Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 35 : END

 Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato]   หรือรักเรียกหา : 35 : END

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction 

: Fujiwara Shuu x Narumiya Minato

: Warmhearted

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ    

 

 

 

 

-          หนึ่งร้อยคืนกับหมื่นคำรัก : Yesterday Today and Tomorrow  -

 

 

 

 

อันเลือดเนื้อและกายา  ฉาบทาไว้  ให้แผ่นดิน

 

จิตวิญญาณมิดับดิ้น  มอบให้  แก่วงศา

 

มือกอปรฟ้า  หยดน้ำตา  แก้วกมลา

 

ข้ามอบให้  แด่เจ้า  จ้าวจอมใจ

 

 

 

 

สายลมหวีดหวิวมิโหยหวนเท่าเสียงจากเบื้องล่างที่ต่างร้องระงม

 

เส้นผมสีชาที่เคยปรกระใบหน้าบัดนี้กลับปลิวไสวอยู่ภายใต้หมวกซามูไรประดับเขาสัตว์สีทองอันโดดเด่น

 

มันบ่งบอกสถานะของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดีว่านี่ไม่ใช่แค่พลทหารธรรมดา แต่เขาผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพที่มีความสำคัญอันสูงสุด

 

จากจุดที่เขายืนอยู่เรียกได้ว่าไกลห่างออกมาจากสนามรบมากแต่หากเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และเขาผู้นั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลงไปละเลงเลือดด้วยตัวเอง

 

มันจบแล้ว...

 

ดวงตาสีม่วงที่เย็นชาทอดมองลงไปยังสุดปลายเนิน...ที่ซึ่งธงชัยรูปดอกฟูจิกำลังโบกสะบัดไปทั่วทุกแห่งหนต่างจากธงของฝ่ายศัตรูที่ขาดวิ่นหักครึ่งและจมอยู่ในทะเลโลหิต เหล่าทหารที่ปราชัยต่างล่าถอยวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงจนไม่เหลือความน่าเกรงขามอีกต่อไป

 

ดินแดนแห่งนี้...ก็กำลังจะตกอยู่ในเงื้อมมือของแคว้นคางะ ของตระกูลฟูจิวาระ...ไม่ต่างจากที่ไหนๆที่พวกเขาย่างเท้าไปถึง

 

“ท่านแม่ทัพ คำสั่งต่อไปคืออะไรขอรับ?”     เสียงดุดันของรองแม่ทัพคนสนิทเอ่ยถามอยู่เบื้องหลัง เสียงราบเรียบจึงเอ่ยออกไปอย่างไม่ยินดียินร้ายแม้จะได้ชัยชนะมาไว้ในกำมือ

 

“เรียกพี่น้องของข้ากลับมา แล้วเผามันให้วอด อย่าให้ใครเหลือรอดไปแม้แต่คนเดียว”    รองแม่ทัพผู้คอยรับคำสั่งจากทัพหลวงไปบอกทัพหน้าถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวคอ

 

“ขอรับ”    ร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะของซามูไรค่อมหัวให้แล้วเดินจากไป เขาไม่ลืมที่จะแอบเหลือบมองร่างสูงสง่าที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ริมหน้าผา

 

ชายผู้นั้นคือฟูจิวาระ ชู หนึ่งในทายาทที่มีมากมายของตระกูลฟูจิวาระซึ่งเป็นตระกูลผู้ปกครองของแคว้นคางะ แคว้นที่ตั้งอยู่ในภาคกลางฝั่งตะวันตกของเกาะญี่ปุ่น

 

คำสั่งที่เขาได้รับมานั้นนับว่าเป็นคำสั่งที่เลือดเย็นและโหดเหี้ยมมาก ทว่า นี่คือความเป็นจริงของสนามรบ พวกเขาไม่อาจปล่อยให้ศัตรูที่ร้ายกาจขนาดนี้หนีรอดไปได้ หากอีกฝ่ายยอมจำนนตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งเช่นนี้ เจ้าพวกนั้นควรจะรู้สิว่ากำลังต่อกรกับปีศาจของตระกูลฟูจิวาระอยู่

 

ฟูจิวาระ ชูนั้นเป็นแม่ทัพที่ไม่เคยลงไปเหยียบสนามรบเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

เพราะมันไม่จำเป็น

 

มือที่ขาวสะอาดนั้นไม่เคยเปื้อนเลือดของศัตรู แต่มันกลับเป็นมือที่ปลิดชีวิตของผู้คนไปนับไม่ถ้วน

 

ชายผู้นั้นเป็นทายาทคนสำคัญของตระกูลฟูจิวาระ เป็นคนที่คอยกุมบังเหียนของกองทัพหน้าทั้งเก้าอยู่ภายในทัพหลวง โดยจะมีพี่ๆน้องๆซึ่งมีฐานะแม่ทัพเท่าเทียมกันกระจายกำลังอยู่ในทัพหน้าเหล่านั้น แต่ถึงจะบอกว่าเท่าเทียมกันทุกคนก็รู้อยู่ว่าผู้ที่คอยออกคำสั่งทั้งหมดก็คือแม่ทัพของเขาคนนี้

 

ทั้งกองทัพนับแสนต่างเชื่อฟังฟูจิวาระ ชูเพียงผู้เดียว

 

เขาเป็นผู้ชายที่น่ากลัวมาก ไม่ใช่ที่รูปร่างหน้าตาแต่เป็นหัวสมองอันชาญฉลาดและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลนั่นต่างหาก เขาใช้การเดินหมากอย่างสุขุมและเยือกเย็นไล่ต้อนกองทัพของศัตรูจนย่อยยับได้ในไม่กี่ชั่วยาม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปที่ใดเขาจึงไม่เคยพ่ายแพ้ และทัพหลวงของตระกูลฟูจิวาระก็แทบไม่เคยต้องออกหน้าไปสู้เองเลยสักครั้ง

 

มันไม่เคยมีศึกไหนที่ตึงมือจนถึงขั้นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างดูได้มาอย่างง่ายดายไปหมดเมื่อตกถึงมือชายผู้นี้

 

ไม่ว่ากองทัพของศัตรูจะยิ่งใหญ่แค่ไหน จะน่าเกรงขามเพียงใด จะมีคนมากมายจนเหนือกว่าพวกเขาหลายเท่า แต่มันก็จะจบลงที่ต้องมาสยบแทบเท้าของฟูจิวาระ ชูทั้งนั้น

 

ใบหน้าที่มีรอยบากที่แก้มขวาเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสง่างามในชุดเกราะซึ่งยืนอยู่บนหน้าผานั่นอีกครั้งก่อนที่จะกระโดดขึ้นหลังม้า

 

ถึงจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่ชายผู้นั้นก็ยังมีเรื่องที่น่ากังวลอยู่สำหรับคนที่เห็นอีกฝ่ายมาแต่อ้อนแต่ออกจนรู้สึกเหมือนเป็นน้องชายคนหนึ่งอย่างเขา

 

ก็นิสัยที่สุขุมจนติดจะเย็นชานั่นน่ะ จะมีความรักกับใครเขาได้บ้างหรือเปล่านะ?

 

 

 

เสียงหวูดดังกึกก้องไปทั่วสนามรบที่กลายเป็นทะเลเพลิง กองทัพของตระกูลฟูจิวาระกำลังถอยทัพกลับไปยังเมืองหลวงของแคว้นคางะที่พวกเขาปกครองอยู่

 

 

 

ตึก ตึก ตึก...

 

ฝ่าเท้าของร่างกายที่ยังสวมชุดเกราะโยโรยเต็มยศเดินไปตามระเบียงทางเดินในคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง ที่นี่เป็นทั้งจวนเจ้าเมืองและศูยน์บัญชาการของแคว้นคางะฉะนั้นจึงมีทหารและขุนนางเดินสวนไปมาเต็มไปหมด

 

“ท่านแม่ทัพ ยินดีกับชัยชนะด้วยขอรับ”    ใบหน้าภายใต้หมวกเกราะเขาสัตว์เพียงพยักเบาๆราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเมืองทั้งเมืองที่เพิ่งไปถล่มราบคาบมา

 

และขุนนางที่เดินสวนไปต่างก็ไม่ถือสาในความเย็นชาแบบนี้ของฟูจิวาระ ชู

 

“ท่านแม่ทัพมาขอเข้าพบขอรับ”    นายประตูขานเสียงดังทันทีที่มองเห็นร่างสูงสง่า

 

“ให้เข้ามาได้”    เสียงที่ดังมาจากด้านในนั้นคือเสียงของเจ้าเมืองคางะและเป็นผู้นำตระกูลฟูจิวาระคนปัจจุบัน

 

ครืด...

 

ร่างในชุดเกราะก้าวขาเข้าไปก่อนจะนั่งลงบนเบาะรองนั่งตรงหน้าชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ฝ่ามือใหญ่วางดาบคาตานะสองเล่มที่เคยคาดเอวลงตรงหน้า ก่อนจะถอดหมวกเกราะออกแล้ววางมันลงข้างกาย ทุกท่วงท่านั้นสง่างามและน่ามองแบบชนชั้นสูงที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี

 

“กลับมาแล้วเหรอ ชู ทำได้ดีมากนะ”    เสียงกังวานดังก้องไปทั่วห้อง ถึงมันจะน่าเกรงขามแต่กลับแฝงไว้ซึ่งความเอ็นดูที่มีต่อคนตรงหน้า

 

“ขอรับ ข้ามารายงานการศึกครั้งนี้ให้ท่านทราบ”    ผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบจนท่านเจ้าเมืองถึงกับยิ้มแห้ง จะไม่ให้เอ็นดูชูได้อย่างไรในเมื่อเขาเลี้ยงเด็กคนนี้มาตั้งแต่เกิด

 

ดวงตาคมกล้าจ้องมองใบหน้าที่สะอาดหมดจดและหล่อเหลาเอาการนั่นพลางฟังสิ่งที่อีกฝ่ายรายงานไปเรื่อยๆ ยิ่งโต ชูก็ยิ่งเหมือนพี่ชายผู้ล่วงลับของเขา ถอดแบบกันมาแทบทุกอย่างทั้งรูปร่าง ดวงตา สันจมูก และริมฝีปาก

 

หากจะต่างก็คงจะมีที่นิสัยเพียงอย่างเดียว

 

พี่ชายของเขาเป็นคนเข้มแข็งแต่ก็อบอุ่น เป็นคนที่เห็นว่าความรักสำคัญเหนืออำนาจ เป็นคนที่ยอมทิ้งแม้หน้าที่เพื่อปกป้องหัวใจของตัวเอง

 

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ชูไม่มีและไม่เคยเข้าใจมันเลยสักนิด

 

ถึงตอนอยู่ในสนามรบจะมีฝีมือร้ายกาจจนเขาไม่ต้องกังวล แต่บุคลิกส่วนตัวนั่นต่างหากที่ทำให้เขาเป็นห่วงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะนิสัยที่สุขุมเสียจนเรียกได้ว่าเย็นชา ไม่ว่าจะมิตรสหายหรือคนรู้จักที่สนิทสนมกันจึงไม่มีแม้แต่คนเดียว

 

ชูนั้นไม่เคยรู้จักว่าความรักเป็นเช่นไร ไม่เคยคิดจะเข้าใกล้หรือเอื้อมมือไปหา

 

ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ก็คงจะต้องอยู่อย่างเดียวดายไปทั้งชีวิตเป็นแน่

 

“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วรึ?”    เสียงกังวานเอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายรายงานจบ ชูทำหน้างงเล็กน้อยก่อนจะตอบแต่โดยดี

 

“ปีนี้ย่าง 25 ขอรับ”

 

“ได้เวลาต้องออกเรือนแล้วสิ เจ้าไม่มีคนที่สมัครรักใคร่อยู่บ้างเลยรึ? ข้าจะไปสู่ขอให้”

 

“....ไม่มีขอรับ”    ชูตอบกลับมาโดยไร้ท่าทีตระหนกตกใจ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าสักวันการแต่งงานก็ต้องมาถึงและมันเป็นเพียงหน้าที่ที่ต้องทำก็เท่านั้น

 

“เช่นนั้น ถ้าข้าจัดหามาให้ล่ะ เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

 

“ถ้ามันเป็นหน้าที่ ข้าก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธขอรับ”    เฮ้อ...เจ้าเด็กคนนี้นี่...เขาถึงกับถอนหายใจใส่หน้า

 

“เอาเถอะ ข้าจะหาคนที่เหมาะสมกับเจ้าให้ก็แล้วกัน แต่เจ้าเป็นถึงแม่ทัพและทายาทคนสำคัญของตระกูลเรา คนที่จะแต่งงานกับเจ้าคงมิใช่คนธรรมดา มันคงไม่พ้นการแต่งงานทางการเมือง เจ้าไม่มีสิ่งใดจะคัดค้านแน่รึ?”

