KW
Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 12
:
KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า
:
องศา x พายุ , เก้า x เจ้าจอม
:
Warmhearted Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด
: อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
พายุ
ธารธารากุลนั้นมักจะตกอยู่ในความสนใจของผู้คนเสมอแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก
เป็นอีกครั้งที่โปรเจคของเจ้าเด็กโกธิคพังก์ถูกคนทั้งคณะแวะเวียนมาดู
เพราะไม่ใช่แค่ตัวโครงการอย่างโรงพยาบาลจิตเวชเท่านั้นที่แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร
แต่รูปทรงของตัวอาคารสไตล์โมเดิร์นที่เห็นได้ทั่วไปกลับถูกพายุเอามาใช้ในการดีไซน์จนสวยลงตัวเกินเบอร์เด็กปีสามไปมากนั่นต่างหากที่ทำให้มันเป็นที่ฮือฮา
ถึงพายุจะเป็นเด็กที่เก่งมากอยู่แล้วแต่บรรดาอาจารย์วิชาออกแบบที่เคยสอนมากลับชื่นชมว่าพายุกำลังพัฒนาแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
แน่นอนว่าการจับคู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างอาจารย์องศาจึงมีแต่คนบอกว่าราวกับเป็นคู่ฟ้าประทาน
เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเองก็ที่มีส่วนในการทำให้งานมันออกมาดีขนาดนี้
ร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดกั๊กสูทสีเทาเข้มเดินไปเรื่อยๆท่ามกลางความเงียบ
หลังจากที่ส่งไฟนอลโปรเจคของเทอมนี้เสร็จภาระกิจต่อมาของนักศึกษาก็คือการสอบปลายภาคและตอนนี้เด็กปีสามทั้งชั้นปีก็กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบกันอยู่
ถึงวิชาออกแบบของเขาจะไม่มีสอบแต่อาจารย์องศาก็ยังต้องมาช่วยคุมสอบให้วิชาอื่นอยู่
ดวงตาสุขุมเหลือบมองข้อสอบวิชาอุปกรณ์อาคารและงานระบบที่ให้เขียนผังท่อของระบบน้ำดี
น้ำเสีย น้ำฝน และระบบปรับอากาศของบ้านหลังหนึ่ง ก็ไม่นับว่าเป็นข้อสอบที่ยากเย็นอะไร
เพียงแต่กับเจ้าเด็กที่หลับในห้องเรียนตลอดอย่างเจ้าพวกนี้ก็อาจจะยากก็ได้
เขาเหลือบมองแผ่นหลังของแต่ละคนที่ส่วนใหญ่จะนั่งกุมขมับไม่ก็เกาหัวแกรกๆ
บางคนก็เขียนไปลบไป บางคนก็เส้นตีกันให้วุ่นวายจนดูแทบไม่ออก...จะไหวกันไหมนะ...
ร่างสูงใหญ่เดินต่อไปจนมองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นตา
เจ้าตัวดีของเขายังดูชิวๆอยู่เลยแหะ?
พายุไม่ได้ล่กไม่ได้ลนเหมือนเพื่อนๆแต่กลับขยับมือวาดผังงานระบบไปเรื่อยๆเฉื่อยๆเหมือนไม่ได้คิดอะไร แทนที่จะก้าวผ่านไปเขาจึงหยุดยืนดูเสียหน่อย
อืม...ถึงจะดูเหมือนเขียนส่งๆไปแต่กลับเป็นผังท่อที่อ่านง่ายมากๆ
ทางเดินของท่อต่างๆทั้งท่อระบายน้ำทิ้ง ท่อระบายน้ำโสโครก ท่อน้ำเย็น ท่อน้ำร้อน
ท่อระบายอากาศ ท่อน้ำฝนก็ไม่มีตีกันเลย ไหนจะตำแหน่งการวางพวกแท็งก์เก็บน้ำ ปั๊ม
ถังบำบัด ถังดักไขมัน บ่อพักยังถูกที่ถูกทางไปหมด นั่นหมายความว่าพายุต้องเข้าใจงานระบบของอาคารเป็นอย่างดีเพราะที่เขียนอยู่นี้มันถูกเกือบหมด
ริมฝีปากของเขายกยิ้มนิดๆอย่างพึงพอใจ
ที่เขาชอบเด็กคนนี้ไม่ใช่แค่เพราะหน้าตาที่เหมือนตุ๊กตาและนิสัยที่คล้ายปีศาจตัวน้อยเท่านั้นหรอกนะ
แต่ที่สำคัญเลยนั่นก็เพราะพายุเป็นคนที่เก่งมากๆ
เก่งจนสามารถเข้ามาอยู่ในสายตาของเขาได้
เขาไม่ใช่เด็กแล้วเพราะฉะนั้นจึงไม่ได้แสวงหาความรักแบบเด็กๆ
แต่คนที่เขาเลือกคือคนที่จะต้องใกล้เคียงกันในทุกๆด้านและพายุก็มีทุกอย่างที่เขาต้องการ ความใกล้เคียงกันมันจะทำให้เราคุยกันรู้เรื่องและคบกันไปได้ตราบนานเท่านาน
ขายาวเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะหน้าห้อง
ความสุขุมเยือกเย็นของเขาทำให้นักศึกษาต่างเกรงใจจนไม่มีใครกล้าขยุกขยิก
ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองนาฬิกาข้อมือ เหลืออีกครึ่งชั่วโมงได้
แต่ดูแล้วก็น่าจะทำกันจนวินาทีสุดท้ายนั่นแหละ
ยกเว้นก็แต่เจ้าเด็กที่กำลังฉีกกระดาษทดก่อนจะจดอะไรยิกๆลงใส่ลงไป
พายุทำข้อสอบเสร็จแล้ว?
แล้วนั่น...กำลังทำอะไรน่ะ?
เขาไม่กังวลหรอกว่าพายุจะทุจริตโดยการส่งโพยคำตอบให้เพื่อน
เพราะในระหว่างที่มือบางพันเจ้ากระดาษนั่นกับยางลบ
ดวงตากลมใสก็มองมาที่เขาด้วยแววเจ้าเล่ห์
?....จะทำอะไรนะ?
โป๊ก!
แล้วจู่ๆมือบางก็ปากระดาษกับยางลบนั่นใส่หัวกัดสีของนธีร์จนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง
“เชี่ยแม่ร่วงใครปาหัวกู?!!” เขาหลุดขำไปพรืดนึงเลยทีเดียว เดี๋ยวเถอะ
นี่ไม่ใช่เวลาเล่นนะ
ร่างในชุดกั๊กสูทลุกขึ้นก่อนจะกระแอมหนึ่งที
ขายาวก้าวไปหยิบเจ้ายางลบพันกระดาษที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นขึ้นมาท่ามกลางนักศึกษาที่กลั้นหัวเราะจนตัวสั่นจากคำอุทานของนธีร์
“ห้ามส่งโพยให้เพื่อนนะครับ” เขายึดกระดาษนั่นมาก่อนจะวางยางลบกลับลงไปบนโต๊ะของพายุ
“แต่ถ้าส่งให้อาจารย์ก็ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” เจ้าตัวดียิ้มกรุ้มกริ่ม
“ไม่ได้ครับ” มือใหญ่ชี้นิ้วลงไปที่ข้อสอบเป็นเชิงบอกให้ตั้งใจทำ
ถึงจะพอรู้ว่าพายุน่าจะทำเสร็จนานแล้วก็เถอะ
เขาเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้และเปิดกระดาษแผ่นนั้นออกมาอ่าน
ในขณะที่เพื่อนๆคงจะคิดว่าในกระดาษแผ่นนี้คือคำตอบของข้อสอบ ทว่า
สิ่งที่สองตาของเขาเห็นมันกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย
‘ท่อประปาต้องเดินเหนือฝ้า แต่ถ้าจะไปหาเธอต้องเดินทางไหน?’
‘แอร์ยังมีคอยล์ร้อน อาจารย์ก็มีคนคอยรักนะครับ’
อุ๊บ....
เขาต้องกลั้นขำขนาดหนักเพื่อไม่ให้เสียอาการจนหลุดมาดของตัวเอง...นี่มัน...คำคมงานระบบที่เจ้าตัวดีเขียนจีบเขาหรือยังไง?
มันน่าตีก้นสักทีจริงๆ
ดวงตาสุขุมเหลือบมองสบประสานกับดวงตากลมใสด้วยรอยยิ้มที่รู้กันอยู่สองคน
แล้วพายุก็ไม่ยอมออกจากห้องสอบทั้งๆที่ทำข้อสอบเสร็จนานแล้ว
เล่นเอาเพื่อนๆทั้งชั้นปีต่างเลิ่กลั่กไปตามๆกันด้วยคิดไปเองว่าหรือข้อสอบนี่มันจะเป็นระดับมหากาฬที่หลอกซ้ำหลอกซ้อน?
ที่ตนเห็นว่าไม่ยากจริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่? ก็ขนาดตัวท็อปของรุ่นที่มักจะออกจากห้องสอบคนแรกๆเสมอยังทำไม่ได้แล้วที่พวกตนตอบไปนี่มันถูกแน่แล้วเหรอ?
หลายคนถึงกับนั่งอ่านโจทย์ใหม่
หลายคนก็นั่งทวนคำตอบอีกรอบ
หารู้ไม่ว่าที่เจ้าฮาเดสแห่งปีสามไม่ยอมออกจากห้องก็เพราะจะนั่งเหล่คนคุมสอบต่างหาก
“หมดเวลาแล้วครับ” เขาเดินไปเก็บกระดาษคำตอบของคนที่เหลืออยู่โดยจงใจให้โต๊ะของพายุเป็นโต๊ะสุดท้าย
มือใหญ่ดึงกระดาษคำตอบมาก่อนจะก้มลงไปกระซิบที่ใบหูบาง
“แท็งก์เก็บน้ำแปดพันลิตรก็พอใช้
แต่แท็งก์เก็บหัวใจที่ให้คุณ หนึ่งล้านลิตรคงไม่พอ”
จีบมาจีบกลับไม่โกงอยู่แล้ว
เขายกยิ้มให้ใบหน้าใสที่อ้าปากพะงาบๆก่อนจะเดินจากไป
ปล่อยให้พายุนั่งยิ้มตัวหงิกตัวงออยู่ตรงนั้น
ก๊อกๆๆ
เสียงจากประตูทำให้ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างแปลกใจ
ใครมาเคาะประตูห้องพักอาจารย์ของเขากัน? ตอนนี้ปิดเทอมแล้วนี่?
ที่คณะก็ไม่น่าจะมีนักศึกษามาแล้วนะ?
“ครับ” และทันทีที่เขาตอบรับ
ใบหน้าที่คุ้นแสนคุ้นก็โผล่เข้ามา
“อาจารย์” พายุ?
“คุณ...มาทำอะไรครับ?
ปิดเทอมแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เขาน่ะมาทำคะแนนส่ง แต่เจ้าลูกแมวนี่สิมาทำอะไรในวันหยุดแบบนี้?
“ผม...ขอดูเกรดวิชาดีไซน์หน่อยได้ไหมครับ?” พายุตรงรี่ก่อนจะมานั่งแหมะอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขา
ดวงตากลมใสกระพริบปริบๆอ้อนอย่างไม่มีปิดบัง
“?” มาขอดูเกรด?
จะให้ดูก่อนก็ได้อยู่หรอกเพราะยังไงมันก็ไม่ใช่ความลับอะไร
อีกไม่กี่วันก็จะประกาศอยู่แล้ว แถมพายุเองก็คงไม่พ้น A หรอกในเมื่อโปรเจคเก็บแสดงทั้งคู่แบบนั้น
“ผมให้ดูเฉพาะเกรดของคุณนะ”
“ครับ”
พายุขยับมายืนอยู่ข้างหลังเขาเพื่อจะได้ดูจากในจอคอมพิวเตอร์ แล้วตัว A
ก็แจ่มชัดอยู่บนนั้นโดยไร้ข้อกังขา
“ว่าแต่ทำไมถึงอยากรู้ก่อนล่ะ?
