Wind Breaker Au.Fic [UmeSaku] เหล้าบ๊วยกับชานมซากุระ : 01
:
Wind Breaker Fanfiction Au
:
Hajime Umemiya x Haruka Sakura
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
โรงเรียนฟูรินในโลกแห่งนี้ไม่ใช่โรงเรียนอันธพาล
แต่เป็นโรงเรียนสหศึกษาชาย-หญิงธรรมดาๆเพียงเท่านั้น...
ตึก...ตึก...ตึก...ตึก...
ซากุระ
ฮารุกะ
นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งกำลังเดินลากรองเท้าผ้าใบที่ใช้ใส่ในอาคารซึ่งถูกเหยียบทับส้นจนบี้แบนด้วยท่าทางเหมือนพวกนักเลงและนั่นก็ทำให้ใครต่อใครต่างก็หลบเลี่ยงเขาไปโดยปริยาย
แต่ใบหน้ามนที่อยู่ภายใต้กรอบผมสีดำและขาวอย่างละครึ่งอันแปลกประหลาดกลับไม่ยี่หระกับสายตาเหล่านั้นราวกับมันเป็นสิ่งที่เคยชินไปแล้ว
ดวงตาสองสีเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง
ดอกซากุระที่เคยเบ่งบานรับปีการศึกษาใหม่และฤดูใบไม้ผลิได้ร่วงหล่นไปจนหมดแล้วเพราะนี่ก็ผ่านมานานพอสมควร
นาน...จนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและใครเป็นใครในโรงเรียนที่ดูธรรมด๊าธรรมดาแห่งนี้
ตึกๆๆๆ
เสียงวิ่งตึงตังที่ดังไล่หลังมาไม่ได้ทำให้คนที่เดินทอดน่องเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่นั้นหันไปมอง
เพราะมันก็เป็นเรื่องปกติของห้องท้ายๆปลายแถวแหล่งรวมเด็กกเฬวรากกากเดนที่จะมีเสียงวิ่งตามทางเดินทั้งที่กฎก็มีว่าห้ามวิ่ง
ใช่
เขาจะไม่สนใจมันหรอกถ้าไอ้บ้าที่วิ่งมานั่นมันจะไม่ชนจนไหล่เขาแทบหลุดแบบนี้!
ตุ้บ!
“เฮ้ย! ไอ้เวรพวกนี้! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!” เสียงห้าวไม่สมตัวตะโกนใส่หลังคนสองคนที่วิ่งจ้ำอ้าวหนีไปอย่างตั้งอกตั้งใจนั่น
เวรเอ้ย! ชนแล้วไม่คิดจะขอโทษเลยเร๊อะ?! เจ็บนะเนี่ย!
แกร้บ!
จากที่ตั้งใจจะวิ่งตามไปลากคอมันมาสั่งสอนสักทีสองที
ฝ่าเท้ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อพบว่าเขาเหยียบอะไรบางอย่างเข้า
“หื๋อ?” นัยน์ตาสองสีเหลือบลงไปมอง...ซองบุหรี่?
ของไอ้สองตัวนั่นทำตกไว้สินะ?
เพราะเขาก็เดินมองทางมาตลอดและจนถึงเมื่อกี้นี้มันยังไม่มีนะตรงนี้?
ร่างโปร่งที่สูงไม่ถึง170ดีก้มลงไปหยิบซองกระดาษฟอยด์นั่นขึ้นมาดู ยังมีบุหรี่ที่ยังไม่ได้สูบอยู่อีกหลายมวนเลยแหะ
“เจอตัวจนได้นะไอ้เด็กเหลือขอ! จะวิ่งหนีทำไมฟ๊ะ! แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...” ห๊ะ?
เขาได้แต่อุทานอยู่ในใจเพราะยังไม่ทันจะหันหน้าไปมองว่าเสียงใคร
หมับ!
ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามก็ล็อคมาที่คอของเขาทันที...นี่มัน...เจ้าฮิอิรางิ
รองประธานนักเรียนผู้คุมกฎนี่!
“ง่ะ!” เขาชักสีหน้าแขยงใส่อย่างไม่เกรงใจทันที
ก็หัวโจกเด็กเกเรอย่างเขาเข้ากับพวกสภานักเรียนได้เสียที่ไหน
ตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกมาจนถึงวันนี้ก็วิ่งไล่จับกันมาตั้งเท่าไหร่
แถมกับเจ้าพวกผู้คุมกฎจอมเถื่อนพวกนี้ก็โหดยิ่งกว่าอันธพาลเสียอีก! เรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมาคอยแต่จะลากคอเขาเข้าห้องปกครองอยู่ตลอดนั่นแหละ
“อะไรเนี่ย?
ที่แท้ก็แกเองเร๊อะ เดี๋ยวนี้ริอ่านสูบบุหรี่ด้วยสินะ ซา-กุ-ระ ฮา-รุ-กะ-คุง~” คนที่สูงกว่าหลายคืบก้มลงมามองก่อนจะแสยะยิ้มให้ราวกับบิชามอนเทนมาโปรด
ทำเอาขนลุกซู่ตั้งแต่หลังคอยันรากผม...
“อะไรวะ?
ไม่เห็นจะรู้เรื่อง?!” ริมฝีปากช่างเจรจาและไม่เคยยอมใครเถียงออกไป
มากล่าวหาว่าเขาสูบบุหรี่เนี่ยนะ?
ให้ตายเถอะนอกจากเรื่องใช้กำลังแล้วเขาก็ไม่เคยคิดจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับของอบายมุขทั้งหลายแหล่นั่นหรอก
มันน่ารำคาญ!
“หลักฐานคามือนี่ไง
ไปห้องสภานักเรียนกับฉันเดี๋ยวนี้เลย”
แต่มือใหญ่ๆก็รวบซองบุหรี่ที่เขาถืออยู่ไป ก่อนมืออีกข้างจะหิ้วคอเสื้อลากให้เดินตามอย่างไม่ยอมฟังคำโต้แย้งใดๆ
“ห๋า?
หลักฐานอะไร? นี่ไม่ใช่ของฉันโว้ย! ปล่อยนะ! แล้วนี่จะไปไหน? ปล่อยสิฟ๊ะ!” เขาตะโกนโวยวาย
ซวยชิบหายเลยไหมเนี่ยของไอ้สองตัวนั่นแท้ๆอ่ะ!
“ก็บอกว่าจะพาไปห้องสภานักเรียนไง
ฟังบ้างไหมเนี่ย?!” แกนั่นแหละที่ต้องฟังฉัน!
“ไม่ฟังว้อย
แล้วก็ไม่ไปด้วย!” เขาทั้งดิ้นทั้งเถียงเสียงดังไปตลอดทาง
แต่ให้ตายเถอะ ขนาดเขาแข็งแกร่งที่สุดในชั้นปีหนึ่งแล้วนะ
แต่แรงยังไม่ถึงครึ่งของเจ้านี่เลย!
แล้วถึงฮิอิรางิจะเป็นคนที่เขาไม่อยากเห็นหน้า
แต่มันก็มีคนที่เขาไม่อยากเจอยิ่งกว่า!
ปึ้ง!