 

“ไม่มีขอรับ”    ชูยังคงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนเขาเอือมระอา ถึงที่ผ่านมาบรรดาทายาทของตระกูลจะถูกจับแต่งงานทางการเมืองแทบทั้งสิ้นแต่อย่างน้อยเขาก็ยังให้อิสระให้ทุกคนได้เลือกเจ้าสาวของตัวเอง ไม่เคยมีใครที่ให้เขาจัดการทั้งหมดแบบนี้

 

“เฮ้อ...เจ้าไปได้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”    เขาโบกมือไล่

 

“ขอรับ”    ผู้เป็นหลานชายขอตัวออกไปด้วยใบหน้าไม่สะทกสะท้าน ท่านเจ้าเมืองจึงเดินไปยังผังเมืองจำลองของพื้นที่ในแถบนี้ ไหนๆเจ้าชูก็ไม่คิดจะเลือกอะไรอยู่แล้วถ้างั้นว่าที่เจ้าสาวคนนี้ก็ต้องเป็นคนที่ตระกูลฟูจิวาระจะใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด...

 

ตระกูลนารุมิยะจากแคว้นฮิดะล่ะเป็นไง?

 

มือใหญ่ยกมาลูบคางอย่างใช้ความคิดในขณะที่มองผังเมืองจำลองนั่นไปด้วย

 

ในยุคที่ญี่ปุ่นยังไม่ได้เป็นปึกแผ่น เหล่าแว่วแคว้นต่างแตกแยกและแก่งแย่งชิงดี ยังมีสองแคว้นใหญ่ในภูมิภาคชูบุที่รบรากันมาอย่างยาวนาน

 

หนึ่งคือแคว้นคางะที่ปกครองโดยตระกูลฟูจิวาระ สองคือแคว้นมิโนะที่ปกครองโดยตระกูลอาซาคุระ แต่มันจะมีแคว้นเล็กๆแคว้นหนึ่งซึ่งมักจะเป็นตัวแปรของสงครามระหว่างสองแคว้นใหญ่อยู่เสมอ นั่นก็คือแคว้นฮิดะที่ปกครองโดยตระกูลนารุมิยะ...

 

แคว้นฮิดะนั้นตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสองแคว้นใหญ่ จะเรียกว่ารัฐกันชนก็ว่าได้ เพราะหากไม่มีแคว้นฮิดะคั่นกลางเอาไว้ ที่ชายแดนระหว่างคางะกับมิโนะคงจะร้อนเป็นไฟตลอดเวลาและพวกเขาก็คงไม่อาจมีช่วงที่สงบสุขได้บ้างแบบนี้ พวกมิโนะป่าเถื่อนคงจะบุกทะลวงเข้ามาทุกวี่ทุกวันเป็นแน่เพราะพวกมันอยากได้ดินแดนของเขาที่มีทางออกสู่ทะเลญี่ปุ่น

 

และการจะดึงแคว้นฮิดะให้เข้ามาเป็นพวกเดียวกับเขา...ใช้การแต่งงานนี้ให้เป็นประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ?

 

“ทายาทของตระกูลนารุมิยะในรุ่นนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายขอรับ ส่วนบรรดาทายาทหญิงต่างก็ออกเรือนไปหมดแล้วทั้งสิ้นขอรับ”     เสนาบดีกล่าวรายงานเมื่อเขาเรียกตัวเข้ามาปรึกษาหารือ ระดับฟูจิวาระ ชูเขาจึงมองแค่บรรดาทายาทของอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น

 

“แต่หนึ่งในบรรดาทายาทชายยังมีคนที่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อยู่นะขอรับ”    ดวงตาของเขาถึงกับเบิกกว้าง

 

“โอเมก้ารึ?”    นั่นคือคำที่พวกเขาใช้ตามชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศของเราทางเรือ ก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงเรื่องเหนือธรรมชาติอันแปลกประหลาด แต่เพิ่งจะมีการยอมรับเมื่อนับย้อนกลับไปเพียงไม่กี่สิบปีมานี้เองว่ามนุษยชาตินั้นยังมีเพศรองอยู่

 

อัลฟ่าที่เปรียบเสมือนหมาป่าจ่าฝูง และโอเมก้าที่เปรียบเสมือนหมาป่าผู้ให้กำเนิด ทั้งสองเพศนี้นับเป็นเพศที่พิเศษและหาได้ยากมาก  ถึงจะมีอีกเพศที่เรียกว่าเบต้าแต่นั่นก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาจึงไม่ได้รับความสนใจอะไรมากนัก

 

คนที่มีเพศรองเป็นอัลฟ่านั้นจะแข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า  และจะสามารถให้กำเนิดลูกที่เป็นอัลฟ่าได้กับเพียงคู่ที่เป็นโอเมก้าเท่านั้น หากอัลฟ่าแต่งงานกับคนธรรมดาหรือเบต้า  ลูกที่ออกมาก็จะเป็นเพียงเบต้านั่นจึงนับว่าเป็นการเสียของมากๆ

 

ริมฝีปากของผู้ปกครองแคว้นคางะถึงกับแสยะยิ้ม ก็อะไรมันจะเหมาะเจาะราวกับสวรรค์สร้างแบบนี้ เพศรองที่ว่าพิเศษและหายากในตระกูลฟูจิวาระของเขาก็มี และมีอยู่เพียงคนเดียว

 

นั่นก็คือฟูจิวาระ ชู...ที่เป็นอัลฟ่า...

 

ขนาดมีแค่คนเดียวยังกำราบศัตรูราบเป็นหน้ากลองตั้งแต่ยังอายุยังแค่นี้ ถ้ามีหลายคน...ไม่ต้องคิดเลยว่าตระกูลของพวกเราจะแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ขนาดไหน เจ้าหมาป่าจ่าฝูงพวกนี้จึงเป็นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางความต้องการเป็นอย่างมาก หากตระกูลไหนมีก็จะถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งกว่าเงินทองเสียอีก

 

 

 

 

หลังจากนั้นท่านเจ้าเมืองคางะจึงจัดการส่งคนไปเจรจาสู่ขอทายาทคนดังกล่าวของตระกูลนารุมิยะทันที

 

และทางแคว้นฮิดะก็ตอบตกลง...

 

เงื่อนไขในการแต่งงานครั้งนี้ที่ทางตระกูลนารุมิยะเรียกร้องมาคือพวกเขาต้องมีลูก และจะต้องมอบเด็กที่เป็นอัลฟ่าให้ทางนารุมิยะอย่างน้อยหนึ่งคน  ส่วนสิ่งที่ทางฟูจิวาระเรียกร้องก็คือแคว้นฮิดะต้องยอมเป็นกันชนและยืนหยัดต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับแคว้นคางะเท่านั้น

 

ไร้ซึ่งความรัก มีเพียงผลประโยชน์ที่ถูกพูดถึง

 

 

 

 

ไม่นาน ข่าวลือหนาหูถึงคู่แต่งงานของท่านแม่ทัพคนสำคัญก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง

 

เพราะนี่มิใช่แค่การแต่งงานภายในแคว้นที่ทายาทของตระกูลผู้ปกครองจะแต่งกับลูกหลานของขุนนางเพื่อดำรงคงอำนาจ แต่เป็นการแต่งงานระหว่างสองแคว้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นไปจนถึงระดับดินแดน ซ้ำยังเป็นการแต่งงานระหว่างผู้ที่มีเพศรองพิเศษทั้งคู่อีกต่างหาก

 

งานสมรสในครั้งนี้จึงเป็นที่จับตามองเป็นอย่างมากและทางตระกูลฟูจิวาระเองก็ได้เตรียมการอย่างยิ่งใหญ่ให้สมฐานะทายาทคนสำคัญของตระกูลเลยทีเดียว

 

แต่ถึงบรรยากาศรอบข้างจะครึกครื้นเพียงใด  ผู้คนต่างพูดถึงมากแค่ไหน  คนที่ต้องกลายเป็นเจ้าบ่าวกลับยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย

 

ร่างสูงสง่าในฮากามะสีดำเดินไปตามระเบียงทางเดินไม้อันยาวเหยียด อีกหนึ่งอาทิตย์พิธีสมรสก็จะถูกจัดขึ้นแต่นี่คือครั้งแรกของการพบหน้ากันระหว่างว่าที่เจ้าบ่าวกับว่าที่เจ้าสาว  พวกตระกูลนารุมิยะกำลังจะเดินทางมาถึง...

 

“นายน้อยชูมาแล้วขอรับ”    นายประตูขานบอกคนที่อยู่ด้านในห้อง

 

“เข้ามาสิ”    เสียงของท่านเจ้าเมืองเอ่ยบอก

 

ครืด...

 

แต่ภายในห้องกลับว่างเปล่าไร้เงาของคนตระกูลนารุมิยะที่ควรจะมานั่งอยู่ตรงนี้ได้แล้ว?

 

“ยังมาไม่ถึงกันหรือขอรับ?”    ร่างสูงสง่านั่งลงบนเบาะข้างๆท่านอาซึ่งมีสีหน้ากังวลเช่นกัน เพราะหาใช่ทุกคนจะยินดีกับพีธีสมรสในครั้งนี้

 

“รออีกสักหน่อยก็แล้วกัน”    เจ้าเมืองแห่งแคว้นคางะเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะเครียดขึง อันที่จริงขบวนรถม้าน่าจะมาถึงนานแล้วแต่นี่กลับยังไร้วี่แวว เขาไม่ได้คิดว่าทางตระกูลนารุมิยะจะเบี้ยวเอาวินาทีสุดท้ายเช่นนี้หรอกเพราะทางนั้นเองก็จะได้ผลประโยชน์จากการผูกสัมพันธ์กับพวกเขาไปไม่ใช่น้อยๆเลย หากไม่คิดจะส่งตัวเจ้าสาวมาก็น่าจะปฏิเสธเสียตั้งแต่ตอนที่พวกเขาส่งคนไปสู่ขอ เพราะถ้ารอจนถึงวันนี้แล้วจึงมาคิดหนีเอาดื้อๆทางตระกูลฟูจิวาระเองก็คงไม่อาจยอมรับกับการหักหน้าเช่นนี้ได้ ตระกูลนารุมิยะคงได้ย่อยยับคามือพวกเขาแน่และอีกฝ่ายก็คงจะรู้ตัวดี

 

เกรงก็แต่ระหว่างที่เดินทางมานี้มันอาจจะมีอะไรเกิดขึ้น...

 

“ขะ ขอพบท่านเจ้าเมืองหน่อย แฮ่ก...แฮ่ก...”   พูดยังไม่ทันขาดคำ ใบหน้าของเขากับท่านอาก็ต้องหันไปตามเสียงนั้นทันที

 

“มีข่าวจากขบวนรถม้าของแคว้นฮิดะมาแจ้งท่านเจ้าเมืองขอรับ!    เสียงร้อนลนของทหารสักคนดังอยู่ภายนอกห้อง ท่านอาจึงอนุญาตให้เข้ามา

 

“ระ เรียนท่านเจ้าเมือง ทางตระกูลนารุมิยะส่งม้าเร็วมาขอความช่วยเหลือขอรับ! ทางนั้นแจ้งมาว่าขบวนรถม้าถูกโจรป่าซุ่มโจมตีขอรับ!    พลทหารที่รับเรื่องมากระหืดกระหอบบอกพวกเขาด้วยท่าทีตื่นตระหนก

 

“ว่าอย่างไรนะ?!    ท่านอาเองก็ตกใจมากเช่นกัน มีเพียงเขาที่ยังมีท่าทีเยือกเย็นอยู่

 

ในแคว้นคางะไม่มีโจรป่า...แต่ถึงจะมี พวกมันก็ไม่กล้ายุ่งกับขบวนรถม้าของฟูจิวาระ ชูเป็นแน่!

