KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 13
:
KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า
:
องศา x พายุ , เก้า x เจ้าจอม
:
Warmhearted Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด
: อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม...ว่าห้ามขึ้นมาเด็ดขาด...”
“คุณที่ไม่ยอมฟังนั่นแหละ...ผิด”
เขามองเงาที่ค่อยๆทาบทับลงมาเรื่อยๆ
เรื่อยๆ ด้วยดวงตาตื่นตะลึง
“อะ
อาจารย์...”
ฟุ้บ!...
“.......”
แล้วทุกสรรพเสียงก็เงียบไปพร้อมๆกับร่างกายที่แข็งเกร็งของเขา
ดวงตาที่ปกติก็กลมโตอยู่แล้วยิ่งโตขึ้นไปอีกแต่กระนั้นสัญชาติญาณการเอาตัวรอดกลับหยุดทำงานไปเสียดื้อๆ
นั่นก็เพราะสิ่งที่คุกคามเขาอยู่ดันฟุ้บแน่นิ่งไปเฉยๆเลยน่ะสิ?!
“....อาจารย์….?” คอเขาค่อยๆหันไปหาใบหน้าที่ซบอยู่บนหัวไหล่อย่างเกร็งๆ
ร่างทั้งร่างรู้สึกหนักอึ้งเพราะถูกร่างกายที่ใหญ่โตนั่นนอนทับเอาไว้ มันทำให้เขาแทบจะจมลงไปในเตียงนอนเลยก็ว่าได้
ดูไม่รู้เลยว่าอาจารย์องศาจะตัวหนักขนาดนี้
“อาจารย์องศาครับ…?” หางตาเหลือบมองใบหน้าราวกับรูปสลักที่เหมือนถูกดึงปลั๊กไปทั้งอย่างนั้น….อาจารย์…ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว…?
หัวใจดวงน้อยเต้นโครมๆพร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลงมองฝ้าเพดาน
มะ…มันเกิดอะไรขึ้นกัน? จากเทพบุตรทำไมกลายเป็นซาตานไปได้?
หรือว่า…
อาจารย์องศา…เวลาง่วง
เวลาถูกกวนตอนนอนจะเป็นแบบนี้เหรอ? เหมือนคนเมาที่จะมีอาการแตกต่างกันไป
บางคนเมาแล้วร้องไห้ บางคนเมาแล้วโวยวาย
บางคนเมาแล้วหลับ...คนง่วงก็อาจจะมีหลายแบบก็ได้มั้ง? ???
แต่ที่แน่ๆ...เขา…เพิ่งจะได้รู้ความลับของอาจารย์องศา
เหมือนได้เห็นด้านมืดของอาจารย์เลย…
อาจารย์…ก็ดูเป็นผู้ชาย…ที่อันตรายเหมือนกันนะ…
แต่น่าแปลก...ที่เขาไม่ยักกะกลัวอย่างที่คิด...
ลมหายใจของเขาร้อนผ่าวเพราะลมหายใจที่คลอเคลียอยู่แถวซอกคอ
หัวใจของเขายังเต้นอย่างรุนแรงเพราะร่างกายที่แนบชิดกัน น้ำหนักที่กดทับลงมา...นอกจากจะกักขังเขาเอาไว้ใต้ร่าง
มันยังทำให้ในอกปั่นป่วนไปหมด
มือบางพยายามขยับข้อมือที่ถูกพันธนาการไว้แม้อีกฝ่ายจะนิ่งไป
แต่แรงขยุกขยิกนั้นก็ราวกับไปปลุกราชสีห์ที่กำลังหลับเสียมากกว่า
ฟึ่บ!
“เอ๊ะ? อื้อ?!” ข้อมือที่เกือบจะหลุดออกมาได้กลับถูกมือใหญ่จับเอาไว้อีกครั้ง
“เหวอ?!!” เสียงสวบสาบดังขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัว ร่างกายของเขาถูกมือใหญ่จับพลิกตามแต่ใจ
ถึงจะต่อต้านด้วยความมึนงงแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเขาที่มานอนอยู่ในอ้อมแขนของอาจารย์องศาเสียอย่างงั้น…
“อาจารย์…” หัวใจเขาเต้นจนแทบจะทะลุออกมาจากอกเมื่อดวงตาเหลือบไปเห็นท่อนแขนแข็งแรงที่กอดรัดเขาจากด้านหลัง
ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดอยู่บนหลังคอจนเขาเองนี่แหละแทบจะไม่ได้หายใจต่อ
ร่างทั้งร่างแทบจะนิ่งค้างเป็นก้อนหินไปแล้ว
“นอนซะ” เสียงทุ้มพร่ำกระซิบอยู่หลังใบหู
ถึงจะเป็นคำสั้นๆแต่มันกลับเย็นยะเยือกจนทั้งร่างของเขาแข็งเกร็ง
“ถ้าไม่นอนผมจะจับคุณกินนะ”
แปร๊ด~
หน้าของเขาแทบลุกเป็นไฟ
อ๊ากกกกก!!! นี่มันอะไรกันๆๆๆ! กินนี่คืออะไรยังไง?
ไม่ไหวแล้ววว!!
“อ๊ะ?!” ริมฝีปากสีระเรื่ออุทานออกมาเบาๆเมื่อบนหลังคอรู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นซึ่งแตะลงมาเบาๆ
ก่อนที่จะ
“อึก? อื้อ?! ??” ไหล่บางสะดุ้งโหยง...อาจารย์…กัดเขาเหรอ?
หรือกำลังขบเม้มอยู่กันแน่?
แต่ที่มั่นใจได้
นั่นคือริมฝีปากของอาจารย์องศาแน่นอน
แก้มใสร้อนผ่าว…นี่ใช่...คิสมาร์กหรือเปล่า?
มัน…เจ็บนิดๆแหะ…
แต่…มันเป็นความเจ็บที่ทำให้รู้สึกแปลกประหลาด
เป็นความเจ็บที่กระตุ้นสัญชาติญาณอะไรบางอย่าง
เป็นความเจ็บที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนสั่นสะท้านไปทั่วร่าง
และเป็นความเจ็บ…ที่ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว…
จูบนั้นยังคงเน้นย้ำอยู่บนหลังคอของเขาอีกหลายครั้ง
เพราะไม่เห็นหน้าเลยคิดว่ามันน่ากลัวอยู่หน่อยๆ
แต่ถึงจะดูน่ากลัว
เขากลับยังคิดว่าอาจารย์องศาที่เป็นแบบนี้…ก็มีเสน่ห์แล้วก็รุนแรงเร้าใจยังไงชอบกล…
เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ
อ้า~
ดวงตากลมใสเหลือบมองท่อนแขนใหญ่ๆที่กอดเขาไว้อย่างหวงแหน
ต่อให้ดิ้นรนแค่ไหนคงไม่มีวันหลุดจากอ้อมแขนที่รัดแน่นแบบนี้ไปได้แน่ๆ
ทั้งกลิ่นของอาจารย์องศา
ทั้งกล้ามหน้าท้องที่บดเบียดแนบชิดมาบนแผ่นหลัง…ทั้งหมดนี้…มันกำลังทำให้เขามัวเมาจนแทบรั้งสติเอาไว้ไม่ได้
ถึงอาจารย์จะบอกให้นอนก็เถอะ
แต่แบบนี้จะหลับลงได้ยังไง...ร้อนไปจนถึงปลายเล็บได้แล้วเนี่ย!
ดวงตาสุขุมเปิดขึ้นมาเมื่อแสงสว่างที่เล็ดลอดผ่านม่านหนาแยงเข้าตา
เช้า...แล้วเหรอ...
มือใหญ่ยกขึ้นบังลำแสงที่พุ่งตรงมายังใบหน้าก่อนจะขยับกล้ามเนื้ออย่างเกียจคร้าน
ร่างกายอุ่นๆของใครบางคนยังซุกอยู่ในอ้อมแขนและเขาก็ก้มมองด้วยสีหน้าราบเรียบ
เขาไม่ได้ตกใจหรอกที่เห็นพายุหลับอยู่ในอ้อมกอด
เพราะเมื่อคืนเขาจำได้ทุกอย่างว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เขารู้ตัว...ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
แต่เวลาที่เขาง่วงเขามักจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนเผลอทำตามใจ
เผลอใช้ความรุนแรงกับพายุไป
เด็กคนนี้จะตกใจไหมนะ
จะกลัวเขาหรือเปล่า?
เขามองใบหน้าหลับพริ้มนั่นด้วยความหนักใจ
การรอให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาเองกลับกลายเป็นเรื่องลุ้นระทึกสำหรับเขา
ในหัวกำลังค้นหาคำพูดที่จะอธิบายพฤติกรรมของเขาให้พายุฟัง
แต่ลึกๆในใจก็อดหวั่นวิตกไม่ได้ ถ้าพายุกลัวและค่อยๆตีตัวออกห่างเขาจะทำยังไงดี?
พายุจะผิดหวังไหมที่เขาไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่คิดแต่อาจจะใกล้เคียงกับปีศาจเสียมากกว่า
“อื้อ...” ดวงตากลมใสค่อยๆกระพริบเปิดขึ้นมาก่อนจะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงกว้างใหญ่ตามลำพัง
หื๋อ?
อาจารย์องศาล่ะ?
เขาพลิกตัวพร้อมกับกระดูกที่ลั่นเปรี๊ยะ
โอย...เมื่อคืนโดนกอดไว้จนกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้เลย
เช้านี้เลยปวดเมื่อยอย่างกับเพิ่งผ่านสงครามมา เอาจริงๆนะ แค่โดนอาจารย์กอดเฉยๆยังแทบแย่
ถ้าโดนทำมากกว่านี้เขาไม่ขิตเอาเหรอเนี่ย? ไม่ได้การละ
สงสัยต้องไปต่อยมวยกับไอ้เก้าเพื่อออกกำลังกายบ้างแล้ว! ก็ถ้าเขาตายเพราะทำเรื่องอย่างว่าคงขายขี้หน้าแย่!
แกร่ก...
เสียงประตูที่เปิดออกทำให้ใบหน้าที่ยังซุกอยู่ในหมอนหันไปมอง...อาจารย์องศาเดินถือแก้วกาแฟขึ้นมาสองใบ
กลิ่นมอคค่าหอมฉุยทำให้เขาค่อยๆหยัดกายขึ้นนั่งทั้งที่หัวชี้ฟู
“ฮึ...”
อาจารย์องศาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี...กลับไปเป็นอาจารย์องศาที่แสนดีของเขาคนเดิมแล้ว?
มือใหญ่ยื่นแก้วกาแฟมาให้และเขาก็รับเอาไว้
ร่างที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตที่เหมือนถูกหยิบขึ้นมาสวมง่ายๆนั่งลงที่ขอบเตียงก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีแต่เงาไม้ร่มรื่น
บรรยากาศในห้องตอนนี้ต่างจากเมื่อคืนลิบลับ
ที่นี่...เหมือนมีโลกสองมิติซ้อนทับกันอยู่เลย...
“คุณ...กลัวผมรึเปล่า?” ว่าแล้วว่าอาจารย์จะต้องถามเขาเรื่องนี้
แต่แทนที่จะตอบว่ากลัวไหมสายตาที่เขามองอีกฝ่ายอย่างเป็นประกายนั้นอาจจะแทนคำตอบได้ทั้งหมด
“เมื่อคืนนั่น...ก็เป็นอีกหนึ่งตัวตนของผมที่คุณจะต้องเจอถ้ายังคบกับผมอยู่...” ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองเขาราวกับกำลังสารภาพบาป
“...เวลาผมง่วงหรือถูกปลุกตอนนอนผมมักจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้
แล้วก็มักจะทำอะไรตามใจ...” ตามใจ? นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจ? คือสิ่งที่อาจารย์อยากทำกับเขาสินะ?
เขาเผลอหน้าแดง...
เพราะอาจารย์มักจะทำหน้านิ่งๆเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการที่มีเขาอยู่รอบกาย
แต่มันคงจะไม่ใช่แบบนั้นสินะ?
อาจารย์เอง...ก็คงจะต้องการเขาเหมือนกัน
อยากกอดเขา อยากจูบเขา เหมือนที่เขาเองก็รู้สึกแบบนั้นกับอีกฝ่ายเหมือนกัน...และถ้านั่นคือสิ่งที่อาจารย์ต้องการ
มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรต้องกลัว
“มีอะไรต้องกลัวละครับ?