ซึ่งไอ้หมอนั่นที่ว่าก็นั่งยิ้มร่าอยู่หลังโต๊ะประธานนักเรียนนั่นไง...
ซะที่ไหนล่ะ!
“....จิ๊!
อยู่บนดาดฟ้าอีกแล้วสินะไอ้บ้านั่น ตามมา!” ท่านรองประธานนักเรียนสบถอย่างหัวเสียก่อนจะลากคอเขาขึ้นบันไดไปอีกชั้น
ประตูสู่โลกกว้างถูกเปิดออกดังปัง แล้วหลังจากแสงอันเจิดจ้านั่นค่อยๆเลือนหายไป
แผ่นหลังกว้างใหญ่ของชายผู้หนึ่งก็ปรากฎอยู่ตรงนั้น...
นักเรียนดีเด่นสามปีซ้อน
ไม่ว่าจะผลการเรียนหรือกีฬาล้วนเป็นที่หนึ่ง
ประธานนักเรียนผู้ได้รับคะแนนอันเป็นเอกฉันท์
ชายผู้อบอุ่นใจดีและมีอำนาจสูดสุดในสภานักเรียน ไม่สิ
ในโรงเรียนฟูรินแห่งนี้เลยก็ว่าได้
อุเมมิยะ
ฮาจิเมะ
ก็คือชื่อของเจ้าหมอนั่น!
ว่าแต่แกจะเปิดตัวยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไปเพื่ออะไร?
นั่งอยู่ในห้องสภานักเรียนสิฟ๊ะจะมายืนทำมิวสิคที่ดาดฟ้าเพื่อ?
เขาได้แต่แยกเขี้ยวใส่แผ่นหลังของคนที่ยืนรดน้ำวัชพืช(?)ที่ออกลูกสีแดงอย่างสบายใจอยู่ตรงนั้น
ไม่ใช่ว่าไม่เคยฟัดกันหรอก เขาลองแล้ว แต่พ่อพระของแผ่นดินฟูรินอย่างไอ้หมอนี่ดันเก่งแม้แต่เรื่องต่อยตีน่ะสิ! เก่งกว่าฮิอิรางิเสียอีก! เรียกว่าซัดเขาจนสลบราบคาบตั้งแต่หมัดแรกเลยด้วยซ้ำ น่าโมโหจริงๆ!
“ทำไมได้ยินเสียงแมวขู่แง้วๆแถวนี้นะ?
ใครเอาแมวมาปล่อยอีกแล้วรึไงเนี่ย?”
ใบหน้ากวนประสาทนั่นทำทีเป็นมองหาอะไรบางอย่าง แมวที่ไหนล่ะ!
มันน่านัก!
“อะแฮ่ม
อุเมมิยะ” จนฮิอิรางิเรียกนั่นแหละ
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีขาวที่เซตไว้อย่างดีนั่นจึงหันมา
“อ้าว
ฮิอิรางิ? ซากุระก็มาด้วย?”
ใบหน้ามอมแมมไม่สมกับตำแหน่งคิงออฟฟูรินเลยสักนิดเอียงคอสงสัย
จนกระทั่งหมอนั่นลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นตามตัวออกไปจนหมดนั่นแหละจึงค่อยดูสมกับที่เป็นประธานนักเรียนสุดหล่อที่สาวกรี๊ดกันทั้งโรงเรียนหน่อย
หมอนั่นรู้จักเขาดี...ในฐานะเด็กเกเรเบอร์ต้นๆของโรงเรียนที่ต้องคอยจับตาดูให้ดีไม่ให้ไปก่อเรื่องที่ไหนอีก
“มีอะไรเหรอ?” ร่างที่สูงเกือบ190เดินเข้ามาหาและเขาก็ส่งสายตาหวาดระแวงใส่ทันที
“ตอนที่เดินตรวจโรงเรียนฉันได้กลิ่นบุหรี่มาจากหลังตึก
A น่ะ แล้วพอชะโงกหน้าไปดูมันก็วิ่งหนีไปแล้ว ก็เลยวิ่งตามไปถึงจับตัวเจ้านี่มาได้” แล้วมือใหญ่ของฮิอิรางิก็หิ้วคอเขาอย่างกับหิ้วลูกแมวส่งให้อุเมมิยะ
ไอ้พวกยักษ์มาร!
“ก็บอกแล้วไงว่าซองบุหรี่นั่นไม่ใช่ของฉัน!
ไอ้โง่สองตัวนั่นมันวิ่งมาชนแล้วก็ทำตกไว้ต่างหาก! แกจับผิดคนแล้ว!” เขายังคงเถียงในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ
ถึงแม้การยัดข้อหาแบบนี้เขาจะเจอมาบ่อยๆตอนม.ต้นและคนที่สร้างบาดแผลในใจเหล่านี้ให้เขาล้วนเป็นพวกอาจารย์ที่ควรจะช่วยเขาก็เถอะนะ
แต่พอต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีกมันก็อดที่จะเบื่อหน่ายไม่ได้...ไม่มีใครอยากฟังคำแก้ตัวของเด็กเหลือขออย่างเขาหรอก
“ไอ้เด็กนี่
หัดมีสัมมาคาราวะก่อนเถอะแกน่ะ” แล้วมือใหญ่ของรองประธานก็กดหัวสองสีที่ดื้อด้านเถียงไม่หยุดให้ก้มลงต่อหน้าประธานนักเรียนที่ยังมองมาอย่างใจเย็น
“น่าๆ
ฮิอิรางิ” มือใหญ่ๆของอุเมมิยะโบกไปมาอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะมองมาที่เขาอย่างใช้ความคิด...อะ
อะไร...จะทำอะไรน่ะ?
“นายบอกว่าบุหรี่นั่นไม่ใช่ของนาย
แล้วนายก็ไม่ได้สูบบุหรี่สินะซากุระ?”
ดวงตาสีฟ้าเหยียดมองลงมาจากมุมที่สูงกว่า เขาก็ไม่ได้คิดหรอกว่าอีกฝ่ายจะยอมเชื่อ
แต่ว่า...เจ้าหมอนี่...มะ มองปากเขาทำไมน่ะ?
“ก็เออสิวะ”
แล้วทันทีที่พูดจบมือใหญ่ก็เอื้อมมาเฉยคางเขาแบบไม่ทันตั้งตัว
หัวแม่โป้งกดลงบนกลีบปากที่เผลอเผยอเพราะจะด่าหมอนั่นก่อนที่มันจะบดขยี้ริมฝีปากเขาไปมา
อะ อะ อะไรเนี่ย?
“อืม...ปากสีชมพูแถมนุ่มนิ่มเป็นเยลลี่แบบนี้น่ะนะจะสูบบุหรี่?
โอ๊ย!”
เขางั่มนิ้วนั่นเข้าให้ก่อนจะมองแรงด้วยสายตาดุร้าย
อีกฝ่ายจึงได้แต่หัวเราะพลางสะบัดมือไปมา
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย?” ท่านรองประธานถึงกับกุมกระเพาะส่ายหน้า
ไม่รู้ว่าประโยคที่เอ่ยออกมานั่นพูดถึงเขาหรือเพื่อนของตัวเองกันแน่
“แต่ว่านะ...วิธีที่จะพิสูจน์ว่าซากุระคุงพูดจริงหรือเปล่ามันก็ง่ายนิดเดียว” อุเมมิยะพูดก่อนจะจ้องมาที่เขาใหม่
ถึงจะตกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายยอมฟังเขา
แต่มันก็อดหวาดระแวงสายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมานั่นไม่ได้
“ยังไง?” เจ้ารองประธานเอ่ยถาม
ส่วนร่างสูงใหญ่ที่ดูสง่างามนั่นกลับก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ ช้าๆ
สายตา...มันไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด...