 

ไออำมหิตแผ่ออกไปจากร่างกายที่ดูเป็นคุณชายทุกกระเบียดนิ้ว และนั่นก็ยิ่งทำให้พลทหารที่ไม่คุ้นชินยิ่งตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า

 

“ชู...”    ท่านอาหันมาถามความเห็นของเขา และแทบจะไม่ต้องใช้เวลาคิดหรือคาดเดา

 

“ฝีมือพวกอาซาคุระแห่งแคว้นมิโนะขอรับ คงจะส่งทหารมากฝีมือกองเล็กๆสักกองเข้ามาในรูปแบบกองโจรเป็นแน่...เพราะพวกแคว้นมิโนะคงไม่อยากให้พิธีสมรสในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พวกมันคงไม่อยากให้มีอัลฟ่าเกิดขึ้นมาในตระกูลฟูจิวาระอีก”    เสียงทุ้มพูดออกไปอย่างคนที่อ่านเกมขาด ในละแวกนี้ก็คงมีอยู่ที่เดียวเท่านั้นที่ไม่ยินดีกับการแต่งงานในครั้งนี้

 

“ถ้าเช่นนั้น...”    ท่านอาถึงกับมีสีหน้าหวาดหวั่น เหงื่อกาฬไหลลงมาจากขมับ

 

“ขอรับ...พวกมันคงต้องการกำจัดว่าที่เจ้าสาวที่เป็นโอเมก้าเป็นแน่ และตอนนี้เด็กคนนั้นก็กำลังตกอยู่ในอันตราย”    ร่างในฮากามะสีดำลุกขึ้นก่อนจะหันไปเอ่ยกับพลทหารที่มาแจ้งข่าว

 

“นำข้าไป ข้าจะออกไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

 

 

 

 

 

ฝูงอาชาราวยี่สิบห้าตัววิ่งตะบึงจนฝุ่นตลบอบอวลออกจากจวนของฟูจิวาระ ชู

 

ผู้คนที่ได้เห็นต่างรีบหลบให้เพราะรู้ว่าอาชาฝูงนี้มีแต่ทหารฝีมือดีแถมม้าสีขาวตัวที่วิ่งนำออกไปก็บ่งบอกได้ว่าคงมีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่เช่นนั้นท่านแม่ทัพคงไม่ออกไปเองเช่นนี้ 

 

กีบเหล็กนับร้อยเหยียบย่ำจนแผ่นดินลั่นสั่นสะเทือน เสียงเสมือนสายฟ้าดังกึกก้องทั่วทุกที่ที่พวกมันวิ่งผ่าน กองทหารม้าในชุดเกราะพร้อมรบพวกนั้นต่างมุ่งหน้าสู่เขตแดนที่ติดกับแคว้นฮิดะโดยแทบไม่ได้พักหายใจ

 

และเมื่อไปถึง...พวกเขาก็พบเพียงเศษซากขบวนรถม้าที่ว่างเปล่า...

 

นัยน์ตาสีม่วงปราดมองแค่แว่บเดียวก่อนจะออกคำสั่งในทันที

 

“ค้นหาแถวนี้ให้ทั่ว! พวกนารุมิยะน่าจะซ่อนตัวอยู่!    เสียงทุ้มตะโกนก้อง ทหารม้าทั้งหมดจึงกระจายตัวกันออกค้นหาทันที

 

เขาเหลือบมองสำรวจที่รถม้าอีกครั้ง เพลาล้อที่หักทำให้พวกมันวิ่งไม่ได้อีก ที่ตัวรถก็มีรอยดาบและลูกธนูปักอยู่มากมายแต่กลับมีรอยเลือดไม่มากนักแสดงว่าส่วนใหญ่คงหนีไปได้ ซากศพที่นอนตายอยู่ก็มีเพียงไม่กี่ศพ ร่องรอยการต่อสู้ถึงจะดูดุเดือดแต่ความเสียหายน่าจะไม่มากเท่าไหร่  ดูเหมือนโจรป่าอาซาคุระพวกนี้จะมีเป้าหมายเพียงเจ้าสาวของเขาเท่านั้น พวกมันไม่ได้คิดจะไล่ล่าหรือกำจัดคนอื่นๆเท่าใดนัก ทรัพย์สินมีค่าก็มิได้เอาไป ข้าวของเครื่องใช้ต่างยังถูกทิ้งไว้เต็มรถม้าเสียแบบนี้

 

“เจอแล้วขอรับท่านแม่ทัพ!     มือใหญ่กระตุกบังเหียนก่อนที่ม้าสีขาวจะวิ่งไปตามเสียงที่ได้ยิน

 

ร่างสูงสง่าในชุดเกราะกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อเดินไปหากลุ่มคนที่หลบอยู่ในกระท่อมร้างหลังหนึ่ง มีทหารที่แต่งตัวต่างจากเขายืนล้อมหน้าล้อมหลังคนกลุ่มนั้นที่น่าจะเป็นชนชั้นสูงของตระกูลนารุมิยะ ทุกคนต่างมองมาที่เขากับกองทหารด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ

 

“ฟูจิวาระ ชูขอรับ”    เสียงทุ้มเอ่ยแนะนำตัวก่อนจะค่อมศีรษะให้อย่างเป็นมิตร อีกฝ่ายจึงลดการป้องกันลง

 

“ท่านแม่ทัพ ท่านออกมาด้วยตัวเองเลยรึ ขอบใจท่านมาก ข้าคือนารุมิยะ ฮารุฮิโตะ น้องชายของเจ้าเมืองฮิดะและเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวในครั้งนี้”   ชายสูงวัยแนะนำตัวด้วยสีหน้าโล่งใจ ที่ผ่านมาคงจะกลัวมากเพราะพวกอาซาคุระนั้นขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายทารุณอยู่แล้ว

 

“ไม่ทราบว่าพวกท่านปลอดภัยดีหรือไม่? แล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้างขอรับ”    เท่าที่กวาดดูด้วยตา คนที่บาดเจ็บส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกทหารที่ตามมาอารักษ์ขา

 

“พวกข้าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมีแต่พวกทหารที่ต้องต่อสู้กับโจรพวกนั้นที่บาดเจ็บ จู่ๆขบวนรถม้าของข้าก็ถูกซุ่มโจมตี ดูจากการแต่งกายแล้วก็น่าจะเป็นโจรป่า? แต่ก็น่าแปลกที่พวกมันฝีมือดีและต่อสู้กับทหารชั้นเลิศของเราได้อย่างทัดเทียม และยังถามหาแต่นายน้อยมินาโตะ”    ผู้นำของขบวนเจ้าสาวเอ่ยบอกด้วยสีหน้ากังวล

 

ส่วน นารุมิยะ มินาโตะ ก็คือชื่อเจ้าสาวของเขาเอง

 

“ช่วยมินาโตะทีนะคะท่านแม่ทัพ เหตุการณ์มันชุลมุนมาก พวกเราเลยให้ทหารที่ฝีมือดีที่สุดคอยคุ้มกันมินาโตะไว้ แต่กลับกลายเป็นว่าถูกแยกออกไปโดยไม่รู้ตัวและพวกมันยังเอาแต่ตามไล่ต้อนมินาโตะไปไม่ได้สนใจพวกเราที่เหลือเลย นี่ก็ส่งทหารอารักษ์ขาตามไปแต่ก็ไม่มีใครกลับมาเลย ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง”    ท่านหญิงที่น่าจะเป็นท่านแม่ของนารุมิยะ มินาโตะเอ่ยขอร้องเขาด้วยเสียงสั่นเครือ คิ้วสีชาจึงขมวดเข้าหากันทันที

 

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ พวกมันจ้องจะเล่นงานแค่เจ้าสาวของเขาเท่านั้น

 

“ข้าสาบานเอาไว้ต่อหน้าท่าน หากพวกมันทำร้ายเจ้าสาวของข้า ข้าจะทำลายบ้านเมืองของพวกมันไม่ให้เหลือชิ้นดี”    เขาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทุกประโยคกลับทำให้คนฟังถึงกับขนลุกในความศักดิ์สิทธิ์ เพราะทุกคนรู้ว่าเขาทำอย่างที่พูดได้จริงๆ

 

“ข้าจะตามหาเขาให้เจอ”    เสียงทุ้มพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะกระโดดขึ้นม้า

 

“แบ่งกำลังครึ่งหนึ่งคอยคุ้มกันทุกคนที่นี่และพากลับไปที่จวนเจ้าเมืองก่อน ส่วนอีกครึ่งตามข้ามา”    ม้าสีขาวออกวิ่งตั้งแต่ยังสั่งไม่จบแต่เหล่าทหารที่ติดตามท่านแม่ทัพของตนมานานกลับแยกขบวนกันเป็นสองสายแบบไม่ต้องพูดอะไรให้มากมายราวกับรู้ใจกันดีอยู่แล้ว

 

 

 

 

ป่าไผ่ในแถบนี้หนาทึบมาก มือใหญ่ยกเป็นสัญญาณให้เหล่าทหารกระจายตัวกันออกค้นหา ม้านับสิบจึงแยกออกเป็นแปดทิศทันที

 

ห่างออกไปไม่ไกลนักเขาพบเข้ากับศพนับสิบที่ตายตกไปพร้อมๆกัน ร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นมีทั้งคนที่สวมชุดทหารและคนที่แต่งตัวราวกับกองโจร คงจะมีการปะทะกันที่นี่แน่ๆ ใบไผ่ที่ถูกฟันขาดกระจุยพวกนี้จึงมีแต่รอยเลือดเต็มไปหมด

 

ทว่า...กลับไม่มีศพที่ดูน่าจะเป็นนารุมิยะ มินาโตะเลย...

 

มือใหญ่ควบม้าต่อไป สายตาสอดส่องมองหาอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่ เขาพบรอยเลือดเป็นทางก่อนจะเจอเข้ากับศพทหารและศพกองโจรอีกหลายศพ น่าจะมีคนหนีมาทางนี้แน่ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจกลับไม่ใช่กลิ่นของโลหิต

 

แต่มันเป็นกลิ่นที่แปลกประหลาด?

 

จะว่าเขาตามกลิ่นนั่นไปด้วยสัญชาตญาณก็ว่าได้ เพราะรู้ตัวอีกทีม้าของเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าศาลเจ้าร้างกลางป่าทึบไปแล้ว...

 

แกร่บ...

 

ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับถอนหายใจ เสียงใบไม้ถูกเหยียบดังกรอบแกรบอยู่รอบกาย และคนนับสิบที่ล้อมเขาเอาไว้ก็มิใช่ใคร พวกกองโจรอาซาคุระนั่นเอง!

 

ตุ้บ

 

ร่างสูงสง่ากระโดดลงจากหลังม้า...แสดงว่ามีความเป็นไปได้ที่นารุมิยะ มินาโตะจะอยู่ที่นี่ คงจะถูกไล่ต้อนให้หนีเข้าไปซ่อนอยู่ในศาลเจ้า ส่วนพวกอาซาคุระก็คงจะดักซุ่มรอให้เขามาช่วยแล้วก็เข้ามารุมฆ่าเขาให้ตายก่อนจะเข้าไปกำจัดเจ้าสาวของเขา

 

แต่พวกเจ้าคิดผิดแล้ว...

 

หากจะต่อกรกับฟูจิวาระ ชูแค่สิบคนมันจะไปพออะไร ต้องมีอย่างน้อยครึ่งร้อยถึงจะแตะตัวเขาได้

 

มือใหญ่จับดาบคาตานะคู่กาย แค่สายตาที่เย็นยะเยือกกับจิตสังหารที่ส่งออกไปก็ทำให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านได้แล้ว

 

“ฆะ ฆ่ามัน!!    ขนาดคำสั่งฆ่ายังตะกุกตะกักไร้ซึ่งน้ำหนัก กองโจรพวกนั้นวิ่งกรูเข้ามาพร้อมกันจากทุกทิศทุกทาง แต่อัลฟ่านั้นแข็งแกร่งและมีแรงเยอะมาก เขาวาดดาบออกไปแค่ทีเดียวทั้งหมดต่างก็ล้มระเนระนาด บางคนก็ตัวขาดเป็นสองท่อนไปแล้ว

 

“อ๊ากกกก!   เสียงร้องโหยหวนดังคละเคล้าไปกับเสียงดาบที่กระทบกันอย่างหนักหน่วง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วจนที่แห่งนี้ราวกับเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ทุกอย่างกลายเป็นสีแดงฉานไปหมด...

 

และเพียงไม่นาน...การต่อสู้ของเขาก็จบลงโดยง่าย...

 

ชายที่ชื่อฟูจิวาระ ชูนั้นไม่ได้มีมันสมองที่เฉลียวฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องพละกำลังและการต่อสู้เฉพาะตัวก็เป็นเลิศหาใดเปรียบอีกด้วย

 

เพราะแบบนี้แหละ...พวกศัตรูจึงต้องรีบกำจัดการก่อกำเนิดของอัลฟ่าคนต่อไปในตระกูลฟูจิวาระ

 

มือใหญ่สะบัดดาบก่อนที่คราบเลือดทั้งหมดจะสาดรดลงไปบนพื้น เขาเก็บมันเข้าฝักก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินที่มีแต่มอสและตะไคร่ไปยังตัวศาลเจ้าที่ถูกทิ้งร้าง

 

ยิ่งเข้าไปใกล้...กลิ่น...มันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น...

