KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 10

  KW Original [องศาxพายุ]  องศา π (พาย) : 10

 

: KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า

: องศา x พายุ , เก้า x เจ้าจอม

: Warmhearted Romantic

: NC-17

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

             : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด

           : อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

  

 

สภาสถาปนิกนั้นตั้งอยู่บนถนนพระรามเก้า อาชีพของพวกเรานั้นได้รับความคุ้มครองตามกฏหมายโดยมีองค์กรแห่งนี้คอยดูแล สถาปนิกก็เป็นอาชีพที่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพเช่นเดียวกับวิศวกรและอาชีพเฉพาะทางอื่นๆ 

 

โดยจะมีการจัดสอบเพื่อขอรับใบประกอบวิชาชีพในทุกๆปี และก็เป็นการสอบที่ยากที่สุดในชีวิตของพวกเขาแล้ว เพราะงั้นพอได้ใบประกอบวิชาชีพมาก็ต้องรักษาไว้ไม่ปล่อยให้มันหลุดไปง่ายๆ ก็การจะไปสอบใหม่นั้นมันไม่สนุกเลย

 

รวมไปถึงการปล่อยให้บัตรมันหมดอายุไปก่อนที่จะได้ต่อก็ไม่สนุกเช่นกัน เพราะเขาต้องเสียเงินเกือบครึ่งหมื่นเชียวนะถ้าปล่อยไว้แบบนั้น หน้าที่หนึ่งของสถาปนิกก็คือการคอยดูวันหมดอายุในบัตรสีทองของตัวเองนี่แหละ!

 

ร่างสูงใหญ่ของอาจารย์องศา พิรุณณภักดิ์ ณ อยุธยาก้าวขาเตรียมจะออกจากอาคารสภาสถาปนิกหลังจากที่เพิ่งแวะมาต่อใบประกอบวิชาชีพเสร็จ ความจริงสมัยนี้ก็มีให้ต่อทางออนไลน์ได้อยู่หรอก แต่เขาขี้เกียจยุ่งยากตอนอัพโหลดเอกสารและลายเซ็นต์ต่างๆ ไหนๆก็ต้องผ่านมาแถวนี้พอดี แวะทำที่นี่ไปเลยดีกว่า

 

ฟึ่บ

 

“?!     ร่างในเสื้อเชิ้ตสีดำถึงกับชะงักค้างเมื่อได้เผชิญหน้ากับคนที่เพิ่งผลักบานประตูเข้ามา

 

“องศา?”     เสียงทักดังออกมาจากใบหน้าคมคายของคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอ ไม่สิ เขายังไม่พร้อมจะเจออีกฝ่ายสักเท่าไหร่ในตอนนี้

 

รุ่นพี่พิภพ ธารธารากุลกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ผู้ชายคนนี้...คือพ่อของพายุนั่นเอง

 

“....พี่ภพ หวัดดีครับ”    เขายกมือไหว้ร่างที่สูงใหญ่พอๆกับเขา เรารู้จักกันมาก่อน แต่ก็ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบัน เคยทักทายกันตามงานเลี้ยงต่างๆอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมขนาดจะพูดคุยเรื่องอะไรได้

 

แต่ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลานั่นกำลังยกยิ้มพลางมองมาที่เขาด้วยสายตาที่มากกว่าคนรู้จักกันแค่ผิวเผินเหมือนแต่ก่อน

 

รู้แล้วสินะ...เรื่องของเขากับพายุ...

 

ไม่สิ ถ้าคนอย่างพี่ภพไม่รู้นี่สิจะแปลกมาก เขารู้มาว่าแม้แต่คณบดีเองก็ยังต้องคอยรายงานเรื่องของพายุให้พี่ภพฟังอยู่ตลอดว่าการเรียนในคณะเป็นยังไงบ้าง วันไหนมีโปรแกรมจะทำอะไรอยู่ที่ไหน แม้แต่ตารางเรียนทุกคาบทุกวิชาของพายุ พี่ภพก็รู้ดี แถมพี่ภพยังรู้จักเพื่อนของลูกชายทุกคนอีกต่างหาก โดยเฉพาะสี่คนในกลุ่มตองเก้านั่น

 

“เหอะ เจอกันก็ดี...เรา...มีเรื่องต้องคุยกันนี่?”     แล้วมือสีแทนนั่นก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดอะไรสักอย่าง

 

ติ๊ง!

 

มีเสียงไลน์เด้งเข้ามาในโทรศัพท์เขา...พ่อของพายุ...มีไลน์เขาอยู่จริงๆด้วยสินะ...

 

“นายไปรอฉันที่นั่นก่อน เดี๋ยวฉันขึ้นไปคุยกับประธานสภาเสร็จแล้วจะตามไป ไม่นานหรอก”    สิ่งที่พี่ภพส่งมาคือโลเคชั่นของร้านกาแฟแห่งหนึ่ง...นี่จะไม่ถามเขาสักคำเลยหรือไงว่าว่างไหม? สำหรับผู้ชายคนนี้คงไม่มีอะไรน่าร้อนใจไปกว่าเรื่องของลูกชายแล้วจริงๆ

 

“ครับ”    เขาตอบรับก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูหลังจากที่อีกฝ่ายก้าวฉับๆจากไป

 

“ผมคงเข้าไปช้าหน่อยนะครับ พวกคุณพรีเซ็นต์กันไปเลย  ไม่ต้องรอผม พอดีผมมีธุระด่วนน่ะ”    เขากดวางสายหลังจากโทรบอกลูกน้องในทีมออกแบบโรงแรมทีมหนึ่งในออฟฟิศเขา ที่จริงหลังจากนี้เขามีประชุมกับลูกค้าเรื่องที่จะพรีเซ็นต์แบบโรงแรมที่เชียงใหม่ แต่ดูแล้วเขาไม่น่าจะไปทัน

 

ดวงตาสุขุมเหลือบมองไปยังรถห้าประตูสีดำที่จอดอยู่ข้างๆกัน...เขา...คงต้องเลือกทางนี้ก่อน

 

 

 

 

 

เจ้าของ THARA Architect. เดินออกมาจากสภาสถาปนิกก่อนจะเหลือบมองไปลานจอดรถ...เบนซ์สีขาวนั่นไม่อยู่แล้วแหะ คงจะไปรอเขาอยู่ที่คาเฟ่แล้วสินะ? เพราะถ้าเจ้าองศาคิดจะหนีละก็...หึ

 

มือใหญ่ปิดประตูรถก่อนจะขับออกไป...บทสนทนาระหว่างเขากับลูกชายเมื่อวันก่อนยังดังก้องอยู่ในหัว ที่เขารู้เรื่องของพระพายกับองศาก็เพราะถามเจ้าตัวมาตรงๆนี่แหละ

 

 

“คนที่แกจีบอยู่นี่คือองศางั้นเหรอ พระพาย?”    เขาโพล่งถามออกไปทันทีที่เห็นหน้าลูกชายซึ่งไม่ได้กลับบ้านมากว่าสองอาทิตย์

 

“ง่ะ พ่อรู้ได้ไงน่ะ?...”     ใบหน้าที่เหมือนแพรวาอย่างกับแกะผงะไป แต่สิ่งที่เจ้าลูกชายไม่เหมือนภรรยาของเขาเลยก็คือเจ้าตัวแสบนี่มันดื้อมาก แล้วก็เอาแต่ใจแบบสุดๆ!

 

“เก้าบอกฉันมา มันบอกว่าช่วงนี้นอกจากองศาแล้วแกก็ไม่ได้ไปวอแวใครอีก”    เขากอดอกพลางคาดคั้น บอกตามตรงว่าครั้งแรกที่รู้นี่เขาถึงขั้นช็อคไปเลยนะ มันเหมือนถูกใครตีหัวจนมึนไปหมด ก็เขาคิดมาตลอดว่าพระพายน่าจะชอบเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน น่าจะเป็นปั๊บปี้เลิฟใสๆให้พ่ออย่างเขาพอจะมีช่องให้เข้าไปแทรกแทรงได้บ้าง

 

แต่เจ้าลูกชายกลับไปชอบคนอย่างองศา พิรุณณภักดิ์ ณ อยุธยาเนี่ยนะ? เป็นอาจารย์ของตัวเองไม่พอ อายุก็ห่างกันไม่ใช่น้อยๆเลยนะ? เป็นอาได้เลยนะน่ะ?

 

แถมคนอย่างองศา...ก็ไม่ใช่คนที่เขาจะบงการได้เสียด้วย ไม่ใช่หนุ่มน้อยหัวอ่อนที่เขาจะชี้ให้ไปทางไหนก็ได้ แต่องศานี่น่าจะนับว่าเป็นกระดูกเบอร์ใกล้ๆกันกับเขาเลย

 

“.......อื้อ พายชอบอาจารย์องศา”    พระพายพยักหน้ารับอย่างจำยอม

 

“เล่นของสูงเลยนะแกเนี่ย... คนนี้ไม่ได้ เลือกคนใหม่ซะ”    เขาพูดด้วยเสียงแข็ง

 

“ไม่เอา พายจะเอาคนนี้”    แต่พระพายกลับตอบเขาด้วยเสียงที่แข็งกว่า

 

“ก็บอกว่าไม่ได้ไง!    เขาขมวดคิ้วเข้าโหมดไฝว้

 

“ทำไมจะไม่ได้?!    เจ้าลูกชายก็ยกมือเท้าสะเอวเตรียมสู้กลับ

 

“เป็นคนอื่นไม่ได้รึไง?”    เขาพยายามต่อรอง

 

“ไม่ได้ พายจะเอาคนนี้”    แต่พระพายกลับยืนกรานหนักแน่น ขนาดเรื่องตุ๊กตาที่รักเหมือนลูกก็ยังไม่เคยหัวชนฝากับเขาขนาดนี้เลย แสดงว่าพระพายคงจะชอบองศามากจริงๆ

 

“เฮ้อ...แกนี่มันจริงๆเลย หน้าเหมือนแพรขนาดนี้แท้ๆ แต่ทำไมไม่น่ารักอ่อนหวานเหมือนแม่แกเลยนะ!

 

“ก็นิสัยเหมือนพ่อไง ไม่ดีใจเหรอ?”

 

“แกอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ฉันจะถามอีกครั้ง ต่อให้ฉันตัดแกออกจากกองมรดก แกก็ยังจะเลือกองศาอีกงั้นเหรอ?”

 

“ใช่! พายตัวแค่นี้ อาจารย์องศาเลี้ยงได้อยู่แล้ว! พายจะหนีไปอยู่กับอาจารย์องศา! จะไม่มาเจอหน้าพ่ออีกเลยด้วยถ้าพ่อขัดขวาง! ว่าไง? ยังจะตัดพายออกจากกองมรดกอีกไหม?”    ใบหน้าหงิกท้าทายเพราะรู้ว่าเขาไม่มีทางตัดหางปล่อยวัดตัวเองได้ รู้ว่าเขายอมกำจัดไอ้ผู้ชายชั่วร้ายพวกนั้นดีกว่าตัดขาดกับลูกของตัวเอง เพราะถ้าเขาไม่ได้วุ่นวายกับพระพายสักวันเขาคงจะเฉาตาย

 

“ฮึ่ย! เจ้าลูกปฐพี! ฉันอุตส่าห์เลี้ยงแกมานะ! แกจะทิ้งพ่อหนีตามผู้ชายไปรึไง?!

 

“ก็บอกแล้วไงว่าทรพี! ถ้าพ่ออยากจะเลี้ยงพายต่อไปพ่อก็ต้องช่วยพายจับผู้ชายคนนี้สิ!    หึ? มันยังไงนะ? เอ๊ะ?

 

พวกเขายืนหอบหลังจากเถียงกันมาพักใหญ่

 

“ฉันเหนื่อยแล้ว ไปนั่งคุยกันที่โซฟาซิ”    เขาเดินนำไปนั่งลงที่โซฟาก่อนที่เจ้าลูกชายตัวดีจะเดินมานั่งตาม

 

“แกยังยืนยันที่จะเลือกองศา? ทั้งที่ก่อนหน้านี้แกบอกว่าจะฟังฉันนี่”

 

“งั้นพ่อก็บอกเหตุผลมาก่อนสิว่าทำไมถึงเป็นอาจารย์องศาไม่ได้? พ่อจะหาลูกสะใภ้ที่เพอร์เฟคขนาดนี้จากที่ไหนได้อีก?!    สะใภ้มะม่วงอะไรล่ะ ดูยังไงก็ลูกเขยชัดๆ!

 

“แต่องศาเป็นอาจารย์ของแกนะ มันเหมาะสมที่ไหน!