“ก็...ถ้าอยากรู้ว่าสูบบุหรี่มาจริงไหม...” อุเมมิยะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก
ทั้งคำพูดที่ถูกหยุดไว้ ทั้งรอยยิ้มจากสายตานั่น...มันไม่น่าไว้ใจจริงๆนั่นแหละ!
“ถ้าอยากรู้...ก็ต้องเข้าไปดมดูสิ”
พูดจบใบหน้าหล่อเหลาก็จู่โจมเข้ามาที่ซอกคอเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฟื้ด~
ได้ยินเสียงสูดกลิ่นดังฟื้ดจนความร้อนทั้งร่างกายพุ่งมาอยู่ที่ใบหน้าเขาอย่างมิได้นัดหมาย
ปลายจมูกแตะจรดลงไปบนผิวเนื้ออ่อนไหวจนเขารู้สึกได้
ใกล้...จนแทบจะฝังรอยเอาไว้เลยทีเดียว
“ไอ้!”
เขากระโดดโหยงขู่ฟ่อไปตามปฏิกิริยาอัตโนมัติจนอุเมมิยะถึงกับหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ
อะ
อะ ไอ้บ้านี่! หัวเราะอะไรฟ๊ะ! อายบ้างไหมเนี่ยทำอะไรลงไป!! เขาขู่ฟ่อเป็นแมวพองขนและหนีออกไปในระยะที่คิดว่าปลอดภัย
“สบายใจได้ฮิอิรางิ
นายจับมาผิดคนแล้วละ ซากุระไม่ได้สูบบุหรี่หรอก ไม่มีกลิ่นบุหรี่เลยสักนิด...จะมีก็แต่~” ปลายเสียงเจ้าเล่ห์ลากยาวอย่างน่าหมั่นไส้ทำให้เขายิ่งแยกเขี้ยวใส่ไปอีก
“แต่?” ฮิอิรางิเอียงคอสงสัย
“จะมีก็แต่กลิ่นหวานๆ~ ...เหมือนชานมซากุระซะมากกว่า”
ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มทำให้เขาถึงกับอ้าปากพะงาบๆ
“กะ
แก! ชานมอะไรวะ! ไอ้!” มือบางยกปิดคอไปก็ด่าไป แต่เพราะรู้ว่าทำอะไรอุเมมิยะไม่ได้เลยได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันชี้นิ้วใส่
“ฮึ่ย!
หมดเรื่องแล้วใช่ไหม?! เสียเวลาชะมัด!!” ร่างโปร่งฟึดฟัดก่อนจะเดินหัวเสียจากไป
ทิ้งให้คนหยอกเย้ายืนยิ้มอยู่ที่เดิม
“เฮ้อ...ไอ้เจ้าเด็กนี่
มารยาทไม่มีสักนิด” รองประธานผู้คุมกฎบ่นอุบ
“ฮึ...แต่ก็น่ารักดีนี่นา...เหมือนลูกแมวเลยไม่ใช่รึไง” ร่างสูงใหญ่ยักไหล่ก่อนจะมองตามแผ่นหลังที่หายไปด้วยสายตาอ่านไม่ออก
“เฮอะ
ระวังมันข่วนเอาหรอก” ฮิอิรางิส่ายหน้าก่อนจะเดินตามซากุระไปอีกคน
“แมว...ก็ต้องข่วนสิ
ถึงจะเรียกว่าแมว” มีเพียงเสียงพึมพำอย่างพึงพอใจเอ่ยออกไปจากใบหน้าที่ดูราวกับเป็นคนละคนกับชายที่ใครๆต่างก็ยกให้เป็นจุดสูงสุดของฟูรินคนนั้น
อุเมมิยะ
ฮาจิเมะ ก็มีด้านที่ไม่เคยเผยให้ใครเห็นอยู่เหมือนกัน...
“ขอบคุณมากนะครับ
แล้วเชิญใหม่ครับ!”
เสียงตอบรับจากพนักงานร้านสะดวกซื้อดังไล่หลังมา ซากุระ
ฮารุกะเพียงเดินต่อไปอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
ร่างโปร่งบางแต่ก็มีกล้ามเนื้อพอดีๆเดินขึ้นเนินอย่างตั้งใจจะกลับบ้านของตัวเอง
ถุงจากร้านสะดวกซื้อคล้องอยู่ที่แขนและมันก็กวัดแกว่งไปมาตามจังหวะการก้าวขา
เขาตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปยังสวนสาธารณะก่อนที่จะถึงอพาท์เม้นต์อีกไม่ไกลนัก
เขานั่งลงที่ม้านั่งก่อนจะหยิบกล่องๆหนึ่งออกมาจากถุงพลาสติก
ดวงตากลมโตแถมยังมีสองสีเหมือนตาแมวหรี่มองกล่องเจ้าปัญหานั่นก่อนจะทอดถอนใจ
ค้างคาอะไรถึงขั้นต้องไปซื้อมันมาด้วยเนี่ย~ ให้ตายเถอะ!
เพราะเจ้าอุเมมิยะแท้ๆเชียว!
“เฮ้อ...” เขาดึงหลอดที่เสียบอยู่ข้างๆกล่องสี่เหลี่ยมเกือบๆจัตุรัสเหมือนกล่องนมนั่นออกมาก่อนจะปักปึ้กลงไป
กลิ่นหอมหวานโชยออกมาแตะจมูกทันที...
นี่ฉัน...มีกลิ่นแบบนี้จริงๆเหรอ?
เขามองกล่องชานมซากุระในมืออีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
เพราะเป็นชานมที่จะมีขายเฉพาะช่วงนี้จึงนับเป็นของที่เกือบๆจะหายากแล้วในตอนที่ใกล้จะหมดฤดูใบไม้ผลิเต็มที
มือบางยกกล่องนั่นขึ้นมาดมฟุดฟิดๆอีกรอบ
มันไม่เหมือนกลิ่นชานมทั่วๆไปที่มักจะมีกลิ่นเหมือนหญ้า? แต่เจ้านี่มันจะเป็นกลิ่นหอมหวานของดอกไม้เสียมากกว่า?
กลิ่นจากตัวเขาเป็นแบบนี้จริงดิ? ได้ไงวะ?
นี่มันทั้งหอมทั้งหวานเลยนะกลิ่นชานมนี่น่ะ ดมยังไงของไอ้หมอนั่นฟ๊ะ?! ไม่ใช่แล้ว!