 

แอ้ด...

 

มือใหญ่ผลักประตูไม้เข้าไป สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือกลิ่นหอมที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน...

 

มันไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ที่เขาเคยเห็น ไม่ใช่กลิ่นดินกลิ่นฝนหรือกลิ่นเครื่องหอมใดๆ...มันเป็นกลิ่นที่อธิบายไม่ได้แต่กลับทำให้หัวใจที่ตายด้านมาตลอดเริ่มมีจังหวะที่เปลี่ยนไป

 

นัยน์ตาสีม่วงเบิกค้าง นี่มันมิใช่กลิ่นที่จะทำให้ใจสงบได้เลย

 

“อึก...”    ยิ่งเดินเข้าไปกลิ่นหอมนั้นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนเขารู้สึกเวียนหัว มือใหญ่ถึงกับต้องยกยันผนังเอาไว้

 

เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน...เขามั่นใจว่าเขารู้จักพิษนับร้อยรับพันชนิดและนี่ก็ไม่ใช่เลยสักอย่าง

 

ถ้างั้นนี่มันกลิ่นอะไรกันที่ทำให้เขาควบคุมตัวแทบจะไม่ได้แบบนี้?

 

“ฮ้า...”    ร้อน...กลิ่นนั่นมันทำให้เขารู้สึกร้อนจนต้องปลดเปลื้องหมวกเกราะออก ตามด้วยเกราะแขน เกราะไหล่ที่ถูกทิ้งไว้ตามทาง ร่างสูงสง่าเดินโซเซราวกับสิ่งที่ควบคุมร่างกายนั้นไม่ใช่ตัวเขาอีกต่อไป...สายตาจับจ้องอยู่ที่ห้องบูชาเทพเจ้าและต้นตอของกลิ่นพวกนี้ก็คือที่แท่นบูชานั่นเอง

 

นี่มัน...อะไรกัน?

 

สายตาของเขาเริ่มพร่ามัวราวกับคนเป็นไข้ สติแทบจะรั้งเอาไว้ไม่ได้แล้วตอนนี้ กลิ่นมันรุนแรงเกินไป

 

เขาอยากปลดปล่อย อยากสอดใส่เข้าไป...

 

“ฮ้า....”    ลมหายใจร้อนผ่าวถูกพ่นออกไปในขณะที่สองขามุ่งหน้าไปยังแท่นบูชานั่น

 

โครม!

 

เขาปัดฝาด้านหลังจนมันปลิวไปไกล มือใหญ่เอื้อมเข้าไปก่อนจะลากสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นออกมา แรงขัดขืนอันน้อยนิดไม่ได้ครณามือเขาเลย

 

“ปะ ปล่อยข้า...แฮ่ก...แฮ่ก....”    ร่างโปร่งบางที่มีสภาพแทบไม่ต่างจากเขาดิ้นรนด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

 

กลิ่นหอมอันแปลกประหลาดนั่น...มันโชยออกมาจากร่างกายของคนคนนี้นั่นเอง

 

ตึ้ง!

 

เขากดไหล่บางลงไปบนแท่นบูชาทันที ยิ่งได้เผชิญหน้าเขาก็ยิ่งรั้งสติเอาไว้ไม่ได้ เหมือนเขาถูกสัญชาตญาณสัตว์ร้ายที่รุนแรงบางอย่างควบคุมเอาไว้ เขารู้แค่ว่าตอนนี้เขาต้องการจะมีสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับคนคนนี้ เขาต้องมี! ถึงจะปลดเปลื้องความต้องการนี้ได้

 

ริมฝีปากจึงบดเบียดลงไปบนกลีบปากนุ่มอย่างหิวกระหาย มือบางเองก็กลับมิได้ผลักไสแต่ดึงรั้งร่างของเขาเข้าไป

 

เหมือนต่างฝ่ายต่างเรียกร้องหากัน

 

เหมือนพวกเราตกอยู่ในภวังค์อะไรบางอย่าง

 

เหมือนร่างทั้งร่างถูกใครอื่นควบคุมเอาไว้

 

เขาต่อต้านมันมิได้เลย

 

นี่มันอะไรกัน?

 

“แฮ่ก...แฮ่ก...อื้อ...”    เรียวลิ้นแลกรับกันอยู่ในโพรงปากอย่างรุนแรง ฝ่ามือต่างก็ปลดเสื้อผ้าของกันและกันออกจนแผ่นอกเปลือยเปล่า

 

“อึ้ก”    เขาก้มลงไปขบกัดซอกคอขาวจนมองเห็นเป็นรอยฟัน ทั้งรอยปื้นและรอยแดงก็ตามมาโดยพลัน เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ

 

“แฮ่ก...แฮ่ก...”    เสียงหอบหายใจกระเส่าดังเร่งเร้าให้เขายิ่งขบเม้มไปตามร่างกายอ้อนแอ้นอรชร เขากัดมันทั้งหมดไม่ว่าจะลาดไหล่ ไหปลาร้าหรือว่ายอดอก  ทั้งหน้าท้องแบนราบจวบจนเอวบางไปจนถึงกลางลำตัวล้วนเต็มไปด้วยรอยรักร้อนแรงที่เขาทำเอาไว้ ราวกับสัญชาตญาณแห่งการครอบครองกำลังควบคุมสมองของเขาไปจนหมด

 

“อื้อ~    สองมือจับแยกสองขาเรียวเล็กนั่นออกจากกัน เขาสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางเบื้องล่างอย่างถือสิทธิ์ก่อนจะพบว่ามันเปียกแฉะฉ่ำเยิ้มไปหมดแล้ว มิหนำซ้ำน้ำเหนียวหนืดพวกนี้ยังไหลติดปลายนิ้วของเขามาเลย

 

“ฮ้า...”    ดวงตาสีม่วงเพียงปรายมองคนที่อยู่ใต้ร่าง การที่เขาไม่สนแม้แต่ที่นี่คือแท่นบูชาและยังยกสะโพกมนขึ้นมานั่นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามีสัตว์ร้ายบางอย่างควบคุมจิตใจของเขาเอาไว้

 

“อึก?! อื้อ~!!    ร่างที่อยู่ข้างใต้หลับตาแน่นเมื่อเขาฝืนสอดใส่ความเป็นชายเข้าไป มันไม่เคยใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ

 

“อ้า~!     แต่ก็น่าแปลกที่คนตรงหน้ากลับรับมันเข้าไปได้ทั้งหมดอย่างง่ายดายราวกับว่าช่องทางนี้มีไว้เพื่อเขายังไงอย่างงั้น...ทั้งๆที่อีกฝ่าย...เป็นผู้ชาย

 

มือใหญ่กอบกุมแท่งน่าเอ็นดูสีชมพูที่ชูชันอยู่ตรงหน้า และนั่นก็ยิ่งทำให้ใบหน้ามนร้องครางหนักกว่าเดิม ช่องทางด้านหลังเองก็ยิ่งเปียกแฉะบีบรัดจนเขารู้สึกได้

 

“อึก”    คิ้วสีชาขมวดมุ่นเพราะตอนนี้สติเขาหลุดยิ่งกว่าเมื่อกี้อีก สะโพกแกร่งขยับเข้าออกอย่างรุนแรงตามความต้องการที่กำลังบ้าคลั่งราวพายุไฟโหมอยู่ในใจ

 

ร้อน...จนแทบจะมอดไหม้

 

ทุกอย่างดูพร่าเลือนไปหมด

 

ยกเว้นก็แต่เสียงครางกับความรู้สึกสุขสมที่คละคลุ้งอยู่ภายในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเคยใช้บูชาเทพเจ้า...

 

ราวกับเป็นการพบกันในคืนบาปเลยก็ว่าได้

 

เรื่องราวของเขากับเด็กคนนี้...

 

 

 

 

 

 

 

 

แสงแดดสาดส่องลงมาพร้อมสติที่หวนคืนหา

 

ร่างสง่าลุกขึ้นนั่งด้วยแผ่นอกเปลือยเปล่า แผ่นหลังกว้างรู้สึกแสบๆคันๆเพราะมันน่าจะเต็มไปด้วยรอยเล็บ เขายกมือขึ้นมากุมหน้าผากที่ปวดหนึบนิดๆ ขนาดตอนเมาเหล้ายังไม่เป็นถึงขนาดนี้เลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน...

 

ใบหน้าหล่อเหลาหันมองรอบกายก่อนจะพบอีกคนนอนซุกอยู่ภายใต้กิโมโนสีดำของเขา...แล้วภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ไหลย้อนกลับมายิ่งกว่าน้ำปะทะโขดหิน เขาหันควับไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีตกตะลึง

 

หรือว่าคนคนนี้จะเป็นโอเมก้า?

 

แล้วก็เป็นโอเมก้าที่อยู่ในช่วงดำรงพันธ์เสียด้วย?

 

เขาเองก็ไม่เคยเจอกับโอเมก้าที่อยู่ในช่วงเวลาแบบนี้มาก่อน แต่ในตำราเคยบอกไว้ว่าอัลฟ่าอย่างเขาจะต่อต้านมันไม่ได้เลย...

 

“ฮู่ว....”     ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆผ่อนลมหายใจก่อนจะไล่สายตามองไหล่ขาวที่โผล่พ้นกิโมโนสีดำออกมา มันมีแต่รอยรักที่เขาฝากไว้จนแทบจะเต็มแน่นทุกอณู แค่นี้ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่าเขาต้องไร้สติขนาดไหนถึงได้มีแต่ความรู้สึกอยากจะครอบครองอีกฝ่ายขนาดนี้ได้

 

เมื่อคืน...ปลดปล่อยไปกี่ครั้งก็ยังจำไม่ได้...ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่สลบไปก็คงจะไม่ยอมหยุดเป็นแน่...

 

เป็นถึงขนาดนั้นได้อย่างไรกัน...

 

นัยน์ตาสีม่วงไล่มองไปยังใบหน้ามนที่เพิ่งจะได้เห็นชัดๆเป็นครั้งแรก ถึงจะถูกกรอบผมสีดำยาวปิดละไปกว่าครึ่งแต่ใบหน้าที่หลับใหลอยู่นี้ก็น่ารักราวกับตุ๊กตาเลยจริงๆ...นี่คือเด็กผู้ชายแน่หรือ? หากเขาไม่ได้สัมผัสแกนกายน่าเอ็นดูนั่นมากับมือคงไม่มีทางเชื่อเป็นแน่

 

มือใหญ่แตะสัมผัสไปบนหน้าผากใสเพื่อเกลี่ยไล้เส้นผมให้พ้นใบหน้า มีผมหน้าม้าสั้นๆที่ยุ่งเหยิงจากเหงื่อที่เคยเปียกชื้นอยู่ด้วย...มันช่าง...เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดจริงๆที่ได้มองหน้าอีกฝ่ายแบบนี้

 

“อื้อ...”    เสียงอืออาอย่างรำคาญใจร้องดังออกมาจากลำคอเมื่อถูกก่อกวน

 

“...นารุมิยะ...มินาโตะ?”    เสียงทุ้มลองเอ่ยเรียกออกไป

 

พรึ่บ!

 

ดวงตากลมใสก็เบิกโพลงขึ้นมาทันที!  ร่างโปร่งบางลุกพรวดก่อนจะกระถดกระถอยหนีออกไปจนไกล มือไม้กอดกิโมโนสีดำของเขาที่เคยใช้ห่มกายราวกับมันคือสิ่งสุดท้ายที่จะใช้ปกป้องตนเอง ใบหน้ามนที่ตื่นตระหนกตกใจจ้องมองเขาอย่างหวาดระแวง...ดูเหมือนสติของอีกฝ่ายก็จะกลับคืนมาแล้วเช่นกัน

 

เขาเพิ่งเห็น...ว่าอีกฝ่ายมีดวงตาสีเขียวที่สดใสราวกับทุ่งหญ้าผืนใหญ่เลยทีเดียว

 

“เจ้าคือ...นารุมิยะ มินาโตะ ใช่หรือไม่?”     เขาเอ่ยถามออกไปเพราะดูจากทิศทางที่หนีมารวมถึงอีกฝ่ายยังเป็นโอเมก้าที่หาได้ยาก มันก็ไม่น่าเป็นอื่นไปได้

 

“.....ไม่ใช่”     แต่แล้ว สิ่งที่เสียงแผ่วเบานั่นเอ่ยออกมาก็ทำให้เขาตะลึงตาค้าง

 

“ไม่ใช่?”     เสียงของเขาที่เอ่ยออกไปนั้นช่างเลื่อนลอยราวกับคนที่เพิ่งจะโดนสายฟ้าฟาดใส่จนวิญญาณหลุดออกจากร่าง มันจะไม่ใช่ได้อย่างไร?