อาจารย์น่ะเหมือนหัวหน้าเผ่าปีศาจเลย!” เขายิ้มให้
“คุณจะไม่หนีผมไปใช่ไหม?” ใบหน้าราวกับรูปสลักมองใบหน้ามนอย่างกังวลนิดๆ
เพราะเขาคิดที่จะจริงจังกับพายุมากกว่าครั้งไหนๆ เขาจึงถามเพื่อให้อีกฝ่ายแน่ใจ
“คิดว่าผมจะหนีเพราะเรื่องแค่นี้หรือไงครับ?
นี่ใคร? พายุ ธารธารากุลที่ไม่เคยเกรงกลัวอะไรนะครับ บอกตามตรง
ลุคดาร์กๆของอาจารย์ก็โดนใจผมมากเลย”
ใบหน้ามนมองเขาตาเป็นประกายจริงๆ
...ชอบเหรอ?
ชอบสินะ...สีหน้าของพายุบ่งบอกออกมาหมดว่าชอบลุคดาร์กๆของเขาไม่น้อยแหละ เขาถึงกับถอนหายใจ
คงจะมีแต่เจ้าเด็กโกธิคพังก์นี่แหละที่ชอบเขาที่เป็นแบบนั้น
เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะเพื่อนหรือแฟนคนก่อนๆก็มักจะกลัวเขาทั้งนั้น เพราะต่างก็คาดหวังกันไปเองว่าเขาจะต้องเป็นดั่งเทพบุตร
พอไม่ใช่ หลายคนก็ค่อยๆห่างออกไป
เขาหันไปสบประสานกับสายตาซุกซนที่จ้องมาไม่วางตา
เมื่อกี้บอกว่าเขาเหมือนอะไรนะ? หัวหน้าเผ่าปีศาจ? ฮึ...
เขาเพิ่งเคยยิ้มอย่างผ่อนคลายขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ
มันเหมือนกับเพิ่งได้ค้นพบที่ที่เป็นของตัวเอง ได้ค้นพบคนที่เข้าใจ
ได้ค้นพบคนที่ฟ้าส่งมาให้...
“แต่อาจารย์แรงเยอะมากเลย
กอดจนผมปวดเมื่อยไปหมดแล้วเนี่ย”
เขายิ้มให้คนที่นั่งบ่นงุ้งงิ้งอยู่บนเตียง
“จะให้ผมรับผิดชอบยังไงก็บอกมาได้เลยครับ”
“งั้นขอเป็น
A+ เก็บแสดงทุกโปรเจคก็แล้วกันนะครับเทอมหน้า”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับผลงานของคุณครับ”
“อะไรเนี่ย~
ไหนว่าจะรับผิดชอบไง~”
“ฮะฮะฮะ”
เช้านี้...ก็เป็นเช้าที่ดีและมีความสุขมากจริงๆ
ไม่ว่าร่างสูงยาวของน่านฟ้า
ปัทมวารินทร์จะเดินไปทางไหนก็มักจะทำให้คนที่เดินสวนกันไปต้องเหลียวกลับมามอง
ขนาดอยู่ในโรงพยาบาลก็ยังไม่ละเว้น...
เจ้าของทรงผมเดธร็อคสะดุดตาหย่อนตัวนั่งลงที่ม้านั่งข้างสนามเด็กเล่นตัวเดิม
ผลตรวจของคุณย่าออกมาแล้ว ถึงจะเป็นข่าวร้ายว่าชิ้นเนื้อที่นำไปตรวจนั้นไม่ใช่เนื้อดี
แต่ก็นับว่าความหวังของพวกเขายังไม่หมดไปเสียทีเดียวเพราะตรวจพบในระยะที่ยังพอรักษาได้อยู่
เขา...คงต้องแวะเวียนมาที่สนามเด็กเล่นแห่งนี้ไปอีกสักพัก...ตลอดเวลาที่รักษาคุณย่า
ดวงตาคมกล้าเหม่อมองไปยังเด็กๆที่กำลังวิ่งเล่น
เด็กพวกนี้ดูไม่เหมือนเด็กที่ป่วยเลยแหะ ถ้าไม่ใส่ชุดผู้ป่วยในอยู่เขาคงแทบไม่รู้
แต่เพราะเขานั่งอยู่ตรงนี้แทบทุกวันเขาจึงพอจะสังเกตเห็นได้ว่าเด็กๆมักจะหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าไป
อาจจะมีเด็กที่รักษาจนหายออกจากโรงพยาบาลไปบ้างแล้วก็ได้
“คุณหมอ~” ....มาแล้ว...เขาทอดสายตามองเด็กๆที่วิ่งกรูไปหาร่างในชุดกาวน์นั่นอย่างเอ็นดู
เด็กๆจะถูกปล่อยให้ออกมาวิ่งเล่นในช่วงเย็นๆ ก่อนที่คุณหมอและพี่พยาบาลจะออกมาไล่ต้อนกลับเข้าไป
เป็นแบบนี้แทบทุกวัน
เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมภาพเหล่านี้ถึงได้ช่วยเยียวยาจิตใจอันหนักอึ้งจากเรื่องราวที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนของเขาได้
ถึงจะไม่รู้จักกัน
ไม่เคยพูดคุยกัน
แต่เขากลับชอบมองใบหน้าเหนื่อยล้าและไม่เคยรบรากับเด็กๆชนะเลยสักครั้งนั่น...มัน...ตลกดีละมั้ง?
วันนี้เองก็คงจะแพ้เจ้าลูกเจี๊ยบพวกนี้อีกตามเคยสินะคุณหมอ
ดูสิ
“คุณหมอ~
อยากกินไอติม~ กินไอติมได้ไหมคะ~”
ริมฝีปากของเขาเริ่มมีรอยยิ้มเมื่อเห็นรถเข็นขายไอติมคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากสนามเด็กเล่น
“คุณหมอๆ
ไอติม~”
และเหล่าลูกเจี๊ยบก็เริ่มเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาคุณหมอที่กำลังยืนเหวออยู่กลางสนามหญ้าเทียม...อุ๊บ...ทำหน้าตลกชะมัด
“เออ...ไม่ได้ครับ...”
ร่างที่ดูสะอาดสะอ้านยกมือขึ้นมาดันแว่นก่อนจะทำเสียงแข็ง
“ทำไมอ่า~
ขอไอติมให้หนูหน่อย~”
เจ้าลูกเจี๊ยบยังไม่ละความพยายาม
ร่างเล็กๆล้อมหน้าล้อมหลังและคนที่โตกว่าก็เริ่มทำหน้าเลิ่กลั่ก
มือเท่าฝาหอยเกาะไปตามเสื้อสีขาวก่อนจะเขย่าเบาๆ
สายตาอ้อนๆน้ำเสียงอ้อนๆดังเจี๊ยวจ๊าวจนปากของเขากลายเป็นเส้นโค้ง คุณหมอจะหลุดออกไปจากวงล้อมของเจ้าเด็กพวกนั้นได้ยังไงกันนะ
“หมอไม่มีเงิน
ดูสิ”
คุณหมอล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์ออกมาให้ดูว่ามันว่างเปล่า
“จริงเหรอ~
คุณหมอน่าสงสารจัง~ แต่กินไม่ได้เหรอ~”
ร่างเล็กๆกอดคุณหมออย่างปลอบใจที่คุณหมอไม่มีเงิน? แต่ก็ยังอ้อนจะกินไอติม?
ฮ่าๆๆ น่ารักชะมัด
“กลับเข้าไปกินข้าวกันดีกว่า
ถ้ากินไอติมแล้วเดี๋ยวก็กินข้าวไม่ได้กันพอดี”
คุณหมอพยายามไล่ต้อนเด็กๆที่ตอนนี้หันไปมองรถเข็นไอติมกันตาละห้อย
“คุณลุง~
ไอติมอร่อยมั๊ย~”
เหล่าลูกเจี๊ยบเริ่มหันไปถามคุณลุงคนขายไอติมตามประสาเด็ก ฮ่าๆๆ
เขาลอบยิ้มในขณะที่รอดูว่าคุณหมอจะทำยังไงต่อกับลูกเจี๊ยบที่พากันไปเกาะรั้วมองรถไอติมกันหมดแล้ว
“อ้า~
เข้าไปกินข้าวกันเถอะ~ นะ~”
คุณหมอขอร้องด้วยสภาพอันอ่อนแรงแต่ดวงตาซุกซนก็ไม่สนใจคุณหมออีกเพราะมันต่างจับจ้องอยู่ที่รถขายไอติม...นี่คุณหมอหรือคุณครูโรงเรียนอนุบาลกันแน่เนี่ย
“เฮ้อ...ก็ได้...กินได้แค่คนละครึ่งลูกเท่านั้นนะ
แล้วต้องสัญญากับหมอก่อนว่าจะทานข้าวเย็นให้หมด ตกลงไหม?”
คุณหมอถอนหายใจก่อนจะหันมาเจรจากับเด็กๆที่ต่างก็ร้องเย้ไปตามๆกัน
เขามองคุณหมอที่หันไปสั่งไอติมให้เด็กๆอย่างคล่องแคล่ว
น่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆสินะ
“ลุงรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ
เดี๋ยวผมต้อนเจ้าเด็กพวกนี้เข้าห้องพักก่อนแล้วจะไปหยิบเงินมาให้
พอดีตอนนี้ผมไม่มีติดตัวมาเลย” เสียงสุภาพพูดกับลุงขายไอติมที่พยักหน้ารับอย่างคุ้นเคย
“ครับคุณหมอ” เขานั่งมองจนกระทั่งคุณหมอต้อนเด็กๆเข้าไปในอาคารผู้ป่วยและสนามเด็กเล่นก็ว่างเปล่า
ร่างสูงใหญ่จึงลุกเดินไปยังรถขายไอติม
“ค่าไอติมเมื่อกี้เท่าไหร่ครับ?”
คุณลุงมองมาที่เขาด้วยสีหน้างงๆแต่ก็ยอมบอกตัวเลขมา
มือใหญ่จึงล้วงกระเป๋าตังค์แล้วจ่ายทั้งหมดนั่นให้
ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเดินจากไปโดยไม่คิดจะอยู่รอคุณหมอ
ร่างในชุดกาวน์ก้าวขายาวๆกลับมายังสนามเด็กเล่นพร้อมด้วยแบงก์ร้อยที่กำอยู่ในมือ
“เท่าไหร่ครับ?”
ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นถามพร้อมกับก้มลงไปเตรียมนับเงินให้
“มีคนจ่ายให้แล้วครับคุณหมอ” แต่สิ่งที่ลุงคนขายไอติมบอกก็ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เอ๊ะ?
ใครครับ?”
“พ่อหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนั้นน่ะ
อ้าว? ไปไหนแล้วล่ะ?” มือเหี่ยวย่นชี้ไปที่ม้านั่งตัวหนึ่ง
ถึงแม้ตรงนั้นจะว่างเปล่าไปแล้วแต่เขากลับนึกออกว่าคนคนนั้นเป็นใครในเมื่ออีกฝ่ายมักจะมานั่งอยู่ตรงนี้เป็นประจำ
“คนที่ทำผมแปลกๆใช่ไหม?” เขาถามคุณลุงพร้อมกับทำมือประกอบ
“ครับๆ
ใช่ครับ ที่ทรงผมแปลกๆแต่หล่ออย่างกับพวกดาราเลยน่ะ” ใช่จริงๆด้วย...
“ครับ...” เขาพยักหน้ารับอย่างมึนงง
เอาเถอะ...ไว้เจอกันคราวหน้าค่อยใช้คืนให้ก็แล้วกัน
ร่างโปร่งบางเดินหาวหวอดออกจากห้องนอนในตอนบ่ายกว่าๆ
นานแค่ไหนกันแล้วเนี่ยที่ไม่ได้นอนหามรุ่งหามค่ำขนาดนี้
“อื้อ~~” แขนบางยกขึ้นบิดขี้เกียจ
ก็นะ...ขนาดปิดเทอมเขายังต้องออกไปเรียนแต่งหน้าตุ๊กตาแต่เช้าแล้วตอนบ่ายก็ยังต้องไปตัดโมเดลอยู่ที่บ้านอาจารย์องศา
กว่าจะได้กลับบ้านก็มืดค่ำแทบทุกวันมันจึงเหมือนไม่ได้พักเลยอยู่ดีนั่นแหละ
ก็เพิ่งจะมีวันนี้ที่ได้นอนยาวจนสายจนบ่ายเพราะคอสเรียนแต่งหน้าของเขาจบลงแล้ว
แถมอาจารย์องศาก็บินไปบาหลีเมื่อคืนเพื่อไปดูไซต์ เขาเลยว่างสุดๆ
มือบางเปิดตู้เย็นก่อนจะกวาดตาดูว่ามีอะไรพอจะยัดใส่ท้องได้บ้าง
เพราะเมื่อคืนเขาขับรถไปส่งอาจารย์องศาที่สนามบินก็เลยไม่มีเวลาแวะซื้อของกินเข้ามาเลย
ในตู้เย็นจึงไม่มีอะไรที่เป็นของเขาสักอย่าง....