ดวงตาสองสีเหล่มองกล่องสีชมพูที่อยู่ในมือพลางแก้มแดงระเรื่อ
แต่...ไหนๆก็ซื้อมาแล้วจะทิ้งไปทั้งอย่างงี้มันก็เสียเปล่า
ริมฝีปากจึงจรดลงไปที่ปลายหลอดก่อนจะดูดขึ้นมาเบาๆ
ดวงตาสองสีเบิกค้างไปวูบนึง
รสชาติของมันก็ไม่แพ้กลิ่นเลย มันเป็นชานมที่หอมหวานกลมกล่อม ความหวานอ่อนๆนั่นละมุนลิ้นไปหมด
ละมุนจนคลื่นความร้อนยังคงถาโถมอยู่บนใบหน้า
เขาเสสายตาไปมองพื้นก่อนจะพูดงึมงำออกมาเบาๆ
“อร่อยแหะ”
เขากลืนชานมซากุระลงคอ
ในหัวยังคงนึกถึงเจ้าคนที่ทำให้เขาต้องมานั่งดื่มมันอยู่ตรงนี้...อย่างน้อยอุเมมิยะก็ไม่ตัดสินเขาจากภายนอกและยอมรับฟังเขา
ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะรีบๆตัดสินว่าเขาสูบบุหรี่นั่นแล้วก็สั่งลงโทษโดยไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
ลงโทษทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ...เพียงเพราะเขามีรูปลักษณ์ต่างจากตัวเอง
เพียงเพราะเขาดูเหมือนพวกนักเลงพวกเด็กเกเร
ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นโดยมีชานมซากุระกลั้วอยู่เต็มสองแก้ม
ก็...ประทับใจและอยากจะขอบคุณนั่นแหละ
แต่เขาแค่รู้สึกอยู่ในใจคนเดียวก็ได้มั้ง จะให้พูดออกไปมันก็น่าอายนี่นา...
เขานั่งโยกตัวเล่นไปมาในขณะที่ค่อยๆดูดชานมอย่างไม่รีบร้อน...จู่ๆก็นึกถึงวันแรกที่ได้เจออุเมมิยะขึ้นมาได้
วันนั้นเป็นวันเปิดเทอมวันแรก...พวกสภานักเรียนออกมาเดินตรวจตราความเรียบร้อยกันเป็นกลุ่มใหญ่
ขนาดเขาที่ไม่สนใจใครยังแอบเหลือบมองจากมุมหนึ่งของโถงทางเดิน เจ้าพวกนั้น...เป็นกลุ่มคนที่ดึงดูดสายตามากจริงๆ
และท่ามกลางกลุ่มคนที่โดดเด่นขนาดนั้นกลับมาคนที่เด่นกว่าใครเพื่อน
หมอนั่นเป็นคนแรกที่เข้ามาอยู่ในสายตาของเขา เป็นคนแรกที่ยิ้มให้เขาแทนที่จะแสดงสีหน้าประหลาดใจในรูปลักษณ์ของเขาอย่างที่คนอื่นๆเป็น
เจ้าหมอนั่นแหละ
อุเมมิยะ
ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นจะตีกันเพราะเขาต่อยเพื่อนร่วมห้องจนสลบก็เถอะนะ...
มือบางโยนกล่องชานมลงถังขยะก่อนจะเดินกลับบ้าน
ถึงมันจะเป็นเพียงอพาทเม้นต์โกโรโกโสเก่าโทรมแต่มันก็เป็นที่ซุกหัวนอนเดียวของเขา
โจ่ก.....
เสียงน้ำไหลโจ่กดังต้อนรับทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป
คิ้วสองสีขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยแล้วพอเปิดไฟเท่านั้นแหละ...
“นี่มันอะไรกันฟ๊ะ?!!!”
เขาได้แต่อ้าปากค้างกับสภาพห้องที่มองเห็น
มีน้ำไหลเป็นทางลงมาจากฝ้าเพดานและบนพื้นเสื่อทาทามิก็เจิงนองอย่างกับคลอง
นี่มันเลี้ยงปลาคราฟได้เลยนะเฮ้ย! ใครมันมาทำอะไรกับห้องของเขาเนี่ย?!
เขาวิ่งตึงตังลงไปบอกป้าเจ้าของตึก
และเมื่ออีกฝ่ายขึ้นมาดู...
“อื้ม...เข้าใจละ
ยังไงคืนนี้ก็หาที่นอนไปก่อนนะพ่อหนุ่ม”
สรุปก็คือไอ้ห้องข้างบนทำท่อแตกตอนที่ไม่มีใครอยู่
น้ำมันเลยไหลลงมาที่ห้องของเขาด้วย บ้าจริง
“ห๊า?! พื้นเป็นแบบนี้แล้วจะนอนได้ไงเนี่ยป้า! แหกตาดูให้ดีๆสิ น้ำท่วมมันครึ่งข้อแล้วนะเฟ้ย! ฟูกก็เละไปหมดแล้ว!
แถมบนหัวที่ก็ยังไหลโจ่กๆลงมาไม่หยุดอีก!” เขาแหกปากใส่ป้าเจ้าของอพาทเม้นต์ที่ยังหัวเราะฮุๆอย่างใจเย็น
“โธ่~
พ่อหนุ่มนี่ละก็ ใจร้อนจริงๆ ไม่ได้จะให้นอนที่นี่~
แต่เพื่อนน่ะ ต้องมีซักคนใช่ไหมล่ะ? ก็ไปขอนอนค้างกับเพื่อนสักคืนสิ” คุณป้าบอกปัดอย่างไม่คิดจะรับผิดชอบใดๆซึ่งเขาก็ได้แต่ชะงัก
“เพื่อน?”
“เท่านี้ก็หมดเรื่องแล้ว
ไปๆ แยกย้ายๆ ส่วนเรื่องซ่อมนี่เดี๋ยวให้คนมาดูพรุ่งนี้นะ” แล้วคุณป้าก็เดินหัวเราะโฮะๆจากไปหน้าตาเฉย
“ห๊ะ?
ห๊า~~?! ไปง่ายๆงี้เลยเร๊อะ ป้า!!!”
แล้วก็หายตัวง่ายหายตัวไวเหลือเกินนะยัยป้านั่น!
เขาหันไปมองสภาพห้องอย่างหัวเสียอีกครั้ง
มันไม่มีตรงไหนจะนอนได้เลยจริงๆแหะ แล้วพอนึกถึงเพื่อนอย่างที่ป้าว่า...
เพื่อนเหรอ? เขากับเจ้าพวกนั้นนี่นับว่าเป็นเพื่อนกันไหมนะ?
ไม่สิ
คนอย่างเขามีเพื่อนเสียที่ไหน!
“เฮ้อ...” ใบหน้ามนถอนหายใจ เอาวะ
ถึงจะไม่มีเพื่อนแต่ก็ยังมีห้องเรียนอยู่นี่นา ไปนอนที่โรงเรียนก็ได้!
หลังจากตัดสินใจได้เขาจึงตรงดิ่งกลับไปที่โรงเรียนทันที
มืดค่ำขนาดนี้แล้วคงจะไม่มีใครอยู่แล้วละมั้ง
ดวงตาสองสีมองประตูรั้วเหล็กที่แง้มอยู่อย่างสงสัยเมื่อไปถึงหน้าโรงเรียน
เห๋? ยังมีพวกชมรมกีฬาไหนยังไม่กลับกันหรือไง? นี่มันทุ่มกว่าแล้วนะ?
เขาพยายามเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่มีเสียงแก๊งจากลูกเบสบอล ไม่มีเสียงทสึรุเนะหรือเสียงลูกธนูปักลงไปในเป้า
ไม่มีเสียงเอี๊ยดๆดังมาจากสนามบาสในโรงยิม ไม่มีเสียงแหกปากตะโกนของพวกชมรมเคนโด้
ไม่มีเสียงนกหวีดจากสนามฟุตบอล ไม่มีเสียงอะไรเลย?
หรือภารโรงจะลืมล็อคกุญแจ?
อ่า
ช่างเถอะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่ต้องโดดข้ามรั้วให้เมื่อย
ร่างโปร่งจึงผลักประตูเลื่อนนั่นแล้วเดินเข้าไปโต้งๆเลย
เขาเดินต่อไปยังห้องเรียนของตนโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ตามลำพัง
แต่ที่ประตูรั้วมันยังถูกแง้มเอาไว้นั้นนั่นก็เป็นเพราะว่ายังมีใครบางคนอยู่บนดาดฟ้าต่างหาก...
เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีดังมาจากร่างสูงใหญ่ที่ตั้งใจมาเก็บผักไปทำอาหารเย็น
ไหนดูซิๆว่าวันนี้มีอะไรให้กินบ้าง~
ดวงตาสีฟ้าจ้องไปที่มะเขือม่วงที่ห้อยเป็นพวงลงมาจากต้น
ลูกอวบอ้วนกำลังน่ากินแบบสุดๆเลย เอาเจ้านี่แล้วกัน!
มือใหญ่ใช้กรรไกรตัดขั้วก่อนจะวางลงอย่างเบามือใส่ตะกร้าที่เตรียมเอาไว้
แผ่นหลังกว้างยืดตรงเมื่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูง อ้า~เป็นประธานนักเรียนก็ดีแบบนี้
เขาสามารถใช้อภิสิทธิ์ในการใช้พื้นที่ต้องห้ามอย่างดาดฟ้าโรงเรียนมาเป็นพื้นที่ปลูกผักสวนครัวส่วนตัวได้สบายๆ
แถมบนนี้แดดยังดีสุดๆ ดูสิ เจ้าผักพวกนี้ถึงได้งอกงามออกดอกออกผลกันเต็มไปหมด
ร่างสูงใหญ่ที่เท่ห์มากในสายตาใครต่อใครปิดประตูดาดฟ้าก่อนจะเดินลงบันไดมา
เสียงกริ๊งๆจากพวงกุญแจที่หมุนอยู่บนปลายนิ้วส่งเสียงดังก้องไปทั่วโถงทางเดินยาวเหยียดที่เงียบสนิท
แล้วก็เพราะโถงทางเดินมันยาวถึงกันหมดนั่นแหละจึงทำให้เขาสังเกตุเห็นว่า...มันมีห้องๆหนึ่งซึ่งเปิดไฟทิ้งเอาไว้อยู่?
นั่นมัน...ห้องปี
1-F
? ห้องสุดท้ายที่เป็นแหล่งรวมวายร้ายของชั้นปีหนึ่งนี่?
ภารโรงลืมปิดไฟหรือไงนะ? หรือเจ้าพวกนั้นแอบมาทำเรื่องไม่ดีอะไรกันอีก ไม่ได้สิๆ~
ขายาวจึงก้าวไปดูอย่างไม่ลังเล...ไม่น่าจะมีใครกล้าขัดคำสั่งของซากุระคุงสิ?
โดนเจ้าเหมียวนั่นอัดซะเละกันทั้งห้องเสียขนาดนั้น ฮ่าๆๆ
เขานึกถึงเจ้าเด็กดื้อที่มักจะขู่ฟ่อใส่เขาทุกครั้งที่เจอกัน
เห็นแบบนั้นแต่ก็เป็นหัวโจกของเหล่าอันธพาลประจำชั้นปีหนึ่งเลยนะ
เพราะมีซากุระอยู่นี่แหละเขาถึงไม่ต้องเปลืองแรงเอง
แค่จัดการเจ้าตัวได้คนเดียวก็พอแล้วเพราะพวกเด็กเกเรคนอื่นๆที่เหลือมักจะเชื่อฟังและห้อมล้อมอยู่รอบๆซากุระอย่างไม่น่าเชื่อ
“เห๋?
ทำไมนายมาอยู่นี่ล่ะ ซากุระคุง?”
เสียงทุ้มทักทายออกไปอย่างแปลกใจเมื่อสิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่กลุ่มเด็กเหลือขอที่มารวมหัวกันสูบบุหรี่หรือกินเหล้า
แต่กลับเป็นแผ่นหลังเล็กๆที่นอนขดตัวอยู่บนโต๊ะซึ่งถูกเลื่อนมาเรียงต่อๆกันของคนที่เพิ่งจะยึดครองพื้นที่ในหัวของเขาจนถึงเมื่อกี้
“เหวอ?!
แกนั่นแหละทำไมมาอยู่ตรงนี้ ตกใจหมด!” ซากุระสะดุ้งโหยงก่อนจะเด้งตัวลงจากโต๊ะด้วยท่าทางพร้อมสู้เมื่อจู่ๆก็ได้ยินเสียงเขา
ดวงตาสองสีมองมาอย่างไม่ไว้ใจจนเขาได้แต่ขำพรืด
“มาเก็บผักไง” มือใหญ่ชูตะกร้าใส่ผักให้ดู
“มันที่จ่ายตลาดเร๊อะ!”
“อะ
ฮะๆๆๆ แล้วตกลง...นายมาทำอะไรอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“.....มานอน...” เจ้าเหมียวลดการ์ดลงก่อนจะพูดจาอ้อมแอ้มแก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศ
“ไม่กลับไปนอนที่บ้านล่ะ?” เขายังถามต่ออย่างสงสัย
ยังไงเขาก็เป็นประธานนักเรียน เขามีสิทธิ์ที่จะถามความเป็นอยู่ของนักเรียนในปกครองอยู่แล้ว
“บ้านน้ำท่วม
นอนไม่ได้...” น้ำท่วมเนี่ยนะ?
ช่วงนี้ก็ไม่ได้มีฝนตกหรือพายุเข้านี่นา?
ไม่ได้มีข่าวว่าพื้นที่ไหนในโตเกียวมีน้ำท่วมด้วย?
“งั้นเหรอ?
งั้นก็ช่างมันเถอะ!” เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินดุ่มๆเข้าไปหาคนที่ยังมีท่าทีหวาดระแวง
มือใหญ่ข้างที่ว่างจับหมับลงไปบนข้อมือบางก่อนจะลากให้เดินตามมาด้วยกัน
“ห๋า?
อะไรวะ? มาจับทำไม? แล้วจะลากฉันไปไหนเนี่ย?! นี่! ปล่อยนะ! ฉันถามว่าจะไปไหนไง?!” เจ้าเหมียวขี้โวยวายแหกปากถามทันที
ไม่มียอมกันง่ายๆเลยน้า~
“กลับบ้านกัน~” เสียงทุ้มตอบอย่างอารมณ์ดี
“ห๋า?!