 

“เช่นนั้น...ชื่อของเจ้าคือ?”     เขาถามออกไปเพราะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าเขาได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดมหันต์ลงไปแล้ว

 

“........มินามิ...”     ใบหน้ามนที่หวาดระแวงนั่นเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้เชื่อใจเขานัก

 

“แค่มินามิ?”    ชื่อแซ่วงศ์ตระกูลของเจ้าล่ะ?

 

“....โฮโจ....โฮโจ มินามิ...”     ใบหน้าที่อยู่ภายใต้กรอบผมสีดำยาวระต้นคอเอ่ยออกมาอย่างละล่ำละลักราวกับแม้แต่ชื่อของตัวเองก็ยังจำไม่ได้

 

แต่ร่างกายของเขานี่สิ แทบจะแข็งเป็นหินไปแล้ว

 

ทั้งใบหน้าถึงกับชาวาบ ว่าอย่างไรนะ? ทำไมชื่อที่หลุดออกจากปากเล็กๆนั่นมาถึงไม่ใช่นารุมิยะ มินาโตะล่ะ?

 

ที่เขาไม่หักห้ามใจแม้ต้องกัดลิ้นตายนั่นก็เพราะเขาเข้าใจว่าคนตรงหน้า...คนที่ซ่อนตัวอยู่ในศาลเจ้าร้างแห่งนี้คือนารุมิยะ มินาโตะคนที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวของเขาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า...

 

แต่หากนี่ไม่ใช่...

 

เขา...จะทำเช่นไรดี?

 

ใบหน้าหล่อเหลานิ่งค้างอยู่หลายสิบนาที คนที่เขาเผลอไปมีความสัมพันธ์ด้วยกลับไม่ใช่เจ้าสาวของเขาอย่างนั้นรึ?

 

จะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะให้ทิ้งไว้เช่นนี้ก็คงไม่ได้เพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายที่ไร้ความรับผิดชอบ อีกอย่าง อีกฝ่ายก็เป็นโอเมก้า หากมีความสัมพันธ์กันในช่วงดำรงพันธ์ขึ้นมา อีกฝ่ายอาจจะตั้งท้องลูกของเขาก็เป็นได้

 

แต่...จะให้รับผิดชอบยังไงได้ในเมื่อเขาก็กำลังจะแต่งงาน...

 

ปลายนิ้วแข็งแรงถึงกับยกขึ้นมาบีบขมับ ในหัวรู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาทันที ทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยเห็นเรื่องส่วนตัวมาก่อนบ้านเมืองเลยจริงๆ แต่จะให้ทิ้งความรับผิดชอบที่มีต่อเด็กคนนี้เขาก็คงไม่ใช่คนอีกต่อไป

 

“เฮ้อ...”    เขาถอนหายใจก่อนจะหันขวับไปมองคนที่ยังนั่งเปลือยเปล่าโดยมีเพียงกิโมโนของเขาปิดคลุม ร่างโปร่งบางนั่นสะดุ้งโหยงก่อนจะตั้งท่าเตรียมถอยหนี

 

กลัวอะไรขนาดนั้น?...

 

“เจ้ากำลังจะไปที่ใด?”    เขาถามออกไป อีกฝ่ายมีท่าทีลังเล กว่าจะยอมเอ่ยปากได้ก็ผ่านไปหลายนาที

 

“ขะ ข้ากำลังจะไป...จวนเจ้าเมืองแห่งแคว้นคางะ...”     ที่เดียวกับเขา? เช่นนั้นก็พาไปด้วยกันก่อน แล้วค่อยตัดสินใจในระหว่างที่เดินทางก็แล้วกัน ตอนนี้เขายังคิดไม่ตกจริงๆ

 

“เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันกับข้า ข้าเองก็กำลังจะไปที่นั่น”   เขาเอ่ยบอกในขณะที่รวบรวมเสื้อผ้ามาส่งให้มือบาง

 

“ท่าน...เป็นทหารของแคว้นคางะเช่นนั้นรึ?”    มือบางรับกิโมโนของตัวเองไปด้วยท่าทางที่ยังหวาดระแวง ดวงตากลมโตเหลือบมองชุดเกราะของเขาจึงได้ถามออกมาแบบนั้น

 

“ใช่”    เขาตอบในขณะที่เริ่มแต่งตัว

 

“เอ่อ...เรื่องเมื่อคืนนี้...ข้า...ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ ข้า...”     เสียงใสเอ่ยบอกในขณะที่สวมใส่เสื้อผ้า ในน้ำเสียงมีทั้งแววลังเล กังวล และสับสน ราวกับไม่เคยเป็นและไม่เคยพบเจอกับเรื่องแบบเมื่อคืนนี้มาก่อน แต่ดูจากการที่อีกฝ่ายยังเด็ก น่าจะอายุแค่ราวๆ18-19ได้ นี่จึงอาจจะเป็นช่วงดำรงพันธ์ครั้งแรกก็เป็นได้

 

“เจ้าเป็นโอเมก้า ส่วนข้าเป็นอัลฟ่า เรื่องมันก็มีแค่นั้น”    แล้วคำอธิบายที่สั้น ง่าย ได้ใจความของเขาก็ทำเอาใบหน้ามนนิ่งค้างไปอย่างเข้าใจทุกคำพูดดี จึงไม่มีถ้อยคำกล่าวโทษใดๆหลุดออกมาให้ได้ยินอีก เพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติและยากที่จะต่อต้าน

 

“ไปกันเถอะ”

 

“ขอรับ...”

 

 

 

 

 

 

อาชาสีขาวมิได้วิ่งเต็มอัตราเฉกเช่นที่ผ่านมา มันเพียงวิ่งเหยาะๆลัดเลาะไปตามป่าไผ่ที่ไกลจนเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด  บนหลังของมันมีร่างสองร่างที่นั่งซ้อนไปด้วยกัน

 

ในหัวของเขายังเต็มไปด้วยความสงสัย ว่าคนในอ้อมแขนนี้มิใช่นารุมิยะ มินาโตะแน่หรือ?

 

ถึงอีกฝ่ายจะปฏิเสธเสียงแข็งแต่เขาก็ยังคลางแคลงใจอยู่ดี ความบังเอิญที่ราวกับปาฏิหาริย์นี้มันจะเกิดขึ้นได้จริงๆรึ?

 

หรือมันจะเป็นเพียงการเข้าข้างตัวเองให้รู้สึกสบายใจก็หารู้ได้ เพราะถึงเวลาจะผ่านมาจนป่านนี้เขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้เสียทีว่าควรจะทำยังไงกับคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาดี

 

ความรับผิดชอบที่มีต่อคนคนหนึ่ง หรือความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง เขาควรจะเลือก...

 

 

โคร่ก~

 

 

ใบหน้าที่กำลังคิดหนักถึงกับหยุดชะงัก...เสียงอะไรน่ะ? ท้องร้อง?

 

เขาก้มหน้าลงไปมองคนที่อยู่ในอ้อมแขน  โฮโจ มินามิก้มหน้างุดใบหูแดงระเรื่อไปหมด

 

“เจ้าหิวรึ?”     เสียงทุ้มถามออกไป ใบหน้ามนจึงพยักเบาๆอย่างอายๆ จริงสิ...ไม่มีอาหารตกถึงท้องพวกเขามาตั้งแต่เมื่อวาน แถมยังใช้แรงไปไม่ใช่น้อยเลยเมื่อคืน จะหิวก็ไม่แปลก

 

มือใหญ่จึงกระตุกบังเหียนให้ม้าวิ่งช้าลงอีก สายตาคมกล้าสอดส่องมองหาเป้าหมายที่พอจะเป็นอาหารได้ คงต้องหาอะไรให้เด็กคนนี้กินก่อน ส่วนเขาเองถ้าได้กินอะไรลงไปบ้างบางทีความสับสนในใจอาจจะทุเลาลงแล้วก็คงจะเลือกได้เสียที

 

แล้วพอม้าวิ่งช้าลง เหยื่อที่เขาหมายมาดไว้จึงไม่ตกใจจนกระเจิงหนีเหมือนที่ผ่านๆมา อะไรบางอย่างวูบไหวอยู่ที่หางตา มือแข็งแรงจึงค่อยๆหยิบคันธนูขึ้นมา

 

กวางสองแม่ลูกยืนเล็มหญ้าอยู่ตรงนั้น

 

แค่เจ้าตัวเล็กนั่นก็คงจะพอ มือใหญ่ยกคันธนูขึ้นมาง้างด้วยท่าทางสง่างามก่อนจะเล็งไปที่ลูกกวาง

 

“เอ๊ะ? นั่นท่านจะทำอะไรน่ะ? หยุดนะ!     ทว่า เจ้าคนที่ท้องร้องหนักหนากลับหันมามองเขาอย่างตกอกตกใจ มือบางขยุ้มมาที่อกเสื้อก่อนจะรีบคว้าคันธนูของเขาอย่างลนลาน

 

“?”    เขาก้มมองคนที่พยายามยื้อแย่งคันธนูกับเขาอย่างมึนงง ทำไมล่ะ? ข้าก็กำลังหาอาหารให้เจ้าทานอยู่ไง?

 

“ไม่ได้นะ! ท่านจะไปพรากแม่พรากลูกมันมาได้อย่างไร? ข้ากินแค่มื้อเดียวนิดเดียว แค่ผลไม้ลูกเดียวก็เพียงพอแล้ว ปล่อยมันไปเถอะ อย่าไปฆ่ามันเลย”     ดวงตากลมใสจ้องมองเขาอย่างเอาจริงเอาจัง เขาไม่รู้ว่าในดวงตาคู่นี้มันมีอะไรแต่มันกลับทำให้เขามิอาจเอื้อนเอ่ยออกไปได้ มือใหญ่จำต้องลดคันธนูลงเสียแบบนั้น

 

เพราะแววตาที่จะว่าออกคำสั่งก็ไม่เชิง อ้อนวอนขอร้องก็ไม่เชิง สั่นคลอก็ไม่เชิงนั่นน่ะเหรอ?

 

น่าประหลาดจริงเชียวที่มันทำให้เขามิอาจปฏิเสธได้

 

“ผลไม้?”    เขาเอ่ยถามออกไปอย่างมึนงง มีคนเลือกที่จะกินผลไม้แทนเนื้อกวางด้วยเหรอ?

 

“ขอรับ”    ใบหน้ามนยังคงยืนยันอย่างหนักแน่น

 

“ลูกเดียว?”

 

“ขอรับ”    ดวงตาสีใบไม้นั่นยังจ้องเขาเขม็ง

 

“ฮึ”    เขาถึงกับหลุดหัวเราะออกไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพิ่งเคยเจอคนที่มุ่งมั่นในความคิดของตัวเองและยังกล้าออกคำสั่งกับเขาเป็นคนแรกเลยจริงๆ ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าสบตาเขาตรงๆแบบนี้ด้วยซ้ำ

 

“หะ หัวเราะอะไรของท่าน...”    ใบหน้ามนหันกลับไปก่อนที่แก้มใสจะแดงระเรื่อ

 

เขาอมยิ้มก่อนจะให้ม้าเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อมองหาผลไม้ แต่ที่นี่เป็นป่าไผ่ให้มองหาหน่อไม้อาจจะง่ายกว่า ฉะนั้นไม่ว่าม้าจะเดินไปไกลแค่ไหนก็ยังไม่เจอผลไม้เลยสักลูก...

 

 

โคร่ก~~~

 

 

เขาลอบหัวเราะจนไหล่สั่น ส่วนคนที่ควบคุมเสียงกระเพาะของตัวเองไม่ได้ก็ได้แต่อายจนหูแดงไปหมด

 

จะว่าไปเขาก็ไม่เคยรู้สึกเอ็นดูใครแบบนี้มาก่อน เส้นแบ่งของเขามักจะชัดเจนเสมอและไม่เคยปล่อยให้ใครเข้ามาใกล้ๆ

 

เขาคิดมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วว่าอีกฝ่ายช่างเหมือนกับตุ๊กตา  ใบหน้าที่ก้มต่ำนั่นขาวสะอาดและดูน่ารักเกินกว่าจะบอกว่าเป็นเด็กผู้ชาย  มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาติดใจก็คือกลิ่นหอมอันแปลกประหลาดซึ่งโชยออกมาจากร่างกายของเด็กคนนี้ หรือจะเป็นเครื่องหอมที่มีเฉพาะตัว? อาจจะมีพันธุ์ไม้บางอย่างที่แคว้นคางะไม่มีก็เป็นได้?