มือบางจึงเอื้อมไปหยิบขนมปังหนานุ่มกับนูเทลล่าที่เขียนด้วยเมจิกเด่นหราว่า
“ของคุณเก้าครับ ใครแดกของกูเจอตบหัวทิ่ม!”
ออกมา...ของไอ้เก้าก็เหมือนของเขาแหละน่า...ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยซื้อคืนมันเลยก็เถอะ...
“ไปไหนกันหมดวะเนี่ย?”
ใบหน้ามนหันไปหันมาจนผมหน้าม้าที่มัดรวบเป็นจุกไว้กระดก
ร่างโปร่งบางในเสื้อนอนตัวโคร่งเดินกลับขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งห้องส่วนใหญ่จะอยู่บนนั้นก่อนหูจะแว่วเสียงภาษาญี่ปุ่นดังมา?
สองขาจึงเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งมีโซฟา
พรมหนาๆ ทีวีจอยักษ์ และเครื่องเพลย์สเตชั่น 5 วางอยู่
ถึงเรือนริมน้ำนี้จะเป็นบ้านสไตล์ขนมปังขิงและทำด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่
แต่ไอ้ภาคมันก็ขนเฟอร์นิเจอร์ท่านขุนรุ่นโบราณที่อาจจะมีวิญญาณสิงอยู่ออกไปจนหมดแล้วเปลี่ยนเป็นเฟอร์แบบมินิมอลๆแทน
ผนังไม้ซ้อนเกล็ดก็ถูกทาสีใหม่ด้วยสีขาว
บ้านที่พวกเขาอยู่จึงมีความผสมผสานระหว่างบ้านเก่ากับกลิ่นไอแบบใหม่ดูอบอุ่นสบายๆน่าอยู่มากกว่าเดิม
“ดูไรกันอยู่วะ?”
เขาเดินไปนั่งแหมะบนโซฟาซึ่งมีไอ้ภาคนอนยาวอยู่
ส่วนไอ้ไม้กำลังนั่งแกะ?เปลือกถั่วงอก?อยู่บนพรมหนานุ่มหนาโซฟา...ทำห่าอะไรของมันวะเนี่ย
ฮ่าๆๆ
“Given” ไอ้ภาคตอบในขณะที่ดวงตายังไม่ละไปจากหน้าจอโทรทัศน์
บนนั้นมีอนิเมะเรื่องหนึ่งกำลังเล่นอยู่
“หื๋อ?
เรื่องเกี่ยวกับไรวะเนี่ย?” เสียงใสถาม มือก็วางขนมปังที่ไปขโมยมาลงบนโซฟาก่อนจะแกะฝานูเทลล่ามาปาด
“อนิเมะเกี่ยวกับดนตรีน่ะ
ไม้มันเปิดเจอก็เลยเรียกกูมาดูด้วย ก็สนุกดีนะ ......มึงนี่ก็ช่างกล้านะไอ้พาย มึงไม่กลัวตายรึไง?
ฮ่าๆๆ” ไอ้ภาคตอบก่อนจะว่าให้หลังจากเหลือบมาเห็นถุงขนมปังที่มีจิตสังหารลอยคลุ้งอยู่รอบๆ
ไหล่บางแค่ยักขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“มึงก็หลบให้พริ้วๆสิ
แดกไหม?” เขายื่นขนมปังร่วมสาบาน(?)แผ่นที่ทานูเทลล่าซะล้นไปให้ไอ้ภาค
“เอาครึ่งเดียว”
มือบางจึงฉีกขนมปังเป็นสองส่วนก่อนจะหย่อนใส่ปากคนที่นอนตะแคงอยู่
“มึงอ่ะ?”
เขาหันไปถามไอ้ไม้ที่ยังนั่งง่วนอยู่กับกะละมังถั่วงอก
ใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวส่ายปฏิเสธเขาจึงงับขนมปังแผ่นนั้นแทน
“ว่าแต่ไอ้ไม้
มึงทำอะไรอยู่วะเนี่ย?” เขาถามอย่างอดขำไม่ได้
ไม่ว่าจะในแง่ที่เป็นผู้ชายสูง183ซม. หรือในแง่ความหล่อระดับเอลฟ์ในตำนาน
ไม่ว่าจะในแง่ไหนไอ้กะละมังถั่วงอกนี่ก็ไม่เข้ากับมันเลยสักนิด
“แกะเปลือกถั่วออกจากถั่วงอกไง
เย็นนี้กูจะผัดถั่วงอก” แต่ใบหน้าชิวๆกลับตอบหน้าตาเฉย
“.....งานอดิเรกมึงนี่นะ...อุ๊บ...ฮึๆๆๆ” เขาขำจนไหล่สั่น
“หรือมึงอยากกินถั่วงอกทั้งเปลือก?”
“ไม่คร้าบ~
พี่ไม้คร้าบ~ รบกวนแกะเปลือกถั่วงอกให้ด้วยคร้าบบบบ” เขาก้มลงไปกราบกรานอย่างล้อเลียน
“แล้วนี่มึงดูกันไปกี่ตอนแล้ว?” ร่างโปร่งหันมาสนใจอนิเมะในโทรทัศน์ต่อ
“เพิ่งเริ่มตอนที่สอง” ไอ้ไม้ตอบทั้งที่มือยังไม่ละไปจากถั่วงอก
“งั้นมึงเริ่มใหม่ได้ป่ะ
กูดูด้วย” ไหนๆวันนี้ก็ว่างแสนว่างแล้วเขาก็ไม่ได้มีแผนจะออกไปไหน
“มึงไม่ต้องไปตัดโมบ้านอาจารย์องศารึไง?” ไอ้ภาคกดรีโมทเปลี่ยนไปตอนเริ่มต้นให้
“อาจารย์หนีกูไปบาหลี
ฮื้อออออ”
“....โอ๋นะ...อ่ะ
มึงดูอนิเมะย้อมใจไปแล้วกัน กูเปิดตั้งแต่ตอนแรกให้มึงเลย” ไอ้ไม้ยื่นมือที่มีแต่ถั่วงอกมาลูบหัวเขาอย่างปลอบโยน
มึงปัดถั่วงอกออกก่อนเซ่~ ไอ้เวรนี่ หัวกูมีแต่ถั่วงอกแล้ว!
แล้วพอดูตอนแรกจบก็เหมือนจะได้ยินเสียงแท็กซี่จอดอยู่หน้าบ้าน?
เครื่องยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้หูฝาดนั่นก็คือไอ้ธีร์ที่โผล่หน้าเข้ามาหลังจากนั้นอีกไม่กี่นาที
กลับมาแล้วเร๊อะ? ไหนว่าจะกลับบ้านมันไงวันนี้?
“พวกมึงดูไรกันอยู่วะ?” .....อื้ม คำถามเหมือนเดจาวูเลยนะ
ไอ้ภาคผงกหัวขึ้นมาจากหมอนก่อนจะตอบมันไป
“Given”
“เรื่องไรวะเนี่ย?” ไม่ใช่แค่เหมือนละ
นี่มันเดจาวูชัดๆ ฮ่าๆๆ
“........” ไอ้ภาคนิ่งไปก่อนจะพยายามตอบกลับด้วยสันติภาพ
“อนิเมะเกี่ยวกับวงดนตรี
พระเอกเป็นมือกีต้าร์”
“เออ
กูดูด้วย มึงดูกันไปกี่ตอนแล้ว?” ไอ้ธีร์เขี่ยเขาให้ขยับไปก่อนจะนั่งแทรกลงมาบนโซฟาอีกคน
พวกมึงนี่ก็ตัวเล็กๆกันทั้งนั้นเลยนะ เบียดมาได้!
“เพิ่งตอนที่สอง....”
“งั้นมึงเริ่มใหม่” ไม่ว่าเปล่า
ไอ้ตัวกับระเบิดยังหยิบรีโมทไปเปลี่ยนเองเฉย
“ไอ้คุณธีร์ครับ!
มึงรู้ไหมว่ากูดูตอนที่หนึ่งมากี่รอบแล้ว?!
พวกมึงเล่นมากันทีละคนสองคนงี้ กูต้องดูตอนแรกอีกกี่รอบวะ?!
มึงไปลากคอไอ้เก้ามาดูพร้อมกันเดี๋ยวนี้เลยไป กูจะได้ไม่ต้องดูตอนที่หนึ่งอีก!” ไอ้ภาคระเบิดลงจนพวกคนผิดอย่างเขาได้แต่หัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆ”
แล้วไอ้ธีร์ก็ไปลากไอ้เก้าที่เพิ่งจะจอดมอเตอร์ไซค์แบบสดๆร้อนๆมาดูแบบมึนงงพร้อมกัน...ถึงแม้ว่าก่อนได้ดูจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นจากซากถุงขนมปังที่วางไว้ให้เจ้าของมันดูต่างหน้าก็ตาม
ฮ่าๆ
แล้วก็ด้วยความที่ดูแบบไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก่อนพวกเขาจึงไม่ได้เอะใจเลยว่ามันไม่ใช่อนิเมะเกี่ยวกับวงดนตรีม.ปลายธรรมดาๆ
แต่เนื้อเรื่องมันกลับดราม่าด้วยความสัมพันธ์อันซับซ้อนของตัวเอกทั้งสี่ที่เป็นผู้ชายล้วนๆในวง...
ถึงจะเริ่มเอ๊ะๆบ้างตอนกลางๆเรื่องแต่ผู้ชายอย่างพวกเขาดูมันก็ยังอยู่ในโซนเพื่อนสนิทได้
....จนกระทั่ง...พระเอก? ดึงนายเอก? มา “จูบ” ที่หลังเวทีเข้าไปนั่นแหละ...
อ๊ากกก!! นี่มันการ์ตูนวายนี่!
“งื้อออออ~!!!!” เขาถึงกับยกหมอนขึ้นมาปิดหน้า บ้าจริง! เพิ่งเคยดูอนิเมะสายวายที่มีฉากจูบกันจะๆแบบนี้เป็นครั้งแรก โคตรเขิน!!
“ไอ้เชี่ยยยยย!!”
ไอ้ธีร์ถึงกับหันหน้าไปซุกพนักโซฟามือหงิกมืองอ
“.......” ส่วนไอ้ภาคนี่นอนอ้าปากค้างใบหน้าอึ้งแดกไปแล้ว
ฮ่าๆๆๆ
“สัส....”
ไอ้เก้ายกมือขึ้นมาปิดปากแต่เขาแอบเห็นว่ามันก็หน้าแดงอยู่นะ
น่าสงสัยแหะไอ้หมอนี่!
เคร้ง...
และ...ไอ้ไม้ที่ถึงกับทำกระเทียมร่วงกราวลงกะละมัง
นั่นแหละ
มันเป็นฉากที่อิมแพคมาก...ในหลายๆความหมาย จนพวกเขาเกิดปฏิกิริยาแบบนั้นได้เลยทีเดียว
เขายกขาขึ้นมาชันไว้บนโซฟา
ฉากจูบเมื่อกี้ยังฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว
แต่ภาพที่เขานึกถึงกลับเป็นตัวเองกับอาจารย์องศา...ถ้า...เราได้จูบกันจริงๆมันจะเขินขนาดไหนกันนะ...
“อ๊ากกกก!!” แค่คิดก็ทนไม่ไหวจนถึงขั้นต้องตะโกนออกไป
และเพื่อนเขาแต่ละคนก็มีปฏิกิริยาที่น่าสนใจมากทีเดียว
พวกมันก็ดูไม่ได้รังเกียจหรือรับไม่ได้
แต่กลับเขินไม่ต่างจากเขา?
ไอ้เก้าน่ะเขาไม่สงสัยหรอกเพราะมันคบกับน้องเจ้าจอมเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้ว...แต่อีกสามตัวที่เหลือนี่สิ...เห็นผู้ชายจูบกันมันก็โอเคเหรอ?
