็ทำให้เขาเดือดปุดๆ

 

“เพิ่งจะยกมาเองนะเฟ้ย! ทำไมไม่ไปกินอันที่ใกล้จะหมดตรงนู้นก่อนล่ะ! เจ้าบ้านี่”     นิ้วเรียวชี้ไปที่คูลเลอร์อีกอันที่อยู่ห่างออกไป

 

“ก็อยากเจอซากุระนี่นา~ ฉันยุ่งสุดๆเลยอ่าวันนี้ แล้วก็ห่อเหี่ยวสุดๆเลยด้วย เจ้าเหมียวน้อยผู้ฮีลใจของฉัน มาให้กอดที~     ไม่ว่าเปล่า เจ้าอุเมมิยะยังดันเขาเข้าข้างตู้กดน้ำจนติดผนังก่อนจะเอาหน้ามาคลอเคลีย

 

“ห๊า? เจ้าเหมียวน้อยบ้าอะไรเล่า!     นิ้วทั้งห้ากางเล็บออกก่อนจะยันลงไปบนหน้าหล่อเหลา แต่อุเมมิยะก็จับข้อมือของเขาไว้

 

ยื้อยุดกันไปยื้อยุดกันมาก็กลายเป็นว่าข้อมือของเขาถูกมือใหญ่ๆนั่นกดติดกำแพงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้...

 

 

 

ร่างกายของพวกเรานิ่งค้างอยู่แบบนั้นท่ามกลางความเงียบงันและแสงแดดยามเย็นที่นุ่มละมุน...

 

 

 

ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีขาวจ้องมองใบหน้าของซากุระที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ...

 

พอดวงตาสีฟ้าอมเทาได้สบกับดวงตาสองสีแสนประหลาดก็เหมือนกับจะถูกดึงดูดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว...

 

ข้างที่เป็นสีอำพันนั้นมันงดงามแวววาวราวกับลูกแก้ว ส่วนข้างที่เป็นสีดำก็ดูลึกลับน่าค้นหา...

 

ร่างสูงสง่าจึงเผลอโน้มตัวลงไปช้าๆ...ใบหน้าค่อยๆเอียงเล็กน้อยเพื่อหลบหลีกปลายจมูกโด่งรั้นไม่ให้ชนกัน

 

และเพื่อให้ริมฝีปากของเขา...สามารถจะเข้าไปใกล้...ริมฝีปากสีชมพูนั้นได้...

 

หัวใจ...เต้นดังจนหนวกหูเลยแหะ

 

ทั้งของเขา...และของซากุระ...

 

ริมฝีปากของเราห่างกันไม่ถึงเซ็นต์แต่เขาก็นิ่งค้างไว้แบบนั้นราวกับกำลังรอคำอนุญาติ  ลมหายใจ...ผสมกันปนเปกันไปหมดจนแทบจะมึนเมา

 

แล้วในขณะที่ดวงตากลมโตซึ่งเคยเบิกกว้างมองเขามาตลอดปิดลงในชั่วพริบตา นั่นก็ทำให้ริมฝีปากที่เคยนิ่งค้างจู่โจมเข้าไปในทันที

 

“อื้อ...”     ซากุระส่งเสียงในลำคอเบาๆ กลีบปากของเขาค่อยๆจรดแนบลงไปบนกลีบปากนุ่มนิ่ม...

 

ร้อนไปหมด...เหมือนความร้อนทั้งร่างกายมันไหลมารวมอยู่ที่ใบหน้า

 

เหมือนความรู้สึกจากหัวใจมันไหลมารวมอยู่ที่ริมฝีปาก

 

เขาค่อยๆปิดตาลงช้าๆ...แล้วซึมซับมันไปพร้อมกับซากุระ

 

ไม่น่าเชื่อเลยว่าสัมผัสเพียงแค่นี้กลับสามารถพูดแทนหัวใจได้เกือบหมด...ชอบมาก...ชอบเหลือเกิน...ชอบจนจะบ้าตายอยู่แล้ว...ซากุระ

 

เขาค่อยๆละออกมาจากจูบแรกของเราทั้งคู่ช้าๆ...ดวงตายังสบประสานกันอย่างนุ่มนวล...

 

ก่อนที่เสียงทุ้มก้องกังวานจะพูดออกไป

 

“ได้คำตอบหรือยัง? ว่าฉันคิดไม่ซื่อกับนายยังไง?”

 

“อะ....”

 

“ถ้ายัง จะให้จูบอีกรอบไหม?”     เขายิ้มให้ซากุระก่อนจะขยับไปกระซิบที่ใบหูแดงเถือก

 

 

“ที่ฉันเคยถามนาย...ว่าถ้ามีผู้ชายมาจีบนายจะรังเกียจไหม?...นั่นน่ะ...ฉันหมายถึงตัวฉันเองยังไงล่ะ ซากุระ”

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be Con.

 

 

โอยยยย เขินพี่อุเมะชิหัยกว่าจะเขียนจบแต่ละตอนได้เนี่ย งื้ออออ //ปิดหน้าแล้วลงไปดิ้น  คือคุณกวางมันเป็นมัมหมีน้องซาก็จริง แต่มันเป็นมัมหมีเปรตนะคะ บางวันก็อยากได้แฟนลูกจนโดนยัยแงวจับยัดถังขยะสีแดงตล๊อดดด ยัยมี๊ขยะอันตรายนี่! 5555  ชอบพี่อุเมะมากค่ะ คือเป็นร่างอวตารของโกะโจเซนเซย์ที่อยากได้เป็นของตัวเองจนน้องยูจิเตะลงถังแดงทุกวันอยู่เหมือนกัน5555

 

ส่วนฟิคเรื่องนี้ก็คือนานๆจะได้แต่งพาร์ทจีบกันใสๆแบบนี้บ้าง งื้ออออ เขินนน ปกติจะจับกดไปก่อน ไว้ค่อยจีบทีหลังงี้555 //มันไม่ได้นะคะคุณชายชู~ >////<

 

ไว้เจอกันตอนหน้า ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามมากๆๆเลยนะคะ =////=

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น