ก็บอกแล้วไงว่าบ้านน้ำท่วมน่ะเฟ๊ย”
คนข้างหลังก็ยังเถียงกลับมา ข้อมือของซากุระนี่เล็กจริงๆแหะ
มือของเขากำได้รอบเลย ไม่น่าเชื่อว่ามือเล็กๆแค่นี้จะหมัดหนักจนซัดเพื่อนร่วมห้องสลบเหมือดได้
“บ้านฉันต่างหาก” เสียงทุ้มตอบราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาๆที่จะหิ้วลูกแมวถูกทิ้งสักตัวกลับบ้าน
“ห๊ะ?
แล้วทำไมฉันต้องไปบ้านนายด้วย?!” แต่คนดื้อก็ยังไม่ยอมง่ายๆ
ตัวก็มีอยู่แค่นี้แต่ดิ้นตลอดทางเลยแหะ ไม่จับไว้ดีๆคงวิ่งปรู๊ดหนีไปเลยแน่ๆ
เขาจึงออกแรงบีบลงไปที่ข้อมือเล็กๆนั่นอีก ขัดขืนได้ก็ขัดขืนไปสิ แต่ยังไงก็ดิ้นหนีจากมือเขาไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละเขามั่นใจ
“เอาเถอะน่า~
เดี๋ยวทำข้าวเย็นอร่อยๆให้กินด้วยนะ”
ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มแย้มอย่างไม่สะทกสะท้านต่อแรงดิ้นราวกับแมวน้อยที่อยู่ข้างหลัง
“อุ่ก...มะ
ไม่ได้อยากกินซักหน่อย ปล่อยสิวะ~!” ดูเหมือนเอาของกินมาล่อจะได้ผลอยู่หน่อยๆแหะ?
และแล้ว...แมวดื้อก็ถูกลากมาจนถึงบ้านของอุเมมิยะ
ฮาจิเมะจนได้....
“ระ
รบกวนด้วยครับ...” ถึงจะไม่มีใครสอนแต่เขาก็พอจะรู้แหละน่าว่าจะเข้าบ้านคนอื่นมันต้องพูดยังไง
เสียงอ้อมแอ้มจึงเอ่ยออกไปงึมงำ ร่างโปร่งบางเดินตัวลีบเข้าไปในบ้านที่เต็มไปด้วยข้าวของอะไรไม่รู้เยอะแยะ...ตรงกันข้ามกับบ้านของเขาแบบสุดๆ...
“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะ
เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน”
มือใหญ่ชูตะกร้าผักขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะกดไหล่บางให้นั่งลงที่โต๊ะญี่ปุ่นหน้าทีวี
“มะ
ไม่ต้อง...” เขาพยายามจะบอกเจ้าคนที่ไม่ฟังอะไรแล้วลากเขามาถึงนี่
“เห๋?
ทำไมล่ะ? กินมาแล้ว? หรือว่า...ไม่กินผัก?”
อุเมมิยะที่กำลังผูกเชือกคาดเอวของผ้ากันเปื้อนหันมามองจากหลังเคาน์เตอร์ครัว
“.......” คำถามจี้ใจดำทำเอาใบหน้ามนเสสายตาหนี
ปากเม้มแน่นจนแก้มสีแดงป่องออกมา คนมองจึงหัวเราะร่า
“ฮ่าๆๆๆ
ผักอร่อยนะ ไม่เชื่อเดี๋ยวจะทำของดีให้กิน รอได้เลยซากุระคุง!” เสียงแข็งขันเอ่ยอย่างมุ่งมั่นก่อนจะหันกลับไปที่เคาน์เตอร์ครัวใหม่
“ก็บอกว่าไม่กินไงเล่า....” เสียงใสบ่นงึมงำแต่อีกคนก็หั่นผักต๊อกๆๆอย่างไม่คิดจะฟัง
ช่างเถอะ อยากทำไรก็ทำแล้วกัน ฮึ่ย! ไม่ได้อยากจะกินหรอกนะ!
แต่เสียงฉ่าๆที่มาพร้อมกับกลิ่นมะเขือม่วงนั่นมันก็หอมจริงๆเลยแหะ...วัชพืชนี่มันไม่ได้เหม็นเขียวเหมือนกันหมดหรือไง?
เขาสูดกลิ่นฟุดฟิดอย่างประหลาดใจ
“เสร็จแล้ว~
มะเขือม่วงย่างซอสมิโซะ ส่วนนี่ก็ข้าวแกงกะหรี่มะเขือม่วง~”
เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่กับเจ้ามะเขือม่วงที่ถูกแปรรูปจนดูไม่เหมือนวัชพืชเลยสักนิด
ไม่ว่าจะเจ้ามะเขือม่วงที่ถูกหั่นเป็นแผ่นกลมๆหนาๆที่ถูกชุบแป้งและเกล็ดขนมปังทอดจนเหลืองกรอบวางโปะอยู่บนข้าวราดแกงกะหรี่ก็ดี
หรือเจ้ามะเขือม่วงผ่าครึ่งซีกที่ถูกย่างแล้วทาด้วยซอสมิโซะจนทั้งสีทั้งกลิ่นชวนกระเพราะครวญครางสุดๆนั่นก็ดี
ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าน้ำลายเขาได้ไหลออกจากปากไปหรือยัง...
“กินสิซากุระ”
อุเมมิยะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามแล้วพนมมือก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา
เขามองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มให้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ...ก็นี่เป็นครั้งแรกเลยนี่นาที่มีคนตั้งใจทำอาหารให้เขาทานแบบนี้
“ทะ
ทานแล้วนะครับ...” เขายกมือขึ้นมาพนมบ้างก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมา
แรกๆก็ยังลังเลอยู่หรอกเพราะยังไงมันก็เป็นผัก แต่พอลองตักเข้าปากไปสักคำ...
อร่อยเฉยเลยแหะ?
ดวงตาสองสีจ้องมองมะเขือม่วงย่างซอสมิโซะที่กินกับข้าวสวยร้อนๆนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ผักมันอร่อยขนาดนี้ได้ด้วยเหรอ? หรือจะเป็นเพราะอุเมมิยะกัน?
เขากินข้าวจานนั้นต่อไปเงียบๆ
กินจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว
ทำเอาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองไปก็ยิ้มไป
“ดะ
เดี๋ยวฉันล้างจานให้...” ใบหน้ามนพูดอย่างเขินๆเพราะไม่ชินกับการใช้ชีวิตร่วมกับใคร
“ไม่ต้องหรอกน่า
นายไปอาบน้ำเถอะ” แต่มือใหญ่กลับดันหลังเขาออกมาจากอ่างล้างจาน
“ห๋า?
ทำไมฉันต้องอาบน้ำด้วย?” จะ
จะให้อาบน้ำบ้านคนอื่นได้ไง? แล้วเขาก็ตั้งใจว่าจะกลับไปนอนที่โรงเรียนด้วย
“นายต้องอาบน้ำก่อนสิ
คิดจะนอนในบ้านฉัน บนฟูกของฉันทั้งที่ตัวมอมแมมแบบนี้หรือไงซากุระคุง” เจ้าหมอนี่มันได้ฟังที่เขาพูดบ้างไหมเนี่ย?! ไม่ว่าเปล่ายังจับเขายัดใส่ห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูอีกต่างหาก!