อีกวันสองวันเกรดก็ออกแล้วแท้ๆ”
เขาหันไปมองใบหน้าที่ก้มลงมาแทบชิดจอ ดวงตาของพายุเป็นประกายวิบวับ
ดีใจขนาดนั้นเชียว?
“พอดีผมมีเรื่องต้องเจรจาอย่างเร่งด่วนน่ะครับ” เจรจา? กับใครล่ะ? แล้ว เรื่องอะไรกันแน่?
มันเกี่ยวกับเกรดวิชาออกแบบของเขาด้วยเหรอ? เขาได้แต่มองตามแผ่นหลังบางไปด้วยความมึนงง
แล้วพายุก็ไปนั่งลงที่โซฟาของเขาก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
“ว่าไง?” เสียงทุ้มต่ำดุเข้มดังรอดออกมาจากปลายสาย
นั่นน่าจะเป็นเสียงของพี่ภพ?
“พ่อจ๋า~” เขาถึงกับหลุดขำจนไหล่สั่นเมื่อได้ยินคำเรียกที่ดูจะหักมุมนั่น
“......เวลาแกเรียกฉันแบบนี้ทีไรมันมักจะไม่เคยมีเรื่องดีๆเลยนะพระพาย
ไม่ไปก่อเรื่องอะไรไว้ก็ต้องเป็นเรื่องของลูกๆแกอีกแล้วแน่ๆ?” เสียงดุดันพูดราวกับจะรู้ทันลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปซะทุกเรื่อง
เขาแอบฟังอย่างสงสัย ลูกนี่หมายถึงหมาแมวอย่างที่เขาเคยเข้าใจหรือเปล่า?
“ไม่มี๊~
พายแค่อยากโทรมาบอกพ่อจ๋าเป็นคนแรก ว่าเทอมนี้เกรดวิชาดีไซน์ของพายก็ได้ A อีกแล้วน้า~ พ่อจ๋าไม่มีรางวัลให้พายบ้างเหรอ~” ...หรือจะโทรไปขอของรางวัลจากพ่อ?
เจ้าเด็กน้อยตัวแสบเอ้ย เขาลอบฟังบทสนทนาของสองพ่อลูกอย่างสนใจ
เพราะไม่แน่ว่าเขาเองก็อาจจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ในอนาคตก็ได้?
“หึ
เกรดแกมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วสิ ว่าแต่แกรู้ก่อนได้ยังไง?
ยังไม่ถึงวันประกาศไม่ใช่เหรอ?”
“พายอยู่กับอาจารย์องศานี่ไง
พายมาขอดูเกรดก่อน พายอยากให้พ่อจ๋าดีใจ~”
“แกนี่มันโคตรมีพิรุธ
อยากได้อะไรล่ะ?”
“ก็แค่...เพิ่มวงเงินในบัตรเครดิตให้หน่อยได้ไหมอ่า~”
“อะไรนะ?!
รูดจนเต็มอีกแล้วเหรอ?! บัตรแกนี่ก็วงเงินไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ
นี่แกได้เอาไปซื้อข้าวซื้อปลากินบ้างไหมเนี่ย? ฉันโทรหาไอ้เก้าทีไรมันก็บ่นแต่เรื่องที่แกชอบไปแย่งข้าวมันกิน?
หรือเอาไปซื้ออะไหล่มาให้ลูกแกหมด? แล้วคราวนี้จะเอาไปซื้ออะไรอีก?” พี่ภพบ่นกลับมาเป็นชุดและมันก็มีแต่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจทั้งนั้น
อะไหล่? ไม่น่าใช่หมาแมวแล้วไหม? พายุมีลูกเป็นตัวอะไรกันแน่?
แล้วในอนาคตเขาต้องเป็นพ่อของเจ้าตัวพวกนั้นด้วยหรือเปล่า? ??
“ไม่ได้ซื้อออ”
“บอกมา!” พี่ภพคาดคั้นอย่างดุดัน
“ชุดลิมิเต็ดของ
Parfum
de Rose” ทางนี้เองก็เหมือนจะเผลอหลุดปากออกไปเพราะถูกกดดัน
“ไม่ได้” พี่ภพตอบทันควัน
อย่าบอกนะว่ารู้ด้วยว่าไอ้ชุดลิมิเต็ดของ Parfum de Rose
นี่มันคืออะไร? เขาฟังอยู่ตั้งนานยังไม่รู้เรื่องเลย
สมเป็นคุณพ่อแห่งปีที่ชื่อกระฉ่อนไปทั่วคณะสถาปัตย์จริงๆ
“เจ้าพ่อใจยักษ์!” นี่ก็ตอบทันควันเหมือนกัน
เจ้าเด็กโกธิคพังก์คูลๆเวลาอยู่กับพ่อนี่หมดแล้วภาพลักษณ์ที่สร้างไว้
งอแงไม่ต่างจากเด็กน้อยเลยจริงๆ ฮึ...
“พายอุตส่าห์ได้ A
ดีไซน์เลยนะ! ต้องลำบากตรากตรำรบรากับอาจารย์องศามาตั้งเท่าไหร่
แค่ชุดของ de Roseเอง ซื้อให้หน่อยสิ~”
พายุโวยวายใส่โทรศัพท์ก่อนจะจบด้วยการอ้อนเป็นลูกแมวเชียว
นี่น่าจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของพายุสินะ พี่ภพถึงได้บอกว่าพายุเอาแต่ใจมากทีเดียว
แต่พายุก็เป็นแบบนี้กับพี่ภพแค่คนเดียวเหมือนกันนะ
กับเขาถึงจะอ้อนแต่ก็ยังไม่กล้าเอาแต่ใจด้วยสักเท่าไหร่
“เกรดแกมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วถ้าแกไม่อยากให้ฉันเอาเจ้าราฟาเอลไปทิ้งที่ขั้วโลก!” ราฟาเอลไหนอีก?
“นั่นมันก็ใช่!
แต่นี่ลูกชายสุดที่รักอุตส่าห์ได้เกรดดีๆนะ พ่อก็ต้องให้รางวัลบ้างสิ! หลินจือยังกล่าวไว้เลยว่า หากผู้ใต้บัญชาทำคุณงามความดีก็ต้องชื่นชมถึงจะได้ใจเหนือใต้หล้า! เพราะงั้นเอารางวัลมา!” ....หลินจือนี่คืออะไร?
เห็ดเหรอ? ไม่ใช่ขงจื้อเหรอ?
“ถ้าอยากได้รางวัลงั้นปิดเทอมนี้แกก็มาทำงานกับฉัน
มาฝึกงานที่ออฟฟิศแล้วฉันจะให้เท่าที่แกต้องการเลยก็ได้
จะกี่ชุดกี่คอลเลคชั่นแกก็ซื้อไปเลย ว่าไง?”
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้นะ
แต่เหมือนรุ่นพี่เองก็พยายามหาวิธีหลอกล่อลูกชายให้เดินตามสายสถาปัตย์
พยายามหลอกล่อให้พายุเข้าไปเรียนรู้งานในออฟฟิศที่กำลังจะเป็นของตัวเอง
“งั้นพ่อต้องพาราฟาเอลมาที่ออฟฟิศ” แต่เจ้าเด็กดื้อของพ่อก็ดูจะไม่ยอมง่ายๆ
ฮะฮะฮะ
“ฉันไม่หลงกลแกหรอก!”
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสมเป็นพ่อลูกกันจริงๆเลยแหะ
นิสัยเหมือนกันอย่างกับแกะ
“งั้นพายก็ไม่ไป” -ติ้ด- นิ้วเรียวตัดสายไปดื้อๆ
ดูเหมือนการเจรจาน่าจะล้มเหลวสินะ? พายุถึงได้ทิ้งตัวนั่งทำหน้าครุ่นคิดอยู่บนโซฟา
ร่างสูงใหญ่จึงลุกเดินไปหา
“เข้าไปฝึกงานกับพ่อก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ?
เห็นบอกว่าจะซื้อให้หมดเลยนะ?”
เขาเอ่ยอย่างเอ็นดูเจ้าคนที่นั่งหน้ามุ่ย
“ไม่ได้น่ะสิครับ
ผมลงเรียนแต่งหน้าเอาไว้” ห๊ะ?
แต่งหน้าอะไร?
“ถ้าไปฝึกงานที่ออฟฟิศมันต้องทำงานเต็มเวลา
ก็เลยชนกันน่ะสิครับ เฮ้อ....de Roseของผม....อยากได้อ่า~”
ร่างสีดำเหลวเป๋วไหลเลื้อยลงไปบนพื้นโซฟาอย่างหมดแรง มีเสียงแง้วๆงอแงเพราะไม่ได้ดั่งใจดังออกมาเป็นระยะๆด้วยนะ...
ร่างสูงใหญ่จึงนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวข้างๆก่อนจะเริ่มจับเข่าคุยกับเจ้าเด็กโกธิคพังก์อีกที
“ก่อนอื่นเลยนะ
ช่วยบอกผมทีว่า Parfum
de Rose นี่คืออะไร? แล้วเรียนแต่งหน้าอะไร?
เผื่อผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”
ใบหน้ามนที่เกยคางแหมะไว้กับพื้นโซฟาพลิกหน้ามามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“....ถ้าผมเล่าให้ฟัง...อาจารย์...จะไม่หัวเราะผมใช่ไหม?”
“ทำไมผมจะต้องหัวเราะคุณด้วยล่ะ?”
“ก็...ผมเป็นผู้ชายใช่ไหมล่ะ?”
“อืม
ใช่สิ?”
“แถมโตแล้วด้วยใช่ไหมล่ะ?”
“ก็...น่าจะอย่างนั้นนะ?”
“...แต่ผม...ยังเล่นตุ๊กตาอยู่...” หื๋อ? เขาเพิ่งรู้เรื่องนี้เลยนะเนี่ย พายุสารภาพด้วยสีหน้าที่ไม่ยอมสบตา
เหมือนจะกังวลกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้?
“ตุ๊กตา?” เขานึกถึงรูปโปรไฟล์ไลน์ของพายุ
น่าจะเป็นตุ๊กตาแบบนั้นหรือเปล่า?
“ครับ...พวกตุ๊กตาที่สเกลเหมือนมนุษย์ย่อส่วนน่ะครับ
เรียกว่า BJD
หรือ Ball Joint Doll” เหมือนเขาจะเคยได้ยินชื่อตุ๊กตาพวกนี้มาก่อน
ถ้าเข้าใจไม่ผิดน่าจะเป็นตุ๊กตาที่คนนิยมเล่นกันแพร่หลายเลยนี่?
แล้วคนที่เล่นส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่นะเพราะราคาของตุ๊กตาค่อนข้างแพงมาก
ตัวนึงหลายหมื่นก็ยังมี?
“ผมกลับไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นะถ้าคุณจะชอบอะไรพวกนั้น” ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้ม
เพราะพายุเองก็ให้ความรู้สึกคล้ายตุ๊กตาพวกนั้นเหมือนกัน
“...อาจารย์ไม่ขำจริงๆเหรอครับ...ที่ผมมีงานอดิเรกอะไรพวกนี้
ผมปั้นหัวตุ๊กตาเองด้วยนะครับ ในห้องของผมมีแต่ชิ้นส่วนตุ๊กตา แขน ขา หน้า ผม
ลูกตา...เต็มไปหมดเลยนะครับ แล้วเรียนแต่งหน้าเนี่ยก็เป็นแต่งหน้าตุ๊กตาด้วย”
ดวงตาคู่สวยมองมาที่เขาในขณะที่เล่าเรื่องของตัวเอง
“ก็ดูเป็นงานอดิเรกที่เหมาะกับคุณดีนะ” เอาจริงๆเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือตกใจอะไรเลย
มันดูเข้ากับพายุมากๆอย่างที่บอก
“อาจารย์เป็นคนดีจัง
ไม่หัวเราะผมด้วย อันที่จริง...ผมก็ไม่ค่อยกล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนัก มีแค่พ่อกับเพื่อนสี่ตัวนั่นที่รู้เรื่องนี้” ใบหน้ามนยิ้มให้
มันทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเรามันค่อยๆขยับเข้าหากันอีกนิด ค่อยๆรู้จักตัวตนของกันและกันเพิ่มขึ้นอีกหน่อย
เขาเอง...ก็มีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกพายุเหมือนกัน
เพราะกลัวว่าพายุอาจจะกลัวมัน นิสัยบางอย่างของเขา...
“ผมเคยหลุดปากเล่าเรื่องตุ๊กตาให้ญาติคนหนึ่งฟัง...แล้วก็โดนมองด้วยสายตาแปลกๆกลับมา
ไม่พอ ญาติคนนั้นยังไปบอกพ่ออีกว่าทำไมถึงปล่อยให้ผมเล่นตุ๊กตา
ไม่สมกับเป็นเด็กผู้ชายเลย...จากนั้นผมเลยไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับใครอีก
ผมเพิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติของคนทั่วไป...” นี่อาจจะเป็นแผลเล็กๆในใจของพายุก็เป็นได้
“แล้วพ่อคุณทำยังไงกับญาติคนนั้น?”
“ด่ากลับสิครับจะทำอะไรได้
พ่อผมดุร้ายขนาดไหนอาจารย์ก็น่าจะรู้ ฮ่าๆๆ
คนที่จะด่าว่าผมได้มีแค่พ่อคนเดียวเท่านั้น ใครด่าลูกฉันมันต้องโดนหยุมหัวกลับ
คติพจน์ประจำตัวพ่อน่ะ บ้าไหมล่ะครับ”
พายุหัวเราะร่วน
“ก็สมเป็นพ่อคุณแหละนะ” เขายิ้ม
“แล้วตกลง
Parfum
de Rose นี่คือ?” เสียงทุ้มถามเข้าประเด็นที่ตนอยากรู้บ้าง
“เป็นแบรนด์เสื้อผ้าตุ๊กตาจากเกาหลีครับ
แล้วเค้ากำลังจะออกคอลเลคชั่นใหม่เป็นลิมิเต็ดอิดิชั่น นี่ครับ Rose de La mort กุหลาบแห่งความตาย ดูความสวยงามของมันสิ ผมจะไม่ซื้อให้ลูกผมได้ยังไง” มือบางยื่นรูปให้หน้าจอโทรศัพท์ให้ดู
มันเป็นชุดที่มีดีไซน์แบบย้อนยุคสมัยวิกตอเรียนหรืออะไรเทือกๆนั้น
เป็นเสื้อผ้าสีโทนขาว-เงิน-ดำที่ประดับตกแต่งด้วยระบายและลูกไม้อย่างอลังการ
เข้ากับนายแบบ?ที่เป็นตุ๊กตาหล่อๆตัวนี้มากๆ เขายังเหลือบไปเห็นราคาที่ติดหราเอาไว้...250ดอลล่าร์ ถ้าตีเป็นเงินไทยก็...แปดพันกว่าบาท...
ไม่เบาเลยแหะ
ราคานี่พอๆกับเสื้อผ้าของคนเลย
แต่นอกเหนือจากราคาค่าชุดที่น่าตกใจแล้ว
เขาก็เพิ่งเคยเห็นมุมนี้ของพายุด้วย เด็กสมัยนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ? ติ่ง?
“ฮึ...” เขาเผลอหลุดหัวเราะออกมา
“อาจารย์ขำอะไร...” พายุช้อนตามองมาอย่างระแวง
หรือจะกลัวที่ตัวเองแสดงความเป็นติ่งออกมา
“เปล่าๆ
ที่ผมขำเพราะผมเอ็นดูคุณ ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร คุณที่เป็นแบบนี้ก็น่ารักดี
ผมคิดแบบนั้น”
เขาพูดออกไปตรงๆแต่มันกลับทำให้พายุอ้าปากค้าง
แก้มใสบนใบหน้ามนค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ
เรื่อยๆ จนต้องเสสายตาไปมองพื้นไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ เขินเหรอ? ฮะฮะ
“ประเด็นก็คือ
คุณอยากซื้อชุดตุ๊กตาชุดนี้ให้ลูก?ของคุณสินะ?”
เขากลับเข้าเรื่อง
“ครับ...”
“อืม...ถ้าเป็นงานพิเศษที่ใช้เวลาตอนที่คุณว่างๆทำล่ะ?
อย่างตัดโมเดลให้ผม” เขาเสนอออกไปเพราะมีงานบ้านของลูกค้าที่กำลังจะใช้โมเดลในการพรีเซนต์อยู่พอดี
ใจจริงเขาก็อยากจะซื้อชุดนั่นให้เลยอยู่หรอกแต่ถ้าให้เงินไปตรงๆแบบนั้นพายุคงรู้สึกไม่ดี
เห็นชิวๆแบบนี้แต่ก็เป็นคนที่รักศักดิ์ศรีทีเดียว
“เอ๊ะ?
อาจารย์มีโมเดลให้ตัดด้วยเหรอครับ?”
ใบหน้ามนมองเขาอย่างสนใจ
“ครับ
พอดีช่วงนี้ที่ออฟฟิศยุ่งกันมาก ผมอยากได้คนช่วยตัดโมเดลบ้านเอาไปพรีเซนต์ลูกค้าพอดี
คุณอยากลองทำไหมล่ะ?”
“ทำครับ!”
“ฮึ
ตอบไม่คิดเลยนะ”
“ผมกลัวอาจารย์เปลี่ยนใจ”
“ผมไม่เปลี่ยนใจหรอก
ถ้าอะไรที่ผมตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำ ผมก็มีแต่จะเดินหน้าต่อไป
ไม่ถอยหลังกลับหรือล้มเลิกง่ายๆแน่นอน”
ดวงตาสุขุมจ้องมองไปที่ใบหน้ามน
ความหมายของประโยคนี้อาจจะรวมไปถึงเรื่องของคนตรงหน้านี่ด้วยก็ได้
“ทำครับ
ผมทำๆๆ”
พายุดีใจจนเหมือนจะมีหางสะบัดไปมาอยู่ข้างหลัง
“งั้นเย็นนี้คุณเข้าไปออฟฟิศกับผมสิ
ผมจะเตรียมแปลนและรูปด้านเอาไว้ให้ ตัดเป็นแมสสีขาวก็พอครับไม่ต้องทำโมสี”
“ครับ” พายุตอบรับอย่างกระตือรือล้น
เขาปล่อยให้ร่างในชุดสีดำนั่งรออยู่ที่โซฟาส่วนเขาก็กลับไปทำคะแนนต่อ
กว่าจะได้ออกจากมหาวิทยาลัยก็เย็นพอดี
“เตรียมแปลนกับรูปด้านบ้านคุณทรงศักดิ์ไว้ให้ผมด้วยครับ
ผมหาน้องมาช่วยตัดโมเดลให้”
เสียงทุ้มพูดใส่ลำโพงในรถในขณะที่ตาก็มองถนนไปด้วย
พอออกมาเย็นก็เจอรถติดเลยแหะ ดวงตาสุขุมเหลือบมองอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่อยู่ตรงนี้มากว่าสิบนาทีแล้ว
ถนนราชดำเนินนี่มีกี่สิบเลนก็ไม่พอจริงๆ
แต่ก็นะ...การติดอยู่ในรถกับพายุก็ไม่เลวเท่าไหร่
“อื้อ”
พายุส่งเสียงเบาๆเพราะกลัวว่าจะเข้าไปในโทรศัพท์
เขาจึงเอียงคอมองมือบางที่ยื่นห่อใส่พายมาให้...มันถูกแกะแล้ว
เขาจึงเหลือบมองใบหน้ามนอย่างแสร้งทำเป็นสงสัย
อ้าม~
พายุไม่ได้ส่งเสียงออกมาแต่อ้าปากทำท่าให้เขากัดพายที่อยู่ในมือตน จะป้อนเขาสินะ?
คิก...เขาเผลอยิ้มอย่างอารมณ์ดี
ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้าไปหาก่อนจะกัดพายสับปะรดเข้าปาก
พายุตาเป็นประกายก่อนจะยิ้มแฉ่ง...น่ารักจริงๆแหะ
เขาละออกมาเคี้ยวทั้งที่ยังมองใบหน้ามนไม่วางตา
บรรยากาศหวานๆฟุ้งกระจายไปทั่วเบนซ์คันงาม
มันคงเป็นอานิสงค์ที่ก่อนออกจากมหาวิทยาลัยเขาแวะไปเหมาพายจากร้านกาแฟให้พายุเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหิวระหว่างทางนั่นแหละ
ตอนนี้พายุถึงได้กินไปป้อนเขาไปแบบนี้
อ้าม~ มือบางยื่นพายมาให้เขาอีก
และเพราะว่ามันถูกกัดไปแล้วตอนนี้จึงเหลือเพียงท่อนสั้นๆ
เขามองพายกรุบกรอบรสชาติดีที่อยู่เลยนิ้วของพายุออกมาไม่เท่าไหร่
ใบหน้าหล่อเหลาขยับเอียงเข้าไปกัดพายชิ้นนั้นอย่างจงใจให้ริมฝีปากแตะโดนนิ้วสีขาว...
ไม่พอ
ปลายลิ้นยังแล่บเลียข้อนิ้วนั่นในชั่ววินาที
พายุชะงักค้างตาโตก่อนจะหน้าแดงแปร๊ดมองตามเขาที่ละออกมายิ้มกริ่ม
“พาย...อร่อยดีนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยออกไปอย่างเจ้าเล่ห์
ส่วนคนที่ไม่รู้ว่าพายไหนกันแน่ก็ได้แต่อ้าปากพะงาบๆไปแล้ว
“เอ่อ...อาจารย์ครับ?
ให้ปริ๊นท์สเกลเท่าไหร่ดีครับ?”
ลืมไปเลยว่ายังคุยโทรศัพท์กับลูกน้องที่ออฟฟิศค้างอยู่...
“1:100ก็พอครับ เอาคอนทัวร์ด้วยนะ”
“ครับ
ให้พวกผมอยู่รออธิบายน้องก่อนไหมครับ?”
“ไม่ต้องครับ
เดี๋ยวผมดูน้องเอง พวกคุณกลับบ้านก่อนได้เลยครับ”
“ครับอาจารย์” แล้วปลายสายก็วางไป พายุที่สติสตังกลับมาแล้วจึงได้โอกาสถาม
“โมเดลใหญ่ไหมครับ?”
“ใหญ่เลยแหละครับ
พอดีมันเป็นบ้านที่เขาใหญ่ ตัวบ้านน่ะไม่ใหญ่มากนักแต่ที่ใหญ่คือคอนทัวร์มากกว่า
ผมอยากให้คุณตัดภูเขาของไซต์ที่บ้านหลังนี้จะไปตั้งอยู่ด้วยน่ะครับ” เขาเล่าโดยเริ่มกลับไปมองถนน
ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวรถจึงเริ่มขยับตัวทีละนิดๆอีกครั้ง
“เรื่องตัดคอนทัวร์ผมไม่มีปัญหาหรอกนะครับ
แต่มันติดอยู่ตรงที่ตอนนี้บ้านผมถูกไอ้พวกถาปัดไทยสายรหัสไอ้ภาคมายึดไปแล้วน่ะสิครับ
ถ้าเป็นโมขนาดใหญ่ผมไม่มีที่ตัดน่ะครับ”
“ถาปัดไทย?”
