KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 09
:
KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า
:
องศา x พายุ
:
Warmhearted Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด
: อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ชิบหายแล้วไง...
ดวงตากลมใสของพายุ
ธารธารากุลกำลังเหลือบมองขวดสีโปสเตอร์ที่นอนแอ้งแม้งแดงฉานอยู่บนพื้นก่อนจะลอบกลืนน้ำลาย...
ก็ถ้ามันตกลงไปเฉยๆคงไม่เท่าไหร่
แต่นี่ตกลงไปแล้วฝามันดันเปิดจนสีหกเลอะกระจายเต็มพื้น...แต่นั่นก็ยังไม่เท่าไหร่
ยังเช็ดออกได้ แต่ที่มันชิบหายคือที่พื้นมันเสือกมีแบบวางอยู่นี่สิ!
แถมไม่ใช่แบบอาคารธรรมดาๆ
แต่เป็นแบบดาวเพดานสเกล 1:1 ที่ขนาดใหญ่เท่าฝาบ้านของพวกถาปัดไทยไง!!
ใบหน้ามนก้มมองแบบสถาปัตยกรรมไทยที่เกิดจากการต่อกระดาษห่อของสีน้ำตาลเข้าด้วยกันเป็นสิบๆแผ่น
บนขมับมีเหงื่อแตกพลั่กๆๆ ถึงตอนนี้ลายดาวเพดานที่อยู่บนแบบจะยังเป็นแค่เส้นดินสออยู่แต่มันก็ดูเกือบจะสมบูรณ์เต็มทีแล้ว
“อึ้ก!
ไอ้พาย! มึงทำสีตกใส่แบบของไอ้พวกถาปัดไทยเหรอวะ?!”
แล้วไอ้ธีร์ที่เดินตามมาก็ทำให้เขาจะแอบชิ่งหนีทำตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้แล้ว
เพราะแม่งเสือกแหกปากดังลั่น
“เอ่อะ!” ไอ้ภาคร้องอุทานเมื่อตามมาเห็นเข้าอีกคน
ไม่สิ มันทั้งสี่คนนั่นแหละที่ยืนอึ้งอยู่ข้างๆเขา
“อุ๊บ
ฮ่าๆๆๆๆ”
แล้วพวกมันก็ขำก๊ากกันอย่างไม่มีเกรงใจคนยืนน้ำตาไหลอย่างเขาเลยสักนิด!
ไอ้พวกเพื่อนเวร!
ก็นั่นแหละ
เหตุผลว่าทำไมในวันที่ไม่มีเรียนคาบบ่ายแท้ๆแต่เขาไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องต้องมาถูกขังอยู่ในสตู
แล้วก็ต้องทำงานชดใช้เยี่ยงทาสแบบนี้...ฮืออออ
ยังโชคดีที่แบบขนาด 4x4 เมตรของพวกมันสามารถแกะเฉพาะแผ่นที่เลอะออกมาเขียนใหม่ได้เพราะมันเป็นกระดาษที่ต่อๆกันอยู่แล้ว...ไม่อยากจะคิด...ว่าถ้ามันเป็นกระดาษแผ่นใหญ่เพียงแผ่นเดียวแล้วเขาจะต้องมาเขียนใหม่ทั้งหมดเนี่ย...มันจะนรกขนาดไหน
ดวงตาสีดำเหลือบมองลายดาวเพดานซึ่งเป็นลายไทยล้วนๆ
ต่อให้พวกมันจะให้เขาแก้แค่แผ่นสองแผ่นก็เถอะ
แต่คนไม่เคยเขียนลายไทยมาก่อนอย่างเขานี่จะรอดไหม...แค่เขียนตามลายที่พวกมันเขียนไว้ก็ไม่ง่ายอยู่ดี~
ถึงจะได้ออกแบบอาคารไทยมาบ้างแต่นั่นก็แค่ออกแบบอาคารไง
แต่นี่มันเป็นการเขียนลายไทยเลยนะ มันคนละเรื่องกันเลย
“เฮ้อ....” เขาถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าก้มตาชดใช้กรรม
นี่เป็นดาวเพดานซึ่งถูกเขียนอยู่ที่ฝ้าเพดานของศาลาลงสรงในวังหน้าหรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระนคร เพื่อนๆของเขาไปแกะลายออกมา
พวกถาปัดไทยมีเรียนวิชาเฉพาะอย่างการเขียนลายไทยอยู่ด้วย
ถึงจะยังไม่ถึงขั้นต้องผูกลายเองแต่แค่เรียนรู้ลายทั้งหมดที่ใช้ในงานสถาปัตยกรรมไทย
แค่เห็นเขาก็เวียนหัวแทนแล้ว ลายอะไรยึ่บยั่บไปหมด
ไม่พอ
ยังต้องทำโปรเจคอย่างการจำลองแบบลายในส่วนต่างๆของอาคารในขนาด1:1อีก ตอนนี้สตูของเขาจึงมีแบบขนาดเท่าฝาบ้านม้วนอยู่เต็มไปหมด
โต๊ะดร๊าฟที่เคยวางระเกะระกะก็ถูกย้ายไปกองไว้ฝั่งหนึ่งเพราะพวกถาปัดไทยมันต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ในการทำแบบพวกนี้
แล้วก็ต้องไปนั่งเขียนนอนเขียนมันกับพื้นอย่างที่เขากำลังทำอยู่นี่แหละ
“มา
กูช่วย”
ไอ้ภาคถอดรองเท้าก่อนจะเดินเข้ามาในแบบแผ่นใหญ่
“กูก็จะช่วยด้วย~”
แต่ไอ้ห่าธีร์กลับนอนกลิ้งลงทันทีที่ก้าวเข้ามา
เขาแทบจะหยิบรองเท้าปาใส่ถ้าไม่ติดที่ว่ากลัวรองเท้าจะกลิ้งไปทำแบบมันเลอะจนต้องแก้เพิ่มอีก
“แล้วไอ้พวกนี้มันไปไหนกันหมดแล้ววะ?” ไอ้ไม้หยิบดินสอก่อนจะนั่งลงอีกฝั่ง
มันถามถึงเจ้าของงานแผ่นนี้ที่หายหัวไปเลยหลังจากที่สั่งเขาเสร็จ
“อยู่วังหน้า
คาบเรียนมันมั้ง ไม่ก็ไปวัดลายอะไรซักอย่างนี่แหละ กูฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ” เขาตอบ
“เชี่ยภาคตรงนี้มันต้องป่องๆกว่านี้สิวะ
มึงดูที่พวกมันเขียนไว้ ไอ้ตัวนี้คืออะไรนะ? พญานาคม้วนหาง?” ไอ้ธีร์หันมาถาม ดูเอาเถอะ
ขนาดจะเขียนสัดส่วนให้ถูกยังยากสำหรับพวกเขาเลย
“พญานาคม้วนหางห่าอะไร
นี่มันดาวประกายพรึกชัดๆ”
ไอ้ภาคเถียงกลับ
“กูว่าไม่ใช่ดาวประกายพรึกหรอก
นี่มันดาวพรอกซิม่าเซ็นจูรี่บีต่างหาก...ถุย!
ดาวประกายพรึกพ่องสิ มีลายไทยชื่อนี้ที่ไหนล่ะ
กูไม่เคยเห็นได้ยิน!”
ไอ้ธีร์โต้
“อย่างน้อยดาวประกายพรึกกูก็ดูใกล้เคียงกว่าพญานาคม้วนหางมึงแหละวะ”
“แต่กูว่ามันเหมือนไข่ดาวมากกว่านะ?” แล้วเสียงเย็นฉ่ำของไอ้ไม้ก็ทำให้คนที่เถียงกันหันไปมอง...
“......เชี่ยไม้
มึงกลับบ้านไปทอดไข่แดกเถอะไป บรมครูที่ไหนจะเอาไข่ดาวไปแปะไว้บนเพดานวังวะ ฮ่าๆๆๆๆ”
พวกเขาเขียนกันไปคุยกันไป
อืม...แต่มันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง...ไม่สิ มันขาดไปเสียงนึง!
“ไอ้เก้าไปไหนวะ?” เขาเอ่ยถาม
ปกติมันนี่แหละที่ต้องมาวุ่นวายกับเขามากที่สุด!
แล้วพอหันหน้ามองหา
สายตาก็ไปสะดุดอยู่ที่ผนังด้านที่ติดกับตึกจิตรกรรม ไอ้เก้ายืนอยู่หลังบานหน้าต่างตรงนั้น
มันกำลังมองลงไปที่ตึกข้างๆ ด้วยสีหน้าที่กำลังอมยิ้ม...
“เฮ้ย
พวกมึงดู” เขาเรียกให้อีกสามตัวที่เหลือดู
แล้วพวกเขาต่างก็แสยะยิ้มให้กันโดยไม่ได้นัดหมาย
ร่างทั้งสี่ย่องออกไปจากแบบแผ่นยักษ์ก่อนจะขยับไปยืนข้างๆร่างที่ยืนอยู่
ไอ้เก้ามันยืนมองน้องเจ้าจอมอยู่จริงๆด้วย~!
“หื๋ม~
ยังไงๆแล้วนะมึงเนี่ย~”
เขาเอ่ยปากแซวในขณะที่เอื้อมแขนไปกอดคอเพื่อน
ดูก็พอจะรู้ว่าไอ้เก้าสนใจเด็กคนนั้นมากอยู่
“ไหนมึงบอกว่าไม่จีบไงวะ?” ไอ้ธีร์แซวต่อ
เขาทอดสายตามองน้องเจ้าจอมที่นั่งวาดภาพด้วยท่าทางเลิ่กลั่กๆอยู่ในตึกข้างๆ
ดูเหมือนจะรู้ตัวสินะว่าถูกพวกเขามองอยู่ น้องมันก็น่าเอ็นดูใช้ได้เลยแหะ
“เออ
กูเปลี่ยนใจแล้ว”
แล้วเสียงห้าวของไอ้เก้าก็ทำเอาพวกเขาอีกสี่คนถึงกับหันพรึ่บไปมองมันด้วยดวงตาเบิกโพลง
“เฮ้ย!
มึงยอมรับงี้เลยเหรอวะ?!”
ไอ้ภาคถึงกับยกมือไปขยี้หัวสกินเฮด พวกเขาต่างก็หัวเราะให้กับความแมนของมัน
“เออ
กูว่ากูน่าจะชอบมันว่ะ” ไอ้เก้าย้ำทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากเป้าหมาย
“ฮิ้วววว”
เสียงโห่ฮิ้วร้องแซวดังลั่นจนแม้แต่ตึกข้างๆยังต้องหันขึ้นมามอง
และร่างผอมบางที่เป็นเป้าของสายตาก็ยิ่งลนลานไปกันใหญ่
ใบหน้าเรียวภายใต้กรอบผมสกินเฮดยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่ได้เห็นปฏิกิริยาน่าเอ็นดูแบบนั้น
ก็พอเขามายืนมองอยู่ตรงนี้ได้สักพัก
เด็กนั่นก็รู้ตัวเพราะเงยหน้ามองขึ้นมาโดยบังเอิญ จากนั้นเจ้าจอมก็เริ่มเลิ่กลั่ก
จากที่หันข้างให้เขาเริ่มค่อยๆหันหลังให้
แต่ก็ไม่วายแอบเหลือบมามองและพอเห็นว่าเขาจ้องไม่ละสายตา ร่างผอมบางนั่นก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวเขาเห็นรูปที่กำลังวาดอยู่เลยขยับหันหน้ามาทางนี้แทน
แต่ก็กลายเป็นว่าต้องเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ คือ
แค่สิบกว่านาทีที่เขายืนมองอยู่นี้เจ้าจอมก็ขยับหันหนีจนเกือบจะ360องศาแล้ว
ฮึ...น่ารักชะมัด
“มานี่
เดี๋ยวกูจัดการส่งความรักของมึงไปให้น้องเค้าเอง~” แล้วไอ้ธีร์ก็ไปคว้าไอแพดของมันมาพร้อมกับเขียนข้อความตัวเท่าบ้านลงไป
จากเสียงฮิ้วเมื่อกี้
นอกจากเจ้าจอมแล้วเพื่อนๆทั้งสตูยังหันมามองกันเกือบหมดอีกต่างหาก
แล้วพอเห็นว่ากลุ่มคนที่ยืนมองพวกตนอยู่คือพวกตองเก้าของคณะสถาปัตย์ ทีนี้สายตาจึงไม่ละไปจากพวกเขากันเลย
-น้องเจ้าจอมครับ-
ไอ้ธีร์เริ่มส่งข้อความด้วยการชูไอแพดให้ดู
เพื่อนทั้งสตูของเจ้าจอมถึงกับหันไปมองเจ้าของชื่อเป็นตาเดียว เจ้าดอกแก้วของเขาจึงยิ่งแทบจะมุดหายเข้าไปในกระดานรองวาดเสียให้ได้
-พี่เก้าบอกว่า-
พอข้อความเปลี่ยนที
ใบหน้าเขินอายนั่นก็เหลือบมองขึ้นมาที
-สู้ๆนะครับ-
แล้วเขาก็ชูสองนิ้วให้ในขณะที่ดวงตากลมโตนั่นสบประสานมาพอดี
ใบหน้าแบดบอยยิ้มให้จนคนมองแทบละลาย
เขาพอจะเดาออกเลยว่าใบหน้าอีกครึ่งซีกที่อยู่หลังกระดานรองวาดนั่นคงจะแดงเป็นลูกเชอร์รี่แน่ๆ
“นี่!
พวกเธอ! ทำอะไรกัน?! อย่ามากวนน้องๆสิ! แล้วก็ห้ามมาจีบกันข้ามตึกด้วย ปิดหน้าต่างซะ!”