 

เพราะว่าอยู่ใกล้แค่นี้เขาจึงลอบสูดดมกลิ่นนั้นได้จากเส้นผมนุ่มลื่นราวกับแพรไหม ถึงจะเป็นกลิ่นเดียวกันแต่มันกลับให้ความรู้สึกที่ต่างจากเมื่อคืนลิบลับ

 

ตอนนี้...กลิ่นหอมอ่อนๆมันกลับทำให้เขาสบายใจอย่างไม่น่าเชื่อ จนเผลอคิดไปว่าการอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

 

และไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนกลิ่นหอมที่กวนใจนี้กลับไม่จางหายไปเสียที...

 

มันเป็นกลิ่นที่ราวกับไม่ว่าจะอยู่ไกลเป็นหมื่นลี้เขาก็ยังคงสัมผัสถึงมันได้ หรือจะเป็นกลิ่นกายที่เกิดตามธรรมชาติของเด็กคนนั้นกันนะ?

 

เพราะเพศรองพิเศษมีข้อมูลน้อยมาก อย่าว่าแต่จะเคยพบคนที่เป็นเหมือนกันเลย บางครั้งเขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ

 

เขาจรดจมูกเข้าไปใกล้เส้นไหมสีดำก่อนจะสูดกลิ่นนั้นเบาๆโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เป็นกลิ่นที่ดีจริงๆ

 

อะไรบางอย่างแว่บเข้ามาในสายตาเขาจึงหันไปจับจ้องมองที่พื้นซึ่งมีใบไผ่แห้งทับถม...นั่นมัน...ไก่ป่า?

 

ใบหน้าหล่อเหลาจึงก้มลงไปถามคนในอ้อมแขน   “ถ้าเป็นเจ้านั่นล่ะ เอามากินได้ไหม?”

 

โฮโจ มินามิยังไม่ตอบแต่ก็ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ คงจะหิวมากแล้วจริงๆ ใบหน้ามนหันไปมองฝูงไก่พวกนั้นอย่างชั่งใจ

 

“ไก่ป่าก็ไม่ต่างจากไก่บ้านหรอก มันเป็นอาหาร มันออกไข่ทุกวันและฟักออกมาทุกวัน พวกมันมีจำนวนมากกว่ากวางป่าพวกนั้นมาก ต่อให้เจ้ากินไปสักตัวเดี๋ยวพวกมันก็ออกลูกมาอีกเป็นขบวน”    เสียงทุ้มอธิบายยืดยาวและพยายามโน้มน้าวไปในตัว เขาเองก็หิวแล้วเหมือนกัน ยังแปลกใจตัวเองอยู่เลยว่าทำไมต้องตามใจเด็กนี่ด้วย?

 

“...ก็ได้ขอรับ แค่ตัวเดียวก็พอขอรับ”     เสียงใสตอบอ้อมแอ้ม

 

เขาจึงเล็งธนูไปที่ไก่ตัวหนึ่งก่อนจะยิงมันอย่างแม่นยำ ฝูงไก่วิ่งหนีแตกกระเจิงทิ้งไว้แต่ไก่ตัวที่ตายแล้วเท่านั้น

 

ตุ้บ

 

ร่างสูงสง่ากระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะเดินไปหิ้วตีนไก่นั่นขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลามองหาที่ที่พอจะนั่งพักได้ประกอบกับจู่ๆก็มีเม็ดฝนโปรยปรายลงมา มือใหญ่จึงเอื้อมไปรับมือบางก่อนที่ร่างโปร่งจะลงจากหลังม้ามาอีกคน พวกเขาวิ่งไปหลบฝนที่ใต้ชะง่อนหินแห่งหนึ่งซึ่งอยู่แถวนั้นได้ทันพอดี

 

เขาจัดการถอนขนไก่และจุดไฟย่างมันอย่างไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก แต่ร่างที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆกลับมองมาอย่างอึ้งๆ

 

“ท่านคงจะเป็นทหารที่เคยออกรบมาสินะ? ถึงได้มีวิธีเอาตัวรอดในที่แบบนี้”    ใบหน้าหล่อเหลาเพียงพยักเบาๆ การนอนกลางดินกินกลางทรายนั้นเป็นเรื่องปกติของกองทัพอยู่แล้ว เขาออกรบมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่อายุแค่16-17 และหลายครั้งก็ไม่ได้ไปอย่างราชา มันหาใช่การออกไปพักตากอากาศ ความสะดวกสบายสำราญใจจึงหาใช่สิ่งที่จะเจอ

 

“ข้าเสียอีกที่ทำสิ่งใดมิได้สักอย่างแต่กลับเรียกร้องจากท่านเสียมากมาย คิดแล้วก็น่าอายจริงๆ”    เขาอมยิ้มในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา เพราะนั่นบอกกับเขาว่าเด็กคนนี้มิใช่คนเอาแต่ใจ อีกฝ่ายมีทั้งความเมตตาและพร้อมที่จะเข้าอกเข้าใจผู้อื่น

 

“คนเราย่อมมีสิ่งที่ทำได้และทำไม่ได้ หากชายชาตินักรบที่เลือดร้อนไม่มีคนที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจหรือฉุดรั้งสติเอาไว้ เจ้าไม่คิดว่าแผ่นดินจะร้อนเป็นไฟหรอกรึ?”    ใบหน้ามนพยักหงึกๆก่อนจะหันไปมองไก่ที่กำลังย่างด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

หัวใจของเขากลับร่ำร้องให้เลือกเด็กคนนี้

 

ไม่รู้ทำไม...

 

มือใหญ่ดึงไก่ที่ถูกย่างจนหอมกรอบกำลังดีมาฉีกน่องหนึ่งส่งให้มือบาง  ร่างโปร่งรับมันไปก่อนจะค่อยๆกัดกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย

 

“อร่อยจัง...ทั้งๆที่ไม่ได้ใส่เครื่องปรุงอะไรเลยด้วยซ้ำ ท่านทำได้ยังไงกันนะ?”    เสียงใสเอ่ยชมไม่หยุดปากจนเขาทำตัวไม่ถูก ก็แค่ย่างธรรมดาๆเอง มีอะไรให้ประหลาดใจหนักหนา? ทว่าท่าทางตื่นตาตื่นใจเล็กๆแบบนั้นกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนน่าประหลาดเสียยิ่งกว่า

 

“จริงๆนะ...ข้าคิดว่า แค่มีคนที่จับไก่มาย่างให้ข้ากินได้ หาที่หลบฝนให้ข้า อยู่กับข้าในวันที่ยากลำบาก...แค่นี้ก็พอแล้วจริงๆ...”     ใบหน้ามนทอดสายตามองกองไฟราวกับกำลังทอดถอนใจอะไรบางอย่าง

 

“เจ้าเอง...ก็มีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดเช่นกันรึ?”    เขาเอ่ยถามในขณะที่ทอดมองไปยังกองไฟเช่นกัน

 

คงจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน...สินะ...

 

มันคงจะเปลี่ยนชีวิตของเจ้ากับข้าไปไม่น้อยเลยทีเดียว...

 

“ท่านจับปลาเป็นหรือไม่?”     เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบหรืออย่างไร แต่เขาก็ตอบไปอย่างมิได้อิดออด

 

“ปกติข้าไม่จับเองหรอก แต่ถ้าจะให้จับก็คงจับได้นั่นแหละ”

 

“แล้ว ท่านปลูกข้าวตัดฟืนเป็นหรือไม่?”    เสียงใสยังถามไม่หยุด อะไรน่ะ? จะหาสามีหรืออย่างไรดูสิ่งที่ถามมาสิ

 

“ปกติข้าไม่ปลูกข้าวและตัดฟืนเองหรอก แต่ถ้าจะทำก็คงทำได้นั่นแหละ”    และคงทำได้ดีเสียด้วย

 

“ท่านซ่อมแซมบ้านเองเป็นหรือไม่? แล้วท่านรู้จักเห็ดและผลไม้ในป่าหรือเปล่า? ท่านเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่เป็นไหม? ท่านปลูกผักปลูกดอกไม้ได้หรือเปล่า?”

 

“.......”     เขาถึงกับหันไปมองใบหน้ามนนิ่งๆ แต่ดวงตากลมใสที่จ้องกลับมาราวกับกำลังรอคอยคำตอบอยู่ก็ทำให้เขาถอนหายใจแล้วตอบออกไป

 

“ปกติข้าไม่ทำสิ่งที่เจ้าถามมานั่นด้วยตัวเองหรอก แต่ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ทำได้ทั้งนั้น ถ้าข้าจะทำ”

 

“เช่นนั้น...ท่าน...สัญญากับข้าได้หรือไม่...ว่าจะปกป้องข้า...ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใดหรือเลือกเส้นทางไหน...”     จู่ๆเสียงนุ่มก็เอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

 

“ทำไมข้าต้องปกป้องเจ้าด้วยล่ะ?”    เขาถามออกไปตามประสาคนตรง

 

“ก็เมื่อคืนท่าน! ท่าน!     ใบหน้ามนแดงเถือกก่อนจะชี้นิ้วมาที่เขา ถึงจะพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่เหตุใดเขาถึงอยากจะไล่ต้อนคนตรงหน้าให้จนมุมนักก็ไม่รู้ ทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดที่จะทำกับใครแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ อยากจะหยอกเย้าให้หน้าสีอมชมพูนั่นยิ่งแดงหนักกว่าเก่า

 

“ข้า?”    เขาจึงเอียงคอถามกลับไป

 

“ท่านกลายเป็นสามีข้าแล้วไง! ท่านก็ต้องรับผิดชอบสิ!     โฮโจ มินามิหลับหูหลับตาตะโกนออกมาด้วยปฏิกิริยาน่ารักน่าเอ็นดู

 

“อุบ ฮึ ฮ่าๆๆๆ”     เขาหัวเราะออกไปอย่างที่ไม่เคยหัวเราะแบบนี้มาก่อน ฮ้า...เด็กคนนี้นี่มัน...

 

“ท่านจะลืมไม่ได้เด็ดขาดเลยนะว่าทำสิ่งใดไว้กับข้า...”     ใบหน้ามนงอง้ำมองมาด้วยตาเขียวปั้ด

 

“ฮึ...ข้าเข้าใจแล้ว...”    เขามองใบหน้ามนด้วยสายตาอ่อนโยน เพราะเจ้าเรียกร้องออกมาตรงๆเช่นนี้หรือเปล่านะ ข้าถึงได้ตัดสินใจง่ายขึ้น?

 

“สัญญามาสิ”    โฮโจ มินามิไม่เหมือนใครที่เขาเคยเจอ เขาก็บอกไม่ได้ว่าต่างตรงไหน อาจจะเป็นความใสซื่อ อาจจะเป็นความตรงไปตรงมา ที่บางครั้งก็ดูน่าไม่อายไปบ้าง แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ๆ

 

เขาจึงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง

 

“ข้าสัญญา...ว่าข้าจะปกป้องเจ้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...”     เขามองสบประสานลงไปในดวงตาสีเขียวคู่นั้น และมันก็จ้องมองเขากลับเช่นกัน

 

“ดี ข้าเอง...ก็สัญญาเช่นกัน...ว่าข้าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อท่าน...จะมอบทั้งชีวิตและลมหายใจให้แก่ท่าน”   

 

ถึงเขาจะไม่คิดก็เถอะว่าอย่างเด็กคนนี้จะทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง แต่คำพูดเหล่านั้นก็ทำให้หัวใจราวกับถูกผูกมัดเอาไว้...

 

ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับกำลังทิ้งทวนการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเขา พวกเราสองคนที่ทำอะไรมิได้แล้วจึงได้แต่นั่งมองสายฝนอยู่ด้วยกัน

 

 

เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเด็กคนนี้ เลือกโฮโจ มินามิแทนที่จะเป็นนารุมิยะ มินาโตะ

 

 

จะรับผิดชอบ...ในสิ่งที่ตัวเองพลั้งเผลอทำลงไป ต่อให้ต้องหักหน้าตระกูลนารุมิยะและต้องก้มหัวขอโทษแค่ไหนเขาคงต้องทำ

 

เลือกคนเพียงคนเดียวแทนที่จะเป็นแผ่นดินและวงศ์ตระกูล...