“ครับ พวกมันมีเรียนวิชาจำลองแบบตอนปิดเทอม
เห็นว่าต้องทำโมเดลเจดีย์วัดอรุณ...ก็เลยใหญ่โตจนต้องมาใช้พื้นที่ที่บ้านผมน่ะเพราะว่าสตูปิด”
“อ้อ” เจดีย์วัดอรุณเลยเหรอ
เมตรคูณเมตรจะอยู่หรือเปล่าเถอะ...เขาเข้าใจละว่าพายุคงตัดโมเดลคอนทัวร์ของเขาที่บ้านไม่ไหวแน่ๆเพราะมันน่าจะเกือบๆสองเมตรเช่นกัน
“ทำไงดี...
ผมตัดโมที่ออฟฟิศอาจารย์ได้ไหมครับ?”
พายุหันมาถามซึ่งเขาก็ได้แต่ยิ้มแห้งแบ่งรับแบ่งสู้...
“......เดี๋ยวคุณไปดูเองก็แล้วกันว่าจะตัดได้ไหม...”
แล้วพายุก็ถึงกับยืนอ้าปากค้างเมื่อเห็นสภาพราวกับมรสุมเข้าของออฟฟิศเขา...
เรียกว่าเละเทะมันแทบจะทุกอณูพื้นที่เลยก็ว่าได้...เขาก็อายนะที่ต้องให้พายุมาเห็นสภาพแบบนี้แต่มันคือความเป็นจริงของออฟฟิศเต็กเกือบทุกที่นั่นแหละ
โดยเฉพาะตอนที่มีส่งงานชนกันหลายๆโปรเจค...
เพราะตอนนี้มีทีมอินทีเรียที่ทำโรงแรมสองทีมกำลังเตรียมตัวอย่างวัสดุเอาไปพรีเซนต์ลูกค้า
ทั้งเล่มตัวอย่างผ้าม่าน ผ้าทำโซฟาจึงแผ่หลาเต็มพื้นทางเดินไปหมดเพราะมันต้องเอามาวางเทียบกันเพื่อให้แมชสีแมชลายได้เห็นชัด
ไหนจะแผงตัวอย่างสีไม้ลามิเนต
ตัวอย่างมือจับหัวพญานาคกับกลอนทองเหลืองรมดำที่วางเกลื่อนเต็มโต๊ะ
ส่วนพวกสถาปนิกเองก็ไม่น้อยหน้า ทีมที่กำลังปั่นแบบก่อสร้างก็มีแต่กระดาษสเก็ตDetailกระจายเต็มโต๊ะแถมยังลามไปแปะตามผนังออฟฟิศอีก...
ส่วนทีมที่กำลังปั่นแบบขออนุญาติก็มีกองพิมพ์เขียวที่กำลังช่วยกันพับไหลละลงมายันใต้โต๊ะ...แล้วไหนจะยังมีทีมที่กำลังเตรียมตัวอย่างวัสดุภายนอกของโครงการบ้านจัดสรรอีก
ทั้งตัวอย่างกระเบื้อง ตัวอย่างสีทาบ้าน ตัวอย่างบัว ตัวอย่างวัสดุกรุสระว่ายน้ำ
ตัวอย่างฝ้า ไปจนถึงตัวอย่างระแนงรั้วนู่นแหละถึงได้กองมันเต็มไปหมด
ส่วนพื้นที่ที่เคยเอาไว้ตัดโมเดลน่ะเหรอ...ตอนนี้มันถูกยึดไปด้วยทีมที่กำลังทำรีสอร์ทในกระบี่...ห้องนี้ก็มรสุมเข้าพอกันเพราะต้องตบตีกับทีมที่ทำอพาท์เม้นต์ซึ่งดันต้องมาพรีเซนต์โมเดลวันเดียวกัน
จนทีมที่ทำบ้านเดี่ยวในซอยลาซาลต้องระเห็จไปใช้แม้แต่ห้องประชุมในการแก้โมเดล...
ตอนนี้...ห้องที่ยังดูเป็นผู้เป็นคนที่สุดก็คือห้องทำงานของเขา
ซึ่งมันก็เล็กเกินไปที่จะยัดโมเดลขนาดสองเมตรที่พายุจะต้องทำเอาไว้ได้...
“....เอ่อ...ผมคงตัดโมที่นี่ไม่ได้สินะครับ...” พายุอึ้งก่อนจะหัวเราะแหะๆ
“คุณ...ไปตัดโมที่บ้านผมไหม?”
เขาลองเสนอออกไปแต่พายุกลับหันควับมามองด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“บ้านอาจารย์?”
“ครับ
บ้านผม”
“ให้ผมไปบ้านอาจารย์ได้เหรอครับ?” พายุอึ้งเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ครับ?
ได้สิครับ” เขาจึงอมยิ้มอย่างเอ็นดู ร่างสูงใหญ่ขยับเข้าไปใกล้ๆก่อนจะกระซิบเบาๆ
“สักวันคุณก็ต้องไปอยู่แล้วนี่ครับ?
แค่ร่นให้มันเร็วขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
บ้านอาจารย์องศาอยู่แถวถนนทรงวาด
แถวนี้เป็นย่านบ้านเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาและนับว่าไม่ได้ไกลจากมหาวิทยาลัยของเขานัก
มือบางขับรถมินิคูเปอร์สีเทาคาดดำไปตามโลเคชั่นที่ปักหมุดไว้ ในใจอดตื่นเต้นไม่ได้เพราะนี่คือการไปบ้านคนที่เขาชอบเป็นครั้งแรก
บนถนนเส้นใหญ่ยังเต็มไปด้วยตึกแถวเก่าแก่ดูวุ่นวายๆอยู่เลย
แต่พอเขาขับรถเข้าซอยมาได้ในนี้กับเงียบสงบราวกับอยู่คนละโลก…เขาเริ่มเอะใจตั้งแต่ป้ายชื่อซอย…เพราะในวงเล็บบนป้ายสีน้ำเงินนั่นมันเขียนว่าซอยพิรุณณภักดิ์…อย่าบอกนะว่าญาติโกโหติกาของอาจารย์องศาจะรวมตัวกันอยู่ที่นี่หมด?
แล้วมันก็ชวนให้คิดว่าเป็นซอยส่วนบุคคลเสียจริงๆ
เพราะยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ในซอยก็ยิ่งเงียบเชียบและสะอาดสะอ้าน
มีเพียงประตูรั้วบ้านหรูหราที่ตั้งเรียงรายกันไปอย่างเป็นระเบียบ
แถมในซอยยังเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เหมือนเป็นซอยบ้านพักอาศัยที่ตั้งอยู่มานาน
มินิคูเปอร์จอดลงที่รั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นรั้วปูนเปลือยขัดมันที่ดูเท่ห์มากๆ
ประตูก็ทำจากเหล็กสีดำทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่ต้องมีสถาปนิกออกแบบให้แน่ๆ
“อาจารย์ครับ ผมมาถึงแล้วครับ” เขาโทรเข้าไปหาเจ้าของบ้านอย่างรู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆเพราะเขาเดาไม่ถูกเลยว่าหลังรั้วสีเทานี้มันจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่?
บ้านของอาจารย์องศาจะเป็นแบบไหนกันนะ? จะเป็นสไตล์แบบวังเก่าเหมือนที่ออฟฟิศ?
หรือจะเป็นบ้านทั่วๆไป?
“ครับ ผมเปิดประตูให้แล้วนะ ขับเข้ามาได้เลย” เสียงทุ้มบอกเขาจากปลายสาย
ประตูเลื่อนอัตโนมัติค่อยๆเปิดออก ถนนที่ทอดยาวเข้าไปจึงปรากฎแก่สายตา…ข้างนอกว่าร่มรื่นแล้ว ในนี้ยิ่งร่มรื่นกว่า…บ้านอาจารย์องศามีแต่ต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมดเลย~
เขาขับรถเข้าไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เด็กที่อยู่คอนโดใจกลางเมืองมาทั้งชีวิตแบบเขาได้เห็นอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ให้วิ่งเล่นได้มันจะแปลกตรงไหนที่จะรู้สึกว้าวแบบนี้
นี้มันอยู่ในกรุงเทพแน่เหรอเนี่ย?
แล้วเขาก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อขับรถเข้าไปจอดยังที่จอดซึ่งเป็นอาคารแยกจากตัวบ้าน…ทำไมมีแต่รถอาจารย์องศาล่ะ?
นอกจากเบนซ์สีขาวคันที่ใช้ประจำก็มีเพียง Lexus SUV สีเทาเข้มที่เป็นของอาจารย์องศาเช่นกันจอดอยู่แค่นั้น
แล้วคนอื่นๆในบ้านล่ะ?
เขาก้าวลงจากรถด้วยความงงๆ
บ้านใหญ่ขนาดนี้คงไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม?
“ให้ผมช่วยถืออะไรไหม?” อาจารย์องศาที่ออกมาต้อนรับทำให้เขาสลัดความคิดในหัวออกไปก่อน
“ช่วยผมขนโฟมหน่อยก็แล้วกันครับ ขอบคุณครับ” เพราะต้องตัดคอนทัวร์ภูเขาทั้งลูก
ในรถเขาจึงมีแต่แผ่นโฟมเต็มไปหมด
“ครับ” ดวงตากลมใสลอบมองร่างสูงใหญ่ก่อนจะแอบจิ๊ปากอย่างเสียดาย
ก็เขานึกว่าจะได้เห็นอาจารย์องศาใส่ชุดอยู่บ้านสบายๆกับเค้าบ้าง ที่ไหนได้อีกฝ่ายยังใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คอยู่เลย
“คุณใช้ห้องทำงานของผมก็แล้วกัน” เสียงทุ้มพูดในขณะที่พาเขาเข้าไปในบ้าน
บ้านของอาจารย์องศาเป็นสไตล์โมเดิร์นเรียบหรูที่ดูเข้ากับอาจารย์สุดๆ
วัสดุตกแต่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นไม้สีเข้มซึ่งดูเท่ห์มากๆ นี่มันต่างจากออฟฟิศของอาจารย์แบบคนละขั้วเลยนะเนี่ย
อาจารย์องศาพาเขาเข้าไปยังห้องซึ่งแยกอย่างเป็นสัดเป็นส่วนและมีขนาดใหญ่พอสมควร
มันแทบจะเป็นอาคารอีกหลังได้เลยและมันก็ถูกล้อมไว้ด้วยสวนที่ร่มรื่นสุดๆ
เป็นห้องทำงานที่น่าทำงานมากกก
เขามองสำรวจไปทั่วด้วยสายตาซุกซน
ก็ห้องอื่นๆที่เดินผ่านมาถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
แต่ที่ห้องทำงานนี้กลับเต็มไปด้วยร่องรอยการใช้งานของอาจารย์
ถึงจะไม่ได้รกเท่าห้องของเขาแต่ก็ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนห้องอื่นๆ
อาจารย์น่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มากกว่าห้องอื่นๆในบ้านละมั้ง
ดูจากโซฟาที่มีหนังสือArchitectกองอยู่เต็มไปหมด
“โอ๊ะ โซฟาตัวนี้มัน…” เหมือนกับโซฟาในห้องพักอาจารย์ของอาจารย์องศาเลยนี่
ตัวที่เขาไปนอนเป็นประจำแล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นของเราสองคนด้วย
“ผมซื้อมาพร้อมกันตอนที่ทำบ้านหลังนี้น่ะ
ที่คุณนอนอยู่ทุกวันนั่นเป็นโซฟาที่มาจากอิตาลีเลยนะ” ก็ถึงว่า โซฟาอะไรจะดูดกันได้ขนาดนั้น
ที่แท้มันก็เป็นของแบรนด์นำเข้านี่เอง
“เห็นแล้วก็ง่วงขึ้นมาเลยครับ” เขาหยอกเย้าก่อนจะวางแผ่นโฟมและกระดาษลงไปบนพื้น
“ผมเคลียร์โต๊ะไว้ให้คุณแล้ว คุณใช้พื้นที่ในห้องนี้ได้ตามสบาย”
อาจารย์องศาพาเขาไปเดินดูห้องที่น่าจะต้องใช้อย่างห้องน้ำ
ห้องครัว ห้องนั่งเล่นและพื้นที่พ่นสเปรย์…บอกตามตรงว่าเขาไม่รู้สึกถึงใครอื่นในบ้านหลังนี้อีกเลย
ริมฝีปากสีระเรื่อจึงถามออกไป
“แล้วคนอื่นๆในบ้านล่ะครับ? ผมต้องระวังไม่ให้รบกวนใครไหมครับ?”