คงเป็นเพราะปฏิกิริยาของนักศึกษาทั้งห้องดูไม่มีสมาธิกับการวาดรูป
อาจารย์ของเจ้าจอมจึงชะโงกหน้าออกมาตะโกนไล่พวกเขาก่อนจะสั่งปิดหน้าต่างไป
ทั้งหน้าหงายทั้งขำกันยกใหญ่เลยไอ้พวกเพื่อนๆเขา
แล้วก็เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมานั่นแหละ
พอหมดคาบเรียนได้ เพื่อนๆทั้งสตูจึงเข้ามารุมถามร่างผอมบางด้วยความสนใจ
“เจ้าจอม
นายรู้จักกับพี่พวกนั้นเหรอ?”
ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่ามีเพื่อนเขาหลายคนที่เล็งพวกพี่ๆกลุ่มตองเก้าเอาไว้
เรื่องที่อยากจะให้มาเป็นแบบในโปรเจคจบเทอมของพวกเขา
“เปล่า...เรา...รู้จักแค่พี่เก้า...” เขาตอบอย่างอึกๆอักๆ ขนาดจะตอบว่าเป็นคนรู้จักก็ยังไม่ค่อยจะแน่ใจนัก
เพราะทุกครั้งที่เจอกันก็มักจะอยู่ในสถานการณ์แปลกประหลาด มีแต่เรื่องเข้าใจผิดไม่ก็เรื่องน่าอาย
พี่เก้าจะอยากรู้จักเขาไหมก็ไม่รู้เหมือนกัน
“พี่เก้าเหรอ?
ดีเลย ช่วยเราหน่อยได้ไหม? ช่วยขอให้พี่เค้ามาเป็นแบบวาดรูปให้เราหน่อยสิ” พวงชมพู
เพื่อนคนหนึ่งในสตูของเขาตรงเข้ามาจับมือเขาไว้ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
ดูเหมือนเพื่อนคนนี้จะหมายมาดมานานแล้วที่จะให้พี่เก้ามาเป็นแบบให้ตน
ถึงขนาดประกาศกร้าวกลางสตูว่าใครก็ห้ามแย่งทีเดียวเชียว
“เอ่อ...คือ....” และเขาก็ลืมเรื่องที่พวงชมพูเคยประกาศไว้เสียสนิท...
“ไหนว่ารู้จักไง?
ลองขอร้องให้ก่อนได้ไหม ถึงจะถูกปฏิเสธก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราค่อยหาทางอีกที
ถ้าพี่เค้าเห็นความพยายามของเราเค้าอาจจะใจอ่อนก็ได้ นะ” เธอขอร้องเขาด้วยสายตาอ้อนวอน...จะไปทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ
ในเมื่อพี่เก้ารับปากเขาไปแล้วและเขาก็ไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไปด้วย
“นะ~
เจ้าจอม~”
เธอยังคงคะยั้นคะยอจนเขาเริ่มลำบากใจ...ทำยังไงดี...ถ้าบอกไปเพื่อนคงจะโกรธเขาแน่ๆ
เพราะเขาไม่เคยมีท่าทีว่าจะสนใจพี่เก้ามาก่อน แต่กลับไปทำอะไรลับหลังจนคว้าพี่เก้าไปต่อหน้าต่อตาเธอแบบนี้...
เขาควรจะช่วยเธอไหมนะ...ลองไปขอร้องพี่เก้าดู...ว่าจะเป็นแบบให้เธอด้วยได้ไหม...
ไม่สิ...ไม่เอาหรอกแบบนั้น...
จะยอม...ให้ใครเห็นรอยสักนั่นด้วยตาตัวเองงั้นเหรอ?
ไม่...ไม่เอาหรอก...
ไม่เอา
ไม่อยากแบ่งพี่เก้ากับใคร ไม่เอาเด็ดขาด
ไม่เอา...
จู่ๆความรู้สึกหวงก็แพร่กระจายอยู่ในหัวใจราวกับเชื้อโรคร้าย
เขาไม่เคยรู้สึกกับใครหรืออะไรแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ
ขนาดข้าวของก็ยังไม่เคยมีชิ้นไหนที่เขาหวงจนแบ่งใครไม่ได้แบบนี้
ใบหน้ามนก้มมองพื้นอย่างนึกรังเกียจตัวเองที่คิดอะไรเห็นแก่ตัว...แต่เขา...ก็ไม่อยากให้ใครได้พี่เก้าไปจริงๆ
นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจเขา
ต่อให้มันจะเป็นแค่เรื่องงาน
ต่อให้ไม่อาจจะครอบครองผู้ชายคนนั้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
แต่ขอแค่ช่วงเวลาที่ได้วาดรูปพี่เก้า ได้อยู่ด้วยกันแค่นั้น...เขาก็พอใจแล้ว...ขอแค่พี่เก้าเป็นของเขาคนเดียวในผลงานชิ้นนี้ก็พอ...
เขาต้องปฏิเสธเธอ...ต้องบอกเธอไปตามตรง...
“คงจะ...ไม่ได้หรอก...” เขาก้มหน้าก้มตาอย่างเตรียมพร้อมหากจะโดนต่อว่าหรือโดนเกลียดก็คงต้องยอม
เพราะหากคิดในอีกแง่
การที่เพื่อนเขาได้รู้ก่อนก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการตามตื้อพี่เก้า จะได้มีเวลาในการหานายแบบคนใหม่
“....ทำไมล่ะ?” พวงชมพูเอียงคอถามอย่างไม่เข้าใจ
ร่างผอมบางจึงสูดหายใจเข้าฮึบใหญ่ก่อนจะตัดสินใจบอกออกไป
“เพราะว่า...พี่เก้า...จะเป็นแบบให้เรา...ในโปรเจคจบเทอม”
“ว่าไงนะ?!!
พี่เก้าจะเป็นแบบให้เจ้าจอมงั้นเหรอ?!” แล้วก็ไม่ได้มีแค่พวงชมพูเท่านั้นที่ตะโกนเสียงดังอย่างตกใจ
เพราะเพื่อนรอบห้องต่างก็หันมาอ้าปากค้างไปตามๆกัน
“ใช่...” เขาหลับหูหลับตาพยักหน้า
ถ้าจะโดนตีสักทีก็จะไม่หนี
“นาย...ไปขอร้องพี่เก้ามางั้นเหรอ?” หญิงสาวก้าวถอยหลังอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ใบหน้าของเธอกำลังช็อคสุดๆที่ถูกแย่งนายแบบที่หมายตาไป เขาได้แต่ขอโทษขอโพยเธอในใจ
“อืม...” เขาพยักหน้า
“ไม่อยากจะเชื่อเลย
แล้วพี่เค้าก็ตกลงด้วยเหรอ? ทั้งๆที่พวกรุ่นพี่ตามตื้อกันมาตั้งหลายปีเนี่ยนะ?” พวงชมพูยังคงถามย้ำ
“อืม...”
“นายไม่ได้คิดไปเองแน่นะ?
พี่เค้าอาจจะแค่ล้อเล่นหรือเปล่า? พี่พวกนั้นก็ดูท่าทางจะขี้เล่นกันด้วย” พวงชมพูยังคงไม่เชื่อ
“เรา...ไม่ได้คิดไปเอง
พี่เค้าสัญญาแล้ว...”
เขาก็ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไงให้หญิงสาวเชื่อ
ยิ่งท่าทางไม่มั่นใจของเขาก็ยิ่งทำให้หญิงสาวดูคลางแคลงใจไปใหญ่
“จริงดิ!
ในที่สุดคณะเราก็มีคนได้วาดคนในแก๊งตองเก้าแล้วโว้ย~” แต่แล้วก็มีเสียงเพื่อนผู้ชายตะโกนอย่างตื่นเต้นขึ้นมาแทรก
ความน่าอึดอัดถูกเพื่อนๆที่เหลือเบียดกระจายเพราะความรู้สึกของเด็กคณะเขา...ไม่ว่าจะเป็นใครที่คว้าตัวห้าคนนั้นมาได้ก็นับว่าเป็นชัยชนะของทั้งคณะแล้ว
“เจ้าจอม!
บอกวิธีหน่อยสิ~”
เพื่อนหลายคนกรูเข้ามาจนเบียดพวงชมพูออกไป เขาจึงกลายเป็นจุดสนใจในทันที
เพราะเพื่อนๆเปลี่ยนจากที่จะขอให้เขาช่วยมาเป็นขอวิธีที่จะขอร้องพี่พวกนั้นแทน
“วะ
วิธี...” เขาถึงกับอ้ำอึ้งไป ก็วิธีมันออกจะ.....จะให้เขาบอกยังไงเนี่ย~
แล้วเรื่องที่พี่เก้าจะมาเป็นแบบในโปรเจคจบเทอมให้เขาก็แพร่สะพัดไปในตึกจิตรกรรมอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีห้า ตั้งแต่สาขาจิตรกรรมยันประติมากรรมและภาพพิมพ์
รู้กันไวยิ่งกว่าบรรดาแม่ค้าในตลาดเสียอีก
“รอดูเลยเจ้าจอม!” มีแต่เสียงทักแบบนี้ไม่ว่าจะเดินสวนกับรุ่นพี่คนไหน
เขา...ตัดสินใจถูกไหมนะที่บอกเรื่องนี้ออกไป
ใบหน้ามนถอนหายใจอย่างคิดมาก
แล้วในขณะที่กำลังจะเดินผ่านหน้าคณะสถาปัตย์อยู่นั้น
ก็ดันไปเจอกับพี่เก้าและเพื่อนๆที่เดินลงมาจากคณะพอดี
อ่า...มันจะจังหวะนรกอะไรขนาดนี้
แล้วที่นรกยิ่งกว่าก็คือการที่พวงชมพูตะโกนถามพี่เก้าออกไปทันที!
“พี่คะ
พี่เก้า! จริงหรือเปล่าคะที่พี่จะมาเป็นแบบให้เจ้าจอม?!”
เพื่อนเขาถามออกไปอย่างร้อนใจและยังไม่เชื่อเขาสนิทใจ คำถามที่ไม่มีใครคาดคิดเล่นเอาทั้งเพื่อนพี่เก้าทั้งคนที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงกับหยุดชะงักเพื่อฟังคำตอบกันทั้งนั้น
ก็นี่มันข่าวใหญ่ของวังท่าพระได้เลยนะ! ดีไม่ดีอาจจะดังไปถึงตลิ่งชัน
สนามจันทร์ และเพชรบุรีเลยด้วย!
ใบหน้ามนถึงกับผงะไปเมื่อมองเห็นสีหน้าของพี่เก้า
เพราะจากที่กำลังหัวเราะกับเพื่อนอยู่ดีๆก็กลับชักสีหน้าเรียบเฉยหลังจากที่ได้ยินคำถามพวกนั้น
ในดวงตาที่สดใสกลับมีแววเย็นชาขึ้นมาในชั่ววินาที
จากใบหน้าที่กำลังยิ้มกลับเชิดขึ้นจนดูเหมือนกำลังจะหาเรื่องยังไงอย่างงั้น
อา...แย่แล้ว...เขา...ทำพลาดไปแล้วสินะ...
ในใจเสียวแว๊บขึ้นมาทันที
ที่ตัดสินใจบอกไปเพราะไม่อยากให้เพื่อนเสียเวลา
แต่เขาลืมคิดถึงทางฝั่งพี่เก้าไป...
พี่เก้า...อาจจะไม่ได้อยากให้ใครรู้ก็ได้ว่าจะมาเป็นแบบวาดรูปให้เขา
เพราะพี่เก้าเองก็ไม่ได้ยินดีแต่ที่ต้องยอมเพราะสถานการณ์มันบังคับต่างหาก
ทำยังไงดี
เขาไม่ได้ขออนุญาติอีกฝ่ายก่อนเสียด้วยเรื่องที่จะป่าวประกาศให้ใครๆรู้
ถ้า...พี่เก้าปฏิเสธต่อหน้าทุกๆคนขึ้นมาล่ะ
แค่คิดก็ทำเอาหัวใจสั่นสะท้านไปหมดแล้ว
ถ้าพี่เก้ารู้ว่าเขาเที่ยวอวดไปทั่วแบบนี้ แล้วพี่เก้าเกิดไม่พอใจ
ยกเลิกสัญญาที่จะมาเป็นแบบให้ล่ะ
เขาถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกลัว
อ้อมแขนกอดสมุดสเก็ตแน่น อยากจะวิ่งหนีไปจากตรงนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด
สีหน้าของพี่เก้าเป็นยังไงเขายังไม่กล้าจะเงยหน้ามองเลยด้วยซ้ำ
“ใช่ครับ
พี่จะเป็นแบบให้เจ้าจอมเอง”
แต่แล้วเสียงห้าวที่คุ้นเคยกลับตอบออกมาให้เขาต้องเบิกตากว้าง
ร่างสูงยาวขยับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แถมยังยอมรับอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกต่างหาก
“กลัวอะไร?
ไม่ต้องกลัว กูไม่ว่าอะไรมึงหรอก มึงอยากบอกใครก็บอกไปเถอะ
กูเองก็ไม่ได้คิดจะปกปิดเรื่องของมึงอยู่แล้ว”
พี่เก้าโน้มหน้าเข้ามากระซิบที่ใบหูจนร่างทั้งร่างของเขานิ่งค้าง
ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นราวกับพี่เก้าเข้ามานั่งอยู่ในใจเขาเลย
รู้ได้ยังไงว่าเขากลัว รู้ได้ยังไงว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
พี่เก้า...มองดูเขาอยู่ตลอดเลยงั้นเหรอ...
เขาเงยหน้ามองใบหน้าที่ยิ้มให้เขาก่อนจะละออกไป...ถึงจะแค่แว่บเดียวที่สบตากันแต่มันกลับทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นยังไงก็ไม่รู้...