 

“เป็นอาจารย์แล้วยังไงล่ะ! อาจารย์ก็เป็นคน มีชีวิตมีจิตใจเหมือนกันนะ! แล้วก็ ถ้าพายไม่จีบอาจารย์องศาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ขืนรออีกสองปีให้เรียนจบก่อนแล้วดันมีใครมาคว้าอาจารย์องศาตัดหน้าไปทำไง? พายคงต้องนอนร้องไห้ น้ำตาตกใน หัวใจหักรักษาไม่ได้ แล้วก็ตายจากพ่อจ๋าไปเลยนะ พ่อจ๋ายอมได้เหรอ....”     เจ้าตัวดีทำน้ำตาคลอ

 

“พ่อคิดดูสิ คนที่ใช่สำหรับเรามันหาได้ง่ายๆเสียที่ไหน อย่างน้อยพายก็ไม่เคยเจอคนคนนั้นมา21ปีเท่าชีวิตของพายเลยนะ  ถ้าไม่คว้าเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าในชีวิตที่เหลือจะได้เจอกับคนแบบอาจารย์องศาอีกหรือเปล่า”    เขากระดิกนิ้วอย่างใช้ความคิด เหตุผลที่ว่าทำไมพระพายถึงชอบองศาเขาจะไม่ถามหรอก เพราะเขารู้ว่าการตกหลุมรักใครสักคนบางทีมันก็ไม่มีเหตุผล แต่ที่เขาอยากรู้ก็คือมันเป็นเพียงความรู้สึกลุ่มหลงชั่ววูบหรือเปล่า

 

แต่ดูท่าลูกชายของเขาก็น่าจะมีการคิดมีการไตร่ตรองมาบ้างแล้วและก็ยังยืนกรานที่จะเลือกองศาอยู่

 

“.......แกไม่ต้องสาธยายขนาดนั้นหรอก ฉันก็แค่ลองใจแกดูเฉยๆ...ว่าแกเลือกผู้ชายคนนั้นมากว่าพ่อของแก~~กระซิก~

 

“อย่าร้องไห้สิ มันน่าอายนะ...”

 

“เฮ้อ...คนก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมถึงต้องไปชอบองศานะ”    เขาถอนหายใจ ก็ไม่ได้อยากจะยอมแพ้หรอกแต่ก็ดูจะสู้พระพายไม่ไหวในตอนนี้ อีกอย่างเขาก็ไม่มีหตุผลอะไรจะไปขวางด้วย เพราะข้อเสียเดียวขององศาสำหรับเขาแล้วมีแค่เรื่องที่เขาควบคุมอีกฝ่ายไม่ได้เท่านั้น นอกนั้นก็ต้องยอมรับว่าหมอนั่นเป็นผู้ชายที่เพอร์เฟคมากจริงๆ

 

“ถึงจะมีคนเยอะแยะ แต่อาจารย์องศาคือคนที่ดีที่สุดไง พายถึงชอบ”

 

“แกรู้ได้ยังไง? ฉันได้ยินกิตติศัพท์ความโหดร้ายของหมอนั่นมาเยอะเลยนะ แกจะไหวแน่เหรอ?”    เขากอดอกเชิดหน้า มีสถาปนิกรุ่นใหญ่ๆในออฟฟิศเขาที่เรียนรุ่นเดียวกับองศาเขาเลยไปสืบจากหมอนั่นมา เจ้าองศาน่ะ...ไม่ธรรมดาหรอกนะ ไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่ใครๆคิดด้วย

 

“ตอนเรียนพ่อทันรุ่นอาจารย์องศาด้วยเหรอ?”   พระพายพุ่งเข้ามาถามอย่างน่าหมั่นไส้ ทีเรื่องพ่อแกยังไม่เคยสนใจขนาดนี้เลยยย

 

“ไม่ทันหรอก ฉันจบไปหลายปีแล้วองศาถึงเข้ามาเรียน แต่ได้ยินมาว่าเป็นเด็กที่เย็นชาสุดๆ โดยเฉพาะตอนส่งโปรเจคแล้วไม่ได้นอน มีคนบอกว่าเหมือนหมีที่พร้อมจะตะปบคนที่เข้าไปก่อกวนเลยละ”

 

“คิก~ เป็นงั้นเหรอ? แต่ตอนนี้ก็อบอุ่นดีนี่นา โหดร้ายแค่ตอนตรวจแบบพายเท่านั้นแหละ!

 

“เฮ้อ...คนตั้งเยอะแยะไม่ชอบ ดันไปชอบอาจารย์ที่ตรวจแบบเนี่ยนะ?”    เขายังคงทอดถอนใจต่อไป

 

“สมเป็นลูกแม่ไง แม่เองก็มีคนตั้งเยอะแยะไม่ชอบ ดันมาชอบคนอย่างพ่อเนี่ย”

 

“อึก...แม่แกน่ะเลือกถูกแล้ว”

 

“พายเป็นลูกแม่ เพราะงั้นพายก็เลือกถูกเหมือนกัน”

 

“เฮ้อ......”    เขาเลี้ยงเจ้าเด็กนี่มายังไงกันนะถึงได้เถียงคำไม่ตกฟากแบบนี้? ตอนที่แพรเลี้ยงยังเป็นเด็กน้อยน่ารักเรียกพ่อจ๋าๆอยู่เลยแท้ๆ~

 

“องศาเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมทุกอย่างก็จริง...แต่องศาเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ? เค้าจะชอบเด็กผู้ชายอย่างแกรึไง?”  

 

“เชื่อมือพายเถอะน่า...พายเป็นลูกพ่อนะ พ่อยังจีบแม่ติดเลย!

 

“เออ! แกมันลูกพ่อ! แกมันลูกแม่! โดนรังแกร้องไห้ขี้มูกโป่งมาฉันก็ช่วยไม่ได้นะคนนี้!

 

 

มือใหญ่หมุนพวงมาลัยให้รถเลี้ยวเข้าไปในร้านกาแฟที่ปักหมุดไว้ ก็นั่นแหละ...บทสนทนาที่น่าหนักใจสำหรับคนเป็นพ่อแบบเขา ยังไงก็ยังวางใจง่ายๆไม่ได้หรอก ถึงใครต่อใครจะบอกว่าองศาเป็นคนดีเลิศแค่ไหน แต่คนดีของทุกคนกับคนดีของที่รักนี่มันไม่เหมือนกันนี่

 

จนกว่าเขาจะพิสูจน์ได้ว่าองศารักลูกชายของเขาจริงๆนั่นแหละ เขาถึงจะยอมรามือ

 

ดวงตาคมกริบเหลือบมองเบนซ์สีขาวที่คุ้นตา ไม่หนีไปจริงๆด้วยแหะ

 

และเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้าร้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าคนที่แต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้านั่งรออยู่แล้วที่โซฟาชุดหนึ่ง

 

เขาเดินเข้าไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะสั่งกาแฟง่ายๆ คงจะเป็นภาพที่แปลกตาน่าดูที่ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนมานั่งจิบกาแฟอยู่ด้วยกัน ถึงสาวน้อยสาวใหญ่ในร้านจะมองมาทางนี้เป็นตาเดียวเลยก็เถอะ

 

ดวงตาราวกับพญาเหยี่ยวจ้องมองใบหน้าราวกับรูปสลักนั่นอย่างไม่เกรงใจ...อืม...มันหล่อแบบนี้นี่เองลูกชายเขาถึงได้หลงเสน่ห์มัน หล่อเหมือนรูปปั้นที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ใบหน้าของหมอนี่ดูไร้อารมณ์ยังไงชอบกล...อืม...อ้อ! นึกออกแล้ว! เหมือนพวกตุ๊กตาของพระพายเลยนี่! โดยเฉพาะ...เจ้าตัวที่ชื่อลูซิเฟอร์

 

เข้าใจละ ว่าทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงจะเอาให้ได้...

 

อ้า...ปวดหัวขึ้นมาเลย

 

“นายต้องการอะไร?”   พิภพ ธารธารากุลเลือกที่จะเปิดคำถามด้วยใบหน้าอย่างผู้ที่เหนือกว่า ไม่ว่าใครหากมาอยู่ต่อหน้าความมั่นใจของผู้ชายคนนี้ก็ไม่ยากเลยที่จะโดนข่มเอาไว้

 

แต่ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับองศา พิรุณณภักดิ์ ณ อยุธยา...ดวงตาสุขุมของคนที่ถูกถามยังมองสวนกลับไปนิ่งๆ

 

เพราะพี่ภพประสบความสำเร็จทุกอย่างในชีวิตและไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ดีจนมีแต่คนอิจฉา ผู้ชายคนนี้จึงไม่เคยรู้จักกับความพ่ายแพ้มาก่อน

 

“ครับ?”   เขาตอบกลับไปอย่างไม่เข้าใจคำถาม เริ่มต้นก็ถามกันแบบนี้เลย?

 

“ฉันรู้หมดนั่นแหละ เรื่องของนายกับพระพายลูกชายของฉัน”   ......รู้จริงๆด้วยสินะ

 

“ถ้ารู้...พี่ก็น่าจะรู้นี่ครับว่าผมต้องการอะไร”    เขายิ้มตอบกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง ในเมื่อพี่ภพเป็นฝ่ายส่งจิตสังหารมากดดันเขาก่อน หากเขากลัวหงอก็คงไม่ถูกใจอีกฝ่ายนัก

 

“เหอะ”    และนั่นก็ทำให้ใบหน้าคมคายเค่นหัวเราะพลางเอนหลังพิงพนักโซฟา สายตาดุดันไล่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

“หน้าที่การงานของนายก็มั่นคง เป็นถึงรองศาสตราจารย์แล้วด้วย สถานะทางการเงินของออฟฟิศนายก็ไม่ได้แย่ ออกจะดีมากด้วยซ้ำถ้าดูจากโปรเจคที่ถืออยู่ในมือตอนนี้และคอนเนคชั่นของนาย ครอบครัวของนายก็ไม่ได้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือแก่งแย่งสมบัติกัน...แล้วสาเหตุที่คนอย่างนายหมายตาลูกชายของฉันคืออะไร?”    พี่ภพพูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ

 

“นี่พี่...แอบสืบเรื่องของผมงั้นเหรอครับ?”    เขาขมวดคิ้วก่อนจะจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

 

“นายก็ต้องรู้ตั้งแต่พยายามจีบลูกชายของฉันแล้วสิ ว่าจะต้องรับมือกับคนอย่างฉัน คนทั้งคณะยังรู้ชื่อเสียงความหวงลูกชายของฉัน นายจะไม่รู้ได้ไง?”

 

“ผมรักพายุครับ แค่นี้เพียงพอไหมครับ”    เขายอมรับออกไปตามตรง เพราะกับคนอย่างพี่ภพไม่มีอะไรดีกว่าการพูดกันตรงๆอีกแล้ว

 

“.....”    พี่ภพนิ่งไป ดวงตาดุดันมองสวนกลับมาอย่างไม่มีใครยอมใคร

 

“สิบล้าน?”   

 

“อะไรครับ?”

 

“ค่าตอบแทนที่จะให้นายเลิกยุ่งกับลูกชายฉัน”     เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวเราสองคนมาคุขั้นสุดจนพนักงานในร้านเริ่มเลิ่กลั่กเพราะกลัวพวกเขาจะชักปืนขึ้นมายิงกัน

 

“....นี่พี่...ดูละครมากไปเหรอครับ? เห็นพายุบอกว่าพี่ชอบดูละครนี่ครับ”    เสียงทุ้มเอ่ยออกไปด้วยใบหน้านิ่ง เขาไม่ได้ตื่นตระหนกหรือโมโหโกธา ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายดูถูกดูแคลนเขา เพราะเขาไม่คิดหรอกว่าคนอย่างพี่ภพจะใช้เงินฟาดหัวใครโดยไม่สนใจความรู้สึกของลูกชายน่ะ

 

“ไม่พอ? งั้นฉันแถมโปรเจคโรงแรมที่สมุยกับภูเก็ตให้อีกสามโปรเจคด้วยเป็นไง?”    ใบหน้าคมคายยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าดุดัน...พายุ...ไม่ได้เค้าหน้าของพ่อมาบ้างเลยแหะ

 

“ไม่ครับ”    เขาปฏิเสธอย่างใจเย็น  เพราะถึงสิ่งที่พี่ภพเสนอมาอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่ของพวกนี้จะมาเทียบกับพายุได้ยังไง อีกอย่างนะค่าตัวของพายุในความรู้สึกของพี่ภพคงจะไม่ใช่แค่สิบหรือยี่สิบล้านแน่  ถ้าเขาเป็นผู้ชายเฮงซวยจนไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยวกับลูกชายของตัวเองจริงๆแล้วละก็ ต่อให้ต้องยกทั้งธาราอาคิเต็กให้เขา พี่ภพก็คงต้องยอม

 

“งั้นห้าสิบล้านเป็นไง?”

 

“พี่...เลิกล้อเล่นได้แล้วครับ ยังไงผมก็ไม่เลิกยุ่งกับพายุแน่ครับ”

 

“ก็เผื่อว่านายจะรับไง?”    ร่างที่สูงใหญ่พอๆกับเขายักไหล่ก่อนจะเอนหลังยกกาแฟขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่จู่ๆก็หายไปหมด

 

นี่...ลองใจเขาจริงๆสินะ?