“ไม่ต้องระวังอะไรหรอก เพราะผมอยู่คนเดียว” เหมือนได้ยินเสียงร้องกรี๊ดอยู่ในใจ อยู่คนเดียวจริงๆเหรอเนี่ย~!
“แล้วพ่อแม่พี่น้องของอาจารย์ล่ะครับ? ไม่ได้อยู่ด้วยกันที่นี่เหรอ?”
“อยู่บ้านหลังอื่นๆในซอยนี้นี่แหละครับ” ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้าง!
นี่มันอาณาจักรพิรุณณภักดิ์อย่างที่คิดจริงๆ
เอ๊ะ? ถ้าไม่มีใครในบ้านหลังนี้แล้วนั่นก็เท่ากับว่า…เขาอยู่กับอาจารย์องศาสองต่อสองน่ะสิ…
จู่ๆก็เพิ่งรู้สึกตัว…ว่ามันอาจจะเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นขึ้นก็ได้นี่?
ตายละ เขาใส่ชั้นในตัวไหนมาเนี่ย?
อ๊ากกก
ไม่ใช่สิ! ทำไมถึงคิดเรื่องนี้เล่า~ อย่างอาจารย์องศาคงไม่ทำอะไรเขาหรอก
อาจารย์ให้เกียรติเขาดูก็รู้อยู่!
แต่ว่า…ยังไงนี่ก็อยู่ในบ้านกันแค่สองคนนะ…
“ฮึ….” เสียงหัวเราะขำๆของอาจารย์องศาเรียกสติเขาให้กลับมา
อาจารย์คงจะเห็นท่าทางสับสนของเขาแล้วก็คงเข้าใจสินะว่าเขาคิดอะไรอยู่
อ้า~ บ้าจริง!
น่าอายชะมัด!
“ถะ ถ้างั้น เริ่มจากตัดคอนทัวร์ก่อนดีไหมครับ…” เขาเปลี่ยนเรื่องด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“ครับ คุณตัดคอนทัวร์เป็นหรือเปล่า? ถ้าไม่เป็นผมจะได้สอนให้”
เพราะการตัดโมเดลภูเขายังไม่ใช่สิ่งที่เด็กปีสามทำกัน
ร่างสูงจึงถามเขาอย่างห่วงใย
แน่นอนว่าถ้าอาจารย์เสนอมาขนาดนี้เขาย่อมต้องสนองอยู่แล้ว
“ไม่เป็นครับ รบกวนด้วยนะครับอาจารย์” ถึงเมื่อคืนจะโทรถามพวกพี่รหัสจนเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้วก็เถอะ
แต่ต่อหน้าคนที่ชอบมันก็ต้องทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ทำให้หน่อย~แบบนี้แหละ!
“ก่อนอื่นคุณดูแบบคอนทัวร์พวกนี้นะ
เส้นที่ไล่เรียงกันขึ้นมาเป็นภูเขาที่เห็นทุกเส้นมีความหมายในตัวของมัน
มันจะใช้แทนค่าระดับจากจุดอ้างอิงขึ้นมา อย่างเส้นที่ถูกกำกับด้วยตัวเลข 5.00
หมายความว่าที่ที่เส้นๆนี้ลากผ่านจะสูงจากจุดอ้างอิง 5.00 เมตรเสมอ” อาจารย์องศาอธิบายให้เขาฟังอย่างใจเย็น
“ครับ” การที่เขาไปราวีให้พี่ก๊อตกับพี่โอ๋ช่วยสอนมาก่อนมันก็ดีตรงที่ตอนนี้เขาแค่ฟังเสียงทุ้มนั่นผ่านๆแล้วก็นั่งมองใบหน้าราวกับรูปสลักของอาจารย์ได้อย่างเพลิดเพลินเจริญใจโดยไม่ต้องมัวกังวลกับเจ้าคอนทัวร์นี่มากนัก
“แปลว่าถ้าคุณเอาเส้นนี้ไปวางทาบแล้วตัดโฟมตาม
โฟมของคุณก็จะต้องสูงจากพื้นโต๊ะซึ่งเป็นจุดอ้างอิง 5.00 เมตรในสเกล
1:100”
“ครับ” เขาพยักหน้าหงึกๆ
อาจารย์องศาอธิบายต่อไปอีกยืดยาวแต่เสียงทุ้มต่ำนั่นก็น่าฟังจนเขาเผลอทำหน้าเคลิ้ม
“เอาล่ะ ถ้างั้นวันนี้คุณตัดโฟมแต่ละชั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน
เดี๋ยวผมนั่งทำงานของผมอยู่ที่โซฟา”
“ครับ” อาจารย์องศากลับไปนั่งอยู่หลังกองหนังสือที่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับโรงแรมสไตล์ทรอปปิคอลและความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับบาหลี?
นอกจากนี้อาจารย์ยังนั่งหาข้อมูลต่างๆจากในคอมพิวเตอร์อีกต่างหาก
น่าจะกำลังรีเสิร์จแนวทางในการออกแบบและรูปตัวอย่างไปพรีเซนต์ลูกค้าอยู่
เขาจึงหันมาสนใจงานของตัวเองบ้าง
มือบางหยิบปากกาเมจิกขึ้นมาก่อนจะลากลงไปบนเส้นคอนทัวร์สลับสีกันเพื่อป้องกันความสับสนในตอนตัด พวกเราต่างก็ทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆจนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้
ใบหน้าหล่อเหลาเงยจากหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกทีเมื่อหาข้อมูลได้พอสมควร
เสียงเอี๊ยดๆจากการตัดโฟมฟังๆไปแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน พายุเปิดเพลงจากอนิเมะคลอไปด้วยแล้วก็ดันเข้ากันแปลกๆ?
เขาหันไปมองเจ้าเด็กโกธิคพังก์เพราะอยากรู้ว่าทำงานถึงไหนแล้ว
ก่อนจะต้องขำพรืดเมื่อเห็นสภาพอีกฝ่าย
“ฮึ...ฮึๆๆ…” คุณเคยเห็นเจ้าแมวดำที่ทำถุงบีนแบกแตกไหม?
สภาพของพายุตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นเป๊ะเลย
มีแต่เม็ดโฟมติดตามหัวตามตัวเต็มไปหมด ฮะฮะฮะ
ถึงมหาลัยเขาจะตัดโมกันบ้าระห่ำแต่ก็แทบไม่ได้ใช้โฟมเลย พายุจะไม่สันทัดก็ไม่แปลก ร่างสูงใหญ่จึงละจากงานตรงหน้าแล้วเดินเข้าไปหา
เขานั่งคุกเข่าลงไปแล้วแบมือใหญ่ตรงหน้าพายุ ใบหน้ามนมีโฟมติดอยู่ที่ปลายจมูก
น่ารักจนเขาอดอมยิ้มไม่ได้
“ขอคัตเตอร์ของคุณหน่อยครับ” พายุทำหน้างงก่อนจะยื่น
Olfa Limited Series สีดำของตนมาให้
เขามองคัตเตอร์น้ำหนักพอเหมาะขนาดพอดีมืออันนี้อย่างประหลาดใจเพราะเขาไม่เคยเห็น Olfa
สีดำสนิทแบบนี้มาก่อน ก็อย่างที่รู้กันว่าสัญลักษณ์ของ Olfa คือสีเหลือง ถึงจะเป็น Limited series ก็มักจะมีสีเงินผสมอยู่ไม่ได้ดำล้วนขนาดนี้
นี่ต้องเป็นคัตเตอร์ที่หายากมากทีเดียว
เขาหยิบใบมีดมาเปลี่ยนให้ถึงของเดิมมันจะยังเหลืออีกครึ่งอันก็ตาม
“เวลาตัดโฟมต้องใช้ใบมีด 30 ํ ใหม่ๆมันจะได้คมมากๆ
ตัดแล้วโฟมจะไม่เป็นขุยเป็นก้อนแบบนี้ครับ” มือใหญ่ส่งคัตเตอร์คืนให้ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเม็ดโฟมออกจากปลายจมูกรั้น
พายุชะงักน้อยๆก่อนจะช้อนสายตามองเขา
เขายังเอื้อมมือไปสางเม็ดโฟมที่ติดตามเส้นผมสีดำออกให้
เขาปฏิบัติต่อพายุอย่างอ่อนโยนจนแม้แต่ตัวเขายังประหลาดใจ แต่นี่คือสิ่งที่เขาอยากทำให้อีกฝ่าย
อยากทำจากใจของเขาจริงๆ
“แต่ยังไงก็ระวังคัตเตอร์ด้วยนะครับ ตอนนี้มันคมมาก” ถึงจะหายากที่เด็กถาปัดจะถูกคัตเตอร์บาดแต่เขาก็ยังบอกกับอีกฝ่ายด้วยความใส่ใจ
“ครับ ขอบคุณครับ…” และความใส่ใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆของเขาก็ทำให้แก้มใสขึ้นสีระเรื่อชวนมอง
คนบางคน…แค่ได้อยู่ใกล้ๆก็มีความสุขแล้ว…สุขใจโดยไม่จำเป็นต้องกอดหรือจูบด้วยซ้ำ
พายุเป็นคนแบบนั้นสำหรับเขา
พายุยังต้องแวะเวียนมาที่บ้านเขาอีกหลายวัน
เพราะกว่าพายุจะเรียนแต่งหน้าเสร็จก็ปาเข้าไปตอนบ่ายๆแล้วจึงตัดโมเดลให้เขาได้วันละนิดละหน่อย
แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
เขากลับชอบเสียอีกที่ตลอดปิดเทอมนี้เขายังได้เจอกับพายุแทบทุกวัน
“อาจารย์ครับ
ผมขอยืมใช้ครัวหน่อยนะครับ จะต้มเทียนเจล”
ร่างโปร่งบางถือก้อนเทียนเจลใสๆพร้อมกับหม้อต้มที่เตรียมมาเอง
“ครับ
มาสิ เดี๋ยวผมเปิดเตาแก้สให้” เขาพาพายุเข้าไปในครัว
ไฟในวงเตาแก้สติดพรึ่บและไม่นานเทียนเจลที่เคยเป็นก้อนใสก็ละลายกลายเป็นน้ำเหลวๆ
เพราะในไซต์เขาใหญ่คราวนี้มีลำธารเล็กๆไหลผ่านมันจึงกลายเป็นจุดไฮไลท์ที่เขานำมาใช้ในการออกแบบห้องนั่งเล่น
เพราะฉะนั้นการพรีเซนต์ในส่วนนี้จึงสำคัญ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่สระว่ายน้ำตรงๆจะใช้PVCผิวส้มทำน้ำจึงดูไม่เป็นธรรมชาติ
พายุเลยเสนอให้ใช้เทียนเจลทั้งที่มันจะยุ่งยากขึ้นเยอะในการเตรียมตัวโมเพื่อให้สามารถเทเทียนร้อนๆได้
แต่พายุก็ดูสนุกกับมันและไม่ได้บ่นว่าวุ่นวายแต่อย่างใด
พายุถือหม้อที่มีมือจับเข้ามาในห้องทำงานก่อนจะค่อยๆเทมันลงไปในลำธาร
โมเดลของเขาจึงค่อยๆเหมือนมีน้ำไหลผ่านจริงๆ
เทียนหยดสุดท้ายไหลลงมาจากหม้อ
แต่แล้วร่างโปร่งบางก็ถอยหลังอย่างไม่ทันระวังว่ามีหลอดกาววางอยู่ที่พื้น!