“เชี่ย
แต่เพลงอย่างโดนอ่ะ” ไอ้ธีร์พูดขึ้นมา
ใบหน้าของแต่ละคนยังมีรอยแดงน้อยๆอยู่บนแก้ม แต่เขาก็เห็นด้วยกับมันว่าเพลงที่วง
Given เล่นนั้นมันติดหูมากจริงๆ แถมเนื้อเพลงก็ยังเป็นอะไรที่โดนใจมากๆอีกต่างหากเพราะมันเป็นเพลงที่นายเอก?แต่งให้กับคนรักที่ตายจากกันไปทั้งที่ยังเข้าใจผิดจึงไม่อาจหลุดพ้นจากห้วงเวลานั้นได้จนกระทั่งมาเจอพระเอก
“มึง...เล่นเพลงนี้กันไหมวะ?
วันโฮม” แล้วจู่ๆไอ้เก้าก็พูดขึ้นมา
เพราะอีกหนึ่งหน้าที่ของกลุ่มวิชวล?ประจำปีสามอย่างพวกเขาซึ่งถูกไอ้พวกเพื่อนๆในชั้นปีมัดมือชกให้ทำก็คือการรับหน้าที่แสดงบนเวทีในงานวันโฮมของคณะนั่นเอง
น่าจะช่วงปีสองมั้ง?
ในคืนปาร์ตี้วันศุกร์ที่ชั้นปีเขาเป็นเจ้าภาพแต่บนเวทีกลับไม่มีใครขึ้นแสดงเลย
หัวหน้าชั้นปีเลยบีบบังคับให้กลุ่มตองเก้าของเขาขึ้นไปทำห่าอะไรก็ได้เพราะแค่ขึ้นไปร้องเพลงหรือเปิดแผ่นมั่วๆพี่ๆน้องๆก็คงจะยินดีแล้ว
แต่ด้วยความที่ไอ้ภาคมันเคยทำวงดนตรีมาก่อนมันก็เลยฟอร์มวงเฉพาะกิจขึ้นมา
โดยมีไอ้ภาคเป็นมือกีต้าร์
ไอ้เก้าตีกลอง ไอ้ไม้เป็นมือเบส ส่วนไอ้ธีร์ก็เป็นซัพกีต้าร์
และแน่นอนว่าคนที่สกิลการเล่นดนตรีเป็นศูนย์อย่างเขาก็ต้องรับหน้าที่ร้องนำไป...
บอกตามตรงนะว่ามันไม่ได้ง่าย
คนที่ตั้งแต่เกิดมาก็ร้องเป็นอยู่เพลงเดียวคือช้างๆๆ
น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า...แล้วอะไรต่อนะ? อ่า ขนาดเพลงนี้ก็ยังร้องส่งๆไปมาตลอด! แล้วไอ้คนอย่างงี้เนี่ยจะต้องถูกไอ้ภาคเคี่ยวกรำให้ร้องตามโน้ตที่มันแกะให้...มันไม่ง่าย...มันไม่ง่ายเลยยย
ไอ้คุณชายนั่นโหดร้ายมากถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับดนตรีเพราะเป็นสิ่งที่มันจริงจัง
มันแทบจะจับมือพวกเขาสอนให้เรียงตัวเลย
กว่าการแสดงครั้งแรกจะผ่านพ้นไปได้พวกเขาก็ถูกมันลากไปห้องซ้อมตั้งไม่รู้กี่รอบ
เขายังฝันเห็นเนื้อเพลงนั่นลอยมาหลอกหลอนอยู่เลย
แต่ผลก็คือ...กลายเป็นคลิปไวรัลที่ถูกแชร์กันไปทั่วมหาลัยซะงั้น!
จากนั้นไม่ว่าจะงานอะไรไอ้เพื่อนในชั้นปีมันก็โยนมาที่พวกเขาหมด!
“แล้วคนอื่นเค้าจะรู้เรื่องไหมเนี่ย?” ไอ้ธีร์เอนหลังพิงพนักโซฟาทั้งที่ยังทับขายาวของไอ้ภาคซึ่งนอนอยู่
มึงยังไม่ต้องไปห่วงว่าคนอื่นจะรู้เรื่องไหมหรอก
มึงควรห่วงนักร้องนำของมึงอย่างกูนี่ก่อน~
จะร้องได้ไหมภาษาญี่ปุ่นล้วนแบบนั้นน่ะ!
“มึงก็ขึ้นโปรเจกเตอร์เลยสิ
คำแปลอ่ะ เหมือนซับไตเติ้ลอ่ะแบบวื้บๆอ่ะ วื้บๆ กูว่าโดนตกทั้งงานแน่” ไอ้เก้าแชร์ไอเดียที่ปะติดปะต่ออย่างเร็วในหัว
และมันก็น่าจะออกมากระแทกใจอย่างที่มันว่ามาจริงๆด้วยดนตรีที่ติดหูมากๆแบบนั้น
“มึงว่าไงไอ้ภาค?” ใบหน้าแบดบอยหันไปถามคนที่นอนสไลด์มือถืออยู่บนโซฟา
“กูก็ชอบว่ะ
กีต้าร์แม่งอย่างเจ๋ง นี่ชื่อเพลง Fuyu no Hanashi” โอ้โห~
นึกว่ามันสไลด์หาอะไร ไอ้ห่านี่จริงจังกว่าไอ้พวกนั้นอี๊ก
ไอ้ภาคมันได้มาหมดแล้วทั้งชื่อเพลง เนื้อร้อง แถมโหลดลงไอจูนเรียบร้อย...
“มึงแกะได้ใช่ไหม?
เพราะมึงต้องเป็นคนแกะให้พวกกู” ไอ้เก้าถาม
“เออ” ไอ้ภาคตอบ
“ถ้ามึงว่าได้พวกกูก็ได้” พวกมันตกลงกันเองเสร็จสรรพ
เขาก็อยากแทรกอยู่หรอกนะว่า...มึงไม่คิดจะถามนักร้องนำอย่างกูซักคำเลยเหรอ~~
“พวกมึงห้าตัวนี่ยังรวมหัวทำอะไรกันอยู่อีกวะ?
ปิดเทอมแทนที่จะกลับบ้านกลับช่อง” แต่เสียงของกลุ่มเพื่อนถาปัดไทยสามสี่คนที่เดินเข้ามาก็ทักขึ้นเสียก่อน
พวกมันคงมาตัดโมวัดอรุณกันต่อ
“ก็นี่บ้านพวกกู
จะให้กูไปไหนล่ะไอ้สัส” ไอ้เก้าเลยกวนตีนกลับไป
“มึงอยู่ด้วยกันตลอดงี้ไม่เหม็นเบื่อกันบ้างรึไงเนี่ย” มึงจะทักจะทายอะไรกันก็ทักไปสิ
แล้วจะเอามือมาขยี้หัวกูทำไมเนี่ย~ มือบางปัดมือเพื่อนออกอย่างรำคาญ
“ทำไมหัวมึงมีถั่วงอกด้วยวะไอ้พาย?
ฮ่าๆๆ” มึงไปถามไอ้ไม้เซ่ อย่ามาถามกู~
“กูเหม็นเบื่อพวกมึงมากกว่า
ไอ้ห่า ปิดเทอมยังจะตามมาทำบ้านกูรกอีก”
ไอ้ธีร์บ่นพลางลุกจากโซฟา
“พระปรางค์วัดอรุณเลยนะมึง
เป็นเกียรติเป็นศรีกับบ้านมึงจะตาย”
พวกมันยักไหล่ก่อนจะเดินเลยไปยังโถงตรงกลางบ้านซึ่งมีพระปรางค์ทรงฝักข้าวโพดตั้งอยู่
“มึงอย่าเอาเรื่องมูๆมาพูดกับกู
แค่แม่กูคนเดียวนี่ก็อย่างเพลียแระ เฮ้อ...”
ไอ้ธีร์ถอนหายใจและมันก็ทำเอาเขาถึงกับฮาครืน ก็มัมหมีของไอ้ธีร์นี่เป็นตำนานพอๆกับพ่อเขาเลย
“แม่มึงทำอะไรอีกเนี่ย?
ฮ่าๆๆ มีแต่แม่มึงจริงๆนะที่ทำให้มึงสลดจนเงียบปากได้แบบนี้น่ะไอ้ธีร์” ไอ้เก้าแซว
“มึง
มึงว่ามันใช่ไหมวะ?
คนเรามันจะได้ดีในหน้าที่การงานเพราะซื้อรูปปั้นสิงโตมาตั้งหน้าบ้านเนี่ยนะ?
ไอ้เชี่ยซินแสแม่งงงงงจะทำให้กูไม่มีทางเดินเข้าบ้านอยู่แล้ว! เมื่อวานแม่กูเพิ่งซื้อสิงโตขนาดเท่าตึกสามชั้นมาตัวนึง
กูอยู่ปากซอยยังมองเห็นอ่ะไอ้สัส ไม่พอ
ไอ้เชี่ยซินแสยังบอกว่ามันต้องมีคู่ด้วยนะครับ อยู่ตัวเดียวไม่ได้อี๊ก โอ้โห~~” ไอ้ธีร์โวยลั่นแต่เขากลับหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
“อุ๊บ
ฮ่าๆๆๆๆ มึงทะเลาะกับอาจารย์หยกอีกแล้วเหรอวะ ฮ่าๆๆ” ไอ้เก้าแซวต่อเพราะรู้จักคู่กรณีที่ไอ้ธีร์มักจะเอามาบ่นให้ฟังเป็นอย่างดี
“เออ! ก็มีอยู่คนเดียวแหละ
แม่งเอ้ยยย ซักวันกูจะจับมันฝังไปพร้อมกับเสาเง็กเซียนอะไรของแม่งอ่ะคอยดู
มึงรู้มะ แม่กูถึงขั้นรื้อส้วมทุกอันในบ้านให้หันไปตามทิศที่มันบอก เชี่ยยยย
กูกลับบ้านละไม่มีที่ขี้กูถึงต้องกลับมาที่นี่ไง”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
ไอ้เวร มึงนี่มันสุดกันทั้งบ้านจริงๆ” เขาหัวเราะจนปวดท้องไปหมด
“มึงอย่ามากล่าวหาคุณพ่อผู้ผดุงความยุติธรรมกับคุณพี่ๆผู้เปี่ยมศรัทธาของกู
มีแค่ไอ้ห่านี่กับคุณแม่แหละที่เป็นแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ” ไอ้ภาคพยายามแก้ต่างให้
“มึงเป็นครอบครัวผู้พิพากษาแน่เหรอวะ
ฮ่าๆๆๆ” ไอ้ไม้พูด
ถึงจะดูไม่ค่อยเหมือนแต่ก็เป็นความจริงที่ทั้งพ่อและพี่ๆของไอ้ธีร์ต่างก็เป็นผู้พิพากษาและอัยการที่มีตำแหน่งไม่ธรรมดาทั้งนั้น
“เฮ้อ...พูดละกูก็เพลีย
กูไปขี้ก่อนนะ” ก็ดูมันทำตัว
“มึงนี่สงสัยจะได้กับซินแสแน่เลยว่ะ
ฮ่าๆๆๆ” ไอ้เก้าตะโกนไล่หลังมันไป
“สัส!
มึงอย่ามาแช่งกู!”
ไอ้ธีร์เลยตะโกนด่าสวนกลับมา
ฮ้า~
เขาหัวเราะเสียจนเหนื่อย อยู่กับไอ้พวกบ้านี่แล้วสนุกจริงๆ ร่างโปร่งบางเดินกลับเข้าห้องของตัวเองก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้นวม
มันก็น่าแปลกใช่ไหมล่ะที่พ่อเขาไม่เคยโทรตามให้กลับบ้านแต่กลับปล่อยให้เขาอยู่กับเพื่อนมากกว่า
ทั้งๆที่ตอนประถมจนถึงมัธยมปลายมันไม่ใช่แบบนี้ เขาจะมีคนขับรถคอยรับคอยส่งถึงประตูโรงเรียนทุกวัน
ต่อให้ต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเพื่อฝ่ารถติดพ่อก็ไม่เคยอนุญาติให้เขาไปค้างที่ไหน
กลับบ้านผิดเวลาแค่นาทีเดียวก็โทรจิกแล้ว เพราะงั้นช่วงขึ้นปีสองตอนที่บอกพ่อว่าจะขออยู่หอกับเพื่อนแล้วพ่อโอเค
เขานี่ถึงขั้นช็อคเลยอ่ะ
แต่ตอนนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงยอมปล่อยให้เขาอยู่กับเพื่อน
เพราะพ่อคงจะเคยผ่านมันมาและรู้ว่ามันคือประสบการณ์อันมีค่าซึ่งจะหาได้จากช่วงวัยนี้เพียงเท่านั้น
“บ้าเอ้ย
ถั่วงอกรึไข่เหาวะ? ทำไมสางเท่าไหร่ก็ไม่หมดเนี่ย!” อื้ม
ประสบการณ์ที่จะได้มีถั่วงอกงอกออกมาจากหัวก็หาได้แค่ในช่วงวัยนี้นี่แหละ! เสียงนุ่มบ่นพลางส่องกระจกเพื่อหยิบถั่วงอกออกไป
“......” เงียบแหะ...