 

“ถ้าผมตอบตกลง จะให้ผมจริงๆน่ะเหรอครับ?”    เขายกกาแฟขึ้นจิบด้วยสีหน้าเรียบเฉยบ้าง

 

“ใครให้ก็ประสาทแล้ว ฉันไม่ได้ดูละครไปวันๆนะ มันก็ต้องมีการคิดต่อยอดด้วยสิ ถ้านายยอมรับเงินฉันเพื่อเลิกกับพระพายละก็ ฉันก็จะเอาเงินแค่หมื่นสองหมื่นไปจ้างมือปืนมายิงหัวนายทิ้งซะ แค่นั้นก็จบแล้ว ฉันจะไม่ปล่อยคาราคาซังให้นายมากวนใจลูกชายของฉันได้หรอก”   .......แล้วก็น่าจะทำได้จริงๆเสียด้วยเพราะตระกูลของพี่ภพเป็นพวกนักการเมืองท้องถิ่นผู้มีอิทธิพล ในสมุทรสาครไม่มีใครไม่รู้จักพวกธารธารากุล พี่ภพจึงค่อนข้างจะใจนักเลงทีเดียวเชียว แถมพายุก็เป็นหลานปู่เพียงคนเดียวเพราะงั้นย่อมต้องช่วยลงมือแน่

 

“เฮ้อ...ฉันว่าแล้วว่านายมันต้องเป็นพวกที่ฉันควบคุมไม่ได้แน่ๆ เฮ้อ...พระพายนะพระพาย ทำไมต้องมาชอบคนอย่างหมอนี่ด้วย...”    พี่ภพบ่นไปถอนหายใจไปจิบกาแฟไป ทำเอาเขาเผลอยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก

 

“แต่นายเป็นถึงครูบาอาจารย์ คิดแบบนี้กับลูกศิษย์มันถูกแล้วเหรอ?”    ดวงตาดุดันตวัดมาจ้องหน้าเขา มือใหญ่จึงเขย่าแก้วกาแฟเบาๆก่อนจะก้มมองน้ำสีเข้มที่กระเพื่อมวนไปมา

 

“....ผมก็ยอมรับครับว่ามันผิด แต่ว่า ผมไม่ได้จะเป็นอาจารย์ของพายุไปทั้งชีวิตนี่ครับ ตอนที่ยังมีสถานะอาจารย์ผมจะไม่ทำอะไรให้พายุต้องเสื่อมเสียครับ ผมรับรอง”    ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดที่จะห้ามใจตัวเอง เรื่องของพายุเขาคิดแล้วคิดอีก คิดมาไม่รู้กี่ร้อยตลบแล้ว แต่หัวสมองที่คิดเสียมากมายขนาดนั้น...กลับพ่ายแพ้ต่อหัวใจเพียงเพราะเขาได้เห็นรอยยิ้มของพายุแค่ครั้งเดียว

 

แพ้อย่างหมดรูปขนาดนี้...

 

แล้วจะให้เขาทำยังไงได้...

 

“....เฮ้อ...”    พี่ภพถอนหายใจยาวอีกครั้ง

 

“......”    เขายังคงจ้องมองในแก้วกาแฟด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

“นายน่ะ...ยังไม่เคยรู้จักความรักที่บ้าคลั่งสินะถึงพูดแบบนี้ออกมาได้ นายจะทรมานแทบตายเลยนะถ้ายังคิดจะไปต่อกับลูกชายของฉันที่เป็นลูกศิษย์ของตัวเอง”

 

“ผมรู้ครับ...และผมจะอดทน”

 

“....ฉันไม่คิดว่านายจะทนได้หรอก นายจะยิ่งต้องการมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นความกระหาย แล้วสักวันนายก็จะควบคุมมันไม่อยู่”    .....เขารู้ว่าที่พี่ภพพูดมามันเป็นเรื่องจริงทุกอย่าง อีกฝ่ายก็แค่เตือนเขาในฐานะคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าและเป็นพ่อของคนที่เขารัก เตือนเขาในฐานะคนที่เคยมีความรักที่หยั่งรากลึกจนถึงจิตวิญญาณมาก่อน

 

“พระพายน่ะ น่ารักมากใช่ไหมล่ะ? แล้วความน่ารักแบบนั้นกำลังวนเวียนอยู่รอบตัวนายทุกๆวัน นายจะทนได้สักแค่ไหนกัน?”

 

“.......”    เล่นเอาพูดไม่ออกเลยแหะ เพราะก็มีหลายครั้งที่เขาแทบจะตบะแตกอย่างที่พี่ภพว่าจริงๆ

 

“เฮ้อ....เพราะฉันดันเป็นพ่อที่ตามใจลูกมาก แล้วลูกฉันก็ดันอยากได้คนแบบนาย เฮ้อ...”    พี่ภพถอนหายใจไปบ่นไปราวกับกำลังพูดอยู่กับตัวเอง

 

“ไม่รู้ละ นายจะทนได้หรือไม่ได้มันก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน เรื่องของฉันมีแค่นายต้องจัดการให้ดี อย่าให้ลูกชายของฉันต้องไปพัวพันกับเรื่องที่จะกระทบกระเทือนจิตใจของเขาเป็นอันขาด”    ใบหน้าคมคายเตือนเขาอย่าจริงจัง

 

“ครับ...”

 

“เอาเป็นว่าฉันรับรู้เรื่องของนายแล้วและฉันก็จะจับตาดูอยู่ตลอด ถ้านายทำให้พระพายเสียใจ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่ นายก็รู้ว่าฉันทำให้หน้าที่การงานของนายต้องจบลงได้ง่ายๆเลยนะองศา”   คราวนี้ก็หันมาข่มขู่ต่อ แต่เขาไม่ได้กลัวอีกฝ่ายหรอกเพราะเขาเองก็ไม่คิดจะทำให้พายุต้องเสียใจอยู่แล้ว

 

“....ครับ”

 

“นายยังไม่รู้จักลูกชายของฉันดี อย่าเพิ่งรับปากง่ายๆไปเลย พระพายน่ะเอาแต่ใจกว่าที่นายคิดมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะที่นายจะรับมือได้”

 

“ครับ”    เขารับปากด้วยรอยยิ้มบางๆ จริงอยู่ที่เขายังไม่ได้รู้จักตัวตนทั้งหมดของพายุ แต่เขายังมีเวลาที่จะค่อยๆเรียนรู้กันไป ไม่รีบร้อน ไม่เร่งเร้า

 

“นายรู้ไหม ว่าฉันลงทุนจ้างนักสืบเลยนะ แล้วฉันก็สอบถามทุกคนที่รู้จักนายเพียงเพื่อจะหาเรื่องเฮงซวยของนายให้ได้สักข้อ...แต่มันดันไม่มีเลย...เพราะตอนนี้ฉันยังไม่มีข้ออ้างที่จะใช้กันพระพายออกมาจากนาย ฉันถึงต้องยอมอย่างช่วยไม่ได้”    กำลังจะบอกเขาว่าถ้าเขาพลาดทำเรื่องอะไรที่ใช้เป็นข้ออ้างได้ก็จะไม่อยู่เฉยสินะ?

 

“ฉันรักพระพายยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ ถ้านายบังอาจมาทำให้ลูกฉันเจ็บช้ำน้ำใจละก็...ฉันไม่ได้ขู่นะ แต่ฉันจะจัดการนายจริงๆ”

 

“....ดูแลลูกชายของฉันให้ดี เรื่องเรียนนายก็ต้องตั้งใจสอนเขา ห้ามว่อกแว่กเด็ดขาด วิชาดีไซน์สำคัญมากนายก็รู้”

 

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมเข้มงวดกับเขาไม่ต่างจากลูกศิษย์คนอื่นๆ พี่ก็รู้นี่ครับว่าพายุเป็นเด็กที่มีเซ้นส์ทางด้านการออกแบบสูงมาก”

 

“แหงล่ะ ลูกฉันน่ะเก่งที่สุดในโลกแล้ว ฮ่าๆๆๆ”    เขายิ้ม พี่ภพนี่ก็หลงลูกตัวเองมากจริงๆ

 

พวกเราดื่มกาแฟจนหมดแก้วแล้วต่างก็แยกย้ายเพราะเป็นผู้ชายที่ยุ่งมากด้วยกันทั้งคู่ เขาเชื่อว่าพี่ภพยังมีงานต่อเป็นหางว่าวในวันนี้ แล้วก็คงจะมีแต่เรื่องของพายุเท่านั้นแหละที่จะทำให้พวกเขายอมทิ้งงานที่แสนสำคัญพวกนั้นได้

 

 

  

 

 

 

เป็นเพราะถูกลักพาตัวไปในระหว่างทางที่กำลังจะเดินจากบ้านมายังท่าเรือปิ่นเกล้า ทำให้ร่างโปร่งบางของพายุ ธารธารากุลเพิ่งจะมาถึงมหาวิทยาลัยเมื่อคาบเรียนตอนเช้าจบลงไปแล้ว

 

เจอคุณตาทีไรคุยยืดคุยยาวแบบนี้ทุกที ให้ตายเถอะ

 

“มาแล้วเหรอวะ?”    เสียงทักดังพร้อมกับท่อนแขนหนักๆที่พาดมาบนลำคอ ไอ้เก้าเดินเข้ามาหาเขาเป็นคนแรกตามด้วยอีกสามตัวที่เดินหาวหวอดออกมาจากห้องเรียน

 

“เออ มึงอย่าบอกพ่อกูนะไอ้เก้า”    เขาเงยหน้าไปกำชับคนที่สูงเป็นเสาไฟฟ้าซึ่งเอียงคอมองลงมา

 

“เรื่องที่ตามึงมาหาน่ะเหรอ? ยังไงพ่อมึงก็ต้องรู้อยู่ดีไหมวะ? มึงเคยโดดเรียนแล้วพ่อมึงไม่รู้ด้วยเหรอวะ?”     ไอ้เก้ายักไหล่

 

“เอาน่ะ ไว้พ่อกูโทรมาถามว่ากูโดดเรียนทำไมกูค่อยหาข้ออ้างอย่างอื่น บางทีกูก็สงสารตากูว่ะ”    ระหว่างพ่อกับคุณตาน่าจะเคยทะเลาะกันมาอย่างหนักเรื่องของแม่ ถึงเขาจะพอรู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร แต่คุณตาก็ดีกับเขามาตลอด ในสายตาเขาจึงมองเห็นแค่ชายแก่คนหนึ่งซึ่งสูญเสียลูกไปจนหมด จะเหลือก็แค่หลานชายอย่างเขาเพียงคนเดียว

 

“สงครามแย่งหลานระหว่างปู่กับตามึงนี่ยังไม่จบอีกเหรอวะ ฮ่าๆๆ”    ไอ้เก้าแซว  เพราะคุณตาเคยทิ้งขว้างแม่เขามาก่อน แม้แต่ตอนแม่แต่งงานกับพ่อคุณตาก็ไม่มา ทำให้บ้านทางฝั่งคุณปู่โกรธมากจากนั้นจึงไม่ลงรอยกันมาตลอด คุณตาเป็นครอบครัวชาวจีนแท้ๆที่จะให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว ยิ่งแม่ของเขาเป็นลูกสาวคนเล็กที่เลือกเดินออกมาจากบ้านเพื่อทำตามความฝันของตัวเองมากกว่าจะคอยเชื่อฟังไม่กล้าหือกล้าอือ คุณตาจึงไม่ไยดีแม่เขานักเพราะคิดว่ายังไงก็มีบรรดาลูกชายคอยสืบทอดกิจการอยู่แล้ว

 

ทว่า...ลุงของเขาทั้งสามคนก็ทยอยล้มหายตายจากไปทีละคนๆราวกับเป็นคำสาป มรดกนับพันล้านที่เคยแก่งแย่งชิงดีกันตอนนี้กลับไม่มีใครเอาเพราะเหลืออยู่แค่เขาคนเดียวที่เป็นสายเลือดโดยตรง ก็พวกคุณลุงยังไม่ทันมีลูกก็ตายกันไปก่อน คุณตาเลยเปลี่ยนเป้าหมายมาหาเขาซึ่งทำให้พ่อกับคุณปู่โกรธมากและไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมให้เขาไปยุ่งเกี่ยวกับคุณตาเด็ดขาด

 

เขารู้ว่าคุณตาอาจจะหวังผล ที่เข้าหาเขาก็เพื่อจะให้เขารับสืบทอดกิจการของตัวเอง แต่เขาก็รู้ดียิ่งกว่าว่าความเอ็นดูที่คุณตามีให้มันก็ไม่ใช่ของเก๊เหมือนกัน

 

นะ...เวลาปู่กับตาของเขาเจอกันทีไรก็กลายเป็นความบันเทิงของไอ้เพื่อนสี่ตัวนี่ทุกที แล้วสองคนนั้นก็ขยันมางานประชุมผู้ปกครองเอย งานนิทรรศการอะไรก็แล้วแต่ที่มีผลงานของเขาไปจัดแสดงเสียด้วย! เจอหน้าก็ตีกันเป็นเด็กๆจนเด็กอย่างเขายังอายแทน เฮ้อ...