“จะ
จริงเหรอคะ? พี่...รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นภาพแบบไหน...” พวงชมพูยังคงถามย้ำอย่างกลัวว่าพี่เก้าจะไม่รู้ว่าถูกเขาหลอกให้มาวาดรูปแบบไหน
“รู้สิ
ต้องเปลือยทั้งหมดใช่ไหมล่ะ?” พี่เก้าตอบพลางยักไหล่ราวกับไม่เห็นจะเป็นไรถ้าต้องเปลือยกายให้เขาวาดรูป
ทุกการกระทำของพี่เก้าทำให้เขาใจชื้นและรู้สึกเหมือนไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว
แต่ยังมีอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ คอยจับมือ คอยปกป้องเขา
ทั้งๆที่ตัวเราไม่ได้แตะกันด้วยซ้ำ
พี่เก้า...ทำให้เขาค่อยๆมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมา...
“เอ่อ...ค่ะ...” พวงชมพูถึงกับหน้าหงายถอยกลับไป
“ถ้าเป็นน้องเจ้าจอม...พี่ก็ยินดีครับ” พี่เก้าโน้มลงมามองหน้าเขาแบบตาสบตา
ริมฝีปากหยักยกยิ้มอย่างหยอกเย้าเขาเบาๆเพราะเขาเคยอยากให้พี่เก้าแทนตัวเองว่าพี่แบบนี้
สองแก้มถึงกับร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“ขอ...ขอถามเหตุผลได้ไหมคะ
ว่าทำไมถึงยอมมาเป็นแบบให้เจ้าจอม เพราะถ้าเป็นเรื่องฝีมือการวาดรูป
ก็ยังมีคนที่เก่งกว่าเจ้าจอมอยู่ เรื่องสไตล์ เจ้าจอมก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น
พี่มีเหตุผลอะไรถึงเลือกให้เจ้าจอมเป็นคนวาดรูปพี่เหรอคะ?” พวงชมพูยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มือของเธอกำแน่นอย่างเจ็บใจ
“เหตุผล?
ก็แค่เรื่องง่ายๆ” พี่เก้ายกยิ้ม
“ก็เจ้าเด็กนี่น่ารักดียังไงล่ะ”
“ถ้าจะต้องแก้ผ้าให้ใครดู
ก็ขอเป็นคนที่น่ารักๆแบบนี้สิถึงจะดี”
แล้วคำตอบแบบดิบๆของพี่เก้าก็ทำเอาคนแถวนั้นหน้าแดงกันเป็นแถว
“เพราะเป็นเจ้าจอม
แค่เจ้าจอมเท่านั้น ยังจะต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอครับ?” พี่เก้าหันไปตอบเธออย่างชัดเจนทุกคำจนทำเอาเขานี่แหละที่ต้องเป็นฝ่ายเขินเสียเอง
“ถะ
ถ้างั้น! ช่วยมาเป็นแบบให้หนูด้วยได้ไหมคะ?
ไม่ได้มีกำหนดไว้นี่ว่าใช้แบบคนเดียวกันไม่ได้ ขอแค่พี่ยอม
จะเป็นค่าจ้างหรืออะไรก็เรียกมาได้หมดเลยค่ะ!” หญิงสาวตะโกนกร้าวอย่างดื้อดึง
เพราะพวงชมพูก็เป็นผู้หญิงที่หน้าตาสะสวยคนหนึ่ง เธอจึงคิดว่าตัวเองอาจจะยังมีโอกาส
แต่นั่นกลับทำให้พี่เก้าเริ่มจะหัวเสีย
ถึงใบหน้าแบบแบดบอยนั่นจะยังนิ่งๆอยู่ แต่ไอเย็นเฉียบที่แผ่ออกมาจากร่างแกร่งเขาก็พอจะรับรู้ได้
แน่นอนว่าคนอื่นก็ต้องรู้ว่าพี่เก้ากำลังไม่พอใจ
เพื่อนของพี่เก้าถึงกับเตรียมขยับตัวเข้ามาห้าม
“ผู้ชายที่ดีก็ต้องมีภรรยาแค่คนเดียวสิครับ
ว่าไหม?...ถ้าไม่ใช่เจ้าจอม...ก็ไม่มีทาง”
ถึงจะยังพูดอย่างสุภาพอยู่แต่ถ้าดูหน้าพี่เก้าตอนนี้ก็จะรู้ว่าไม่ควรจะเซ้าซี้ต่อ
พวงชมพูจึงได้แต่ถอดใจแล้วยอมถอยออกไปแต่โดยดี
“เข้าใจแล้วค่ะ...” เพื่อนของเขายอมรับผลแล้ว เพราะงั้นมือบางจึงเอื้อมไปจับชายเสื้อของพี่เก้าไว้เพื่อขอให้พอแค่นี้
และร่างสูงยาวก็รับรู้ได้ถึงแรงดึงอันแผ่วเบาของเขา
พี่เก้าจึงถอนหายใจก่อนจะหันมาดึงเขาเข้าไปกอด เล่นเอาอุดปากกรี๊ดกันแทบไม่ทัน
พี่เก้าคลอเคลียปลายคางของตัวเองกับหัวของเขาราวกับเล่นอยู่กับลูกแมว
“กูยอมเป็นของมึงคนเดียวเลยนะเนี่ย~
ภูมิใจไหม?”
“ครับ...” เขาพูดอะไรไม่ออกเพราะตอนนี้หน้ากำลังแดงจัด
เขินจนเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้แล้ว~
“เจ้าจอม
ไปกันเถอะ”
เพื่อนเขาเรียกให้กลับเข้าไปในแถว มือบางจึงจำใจต้องผลักร่างหนาออกไป
ทั้งที่อยากจะพูดอะไรมากมายแต่กลับไม่มีเวลาจนทำได้แค่ต้องละจากกันไปทั้งอย่างนี้
เขารู้ว่าพี่เก้ายังมองตามเขามาและเขาก็อยากแต่จะหันกลับไปมอง
สิ่งที่ลุ่มร้องอยู่ในหัวใจอย่างรุนแรงนี้เขาไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจริงๆ
อวาต้าร์ตากล้อง
: กูเพิ่งเคยเห็นไอ้เก้าจีบสาวว่ะ ไอ้เชี่ย รุนแรงชิบหาย ถ้ากูเป็นน้องเจ้าจอมกูคงไม่รอดเงื้อมมือมันแน่ๆว่ะ
ฮ่าๆๆ
อวาต้าร์
Mr.น่านฟ้า : ถ้ามึงเป็นน้องเจ้าจอม กูว่าไอ้เก้าน่าจะจับมึงหมดส้วมมากกว่านะ
ใช่ มึงไม่รอดเงื้อมมือมันแน่ ฮ่าๆๆ
อวาต้าร์ตากล้อง
: สัสนี่
อวาต้าร์ราฟาเอล
: กูต้องเตรียมเรียกน้องเจ้าจอมว่าหม่าม้าแล้วไหมวะ ก๊ากๆๆ
อวาต้าร์ทะเลยามเย็น
: ในที่สุดมึงก็จะมีแม่คอยดูแลแล้วสินะไอ้พาย
อวาต้าร์
Mr.น่านฟ้า : ยินดีด้วยนะเว้ย
อวาต้าร์รอยสัก
: ไอ้พวกเชี่ย กูยังไม่ได้จีบเลยโว้ย
พวกมึงอย่างเพิ่งมายินดีให้เป็นลางได้ป่ะ
อวาต้าร์ราฟาเอล
: ฮ้าบบบคุมพ่อ~
อวาต้าร์รอยสัก
: มึงเนี่ยตัวดีเลยไอ้พาย
เสียงฝีเท้าก้าวเป็นจังหวะดังก้องไปทั่วโถงบันไดที่ไม่มีผู้คน
ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักยกยิ้มเมื่อเจอคนที่ตามหาเสียที
“คุณนี่ก็ขยันก่อเรื่องจริงๆเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยทักและนั่นก็ทำให้ร่างที่นั่งเขียนลายไทยอยู่กับพื้นเงยหน้าขึ้นมามอง
“อาจารย์องศา?” ดวงตากลมใสสั่นคลอเมื่อเห็นเขาเดินเข้าไป
ดูท่าทางดีใจเหมือนเจ้าเหมียวจอมหยิ่งที่ถูกทิ้งให้เฝ้าบ้านตามลำพังแล้วเห็นทาสผู้ซื่อสัตย์กลับมาเลยแหะ
“ฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเลยนะครับ” ใบหน้ายุ่งก้มมองแบบแผ่นเท่าฝาบ้านนั่นก่อนจะถอนหายใจ
“อย่างน้อยคุณก็เป็นถาปัดหลักคนเดียวที่เขียนดาวเพดานเป็นเลยนะครับ
ฮึ...” เขาหยอกเย้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะไปยืนมองผลงานของพายุอยู่ข้างๆกระดาษสีน้ำตาลพวกนั้น
เป็นการจำลองแบบที่ใหญ่โตจริงๆ
แต่พวกถาปัดไทยก็มักจะจำลองแบบกันอลังการประมาณนี้แหละ แล้วกว่าจะเรียนจบได้ก็ต้องทำแบบนี้อีกไม่รู้กี่ครั้ง
จำลองทั้งแบบทั้งโมเดลเลยก็มี
“ถ้ามันดีจริงๆก็อย่าหัวเราะสิครับ~” พายุทำเสียงเง้างอดก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
“แล้วเพื่อนๆคุณล่ะ?” เขาจึงเดินไปที่โต๊ะเขียนแบบกลุ่มหนึ่งที่ถูกดันชิดเสาต้นใหญ่ของอาคารเอาไว้
“ไปหาตัวอย่างงานวิชาภูมิสถาปัตย์กันครับ”
“งานกลุ่มเหรอ?”
“ครับ
พวกมันเปลี่ยนให้ผมเป็นคนพรีเซ้นต์ ส่วนตัวงานพวกมันจะไปช่วยกันหามาให้เอง
ผมก็เลยมีเวลาชดใช้กรรมอยู่ตรงนี้ไงครับ”
“ฮึ...” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เวลาที่พายุงอแงแบบนี้มันน่ารักดี เขาชอบ
“แล้ว...เด็กถาปัดไทยเจ้าของงานล่ะ?
ไม่อยู่ดูคุณหน่อยเหรอ? ไม่กลัวเขียนผิดรึไง?”
“อยู่วังหน้ากันนู้นแหละครับ
เหมือนจะยังวัดขนาดดาวเพดานกันไม่เสร็จมั้งครับ? ส่วนอันนี้น่ะ
ผมก็แค่เขียนตามของเดิมที่พวกมันเขียนไว้น่ะครับ”
“อ๋อ
แผ่นที่คุณทำขวดสีตกใส่สินะ?”
“.....นั่นแหละครับ
อาจารย์ก็คิดเหมือนผมไหมครับ?
ว่าที่จริงเป็นความผิดของไอ้พวกนั้นแหละที่ดันมากางแบบที่แสนสำคัญไว้กับพื้นน่ะ!
เขียนเสร็จแล้วก็ม้วนไว้สิ จะมาแบไว้ทำไมเนี่ย?!” พายุฟึดฟัดอยู่คนเดียว
ส่วนเขาได้แต่ลอบขำจนไหล่สั่น
“ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน” เขาดึงเก้าอี้ออกมานั่งอย่างตั้งใจจะลงหลักปักฐานอยู่ตรงนี้
“อาจารย์ไม่ช่วยผมเขียนเหรอครับ~” พายุส่งเสียงอ้อนมาจากด้านล่าง
“นี่ก็คือการศึกษาอย่างหนึ่งนะ
ผมที่เป็นอาจารย์ย่อมต้องปล่อยให้คุณได้เรียนรู้สิ” แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ
มือใหญ่หยิบหนังสือที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นมาเปิดอ่าน
“ทีอย่างงี้ละเอาการศึกษามาอ้างเชียวนะครับ~”
“คุณทำไปเถอะ
เดี๋ยวก็เสร็จ”
“แผ่นเท่าฝาบ้านแบบนี้เนี่ยนะครับ~”
“ครับ” ใบหน้ามนบ่นเง้างอดทั้งที่ตายังไม่ละไปจากลายที่ต้องเขียนตาม
พายุก็ไม่ได้จริงจังกับการขอให้เขาไปช่วยสักเท่าไหร่ ก็คงจะแค่อยากอ้อนเขาไปเรื่อยก็เท่านั้น
เขาเริ่มคุ้นชินกับภาพแบบนี้....ต่างฝ่ายต่างทำงานของตัวเองไป
การที่มีอีกคนอยู่ใกล้ๆเป็นเพียงแค่ความอุ่นใจแต่ไม่จำเป็นต้องพูดคุยหรือจ้องมองกันตลอดเวลา
พายุเองก็ไม่ได้เรียกร้องความสนใจจนเสียงานเสียการ และการที่เด็กคนนี้ค่อนข้างจะมีเหตุผลก็ทำให้เขาไม่เคยรู้สึกลำบากใจ
ไม่น่ารำคาญ
เพราะว่าพายุเป็นเด็กผู้ชายด้วยหรือเปล่านะ?
จึงไม่ได้มีนิสัยคิดเล็กคิดน้อยคอยแต่จะงอนจะน้อยใจในเรื่องที่ผู้ชายอย่างเขาไม่ได้ใส่ใจ
การคบกับพายุเขาจึงค่อนข้างจะสบายใจกว่าที่ผ่านๆมามาก
“ต้องทำให้เสร็จคืนนี้เลยไหมครับ?” เขาปิดหนังสือในมือลงเมื่อรับรู้ถึงความมืดที่โรยตัวอยู่นอกหน้าต่าง
“ครับ
เห็นไอ้พวกนั้นมันบอกว่าต้องส่งวันศุกร์นี้
แล้วพรุ่งนี้มันก็จะเริ่มลงเส้นจริงกันแล้ว อ่ะ!