พออยู่คนเดียวแล้วก็คิดถึงอาจารย์องศาขึ้นมาเลย
...ที่บาหลีจะเป็นยังไงบ้างนะ?
อาจารย์เล่าให้ฟังว่ามีเครือโรงแรมระดับไฮเอนด์มาจ้างออฟฟิศของอาจารย์ออกแบบรีสอร์ท
อาจารย์เลยต้องบินไปดูสถานที่ก่อนว่าควรจะออกแบบยังไงดีเพราะบาหลีเต็มไปด้วยป่าและภูเขาสลับซับซ้อน
“เฮ้อ~” ป่านนี้อาจารย์จะทำอะไรอยู่นะ?
ถ้าเขาโทรไปจะรบกวนหรือเปล่า? อาจารย์อาจจะทำงานยุ่งๆอยู่ก็ได้...
มือบางหยิบๆวางๆโทรศัพท์อย่างคิดไม่ตก
นี่ขนาดอาจารย์ไปแค่วันเดียวเขายังว้าวุ่นใจขนาดนี้
ถ้าต้องห่างกันนานๆเขาคงสติแตกแน่ๆ
แล้วอาจารย์...จะเป็นเหมือนเขาไหมนะ...จะคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า?
ดวงตากลมใสเหลือบมองนาฬิกาอย่างรอเวลา
ห้าโมงเย็นสักทีเถอะ
ถึงจะรู้ว่าระดับเจ้าของออฟฟิศอย่างอาจารย์องศานั้นไม่มีเวลาเลิกงานอย่างใครเขา
แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเวลาที่คนอื่นๆจะเลิกงานและอาจารย์ก็อาจจะว่างแล้วก็ได้
พอเข็มนาฬิกาชี้เลขห้าเขาก็หยิบโทรศัพท์มากดโทรออกทันที
ตรู๊ด.....
– ติ๊ด -
“?” มือบางดึงโทรศัพท์ออกมามองเพราะนึกว่าหูฝาดไปเอง
แต่ไม่นี่ มันยังดังไม่ถึงหนึ่งทีเลยด้วยซ้ำปลายสายก็ตัดไปทันทีเลย
หรือว่า...อาจารย์องศาจงใจตัดสายเขาทิ้ง?
งานกำลังยุ่งเหรอ?
หรือว่ากำลังประชุม?
หรืออาจจะคุยธุระสำคัญอยู่?....จะอะไรก็ไม่รู้แหละแต่ตอนนี้เขาใจแป้วมากๆเลย...
ความรักทำให้คนอ่อนไหวง่ายเห็นจะเป็นเรื่องจริง...ทั้งที่เมื่อก่อนพ่อก็เคยตัดสายเวลาเขาโทรไปกวนตอนทำงานบ่อยๆแต่กลับไม่เคยเจ็บแปลบแบบนี้เลย
ถ้าเป็นปกติเขาต้องนั่งด่าคนที่มันบังอาจตัดสายเขาแบบนี้ไปแล้วแต่นี่กลับมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก
หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างเป็นกังวล
เขาอาจจะไปกวนเวลาทำงานของอาจารย์เข้า ทำไงดี เขาไม่ได้ตั้งใจ
ตรู๊ดดด...
เฮือก?!
ไหล่บางสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆโทรศัพท์ก็สั่นและเสียงโทรไลน์ดังขึ้นมา
เขาเหลือบมองหน้าจอ...อาจารย์องศาโทรกลับมา...
ไม่สิ
ไม่ใช่การโทร แต่เป็นวีดีโอคอลต่างหาก?
อาจารย์คงจะไม่ได้โกรธจนจะวีดีโอคอลมาต่อว่าเขาหรอกใช่ไหมที่ไปรบกวนเวลางานของอาจารย์
“ครับ...” เขากดรับก่อนจะมองเข้าไปในจอด้วยน้ำตาคลอ
“ผม...อยากเห็นหน้าคุณน่ะ
แค่เสียงมันไม่พอ” อาจารย์องศายิ้มบางๆให้
ทำเอาเขาเม้มปากแน่น
“พายุ?
คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
ใบหน้าราวกับรูปสลักถามกลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกือบจะสร้างแผลใจให้เขาแล้ว
เสียงใสจึงโวยใส่ทันที
“อาจารย์อย่าตัดสายผมสิครับ!
รับก่อนก็ได้แล้วค่อยวาง! อาจารย์ทำแบบเมื่อกี้ผมใจเสียหมดเลยนึกว่าไม่อยากคุยกับผมหรือผมไปรบกวนเวลาทำงานของอาจารย์เข้า
เกือบร้องไห้แล้วเนี่ย ฮือออ”
ใบหน้ามนเบะปากน้ำตาปริ่มจนคนที่อยู่อีกฝั่งถึงกับตกอกตกใจทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
“เปล่า
ผมไม่ได้ไม่อยากคุยกับคุณ ก็แค่อยากวีดีโอคอลแทน คุณอย่าร้องไห้สิ ผมขอโทษ
ผมไม่รู้ว่าคุณจะคิดมาก พายุ ผมขอโทษจริงๆ”
อาจารย์องศาแทบจะยื่นมือเข้ามาในหน้าจอเพื่อพยายามเช็ดน้ำตาให้เขา
เสียงทุ้มเอ่ยขอโทษเขาอย่างร้อนลน
“แง~
ผมไม่ได้อยากจะทำตัวงี่เง่าแบบนี้กับอาจารย์เลยนะ ผมอยากจะเป็นคนเท่ห์ๆคูลๆในสายตาอาจารย์
แต่ผมก็ทนไม่ไหว ผมขอโทษ~”
คราวนี้เขาเผลองอแงราวกับผู้หญิงที่อารมณ์แปรปรวนจนคนที่ไม่รู้จะรับมือกับเขายังไงในตอนแรกหลุดหัวเราะเบาๆ
“ผมรอคุณโทรมาอยู่นะ
พอเห็น...มือมันเลยกดไวไปหน่อย”
อาจารย์พูดออกมาและมันก็ทำให้น้ำหูน้ำตาของเขาหยุดไหลทันที
“อาจารย์รอผมโทรไปอยู่เหรอครับ...”
“ครับ
ผมไม่รู้ว่าวันนี้คุณทำอะไรอยู่ ก็เลยรอจนกว่าคุณจะว่างโทรมาเอง” พอได้ยินแบบนั้นจากใจแฟ่บๆก็พองฟูขึ้นมาเฉย
“อ่า...ผมอยากโทรหาอาจารย์ทั้งวันเลย
อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้าด้วย
แต่ผมเองก็กลัวว่าอาจารย์กำลังทำงานอยู่เหมือนกัน เลยไม่กล้าโทรไป” อาจารย์ยิ้มละมุนส่งกลับมาให้
แบบนี้ก็เท่ากับว่า เราต่างก็คิดถึงกันมากใช่ไหม?
“อาจารย์...”
“ครับ?”
“ไม่เป็นไรแล้วละ
ต่อให้คราวหน้าอาจารย์จะติดธุระก็ตัดสายผมได้เลยนะครับ ผมไม่คิดมากแล้ว!”
จู่ๆเขาก็กลับไปยิ้มแฉ่งจนแม้แต่ตัวเองก็ยังงง ทว่าอาจารย์องศากลับหัวเราะคิกๆด้วยสายตาเอ็นดู
“พายุ”
“ครับ?”
“นานๆที
คุณจะงอแงกับผมบ้างผมก็ไม่ว่าอะไรคุณหรอก คุณมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นกับผมได้ครับ” ...มีสิทธิ์?
“.......” เขาถึงกับหน้าแดง
ก็มีสิทธิ์นี่มัน...
“ละ
แล้วนี่อาจารย์ทำอะไรอยู่เหรอครับ?” เสียงใสพยายามเปลี่ยนเรื่อง
เขามองไปยังเบื้องหลัง เหมือนอาจารย์องศาจะอยู่ในห้องพักของวิลล่าหรูๆสักที่ของบาหลี
การตกแต่งด้วยสไตล์ Tropical
Traditional ทำให้ทั้งห้องดูมีมนต์ขลังมากๆ ทุกอย่างเป็นไม้หมด
แม้แต่ฝ้าเพดานก็ยังโชว์โครงสร้างอย่างสวยงามซึ่งทั้งการออกแบบและการก่อสร้างต้องพิถีพิถันกว่าปกติมาก
“ผมเพิ่งดูไซต์เสร็จก็เลยกลับเข้าโรงแรมมาเปลี่ยนเสื้อผ้าครับ
คืนนี้เจ้าของโครงการจะพาทีมงานของผมออกไปทานอาหารเย็นด้วยกัน” อาจารย์องศาแกะกระดุมข้อมือตามมาด้วยกระดุมคอเสื้อ
ดูท่าทางจะร้อนชื้นแหะที่นั่น
“คุณมองหาอะไรรึเปล่า?” เสียงทุ้มถามกลับมาเมื่อสังเกตเห็นว่าเขากำลังสอดส่ายสายตามองหาอะไรบางอย่างในห้องของอาจารย์องศา
“แล้วลูกทีมอาจารย์ล่ะครับ?
ไม่ได้พักกับอาจารย์เหรอครับ?” ตอนไปส่งอาจารย์องศาที่สนามบินเขาเห็นว่ามีสถาปนิกในออฟฟิศไปด้วยอีกสองคนนี่?
“เปล่าครับ...คือว่า...สองคนนั้นเป็นแฟนกัน...คงไม่เหมาะนักถ้าผมจะไปพักกับเขา”
“.....” ใบหน้ามนตาโต
เพราะลูกน้องที่ไปกับอาจารย์...เป็นผู้ชายทั้งคู่...
แต่พอรู้ว่าไม่มีใครพักกับอาจารย์
ไม่มีใครได้อยู่ใกล้ๆอาจารย์ เขาก็เผลอยิ้มกริ่ม ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงานแต่มันก็แอบหวงนี่นา
“คุณนี่ก็เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะ
หลอกถามผมใช่ไหมเนี่ย?” อาจารย์องศายิ้มอย่างรู้ทันว่าเขามันเป็นเด็กหวงของ
“คิก~ แล้วไปดูไซต์เป็นไงบ้างครับ?
ผมไม่เคยไปบาหลีเลย สวยไหมครับ?”
“แป๊บนึงนะ
เดี๋ยวผมพาคุณไปดู” อาจารย์ยกโทรศัพท์ขึ้นก่อนจะเดินออกไป...ผ่านสระว่ายน้ำส่วนตัว...ผ่านซุ้มศาลาที่เอาไว้นั่งเล่น...แล้วอาจารย์ก็แพลนกล้องให้เขาเห็น...
“ว้าว~
สวยมาก~ สวยสุดๆเลยครับ!” เขามองต้นไม้สูงเสียดฟ้าซึ่งล้อมอยู่รอบๆ
มองไหล่เขาที่ลดหลั่นกันลงไป มองป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ มองทิวทัศน์และธรรมชาติอันงดงามตระการตา
มันสวยจนเหมือนกับถูกสะกดเลยทีเดียว
“นอกจากป่าเขาที่สวยงามขนาดนี้แล้ว
ที่นี่ยังเต็มไปด้วยมนต์ขลังของศาสนสถานแบบโบราณของอินโดนีเซียด้วยนะครับ
ไม่ว่าคุณจะเดินไปทางไหนก็จะเจอวิหารกับเทวรูปอยู่เต็มไปหมด” เสียงทุ้มเล่าให้ฟัง เขานึกออกเลยเพราะศาสนสถานของบาหลีค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์และเลื่องชื่อทีเดียว
“พวกรีสอร์ท
วิลล่า หรือโรงแรมที่นี่แต่ละที่ก็สวยมากๆด้วยครับ
เป็นกรณีศึกษาด้านการออกแบบที่น่าสนใจมากๆ”
“เอาไว้...คุณทำโปรเจคโรงแรมเมื่อไหร่...ผมจะพาคุณมาดูก็แล้วกัน” ...พาไปดู...โรงแรม?....
“....สัญญาแล้วนะครับ...” โอยยยย เขินหน้าแดงไปหมดแล้วเนี่ย! ก็พาไปดูโรงแรมนี่มันต่างจากการพาไปดูโรงบาลบ้าหรือโรงเรียนอนุบาลลิบลับเลยน่ะสิ!
“ไอ้พาย!
แดกข้าวได้แล้ว!”