 

“อาจารย์แจกชีตไหมวะ? มึงเก็บไว้ให้กูป่ะเนี่ย?”    เขาเปลี่ยนเรื่องก่อนจะหันไปถามไอ้เก้า วิชาที่เขาเพิ่งจะโดดเรียนไปคือวิชาสตรัคเจอร์หรือ Structural System in Architecture เป็นวิชาคำนวณโครงสร้างล้วนๆที่สอนโดยอาจารย์ที่เป็นวิศวกรไม่ใช่สถาปนิกแบบวิชาอื่นๆ ก็ถึงจะไม่ต้องถึงขั้นคำนวณหน้าตัดเสาคานหรือขนาดเหล็กเอง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องแรงต่างๆที่จะมากระทำต่ออาคารของพวกเขานี่นา ไม่ใช่สักแต่ออกแบบไปแล้วสร้างในความเป็นจริงไม่ได้ อะไรประมาณนั้น

 

“ไม่ได้แจกชีตแต่แจกกระดาษคำตอบว่ะ ฮ่าๆๆ”   ไอ้เก้าหัวเราะทั้งน้ำตา สีหน้ามันเหมือนอีกไม่นานคงจะตายด้วยน้ำมือพ่อที่เป็นวิศวกรเช่นกันยังไงอย่างงั้น

 

“กระดาษคำตอบไรวะ? มิดเทอม? แสดงว่าคะแนนมึงห่วยสินะ ก๊ากๆๆๆๆ”    เขาหัวเราะเยาะอย่างไม่มีเกรงใจ

 

“ถ้าไม่มีมึงสักคนเนี่ยยย คะแนนกูก็ไม่จัดว่าห่วยหรอกกก”    ไอ้เก้าหยุมหัวเขาด้วยความหมั่นเขี้ยว

 

เอ้า! เจ้า180 อาจารย์พิพัฒน์ฝากกระดาษคำตอบตอนมิดเทอมมาให้แน่ะ ของมึงนี่ทำไมไม่มีแก้อะไรเลยว้า    ไอ้ธีร์เป็นคนยื่นกระดาษคำตอบแบบอัตนัยล้วนที่ใช้ในการสอบมิดเทอมมาให้เขา โอ้ เขาเพิ่งรู้ว่าอาจารย์เขียนเฉลยและวิธีคำนวณที่ถูกต้องมาให้ด้วย สมเป็นอาจารย์เด็กเนิร์ดคนนั้นจริงๆ

 

หึ! มึงก็ดูตัวเลขบนหัวกระดาษกูซะก่อนสิ จะให้อาจารย์แกแก้อะไรล่ะ?”    นิ้วเรียวจิ้มเลข 96 ที่นับว่าสูงสุดในชั้นปีที่เด่นหราอยู่บนหัวกระดาษให้เพื่อนหมั่นไส้เล่น

 

มึงนี่มันขิงจริงๆนะไอ้เชี่ยพาย มึงควรชื่อขนมปังขิงมากกว่าพายนะว่าไหม? สมน้ำหน้ามึงอยากเก่งดีนัก พ่อมึงถึงบังคับให้มึงเรียนถาปัดไง ก๊ากๆๆ    ไอ้ธีร์สวนกลับ

 

เดี๋ยวกูถีบ    เขายกขาเตะข้อพับขามันไปหนึ่งที

 

ว่าแต่เมื่อกี้มึงเรียกกูว่าเจ้าอะไรนะ? 180?”    เขาถามทวนอีกครั้งเพราะได้ยินไม่ถนัด

 

เออดิ ก็อาจารย์พิพัฒน์เรียกมึงงี้อ่ะ

 

คือไรวะ?”

 

เชี่ยภาคมึงอธิบายดิ๊ กูงงว่ะ    ไอ้ธีร์หันไปโยนให้ไอ้ภาคเฉย

 

ฮ่าๆๆ มึงนี่มัน   เล่นเอาขำกันยกกลุ่ม

 

คืองี้ อาจารย์พิพัฒน์แกบอกว่า องศาของค่าพายคือ180น่ะ แล้วตอนที่อาจารย์แกกำลังคิดอะไรอยู่เลยเผลอเรียกมึงว่า เจ้า180 จารย์แกคงเข้าใจว่าชื่อมึงมาจากตัวพายทางคณิตศาสตร์น่ะ    ไอ้ภาคอธิบายแต่สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้เขาตาโต

 

“180? จริงดิ~ นี่มันพรหมลิขิตชัดๆอ่ะ    ราวกับมีดวงดาวพราวระยับอยู่ในดวงตา เพราะเขาดันนึกถึงชื่อออฟฟิศของอาจารย์องศาขึ้นมาน่ะสิ

 

180 Degree. ที่แปลว่า 180องศา...

 

 

ถ้างั้น...นี่มันก็องศาของพายไม่ใช่เหรอ...

 

 

ห๋า? อะไรของมึงเชี่ยพาย?”    ไอ้ธีร์ถาม

 

เออ ช่างกูเหอะน่า กูขอไปถ่ายรูปใบนี่ส่งให้พ่อกูดูก่อน    เขาบอกปัดด้วยรอยยิ้มกริ่มพร้อมกับเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจคนเดียว ร่างโปร่งบางทิ้งกลุ่มเพื่อนไว้ก่อนจะเดินตัวปลิวไปหาที่ถ่ายรูปกระดาษคำตอบนั่นเงียบๆ

 

“......มันก็เป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอเนี่ย? คะแนนออกก็ส่งให้พ่อดูตลอด    ธีร์มองตามร่างในชุดสีดำนั่นไป

 

เด็กดีก็เวรละ มันจะส่งรูปไปรีดไถของรางวัลจากพ่อมันต่างหาก ละพ่อมันก็ซื้อให้ตลอดนะ เสื้อผ้าเอย รองเท้าเอย กระเป๋าเอย แน่นอนว่าสเกล1:3ทั้งนั้น ฮ่าๆๆ มึงคิดว่าตุ๊กตามันมีชุดใหม่ๆใส่ตลอดนี่เพราะอะไรวะ    เก้าเฉลย

 

โห ไอ้เชี่ยพาย ไอ้ลูกอกตัญญู ละคะแนนที่ไม่ไว้หน้าพวกกูนี่กลายเป็นเสื้อผ้าลูกมึงเองเหรอเนี่ย น่าหมั่นไส้กว่าเดิมไปอี๊ก    ธีร์ตะโกนโวยวายไล่หลังคนที่ยืนถ่ายรูปอยู่ไกลๆ

 

ไหนมึงว่าพ่อมันดุมากไม่ใช่เหรอ?”    ภาคถามทั้งรอยยิ้ม

 

ดุ แต่ก็ตามใจมันชิบหายแหละ   เก้ายักไหล่

 

กูละเพลียกับมันจริงๆ   ธีร์ส่ายหน้า แต่ก็นึกอะไรบางอย่างได้เลยพูดต่อไป

 

แต่กูว่านะ อาจารย์พิพัฒน์ต้องแอบตั้งชื่อเล่นพวกเราเป็นสมการคณิตศาสตร์แหงเลยว่ะ วันหลังลองไปแหย่ถามดูดีไหมวะ?

 

มึงอย่าไปแกล้งอาจารย์    มือของภาคขยี้หัวเพื่อนอย่างห้ามปราม แต่ก่อนจะได้คุยเล่นกันต่อไปก็ได้ยินเสียงข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือเสียก่อน มือใหญ่จึงล้วงมันออกมาจากกระเป๋าหลังแล้วเปิดดู

 

 

[คุณภาคครับ ถ้าพอมีเวลาว่างแล้ว รบกวนโทรกลับหาผมหน่อยนะครับ]

 

 

เป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากพ่อบ้านของเขา?

 

“เดี๋ยวกูไปโทรศัพท์แป๊บ”    เขาบอกเพื่อนไว้ก่อนจะเดินออกไปยังหน้าคณะที่บัดนี้แทบไม่มีคน เสียงรอสายดังอยู่ไม่เท่าไหร่ก็มีคนกดรับ

 

“สวัสดีครับคุณภาค”    เป็นเสียงของชายสูงวัยที่อยู่กับเขามาแต่อ้อนแต่ออก คุณลุงพ่อบ้าน

 

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”   เสียงทุ้มเอ่ยออกไปจากใบหน้าที่ทุกคนลงมติกันแล้วว่าเป็นใบหน้าที่หล่อที่สุดในคณะสถาปัตย์รุ่นปัจจุบัน ตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีห้าไม่มีใครหล่อกว่าเจ้าของทรงผมเดธร็อคคนนี้อีกแล้ว

 

“คือว่า...หม่อมท่านเข้าโรงพยาบาล แต่ท่านไม่ยอมให้ผมบอกคุณภาค...”    แล้วสิ่งที่ได้ยินก็ทำเอาดวงตาเบิกกว้าง เสียงทุ้มถามกลับไปอย่างร้อนใจ

 

“คุณย่าเข้าโรงพยาบาล? เป็นอะไรครับ? แล้วเป็นนานรึยัง?”

 

“....คือ...ท่านล้มในห้องน้ำเมื่อคืนครับ...”    เสียงของลุงพ่อบ้านไม่ฉะฉานเหมือนเก่า อาจจะเป็นเพราะแอบมาบอกเขาทั้งที่ถูกคุณย่าห้ามไว้ แต่ถึงอย่างนั้นมันใช่เรื่องไหมที่จะปิดบังเขา

 

“ทำไมไม่โทรบอกผมล่ะ?! ถึงท่านจะห้ามยังไงแต่ลุงก็ควรจะโทรบอกผมนะครับ”     เสียงทุ้มดุออกไป

 

“....ผมขอโทษจริงๆครับ...”

 

“เอาเถอะ แล้วตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้างครับ? ไม่สิ อยู่ศิริราชใช่ไหมครับ? เดี๋ยวผมข้ามไปก็แล้วกัน”    ดีที่ตอนนี้เขาอยู่มหาลัยและศิริราชก็ใกล้แค่แม่น้ำเจ้าพระยากั้น

 

“ครับ ตอนนี้ท่านหลับอยู่ครับ ส่วนที่ว่าท่านเป็นอะไรมากไหม...เอาไว้คุณภาคมาค่อยคุยกันก็แล้วกันครับ...”    คิ้วได้รูปขมวดมุ่น หรือจะร้ายแรงจนไม่อยากคุยทางโทรศัพท์กันนะ? เพราะถ้าไม่ได้เป็นอะไรมากลุงพ่อบ้านคงจะบอกให้เขาสบายใจไปแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร

 

“ครับ ผมจะรีบไปครับ”

 

“มีไรวะ? หน้าเครียดเชียวมึง”    ธีร์เอาท่อนแขนพาดมาที่คอหลังจากที่เขากดวางสายโทรศัพท์ ความกังวลคงจะออกไปทางสีหน้าจนพวกมันสี่คนหันมามองอย่างสงสัย

 

“ย่ากูเข้าโรงบาลว่ะ เดี๋ยวกูข้ามไปดูหน่อย”   เขาขมวดคิ้วอย่างรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย เพื่อนๆเขาก็ทำหน้าตกใจเช่นกัน

 

“หม่อมย่ามึงเป็นไรวะ? แล้ว ให้พวกกูไปด้วยไหม?”   ไอ้สี่ตัวนี้รู้จักย่าเขาเป็นอย่างดีเพราะเจ้าของเรือนริมน้ำที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในตอนนี้ก็คือบ้านของย่าเขานี่เอง ถึงจะบอกว่าเช่าแต่ย่าเขาก็เก็บค่าเช่าแค่เดือนละหลักร้อยเอาไว้แก้เคล็ดเท่านั้น พวกมันจึงเทิดทูนย่าเขาราวกับนางฟ้านางสวรรค์

 

“ลุงพ่อบ้านบอกว่าล้มในห้องน้ำเมื่อคืน เดี๋ยวกูไปดูก่อนแล้วกัน ถ้าให้เยี่ยมได้กูค่อยบอกพวกมึง”   มือใหญ่ยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดก่อนจะเตรียมตัว

 

“เออ มึงไปเหอะ ศิริราชใช่ไหม?”   ธีร์บีบไหล่ให้กำลังใจก่อนจะปล่อยมือให้เขาไป

 

“อืม”

 

“มีไรก็โทรบอกนะโว้ย”   เก้าร้องบอกอย่างห่วงใยไล่หลังเขามา

 

“เออ”    มือใหญ่ยกขึ้นโบกก่อนจะเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยเพื่อเดินไปยังท่าเรือข้ามฟาก

 

จากท่าช้างข้ามไปยังวังหลังนั้นใช้เวลาไม่ถึงห้านาที แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความกังวลจึงทำให้มันเหมือนจะผ่านไปนานแสนนาน

 

เขาสนิทกับคุณย่ามากที่สุดในบ้าน เพราะเขาแทบจะถูกคุณย่าเลี้ยงดูมาแทนพ่อแม่  เขามีแต่คุณย่าเพียงคนเดียวที่รับฟัง เข้าข้างและสนับสนุนไม่ว่าเขาจะชอบอะไรหรืออยากเดินไปในเส้นทางไหน

 

ต่างจากพ่อ...ที่ไม่เคยเห็นด้วยเลยในสิ่งที่เขาเป็น

 

พ่อไม่ได้เลี้ยงเขาแบบเพื่อนเหมือนพ่อของพายกับเก้า  ไม่ได้อบอุ่นใจดีเหมือนพ่อของธีร์ ไม่ได้ลูกข้าใครอย่าแตะแบบพ่อของไม้  แต่พ่อของเขาเย็นชาและเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ พอเขาไม่ยอมเดินตามทางที่พ่อขีดไว้ให้จึงได้ทะเลาะกันยกใหญ่ แม้แต่ตอนนี้ยังแทบไม่ได้คุยกันเลย

 

เขาไปถึงโรงพยาบาลศิริราชและลุงพ่อบ้านก็ลงมารับเขาที่ใต้ตึกปิยมหาราชการุณย์   

 

ร่างสูงสง่ายืนมองคุณย่าที่นอนหลับอยู่บนเตียง คุณย่ายังดูไม่แก่มากนักหากเทียบกับคนในวัยเดียวกันจนมันทำให้เขาหลงลืมไปว่าอายุคุณย่าก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว ท่านไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้มาก่อนเขาจึงค่อนข้างจะกังวล

 

เท่าที่เขาฟังจากลุงพ่อบ้าน คุณย่าปวดท้องจนหน้ามืดในห้องน้ำ หมอตรวจจึงพบว่ามีก้อนเนื้อที่ลำไส้แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นเนื้อร้ายไหม ต้องรอผลตรวจอย่างละเอียดก่อน

 

“คุณภาคกลับไปก่อนก็ได้นะครับ ทางนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง”    ลุงพ่อบ้านบอกด้วยความหวังดีเพราะลุงเองก็รู้ว่าเขามีงานต้องส่งเยอะ คุณย่ามักจะเอาเรื่องของเขาไปคุยโม้ให้บรรดาพ่อบ้านแม่บ้านในบ้านฟังอยู่ตลอด

 

“ครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปก่อน เคลียร์งานที่ต้องส่งเสร็จแล้วเดี๋ยวคืนนี้ผมกลับมาใหม่ครับ ตอนนั้นคุณย่าก็น่าจะตื่นแล้ว ลุงเตรียมตัวโดนดุเถอะครับ”    เขายิ้มอย่างให้กำลังใจชายสูงวัยที่อยู่กับเขามานาน

 

ร่างสูงสง่าแม้จะอยู่ในลุคที่ดูเซอร์มากๆแต่ก็ยังบดบังรัศมีคุณชายไม่พ้นค่อยๆก้าวเดินออกมาจากห้อง ถึงในหัวจะมัวแต่ครุ่นคิดจนติดจะเหม่อลอยน้อยๆ แต่เงาวูบไหวของใครบางคนที่วิ่งหนีไปก็ทำให้ฝ่าเท้าถึงกับชะงักงัน

 

นั่นมัน...