อาจารย์กลับก่อนก็ได้นะครับ”
พายุเงยหน้าขึ้นมาอย่างเพิ่งจะนึกขึ้นได้...แต่แทนที่จะให้เขากลับ...
ใบหน้าราวกับรูปสลักมองไปยังประตูทางเข้าสตู
น่าจะมืดพอแล้วนะ?
ร่างสูงใหญ่ลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินพับแขนเสื้อไปยังแบบแผ่นใหญ่ที่พายุนั่งอยู่ ในคืนที่ไม่มีชั้นปีไหนส่งงานแบบนี้ที่นี่ก็เป็นเพียงตึกที่ไม่มีใครอยู่เท่านั้น
และเขาก็รอเวลาที่ทุกคนจะกลับไปจนหมดอยู่
ฝ่าเท้าถอดรองเท้าหนังซึ่งวางคู่กันอย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าไปในแบบขนาด4x4เมตร
“คุณมีดินสออีกสักแท่งไหม?
ส่งมาสิ เดี๋ยวผมช่วย” เสียงทุ้มเอ่ยในขณะที่นั่งลงไปบนพื้นอย่างไม่ถือตัว
เล่นเอาพายุเงยหน้ามองมาด้วยดวงตาเบิกกว้างเพราะไม่คิดว่าเขาจะลงมือช่วยจริงๆ
หากมองว่าเขาเป็นอาจารย์มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่อาจารย์จะช่วยลูกศิษย์ถึงขนาดนี้
แต่ถ้ามองว่าเขาเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรักพายุ
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยไม่ใช่เหรอ ความช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้
“เอ๊ะ?
ไม่ต้องก็ได้ครับอาจารย์” ใบหน้าอ้ำอึ้งปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“เอามาเถอะ” เขาแบมือขอดินสอที่วางอยู่ข้างๆพายุ
“ครับ...” มือบางยื่นมันมาให้พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง
เขาเพียงแค่ยิ้มรับมันเอาไว้ก่อนจะเริ่มลงมือวาดลายดาวเพดานต่อไป
ดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงใหญ่ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ...ความรู้สึกเต็มแน่นอยู่ในหัวใจจนแทบจะล้นทะลักออกมา
อยากจะโถมเข้าไปกอดแต่ก็ทำได้แค่ต้องอดทนไว้
เขายังทอดสายตามองร่างในชุดกั๊กสูทสีเทาอ่อนซึ่งนั่งอยู่กับพื้นอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์
ใบหน้าราวกับรูปสลักที่เซตผมมาอย่างดีกำลังก้มอยู่ตรงหน้าเขาจนมองเห็นขวัญบนกระหม่อมสวย
หัวใจดวงน้อยเฝ้าอดทนจนรู้สึกเจ็บแปลบไปหมด ทำไมถึงแสนดีขนาดนี้
ถึงเขาจะอ้อนไปแต่ก็ไม่ได้คาดหวังจริงๆว่าอาจารย์องศาจะต้องลงมาช่วย เพราะนี่มันเป็นแค่งานของนักศึกษา
แถมยังเป็นงานที่เกิดจากความผิดพลาดของเขาเองอีกต่างหาก
ยิ่งได้เห็นมือใหญ่ๆจับดินสอวาดลงไปบนกระดาษ
ได้เห็นดวงตาหลุบต่ำแสนสุขุม
ได้เห็นใบหน้าที่กำลังทำงานอย่างเพลิดเพลินของอาจารย์องศา ความชอบก็หลั่งไหลออกมาจากหัวใจที่พยายามกักเก็บมันไว้ราวกับน้ำที่ล้นเขื่อน
ชอบจัง...
ชอบอาจารย์องศาจนจะบ้าตายอยู่แล้วทำยังไงดี...
เดินไปปิดประตูสตูแล้วจับอาจารย์องศากดมันซะเลยดีไหม?
ไม่งั้นก็จับนิ้วนั่นประทับตราลงบนทะเบียนสมรสให้รู้แล้วรู้รอดไป?
แต่ก่อนที่เขาจะได้ก่ออาชญากรรมที่จะทำให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อมันซะเอง...เสียงไลน์ก็ดังติ๊งๆขึ้นมาเสียก่อน
อวาต้าร์
Mr.น่านฟ้า : ยังไม่เสร็จอีกเหรอวะพาย?
อวาต้าร์รอยสัก
: เฮ้ย มันดึกแล้วนะเว้ย นี่มึงยังอยู่ที่คณะอีกเหรอ? เดี๋ยวกูไปช่วยไหม?
อวาต้าร์ตากล้อง
: เดี๋ยวผีก็หลอกตายห่าหรอกมึง อยู่คนเดียวแบบนั้น
อวาต้าร์ทะเลยามเย็น
: ผีจะกล้าหลอกเจ้าแห่งนรกอย่างมันด้วยเหรอวะ ฮ่าๆๆ
อวาต้าร์ราฟาเอล
: ยังไม่เสร็จ แต่พวกมึงไม่ต้องมา กูไม่ได้อยู่คนเดียว
แชะ!
แล้วเขาก็ส่งรูปอาจารย์องศาที่กำลังเขียนดาวเพดานอยู่ตรงหน้าเข้าไปในกรุ๊ปไลน์...เท่านั้นแหละ
อวาต้าร์ตากล้อง
: กรี๊ดดดด
อวาต้าร์ทะเลยามเย็น
: อุ้ยยยย
อวาต้าร์
Mr.น่านฟ้า : โอยยย
อวาต้าร์รอยสัก
: กูว่าแล้ว มันเงียบไปแบบนี้
อวาต้าร์ตากล้อง
: กูก็บอกพวกมึงแล้วไงงง อยู่กับอาจารย์องศาแหงๆอ่ะ
อวาต้าร์รอยสัก
: แยกย้ายๆ เสียเวลาชิบหาย
เขานั่งหัวเราะคิกๆอย่างพอใจที่ได้อวดความน่ารักของอาจารย์องศาให้เพื่อนๆของเขาดู
“อย่ามัวแต่เล่นสิครับ” จนเสียงทุ้มต้องดุเพื่อให้เขาทำงานต่อ
“ครับ” ใบหน้ามนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทั้งเขินทั้งดีใจจนใบหน้าหล่อเหลาถึงกับส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอครับที่ผมช่วย”
“ก็ต้องดีใจสิครับ! (คนที่ชอบ)ทำอะไรแบบนี้ให้ทั้งที...” คำในวงเล็บเขาพูดเสียงเบาแต่อาจารย์องศาก็น่าจะได้ยินเพราะที่นี่ไม่มีใครและเสียงทุกเสียงล้วนก้องอยู่ในสตู
ก้องอยู่ในใจ...
มือใหญ่ถึงกับต้องปลดกระดุมคอเสื้อก่อนจะกระพือมันเบาๆ
อากาศในสตูก็ไม่ได้ร้อนนะแต่สาเหตุน่าจะมาจากแก้มที่ขึ้นสีนิดๆนั่นมากกว่า
อ้า~
อาจารย์ก็เขินเหมือนกันสินะ บ้าเอ้ย เขาอยากจะลงไปกลิ้งกับพื้นแล้วเนี่ย~ ฮึบไว้พระพาย ฮึบไว้~~
ต่างฝ่ายต่างก็เขียนดาวเพดานไป
เขินไป ยิ้มไป เดี๋ยวมดก็ขึ้นได้แล้วไหมแบบแผ่นนี้~
“อาจารย์...เคยช่วยนักศึกษาคนไหนแบบนี้ไหมครับ?” เสียงนุ่มหาเรื่องคุยเพื่อบรรเทาความเคอะเขินที่ทำเอามือจะหงิกได้แล้ว
“ไม่เคยครับ
เพราะไม่เคยมีนักศึกษาคนไหนกล้าเข้ามาวุ่นวายกับผมแบบคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาจากใบหน้าที่ก้มลงไปเขียนลายไทยต่อ
อาจารย์องศาดูคล่องแคล่วกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
เป็นเพราะอาจารย์มักจะสเก็ตแบบด้วยมือจนใช้มันได้อย่างชำนาญกว่าเด็กน้อยด้อยประสบการณ์อย่างเขาก็เป็นได้
“แล้ว...ถ้าในอนาคตมีนักศึกษาที่กล้าเข้าไปวุ่นวายกับอาจารย์แบบผม
อาจารย์จะช่วยเขาไหมครับ?” เขายังถามต่อไป
“ไม่ครับ
ผมคงไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาวุ่นวายกับผมเหมือนคุณแล้วละ” แต่อาจารย์องศากลับตอบมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ทำไมล่ะครับ?” มือใหญ่หยุดชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเขา
“ก็เพราะว่าผม...มีตัวและหัวใจแค่ดวงเดียวน่ะสิครับ”
หน้าเขาแดงแปร๊ดในชั่ววินาที
บ้าเอ้ย! จากที่จะหาเรื่องคุยเพื่อกลบความเขิน
กลายเป็นเขินหนักกว่าเดิมนี่มันอะร๊ายยย!
“.......” ใบหน้ามนยิ้มกริ่มจนแก้มแทบปริ การพยายามหุบยิ้มในเวลานี้มันช่างยากเย็นเสียจริงๆเลย
“แล้วคุณล่ะ?
ถ้าขึ้นปีสี่ปีห้าไป จะไปวุ่นวายกับอาจารย์วิชาดีไซน์คนอื่นอีกหรือเปล่า?” อาจารย์องศาถามกลับมาบ้าง
“ไม่มีทาง
ผมน่ะชอบตีกับอาจารย์วิชาดีไซน์ที่สุดแล้ว อาจารย์ก็รู้นี่ครับ” เขาเบะปากยักไหล่ ไม่ใช่แค่กับอาจารย์วิชาดีไซน์หรอก
อาจารย์ทุกวิชานั่นแหละที่เขามักจะไปรบราด้วย
เห็นเขาทำงานแบบส่งๆไปแต่เขาก็มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากนะ
ใครกล้าล้มแบบเขาต้องตีกันจนตายไปข้างนึงก่อนแหละ
“ฮึ...นั่นสินะ” ใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะออกมา
“แล้วอีกอย่าง...” เขาพูด...พลางหลุบสายตาลง...ก่อนจะช้อนขึ้นมาสบกับดวงตาสุขุมคู่นั้นใหม่
“ครับ?”
“ผมเอง...ก็มีตัวและหัวใจแค่ดวงเดียวเหมือนกันนี่ครับ”
“.......” อาจารย์องศาอมยิ้มด้วยใบหน้าที่ดูละมุนละไม
ถึงจะไม่มีคำว่ารัก...แต่ก็เหมือนเราต่างก็บอกรักกันและกัน
ทั้งเขาทั้งอาจารย์องศาก้มหน้าลงไปเขียนลายเงียบๆด้วยรอยยิ้มที่เบ่งบานอยู่เต็มหัวใจ
ไอแห่งความรักลอยฟุ้งไปทั่วสตูจนมองเห็นแต่สีชมพูๆเต็มไปหมด
แล้วก็เพราะมีอาจารย์องศาคอยช่วย
เขาจึงลอกลายดาวเพดานพวกนั้นเสร็จตอนสี่ทุ่มพอดี หึ!