แล้วเสียงที่ขัดมูดหวานๆก็ดังปาวๆอยู่หน้าห้องจนเขาอายแทน
ใบหน้ามนจึงหันไปตะโกนตอบก่อนที่พวกมันจะเดินขึ้นมาตาม
“มึงแดกไปกันก่อนเลย
กูคุยกับ เอ่อ...พ่อกูอยู่!”
“พ่อ?” เสียงเรียบๆเอ่ยออกมาจากใบหน้านิ่งๆในจอ
“โทษทีครับ
พอดีมันมีไอ้พวกถาปัดไทยมาตัดโมวัดอรุณกันอยู่...” ขืนบอกว่าคุยกับอาจารย์องศา
พรุ่งนี้คงกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่ๆ
“ฮึ...ไม่เป็นไรครับ” อาจารย์หัวเราะเบาๆ
“อาจารย์ไม่เคยได้ยินเหรอครับ
เพลง ‘พายรักพ่อ’ ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้?”
“ไม่ใช่ฟ้ารักพ่อเหรอครับ?”
“อ้าวเหรอ?
สงสัยผมจะจำผิด คิก~” ใบหน้ามนหัวเราะชอบใจที่ได้เหย่จนอาจารย์องศามีท่าทางเขินๆ
“ข้างหลังนั่น...คือลูกชายที่คุณบอกน่ะเหรอ?” คราวนี้เป็นฝ่ายอาจารย์องศาบ้างที่มองภายในห้องของเขาและดอลล์ขนาด
1:3 ผู้หล่อเหลาตัวหนึ่งก็นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา
“อ๊ะ!
มา ผมจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือลูซิเฟอร์ ลูกชายคนแรกของผมครับ~ คนนี้ผมหอบหนีมาได้ก่อนที่พ่อจะจับตัวเอาไว้
ส่วนคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันชื่อราฟาเอล จริงสิ
ผมเปิดรูปราฟาเอลให้อาจารย์ดูดีกว่า อ่ะ ว่าแต่อาจารย์ต้องออกไปทานข้าวเย็นกี่โมงครับ?
อาบน้ำรึยังครับ? ไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะ”
ถึงจะบอกอาจารย์องศาไปแบบนั้นแต่พวกเราก็คุยกันต่อไปอีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะได้วางสาย
และไม่ว่าเขาจะแนะนำลูกสาวหรือลูกชายไปอีกกี่คน พาไปดูชิ้นส่วนตุ๊กตา
พาไปดูรอบๆห้องที่รกอย่างกับป่าช้า
อาจารย์องศาก็ดูไม่ได้เบื่อหน่ายกับมันเลย
ถ้าอาจารย์ไม่ต้องออกไปทานข้าวกับลูกค้า...เราจะคุยกันทั้งคืนเลยไหมนะ?
ร่างโปร่งบางเดินลูบท้องลงมายังห้องครัวชั้นล่างและทันทีที่ไอ้เก้าเห็นหน้าเขามันก็แซวทันที
“คุยกับ
พ่อ~ นานเลยนะมึงอ่ะ~~”
“เออ
ก็กูมี พ่อ~ อยู่คนเดียวนี่ มีไรกินมั่งวะ? หิวจะตายแระ” มือบางเปิดฝาหม้อดู
“ผัดถั่วงอกที่งอกออกมาจากหัวมึงไง
ฮ่าๆๆ”
“เดี๋ยวกูถีบ”
“แต่ไอ้ไม้มันทำยังไงให้ผัดถั่วงอกกลายเป็นอาหารชาววังแบบนี้ได้วะกูงงมาก
อร่อยชิบหาย มึงลองแดกดูดิ” มือบางใช้ส้อมจิ้มถั่วงอกมาชิม ก่อนจะถึงกับสตั๊นไปห้าวิ ใบหน้ามนก้มลงมามองถั่วงอกในหม้อที่ราวกับจะมีรัศมีเปล่งออกมา
“?
??? ทำไมผัดถั่วงอกกูอร่อยงี้อ่ะ? มึงว่ามันควรจะไปเรียนเป็นเชฟมากกว่ามาเรียนถาปัดไหมวะ?” นี่มันผัดถั่วงอกแน่เหรอ
อร่อยสุดๆ!
“มึงก็แค่ใส่หัวใจเข้าไปตอนที่มึงทำ” ไอ้ไม้พูดด้วยเสียงชิวๆในขณะที่ถือจานเดินเข้าห้องครัวมา
ใบหน้าราวกับเอลฟ์ของมันทำให้เขานึกอยากจะก่อกวนตะหงิดๆ
“นี่มึงใส่หัวใจของมึงลงไปด้วยเหรอเนี่ย~
มึงไม่เจ็บเหรอ~ แล้วมึงยังยืนอยู่ได้ไง? ทำไมมึงไม่ตาย? อ๋อ~ มึงมีหัวใจหลายดวงสินะ ไอ้คนหลายใจ~”
“.......” เวลาไอ้ไม้มันตอบโต้เขาไม่ทันนี่มันฮาชิบหาย
เขาเดินไปตักข้าวใส่จานอย่างสบายใจแล้ววันนี้
“มึงเข้าใจกูแล้วใช่มะ
บางครั้งกูก็อยากบี้มันให้ตายคามือจริงๆ ไอ้เด็กจากนรกนั่น” ไอ้เก้าหันไปพูดกับไอ้ไม้ก่อนจะพยักหน้าให้กัน
ฮาเดสไม่ใช่ฉายาที่ได้รับมาเพราะรูปลักษณ์เท่านั้นแต่มันเป็นเพราะความแสบแบบหน้าตายของเขาด้วยนั่นแหละ
เขาตักผัดถั่วงอกราดมาบนข้าวก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนห้องนั่งเล่น
ดวงตากลมใสมองเห็นผ้าพันคอลายทีมชาติไทยเอย อุปกรณ์การเชียร์เอย ก็เข้าใจได้ทันที
ไอ้สี่ตัวนี้เตรียมจะดูบอลกันสินะ?
ร่างโปร่งบางจึงจงใจนั่งมันกลางโซฟาทั้งที่ไม่ใช่คอบอลอะไร
ก็แค่อยากจะกวนพวกมันเล่นเท่านั้นแหละ!
แต่ตอนนี้บอลยังไม่เตะมั้ง
เขาจึงเห็นแค่ไอ้ภาคเดินไปเดินมาอยู่แถวนี้คนเดียว?
ดวงตาสีดำมองทีวีที่ถูกเปิดทิ้งไว้ไปพลางกินข้าวไปพลาง
ข่าวBreaking
news ต้นชั่วโมงเด้งขึ้นมาซึ่งเขาก็ดูมันผ่านตาไปงั้น
อะไรเนี่ย?
วัยรุ่นตีกันในผับอีกแล้ว? มีคนตายด้วย?
ตรู๊ด...ตรู๊ด...ตรู๊ด....
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นแทรกทำให้ใบหน้ามนหันไปมอง
ของใครดังวะ?
“ไอ้ภาค!
โทสับมึงอ่ะ!”
เขาตะโกนเรียกไอ้คนที่เดินอยู่หน้าห้อง ร่างสูงใหญ่จึงโผล่หน้ามารับโทรศัพท์ไป
“แต๊ง ...ครับ?”
มันยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงนั้นโดยไม่คิดจะปิดเป็นความลับอะไรกับเขา
เท่าที่เห็นหน้าจอเมื่อกี้ดูเหมือนจะเป็นสายที่ไม่รู้จัก?
“จากไหนนะครับ?
สน.ทองหล่อ?”
แล้วเสียงของไอ้ภาคก็ทำให้เขาต้องเงี่ยหูฟัง ตำรวจ? โทรมาทำไมเนี่ย?
“พาย
นั่นข่าวผับที่เอกมัยใช่ไหม?” มือใหญ่หยิบรีโมททีวีมาเร่งเสียงให้ดังขึ้น
ใบหน้าหล่อเหลามีแววตื่นตระหนกเล็กน้อยหลังจากเพิ่งวางโทรศัพท์ไป
สิ่งที่เพิ่งได้ยินมานั้นไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
“หื๋อ?
น่าจะใช่นะ?” ใบหน้ามนตอบงงๆ
“น้องกูอยู่ในผับนั่นด้วย...ตำรวจ...โทรมาให้กูไปประกันตัวว่ะ...” ร่างสูงใหญ่ยืนมองภาพข่าวนั่นด้วยสีหน้าชาๆ
ถึงจะต่อต้านพ่อมาตลอดแต่เขาก็ไม่เคยหาเรื่องให้ตัวเองต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแบบนี้
ในหัวจึงแบล็งก์ไปหมด
ตำรวจ...เป็นคนโทรมาแจ้งข้อหากับเขาก่อน
จากนั้นจึงส่งให้ภูมิคุยกับเขา เสียงที่ลอดโทรศัพท์มานั้นดังจนแทบไม่ได้ยินเสียงน้องชาย
เขาจึงรู้แค่ว่าภูมิไปผับนั่นกับเพื่อน
จากนั้นเพื่อนก็เมาเลยไปตีกับแขกคนอื่นๆในร้าน
ไม่นานก็เกิดการยกพวกตีกันจนวุ่นวายไปหมด ตำรวจเลยควบคุมตัวทุกคนไปโรงพัก เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผับปล่อยน้องเขาเข้าไปได้ไง
อายุยังไม่ถึงเลยนะ?
แล้วเรื่องนี้จะบอกพ่อหรือคุณย่าที่กำลังป่วยอยู่ก็ไม่ได้
น้องชายจึงเหลือเพียงเขาที่พอจะเป็นผู้ปกครองไปประกันตัวให้ได้
ก็เลยให้ตำรวจติดต่อมา...
“ห๊ะ?
เอ๊ะ? น้องมึงไม่ได้อยู่เมืองนอกเหรอวะ? คนไหนวะเนี่ย?” พายถามอย่างตกใจ เขาต้องพยายามตั้งสติ
ต้องพยายามสงบจิตสงบใจ เพราะยังไงเขาก็เป็นพี่ชาย
“มันหนีพ่อมา...น่าจะ...คนที่ใส่เสื้อขาวตรงมุมนั่น...” ดวงตาราวกับพญาอินทรีเพ่งมองภาพจากกล้องวงจรปิดในข่าว
มัน...เห็นไม่ค่อยชัดนักเพราะค่อนข้างมืด แต่เขาก็พอจะแยกแยะเค้าโครงของน้องชายออก
“วงที่ตะลุมบอนกันมันคือไอ้พวกนี้
ส่วนน้องมึงนั่น...เหมือนจะแค่ติดร่างแหไปด้วยเฉยๆเปล่าวะ?” พายชี้นิ้วไปบนทีวี
“เออ
เห็นมันบอกว่าไปกับเพื่อน
แล้วเพื่อนเมาจนไปตีกับคนในร้าน...มันเลยโดนตำรวจจับไปกับเพื่อนด้วย” เขาต้องปะติดปะต่อเรื่องราวให้ได้ก่อนถึงจะช่วยน้องออกมาได้...เฮ้อ...ทั้งๆที่บอกเอาไว้แท้ๆว่าอย่าไปมีเรื่อง...ถ้าคิดจะต่อต้านพ่อก็ต้องทำให้พ่อไม่สามารถจะหาเรื่องมาตำหนิในเส้นทางที่เราเลือกได้สิ
“ตำรวจตามให้มึงไปรับใช่ไหม?
งั้นก็ไม่น่ามีความผิดอะไรมากมั้ง? กูก็ไม่ค่อยรู้ ไอ้ห่าธีร์อยู่ไหนอ่ะ?
เรื่องพวกนี้มันน่าจะรู้ดี ไม่ก็ไอ้เก้า!
มันทัวร์โรงพักบ่อยนี่ตอนม.ปลาย ไอ้เก้า~!!” พายตะโกนเรียกดังลั่น
ถ้าพูดถึงคนที่มีเรื่องตีรันฟันแทงมาอย่างโชกโชนในกลุ่มของพวกเขาก็คงจะหนีไม่พ้นร่างสูงยาวที่โผล่หน้าขึ้นมาจากชั้นล่าง
“อะไรครับ?
เรียกพี่เก้าทำไม?”
“น้องไอ้ภาคถูกตำรวจจับเพราะไปตีกับเค้าในผับ
ไม่สิ น้องมันแค่โดนเพื่อนลากไปไม่ได้ตีกะใคร”
“มึงก็ไปเสียค่าปรับแล้วรับตัวน้องมึงมาแค่นั้นแหละ” ไอ้เก้าวางกระป๋องโก๋แก่ลงบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาด้วยใบหน้าราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
จนกระทั่งข่าวในทีวีแว่วเข้าไปในหู
“ห๊ะ?