 

ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ ขายาวรีบวิ่งตามไปทันที แล้วด้วยความที่เขาสูงมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การกระโดดข้ามราวกันตกเพื่อไปสกัดอีกฝ่ายที่กำลังวิ่งลงทางลาดไปจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย

 

“หยุด!    มือใหญ่กระชากหลังคอเสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายสวมไว้ ร่างที่เล็กกว่าเขาพอสมควรจึงถูกหิ้วต่องแต่งเหมือนลูกหมา

 

“ภูมิ? ทำไมนายมาอยู่ที่นี่?”     หมอนี่คือน้องชายของเขาเอง

 

“...........”     อีกฝ่ายไม่ตอบเขาจึงปล่อยคอเสื้อลง ที่เขาประหลาดใจที่ได้เห็นเจ้าเด็กนี่อยู่ตรงนี้นั่นก็เพราะว่า

 

“ตอนนี้นายต้องอยู่ที่ออสเตรียสิ? อย่าบอกนะว่า...”

 

“อืม ผมหนีกลับมา”    น้องชายพยักหน้ายอมรับผิดและมันก็ทำให้เขาอึ้งไป

 

“อ่า....”

 

“พี่ อย่าบอกพ่อนะ”    ภูมิเอื้อมมือมาจับแขนเขาก่อนจะขอร้องที่เกือบๆจะเป็นการอ้อนวอน เขาจึงได้แต่มองใบหน้าที่ดูไม่มีความสุขนั่นด้วยสายตาเห็นใจ

 

“..........ทำอย่างกับว่าฉันได้คุยกับพ่องั้นแหละ แล้วนี่นาย...หนีมาหาคุณย่างั้นเหรอ?”     เขาเผลอหันมองรอบกายตามสัญชาตญาณ พ่อน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้รวมถึงเรื่องที่คุณย่าป่วยด้วย

 

“อื้ม ผมไม่อยากอยู่ที่นู่น ผมอยากกลับมาอยู่ที่นี่ ที่นู่นผมไม่รู้จักใครสักคน ผมอยากอยู่กับเพื่อนของผม”    ภูมิระบายออกมาเป็นชุด อันที่จริงพวกเขาเป็นพี่น้องที่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ ภูมิมักจะคอยมองเขาอยู่ไกลๆและเขาก็ไม่ค่อยได้สนใจอีกฝ่ายเพราะคิดมาตลอดว่ายังไงเจ้าเด็กนี่ก็คงจะเลือกทำตามที่พ่อบอก

 

“......นายหายตัวไปแบบนี้ เดี๋ยวพ่อกับแม่นายก็ต้องรู้อยู่ดี”   ที่ไม่พูดแค่ “พ่อกับแม่” นั่นก็เพราะภูมิเป็นน้องชายคนละแม่ แม่ของภูมิไม่ใช่แม่ของเขา

 

“พี่ ช่วยผมด้วย ผมไม่อยากกลับไปจริงๆ”    ใบหน้าที่ไม่ได้คล้ายเขานักเงยมองขึ้นมาอย่างอ้อนวอน นี่คงตั้งใจจะมาขอร้องให้คุณย่าช่วย แต่คุณย่าดันเข้าโรงพยาบาลเสียก่อน เจ้าเด็กนี่จึงไม่เหลือใครแล้วนอกจากพี่ชายอย่างเขา ภูมิถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่นู่นและพ่อจะรู้เรื่องที่อีกฝ่ายหนีกลับมาเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว

 

“เฮ้อ...ฉันจะช่วยนายได้ยังไงกัน ดูตัวฉันเองเสียก่อนเถอะ”    เขาถอนหายใจ เรื่องคุณย่าก็ทำให้เขาเพลียมากแล้ว ถ้าต้องมายุ่งเรื่องของน้องชายอีก...

 

“.......”    แต่เจ้าเด็กตรงหน้าก็ยังคงมองมาที่เขาด้วยดวงตาราวกับลูกกระรอก เขาไม่ได้เกลียดน้องชายต่างแม่คนนี้หรอก ออกจะสงสารเสียด้วยซ้ำ

 

เพราะเขาขบถจนพ่อบังคับเขาไม่ได้จึงเริ่มถอดใจจากลูกชายคนโตอย่างเขาไปแล้ว พ่อจึงเอาทุกอย่างไปลงที่ภูมิแทน เด็กคนนี้จึงต้องรับความกดดันพวกนั้นมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังเป็นลูกภรรยาคนที่สองจึงถูกจับตามองมากกว่าเขามาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดพลาดไม่ได้เลย ตอนเด็กๆที่ยังไม่มีความคิดความต้องการเป็นของตัวเองมันก็ยังไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอโตขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีสิ่งที่อยากทำ เริ่มไม่อยากเดินตามทางที่พ่อวางไว้  ไม่ช้าภูมิก็คงจะกลายเป็นเด็กเกเรในสายตาพ่อแบบเขาแน่ๆ

 

“พี่...”    มือที่เริ่มจะใหญ่ขึ้นจับชายเสื้อเขา ภูมิเองก็ไม่ได้เกลียดเขา กลับจะมองพี่ชายอย่างเขาด้วยสายตาภาคภูมิใจด้วยซ้ำ แต่เขาจะปกป้องเด็กคนนี้ได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อเขายังไม่มีอะไรสักอย่าง

 

“เฮ้อ...”    ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจยาว

 

“เข้าใจแล้ว”    เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งโลเคชั่นหนึ่งไปให้ภูมิ

 

“นั่นเป็นบ้านของฉัน ถ้ามีอะไรก็ไปที่นั่น ยังไงก็รอให้คุณย่าหายดีก่อนท่านถึงจะช่วยนายได้ ระหว่างนี้นายก็อย่าไปก่อเรื่อง เข้าใจไหม?”

 

“ครับ”   น้องชายมองกลับมาด้วยดวงตาเป็นประกายทันที

 

“แล้วตอนนี้นายพักอยู่ที่ไหน? ไม่น่าจะอยู่ที่บ้านคุณย่า?”

 

“อยู่บ้านเพื่อนครับ”

 

“มีแต่คนเค้าอยากไปเรียนเมืองนอก แต่นายกลับหนีมาซะงั้น”

 

“ให้พี่ไปแทนเอาไหมล่ะครับ”     เขาถึงกับเข่นหัวเราะอย่างเข้าอกเข้าใจ ที่ที่พ่ออยู่ต่อให้เป็นสวรรค์ชั้นไหนก็ไม่มีทางมีความสุขไปได้หรอก

 

“งั้นผมไปก่อนนะพี่ ผมแวะมาดูคุณย่าแป๊บเดียว”

 

“เดี๋ยว แล้วนายมีเงินใช้หรือเปล่า?”    พ่อน่าจะเข้มงวดกับภูมิเรื่องการใช้เงินมาก ไม่ใช่สายเปย์หลานไม่ลืมหูลืมตาอย่างคุณย่า แถมเจ้าเด็กนี่ยังต้องเอาเงินทั้งหมดมาซื้อตั๋วเครื่องบินอีก ตอนนี้คงแทบไม่มีเงินติดตัว

 

“....มีอยู่นิดหน่อยครับ...”

 

“ส่งเลขบัญชีมา เดี๋ยวฉันโอนให้ จะไปรบกวนเพื่อนอย่างเดียวไม่ได้นะ”

 

“ครับ...ขอบคุณครับ...”    แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าภูมิมองเขาอย่างกับเป็นไอดอล ถึงเขาจะถูกพ่อตัดหางปล่อยวัดมานานแม้แต่ค่าเทอมพ่อก็ไม่ยอมจ่ายให้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเขามีคุณย่าคอยถือหางอยู่ เขาจึงยังคงถูกเลี้ยงดูไม่ต่างจากคุณชายคนหนึ่งของตระกูลนั่นแหละ เพราะถ้าพูดถึงทายาทสืบสกุล ยังไงหลานชายคนโตที่ชาติตระกูลดีพร้อมอย่างเขาก็ยังคงเป็นที่ยอมรับของวงสังคมมากกว่า

 

เขาแยกกับน้องชายตรงใต้ตึกก่อนที่สองขาจะเดินไปเรื่อยๆ ไม่อยากกลับไปด้วยสภาพที่อะไรยังเต็มหัวและในใจยังหนักอึ้งอยู่แบบนี้เลยแหะ เขาไม่อยากให้ไอ้สี่ตัวนั้นเป็นห่วง

 

ขายาวจึงหยุดนั่งพักที่สนามเด็กเล่นเล็กๆที่แทรกตัวอยู่ในโรงพยาบาล เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆทำให้เขาหันไปสนใจและทำให้เลิกคิดถึงเรื่องที่หนักอยู่ในใจไปได้บ้าง

 

เขานั่งมองเด็กๆเล่นกันไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะลุกไปเล่นด้วยจึงเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับผู้คนที่มองมา

 

เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กทั้งหมดใส่ชุดผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ...เป็นคนไข้ของที่นี่หรอกเหรอ?

 

แล้วจู่ๆใบหน้าเล็กๆพวกนั้นก็หันไปในทิศทางเดียว พร้อมกับเสียงตะโกนออกมาแทบจะพร้อมเพรียง

 

“คุณหมอ~  

 

เขามองเห็นร่างในชุดกาวน์ร่างหนึ่งเดินสะโหลสะเหลออกมา เด็กๆต่างพร้อมใจกันกรูเข้าไปดึงร่างที่แทบจะปลิวได้นั่นให้มาเล่นด้วยกัน

 

ใบหน้าที่เหนื่อยล้าดูไม่ได้อยากจะเล่นด้วยแต่ก็ปฏิเสธเด็กๆไม่ได้ ก็เลยถูกลากไปอย่างมึนงง

 

ท่าทางเหมือนจะหมดแรงให้ได้แต่ก็ต้องวิ่งไล่จับกับเด็กๆแบบนั้นชวนให้เขารู้สึกขำ ร่างสูงใหญ่จึงนั่งมองไปก็แอบหัวเราะไป

 

เป็นหมอเด็กนี่ต้องลำบากลำบนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? เท่าที่เขารู้ก็เหมือนจะไม่ใช่นะ? ฮะฮะฮะ

 

เขานั่งมองจนคุณหมอไล่ต้อนเหล่าลูกเจี๊ยบเข้าตึกไปจนหมด ...เย็นขนาดนี้แล้วเหรอ

 

น่าแปลกที่ภาพของใครคนหนึ่งซึ่งไม่ได้รู้จักกันกลับทำให้เขาสบายใจ สิ่งที่หนักอึ้งอยู่ข้างในดูเหมือนพอจะปล่อยวางลงไปได้บ้าง เขาจึงลุกจากม้านั่งแล้วเดินจากไป

 

 

 

 

เย็นวันถัดมา...เขาก็ยังมานั่งที่สนามเด็กเล่นแห่งนั้นอีก 

 

เย็นวันถัดๆมาก็เช่นกัน...

 

ก็ภาพคุณยักษ์ในเสื้อกาวน์ที่วิ่งอย่างเชื่องช้าเพื่อไล่ต้อนเด็กๆพวกนั้นมักจะทำให้เขาเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว

 

เขาจึงชอบมาที่นี่

 

 

 

 

การที่คุณย่ากลับมาสดใสร่าเริงในระหว่างที่ยังรอผลตรวจชิ้นเนื้อก็ทำให้เขาทั้งเบาใจแต่ก็ยังไม่คลายความกังวล พอตรวจแบบร่างเสร็จเขาจึงรีบตรงดิ่งจากมหาลัยมาโรงพยาบาลทันที

 

แต่ดูเหมือนวันนี้จะคนเยอะเป็นพิเศษเลยแหะ? ที่หน้าลิฟท์มีคนรออยู่เยอะมาก จนลิฟท์ขึ้นไปสามสี่รอบแล้วก็ยังไม่ถึงคิวเขาสักที ใบหน้าภายใต้กรอบผมเดธร็อคจึงเริ่มหันมองหาบันได

 

แต่จู่ๆก็มีนิ้วของใครบางคนมาสะกิดแขนเขาเบาๆ

 

“ข้างในมีลิฟท์อีกตัวนะครับ มากับหมอสิ”    เป็นคุณหมอเด็กที่เขาชอบไปนั่งดูบ่อยๆนั่นเอง

 

ร่างสูงจึงเดินตามไป ดวงตาเยือกเย็นเหลือบมองแผ่นหลังที่อยู่ในเสื้อกาวน์ หรือเขาจะมองจนคุณหมอรู้ตัวแล้วกันนะ?