“อ๊ะ?!” พายุอุทานอย่างตกใจก่อนจะเหยียบลงไปเต็มๆ
ร่างบางเซถลาเสียหลักแต่การหกล้มก็ไม่ทำให้เขาใจหายวูบเท่าหม้อเทียนร้อนๆที่อยู่ในมือ!
“คุณ!
ระวัง!”
เขาแทบจะพุ่งเข้าไปปัดหม้อนั่นเสียเอง ยังดีที่พายุปฏิกิริยาดีพอสมควร
มือบางสะบัดหม้อเทียนออกไปให้พ้นตัว
แต่กระนั้นเศษเทียนที่ติดหม้ออยู่บางส่วนก็กระเด็นออกมาสาดโดนเสื้อสีดำเต็มไปหมด
เคร้ง!
เสียงหม้อที่ร่วงลงพื้นดังพอๆกับเสียงหัวใจของเขาที่ร่วงลงไปยังตาตุ่ม
“คุณ!
ถอดเสื้อออกก่อนครับ” เขาพุ่งเข้าไปโดยไม่กลัวว่าเทียนจะลวกมือตัวเอง
มือใหญ่ดึงชายเสื้อออกให้พ้นหัวของพายุโดยไม่มีเวลาคิดหรือไตร่ตรองอะไร
เขาลืมไปด้วยซ้ำว่าเขากำลังถอดเสื้อของอีกฝ่ายออก!
“โดนลวกรึเปล่า?
ไหนให้ผมดูหน่อย” เขาเพียงแค่จดจ้องไปยังสะโพกข้างขวาด้วยความร้อนใจ
เขามองไล่สำรวจไปทั่วบริเวณนั้นแต่มันก็ไม่มีรอยแดงจากการโดนเทียนลวกแต่อย่างใด
“อึก...” พายุสะดุ้งเบาๆเขาจึงเพิ่งเห็นว่ามีจุดเล็กๆอยู่ที่แขน
เขารีบดึงทิชชูมาปาดหยดเทียนนั้นออกให้ก่อนจะมองมันด้วยสายตากังวล
“เจ็บมากไหมครับ?
แต่ดูเหมือนเทียนเจลจะยังซึมลงมาไม่ถึงผิวคุณนะครับ ค่อยยังชั่ว” เขามองพายุด้วยความห่วงใย
ใจหายจริงๆนะเมื่อกี้ ดีที่เทียนมันถูกเทไปจนเกือบจะหมดแล้ว
ไม่อยากจะคิดว่าถ้ามันยังเต็มหม้ออยู่เขาจะแทบคลั่งขนาดไหน
“ผมว่ายังไงคุณไปอาบน้ำก่อนดีกว่า
จะลวกหรือไม่ลวกก็ทำให้เย็นๆไว้ก่อนดีกว่า?”
เขายังกังวลไม่เลิกส่วนพายุก็ได้แต่มองเขาตาปริบๆราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
“....ครับ...ถ้างั้นผมขอยืมห้องน้ำหน่อยนะครับ”
“คุณไปใช้ห้องน้ำในห้องผมแล้วกัน
ห้องข้างล่างไม่มีอุปกรณ์อาบน้ำ” เขาพาพายุเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองที่ซึ่งมีห้องนอนของเขาอยู่อย่างลืมตัว
เพราะความกังวลมันทำให้เขามัวจดจ่ออยู่กับแผลโดนลวกจนลืมคิดไปว่าตอนนี้เราอยู่ในห้องนอนกันสองต่อสอง
“ผ้าขนหนูอยู่ใต้อ่างล้างหน้า
คุณหยิบมาใช้ได้เลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกคนที่เดินเข้าห้องน้ำไปด้วยท่าทางเกร็งๆ?
“ครับ
ขอบคุณครับ” จนกระทั่งพายุตอบกลับมานั่นแหละเขาถึงได้เพิ่งจะนึกออก...ว่าตอนนี้สถานที่มันชวนให้คิดไปในทางไหน....
อ่า...มือใหญ่ถึงกับต้องยกขึ้นมาปิดหน้า
แย่ละสิ ตั้งสติเข้าไว้ เขารับปากพ่อของพายุไว้แล้วว่าจะไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียเด็ดขาด...
ไม่ได้...ต้องควบคุมตัวเองให้ดี...จะปล่อยให้สติขาดหายไม่ได้เด็ดขาด
แต่บางครั้ง...เจ้าพายุลูกนั้นก็โหมกระหน่ำรุนแรงจนหัวใจของเขาเกินจะต้านไหว...
พายุเดินออกจากห้องน้ำมาโดยมีเพียงผ้าขนหนูพาดหัว
ถึงท่อนล่างจะยังสวมกางเกงยีนส์เอวต่ำแต่ท่อนบนกลับเปลือยเปล่า
เขาจึงเพิ่งเห็น...
ว่าบนร่างกายของพายุมีสิ่งที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ
เขาเพิ่งเห็น…
ว่าบนสะโพก
อก เอว และสีข้างฝั่งซ้ายมันมีเถากุหลาบแบบโกธิคเลื้อยพันอยู่
เขาเพิ่งรู้…
ว่าพายุก็มีรอยสักอยู่บนตัวด้วย!
และมันก็เป็นรอยสักสีดำที่สวยมาก…แถมตำแหน่งของมันก็ทำเอาใจสั่นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
เขาไม่เคยเห็น…ใครที่สักแล้วเซ็กซี่ขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ…
“อึก…” ก้อนสัญชาตญาณดิบถูกรวบรวมไว้ในปากก่อนจะกลืนลงคอไปอย่างยากเย็น
ลมหายใจเขาเริ่มร้อน
ถึงจะยังมองพายุด้วยใบหน้าที่ราวกับเอาปูนฉาบไว้แต่ข้างในกลับกำลังปั่นป่วนขนาดหนัก
แทบจะทน…ไม่ไหวเลยจริงๆ…
"อาจารย์? อาจารย์ครับ ขอยืมเสื้อหน่อยได้ไหมครับ?"
กลับเป็นพายุที่เดินเช็ดผมออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ความที่เป็นเด็กผู้ชายจึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับการเดินถอดเสื้อแมนๆแบบนี้
เขาเพิ่งเข้าใจว่าทำไมพายุถึงสนิทกับนาวามากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ
เพราะทั้งสองคนมีรอยสักเหมือนกันนี่เอง...
"รอเดี๋ยวนะครับ" เพราะพายุกำลังขยี้ผมอยู่เลยไม่เห็นว่าเขามองตนด้วยสายตาแบบไหนซึ่งก็นับว่าโชคดีไป
ร่างสูงใหญ่เดินหน้านิ่งไปหยิบเสื้อยืดแขนยาวออกมาจากตู้ แต่แทนที่จะส่งให้มือบางเขากลับไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างโปร่ง…
มือใหญ่สวมเสื้อลงไปบนหัวสีดำให้…จับแขนบางใส่ในแขนเสื้อ
แต่แทนที่จะรูดชายเสื้อลง มืออุ่นร้อนกลับขยับไปแตะที่กลีบหนึ่งของดอกกุหลาบ
มันเป็นดอกที่เบ่งบานอยู่เหนือขอบกางเกงนิดหน่อยและเป็นดอกที่ชวนให้สงสัยว่าเถากุหลาบต้นนี้มันเริ่มมาจากตรงไหนกัน…
โคนขา? หรือว่าวีเชฟ?
ปลายนิ้วลากไล้ไปตามกิ่งก้านที่มีหนามแหลม…ผ่านสะโพก…ลูบขึ้นไปตามเอวบาง…ผ่านสีข้าง…จนกระทั่งถึงใบกุหลาบใบสุดท้ายที่อยู่ใต้ไหปลาร้า…มือใหญ่ถึงได้สอดเข้าไปในชายเสื้อที่ม้วนอยู่ก่อนจะดึงมันลงมา…
ช่างเป็นเถากุหลาบที่นุ่มลื่นดีเหลือเกิน...
สัมผัสที่วาบวามทำให้ทั้งเขาทั้งพายุต่างก็หายใจไม่ทั่วท้อง…หัวใจ…เต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
เขาอยากจะก้มลงไปจูบมัน
อยากจะทำให้ดอกกุหลาบเหล่านี้เต็มไปด้วยสีแดง
แต่เขาก็ทำได้แค่ต้องข่มใจและกัดฟันให้แน่น
"รอยสัก…มันเข้ากับคุณมาก" ร่างสูงใหญ่ขยับมากระซิบที่ใบหู พายุหน้าแดงก่อนจะอึกอักๆหลบตาพัลวัน
"เพราะมันนี่แหละครับ ผมถึงได้โดนพ่อบังคับให้มาเรียนถาปัด"
"เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ?" ให้เล่ามันก็ได้อยู่หรอกแต่อาจารย์ช่วยขยับออกไปหน่อยได้ไหมครับ?
ใกล้จนแทบจะสิงร่างผมแล้วแบบนี้ทำเอาใจคอไม่ดีเลย! ร่างโปร่งบางได้แต่เอ่ยอยู่ในใจ
มือบางจึงดันแผ่นอกในเสื้อเชิ้ตสีดำให้ขยับออกไปเล็กน้อยก่อนจะเบี่ยงตัวหนีออกมาด้วยใบหน้าเขินอาย
"คือ…ผมมีลูกชายชื่อราฟาเอล…ที่มีรอยสักเหมือนกันเป๊ะแบบนี้อยู่หนึ่งตัว
จริงๆต้องบอกว่า ผมสักตามตุ๊กตาตัวนั้น พอพ่อรู้เข้าก็เลยบ้านแตก
พ่อยืนกรานเด็ดขาดว่าถ้าผมไม่เรียนถาปัด จะเอาราฟาเอลและลูกๆของผมไปทิ้งตามมุมโลก
ผมจะไม่มีวันได้เจอเด็กๆพวกนั้นอีกเลย โหดร้ายมากใช่ไหมครับ"
ใบหน้ามนบ่นเง้างอดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
"อื้ม" ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มอย่างเอ็นดู
แต่เขาก็เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่ออย่างพี่ภพนะ
เพราะถ้าไม่ใช่คนที่ชอบอะไรแนวๆนี้แบบเขาก็คงจะรับได้ยากนั่นแหละที่ลูกชายไปสักตามตุ๊กตา
แถมไม่ใช่รอยสักเล็กๆเลยด้วย
“แม้แต่ตอนนี้พ่อยังจับราฟาเอลเป็นตัวประกันไว้ที่บ้านอยู่เลยครับ
ไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้ด้วย กลัวว่าผมจะหอบลูกหนีไป
ผมถึงต้องตั้งใจเรียนอยู่นี่ไงครับ ชิ เจ้าพ่อใจยักษ์” พายุบ่นขมุบขมิบ
“ฮึ...” เขากลั้นขำ ไม่ใช่ว่าจะหัวเราะในทางไม่ดี
แต่มันกลับมีแต่ความเอ็นดูเสียมากกว่า
“อาจารย์? หัวเราะอะไรครับเนี่ย?!” มือบางเขย่าแขนคาดคั้น
เขาจึงส่ายหน้าก่อนจะยิ้มให้
"ผมอยากเห็นตุ๊กตาตัวนั้นบ้างจัง"
"จริงเหรอครับ?! ไว้ผมเอารูปให้ดูนะครับ ลูกชายของผมคนนี้งดงามที่สุดในโลกเลยละ!”