 

ไม่สมเป็นเขาเลย

 

 

 

 

 

 

เป็นเพราะเขาหายไปทั้งคืนตอนนี้ทั่วทั้งเมืองคางะจึงกำลังตามหากันให้จ้าละหวั่น

 

เขาเจอกับทหารที่กำลังออกลาดตระเวนและตรงรี่เข้ามาด้วยสีหน้าดีใจ คงคิดว่าเขาอาจจะถูกลอบทำร้ายแต่อันที่จริงแล้วมันตรงกันข้ามเลยต่างหาก

 

และไม่ว่าเขาจะเอ่ยถามทหารคนไหนๆว่าเจอตัวนารุมิยะ มินาโตะหรือยังทุกคนกลับส่ายหน้าด้วยความสิ้นหวัง คิ้วของเขาจึงเอาแต่ขมวดมุ่น ทั้งๆที่รับปากท่านแม่ของเด็กคนนั้นมาแท้ๆว่าจะหาให้เจอแต่เมื่อคืนเขากลับมัวแต่...

 

ถึงจะตัดสินใจไปแล้วแต่ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาในจิตใจอยู่ดี ป่านนี้เด็กคนนั้นจะเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหนกันนะ...

 

“ไปกันเถอะ ฝนหยุดแล้ว”    เขาลุกขึ้นด้วยสีหน้าเฉยชาทั้งที่ในใจกำลังปวดหนึบ  โฮโจ มินามิเองก็มีสีหน้าลำบากใจเช่นกัน เด็กคนนี้ร้อนลนทุกครั้งที่เขาถามพวกทหารว่าเจอตัวนารุมิยะ มินาโตะหรือยัง  หรือว่าจะรู้จักกัน? คงไม่ใช่ว่า....

 

เขาสะบัดหน้าอย่างเหนื่อยล้า เขาเองก็ยังไม่เลิกสงสัยว่าแท้จริงแล้วเด็กคนนี้คือนารุมิยะ มินาโตะสินะ? แต่ในเมื่อเจ้าตัวปฏิเสธเสียแบบนั้นแล้วเขาจะทำอะไรได้

 

“เห็นทหารคนอื่นๆเรียกท่านว่า ท่านแม่ทัพ...”    ดวงตาสีใบไม้เหลือบมองเขาในขณะที่ยื่นมือมาให้ช่วยจับพยุงขึ้นหลังม้า

 

“อื้ม ข้าเป็นแม่ทัพ”    เขาไม่มีกระจิตกระใจจะตอบคำถามนักเพราะตอนนี้ในหัวของเขามันหนักอึ้งทีเดียว  เขาเลยไม่ทันสังเกตว่าโฮโจ มินามิกำลังมองเขาอย่างสงสัยเช่นกัน

 

คราวนี้อาชาสีขาววิ่งฮ่อด้วยความเร็วเต็มอัตราทำให้ในเวลาไม่ถึงชั่วยามพวกเขาก็เข้าเขตเมืองคางะเป็นที่เรียบร้อย

 

มันหยุดลงอีกครั้งที่จวนเจ้าเมือง

 

“เจ้าบอกทหารยามตรงนั้นสิว่าต้องการจะพบใคร”    เขาเอ่ยบอกร่างโปร่งบางในขณะที่ยื่นสายจูงม้าให้กับทหารที่แทบจะร้องไห้โฮเมื่อเห็นหน้าเขา

 

“ขอรับ...ที่ผ่านมา...ขอบคุณที่ช่วยเหลือข้านะขอรับ...ข้า...จะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างแน่นอน ท่านช่วยอยู่กับข้าตรงนี้ก่อนจนกว่าข้าจะเจอคนที่ข้าต้องการพบนะขอรับ”     ร่างโปร่งโค้งให้เขาด้วยความเรียบร้อย ต้องถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดีแค่ไหนถึงจะมีกิริยามารยาทที่งดงามขนาดนี้ได้

 

และทันทีที่ร่างโปร่งหันไปบอกทหารยาม ทันทีที่ชื่อชื่อหนึ่งถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อ...เขาก็หายสงสัยทันทีว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ถูกอบรมมาอย่างดี

 

“ข้าขอเข้าพบท่านหญิงนารุมิยะที่น่าจะเดินทางมาถึงจวนเมื่อวานนี้ขอรับ”

 

เขายืนมองอีกฝ่ายตาค้าง

 

แล้วก็ยิ่งต้องดวงตาเบิกกว้างขึ้นไปอีกเมื่อท่านหญิงที่ออกมาหาถึงกับโผเข้ากอดร่างโปร่งบางนั่นทันทีที่เห็นหน้า

 

“มินาโตะ! ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม?!    อ้อมแขนของผู้เป็นแม่กอดลำตัวบางแน่น ใบหน้าของท่านหญิงคลอเคลียแก้มใสๆนั่นอย่างหวงแหน

 

นี่สินะ...คือความจริงที่เขาสามารถรับรู้ได้ด้วยสายตา มิต้องพูดมันออกมาสักคำเขาก็รู้ว่าที่ผ่านมาทั้งวันนี้คือเรื่องที่อีกฝ่ายโกหกหลอกลวงเขา

 

ตอนนี้ในใจเขาสับสนปนเปไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งโล่งอก ทั้งยินดี ทั้งไม่พอใจ ทั้งโมโหโกรธา ถึงจะเข้าใจได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนั้นแต่เขาก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดี?

 

เขาเป็นบ้าอะไรกันเนี่ย?

 

ทำเรื่องที่ไม่สมกับเป็นตัวเองไปเท่าไหร่แล้วกันนะ ตั้งแต่ได้เจอกับนารุมิยะ มินาโตะคนนี้...

 

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน”     มือเรียวสวยลูบหน้าลูบตาลูกชายก่อนจะดึงร่างที่หัวเราะแหะๆเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง

 

“ข้าไม่เป็นอะไรขอรับท่านแม่ ชายผู้นี้เป็นคนช่วยข้าไว้”    โฮโจ มินามิ...ไม่สิ นารุมิยะ มินาโตะละจากอ้อมแขนผู้เป็นมารดาก่อนจะผายมือมายังเขา

 

“? ท่านนี่เอง...ท่านทำอย่างที่รับปากข้าไว้จริงๆ ข้าไม่รู้จะขอบคุณท่านเช่นไรแล้วคุณชายฟูจิวาระ”    ท่านหญิงหันมามองเขาด้วยดวงตาสั่นระริก โชคดีที่เขาฝึกฝนการเก็บอาการและเก็บสีหน้ามาอย่างดีตั้งแต่เด็ก เขาจึงมิได้เผยออกไปว่าตอนนี้ความรู้สึกในใจของเขามันกำลังแทบจะบ้าคลั่งแค่ไหน

 

มีเพียงนารุมิยะ มินาโตะที่มองเขาทีท่านแม่ของตัวเองทีด้วยความมึนงงว่าไปรู้จักกันตอนไหน ก่อนจะมีท่าทีตกใจเมื่อรู้ว่าเขาเองก็ใช้นามสกุลฟูจิวาระเช่นกัน

 

แล้วใบหน้าราวกับตุ๊กตานั่นก็ยิ่งต้องตะลึงจนตาค้างไม่ต่างจากเขาเมื่อท่านอาของเขาโผล่ตามมาก่อนจะทักเขาว่า

 

“ชู กลับมาแล้วเหรอ?”

 

“ชู?.........”     เสียงเบาหวิวเปล่งออกมาจากริมฝีปากที่เคยบดขยี้กันจนแทบจะมอดไหม้เมื่อคืนนี้  ใบหน้ามนตะลึงงันราวกับเพิ่งจะรู้ตัวว่าคนที่อยู่ด้วยมาทั้งวันนั้นคือเขาเอง...คนที่ตนจะต้องร่วมหอลงโลงด้วยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

 

“เอ๋? พวกเจ้ายังไม่รู้จักกันรึ? นี่คือนายน้อยชู คนที่จะแต่งงานกับเจ้าไง”   ท่านหญิงนารุมิยะปิดปากตกใจ

 

“........”     นารุมิยะ มินาโตะอ้าปากค้างไปแล้วเพราะคิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงทหารธรรมดา...จะว่าไป...เขาไม่เคยแนะนำตัวกับอีกฝ่ายรึ? ไม่สิ ถึงจะแนะนำตัวไปก็คงจะไร้ประโยชน์ ในช่วงเวลาที่วิกฤติอันตรายแบบนั้นอีกฝ่ายคงจะไม่เชื่ออยู่ดีว่าเขาคือฟูจิวาระ ชูตัวจริง

 

“ข้าคือฟูจิวาระ ชู...แล้วเจ้าล่ะ? ชื่ออะไรกันแน่?”     เขาตรงเข้าไปถามร่างโปร่งบางด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

 

“ขะ ข้า...นารุมิยะ มินาโตะขอรับ...ข้าขออภัยที่ต้องโกหกท่าน ข้าถูกโจรพวกนั้นตามล่า ข้าจึงไม่อาจไว้ใจบอกชื่อจริงแก่ใครได้...ข้าขออภัยจริงๆ...”    ดวงตากลมใสช้อนมองเขาด้วยเว้าวอน ถึงเขาจะเข้าใจในทุกคำพูด แต่ความตะขิดตะขวงใจบางอย่างกลับทำให้เขายังมิอาจยิ้มให้อีกฝ่ายได้

 

“........”    ดวงตาสีม่วงจึงได้แต่เหยียดมองลงไปด้วยความเฉยชา ตอนนี้ในหัวของเขามันวุ่นวายไปหมด เขาต้องการเวลาสงบจิตสงบใจและใช้เวลาคิดทบทวนว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเช่นนี้

 

เขาต้องใช้เวลาในการหาสาเหตุของมันให้เจอ...

 

“ไหนๆพวกเจ้าก็กลับมาอย่างปลอดภัย เข้าไปพักผ่อนให้สบายใจกันก่อนดีหรือไม่ เจ้าคงหิว คงอยากอาบน้ำแล้วกระมัง? ชู เจ้าเองก็พักอยู่ที่นี่ด้วยกันก่อนสิ”    ท่านอาเชื้อเชิญเขาและแขกบ้านแขกเมืองเหล่านั้นเข้าจวน

 

“ไม่ขอรับ ข้าขอตัวกลับจวนของข้า พอดีมีธุระที่ต้องสะสางขอรับ”    แต่เขาก็ปฏิเสธเอาเสียดื้อๆ ตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะพบหน้านารุมิยะ มินาโตะจนกว่าสิ่งที่อยู่ในหัวจะถูกเรียบเรียงจากความยุ่งเหยิงทั้งหมด

 

“เฮ้อ...เจ้านี่ละก็น้า เอาเถอะๆ ถ้างั้น ท่านหญิงและคุณชายนารุมิยะ เชิญเข้ามาเถอะ”     เขาเองก็หันหลังจากมาและไม่ได้หันกลับไปมองอีก จึงมิได้รู้เลยว่ามีสายตาละห้อยหามองตามเขามา...

 

 

 

 

 

 

ไหนท่านสัญญาว่าจะปกป้องข้า?

 

ทั้งที่ข้าเองก็เตรียมใจพร้อมที่จะยอมรับโชคชะตาทุกอย่างไปพร้อมกับท่านแล้ว เหตุใด...

 

 

“เฮ้อ....”     ใบหน้ามนถอนหายใจยาวจนแม้แต่ผู้เป็นแม่ยังหันมามอง

 

“กำลังจะเป็นเจ้าสาวในอีกไม่กี่วันแล้ว ถอนหายใจแบบนั้นได้อย่างไร?”     ท่านแม่ยิ้มให้ก่อนจะหันไปสนใจช่อดอกไม้ที่จะใช้ในพิธีเสกสมรสของเขาต่อ

 

บอกตามตรงว่าเขาเองก็ยังไม่ชินกับการที่จะต้องเป็นเจ้าสาวให้กับผู้ชายคนอื่น ในเมื่อเขาเองก็ถูกเลี้ยงดูมาในฐานะทายาทคนหนึ่งของตระกูลนารุมิยะเช่นกัน เขาทั้งหวาดกลัว กังวล และไม่รู้ว่าควรจะทำตัวเช่นไร ซ้ำยังไม่ทันจะได้เจอหน้าเจ้าบ่าวของตัวเองเขาก็ต้องถูกตามฆ่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด...

 

เพราะฉะนั้น...การได้พบกับท่านในคืนวันนั้นจวบจนวันที่เราอยู่ด้วยกันในป่าไผ่...มันจึงเป็นอะไรที่พิเศษสำหรับข้ามาก

 

ทั้งๆที่ข้ามิเคยขัดคำสั่งของวงศ์ตระกูล แต่นั่นคือครั้งแรกที่ข้าคิดจะขัดขืน....