 

“ขอบคุณครับ”     เขาเอ่ยคำขอบคุณโดยไม่ได้กล่าวทักทายใดๆ ไม่ได้ถามด้วยว่าจำเขาได้งั้นเหรอ? เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำความรู้จักอีกฝ่าย อีกไม่นานพอคุณย่าออกจากโรงพยาบาลเขาก็คงจะลืมเลือนเรื่องของที่นี่ไป ไม่ต่างจากคนบนท้องถนนที่เดินสวนกันอยู่ทุกๆวัน

 

แต่อย่างน้อยนี่ก็คือครั้งแรกที่เขาได้เห็นคุณหมอใกล้ๆ ร่างในเสื้อกาวน์สีขาวนั่นดูสะอาดสะอ้านหมดจดจนแม้แต่ใบหน้า แล้วยิ่งสวมแว่นตากรอบบางแบบนี้ก็ยิ่งดูเป็นหมอแบบสุดๆ

 

ความเนี้ยบความเรียบร้อยแบบนั้นเรียกว่าตรงกันข้ามกับเขาเลย

 

เขายังคงยืนรอลิฟท์ขึ้นโดยไม่พูดอะไร ดวงตาเผลอเหลือบไปมองแฟ้มที่คุณหมอถืออยู่ดูเหมือนจะมีชื่อคุณหมออยู่บนปกแฟ้มด้วย

 

นพ.กังหัน ชญวนิช ?

 

ชื่อกังหัน?

 

เป็นชื่อที่แปลกดีแหะ

 

และก็เพราะความแปลกแบบนั้นแหละเลยทำให้เขาจำได้ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะจำด้วยซ้ำ

 

 

  

 

 

 

พอการสอบกลางภาคผ่านไปแบบไม่ทันรู้ตัว อีกสิ่งหนึ่งที่กำลังจะจบตามไปนั่นก็คือการรับน้องของคณะสถาปัตย์

 

“ก้มหน้าลงไป!  

 

“ก้มหน้าลงไป!   

 

“ก้มหน้าลงไป!   

 

เสียงตะโกนก้องไล่เรียงราวกับเอคโค่ออกจากปากของพี่ว๊ากทั้ง9คน นี่คงจะเป็นการซ่อมครั้งสุดท้ายในฐานะพี่ว๊ากของเขาแล้ว

 

ใบหน้ามนเหลือบมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่กับกลุ่มอาจารย์ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของที่นี่และยืนแทรกอยู่ในวงล้อมของนักศึกษาเกือบจะทุกชั้นปีที่ต่างก็มาดูน้องๆด้วย อาจารย์องศา...อยู่ตามที่สัญญากับเขาไว้จริงๆสินะ

 

“ก้มหน้าแล้วเดินตามพี่ของพวกคุณไปครับ”    พวกน้องปีหนึ่งต่างจับมือและเดินแถวต่อกันตามกลุ่มพี่ใจดีไป ดาดฟ้าของคณะที่เคยคราคร่ำไปด้วยผู้คนจึงแทบจะว่างโล่งในทันที เพราะคืนนี้ไม่ใช่คืนที่มีปาร์ตี้ทั่วไป แต่มันคือคืนศุกร์ดิบซึ่งจะเป็นคืนสุดท้ายในการรับน้อง

 

“ไม่ตามน้องๆของคุณไปเหรอครับ?”    อาจารย์องศาเอ่ยออกมาเมื่อเขาเดินไปหา ร่างสูงใหญ่ยืนรอเขาอยู่ที่มุมหนึ่งของราวกันตก

 

“หมดหน้าที่พี่ว๊ากแล้วครับ แล้วอาจารย์ก็รู้นี่ครับว่าต่อจากนี้มันจะมีอะไร ผมไม่อยากเห็นหรอกครับ”    เขาทำหน้าแหยงๆอาจารย์องศาจึงหัวเราะออกมา

 

คืนนี้พวกน้องๆต้องนอนรวมกัน โดยน้องผู้หญิงจะถูกแยกไปนอนที่บ้านของเพื่อนเขา ส่วนน้องผู้ชายจะนอนที่สตูปีสาม เพราะพรุ่งนี้เช้าจะยังมีการรับน้องอีกทั้งวันเป็นการส่งท้าย

 

ร่างโปร่งบางขยับไปยืนพิงราวกันตกที่สูงเกือบหน้าอกไว้ ก่อนจะทอดสายตามองมุมสูงของวัดพระแก้วยามค่ำคืน บรรยากาศสุดแสนโรแมนติกทำให้ใบหน้ามนพูดออกไป

 

“เป็นมุมที่เหมาะกับการสารภาพรักสุดๆเลยว่าไหมครับ?”    สายลมเย็นๆพัดให้เส้นผมสีดำคลอเคลียแก้มใสไปมา อาจารย์องศาหัวเราะเบาๆในขณะที่ยังยืนหันหลังพิงราวกันตก

 

“คุณจะสารภาพรักต่อหน้าวัดพระแก้วเนี่ยนะครับ?”    ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคอมาหยอกเย้า

 

“ใช่สิครับ ก็เหมือนสาบานต่อหน้าศาลเจ้าพ่อไง โรแมนติกออกจะตาย  ถ้าทิ้งผมละก็...ขอให้เจ้าพ่อหักคองี้ ผมจะตามจองล้างจองผลาญไปจนถึงชาติหน้าเลยงี้ ประมาณนี้ดีไหมครับ?”    เขาจึงหยอกเย้ากลับ

 

“ดุจัง”    อาจารย์องศาหันมายิ้มให้

 

“ก็ต้องดุสิครับ ผมเป็นเด็กโกธิคพังก์นะ”

 

“เหรอครับ ผมนึกว่าลูกแมวสีดำ”    เขาเลยทำท่าขู่เหมือนแมวส่งให้หนึ่งที อาจารย์องศายิ้มราวกับหยุดไม่ได้ก่อนจะพยายามเสหน้าไปมองอย่างอื่น เขินเหรอ? อาจารย์เขินด้วย น่ารักจัง~

 

“อาจารย์”    เสียงนุ่มเอ่ยเรียกในขณะที่เอาแขนพาดไปบนราวกันตกแล้วแนบหน้าลงไป บรรยากาศตอนนี้กำลังดีเลยแหะ

 

“ครับ?”   

 

“อาจารย์รู้ไหมครับว่าองศาของค่าพายเป็นเท่าไหร่?”    เขาตะแคงใบหน้ากลับมามองด้วยสายตาลึกซึ้ง

 

“หื๋ม?”    อาจารย์องศาเองก็ก้มมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ได้ต่างกัน  คนส่วนใหญ่จะรู้แค่ว่าพาย=3.14 แต่กลับไม่ค่อยมีใครสนใจองศาของพายนัก

 

180องศาครับ...พาย...มีค่าเท่ากับ180องศา”    ใบหน้ามนฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ เส้นผมสีดำที่มัดเป็นก้อนดังโงะทำให้ใบหน้าเขาดูละมุนละไมจนอาจารย์องศาอึ้งไป

 

“.......”  

 

“บังเอิญมาก”     เสียงทุ้มเอ่ยออกมาทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของเขา

 

“เพราะ180เป็นเลขที่ผมชอบ ผมก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อออฟฟิศไงครับ 180องศา  180 Degree.    อาจารย์องศาเอ่ยออกมาอย่างทึ่งๆ เพราะอยู่ดีๆก็เหมือนกับจะมีชื่อของเขาไปอยู่ในชื่อออฟฟิศของอาจารย์ซะงั้น

 

เขาต้องอาการหนักแล้วแน่ๆ เพราะแค่อาจารย์องศาบอกว่าชอบเลข180 เขาก็รู้สึกเหมือนกับอาจารย์บอกชอบเขาซะแล้ว...

 

“เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่ในโลกหรอกนะครับ มีแต่พรหมลิขิต”   เขายิ้มในขณะที่เอ่ยเย้าแหย่ออกไป

 

“ฮึ...เอามาจากไหนครับ?”

 

“ในการ์ตูนเรื่องXXX Holicไง ดังจะตาย อาจารย์ไม่รู้จักเหรอ?”

 

“ผมไม่เคยดูน่ะสิ คุณนี่ก็ดูการ์ตูนกับละครเยอะเหมือนกันนะ เรื่องอะไรนะที่คุณเล่าให้ผมฟังตอนไปดูโรงพยาบาลด้วยกัน”

 

“ลิขิตรักลำเค็ญ...ใครมันสอนให้ตั้งชื่อแบบนี้นะ?! แล้วก็ไม่ใช่ผมที่ดูนะครับ พ่อผมต่างหาก”

 

“ฮึ ฮ่าๆๆ”    อาจารย์องศาเงยหน้าหัวเราะกับสายลม ภาพที่เขาเห็นในตอนนี้ทั้งชวนให้ใจสงบและชวนให้ใจเต้นระรัว  เขาต้องห้ามตัวเองแทบตายไม่ให้โผเข้าไปกอดร่างสูงใหญ่ของอาจารย์องศา

 

“พายุ”    จู่ๆใบหน้าที่ทอดสายตามองท้องฟ้ายามราตรีก็เอ่ยเรียกชื่อเขา

 

“ครับ?”

 

“ผม...เจอกับพ่อของคุณมา เราคุยกัน...เรื่องของคุณ”

 

“อ๊ะ?!    หัวใจดวงน้อยแทบจะหล่นวูบ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าพ่อรู้เรื่องเขากับอาจารย์องศาแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะเจอกันเร็วขนาดนี้ เขาไม่รู้เลยว่าพ่อจะทำอะไรบ้าๆลงไปหรือเปล่า จะไปเจรจาต่อรองอะไรกับอาจารย์หรือเปล่า เพราะเขารู้ว่าพ่อเขาก็ไม่ใช่คนดี เจ้าหมอนั่นมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเลยแหละถึงได้บริหารออฟฟิศจนใหญ่โตอย่างรวดเร็วได้ขนาดนี้ แถมยังมีลูกบ้าที่หาที่ไหนไม่ได้อีก

 

“ไปเจอกันที่ไหนเมื่อไหร่ครับ?”    เขาถามออกไปอย่างร้อนลน

 

“บังเอิญเจอกันที่สภาสถาปนิกเมื่อวันก่อนครับ”    เสียงทุ้มยังคงเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย แต่ความราบเรียบในน้ำเสียงนี้ก็ยังไม่อาจทำให้เขาวางใจได้ ถึงจะรู้ว่าอาจารย์องศาไม่ใช่คนที่จะสั่นคลอนได้ง่ายๆ แต่พ่อของเขาก็ไม่ธรรมดา ถ้าไม่หนักแน่นราวกับหินผาแล้วละก็ อาจจะโดนพ่อเขาตีแตกได้ไม่ยากเลย

 

“อาจารย์...อาจารย์อย่าไปฟังพ่อผมนะครับ ไม่ว่าพ่อจะยื่นข้อเสนออะไรไปหรือข่มขู่อาจารย์ยังไงก็อย่าไปฟังนะครับ”    มือบางเอื้อมไปจับแขนแข็งแรงอย่างร้อนใจ

 

“ผมสัญญา ไม่ว่าพ่อผมจะเสนอเงินให้เท่าไหร่ผมก็จะทำงานหามาให้อาจารย์เท่านั้น หรือถ้าพ่อผมข่มขู่อะไรก็ไม่ต้องกลัว ผมจะปกป้องอาจารย์เอง ผมปกป้องอาจารย์ได้ จริงๆนะครับ”    มือบางทาบไปที่หน้าอกของตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวเขา

 

“อาจารย์...ต้องเลือกผมนะ”    และคำพูดที่เอ่ยออกมาพร้อมกับใบหน้ากังวลก็ทำให้ร่างสูงใหญ่เผยรอยยิ้มจางๆ

 

มือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแบบผู้ชายประคองไปที่แก้มใสก่อนจะลูบไล้อย่างปลอบโยน

 

ที่เขาเล่าให้ฟังเขาไม่ได้อยากจะให้พายุกังวลแบบนี้ แต่พอได้เห็นว่าคนตรงหน้าก็คิดมากเรื่องของเขาอยู่เช่นกันเขาก็ดีใจ เสียงทุ้มจึงเอ่ยออกไปด้วยความหนักแน่น

 

“ถ้าผมเลือกหน้าที่การงานหรือว่าเงิน...ผมก็คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้กับคุณหรอกนะครับ”

 

ถ้าเขาเลือกหน้าที่การงานหรือว่าเงิน เขาก็คงไม่คิดจะชอบพายุตั้งแต่แรกแล้ว

 

“โล่งอกไปที...”    พายุคลอเคลียแก้มเนียนนุ่มเข้ากับฝ่ามือของเขาราวกับลูกแมว มือบางทั้งสองข้างยังเอื้อมมาจับฝ่ามือข้างนั้นเอาไว้อีกด้วย ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาอุ่นวาบ

 

“แต่พ่อคุณเสนอเงินให้ผมห้าสิบล้านเลยนะ”    ใบหน้าหล่อเหลาหยอกเย้าเมื่อเริ่มคลายกังวล

 

“ห๊ะ? ไอ้เจ้าพ่อบ้านั่น ดูละครมากไปแล้ว! เดี๋ยวผมจะกลับไปพังโทรทัศน์ทิ้งให้หมดเลยคอยดู”    พายุทำหน้าฟึดฟัดซึ่งน่ารักมาก

 

“อืม...แต่ถ้าคิดอีกที...ห้าสิบล้านนี่ก็อาจจะเหมาะสมแล้วก็ได้นะครับ...กับค่าสินสอดที่จะใช้ในการสู่ขออาจารย์”   ร่างโปร่งบางยกมือขึ้นมาลูบคาง

 

“คุณจะให้พ่อมาขอผมเหรอ?”    จากเงินฟาดหัวกลายเป็นสินสอดไปซะงั้น ถ้าพี่ภพได้ยินคงลมจับ

 

“ครับ เรียนจบเมื่อไหร่ผมจะยกขันหมากไปเลย”     พายุแสยะยิ้มและนั่นก็ทำให้เขาทนไม่ไหวจริงๆ

 

“อุ๊บ...ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ”    เขาหัวเราะออกไปอย่างที่ไม่มีวันทำแบบนี้กับใคร เขาเอ็นดูเจ้าเด็กโกธิคพังก์นี่ไม่ไหวแล้วจริงๆ ทั้งแมนทั้งห้าวหาญสุดๆเลยนะเจ้าปีศาจตัวน้อยของเขา น่าจะเป็นที่การเลี้ยงดูนั่นแหละถึงได้ทำให้พายุไม่เคยกลัวใคร ถึงภาพลักษณ์จะไม่ได้ดุดันเหมือนพี่ภพแต่พายุก็ใจนักเลงมากทีเดียว อารมณ์เหมือน...หลานสาวกำนัน?