พายุดูยินดีทุกครั้งที่ได้พูดถึงบรรดาลูกชาย
คงจะดีใจที่สามารถคุยเรื่องนี้กับเขาได้ละมั้ง
“ว่าแต่…อาจารย์โอเคกับรอยสักของผมใช่ไหมครับ?...”
พายุดูลังเลที่จะถามอยู่พอสมควร
คงจะกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้แบบผู้ใหญ่ทั่วไป แต่เปล่าเลย
“ผมชอบมากครับ…รอยสักของคุณ” พายุชะงักไปกับคำพูดตรงๆของเขา ใบหน้ามนเขินอายไปหมด
“ค่อยยังชั่ว…ผมกังวลมาตลอดเลยนะครับ”
เขาขยับไปพับแขนเสื้อให้พายุ
“คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก คุณเป็นแนวที่ผมชอบ ทุกอย่างที่คุณทำ…มันเป็นสิ่งที่ผมตามหามานาน”
“......”
พายุแดงไปจนถึงใบหูแล้วตอนนี้
แต่ยังไงเสียเขาก็อยากจะบอกกับพายุ ว่าที่เขาเลือก
ก็เพราะว่าพายุเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“คุณจะทำงานต่อหรือว่าจะพอก่อนครับวันนี้?”
“ทำ…ต่อครับ…”
“ถ้างั้นก็ลงไปทำงานกันเถอะ”
“ครับ…”
มือบางเปิดประตูบ้านซึ่งเป็นประตูไม้บานใหญ่
เขาเข้าออกที่นี่มาอาทิตย์กว่าจนเริ่มจะชินกับอะไรต่อมิอะไรในบ้านของอาจารย์องศาแล้ว
ว่าแต่ทำไมวันนี้เงียบจัง?
ปกติจะมีเสียงเพลงคลาสสิคเปิดคลอเบาๆเวลาที่อาจารย์องศาอยู่บ้านคนเดียว
แต่วันนี้กลับไม่มีเสียงอะไรเลย?
เขาหันกลับไปมองที่จอดรถอีกครั้ง
รถอาจารย์ก็อยู่ทั้งสองคันนี่? แถมประตูยังไม่ได้ล็อคอีกต่างหาก
เขาถึงได้เดินเข้ามาจนถึงห้องนั่งเล่นได้เนี่ย
และก็เพราะเดินมาจนถึงห้องนั่งเล่นนั่นแหละเขาถึงได้รู้ว่าสาเหตุที่บ้านมันเงียบแปลกๆคืออะไร
ก็อาจารย์องศานอนหลับยาวอยู่ที่โซฟานี่เอง…
เขาค่อยๆย่องๆเข้าไปหาอย่างกลัวว่าจะเผลอทำเสียงดังจนปลุกอีกฝ่ายเข้า
อาจารย์…ตัวสูงมากจริงๆ
ดูสิ ขนาดโซฟายังยาวไม่พอจนปลายเท้าโผล่ออกมาแบบนี้
ดีไม่ดีจะสูงพอๆกับพ่อเขาเลยก็ได้นะเนี่ย~
แล้วแทนที่จะไปทำงานเขากลับวางกองกระเป๋าและอุปกรณ์ที่เพิ่งแวะไปซื้อมาไว้กับพื้น
ร่างโปร่งบางนั่งพับเพียบลงข้างๆโซฟา ค่อยๆเอาคางเกยพื้นเบาะหนังหนานุ่มก่อนจะมองใบหน้าที่กำลังหลับใหล
ดูจากที่หลับไปทั้งที่ยังอยู่ในเสื้อเชิ้ตเรียบร้อยแบบนี้แสดงว่าอาจารย์น่าจะเพิ่งกลับบ้านหรือไม่ก็ทำงานมาทั้งคืน
ใบหน้ามนยื่นเข้าไปก่อนจะดมกลิ่นฟุดฟิดๆรอบตัวคนหลับ
ไม่มีกลิ่นเหล้าหรือกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิง
แสดงว่าอาจารย์เพิ่งกลับจากไปทำงานมาจริงๆ เพราะเมื่อวานนี้อาจารย์ก็ได้รับโทรศัพท์ด่วนก่อนจะออกจากบ้านตอนเย็นพร้อมๆเขา
เท่าที่แอบได้ยินดูเหมือนต้องรีบเข้าออฟฟิศไปทำอะไรสักอย่างเพราะวันประชุมถูกเลื่อนขึ้นมา
….คงจะเหนื่อยแย่เลย…
ใบหน้ามนซบลงตรงมือใหญ่ๆอย่างออดอ้อนเอาใจ ก่อนที่ดวงตาจะเหลือบไปเห็นบัตรสีทองที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับกุญแจรถและโทรศัพท์มือถือ
เขารู้จักมันดีเพราะเคยเห็นของพ่ออยู่บ่อยๆ ใบประกอบวิชาชีพที่สถาปนิกต้องมี
ไม่เช่นนั้นจะเซ็นต์แบบที่ใช้ก่อสร้างไม่ได้และเป็นเพียงอาคารที่ผิดกฎหมาย
มือบางเลยเอื้อมไปหยิบมาดูทั้งที่ใบหน้ายังเกยอยู่บนโซฟา
คิก… ขนาดรูปติดบัตรยังหล่อเลย
อะไรก็ทำร้ายอาจารย์องศาไม่ได้จริงๆ
ปลายนิ้วเรียวจิ้มลงไปบนแก้มของคนที่อยู่ในรูปก่อนจะอมยิ้ม
สายตากวาดมองทุกสิ่งทุกอย่างบนบัตรใบนั้นอย่างพินิจพิจารณา
นี่คือใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมของอาจารย์องศา
เขาไล่มองเลขที่ใบอนุญาตที่ขึ้นต้นด้วย ส-สถ ไล่มองระดับ
สามัญสถาปนิก ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าสถาปนิกทั่วไป
เขายังพลิกไปด้านหลังซึ่งแสดงเลขที่สมาชิกของสภาสถาปนิกด้วย
จะว่าไปบัตรนี่ก็มีความสำคัญเพราะมันเป็นตัวแทนความเป็นสถาปนิกคนหนึ่งตามกฎหมายได้เลยนะ
แล้วเอามาวางไว้ให้เขาหยิบเล่นง่ายๆแบบนี้จะดีเหรอเนี่ย?
ใบหน้ามนซบลงไปบนโซฟาโดยยังมีใบประกอบวิชาชีพของอาจารย์องศาแนบอยู่ที่แก้ม...อืม...จู่ๆก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเฉยเลย
หลับแป๊บนึงคงไม่เป็นไรมั้ง?
ดวงตาเยือกเย็นลืมขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร
ภาพที่เคยเบลอๆเริ่มโฟกัส
ใบหน้าที่เหนื่อยล้าจึงมองเห็นหัวสีดำแนบอยู่ใกล้ๆตัวเขา?
พายุ?…หลับอยู่เหรอ?
แล้วไหงมาหลับอยู่ในท่านี้? หลับอยู่กับมือเขา?
ร่างสูงใหญ่หยัดกายขึ้นมาดู
ยิ่งมองเห็นว่าใบหน้ามนนั่นหลับไปกับใบประกอบวิชาชีพของเขา ความรู้สึกบางอย่างก็แผ่ซ่านอยู่ในใจ
ชอบจนไม่รู้จะทำยังไงมันคงจะเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง...เขาเพิ่งเคยรู้จักมันจริงๆ
มันคงจะเป็นความรักที่บ้าคลั่งอย่างที่พี่ภพว่า
เขาคงจะประเมินมันต่ำเกินไป เพราะเทียบกับความรักที่เคยผ่านมาเขาจึงคิดว่าเขาน่าจะทนได้
แต่มันไม่ใช่เลย...มันทรมานมากที่ต้องหักห้ามใจไม่ให้เอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้าที่กำลังซบอยู่บนหลังมือของเขานี้...
ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจก่อนมือใหญ่จะเลยไปลูบหัวสีดำนั่นเบาๆ
ต่างฝ่ายต่างก็รับรู้ความรู้สึกของกันและกันเพียงแต่ไม่ได้พูดมันออกมา
การกระทำของเขาพายุก็น่าจะเข้าใจ และการกระทำของพายุเองเขาก็เข้าใจ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เราจะพูดคำว่ารักออกมาตรงๆได้
ต้องอดทน...ให้มันผ่านพ้นสองปีครึ่งที่เหลือนี่ไปก่อน...
จะทนได้ไหมนะ?
ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ
การอดทนต่อความรู้สึก ความต้องการและสัญชาตญาณดิบของตัวเขาเองที่มีต่อเด็กคนนี้
“พายุ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่ยังหลับพริ้ม
“พายุ ตื่นเถอะครับ”
“อือ…” ช่วงปิดเทอมคงจะไม่ได้อดนอน
พายุจึงปลุกง่ายกว่าปกติมาก
“อาจารย์?....”
“ตื่นเถอะ คุณนอนแบบนี้เดี๋ยวก็ปวดคอเอาหรอก”
“อื้อ…เผลอหลับไปเฉยเลย…” พายุลุกนั่งขยี้ตางัวเงีย
“เดี๋ยวผมจะขึ้นไปนอนต่อ เมื่อคืนแก้แบบกันจนไม่ได้นอนเลย
คุณใช้ห้องทำงานได้เลยนะครับ แล้วก็ถ้าจะกลับก็แค่ปิดประตูบ้านไว้เฉยๆก็พอ” เขาเอ่ยบอกใบหน้ามนที่ยังเบลอๆ
เพราะวันพรีเซนต์งานที่จู่ๆก็ถูกเลื่อนขึ้นมาทำให้เขากับทีมที่รับผิดชอบต้องรีบสรุปและแก้แบบในจุดที่ยังไม่ดีเพื่อให้ทีมทำ3DมีเวลาในการทำPerspective ตอนนี้เขาจึงง่วงมาก
“ครับ…” พายุตอบรับ
“แล้วก็…ห้ามขึ้นไปบนห้องของผมตอนที่ผมกำลังนอนอยู่เป็นอันขาด
เข้าใจไหมครับ?” เขากำชับร่างบาง
“?
ครับ?...” แต่พายุดูงุนงงเล็กน้อยเขาจึงต้องย้ำอีกครั้ง
“ตอบผมอีกครั้งว่าคุณเข้าใจแล้วจริงๆ”
“ครับ…เข้าใจแล้วครับ…ห้ามขึ้นไป…ตอนที่อาจารย์หลับอยู่…”
“ดีมากครับ ผมไปนอนก่อนนะครับ”
เขายิ้มให้ด้วยสีหน้าเพลียๆก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป
อาจารย์องศาเป็นแวมไพร์หรือยังไง?
ทำไมต้องห้ามขึ้นไปตอนอาจารย์นอนอยู่ขนาดนั้นด้วย? ทีตัวเองยังนั่งเฝ้าเขาตอนหลับมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง
มือบางตัดกระดาษไปก็สงสัยไป
คำห้ามที่เอ่ยออกมาจากใบหน้านิ่งๆง่วงๆของอาจารย์องศายังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่หาย
อ้า~ถึงจะเข้าใจแต่มันก็สงสัยนี่นา~!