ก็บอกว่าไม่นอนไงฟ๊ะ!
“ส่วนเสื้อที่จะใช้ใส่นอนก็...เป็นตัวนี้แล้วกัน!” แล้วมือใหญ่ก็ยัดเสื้อยืดตัวหนึ่งตามมาอีกตัว
อะไรเนี่ย? เทศกาลจับปูหิมะ? โคตรเท่ห์เลยไม่ใช่รึไงเสื้อนี่!
“ฮึๆ”
เขาเผลอมองเสื้อของงานเทศกาลนั่นด้วยดวงตาเป็นประกายจนอีกฝ่ายขำออกมา
“เท่ห์ใช่ไหม? เท่ห์ใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงซุกซนของอุเมมิยะเอ่ยและเขาก็ตอบออกไป
“อะ อื้อ” ทำไมถึงเข้ากันได้ดีในเรื่องแบบนี้เนี่ย
งงมาก!
แต่ก็นั่นแหละ
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นๆอยู่ในใจจนเผลอหน้าแดงนั่นก็เพราะนี่คือครั้งแรกที่มีคนให้ยืมเสื้อมาใส่
รวมไปถึงเป็นครั้งแรกที่จะได้มานอนค้างบ้านคนอื่นด้วย ...การนอนค้างบ้านเพื่อนคงจะรู้สึกแบบนี้ใช่ไหมนะ?
เขาที่ไม่เคยมีเพื่อนและอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดจึงเผลอตอบรับความรู้สึกเหล่านี้ไปจนได้
แม้แต่น้ำเย็นในบ้านของหมอนี่ก็ยังอุ่นเลยแหะ...
ร่างโปร่งบางเดินขยี้หัวออกมาจากห้องน้ำโดยสวมเสื้อที่ใหญ่กว่าตัวไปหลายไซส์
เรียกว่าคอเสื้อแทบจะหลุดจากไหล่ได้
เขาเหลือบมองกางเกงขาสั้นของเจ้าอุเมมิยะแต่ดันกลายเป็นสามส่วนสำหรับเขาไปซะงั้น
มันจะตัวใหญ่น่าหมั่นไส้อะไรขนาดนี้เนี่ย!
“จิ๊!”
เขาสบถเบาๆในขณะที่กวาดสายตามองหาเสื้อยืดกับชุดนักเรียนที่เพิ่งจะโยนออกมากองลวกๆ
อ้าว? ไม่ได้อยู่แถวนี้หรอกเหรอ? หายไปไหนเนี่ยเสื้อผ้าเขา?
และเมื่อเดินออกจากห้องน้ำเพื่อตามหาเสื้อผ้าที่หายไป
เขาก็พบว่าอุเมมิยะเพิ่งจะเอาเสื้อยืดสีขาวของเขาออกมาจากเครื่องซักผ้าให้
ส่วนชุดนักเรียนตัวนอกก็ถูกแขวนไว้อย่างดีบนราวแขวนผ้า
หน้าของเขาแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที...ก็การกระทำที่อบอุ่นและใส่ใจแบบนี้มัน...
“ซากุระ? น้ำร้อนไปเหรอ? หน้านายแดงเป็นมะเขือเทศเลยนะตอนนี้”
เสียงร่าเริงทักขึ้น
ไม่พอ มือใหญ่ยังจับมาที่หน้าผากของเขาอีกต่างหาก
เขาแทบจะกระโดดเหยงร้องแง้วเป็นแมวเลย
สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยและไม่เคยได้รับจากใครทำให้เขาเผลอขู่ฟ่อใส่อีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่อุเมมิยะก็ยังมองมาที่เขาด้วยสายตาเอ็นดู?
เอ็นดูเนี่ยนะ?
ไม่โกรธเหรอที่เขาทำตัวไม่น่ารักแบบนี้? หมอนี่มันบ้ารึเปล่าเนี่ย?
“นายจะนอนเลยไหม?
ถ้าง่วงก็นอนก่อนได้เลยนะ ฉันกางฟูกเอาไว้ให้แล้ว ในห้องนอน”
นิ้วยาวชี้ไปที่ประตูห้องข้างๆที่เปิดแง้มเอาไว้
หะให้เขาเข้าไปถึงห้องส่วนตัวแบบนั้นจะดีเหรอ?
แต่พอหันมาอีกทีอุเมมิยะก็เดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว
ถ้ายังยืนกรานว่าจะไม่นอนที่นี่ก็คงไม่ทันแล้วสินะ
ไอ้บ้านี่มันไม่ฟังใครเลยจริงๆ...
เขาเดินหน้ามุ่ยแก้มแดงระเรื่อเข้าไปยังห้องนอน
ก่อนจะถึงกับผงะอ้าปากค้าง
“ง่ะ?!” มันจะปูฟูกสองอันทำไมฟ๊ะ?
เตียงตัวเองก็มีจะมานอนที่พื้นกับเขาทำไมเนี่ย?!
เขายืนมองเตียงเดี่ยวที่มีผ้าห่มคลุมเรียบร้อยซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นเตียงของอุเมมิยะ
กับฟูกอีกสองอันซึ่งก็มีทั้งหมอนและผ้านวมวางคู่กันอยู่ที่พื้น...ห๋า?
เพื่ออะไรวะ? หรือว่าจะมีใครมานอนที่นี่นอกจากเขาอีก?
หรือเจ้าอุเมมิยะจะคิดว่าเขานอนดิ้น?
เลยปูฟูกไว้ให้เขาสองอัน? เดี๋ยวสิ คนปกติเค้าทำกันแบบนี้เหรอ? ???
เขานั่งลงที่ฟูกอันหนึ่งอย่างมึนงง ลองส่งเมสเสจไปถามเจ้าพวกนั้นดูดีไหมนะ?
แล้วในขณะที่เขากำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์อย่างเชื่องช้าเข้าไปในกลุ่มแชตของห้อง
1-F
เจ้าของห้องนี้ก็ดันอาบน้ำเสร็จเสียก่อน ว้อยยย
ถามเจ้าตัวมันตรงๆเลยแล้วกัน!
“ฮ้า~ น้ำอุ่นนี่มันดีจริงๆน้า~ สบายตัวสุดๆ~”
เจ้าอุเมมิยะเดินหน้าใสกิ๊งตามเข้ามา
พอกลิ่นที่หอมฟุ้งออกจากร่างสูงใหญ่นั่นเป็นกลิ่นเดียวกับที่อยู่บนตัวเขามันก็ทำให้รู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล
“นี่
จะมีใครมาอีกหรือไง?” เขาหรี่ตาถามคนที่นั่งลงบนฟูกข้างๆอย่างไม่สนใจเตียงของตัวเองเลยสักนิด
“หื๋อ?