 

กว่าเขาจะหยุดหัวเราะได้ก็ผ่านไปอีกหลายนาที ใบหน้าราวกับรูปสลักเริ่มเอ่ยออกไปอีกครั้งด้วยเสียงทุ้มน่าฟัง

 

“คุณรู้ไหม...ว่าผมเองก็คิดเรื่องของคุณมาเยอะเลยนะ ผมเคยคิดจะหยุดมันไว้แค่นี้ด้วย...แต่ผมก็ทำไม่ได้จริงๆ”

 

“ผมไม่รู้ว่าในชีวิตนี้ผมจะได้เจอคนแบบคุณอีกหรือเปล่า ผมไม่อยากปล่อยให้คุณหลุดมือไปเลย แต่ความผิดชอบชั่วดีก็ทำให้ผมต้องคิดมากกว่าครั้งไหนๆ คุณเป็นเด็กผู้ชายแล้วก็เป็นลูกศิษย์ของผม ดูยังไงมันก็ไม่เหมาะสม แต่ผม...ก็ปล่อยมือจากคุณไม่ได้”

 

“อาจารย์ อย่าปล่อยนะครับ จับผมไว้ให้แน่นๆนะครับ”    พายุรีบบอกเขาด้วยสีหน้าจริงจังและนั่นก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกไป

 

“มาถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้คุณอยากหนีผมก็ไม่มีวันปล่อยคุณไปแน่ครับ”    เขายิ้มให้ใบหน้าที่ค่อยๆแดงระเรื่อ

 

“อึ้ก....”    พายุอายม้วนจนแทบจะกลายเป็นกระดาษทิชชู เขายืนมองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู

 

“ลงไปข้างล่างไหมครับ บนนี้ลมเริ่มแรงแล้ว”

 

“ครับ...”

 

พวกเราเดินผ่านหน้าสตูปีสามที่ยังคึกคักและมีเสียงดังเฮฮา แถวนี้ยังมีคนอยู่เต็มไปหมดและเหล่านักศึกษาก็ต่างทักทายอาจารย์องศาอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร

 

แกร่ก

 

จนกระทั่งพวกเขากลับเข้ามายังห้องพักอาจารย์บนชั้นสาม ความเงียบสงบจึงหวนกลับมาอีกครั้ง

 

“ได้ยินมาว่าอาจารย์อาสาจะอยู่ดูแลพวกผมแทนอาจารย์วิชิตเหรอครับ?”    ความจริงอาจารย์ที่รับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยของกิจกรรมรับน้องในคืนนี้คืออาจารย์วิชิตแต่เจ้าตัวกลับถูกเขาไล่ให้กลับบ้านไปแล้ว

 

“ครับ อาจารย์วิชิตสภาพดูแย่มากจริงๆ ผมเลยให้เขากลับไปพัก”    เป็นหวัดให้ฟอดแบบนั้นเดี๋ยวมานอนตายคาห้องพักของเขาจะลำบากเอา

 

“ให้อาจารย์เด็กๆท่านอื่นอยู่แทนก็ได้นี่ครับ?”    พายุยังคงถามจี้และเขาก็รู้ทันว่าเจ้าตัวดีต้องการอะไร

 

“คุณ...อยากได้ยินว่า ผมอยู่เพราะคุณสินะ?”    ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มนิดๆ

 

“คิก~ แล้วใช่หรือเปล่าล่ะครับ?”

 

“ก็ใช่นั่นแหละครับ”    อาจารย์องศากลับยอมรับหน้าตาย

 

“......”     จึงเป็นใบหน้าใสที่นิ่งไปพร้อมกับไอร้อนผ่าว นี่สินะที่เขาว่าเป็นแค่ลูกแมวไม่ควรจะไปแหย่หนวดราชสีห์ อาจารย์องศาสวนกลับมากี่ดอกก็ทำเอาเขาตายได้ทุกดอกเลยจริงๆ

 

 

อาจารย์องศาย้ายไปนั่งลงที่หลังโต๊ะทำงานตัวเองส่วนร่างโปร่งบางก็กำลังใช้กระจกหน้าต่างแทนกระจกเงาอยู่

 

มือบางแกะผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงหลังจากถูกลมบนดาดฟ้าโจมตีก่อนจะพยายามมัดรวบมันใหม่ ทุกอากัปกิริยาล้วนตกอยู่ในสายตาของร่างสูงใหญ่...จะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะไม่ใช่ เขาเพียงต้องข่มความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมานั้นให้อยู่แต่ภายในใจ...มันทรมานอย่างที่พี่ภพบอกเอาไว้จริงๆ

 

“คุณไม่ขึ้นไปอยู่กับเพื่อนๆของคุณเหรอครับ?”    พายุไม่มีทีท่าว่าจะกลับขึ้นไปบนสตูแต่ขลุกอยู่กับเขา

 

“ไม่ครับ คืนนี้ผมจะนอนที่นี่”    ใบหน้ามนหันมาตอบอย่างฉะฉานจนเขาส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปมองแปลนที่อยู่ในกระดาษต่อ

 

"อ่ะ! อาจารย์ ถ้าง่วงก็กลับบ้านไปนอนได้นะครับ"    พายุพูดเมื่อนึกขึ้นมาได้

 

"ผมจะกลับได้ยังไงล่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณจะทำยังไง ตอนนี้ผมเป็นผู้รับผิดชอบพวกคุณอยู่นะ"     เขาเอง...ก็ตั้งใจว่าจะนอนที่นี่เหมือนกัน...

 

"รับผิดชอบผม?"    เจ้าตัวดีอมยิ้มเจ้าเล่ห์

 

"คุณก็ด้วยนั่นแหละ"

 

"......."     แล้วก็เขินเองซะงั้น น่ารักจริงๆ

 

"เอาเถอะ ถึงจะบอกให้อาจารย์กลับ แต่ผมก็ดีใจนะครับที่อาจารย์อยู่กับผม ขืนต้องอยู่กับราวแขวนชุดไทยนั่นคนเดียวคงหลอนน่าดู"    พายุเหลือบมองราวแขวนชุดไทยราชปะแตนที่ตั้งอยู่หน้าห้องพักของเขาอย่างหวาดๆ มันไม่ได้มีแค่ชุดเดียวแต่มีจำนวนเท่ากับเด็กผู้ชายปีหนึ่ง เพราะนี่คือชุดที่น้องๆต้องใส่ในวันพรุ่งนี้

 

"ฮึ ผีทำอะไรคุณได้ด้วยเหรอ? ผีน่าจะเหนื่อยใจที่ต้องหลอกคนที่หลับเป็นตายปลุกยังไงก็ไม่ตื่นแบบคุณนะ"    เขาแซวเจ้าคนที่จะตื่นได้ต้องเปิดเพลงเมทัลกรอกหูคนนี้ ผีจะเอาอะไรมาสู้

 

"ผมก็ไม่ใช่ว่าจะหลับตลอดนี่นา"    ใบหน้ามนเง้างอด  เขาเหลือบมองไปทางราวแขวนชุดไทยก่อนจะสงสัยขึ้นมา

 

"ตอนคุณอยู่ปีหนึ่ง คุณก็ใส่ชุดแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?"   เสียดายนิดๆแหะที่ไม่ได้เห็น เพราะอันที่จริงกิจกรรมรับน้องค่อนข้างห่างไกลจากอาจารย์หัวหน้าวิชาที่สอนปีสูงๆอย่างเขามาก

 

"ครับ คิดถึงแล้วก็ยังตลกไม่หาย อาจารย์อยากดูรูปไหมครับ? ผมเซฟไว้ในมือถือด้วย"

 

"เอาสิ"   มีหรือที่เขาจะปฏิเสธเพราะเขาอยากเห็นพายุในทุกช่วงเวลาอยู่แล้ว

 

วันรับน้องวันสุดท้ายพวกเขาจะให้น้องปีหนึ่งใส่ชุดไทยสมัยร.5แล้วแบ่งกลุ่มพาไปถ่ายรูปในสถานที่สำคัญๆรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ไม่ว่าจะวัดพระแก้ว เสาชิงช้า ป้อมมหากาฬ ก่อนจะไปจบที่สยาม และหลังจากกลับมาถึงมหาลัยน้องที่ผ่านการรับน้องในวันสุดท้ายนี้จึงจะได้จี้พระพรหมฯซึ่งเป็นจี้ประจำคณะไป

 

ดวงตาสุขุมจ้องมองในหน้าจอโทรศัพท์ พายุกับเพื่อนๆใส่ชุดไทยราชปะแตนกำลังโพสท่าถ่ายรูปกันแต่มันชวนให้ขำมากในสายตาเขา ทั้งตลกทั้งน่าเอ็นดูจนต้องหันหน้าหนีไปแอบยิ้มเป็นพักๆ แต่ละท่าก็ช่างหามาครีเอท แต่ที่เขาชอบก็คือพายุที่อยู่ในรูปนั่นดูมีความสุขมาก แล้วก็ยังดูเด็กดูใสมากๆ

 

นอกจากท่าทางขำๆแล้วพวกพี่ๆก็ยังถ่ายรูปที่ยืนเรียงกันทั้งชั้นปีเอาไว้ให้ด้วย มีแม้แต่การโชว์เชียร์ในชุดไทยแบบนี้

 

“ตอนปีหนึ่งไอ้เก้ากับไอ้ภาคเป็นมือกลองด้วยนะครับ อย่างเท่ห์อ่ะ”    พายุชี้ชวนเขาดูรูปที่เพื่อนทั้งสองคนกำลังตีกลองถาปัดด้วยใบหน้าอมยิ้ม คงจะเป็นความทรงจำที่ดีน่าดู เขามองรูปก่อนจะสงสัยขึ้นมา

 

“แล้วคุณล่ะ เป็นลีดเพลงอะไร?”

 

“..........”    แต่พายุถึงกับสตั๊นไปห้านาทีเต็มๆ

 

“พายุ? ทำไมไม่ตอบล่ะ? คุณไม่น่าจะจำไม่ได้นะ?”    เพลงเชียร์ของคณะเขามีเป็นสิบๆเพลงและแต่ละเพลงก็จะมีลีดประจำเพลง ทุกคนต้องเป็นลีดนั่นเอง แล้วแต่ละเพลงก็ให้ไปคิดท่าอันสร้างสรรค์มากันเองด้วย ถ้าพายุไม่ใช่หนึ่งในมือกลองนั่นก็แสดงว่าต้องเป็นลีดเพลงไหนสักเพลงแน่ๆ

 

“......ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่ผมอาย”    เสียงใสตอบอ้อมแอ้มๆ

 

“? หรือว่าคุณไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้?”    เขาเตรียมขำรอเพราะอย่างเจ้าตัวแสบนี่ก็เป็นไปได้แหละที่จะเผลอไปก่อเรื่องอะไรไว้

 

“....เปล่าครับ...ไม่ใช่วีรกรรม...แต่เพลงที่ผมเป็นลีดน่ะ...”

 

“อ้า~ น่าอายชะมัด!    มือบางยกขึ้นมาปิดหน้า หูเหอแดงไปหมด...มันน่าอายอะไรขนาดนั้น? เพื่อนๆก็เป็นลีดกันทุกคนอยู่แล้วนี่?

 

“บอกผมมาซิ”    มือใหญ่จับข้อมือบางให้ขยับออกจากใบหน้าก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใส พายุชั่งใจอยู่อีกหลายวินาทีกว่าจะยอมคายออกมา

 

“......ดวงใจถาปัดครับ...”

 

“.......”    แล้วคราวนี้ก็กลับกลายเป็นเขาที่ชะงักค้างไปห้านาทีเต็ม  ก็เพลงนี้น่ะมัน...!!!