ก็แค่นอนหลับเองมันจะมีอะไรนักหนา? หรือว่าอาจารย์จะนอนอยู่ในโลง?
ไม่สิ คราวที่แล้วที่ขึ้นไปอาบน้ำก็มีแต่เตียงขนาดซุปเปอร์อภิมหาคิงไซส์หลังเดียวเองนะ
ไม่เห็นจะมีโลงที่ไหน? หรือจะกลัวว่าถ้าเขาเข้าไปแล้วบังเอิญเปิดผ้าม่านอาจารย์จะสลายกลายเป็นผุยผง?
ไม่ก็กลายร่างเป็นค้างคาวบินออกจากบ้าน?
อ๊ากกกกกก!
มันจะมีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกันเล่า! …แต่ถ้าอาจารย์องศาอยากจะดูดเลือดเขาขึ้นมาล่ะ
บ้าน่า~ จะกัดที่คอแบบในหนังงี้เหรอ มันก็เจ็บแย่สิ~ อร๊าย~~
แกรก….
มือบางวางคัตเตอร์ลงก่อนที่จะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้
พอก่อนดีกว่า
วันนี้เขาตัดโมเดลไม่คืบหน้าเลยเพราะมัวแต่คิดถึงคำพูดของอาจารย์องศาเนี่ยแหละ!
ร่างโปร่งบางตั้งใจจะกลับบ้านแต่สองขาก็ชะงักงันเมื่อมันกำลังจะก้าวผ่านโถงบันได…ดวงตากลมใสจ้องอยู่ที่ลูกนอนขั้นสุดท้ายด้วยคำถามที่ทำยังไงก็ไม่ยอมหลุดออกไปจากหัว
อ๊า~!! ก็มันสงสัยนี่!!!
อาจารย์องศามีความลับอะไรซ่อนไว้กันแน่?! ทำไมถึงต้องห้ามเขาขึ้นไปขนาดนั้น? กลัวจะไปรบกวนการนอนหลับเหรอ?
หรือว่ามีอะไรกันแน่? เป็นโรคร้าย? เป็นแวมไพร์? เป็นอะไรกั๊นนนน~!!
“ฮึ่ย!” ใบหน้ามนสบถอย่างทนต่อความสงสัยของตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป
ช่างแม่ม แค่แอบขึ้นไปไม่ให้อาจารย์จับได้ก็พอ แค่แง้มๆดูนิดเดียวน่า
นิดเดียวจริงๆ!
ฝ่าเท้าบางย่องขึ้นบันไดอย่างเงียบเชียบ
โชคดีที่พื้นไม้เอ็นจิเนียริ่งวูดของอาจารย์เป็นเกรดอย่างดีเลยไม่มีเสียงแม้แต่เอี๊ยดเดียว
ดวงตาซุกซนจับจ้องอยู่ที่บานประตูสีเข้มซึ่งปิดสนิท...ใกล้แล้ว...อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องนอนของอาจารย์องศาแล้ว...
แต่ก็นั่นแหละ
คนที่นานๆจะทำความผิดทีต่อให้ระวังเท้าก็ดันลืมระวังมือ
แล้วก็อย่างกับอาจารย์องศาจะรู้ทันเลยแอบวางกับดักไว้ และเขาก็เจือกติดกับดักนั่นง่ายๆซะงั้น!
เคร้ง!....
“เอ๊ะ?
???”
ไหล่บางสะดุ้งโหยงก่อนจะหันหน้าพรึ่บไปมองตุ๊กตากระต่ายทองเหลืองที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้น....
เดี๋ยว?!
มาจากไหนเนี่ย?!
ใบหน้ามนหันรีหันขวางอย่างลนลาน
บ้าจริง! หน้าห้องอาจารย์องศามีโต๊ะวางแจกันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
กระต่ายวินเทจตัวนี้ก็หล่นลงมาจากโต๊ะนั่นแหละ อ๊าก~!!
เขาเลิ่กลั่กก้มลงไปเก็บกระต่ายนั่นขึ้นมาโดยได้แต่หวังว่าคนในห้องจะไม่ได้ยิน
โอยยย เสียงดังอย่างกับฟ้าผ่างี้ไม่ได้ยินก็บ้าแล้ว!
ร่างโปร่งตั้งใจจะรีบย่องกลับลงบันไดไป ทว่า
ปึง!
เสียงประตูกระแทกผนังดังโครมจนเขาสะดุ้งสุดตัว
สะ เสียงอะไรน่ะ?....
ใบหน้ามนกลืนน้ำลายก่อนจะค่อยๆหันไปมอง...บรรยากาศก็ดันหลอนเสียจนเขาเผลอคิดไปว่าหรือบ้านอาจารย์องศาจะมีสิ่งลี้ลับอาศัยอยู่
หัวใจดวงน้อยรัวเป็นกลองสองกระเดื่องเลยตอนนี้
แล้วมันก็ยิ่งเต้นอย่างรุนแรงเมื่อดวงตากลมใสมองเห็นว่าสิ่งใดยืนคาประตูห้องนอนนั่นอยู่...
ใบหน้านั้นคืออาจารย์องศาไม่ผิดแน่
แต่ว่า
สิ่งที่ทำให้เขาขนลุกชันนั่นก็เพราะ...ร่างที่ยืนอยู่ดูยังไงก็ไม่ใช่อาจารย์องศาคนที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าคนนั้น!
คนที่ยืนก้มหน้ามองมาด้วยสายตาราวกับปีศาจร้ายนั่นไม่ได้ใส่เสื้อ...
ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กางเกงสแล็คสีดำตัวเดียว...
อาจารย์น่าจะถอดเสื้อนอนแล้วก็ลุกขึ้นมาทั้งอย่างงั้น...เขาเผลอมองกล้ามหน้าท้องที่ขึ้นเป็นหกก้อนอย่างชัดเจนนั่นด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
ผมเผ้าที่ปกติจะเซตไว้อย่างดีบัดนี้ก็ยุ่งปรกรกใบหน้า
ดวงตาที่เคยสุขุมนุ่มลึกก็จ้องผ่านผมหน้าม้ามาที่เขาด้วยแววเย็นยะเยือก
ใบหน้าราวกับรูปสลักนั่นทั้งเย็นชาและมืดมนจนเขาต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
ถึงจะน่ากลัวแต่หล่อชิบหายให้ตายเถอะ!
หัวใจดวงน้อยเต้นโครมๆเพราะนี่คืออาจารย์องศาที่เขาไม่รู้จัก
ไม่เคยเห็นและต่างจากตอนปกติมากกกกก
คะ
ใครเนี่ย?
ใช่อาจารย์องศาแน่ใช่ไหม? หรืออาจารย์จะมีฝาแฝด? นี่มันไม่ใช่เทพบุตรแล้ว แต่เป็นซาตานไม่ก็หัวหน้าเผ่าปีศาจชัดๆอ่ะ!
“อ๊ะ?” เขาหลุดเสียงอุทานออกไปเมื่อจู่ๆมือใหญ่ก็จับหมับมาที่ข้อมือเขา
ร่างโปร่งที่ยังมึนงงถูกลากเข้าห้องไปเหมือนเหยื่อที่ถูกเสือจับได้
เสียงประตูปิดลงไล่หลังแต่เขาก็ขืนแรงอีกฝ่ายไม่ได้เลย
“อาจารย์?!
เดี๋ยวครับ! ทำอะไร?!” สองขาได้แต่เดินตามแรงลากนั่นไปอย่างต้านไม่ไหว
อาจารย์แรงเยอะมาก ข้อมือเขาถูกบีบจนเจ็บไปหมด
“เดี๋ยว?!
คือ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นมากวนนะครับ! ผมแค่ อ๊ะ?!” เขาพยายามจะอธิบายแต่สุดท้าย...
ตุ้บ!....
ร่างทั้งร่างก็ถูกโยนลงไปบนเตียงที่กว้างใหญ่ไพศาล...
ตอนนี้เขารับรู้ถึงอันตรายที่แผ่ออกมาจากร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอันสวยงาม...สองขาจึงกระถดกระถอยหนีโดยอัตโนมัติ
ทว่า
“อึ้ก?!” สองมือกลับถูกมือใหญ่ดึงขึ้นเหนือหัวก่อนจะกดไว้กับพื้นเตียง
เสียงยุบยวบตามลงมาเมื่อสองขาของอาจารย์องศากางคร่อมลำตัวเขาไว้ไม่ให้ดิ้นหนีได้อีก
ใบหน้าเย็นชาค่อยๆโน้มลงมา
ดวงตามืดมนจับจ้องเขาราวกับดวงตาของซาตาน ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มเย็นยะเยือก
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม...ว่าห้ามขึ้นมาเด็ดขาด...”
“คุณที่ไม่ยอมฟังนั่นแหละ...ผิด”
เขามองเงาที่ค่อยๆทาบทับลงมาเรื่อยๆ
เรื่อยๆ ด้วยดวงตาตื่นตะลึง
“อะ
อาจารย์...”
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
อาจารย์แกแค่ง่วงนอนค่ะ
ไม่มีไร 555555 ไม่ต้องกลัวจะเทิร์นดาร์กนะคะ เรื่องนี้ใสๆค่ะ ไสยๆ~ เอิ้ก // โดนไหทุ่มใส่ข้อหาตัดจบได้ละครไทยเกินไป๊ 5555
มันก็มีอยู่แหละคนที่จะหงุดหงิดตอนถูกกวนเวลานอน
ยิ่งกับคนที่อดนอนนานๆด้วย อย่างคุณกวางเองก็เป็นค่ะ ถ้าตอนต้องส่งงานปลุกได้ถึงไหนถึงกัน
แต่ถ้าเป็นเวลาว่างเวลาที่จะได้นอนแล้วถูกปลุกด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่จะอารมณ์เสียมาก
หรือบางทีถ้าโทรมาตอนกำลังนอน จะตอบกลับนะ แต่ไม่รู้เรื่อง
แถมตื่นมายังจำไม่ได้อีกว่าคุยอะไรไป 55555
เสียเวลาเปล่าสุดๆเพราะงั้นรอมันตื่นก่อนนะค่อยคุย ^ ^
สำหรับตอนนี้ก็เป็นของคู่อาจารย์องศากับยัยพายฉ่ำๆไปให้สมกับที่มีคอมเม้นต์ถามหาคู่นี้กันมานาคะ
อิๆๆ พูดถึงการตรวจแบบแล้วของอาจารย์องศานี่ยังนับว่าปกติอยู่นะ
สมัยคุณกวางคือตรวจแบบกันตอนหกโมงเช้าอ่ะแม่จ๋า5555
คือตูไม่ต้องนอนค่ะ ไปตรวจแบบก่อนแล้วค่อยกลับมานอน ^ ^
เพราะอาจารย์เค้าอายุเยอะแล้ว
เค้าตื่นเช้ามากแล้วก็มามหาลัยเช้ามากแล้วก็กลับเร็วมาก
ถ้าตูไม่ไปดักไว้ก็จะไม่ได้ตรวจแบบงี้5555 แต่ก็ดีนะคะ
ได้กินข้าวเหนียวท่าช้างที่อร่อยมากๆแล้วก็ไม่ทันสายก็ขายหมดแล้วด้วย
ผีดิบอย่างตูจะได้กินก็วันที่มีตรวจแบบไม่ก็ส่งโปรเจคแล้วอยู่สตูกันเท่านั้นแหละ
พูดแล้วก็อยากกินเบย ไม่รู้ยังขายอยู่ไหมนะคะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามมากๆๆนะค้า แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น