 

พอได้รู้ว่าแท้จริงแล้วท่านก็คือฟูจิวาระ ชู คนที่ข้าต้องแต่งงานด้วย รู้ไหมว่าข้าดีใจขนาดไหน...

 

แต่แทนที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย...ท่านกลับทำตัวห่างเหินเย็นชาถึงเพียงนี้

 

ไม่เคยมาพบหน้า ไม่เคยมาหาเลยสักครั้ง หรือหากบังเอิญเจอกันท่านก็จะทำราวกับว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน...

 

ทั้งๆที่ข้าเคยสัมผัสได้ว่าท่านหาใช่ผู้ชายเย็นชา แต่อ้อมแขนที่คอยประคับประคองปกป้องข้าเอาไว้บนหลังม้ามันอบอุ่นและอ่อนโยนมาก

 

ทั้งๆที่คิดว่าชีวิตคู่ของเรามันคงจะเป็นไปด้วยดี แต่ทำไมท่านจึงเปลี่ยนไป...

 

เพราะข้าโกหกท่านงั้นหรือ?  หรือท่านเข้าใจข้าผิดไปเรื่องใด?

 

 

หรือชายที่อยู่กับข้าในป่าไผ่วันนั้นจะมิใช่ตัวตนที่แท้จริงของท่าน แต่เป็นเพียงชายในฝันของข้าเท่านั้น?

 

 

.

.

.

.

.

.

 

 

นารุมิยะ มินาโตะที่สวมใส่ชุดนักเรียนม.ปลายของโรงเรียนคาเซไมกำลังนั่งเหม่อในขณะที่สองมือก็ถือกระดาษเรียงความปึกหนาที่เพิ่งอ่านจบไปด้วย ใบหน้ามนที่เหมือนวิญญาณออกจากร่างนั้นก้มมองตัวหนังสือที่ถูกเขียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยพวกนั้นอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปถามเจ้าของมันให้แน่ใจอีกที

 

“ชู...นี่มันอะไรน่ะ?”    นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองชื่อ “หนึ่งร้อยคืนกับหมื่นคำรัก” บนหัวกระดาษอีกทีอย่างไม่แน่ใจ

 

“เรียงความวิชาภาษาญี่ปุ่นไง? อ่านแล้วเป็นไงบ้างมินาโตะ?”    นี่มันเรียงความประเทศไหนกันเนี่ย?! เขาได้แต่คิดในใจในเมื่อเจ้าคนที่เขียนมันขึ้นมายังมองตาใสมาที่เขา

 

“....หัวข้อคืออะไรเหรอ?”    คิดยังไงเขาก็คิดไม่ออกเลยจริงๆว่าไอ้เนื้อหาที่ใส่มาหมดทั้งพีเรียดยุคเซนโงคุ โอเมก้าเวิร์ส แถมยังเป็นเรื่องราวความรักของผู้ชายกับผู้ชายอีกแบบนี้มันจะเป็นหัวข้อเรียงความแบบไหนไปได้?

 

“วรรณกรรมสมัยใหม่น่ะ”    มันสมัยใหม่ยังไงเนี่ย~ ถือดาบขี่ม้ารบรากันเนี่ย~

 

และเพราะใบหน้าอึ้งรับประทานของเขา ชูจึงอธิบายออกมาด้วยเสียงทุ้มฟังสบายหู

 

“ฉันคิดว่ามันอยู่ที่การตีความคำว่าวรรณกรรมสมัยใหม่มากกว่า มันอาจจะไม่ใช่ฉากหรือยุคสมัยในเรื่องแต่เป็นการนำเอารูปแบบที่เกิดในสมัยนี้อย่างโอเมก้าเวิร์สและBLมาใช้”    ชูอธิบายอย่างมีหลักการ แต่ทำไมในความคิดเขา...

 

“....นายก็แค่อยากแต่งเรื่องของฉันกับนายใช่ไหมชู?”    ชื่อตัวละครที่ใส่กันโต้งๆแบบนี้มันอะไรกัน! เขาหรี่ตามองคนที่หัวเราะเบาๆเพราะถูกจับได้

 

“ไปเปลี่ยนชื่อตัวละครซะ”    นายจะใช้ฟูจิวาระ ชูกับนารุมิยะ มินาโตะแบบนี้ไม่ได้ไหม~ อยากให้คนทั้งโรงเรียนรู้หรือไงเนี่ย

 

แถมตัวละครทั้งคู่เป็นผู้ชายแล้วแต่งงานกันได้ยังไงก่อนในยุคเซนโงคุน่ะ ถึงภาษาที่ใช้ในการบรรยายจะเป็นภาษาญี่ปุ่นโบราณที่สละสลวยและงดงามมาก การผูกเรื่องก็ดีมาก แต่ส่วนที่มีปัญหาดันเป็นส่วนหลักอย่างโครงเรื่องซะงั้น

 

บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจตรรกะของชูเลย ว่าแท้จริงแล้วหมอนี่เป็นคนเก่งหรือว่าเพี้ยนกันแน่ เขารู้แต่ว่า ชูน่ะ ออกแนวคลั่งรักไม่สนลูกผีลูกคนไปหน่อย...มั้ง

 

“ชู...ฉันว่านายส่งไปสำนักพิมพ์ดีกว่านะ อย่าส่งอาจารย์เลย นี่มันไม่ใช่เรียงความวิชาภาษญี่ปุ่นของเด็กม.ปลายแล้ว”     ...ในหลายๆความหมาย...

 

เขาอมยิ้มขำๆกับเนื้อเรื่องที่ชูอยากให้เป็น นี่ยังไม่เลิกตามซื้อโดจินที่ตัวละครหน้าเหมือนเขามาอ่านสินะเจ้าหมอนี่  ได้ข่าวว่าคลอดลูกไปสามคนแล้วนะตัวเขาในเรื่องนั้น....

 

“แล้ว ตอนต่อไปล่ะ? มันยังไม่จบนี่?”    เขาถามหาเรียงความในส่วนที่เหลือ เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นน่าติดตามเลยทีเดียว อันที่จริงเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเราจะรักกันได้ยังไง

 

“กำลังเขียนอยู่น่ะ ไว้จะเอามาให้มินาโตะอ่านก่อนใครเลยนะ”    ทางที่ดี...ไม่ต้องเอาไปให้ใครอ่านอีกเลยจะดีกว่านะ   ชูล้มตัวลงนอนหนุนตักเขาอยู่บนโซฟา มือบางจึงลูบเส้นผมสีชานั่นเล่นเบาๆ

 

“ที่จริงฉันเขียนขึ้นจากประวัติของต้นตระกูลฉันน่ะ ฉันค้นมาจากบันทึกที่มีเก็บไว้ ตระกูลฟูจิวาระมีรากเหง้ามาอย่างยาวนานและมีสายแตกแขนงกันไปเยอะพอสมควร สายตระกูลของฉันสืบเชื้อสายมาจากทางแคว้นคางะจริงๆ และบรรพบุรุษคู่นี้ก็มีอยู่จริงๆนะ ฉันรู้สึกว่า...ความรักของทั้งคู่นั้นโรแมนติกมาก ก็เลยอยากถ่ายทอดออกมา”    บรรพบุรุษของชูงั้นเหรอ...

 

“นายมีบรรพบุรุษเป็นอัลฟ่ากับโอเมก้าเหรอ?”     เขาถามตาใส

 

“ฮึๆ เปล่า เป็นคู่ชายหญิงธรรมดานั่นแหละ”

 

“แล้วทำไมนายถึงทำตัวเย็นชาใส่ฉันล่ะ? นี่ชู~ สปอยด์ก่อนสักหน่อยไม่ได้เหรอ~

 

“นั่นสินะ?”

 

“อยากอ่านต่อแล้วสิ~    เขาก้มมองคนที่นอนเงยหน้ามองเขาอยู่บนตัก มือใหญ่ๆของชูเอื้อมมาลูบแก้มเขาอย่างอ่อนโยน

 

“อื้ม จะรีบเขียนต่อมาให้อ่านนะมินาโตะ”

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

Story never End

 

 

ไม่รู้ว่าชายชูบอกมินาโตะหรือนังไรท์เขียนบอกรีดกันแน่ 5555

 

เปิดมาคงมีเหว๋อกันแน่ๆเลยใช่ไหมคะตอนนี้ กร๊ากกก ก็มีคอมเม้นต์มาว่าอยากอ่านไทม์สคิปบ้าง คุณกวางเลยจัดให้เบย อิๆๆ หวังว่าจาชอบน้า >////<  ยังมีต่อแน่นอนค่ะ เด่วเขียนให้จบแหละเนื้อเรื่องของช่วงไทม์สคิปนี้ ดีที่เรื่องนี้เป็นช็อตฟิคสนองนี๊ดตัวเองเลยแบบ อยากแต่งไรก็แต่ง555 ไม่ต้องขึ้นเรื่องใหม่ แทรกๆไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ ไม่กดดันดี เอิ้ก แต่ถ้าใครอยากอ่านแบบเรื่องยาวเต็มอัตราศึกก็คอมเม้นต์บอกกันไว้ได้ เผื่อมีโอกาสและเวลา555 //รีดคงแบบ เมิงเอาเวลาไปแต่งเรื่องที่คาๆอยู่ให้จบก่อนนนน

 

ส่วนชื่อตอนของฟิคตอนพิเศษนี้ก็เนื่องมาจากว่าอยากเปรี้ยวมีชื่ออิ๊งกะเค้าบ้าง555 เลยกะว่าจะเอาชื่อดอกไม้ประจำตัวน้องมิอย่างพุดสามสีมาตั้ง แล้วพอหาข้อมูลไปข้อมูลมา โอ้โหหหหหหห มันมีฟามโรแมนติกซ่อนอยู๊~~

 

Brunfelsia หรือ พุดสามสี หรือชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ Nioi Banmatsuri (นิโออิ , นิโอย บันมัตสึริ) หรือจะเรียก Banmatsuriเฉยๆก็ได้ค่ะ แล้วเจ้าดอกไม้ประจำตัวน้องมิเนี่ยยย น้องก็ยังมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษคือ Yesterday Today and Tomorrow ด๊วยยย >////< แกรรรร ชื่ออย่างโรแมนติกอ่ะ เหมือนแบบ ไม่ว่าจะเมื่อวาน วันนี้ หรือพรุ่งนี้ เราก็อยู่ด้วยกัน~~ ตายแร้ววว หน้าชูลอยขึ้นมาเลยอ่ะคุณคะ~ //โดนเซยะกับมาสะซังเหยียบ พวกผมก็อยู่กับมินาโตะมาตั้งแต่เด็กนะครับ ถึงมาสะซังจะเฉียดๆก็เถอะ  //เพราะนอกจาก Yesterday Today and Tomorrowแล้ว น้องยังมีชื่อเล่นในภาษาอังกฤษอีกว่า Today Tomorrow Together  ,  Morning Noon and Night  , Kiss me quick ...โอ้โห แต่ละชื่ออ่ะแม๊~ เกี๊ยวแกก็ช่างไปสรรหาดอกไม้มาประจำตัวน้องมิจริงๆ โอยยยยย คือก่อนหน้านี้ไม่รู้เลยนะคะว่ามันมีดอกไม้แบบนี้อยู่ด้วย เห็นตอนแรกในเพลงเปิดเพลงปิดก็ยังคิดว่าเป็นดอกพุดธรรมดาๆเลย แล้วการที่น้องได้ชื่อแบบนี้มาก็น่าจะเป็นเพราะดอกนึงอ่ะน้องมีทั้งสามสีเลยนะ!!  โดยตอนบานน้องจะเริ่มบานด้วยสีม่วงเข้มค่ะ จากนั้นก็จะค่อยๆจางกลายเป็นสีม่วงอ่อน จนกระทั่งกลายเป็นสีขาวก่อนจะร่วงโรยไป งื้อออออ ชูมากกกก //ผิด  ก็เลยดูแล้วน่าจะแบบมีทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอยู่ด้วยกันแบบนี้มั้ง >/////< เขิลลล

 

แล้วก็ สแตนดี้วันเกิดคุณชายชูมาถึงแง้ววว น่ารักอ่า >/////< ตั้งคู่กันเบย อิๆๆๆ

 



ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทมากๆๆๆเลยนะคะ สำหรับตอนหน้าขอกำลังจัยให้คุณกวางเยอะๆหน่อยนาคะ แต่งฟิคพีเรียดคือใช้พลังเยอะมากกกก ฮื้อออ แต่ก็ชอบบบบ >/////< แล้วเจอกันนน

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น