 

“อาจารย์ห้ามหัวเราะนะครับ นั่นมันตราบาปในชีวิตผมเลยนะ! ฮือออ ก็ตอนอยู่ปีหนึ่งผมไม่รู้ประวัติของเพลงนี้นี่ พอถูกรุ่นพี่กดดันให้เป็นก็เลยเป็นอย่างไม่ได้คิดอะไร! มันน่านักไอ้พี่เชี่ยพวกนั้น! แต่ผมดันจำไม่ได้แล้วนี่สิว่าใครเป็นคนเรียกผม! ไม่งั้นผมจะตามไปบึ้มบ้านมันซะ!    พายุโวยวายพร้อมกับร้องโยเย ส่วนเขาก็ยังอึ้งเพราะในหัวยังประมวลผลไม่เสร็จ ดวงใจถาปัด? ดวงใจถาปัดเพลงนั้นน่ะนะ?

 

“ผมไม่หัวเราะหรอก...แต่คุณ...มีคลิปไหม?”

 

“อ๊า~!!!    พายุแหกปากลั่น เขาได้แต่ยิ้มกว้าง ก็เพลงนี้น่ะ ไม่ว่าจะรุ่นไหนๆก็จะเป็นเพลงที่มีลีดเป็นผู้หญิงล้วนๆทั้งนั้น แล้วก็เป็นผู้หญิงที่รุ่นพี่ลงมติกันมาแล้วด้วยว่าน่ารักที่สุดในชั้นปี เรียกว่าเป็น “ดวงใจถาปัด” สมชื่อเพลงเลยจริงๆ

 

“ไหนว่าจะไม่หัวเราะไง!

 

“โทษที ฮึ...ฮึๆๆ”

 

“อาจารย์!

 

“อ่า...แต่ผมก็เข้าใจนะ ว่าทำไมพี่ๆคุณถึงได้อยากให้คุณเป็นลีดเพลงนี้ถึงขนาดยอมแหกกฎคณะกันเลยทีเดียว เชื่อเถอะว่าพวกพี่ๆไม่ได้คิดจะแกล้งคุณหรอก”    เขายิ้มเพราะมันหุบยิ้มไม่ได้ ดวงตาสุขุมจ้องมองใบหน้ามนด้วยสายตาลึกซึ้ง...

 

ก็พายุน่ะ น่ารักมากขนาดนี้

 

พายุเป็นคนที่มีโครงหน้าสวยมาก ไม่ว่าจะเครื่องหน้าชิ้นไหนก็ลงตัวรับกันไปหมด

 

“เสียดายจัง...ที่ตอนนั้นผมแทบไม่ได้อยู่คณะเลย...”   เมื่อสองปีก่อนเป็นช่วงที่เขายุ่งมาก น่าจะเป็นช่วงที่เขากำลังทำวิจัยเพื่อขอรองศาสตราจารย์ แถมงานที่ออฟฟิศก็มีปัญหาให้เขาเคลียร์ไม่เว้นแต่ละวัน ช่วงนั้นเวลาของเขาจึงเป็นเงินเป็นทองสุดๆ ถึงในหมู่คณาจารย์จะพูดกันหนาหูว่าลูกชายของรุ่นพี่พิภพ ธารธารากุลมาเข้าเรียนในปีนั้น เขายังไม่มีเวลาไปสนใจหรือแม้แต่จะได้โผล่หน้าไปดูเลย มาคิดๆในตอนนี้...มันก็น่าเสียดายจริงๆ

 

“.....ถ้า...อาจารย์อยากดูละก็...ผม..พอจะมีคลิปเก็บไว้ครับ...ไม่สิ ไม่ใช่ผมแต่เป็นเจ้าพ่อบ้าของผมต่างหากที่เก็บไว้”    ถึงจะอายแต่ในที่สุดพายุก็ยอมให้เขาดู

 

“ครับ ผมอยากดู”

 

พายุจึงเข้าไปค้นในเฟสบุคของพ่อให้ แล้วใครที่คิดว่าเฟสบุคของสถาปนิกตัวพ่อหล่อๆเท่ห์ๆอย่างพิภพ ธารธารากุลคนนี้จะลงแต่เรื่องมีสาระอย่างอาคารที่ตัวเองออกแบบหรือสถาปัตยกรรมสวยๆหรืองานอาร์ตๆละก็...ผิด! ผิดถนัด! เพราะในเฟสบุคของรุ่นพี่มีแต่รูปแล้วก็คลิปของพายุแทบทั้งนั้น เป็นที่ที่เอาไว้อวดลูกชายน่ะว่าง่ายๆ เขาเพิ่งรู้เพราะถึงจะกดติดตามไว้แต่ก็ไม่ค่อยได้เข้ามาดู อ่า...พลาดไปแล้วแหะ...

 

แล้วพายุก็เปิดคลิปหนึ่งให้เขาดู ถึงจะไม่ใช่วันที่ใส่ชุดไทยแต่เป็นชุดซ่อมธรรมดาๆแต่พายุก็น่ารักมากกกกกก

 

ร่างสูงใหญ่ดูไปก็เอามือปิดปากไป หน้าแดงแบบเขินไม่ไหว เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องตามไปเซฟคลิปนี้ไว้ให้ได้ เพราะถึงจะใช้ท่าเดียวกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆแต่พายุก็ยังเต้นแบบเด็กผู้ชายที่มือไม้ไม่ได้ออกชัดมากแต่มันกลับเป็นอากัปกิริยาที่น่ารักน่าเอ็นดูสุดๆแบบสุดๆ!

 

แล้วปฏิกิริยาของเขาก็คงจะอยู่ในสายตาของพายุ จากที่เคยอายๆเจ้าปีศาจตัวน้อยกลับยิ้มเจ้าเล่ห์

 

“อาจารย์...ชอบเหรอครับ?”

 

“......”    เขาไม่ตอบเพราะถ้าพูดออกมามันอาจจะดูไม่เหมาะสม แต่ปฏิกิริยาของเขาพายุก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่าเขาต้องชอบแน่ๆ พายุเลยแสยะยิ้มกะจะแกล้งเขาเล่น

 

“ผมเต้นให้ดูไหมครับ? ผมยังจำท่าได้นะ”   แต่ตอนที่สองมือบางกำลังจะวาดนิ้วเป็นรูปหัวใจ มือใหญ่ก็จับไว้ไม่ให้ทำต่อ

 

“เอาไว้คราวหลังนะ ขืนคุณทำตอนนี้ตรงนี้ ผมจะทนไม่ไหวเอา”

 

พายุถึงกับชะงักหน้าแดงเพราะพอจะรู้ความหมายของคำว่า “ทนไม่ไหว” นั่น

 

 

ก๊อกๆๆ

 

 

ประจวบเหมาะกับที่มีเสียงเคาะประตูพอดี พายุจึงหันไปสนใจทางนั้นแทน...เกือบไป...

 

“ไอ้เก้า?”    เป็นนาวาที่เปิดประตูเข้ามา

 

“มึงจะนอนที่นี่ใช่ไหม? กูจะได้ฝากจี้พระพรหมฯไว้ ไอ้ธีร์เพิ่งไปเอามาจากร้านเลยเนี่ย”     นาวายัดกล่องจี้สัมฤทธิ์นับร้อยชิ้นใส่มือของพายุไว้

 

“ข้างบนน้องนอนกันหมดแล้ว มึงก็งีบเอาแรงได้แล้ว อ้าว?! อาจารย์ยังอยู่เหรอครับ? ผมนึกว่ากลับไปแล้ว ขอโทษที่มารบกวนนะครับ!

 

ครืด!!

 

นาวาปิดประตูด้วยความไวแสงทั้งที่เขายังไม่ทันว่าอะไร

 

พายุเดินกลับไปนั่งลงที่โซฟาก่อนจะหาวหวอดออกมา จากที่ตั้งใจจะยึดโซฟาไว้แต่ก็เหลือบมองเขาอย่างเกรงใจเพราะเขายังไม่กลับ

 

"ผมไม่แย่งโซฟากับคุณหรอก คุณนอนไปเถอะ"      ใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะเบาๆก่อนจะเอาผ้าห่มที่เก็บไว้ในตู้มาคลุมไหล่แถมกดให้ร่างบางนอนลงไปบนโซฟา

 

"แล้วอาจารย์จะนอนไหนล่ะครับ?"

 

"ผมนอนบนเก้าอี้ได้ คุณอย่าลืมว่าผมก็เป็นเด็กถาปัดเหมือนคุณ ตรงไหนที่คุณนอนได้ ผมก็นอนมาแล้ว   เขายิ้มแล้วเดินกลับไปอย่างตั้งใจจะนั่งหลับบนเก้าอี้ทำงานอย่างที่บอก

 

แต่คนที่ถูกกดให้นอนลงบนโซฟากลับผงกหัวขึ้นมาพลางครุ่นคิด  อันที่จริงโซฟามันก็กว้างพอสำหรับนอนสองคนนะ แค่ต้องเบียดๆกันหน่อย

 

แล้วอารมณ์ที่เริ่มจะง่วงงุนก็ทำให้ร่างโปร่งบางลุกพรวดก่อนจะเดินดุ่มๆไปลากเก้าอี้ที่อาจารย์องศานั่งอยู่มาจนถึงโซฟา ร่างสูงใหญ่ที่ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกดึงลงมานอนที่โซฟาแบบงงๆ

 

ไอ้ครั้นจะลุกก็โดนร่างโปร่งบางนอนประกบแถมหันมากอดหมับไว้อีก

 

“?!!    หัวใจที่เคยสงบนิ่งราวกับคอนกรีตหนาๆกลับอ่อนยวบลงมาทันที ตอนนี้มันเต้นโครมๆโดยเฉพาะยามเมื่อเขาเหลือบลงไปเห็นผมก้อนดังโงะซบอยู่บนหน้าอก

 

"พายุแบบนี้ผมว่ามันไม่เหมาะสมนะถ้าใครมาเห็นเข้า…"    เขาพูดด้วยใบหน้าร้อนผ่าว

 

"ไม่มีใครเห็นหรอกครับ ตอนนี้คงหลับกันหมดแล้ว แล้วก็ถ้ากลัวใครเห็น…"     มือบางตวัดผ้าห่มมาคลุมจนมิดหัวตัวเอง

 

"เท่านี้ก็ไม่มีใครเห็นผมแล้วครับ นอนเถอะ ผมง่วงแล้ว…"     หัวใจเต้นจนหนวกหูแบบนี้จะหลับลงได้ยังไง? เขาได้แต่ถอนหายใจ

 

ท่อนแขนแข็งแรงที่เคยกางเก้ๆกังๆค่อยๆวางลงไปบนไหล่บอบบาง...พายุตัวบางมากจริงๆ...นี่คือครั้งแรกที่เขาได้กอดอีกฝ่าย ร่างกายที่แทบจะจมหายลงไปในแผ่นอกของเขาทำเอาความรู้สึกในใจยิ่งปะทุขึ้นมา

 

เขาลากฝ่ามือไปบนแผ่นหลังบางนั่นช้าๆ...ก่อนจะค่อยๆกอดเข้าหาตัวอย่างแผ่วเบา...

 

ปลายจมูกก็อยู่ในตำแหน่งที่สูดดมกลิ่นกุหลาบจากกลุ่มผมนิ่มได้พอดี...แล้วแบบนี้เขาจะหลับลงได้จริงๆน่ะเหรอ...

 

 

 

 

คำตอบก็คือ ไม่

 

เขาไม่ได้นอนเลยสักงีบ...

 

 

ก๊อกๆๆ

 

ดวงตาอิดโรยเหลือบมองไปยังประตูที่มีเสียงเคาะอยู่ข้างนอก น่าจะเป็นเพื่อนของพายุ?

 

เขาค่อยๆลุกจากอ้อมแขนเล็กช้าๆ ถึงจะไม่ต้องกังวลก็เถอะว่าพายุจะตื่นแต่เขาก็พยายามขยับออกมาอย่างเบามือที่สุด

 

“ครับ?”    เขาเปิดประตูและนาวาก็ยืนอ้าปากน้อยๆอยู่ตรงนั้น สภาพเขาคงไม่เรียบร้อยนัก

 

"เอ่อขอโทษครับ นึกว่าอาจารย์กลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืนไอ้พาย เอ่อ พายุล่ะครับ?"     เขาเบี่ยงตัวให้นาวามองเห็นพายุที่หลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา

 

เอ่อฝากอาจารย์ปลุกมันทีนะครับ แล้วก็บอกให้ขึ้นไปข้างบนได้แล้วครับ เดี๋ยวผมขนราวชุดพวกนี้ขึ้นไปก่อนนะครับ  

 

ครับ เดี๋ยวผมบอกให้”     เขายืนมองนาวากับเพื่อนอีกสองคนแบกราวชุดไทยพวกนั้นขึ้นไป

 

เขาเดินกลับมานั่งมองพายุอยู่ที่โซฟาอีกตัว สัมผัสที่ได้กอดร่างบอบบางนั่นเอาไว้ยังคงอยู่มิรู้หาย

 

ถึงเขาจะเกลียดการอดนอนแค่ไหน...แต่การอดนอนแบบเมื่อคืนนี้มันก็ไม่เลวเลยจริงๆ



 

.

.

.

.

.

.

.

.

To be con.

  

ขออภัยที่หายไปนาน ก็คือกลับกทม.ค่ะช่วงนี้ อาทิตย์ก่อนกลับก็เลยจะวุ่นวายกับการเก็บของหน่อย ^ ^ แต่เด่วลงให้สองตอนรวดเลยแล้วกันน้า ไปค่ะ~

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น