เจ้าพวกถาปัดไทยกลุ่มนี้ต้องภูมิใจเลยนะที่มีเทพบุตรจุติลงมาเขียนลายให้เลยเนี่ย
แค่ยืนมองก็ยังรู้เลยว่าเส้นของอาจารย์องศาสวยคมและลงน้ำหนักดีกว่าพวกเขามาก
เด็กถาปัดนั้นจะมีเส้นแบบสถาปัตย์ที่ใช้กันเฉพาะเจาะจง
มันจะไม่เหมือนเส้นที่ศิลปินหรือคนทั่วไปใช้
แต่จะเป็นเส้นที่มีน้ำหนักและจะเขียนด้วยความมั่นใจเพียงเส้นเดียวเท่านั้น
พวกเขาต้องใช้เวลาเป็นปีๆในการฝึกเขียนเส้นแบบนี้ให้เคยมือ
และเส้นของอาจารย์องศาก็สวยมาก
ร่างที่สูงเกือบ190ดึงประตูม้วนเหล็กลงมาได้อย่างง่ายดาย
เขากับอาจารย์องศาช่วยกันปิดสตูก่อนจะเดินลงมาจากชั้นสี่
ตึกคณะในเวลานี้มีแต่ความเงียบงัน
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเห็นจนชินตากลับดูโรแมนติกสุดๆเมื่ออยู่กันแค่สองคน
มือใหญ่เอื้อมออกมาเพื่อให้เขาวางมือของตัวเองลงไป
ตอนกลางวันพวกเราจับมือกันไม่ได้แต่ตอนนี้เขากำลังเดินตามร่างสูงใหญ่โดยที่ถูกอาจารย์องศาจับมือเอาไว้
เขาเฝ้ามองไหล่กว้างที่เดินเยื้องอยู่ข้างหน้าด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
ในใจภาวนาให้ทางเดินในคณะนั้นยาวแสนยาว ยาวจนไม่มีที่สิ้นสุด
พวกเราจะได้เดินต่อไปด้วยกันอยู่แบบนี้
เดตไนท์ที่คณะก็ไม่เลวเหมือนกันแหะ
มัน...ดีมากๆเลยแหละ
ร่างในชุดหมีผ้ายีนส์ซีดๆซึ่งดูไม่เข้ากับ
Kawasaki
Ninja ZX-4R ก้าวขาลงจากบิ๊กไบต์ซึ่งเพิ่งจะจอดลงที่ประตูวังหลังของโรงพยาบาลศิริราช
ท่อนแขนแข็งแรงสะพายกระเป๋าเป้ซึ่งเต็มไปด้วยไขควงเอย
ประแจเอย
และอุปกรณ์ช่างอีกสารพัดที่อัดแน่นอยู่ในนั้นจนมันส่งเสียงเคร้งๆในทุกจังหวะที่ก้าวเดิน
ทั้งคนที่มาซื้อของทั้งแม่ค้าพ่อค้าต่างก็หันมองตามยามที่เขาเดินผ่าน
ขายาวก้าวไปตามทางที่คุ้นชินเพื่อลัดเลาะเข้าไปในตรอกซอกซอยของตลาดวังหลัง
ปกติเขาก็ไม่ได้แต่งตัวแบบนี้หรอก
แต่เป็นเพราะวันนี้ตั้งใจจะไปซ่อมบ้านให้ใครบางคนต่างหากถึงได้ใส่ชุดแบบช่างมา
ก็คราวที่แล้วที่เข้าไป
เขาสังเกตุเห็นหลายๆจุดเลยที่มันเก่าโทรมจนแทบจะพังลงมา
โดยเฉพาะประตูเหล็กสนิมเขรอะหน้าบ้าน แค่ถีบเบาๆก็คงปลิวยกแผงแล้ว อันตรายจะตายยิ่งเจ้าเด็กนั่นอยู่คนเดียวด้วย
ใครคิดจะทำมิดีมิร้ายก็บุกเข้าไปได้ง่ายๆเลยนะ
โอ๊ะ
ไอ้นี่น่ากินจัง กระแสความคิดถูกหยุดไว้ด้วยขนมไทยน่าทาน เห็นแล้วทำไมนึกถึงเด็กนั่นก็ไม่รู้ ขายาวจึงหยุดชะงักเพราะถูกร้านขายขนมวงดักเอาไว้
“เอานี่ชุดนึงครับ” นิ้วยาวชี้ไปที่ขนมวงโรยงาน่ากิน
น้ำเชื่อมสีน้ำตาลก็ราดเสียฉ่ำเยิ้มดูน่าอร่อย
“ได้จ้า” พี่แม่ค้าคีบมันใส่กระทงใบตองให้ อย่างกับอยู่ตามตลาดต่างจังหวัดเลยแหะ
ดีจัง
“ขอบคุณครับ”
มือใหญ่รับถุงใส่ขนมวงนั่นมาก่อนจะเดินต่อไป...ได้แค่อีกไม่กี่ก้าวเขาก็ถูกร้านขายน้ำแบบไทยๆดักเอาไว้อีกราย
ก็ไอ้น้ำอัญชันน้ำผึ้งมะนาวนี่มันสีเหมือนดอกพยับหมอกที่เจ้าเด็กนั่นชอบเลยนี่~
“......” ใบหน้าแบบแบดบอยเหลือบมองถุงใส่ของกินพะรุงพะรังในมือหลังจากมายืนอยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้นบ้านของเจ้าจอมจนได้...เผลอซื้อมาซะเยอะแยะเลยแหะ...ก็มันดูน่ากินทั้งนั้นเลยนี่นา
เขาถึงได้สงสัยไงว่าเจ้าเด็กนั่นยังผอมแห้งอยู่ได้ยังไงถ้าต้องเดินผ่านร้านพวกนี้ทุกวันๆน่ะ!
“เจ้าจอม!” เสียงห้าวตะโกนเรียกเมื่อเดินขึ้นมาถึงปลายบันได
“เจ้าจอม!” อยู่บ้านใช่ไหมเนี่ย?
เขาไม่มีเบอร์โทรศัพท์เลยไม่ได้โทรมาก่อนเสียด้วย
แอ๊ด....
แล้วประตูบ้านเก่าโทรมบานนั้นก็ค่อยๆเปิดออกพร้อมกับใบหน้ามนที่ค่อยๆยื่นออกมาอย่างหวาดระแวง
สงสัยว่าปกติคงไม่ค่อยมีใครมาหา?
“พี่เก้า?” แล้วเจ้าจอมก็ทำสีหน้าประหลาดใจก่อนจะค่อยๆเดินออกมาเปิดประตูรั้วเหล็กให้
“ไง
ทำอะไรอยู่?...” เขาเสตาขึ้นไปมองนกมองไม้อย่างเขินหน่อยๆ
ก็อย่างว่าแหละ เราไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นจะมาซ่อมประตูให้แบบนี้เสียหน่อย
ไม่ได้เป็นพี่ชายหรือญาติหรือแม้แต่เพื่อนด้วยซ้ำ
“เอ่อ...กำลังวาดรูปอยู่ครับ...แล้วพี่...” ใบหน้ามนดูมึนงงที่เห็นเขาอยู่ตรงนี้
“กูจะมาซ่อมประตูนี่ให้มึงยังไงล่ะ”
มือใหญ่ยกประแจเคาะลงไปที่ประตูรั้วเหล็กที่กั้นระหว่างบันไดกับลานหน้าห้องของเจ้าจอม
“เอ๋?
แต่มันก็ไม่ได้...” เจ้าเด็กที่ชอบให้บังคับทำท่าจะปฏิเสธอีกแล้วเขาจึงต้องใช้ไม้แข็ง
“กูถีบทีเดียวก็พังแล้ว
มึงจะลองไหมล่ะ?”
“มะ
ไม่ต้องครับ เชิญซ่อมได้เลยครับ” เจ้าจอมยิ้มแหยๆก่อนจะเปิดประตูกว้างให้เขาเดินเข้าไป เป้ใส่อุปกรณ์ของเขาจึงถูกวางโครมลงบนพื้นหน้าประตูบ้านนั่นแหละ
“เอ้า” เขายื่นถุงสารพัดของกินพวกนั้นให้
“เอ๊ะ?” เจ้าจอมทำหน้างง
“กูซื้อระหว่างทางที่เดินมา
มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลยนะซอยบ้านมึงเนี่ย กูเห็นแล้วก็นึกถึงมึง
เพราะงั้นกินให้หมดอย่าให้เหลือล่ะ” ถึงจะพูดด้วยเสียงห้าวๆแต่เขาก็เขินอยู่นะเอาจริงๆ
“....ขอบคุณนะครับ...” เจ้าจอมรับไป สองแก้มใสขึ้นสีนิดๆ
อ่า...น่ารักชิบหาย
เป็นเพราะผิวที่ขาวจัดหรือไงกันนะ
เวลาที่เจ้าจอมเขินแล้วปลายจมูกกับโหนกแก้มแดงขึ้นแบบนี้มันจึงเหมือนแฟร์รี่ที่หลุดออกมาจากภาพวาดเลย
น่ารัก...มากๆ
ร่างผอมบางเดินเข้าบ้านไปและเขาก็ยังเดินตาม
“....?
??..” ใบหน้ามนจึงเหลือบมามองเขาอย่างสงสัยเพราะเขาบอกจะมาซ่อมประตูรั้วไม่ใช่หรือไง?
แล้วทำไมต้องเดินเข้ามาในบ้านด้วย?
ฮึ...เขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“กูมาดูว่ามึงวาดรูปอะไรอยู่” เขาเท้าสะเอวก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปมองเฟรมวาดรูปที่ถูกวาดค้างไว้
มันเป็นรูปทุ่งดอกไม้สีฟ้าที่สวยมากๆซึ่งน่าจะวาดตามรูปถ่ายต้นแบบที่ถูกเหน็บไว้ที่ขาตั้งข้างๆ
เขายืนมองมันอย่างพินิจพิจารณา รูปของเจ้าจอมดูมีชีวิตชีวามากขึ้นจริงๆ เขารับรู้ถึงความรู้สึกหลากหลายที่ส่งผ่านออกมา
ทุ่งดอกไม้มันไม่ได้สงบนิ่งราวกับสุสานอีกต่อไป แต่มันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสุข
ความสับสน ความประหม่า มันเต็มไปด้วยชีวิตและจิตใจ
ที่รูปของเจ้าจอมค่อยๆเปลี่ยนไป...อาจจะหมายถึงหัวใจของเจ้าจอมเองก็กำลังเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า?
มันไม่ได้ด้านชาเหมือนเก่า
แต่เด็กนี่...กำลังมีความรัก...
และมันก็ไม่น่าจะเป็นใครไปได้นอกจากเขา...
ริมฝีปากหยักยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ฮึ...นึกว่าแอบวาดเรือนร่างของกูอยู่ซะอีก” เขาหันไปหยอกเย้า
“....อย่าพูดถึงมันได้ไหมครับ~” เจ้าจอมถึงกับหันหน้าหนีอย่างอายๆ
“มึงก็เป็นซะอย่างเงี้ย แล้วกูจะอดใจไม่แกล้งมึงได้ไง?”
“ปะ เป็นยังไง…”
“เป็นน่ารักไง”
“อึก….” จากที่แค่แดงระเรื่อ
ตอนนี้สองแก้มใสเริ่มจะแดงเป็นลูกชมพู่แล้วจริงๆ
“ฮ่าๆๆๆ” เขาหัวเราะอย่างมีความสุขที่แหย่อีกฝ่ายสำเร็จ
“พี่เก้า~” มือบางเผลอจับเสื้อเขาเขย่าไปมา
ใบหน้ามนทั้งเขินทั้งเง้างอดน่ารักจนอยากจะดึงมากอดให้จบๆไปเสียจริงๆ
ดวงตาเรียวเหลือบไปเห็นภาพวาดสีน้ำขนาดเท่าโปสการ์ดซึ่งแขวนอยู่กับเชือก
มันเป็นรูปช่อดอกกุหลาบสีฟ้าที่เขาเป็นคนซื้อให้...เจ้าจอม...น่าจะวาดมันขึ้นมา...
แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่รูปเดียว
แต่เป็นรูปที่ร้อยเรียงเรื่องราวบันทึกทุกช่วงเวลาของกุหลาบช่อนั้นเอาไว้ ตั้งแต่วันที่เพิ่งซื้อมา
จนมันค่อยๆเบ่งบานเต็มดอก จนวันที่มันเหี่ยวเฉา...เจ้าจอม...วาดมันเอาไว้หมด
เขายิ้มด้วยหัวใจที่พองฟู
วาดไว้ซะขนาดนี้แสดงว่ามันคงสำคัญมากสินะกุหลาบช่อนั้น
“มึงวาดรูปต่อไปเถอะ กูจะไปซ่อมประตู” เขาหันไปบอกก่อนจะยกมือขยี้หัวเล็กเบาๆแล้วก้าวเดินออกไป
“ขอบคุณครับ…”
เจ้าจอมนั่งวาดรูปต่อโดยเปิดประตูบ้านเอาไว้
เขาจึงยังมองเห็นร่างผอมบางนั่นผ่านผนังกระจกที่ไม่ได้ใสมากนัก
แต่ถึงมันจะขุ่นมัวแค่ไหนก็ยังปกปิดความบอบบางของคนที่อยู่ด้านหลังนั่นไม่ได้
บางครั้งเขาก็เผลอมองอย่างหลงใหล
เด็กนั่น...ดูบริสุทธิ์เหมือนดอกไม้
ดูเหมือนจะบอบช้ำได้ง่ายๆเพียงแค่แตะแรงเกินไป
ยิ่งในเวลาที่เจ้าจอมนั่งอยู่หลังเฟรมวาดรูป
ใบหน้าที่อมยิ้มน้อยๆยามเมื่อแต้มสีลงบนผ้าใบ ข้อมือเล็กๆที่เหมือนจะหักได้
ร่างกายบางๆที่อยู่ในเสื้อผ้าสีขาว
สำหรับเขา...นั่นคือภาพที่งดงามจนเหมือนถูกสะกด
สวย...และบอบบาง...
ช่างเป็น...ขั้วตรงข้ามกับเขาเลย...
ถ้าเจ้าจอมเป็นขั้วเหนือเขาก็คงจะเป็นขั้วใต้...และนั่นก็คงจะกลายเป็นแรงดึงดูดมหาศาลที่ดึงเราเข้าหากัน
ความบอบบางของเจ้าจอมมันเรียกร้องให้เขาอยากจะปกป้อง และความแข็งกร้าวของเขาก็เรียกร้องอ้อมแขนที่อ่อนโยนจากเจ้าจอม
ต่างฝ่ายต่างก็เป็น
magnet ที่ดึงดูดกันและกัน
ที่จริง…วันนี้…เรื่องซ่อมประตูก็เป็นแค่ข้ออ้าง เขาอยากจะมาหาเด็กนั่นมากกว่า
ดูท่าจะอาการหนักแล้วแหะ
เขาเนี่ย
เสียงเคร้งๆเอี๊ยดอ๊าดๆดังเป็นระยะๆเมื่อเขาถอดประตูเหล็กดัดทั้งบานออกมาวางไว้ที่พื้น
ต้องเปลี่ยนตั้งแต่บานพับไปจนถึงที่คล้องแม่กุญแจ ลูกบิดเหล็กนี่ก็ฝืดซะเหลือเกินคงต้องหยอดน้ำมันขนาดหนัก
อ้า...เห็นประตูผุๆนี่แล้วก็คันมือยิบๆขึ้นมาเลย จากที่ว่าจะมาซ่อมแค่บานพับคงได้จับมันทาสีใหม่แน่ๆ
“พี่เก้า...” หื๋อ? เขาหันไปมองคนที่เดินถือโหลใส่น้ำอัญชันน้ำผึ้งมะนาวเย็นเจี๊ยบมาให้
“ดื่มน้ำก่อนครับ” เจ้าจอมวางถาดลงบนแคร่ไม้หน้าบ้าน
จะว่าไปวันนี้ก็ร้อนเอาเรื่องเหมือนกันแหะ
เขาจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพลางถอดชุดหมีออกแล้วพันแขนเสื้อไว้ที่เอว
ท่อนบนของเขาจึงเหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวเดียว
“ฮึ...”
เขาหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าจอมจ้องเอาๆไปที่รอยสักของเขา
ชอบเสียจริงนะเจ้าเสือตัวนี้ ชักจะหึงซะแล้วนะเนี่ย~
เขานั่งลงบนแคร่ด้วยท่าทางสบายๆในขณะที่เจ้าจอมยืนพิงผนังอยู่ข้างๆ
เจ้าเด็กนี่ใส่เสื้อคอย้วยกับกางเกงขาสั้นยังไงให้ดูน่ารักได้ขนาดนี้ฟ๊ะ?
“พี่เก้า...” เสียงนุ่มเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังกังวลใจอะไรบางอย่าง?
“หื๋อ?” เขาจึงหันไปหาใบหน้ามนที่ก้มมองพื้น
“ผม...ขอโทษนะครับ..เรื่องที่ผมบอกเพื่อนๆไปว่าพี่จะมาเป็นแบบในโปรเจคจบเทอมให้...พี่อาจจะไม่ได้อยากให้ใครรู้...” เท้าเล็กเขี่ยพื้นไปมาหน้าตาเหมือนกำลังกลัวว่าเขาจะโกรธ
ตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลยนี่นะ เขาจึงถามออกไป
“ถ้างั้นกูขอถามเหตุผลของมึงหน่อย
ว่าทำไมถึงบอกไปล่ะ?” อันที่จริงเขาไม่ได้โกรธเลยสักนิดแถมยังยินดีด้วยซ้ำ
แต่ที่ถามก็เพราะอยากจะรู้ว่าเจ้าจอมรู้สึกเหมือนเขาไหม
“ผม...ไม่อยากให้เพื่อนเสียเวลาน่ะครับ
เพราะใครๆ...ต่างก็อยากให้พี่มาเป็นแบบให้และต่างก็คาดหวังไว้แบบนั้น...”
“ไม่มีความรู้สึกว่าหวงกู
ไม่อยากยกกูให้คนอื่นบ้างเลยเหรอ?”
“อ่ะ...” เจ้าจอมหน้าแดงแปร๊ดจนเขาเผลอยิ้ม
“ฮึ...มีสินะ?”
“ปะ
เปล่า...ผมจะไปรู้สึกแบบนั้นกับพี่ได้ยังไง...” เจ้าเด็กตรงหน้าพยายามปฏิเสธเลิ่กลั่ก
เขาจึงหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าจอมตรงๆ
ดวงตาคมกล้าสบประสานเข้าไปในดวงตาสั่นไหวอย่างไม่คิดจะให้หนีไปไหน
“ได้สิ
ทำไมจะไม่ได้”
“เอ๊ะ?”
“ก็ขนาดกู
ยังไม่อยากให้มึงไปวาดรูปเปลือยของใครเลย แค่คิดกูก็ทนไม่ไหวแล้วถ้ามึงต้องนั่งวาดรูปคนอื่นที่ไม่ใช่กู” เสียงดุดันพูดออกไปจากใบหน้าที่จริงจัง
“เอ่อ...” เจ้าจอมถึงกับอึ้งไปเลยกับคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขา
“กูยินดีมากกูบอกมึงไว้เลย
กูชอบที่มึงป่าวประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่ากูเป็นของมึง” ใบหน้าหล่อแบบร้ายๆยกยิ้มให้
ส่วนคนที่ได้ฟังก็ถึงกับเสสายตาหลบให้วุ่นวายไปหมด
“อ่า...เป็นของผมนี่มัน...ไม่ใช่...”
“ใช่สิ
กูเป็นของมึงไง มึงถึงวาดรูปกูได้”
เสียงห้าวยังคงตอกย้ำต่อไป ว่าเขาเอาจริง
ทุกคำที่พูดออกไปไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เขารู้สึกกับเจ้าจอมแบบนั้นจริงๆ
“......” ใบหน้ามนแดงแล้วแดงอีก
และเขาก็จ้องมองใบหน้าก้มงุดนั้นด้วยความเอ็นดู
“แล้วมึงก็เป็นของกูคนเดียวด้วย
ไม่ว่าจะโปรเจคจบเทอมนี้หรือเทอมไหน กูก็อยากให้มึงวาดแต่รูปกู”
“เอ๋?
ยัง...อยากเป็นแบบให้ผมอีกเหรอครับ...”
“รึไม่เอา?”
“เอาครับ!”
“ฮ่า
ก็ต้องอย่างงั้นสิ” เขาหัวเราะ
ดวงตาแข็งกร้าวทอดมองคนที่ยืนก้มหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน
เขาอยากจะให้เจ้าจอมมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้
มั่นใจว่าตัวเองนั้นคู่ควรกับเขามากขนาดไหน
“ขอบคุณครับ...”
“ผม...เข้าไปวาดรูปต่อนะครับ..”
“อืม”
เขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่
ในหัวครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจว่าจะต้องบอกเจ้าจอมให้ชัดเจน...ถึงความรู้สึกที่เขามีให้อีกฝ่ายมันจะเพิ่งเริ่มต้นแต่เขาเชื่อว่ามันจะไปต่อได้อีกไกล
เพราะเขาไม่ชอบอะไรที่มันคลุมเครือ
แล้วก็ไม่ชอบ ที่อีกฝ่ายจะต้องมาคิดมากเรื่องของเขาแบบนี้ด้วย
เขาอยากให้เจ้าจอมรู้
ว่าเจ้าจอมมีสิทธิ์ในตัวเขา มีสิทธิ์ที่จะรัก มีสิทธิ์ที่จะหึง มีสิทธิ์ที่จะหวงเขา
มีสิทธิ์ที่จะป่าวประกาศเรื่องของเรากับใครๆ เขาไม่คิดจะปกปิดมันไว้อยู่แล้ว
เขาใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการขัดและทาสีเหล็กดัดจนเจ้าประตูเก่าโทรมนั่นสวยวิ้งจนจำแทบไม่ได้
เขายังขนเศษไม้เศษสังกะสีผุๆที่เจ้าของตึกเก็บไว้ให้หนูให้แมลงสาบมันอาศัยอยู่นั่นไปทิ้งจนหมด
ก่อนจะเอากระถางพยับหมอกที่วางซ้อนๆกันมาเรียงใหม่ให้ดูสะอาดตา
กระถางไหนที่ตายแล้วเขาก็แยกกอที่แน่นๆมาปลูกให้
จากลานบ้านที่เต็มไปด้วยวัตถุอันตรายจึงแทบจะกลายเป็นสวนลอยฟ้าสวยๆได้เลยทีเดียว
ถ้าตรงนี้มีเก้าอี้ชิงช้าสีขาวๆสักตัวนะ
เด็ดเลย
เขาได้แต่เล็งไว้ก่อนเพราะตอนนี้ก็บ่ายคล้อยแล้ว
ไม่น่าจะทำทัน
“ขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะ
เหนียวตัวไปหมดแล้ว”
เขาตะโกนบอกคนที่ยังนั่งวาดรูปง่วน
“ครับ~”
เขามองสำรวจห้องน้ำเล็กๆในขณะที่อาบน้ำไปด้วย
ถึงเจ้าจอมจะขัดไว้อย่างสะอาดสะอ้านแต่กระเบื้องลายพร้อยพวกนี้ก็ขัดใจสถาปนิกจริงๆ
ปูใหม่มันซะเลยดีไหม?
เป็นกระเบื้องเล็กๆสีขาวไม่ก็สีฟ้าน่าจะดีกว่า อ่างล้างหน้ารุ่นพระเจ้าเหานี่ก็น่าเปลี่ยนสุดๆ
แถมชักโครกสีน้ำเงินนี่ก็ช่างเลือกมาได้
ใช้ไปนานๆคราบก็เขรอะแถมเชยระเบิดอีกต่างหาก ฝักบัวนี่ถ้ามีเรนชาวเวอร์ด้วยก็น่าจะดีเพราะหลังคาตรงนี้เป็นหลังคาขุ่นแสงลงอย่างสวย
แล้วก็น่าจะเข้ากับกระถางพลูด่างของเจ้าจอมด้วย
“พี่เก้า...ใช้ผ้าขนหนูอันนี้ได้นะครับ...ผม...วางไว้หน้าห้องนะ” เขาเลิกมองหาจุดที่ว่าจะเปลี่ยนเมื่อเสียงของเจ้าจอมแทรกมา
ฝ่ามือใหญ่เอื้อมออกไปดึงผ้าขนหนูสีขาวเข้ามา
เขาซับมันลงบนใบหน้าก่อนจะได้กลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มโชยออกมา
อืม...หอมแหะ...
ใบหน้าเปื้อนยิ้มทอดมองผ้าขนหนูที่เจ้าจอมซักมันอย่างใส่ใจ
ก่อนจะดึงมันขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมๆนั่นทั้งรอยยิ้ม...ที่เอามันมาให้เขาเจ้าจอมก็ใส่ใจ...นั่นคือเหตุผลที่เขาหยุดยิ้มไม่ได้
เพราะเสื้อกล้ามมันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
เขาจึงตากมันไว้ในห้องน้ำแล้วเดินออกมาโดยมีแค่ผ้าขนหนูพาดบ่า
อ่า
ข้างล่างก็ยังใส่กางเกงของชุดหมีน่า เขาไม่บ้าถึงขนาดจะเดินแก้ผ้าในบ้านคนอื่นหรอก
กึง
มือใหญ่เปิดตู้เย็นเครื่องเล็กๆก่อนจะกวาดตามองของที่อยู่ข้างใน
แล้วกล่องพลาสติกที่ซ้อนๆกันอย่างเป็นระเบียบนั่นก็ทำให้เขาอมยิ้มได้อีกครั้ง
เพราะข้างในกล่องพวกนั้นคือของกินที่เขาซื้อมาให้
นอกจากจะไม่จับยัดไปทั้งถุงแบบที่ผู้ชายเถื่อนๆอย่างเขากับเพื่อนทำ
เจ้าจอมยังแยกมันใส่กล่องอย่างเรียบร้อยอีกด้วย
อ้า~
น่ารักโว้ย~!
“กูเอาน้ำไปกินนะ”
เขาหันไปบอกคนที่ยังนั่งวาดรูปด้วยสีหน้ามีความสุข
“อ่ะ
ครับ” เสียงนุ่มขานรับ
มือใหญ่จึงหยิบขวดน้ำเย็นเฉียบออกมา เขาบิดฝาในขณะที่เดินดูของที่วางอยู่บนโต๊ะ
ส่วนใหญ่ก็เป็นอุปกรณ์สำหรับวาดรูปนั่นแหละ
เขามองเห็นจานใส่กระทงขนมวง
นิ้วยาวจึงคีบมันขึ้นมาก่อนจะกัดไปคำหนึ่ง...อร่อยแหะ
กรอบใช้ได้เลยขนาดทิ้งไว้นานแล้วนะ
“ฮึ....”
เขาหลุดหัวเราะเมื่อเหลือบไปเห็นภาพวาดสีน้ำขนาดโปสการ์ดซึ่งแขวนอยู่ระหว่างรูปดอกกุหลาบสีฟ้า
ดูเหมือนรูปนี้เพิ่งจะเพิ่มเข้ามาสดๆร้อนๆเลยเพราะมันคือรูปของขนมวงในกระทงใบตองอันนี้นี่เอง
จะวาดเอาไว้หมดเลยใช่ไหมเนี่ยของที่เขาให้น่ะ
ขายาวก้าวเดินดูของในห้องต่อไป
ตอนอยู่ข้างนอกเขาก็ว่าเขาได้ยินเสียงฝนตกบ้างละ
น้ำไหลบ้างละมาจากที่ไหนสักที่? ที่แท้มันก็ดังมาจากลำโพงของเจ้าจอมนี่เอง
“มึงฟังอะไรวะเนี่ย?” เขาแวะไปนั่งยองๆมองดูหน้าจอมือถือที่ต่อกับลำโพงบูทูธไว้
มันเปิดคลิปในยูทูปซึ่งเป็นคลิปเสียง
ASMR
ของนักวาดการ์ตูนท่านหนึ่ง ทั้งคลิปก็จะมีแค่เสียงแกรกๆๆของปากกาที่กระทบกับกระดาษ เขาจึงเหลือบมองไปที่เจ้าจอมด้วยสายตาทำนองว่า มึงก็วาดรูปอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?
แล้วยังจะฟังเสียงวาดรูปอีกเนี่ยนะ? เจ้าจอมก็เอียงคอทำหน้างงว่ามันแปลกตรงไหน?
เขาจึงลอบขำกับรสนิยมที่ดูน่าเอ็นดูของเจ้าจอม
ก็ขนาดไถคลิปต่อๆไปในเพลย์ลิสยังเป็นเสียงฝนบ้าง
เสียงทำขนมบ้าง เสียงทำนู่นทำนี่
เจ้าจอมน่าจะชอบฟังเสียงธรรมชาติหรือความเคลื่อนไหวของผู้คน
มันคงผ่อนคลายดีมั้งเวลาวาดรูป
เขามองหน้าแอพยูทูบก่อนจะอมยิ้มเจ้าเล่ห์ นิ้วยาวกดเสิร์จหาเพลงเพลงหนึ่งแล้วก็จิ้มลงไป
พอดนตรีมันเริ่มบรรเลง
เจ้าจอมก็ละใบหน้าจากเฟรมวาดรูปมามองอย่างสงสัย
“กูก็ไม่ได้คิดว่าเสียงที่มึงฟังอยู่มันน่าเบื่อหรอกนะ แต่กูมีเพลงเพลงนึงอยากให้มึงฟัง
กูเปิดให้มึงแล้วกันเพลงนี้”
เจ้าจอมยังเอียงคอค้าง
ดูเหมือนจะกำลังตั้งใจฟัง?