ไม่มีนะ?” อุเมมิยะทำหน้างง
“แล้วแกจะกางฟูกสองอันทำไมวะ?” เขาแยกเขี้ยวใส่แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่า
“ก็ฉันอยากนอนคุยกับซากุระคุงไง
นอนบนเตียงมันก็คุยกันไม่ถนัดใช่ไหมล่ะ?” ........ไอ้หมอนี่มันบ้าของแท้เลย...เขาอ้าปากค้างมองดูร่างสูงใหญ่ที่ล้มตัวนอนลงที่ฟูกอีกอัน
“แต่ฉันไม่อยากคุยกับนาย” เขาก็ล้มตัวลงนอนบ้าง ก่อนจะตะแคงหันหลังให้ในทันที
เป็นอันตัดจบแต่เพียงเท่านี้
“ซากุระ?” แต่เสียงทุ้มก็ยังพยายามเรียกจากทางด้านหลัง
ทำเอาคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนที่เส้นเลือดบนขมับจะเต้นตุบๆ
“ซากุระคุงงงง” ยัง...ยังไม่หยุดเรียกอีก...
“ซากุร้า~
นี่ หันมาคุยกันก่อนสิ~ ยังหัวค่ำอยู่เลยนายจะรีบนอนไปไหน~” น่ารำคาญจริงโว้ย
จะเรียกอะไรนักหนาเนี่ย! แล้วก็ดูท่าว่าหากเขาไม่หันไปไอ้หมอนี่คงไม่ปล่อยให้เขานอนแน่คืนนี้!
ร่างโปร่งจึงหันพรึ่บกลับไปอย่างตั้งใจจะแยกเขี้ยวขู่มันสักที!
“มีอะไรฟ๊ะ!
เรียกอยู่ดะ อ๊ะ?!”
แต่เพราะแบบนั้นเขาจึงเพิ่งเห็นว่าอุเมมิยะขยับมาอยู่ใกล้มาก มาก...จนปลายจมูกเขาแทบจะชนกับปลายจมูกของอีกฝ่ายอยู่แล้ว!
ดวงตาสองสีที่เผลอไปสบกับดวงตาสีท้องนภาที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วถึงกับเบิกกว้าง
“อะๆๆๆ” ร่างกายกำลังจะขยับถอยหนีตามปฏิกิริยาอัตโนมัติ
ทว่า กลับมีมือใหญ่สอดมากดแผ่นหลังของเขาเอาไว้ทำให้ไม่อาจจะหนีไปไหนได้
นี่มันใกล้...จนได้กลิ่นหอมเหมือนดินในฤดูใบไม้ผลิออกมาจากตัวของอุเมมิยะเลย
มันเป็นกลิ่นที่ทั้งหนักแน่นและชวนให้รู้สึกผ่อนคลายยังไงชอบกล
”คิดอะไรอยู่เหรอซะกุระ?” เสียงทุ้มน่าฟังถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน...ดะเดี๋ยวก่อนนะ
การนอนคุยกับเพื่อนนี่มันต้องใกล้เบอร์นี้เลยเหรอ? ???
“มะๆๆไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ” ดวงตาสองสีไม่กล้าสบประสานกับสายตามั่นคงที่มองมาจึงจำต้องก้มหน้างุดจนคางแทบจะชิดกับแผ่นอกของตัวเอง
ร้อนไปหมดแล้วหน้าเขา ร้อนไปจนถึงใบหูเลย
“หรือว่า...กำลังนึกขอบคุณฉันอยู่?” อุเมมิยะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
ปลายจมูกโด่งนั่นมันคลอเคลียอยู่แถวๆหน้าผากเขาหรือเปล่านะ?
ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเลย
“ทะ
ทะ ทำไมฉันต้องขอบคุณนายด้วย? ไม่ได้ขอร้องให้ช่วยสักหน่อย” ใบหน้ามนเอ่ยตามประสาคนปากไม่ตรงกับใจ
“ก็ฉันอุตส่าห์หาที่นอนนุ่มๆ
ผ้านวมอุ่นๆให้นายนอนนี่นา ทำกับข้าวให้กินด้วยนะ จะไม่ขอบคุณฉันซักหน่อยเหรอ?”
“อุก.......”
“ว่าไง?”
“ตะ
ต้องพูดด้วยรึไง....” ...ขอบคุณในใจก็พอแล้ว...มั้ง
“นะ
นายมันก็ใจดีไปทั่วนั่นแหละ กับฉัน มีอะไรต่างจากคนอื่นตรงไหน” เขาก็พอจะรู้อยู่หรอก ว่าอุเมมิยะไม่ได้ใจดีแบบนี้แค่กับเขาคนเดียว
แต่ไม่ว่าจะเป็นใครหมอนี่ก็ใจดีด้วยหมด ต่อให้คนที่เดือดร้อนในวันนี้จะไม่ใช่เขา
อุเมมิยะก็คงจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ต่างกัน
เพราะงั้น...เขาจึงไม่ได้คิดหรอกว่าอีกฝ่ายจะเรียกร้องคำขอบคุณหรือต้องการให้เขาตอบแทนอะไร
ก็คงจะแค่หยอกเล่น...เหมือนเช่นทุกที...
“อืม…มันก็จริงแหะ”
เสียงทุ้มเอ่ยราวกับกำลังใช้ความคิด
“ถ้างั้นนะซากุระ...” แล้วจู่ๆร่างที่เคยกอดเขาหลวมๆก็จับเขานอนหงายก่อนจะพลิกกายขึ้นมาคร่อมตัวเขาเอาไว้
เขาตื่นตะลึงกับสีหน้าและแววตาของอุเมมิยะที่เปลี่ยนไป
ใบหน้าหล่อเหลาที่ไร้แววใจดีและขี้เล่นนั่นกำลังโน้มลงมา
น้ำหนักจากต้นขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามล็อคลำตัวเขาไว้จนไม่อาจจะดิ้นหนีได้ ข้อมือสองข้างก็ถูกมือใหญ่กดเอาไว้จนแทบจะจมหายลงไปในฟูก
ริมฝีปากของอุเมมิยะกำลังคลอเคลียอยู่ข้างใบหูที่แดงแปร๊ด
ลมหายใจที่ร้อนผ่าวทำเอาร่างทั้งร่างของเขาแทบจะแข็งเป็นหิน
เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบออกมาให้ได้ยิน...และมันก็เป็นถ้อยคำที่ทำเอาหัวใจไร้เดียงสาของเขาถึงกับเต้นโครมคราม
“ฉัน...ที่ใจดีกับทุกคน...จะใจร้ายกับนายแค่คนเดียว
แบบนั้น...ดีไหม? หื๋ม?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
อะ
แอบย่องๆมาลง...ชู่ววว อย่าให้ทางนั้นรู้ตัว 5555 //แฟนๆฟิคชายชูน้องมิกับป๋อจ้านก็คือจะแดกหัวตูแล้วตอนนี้
5555 แอบอู้ออกทะเลไปเรื่อย
ทางนั้นก็กำลังเดือดแต่ยัยแงวกับพี่อุเมะก็คือดีย์ไม่ไหว คือล่อลวงตูละเกินนนนน
ฮื้อออ น้องซาน่ารักกก แล้วก็อยากกอดขาพี่อุเมะ แง๊
รีบลงรีบหนี
เรื่องนี้จะแต่งตามจำนวนคอมเม้นต์นาคะบอกเลย555
ถ้าอยากให้ลงต่อก็ทิ้งคอมเม้นต์เอาไว้เน้
คุณชายชูยิงธนูปักหัวลากกลับด้อมแล้ว อ๊า เจอกันนน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น