มีคนตายด้วยเหรอวะ?”
ใบหน้าแบดบอยหันมามองอย่างอึ้งๆ
“เออดิ
แต่ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับน้องไอ้ภาคนะ?”
“ถึงจะไม่เกี่ยวแต่แบบนี้แม่งเป็นข่าวใหญ่เลยนะเว้ย
ถ้าแค่ตีกันเฉยๆพอสร่างเมาก็แยกย้ายกันกลับบ้านได้
แต่ถ้ามีคนตายขึ้นมานี่นอกจากเป็นคดีแล้วนักข่าวยังแทบจะล้อมโรงพักอีก
ที่ไหนวะเนี่ย?”
“สน.ทองหล่อ” ใบหน้าภายใต้กรอบผมเดธร็อคนิ่งคิด...แบบนี้แย่แน่
ถ้านักข่าวรู้ว่าภูมิเป็นลูกใครต้องตีข่าวใหญ่กว่าเดิมแน่ๆ จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือไม่ก็ไม่รู้แหละแต่ข่าวลูกชายตระกูลไฮโซที่มีส่วนพัวพันนั้นขายได้มากกว่าแน่นอน
“พวกมึงหน้าตื่นอะไรกันวะ?”
แล้วไอ้คนที่เดินเช็ดหัวเปียกโชกเข้ามาก็กลายเป็นทางสว่างสำหรับเขา
“ไอ้ธีร์
มึงช่วยกูหน่อย ทำยังไงกูถึงจะเอาน้องกูออกมาเงียบๆได้?” แล้วเสียงทุ้มก็เล่าให้เพื่อนสนิทฟังอย่างร้อนใจ
พอมันได้ฟังสีหน้าก็จริงจังขึ้นมาทันที
ธีร์กดโทรศัพท์หาพี่สาวซึ่งเป็นอัยการเพื่อหาทางช่วย
และพอมันวางสายเสียงสดใสก็เอ่ยบอกกับเขา
“พี่กูบอกให้มึงรีบไป
เข้าทางประตูหลังนะ พี่กูรู้จักกับตำรวจที่นั่น เดี๋ยวจะโทรฝากให้ตำรวจคอยกันนักข่าวตอนมึงออกจากโรงพักให้
ให้มึงไปคนเดียวห้ามพวกกูตามไป ยิ่งคนเยอะยิ่งสะดุดตา
แล้วไอ้ห่าพวกนี้ก็อย่างเด่นอ่ะ เออ กูก็ด้วยแหละ”
“เข้าใจแล้ว
ขอบใจว่ะ” ตอนนี้เขาคิดไม่ออกแล้วว่าต้องทำยังไง
นอกจากสติที่ยังดีอยู่เรื่องอื่นเขาก็ทำได้แค่ทำตามที่เพื่อนๆแนะนำเท่านั้น
“มึงเอาชุดไปให้น้องมึงเปลี่ยนด้วย
เอาสีที่ต่างจากตัวที่น้องมึงใส่เยอะๆเลย”
เก้าบอกอย่างผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ตรงมากกว่าใคร
“ดีนะมึงที่ในกล้องวงจรปิดนี่มันแทบไม่ติดน้องมึงอ่ะ” พายยังนั่งดูข่าวอยู่
“มึงว่า...จะยังมีมุมอื่นอยู่อีกไหมวะ...” ....พวกเขาต่างมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย
ถ้ายังมีมุมอื่นอีกแล้วนักข่าวไปเจอนี่อาจจะงานเข้าได้เลยนะ
“ยังไงมึงก็ไปรับน้องมึงออกมาก่อนเถอะ
เดี๋ยวเรื่องข่าวนี่กูลองถามพ่อกูดูว่าพอจะช่วยอะไรได้ไหม
มึงก็รู้ว่าเรื่องจัดการข่าวพวกนี้ไม่มีใครทำได้ดีไปกว่าทีมพีอาร์ของพ่อกูอีกแล้ว
มึงไปเหอะ”
เก้าบอกพร้อมกับตบไหล่เขาเบาๆ
“ขอบใจว่ะ”
“มึงนั่งแท็กซี่ไปนะ
อย่าเอารถที่บ้านไป”
เก้ายังตะโกนไล่หลังอย่างห่วงใย
ห้ามทิ้งร่องรอยที่จะโยงมาถึงตัวตนของเราได้อย่างงั้นสินะ?
“เออ”
แท็กซี่สีเขียว-เหลืองจอดลงยังตรอกด้านหลังสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ
ขายาวก้าวลงจากรถก่อนจะมายืนมองอาคารสีทึมๆที่มีความเฉพาะตัวบางอย่างแฝงอยู่
ถึงภายนอกน่านฟ้า ปัทมวารินทร์จะยังดูนิ่งมาก
ทว่าในใจกลับกำลังหวั่นวิตกทีเดียว
เขา...ไม่เคยมาโรงพักคนเดียวแบบนี้มาก่อน
ไม่สิ ต่อให้มากับคนอื่นก็ไม่เคย
ร่างสูงใหญ่ตัดสินใจเดินเข้าไปทางประตูหลัง
ยิ่งปล่อยเวลาไว้ก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ขายาวก้าวย่างเข้าไปด้วยหัวใจเต้นระรัว
ต่อให้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่แค่ไหนแต่ก็อย่าลืมว่าเขาเป็นแค่เด็กปีสามเท่านั้นเอง
“พี่...ผม...” ภูมิเงยมองเขาด้วยสีหน้าราวกับหมาที่ถูกทิ้งแล้วเพิ่งจะเจอเจ้าของคนใหม่
ถึงจะรำคาญใจที่อีกฝ่ายไม่เชื่อฟังเขาเลยถึงได้ก่อเรื่องขึ้นขนาดนี้
แต่พอได้เห็นแววตาอันไร้ที่พึ่งแบบนั้นแล้วเขาก็พูดอะไรไม่ออก
มือใหญ่จึงทำแค่ยกขึ้นห้ามแล้วพูดออกไป
“เอาไว้ค่อยคุยกันที่บ้าน” เขากระซิบบอกภูมิไปเบาๆ
เขาจะไม่ต่อว่าคนของเขาต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด ไม่ว่าภูมิจะทำผิดจริงหรือไม่การด่าทอประจานก็มีแต่จะสร้างแผลใจให้เด็กคนนี้เปล่าๆ
“...อื้ม” น้องชายก้มหน้าอย่างสำนึกผิด
เขารู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องไม่ดี
ก็แค่ดันไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น
ขั้นตอนการเสียค่าปรับไม่ได้ใช้เวลามากนัก
หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะพี่สาวของธีร์ฝากฝังไว้ทำให้ทุกอย่างลื่นไหลไปหมด
ทั้งๆที่ดูจากสภาพเละเทะของเด็กๆที่ถูกจับตัวมาเต็มโรงพัก บ้างก็ยังเมามาย
บ้างก็ยังรึ่มๆจะยกพวกตีกันทั้งที่อยู่หน้าตำรวจ บ้างก็ถูกขังไว้ในลูกกรง
บ้างก็มีพ่อแม่มาโวยวาย...ดูๆไปแล้วเขากับน้องไม่น่าจะผ่านฉลุยไปอย่างง่ายดายขนาดนี้ถ้าไม่มีเส้นสายของธีร์
“เปลี่ยนเสื้อก่อน” เขาเอ่ยบอกน้องชายเบาๆเมื่อเดินมาถึงห้องน้ำ
“?....ครับ...” ภูมิดูงงๆและยังสับสนอยู่มากแต่กระนั้นก็รับกระเป๋าเป้ไปแต่โดยดี
แค่หลบออกไปจากที่นี่เงียบๆ...แค่หลบให้พ้นพวกนักข่าวพวกเขาก็จะรอด...
เขากัดริมฝีปากพร้อมกับสั่นขาเพื่อคลายความกังวลในขณะที่รอน้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทว่า...หลังจากภูมิเดินออกมาจากห้องน้ำ กลับมาเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งเข้าหาปาดหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว
“ภูมิ!
ตำรวจบอกว่าให้ภูมิกลับบ้านได้แล้วเหรอ? ภูมิให้พ่อช่วยใช่ไหม?
บอกพ่อให้ช่วยกฤตย์ด้วยสิ!
ภูมิมาอาศัยอยู่บ้านน้าตั้งนานจะหนีกลับไปคนเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ
ต้องช่วยกฤตย์ด้วยสิ!”
หญิงวัยกลางคนที่ดูใกล้จะคุ้มคลั่งคนหนึ่งกำลังเขย่าแขนน้องชายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
แค่เห็นก็พอจะเดาได้ว่านี่น่าจะเป็นแม่ของเพื่อนที่ภูมิไปอาศัยอยู่ด้วย
แล้วเพื่อนคนนั้นก็เป็นคนพาน้องเขาเข้าผับทั้งที่อายุไม่ถึงด้วยซ้ำ
“กฤตย์อาจจะถูกดำเนินคดี...เพราะเป็นคนผลักหมอนั่นจนล้มหัวกระแทกโต๊ะ...คนที่ตาย...”
หน้าเขาถึงกับชาวาบเมื่อได้ยืนเสียงกระซิบราวกับจะร้องไห้ของน้องชายที่ขยับมาหลบอยู่ข้างหลังเขา
มือที่จับชายเสื้อเขาสั่นสะท้านไปหมด
นี่มัน...เกินกำลังของเขาไปแล้ว...
“ภูมิ!
จะทิ้งกฤตย์เอาตัวรอดคนเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ! บอกให้พ่อช่วยกฤตย์ด้วยสิ
ตอนเธอเดือดร้อนมาพึ่งพวกเรา พวกเรายังช่วยเธอเลยนะ!”
มือของคุณน้ายังพยายามไขว่คว้ามาที่ตัวน้องชายเขา
“ผมขอโทษครับ...” ภูมิได้แต่ก้มหน้า
เขารู้ว่าน้องเขาก็ไม่ได้อยากจะทิ้งเพื่อนแล้วหนีกลับไปคนเดียวแบบนี้หรอก
แต่นี่มันเป็นเรื่องที่เกินตัวพวกเขาไปแล้ว
มือใหญ่กำหมัดแน่นก่อนจะขยับเข้าไปขวาง
แขนยาวปัดป้องมือของคุณน้าออกจากตัวน้องชาย
“ผมทำเรื่องตามขั้นตอนเท่านั้นครับ
ไม่ได้ให้พ่อช่วย ถ้าคุณน้าต้องการทนายมือดีผมจะช่วยแนะนำให้นะครับ
ขอตัวก่อนนะครับ”
เขาตัดสินใจดึงตัวน้องชายออกมาก่อนที่จะโกลาหลไปมากกว่านี้
ยังดีที่มีตำรวจผ่านมาเห็นพอดีจึงช่วยกันพวกเขาออกมาจากตรงนั้น
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง
ขายาวทำได้เพียงรีบก้าวให้ไวเพื่อออกไปจากที่แห่งนี้จนไม่รู้เลยว่าเผลอออกแรงบีบข้อมือของน้องชายไปมากแค่ไหน
คุณตำรวจออกมาส่งพวกเขาที่ประตูหลังของโรงพักและคอยกันพวกนักข่าวให้อย่างที่พี่สาวธีร์บอกจริงๆ
เขาก้มหัวให้อีกฝ่ายอย่างขอบคุณก่อนจะรีบพาน้องออกมาจากตรงนั้น
ทว่า
ก็เหมือนยังมีเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอยู่
ประตูรั้วห่างไปอีกแค่ไม่กี่ก้าวเขาก็ยังไปไม่ถึง เพราะดันมีรถคันหนึ่งขับปาดหน้าก่อนจะจอดในลานจอดรถมืดๆนั่นอย่างเร่งรีบ!
ปึ้ง!
จู่ๆประตูรถก็เปิดออกและนักข่าวสำนักหนึ่งก็วิ่งกรูลงมา...อีกฝ่ายน่าจะเพียงแค่รีบไปทำข่าว
คงไม่ได้คิดหรอกว่าจะมาเจอข่าวใหญ่เดินอยู่ตรงนี้!
อีกนิดเดียวพวกนักข่าวก็จะวิ่งผ่านหน้าเขาไปอยู่แล้ว
แต่ความโดดเด่นของเขาก็ดันสะดุดตาอีกฝ่ายเข้าเสียก่อน!
“เอ๊ะ?
น้องภาค? นั่นน้องภาคไม่ใช่เหรอคะ? น้องภาค ปัทมวารินทร์!”