แต่แล้วพอเนื้อเพลงเริ่มถูกร้องขึ้นมา ใบหน้ามนก็มีแววประหลาดใจเพราะเนื้อเพลงที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนใคร
-จำเลยอย่าแย้งหากยังไม่มีอะไรจะกล่าว
ยอมมอบใจมาซะดีๆ
ความผิดของเธอนั้นมีดังนี้-
เขาชี้นิ้วไปที่เจ้าจอมเพื่อบอกว่าจำเลยที่ว่าก็คือมึงนั่นแหละ
เด็กนั่นก็เลิ่กลั่กๆอยู่หลังเฟรมวาดรูปพลางชี้นิ้วไปที่ตัวเอง
อุ๊บ...น่ารักชิบหาย
-หนึ่งคือเธอน่ะเห็นฉันเป็นคนอื่นไกล
เชื่อเถอะว่าฉันพร้อมไม่ว่าเป็นเรื่องใด
โทษนะคะที่รัก เธอยังฟังอยู่ไหม
ข้อต่อไปมันก็สำคัญ
ข้อที่สองเรื่องที่เธอชอบใคร
ศาลตัดสินเป็นครั้งสุดท้ายเรื่องที่เธอต้องชดใช้
นับจากนี้ตลอดชีวิตต้องอยู่กับฉัน
ตลอดไป-
ใบหน้ามนถึงกับทำตาโตเพราะเนื้อเพลงนั้นไม่ได้เข้าใจยากเลย
ยิ่งพอเขาบอกว่าเปิดเพลงนี้ให้ ใบหน้าใสนอกจากจะเลิ่กลั่กแล้วก็ยังเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ
เรื่อยๆตามความยาวของเพลงอีกต่างหาก
-ยอมมอบใจเพราะความคิดถึงล้อมเธอไว้หมดแล้ว
ทะเบียนสมรสกับนายอำเภอก็รอเธอจดแล้ว
แหวนเพชร สินสอด รอให้เธอกอด รวมถึงเงินสดแล้ว
Gucci
Belt งูมันเลื้อยรอเธอหลายขดแล้ว
ตามกฏแล้ว ว่าทำนองคลองธรรม
จำเลยรักจะอยู่เรือนหอแทนการอยู่เรือนจำ
โซ่ตรวนจะกลายเป็นสร้อยคอทองคำ
และจะมีศาลผู้พิพากษาอยู่ร่วมเรือนหอจองจำ
ไม่ต้องมีคำอนุญาโตตุลาการ
ไม่ต้องมายื่นอุทธรณ์ แล้วปล่อยให้ฟ้าเป็นพยาน
ว่าพันธนาการสองเราแม้นไกลจะหาใกล้
แม้นจำเลยรักต้องการสิ่งใดให้บอกมาเลยจะหาให้
จนกว่าจะหาไม่-
ยิ่งฟัง...เจ้าจอมก็ยิ่งหน้าแดงเถือก
น่ารักจนเขาถึงกับขำจนไหล่สั่น
-จำเลยอย่าแย้งหากยังไม่มีอะไรจะกล่าว
ยอมมอบใจมาซะดีๆ
ต้องเป็นจำเลยของฉันคนนี้ตลอดไป-
มันคือเพลง
“จำเลยรัก” ของ F.HERO
ft.Txrbo
เขานั่งยิ้มกับปฏิกิริยาโคตรน่ารักของเจ้าจอมอยู่กับพื้น
ส่วนเจ้าของเพลงที่เขาเปิดให้ก็หันไปวาดรูปด้วยใบหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึง
มือไม้ปัดป่ายพู่กันอย่างกับหุ่นยนต์จนเขาทนไม่ไหว
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” ใบหน้าเรียวหัวเราะก๊ากออกไป
ทำเอาเจ้าจอมถึงกับผงะก่อนจะหันหน้าหนีเพราะคิดว่าเขาชอบล้อตัวเองเล่น และเมื่อเขายังมองพลางยิ้มไม่หยุด
เจ้าจอมก็ก้มงุดก่อนจะลุกหนีอย่างงอนๆ
จังหวะที่ร่างผอมบางกำลังจะวิ่งผ่านเขาไป
มือใหญ่ก็คว้าเอวเล็กเอาไว้จนล้มลงไปบนฟูกนอนที่อยู่ใกล้ๆด้วยกัน
“หนีทำไม?” เขาถามด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าหันตะแคงเข้าหานอนคุยกันอยู่บนฟูกแบบนั้น
“ก็พี่...ชอบล้อผมเล่น...”
“แล้วถ้ากูไม่ได้ล้อมึงเล่นล่ะ? ถ้ากูชอบมึงขึ้นมาจริงๆ
มึงจะปฏิเสธกูไหม?” เสียงห้าวพูดออกไปตรงๆจนเจ้าจอมถึงกับตกใจในคำสารภาพรักที่มาอย่างกับฟ้าแล่บนี้
“เอ๊ะ? แต่ผม…เป็นผู้ชาย…” ใบหน้าที่เบิกตาค้างดูจะสับสนจนไม่รู้จะพูดอะไรเสียมากกว่า
“ผู้ชายแล้วยังไงวะ? ถ้ากูชอบ
ต่อให้เป็นผู้ชายกูก็ไม่สนหรอก”
“ผม…”
“มึงไปคิดดูให้ดีก่อน ยังไม่ต้องตอบกูตอนนี้ก็ได้” ถึงเขาจะมั่นใจว่าเจ้าจอมก็ชอบเขา
แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะรีบร้อนและกดดันอีกฝ่าย
“เพราะยังไงซะ มึงก็ต้องเป็นจำเลยของกูคนนี้ตลอดไป” ใบหน้าแบบแบดบอยยกยิ้มหยอกเย้า
เขาไม่อยากให้เจ้าจอมต้องเครียดและคิดมากกับความรู้สึกของเขาจนเกินไป
“นะนะนะนั่นมัน…เพลงเหรอครับ…?”
“กูพูดสิ่งที่กูคิดต่างหาก ถึงกูจะให้เวลามึงคิด แต่มึงหนีกูไม่พ้นหรอก
ขวัญ” มือใหญ่ยกขึ้นไปจับแก้มสีแดงของคนที่นอนอยู่ข้างๆ
ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แน่วแน่และมั่นคงยิ่งกว่าครั้งใด
“กู
ชอบ มึง...กูอยากเป็นแฟนกับมึง ไม่ใช่ความชอบในรูปแบบอื่น”
“เอ่อ อ่า ง่า…” เจ้าจอมนอนอ้าปากพะงาบๆด้วยความเขิน
หน้าแดงจนแม้แต่แสงเรื่อที่สะท้อนออกมาก็ยังแดง
“ฮึ…” เขาเลยพลิกไปนอนตะแคงก่อนจะเท้าแขนมอง
“มึงนี่ก็น่ารักจริงๆเลยแหะ” นิ้วยาวดึงแก้มคนที่ยังเขินจนอ๊องเบาๆ
“อื้อ~” เขาดึงแก้มทั้งสองข้างนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว
พอได้พูดออกไป ในใจมันก็เบาขึ้นเยอะ เห็นแบบนี้เขาก็แอบประหม่าแอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกันนะ
“อ่า…พอได้นอนบนที่นอนแล้วกูก็ชักจะง่วงขึ้นมาเลย”
เขาฟุ้บตัวลงไปบนฟูก ที่บอกว่าง่วงนี่ไม่ใช่เรื่องโกหกนะ
เด็กถาปัดอย่างพวกเขาเห็นที่นอนได้ที่ไหนกัน
“เอ่อ…จะนอนก็ได้…พี่เก้า?
พี่เก้า?” หลับแล้ว? เดี๋ยวก่อน หัวยังไม่ถึงหมอนเลยด้วยซ้ำ? หลับแล้วเหรอ?
??
ร่างบางยันตัวขึ้นก่อนจะจ้องมองคนที่หายใจเข้าออกสม่ำเสมอไปเรียบร้อยแล้ว…หลับจริงๆด้วยแหะ…ทั้งๆที่เพิ่งจะสารภาพรักกับเขามาเนี่ยนะ? จะไม่อยู่ฟังคำตอบก่อนเหรอ?
แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ~
“คิก…” ใบหน้ามนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
ก่อนจะจ้องมองพี่เก้าที่หลับไปอย่างง่ายดาย พี่เก้าก็มีมุมที่น่าเอ็นดูแบบนี้ด้วย
มือบางเอื้อมไปหยิบหมอนก่อนจะค่อยๆกอดหัวสกินเฮดนั่นขึ้นมาอย่างแผ่วเบาแล้ววางลงบนหมอนให้นอนสบายๆ
ถึงปลายขาจะยังพาดเลยฟูกออกไปแต่เขาก็ไม่มีแรงจะยกร่างกายใหญ่โตที่ดูจะหนักเอาการนั่นขึ้นมาได้หรอก
เขาขยับขาชันเข่าขึ้นมาก่อนจะโน้มคางลงไปเกยไว้
ใบหน้าของเขายังคงจับจ้องใบหน้าคนหลับไม่วางตา
ทำยังไงดี…เมื่อกี้…พี่เก้าเพิ่งจะบอกว่าชอบเขา...
มัน…เร็วจนเขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ไม่ใช่ว่าพี่เก้าพูดเร็วแล้วเขาฟังไม่ทัน
แต่เราเพิ่งจะรู้จักกันไม่นานต่างหากที่เขาคิดว่ามันเร็วไปหรือเปล่าที่จะชอบใครสักคน
ไม่สิ
เขารู้ดีว่าเวลาที่จะใช้ในการตกหลุมรักนั้นแค่วินาทีเดียวก็พอแล้ว…
ดวงตาอ่อนหวานไล่มองไปตามสันจมูกโด่งและใบหน้าที่ราวกับรูปปั้น…คนที่หล่อขนาดนี้ทำไมถึงมาชอบเขากันนะ?
แถมนิสัยก็ยังต่างกันมาก
พี่เก้าที่ทำอะไรด้วยความเด็ดขาดแต่เขากลับเงอะๆงะๆทำอะไรก็ไม่มั่นใจสักอย่าง
ถึงจะรู้ว่าต่างกันมากแต่เขากลับดีใจมากๆตอนที่ได้ยินคำว่าชอบออกมาจากปากของพี่เก้า
ลอง…ตอบรับไปดีไหมนะ?
เพราะถึงจะพยายามหลบเลี่ยงยังไง
เขาก็ไม่อาจโกหกหัวใจของตัวเองว่าเขาไม่ได้ชอบพี่เก้าแบบผู้ชายคนหนึ่ง
จะสะกดจิตตัวเองต่อไปได้ยังไงให้มองพี่เก้าเป็นแค่รูปปั้นแค่ผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
ในเมื่อเขาใจเต้นทุกครั้งที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ
ใบหน้าร้อนผ่าวทุกครั้งที่อีกฝ่ายมองมา
เขาทั้งหวง
ทั้งไม่อยากยกพี่เก้าให้ใคร
เขาไม่อยากจะละสายตาไปจากพี่เก้าด้วยซ้ำ
เขารู้ว่าความรู้สึกในใจมันรุนแรงมากขึ้นทุกทีๆ
เขาเองก็คิดว่า…เขาไม่น่าจะหนีพี่เก้าพ้น
ไม่อยากหนีด้วย
เขา...ชอบพี่เก้า...
ชอบจนยอมก้าวออกมาจากโลกที่นิ่งงันใบนั้น
ชอบจนแม้แต่จะเป็นผู้ชายด้วยกันก็ไม่สน ชอบจนคนอื่นๆจะว่ายังไงเขาก็อาจจะไม่ฟัง
ชอบจนมันอาจจะเปลี่ยนให้เขากลายเป็นเด็กดื้อ
ไม่ว่าจะคิดยังไง
หัวใจก็ยังมีแต่คำว่าชอบเพียงแค่นั้น...
“เฮ้อ...” เขาได้แต่ถอนหายใจ...เขตต์จะว่ายังไงบ้างนะ?
พ่อกับแม่ของเขาอีก ดูๆไปแล้วพี่เก้าคงไม่คิดจะคบกันลับๆแน่
อ๊า~
นี่เขาคิดถึงขั้นคบกันไปแล้วเหรอเนี่ย~ น่าอายชะมัด~
ว่าแต่…จำเลยนี่เค้าเป็นกันยังไงนะ?
รู้สึกจะเป็นจำเลยรักด้วยนะในเพลงนั้นน่ะ?
ใบหน้ามนแนบแก้มไว้กับหัวเข่าก่อนจะมองหน้าคนหลับต่อไป
“อืม...” เสียงอืออาดังออกมาจากใบหน้าเรียว
ดวงตาที่ปิดสนิทมาพักใหญ่ค่อยๆลืมขึ้นมา...ที่นี่มัน...ห้องของเจ้าจอม?
เขาเผลอหลับไปจริงๆเหรอเนี่ย? ให้ตาย...
“อือ?”
แล้วในขณะที่กำลังจะผงกหัวขึ้นถึงได้เพิ่งรู้สึกว่ามีผ้าผืนบางห่มร่างกายของเขาไว้
เจ้าจอมเอามาห่มให้เหรอ? คงกลัวว่าเขาจะหนาวเพราะไม่ได้ใส่เสื้อสินะ?
เขาอมยิ้มก่อนจะทอดมองใบหน้ามนของคนที่หลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ...เจ้าจอม...ก็นอนอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน
เขานอนมองแพขนตาที่ปิดแนบแก้มใส
เขาสังเกตุมานานแล้วว่าขนตาของเจ้าจอมนั้นยาวมากจริงๆ
เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะมันเลยทำให้ดวงตากลมๆนั่นดูสวยหวานกว่าไอ้เขตต์พี่ชายมาก
ปลายนิ้วยาวแตะลงไปบนผมหน้าม้าก่อนจะสางเล่นเบาๆ
ผมของเจ้าจอมก็เส้นเล็กและละเอียดมาก มันนิ่มแล้วก็มีแต่กลิ่นแชมพู
จะทำยังไงให้เจ้าเด็กนี่คงสภาพนี้ไม่กลายเป็นไอ้ตัวรกรุงรังแบบพวกรุ่นพี่มันไปได้กันนะ
เขาขยับใบหน้าเข้าไปใกล้
ก่อนจะจุ๊บลงกลุ่มผมนิ่มนั่นเบาๆ
ร่างสูงยาวลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ
เขาปล่อยให้เจ้าจอมหลับต่อไป แล้วในขณะที่มองทะลุผนังกระจกที่กั้นห้องทำงานอยู่
เขาจึงเพิ่งเห็นว่าเฟรมวาดรูปทุ่งดอกไม้สีฟ้ามันถูกย้ายมาวางพิงไว้กับผนังทั้งที่ยังไม่เสร็จ
อ้าว?
แล้วถ้างั้นรูปที่เขาเห็นเจ้าจอมวาดตอนที่เขากำลังซ่อมประตูล่ะ? วาดอะไรอยู่กันแน่?
เขาสงสัยจนต้องลุกขึ้นไปดู
แล้วสิ่งที่อยู่บนขาตั้งซึ่งยังถูกวาดค้างเอาไว้นั่นก็ทำให้หัวใจของเขาอาบไล้ไปด้วยไออุ่นๆ
เพราะรูปสีน้ำที่อยู่บนกระดาษฟราเบียโน่แผ่นนั้นคือรูปประตูรั้วเหล็กดัด
กระถางดอกพยับหมอกสีฟ้า และตัวเขาเอง
ใบหน้าเรียวอมยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองรอยแหวกเล็กๆของผ้าม่าน
ข้างนอกเย็นแล้วแหะ และภาพของแม่น้ำเจ้าพระยายามนี้ก็สวยมากจริงๆ
มือใหญ่เปิดผ้าม่านออกจนสุด
แสงสีส้มนวลทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีทองไปหมด
ทั้งเฉดสีแสงเงาสวยจนแปลกใจว่าเขาเคยเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยขนาดนี้ไหม
“โคตรโรแมนติก” ร่างที่เปลือยท่อนบนยืนเท้าขอบประตูดู
ยิ่งหันมาเจอคนที่ชอบนอนหลับปุ๋ยอยู่บนฟูกก็ยิ่งโรแมนติก
“ขวัญ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียก
“อื้อ…?” ใบหน้ามนตอบรับเสียงเรียกทั้งที่ยังไม่ยอมลืมตา
“ลุกมาดูอะไรนี่เร็ว” เจ้าจอมพยายามลืมตาก่อนจะพยายามลุกขึ้นมานั่งด้วยใบหน้างัวเงีย บ้าเอ้ย
ตอนเพิ่งตื่นแบบนี้ก็อย่างน่ารักอ่ะ
“.....พี่เก้า?” มือเล็กขยี้ตาสลึมสลือ
“เออ กูเอง ลุกมานี่เร็วเข้า”
มือใหญ่กวักมือเรียกก่อนจะยื่นไปรับคนที่ลุกขึ้นมาแบบเบลอๆ
“ครับ…?...” พอเจ้าจอมขยับมายืนอยู่ข้างๆท่อนแขนแข็งแรงก็กอดคอเอาไว้
ร่างผอมบางจึงเซถลาเข้ามาแนบชิด
“สวยไหม?” เขาชี้ชวนให้ดูแม่น้ำที่กำลังทอแสงเป็นประกาย
“หื๋อ? สวยครับ…แต่ผมก็เห็นมันอยู่ทุกวัน…”
เจ้าจอมตอบอย่างคนงัวเงีย
“แต่วันนี้ต้องไม่เหมือนทุกวันสิวะ”
“ครับ?”
“เพราะวันนี้มึงดูอยู่กับกูไง”
“อ่ะ” เจ้าจอมถึงกับตื่นเต็มตาเลยทีนี้
“จริงด้วย…ไม่เหมือนทุกวันจริงๆด้วย…”
“ใช่ไหมล่ะ”
“....แม่น้ำเจ้าพระยา…ร้อนนะครับวันนี้…”
“ฮึ…ฮ่าๆๆ หน้ามึงต่างหากที่ร้อน ดูสิ แดงไปหมดแล้ว” เขาใช้มือข้างที่กอดคอเจ้าจอมไว้จับยึดปลายคางมนเพื่อมองรอยแดงระเรื่อนั้นให้ชัดๆ
สายตาของเรา...จึงสบประสานกัน
“พี่เก้า…”
“หื๋ม?”
“ทำไม...ถึงชอบผมล่ะครับ” เขามองใบหน้าที่ดูไม่มีความมั่นใจ
มือใหญ่จึงตัดสินใจลากร่างบางไปที่กระจกเงาซึ่งวางพิงอยู่ที่ผนัง
“มึงเคยมองหน้าตัวเองให้ดีๆบ้างไหม? กูต้องขอบคุณเลยนะที่มึงอยู่ในคณะลึกลับอย่างจิตรกรรมเนี่ย”
แล้วมือใหญ่ก็จับปลายคางมนให้ส่องกระจกมองตัวเอง
“มึงน่ารักออกขนาดนี้ มึงไม่รู้ตัวเลยเหรอ?”
“อ่ะ” ใบหน้ามนแดงเถือก เพราะเขาคิดมาตลอดว่าหน้าตาตัวเองก็ธรรมดาๆทั่วไป
แต่พอพี่เก้าพูดแบบนี้…เขาจึงเพิ่งเห็นว่าคนที่อยู่ในกระจกนั่น...ก็หน้าตาไม่เลวเลย…
“กูคงหึงมึงแทบบ้าแน่ถ้ามึงอยู่ในคณะที่พบเจอได้ง่ายๆอย่างคณะกูหรือเด็คหรือโบราณ
เพราะงั้นมึงห้ามออกจากป่าของมึงมานะ”
ดวงตาแน่วแน่ของพี่เก้าที่จ้องมองเขาผ่านกระจกทำเอารู้สึกร้อนวูบวาบยังไงชอบกล
ทุกคำพูดตรงๆและแสนจะดิบเถื่อนของพี่เก้ากลับมัดทั้งตัวและหัวใจของเขาจนดิ้นหนีไปไหนไม่ไหวแล้วตอนนี้
“......ผมจะไปไหนได้…” ใบหน้ามนก้มงุดอย่างเขินอาย
“ดี คนนี้กูจองแล้ว” นิ้วแข็งแรงจิ้มลงมาที่ภาพของเขาในกระจกเงา
ก่อนจะค่อยๆย้ายปลายนิ้วโป้งมาบดเบียดริมฝีปากของเขาที่อยู่ในเงาสะท้อนนั่น
ถึงจะไม่ได้สัมผัสตรงๆ
แต่สิ่งที่เห็นกลับทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นระรัว ลมหายใจติดขัดเบาๆ
มัน...เซ็กซี่มาก...
“......” หูเขาแดงจนพี่เก้าหัวเราะน้อยๆ
คราวนี้พี่เก้าจรดหน้าผากลงมากับขมับของเขาจริงๆก่อนจะคลอเคลียเบาๆ
เขาได้แต่เหม่อมองภาพในกระจกเงานั่นอย่างเผลอไผล ปลายจมูกโด่งเป็นสันกำลังไหลเรื่อยลงมาจรดลงไปบนแก้มใสก่อนจะนิ่งค้างราวกับกำลังซึมซับทุกสัมผัสบวกกับกำลังสะกดกลั้นความต้องการเอาไว้...
“อ๊า~
อยากทำมากกว่านี้จังว้อย~” พี่เก้าผละออกไปก่อนจะหันไปโวยวายพร้อมกับสงบสติอารมณ์กับผนัง
เขานิ่งค้างอย่างเขินๆก่อนจะก้มหน้าอย่างอายๆ มะ เมื่อกี้มัน...
“ละ
แล้วทำไมถึงไม่ทำล่ะครับ...” เขาถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ
เพราะเหมือนพี่เก้าอยากจะจูบหรือทำอะไรที่มากกว่านั้นแต่ก็กลัวว่าเขาจะตอบสนองไม่ได้?
พี่เก้าหันมามองเขา
ก่อนจะพูดออกมาตรงๆ
“กูรอให้มึงมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองมากกว่านี้ก่อนไง
เห็นอย่างงี้แต่กูไม่ใช่คนฉาบฉวยนะ กูไม่คิดจะล้อเล่นกับความรักด้วย
ถ้ากูรักใครแล้วละก็ กูก็หวังว่ากูจะได้ดูแลเค้าและอยู่กับเค้าไปทั้งชีวิต...กู...คิดแบบนั้นกับมึงนะ”
เขามองใบหน้าแบบแบดบอยที่มองเขาอย่างอ่อนโยนนั่นด้วยสายตาสั่นพร่า
ความซาบซึ้งซึมลึกลงมาถึงก้นบึ้งของหัวใจเลย
ปาฏิหาริย์อะไรกันนะที่ทำให้เขาได้เจอผู้ชายที่ดีที่สุดคนนี้
“แต่มึงไม่ต้องห่วงหรอก
กูให้เวลามึงอีกไม่นานหรอก กูจะรวบหัวรวบหางมึงในเร็ววันนี้แหละ”
“ห๊ะ?
นั่น...ผมไม่ต้องห่วงเหรอครับ...?”
ไม่สิ มันต้องห่วงสิ! นี่มันความบริสุทธิ์ของเขาเชียวนะ! คนอะไรเนี่ย~ มีบอกเขาก่อนอีกแน่ะ!
“ฮึ
ฮะฮะฮะ”
เขาหัวเราะออกไปอย่างห้ามไม่อยู่กับความห่ามของพี่เก้า
แต่ก็เพราะพี่เก้าเป็นคนแบบนี้
เขาจึงไม่หลงเหลือเรื่องที่ค้างคาใจในความสัมพันธ์ของเราเลย
“มืดแล้วแหะ
กูกลับก่อนดีกว่า จริงสิ พิมพ์เบอร์ของมึงมา”
พี่เก้าโยนโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาให้จนเขารับไว้แทบไม่ทัน
ร่างสูงยาวเดินไปที่ห้องน้ำอย่างไม่ใส่ใจ
“เบอร์ของผม...” จะว่าไป
เราก็ยังไม่เคยมีเบอร์โทรศัพท์หรือแม้แต่ไลน์ของกันและกันเลยนี่นะ
“เป็นแฟนกันจะไม่มีเบอร์ของกันได้ไง
เนอะ”
“เอ๊ะ?”
มือใหญ่หยิบโทรศัพท์คืนไปเมื่อเขาพิมพ์เบอร์เสร็จ เดี๋ยว? แฟน? ห๊ะ? ??
ตรู๊ดดดด...
เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น
ใบหน้ามึนงงจึงหันไปมองมัน
“นั่นเบอร์กูเอง
เซฟไว้ด้วยล่ะ แล้วก็...”
พี่เก้าที่แต่งตัวเรียบร้อยยกเป้ขึ้นสะพายบ่าก่อนจะเตรียมก้าวขาออกไป ใบหน้าหล่อเหลาหันมายกยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะทิ้งคำพูดที่ทำเอาใบหน้าร้อนผ่าว
“จะเซฟด้วยชื่อ
แด้ดดี้ ที่รัก แฟนครับ ป๊ะป๋า สามี กูก็ไม่ว่ากัน ฮ่าๆๆ”
“อ่ะ!” พี่เก้านี่ละก็! ใครมันจะไปเซฟชื่อน่าอายแบบนั้นกันเล่า~ เขาได้แต่มองคนที่หายตัวไปแล้วด้วยแก้มป่องพองลม
ดวงตากลมจ้องมองเบอร์โทรศัพท์ในหน้าจอด้วยความรู้สึกอุ่นในใจ...ในที่สุดก็มีเบอร์พี่เก้าแล้ว...
มือบางกดเซฟมันไว้ในโทรศัพท์
แต่ตรงชื่อกลับไม่ได้พิมพ์ชื่อพี่เก้า แต่เขาใส่คำว่า
“Chou
chou”
ก็จะให้เขียนคำว่า
“ที่รัก” ด้วยภาษาไทยมันก็จะน่าอายเกินไปหน่อย
อย่างน้อย...ก็ขอเป็นภาษาฝรั่งเศสก็แล้วกัน...
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
อ๊ากกกกก
เขินโว้ยยยยย บ้าเอ้ย >//////< แต่งเองยังเขินเองเลยอ่ะคู่นี้5555 ขอบคุณที่เอ็นดูพี่เก้ากับน้องเจ้าจอมกันนะค้า
แปะเพลงก่อง จำเลยรัก ของ F.Hero ft.Txrbo ก็คือหน้าพี่เก้าฉันลอยมามากเพลงนี้5555 ความจะให้เค้าอยู่กับตัวเองตลอดชีวิตนี่มันพี่เก้ามากๆ กร๊ากก
นิยายเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีปมเรื่องอะไรมากมายอย่างฟิคที่เคยแต่งๆมานะคะ
แต่อยากจะเน้นไปที่การบรรยายฉากและความรู้สึกของตัวละครอย่างละเอียดมากกว่า ยังไงก็อย่าเพิ่งหลับหรือเบื่อกันซะก่อนน้า
อาจจะอยู่กับฉากๆนึงนานหน่อยงี้ อ้อใช่
มาเปิดความสูงของหนุ่มๆในเรื่องนี้ประกอบการจิ้นกันหน่อย
อาจารย์องศา
188
พาย
173
เก้า
185
เจ้าจอม
168
ภาค 185
ธีร์
180
ไม้
183
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามมากๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น