เขาถึงกับกัดริมฝีปาก
เขาลืมไปว่าตัวเองก็ค่อนข้างจะโด่งดังและเป็นที่รู้จักของพวกนักข่าวพอสมควร
โดยเฉพาะพวกข่าวแวดวงสังคม จริงๆถ้าให้ภูมิหลบออกมาคนเดียวอาจจะไม่มีใครสนใจเท่ามีเขาอยู่ข้างๆก็ได้
มือใหญ่ชื้นเหงื่อไปหมด เขาได้แต่กำหมัดอย่างเจ็บใจ
เพราะยังเด็กเกินไปเลยรับมือเรื่องพวกนี้ไม่เก่งเท่าผู้ใหญ่
“ทายาทของตระกูลปัทมวารินทร์มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ? คงไม่ได้เกี่ยวกับเด็กที่ตีกันในผับข้างในหรอกใช่ไหม?” อีกฝ่ายถามอย่างพยายามล้วงความลับ
ซึ่งเขาก็พยายามไม่มองหน้าคุณนักข่าว
“ไม่ใช่ครับ
ขอตัวนะครับ” เขาดึงแขนภูมิก่อนจะเดินหนี
แต่นักข่าวพวกนี้ก็จมูกไวเหลือเกิน
“แล้วนั่น...น้องชายเหรอคะ?
สองพี่น้องทำไมมาอยู่ด้วยกันที่นี่ละคะ?” เขาขมวดคิ้วด้วยความอึดอัดใจ ต้องตอบยังไง?
ต้องพูดอะไร? อีกฝ่ายถึงจะเชื่อว่านี่ไม่ใช่น้องชายเขา
แล้วตอนที่กำลังคิดว่าจะหนีออกไปจากตรงนี้ยังไงดี...ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา...
“อ้า!
ตามทันซักที กลับด้วยกันสิครับ” เขาหันไปมองอย่างตะลึงพรึงเพริด
เพราะใบหน้าที่เขาเห็นอยู่นี้...ก็คือคุณหมอเด็กคนนั้น? ...คุณหมอกังหัน
“?” เขายังมองคุณหมออย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
ทำไมถึงมาเจอกันในที่แบบนี้ได้? ที่นี่คือโรงพักนะไม่ใช่โรงพยาบาล?
กลับเป็นพวกนักข่าวที่ทักทายคุณหมออย่างคุ้นเคย?
“อ้าว
คุณหมอ? มาให้ปากคำคดีเด็กถูกทำร้ายนั่นเหรอคะ?
ผลการตรวจร่างกายเด็กเป็นยังไงบ้างคะ?”
นักข่าวหันไปสัมภาษณ์คุณหมอแทนเสียอย่างงั้น
แต่ก็นับว่าดีแล้วที่เปลี่ยนเป้าหมายจากเขาไปได้
“ใช่ครับหมอมาให้ปากคำ
สองคนนี้ก็เป็นพยานในคดีนั้นด้วย แต่พวกเราคงตอบคำถามสื่อไม่ได้ครับ
เดี๋ยวเสียรูปคดี”
คุณหมอเลี่ยงไปอย่างฉะฉานและขอปลีกตัวมาจากพวกนักข่าวได้อย่างง่ายดายเพราะคดีเด็กถูกทำร้ายไม่ได้เป็นที่สนใจเท่ากับคดีในผับที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้มากนัก
มือขาวสะอาดดันแขนให้เขาเดินต่อไปโดยไม่ล่อกแล่ก
และพอก้าวขาเข้ามานั่งในรถได้
“เฮ้อออออออออ~~” เสียงถอนหายใจยาวก็ดังออกมาจากหลังพวงมาลัย
“ดีนะที่ตามมาทัน”
ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นเงยขึ้นมายิ้มให้และเขาเพิ่งจะเห็นว่าคุณหมอมีลักยิ้มด้วย
“เอ่อ...ขอบคุณนะครับ
คุณหมอ” เขายังอึ้งไม่หาย
สถานการณ์ที่เราเจอกันนับวันก็จะยิ่งแปลกขึ้นทุกทีๆ
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าจะได้คุยกับคุณหมอในสถานที่แบบนี้
“ถือว่าตอบแทนค่าไอติมแล้วกัน” ใบหน้าหมดจดยกยิ้ม
มือบางเข้าเกียร์ก่อนจะขับรถออกไป เขาเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้านิ่งๆ
เรารู้จักกัน
แต่ก็ไม่รู้จักกัน
ที่ผ่านมาเรารู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย
แต่กลับไม่มีใครคิดจะก้าวล้ำเข้าไปในโลกของอีกคน
...ปล่อยให้มันลอยๆอยู่ตรงนั้น...
“หมอน่ะ
ไปให้ปากคำผลตรวจร่างกายในคดีเด็กที่ถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายจริงๆ แต่พวกเธอล่ะ?
มาทำอะไรที่สน.?” ในที่สุดคุณหมอก็เป็นฝ่ายถามออกมาก่อนเมื่อขับรถไกลออกมาจากสถานีตำรวจพอสมควร
ที่จริงเขาควรจะโกหก
ควรจะปกปิดสถานะของน้องชายเขา แต่กลับ...
“คดีที่เด็กตีกันในผับน่ะครับ” เสียงทุ้มตอบไปตามตรง
“เอ๋?
เธอก็อยู่ในผับนั่นด้วยเหรอ?”
คุณหมอเหลือบมองเขาอย่างตกใจ
“เปล่าครับ
ผมมาประกันตัวน้องชาย”
“อะ
โอ้” คุณหมอทำสีหน้าโล่งใจ คุณหมอ...คาดหวังว่าเขาจะเป็นคนยังไงกันนะ?...
หลังจากนั้นในรถก็ตกอยู่ในความเงียบ...มีเพียงเสียงแต๊กๆของที่ปัดน้ำฝนซึ่งดังเป็นครั้งคราว
ยิ่งฝนตกลงมาก็ยิ่งทำให้เวลาที่แสนอึดอัดนี้ดำเนินต่อไปอย่างยาวนานเพราะรถติดจนแทบจะขยับไปไหนไม่ได้
ดวงตาคมกล้าทอดมองไฟท้ายรถสีแดงที่กระพริบต่อๆกันไปท่ามกลางสายฝนพรำ
เขาไม่ได้คิดจะถามหรือทำความรู้จักอีกฝ่ายมากไปกว่านี้
คุณหมอเองก็ไม่ถามเช่นกันว่าเขาชื่อแซ่อะไรเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เพราะเอาเข้าจริงแล้วด้วยนิสัยเขาไม่ใช่คนที่จะเข้าถึงได้ง่ายๆ
เขาไม่ได้อยากจะผูกมิตรหรือรู้จักใครต่อใครไปทั่ว เขาคิดว่ามันไม่จำเป็น
“คุณหมอจอดข้างหน้าก็ได้ครับ”
“หื๋อ?
ตรงนี้เหรอ? เธอไม่ได้จะไปโรงพยาบาลกับหมอเหรอ?” คุณหมอตบไฟเลี้ยวก่อนจอดเข้าข้างทางซึ่งไม่มีอะไรนอกจากโลหะปราสาทที่ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน
คุณหมอคงจะสงสัยเพราะเขาไม่น่าจะอาศัยอยู่แถวนี้ได้
“ครับ
ไม่ได้ไปโรงพยาบาลครับ เดี๋ยวผมไปต่อจากตรงนี้เอง ขอบคุณมากนะครับ”
เขาค่อมหัวให้หลังจากลงมายืนอยู่ข้างรถสีขาวนั่นแล้ว
ดวงตาเยือกเย็นทอดมองจนท้ายรถลับสายตาไป
“...จะไปที่ไหนเหรอครับ?” ภูมิเอ่ยถามหลังจากที่นิ่งเงียบมานาน
ใบหน้าหล่อเหลาจึงเอ่ยออกไปอย่างไม่ลังเล
“ไปบ้านฉัน
ที่จริงฉันควรจะพานายไปที่นั่นตั้งแต่วันแรกที่เจอกันที่โรงพยาบาลแล้ว
ถ้าฉันตัดสินใจรับผิดชอบนายตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องมันคงจะไม่บานปลายไปถึงขนาดนี้”
แล้วก็เพราะเรื่องที่บานปลายนี่แหละ...เลยทำให้รู้ไปถึงหูสถานทูตไทยประจำกรุงเวียนนาจนได้
คืนนั้น
...เจ้าบ้านคนปัจจุบันของตระกูลปัทมวารินทร์จึงบินตรงจากออสเตรียมากรุงเทพทันที
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
พูดถึงเรื่องอยู่หอแล้วก็เป็นอะไรที่บันเทิงเริงใจดีเหมือนกันค่ะหอพวกเด็กถาปัด5555
อย่างตอนปีหนึ่งสมัยคุณกวางยังไปเรียนที่นครปฐมอยู่(แต่ปัจจุบันเรียนที่กทม.หมดทุกชั้นปีแล้วมั้งนะ)
เค้าก็จัดให้อยู่หอในซึ่งน่าจะเป็นรุ่นท้ายๆที่หอในยังยอมให้อยู่เพราะไปสร้างวรีกรรมเอาไว้เยอะ5555 เพราะมันไม่หลับไม่นอนกันนี่แหละค่ะ
จะเปิดเพลงแล้วก็ทำงานกันอยู่ที่ห้องส่วนกลางกันตลอด ปกติแล้วหอในเค้าจะคละคณะกันใช่มะ
แต่นี่เค้าจะแยกปีกนึงให้พวกเด็กถาปัดไปเลยค่ะ
เพราะอย่างเวลาเด็กคณะอื่นสอบกันเค้าก็ต้องอ่านหนังสือเงียบๆใช่มะ
อิพวกนี้ก็ปั่นงานกันตลอด สอบเสิบอะไรไม่ค่อยมี แล้วถ้าปั่นงานไม่เปิดเพลงก็จะหลับ
แล้วก็คุยกันตลอดไม่งั้นจะหลับอีก
ห้องส่วนกลางก็จะเต็มไปด้วยโต๊ะดร๊าฟไฟที่เปิดไฟตลอดอีก ไม่มีใครอยู่ด้วยได้ค่ะ
หนีกันหมด555
ส่วนปีสองสามสี่ห้าก็เข้ามาอยู่ในกทม.แระ
ก็จะเช่าห้องอยู่กับเพื่อนมีทั้งแถวสะพานผ่านฟ้าและปิ่นเกล้า
แต่ที่พีคสุดคือเช่าตึกแถวอยู่กันไปเลยสิบกว่าคน
แล้วก็อยู่รวมกันทั้งผู้หญิงผู้ชาย เช่าทั้งตึกสี่ชั้นไปเลย ชั้นล่างวางโต๊ะดร๊าฟจนคนแถวนั้นเค้านึกว่าเปิดออฟฟิศสถาปนิกอ่ะ555 ก็นั่นแหละค่ะ กินนอนอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนตื่นก็ลากกันนั่งเรือข้ามฟากไปเรียน
เป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก มีแต่คนแปลกๆ55555
ช่วงไม่ได้ส่งโปรเจคก็มีนอนดูหนังดูละครอยู่ด้วยกันเหมือนกันค่ะ
ตีสองตีสามยังลงไปกินข้าวกันอยู่เลย ไม่หลับไม่นอน ^ ^ ตอนนี้มานั่งนึกๆดู
กุนอนตอนไหนวะ? 5555
นั่นแหละค่ะ
เล่าสู่กันฟัง แต่การได้คิดถึงเรื่องฉากของนิยายเรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่สนุกดีค่ะ
ชอบที่จะนั่งคิดว่าบ้านของแต่ละคนจะเป็นยังไงดีนะ
อย่างบ้านที่ทั้งห้าคนอยู่ด้วยกันนี่ก็คิดอยู่นานเหมือนกันค่ะว่าจะเอาเป็นแบบไหนดี
ตอนแรกกะจะเป็นบ้านทรงไทยเลยด้วยซ้ำ
แต่เด่วมันจะหลอนไปเลยปรับให้ซอฟๆลงมาหน่อยแค่ขนมปังขิงน่ารักๆก็พอ เอิ้ก
เอาเป็นว่าถ้าอ่านแล้วชอบสักนิดก็จะดีใจมากๆเลยค่ะ
ฮี่ๆ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามนะคะ แง้มๆว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
ตอนหน้าNCแรกน่าจะมาแล้วค่ะ เย้~
คุณกวางผู้เก็บกดและไม่ได้แต่งNCมานานแสนนาน เคี๊ยก
แล้วเจอกันค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น