KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 08
:
KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า
:
องศา x พายุ
:
Warmhearted Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด
: อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เค้าว่ากันว่า...คนที่เราไม่อยากจะเจอหน้านั้นมักจะอยู่ในสายตาของเราเสมอ
...ดูท่าแล้วมันเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลยแหะ
มือใหญ่ที่กำลังจะหยิบกระดาษถึงกับชะงักค้างเมื่อหันไปเห็นว่าคนที่กำลังยืนเลือกหลอดสีน้ำอยู่ข้างๆนั้นเป็นใคร
“อึ้ก...ทำไมมึงถึงมาอยู่นี่?” เพราะตอนนี้เจ้าจอมเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดด้วยยังอับอายในเรื่องที่ไปก่อเอาไว้
ริมฝีปากจึงเผลอสบถออกไปอย่างไร้มารยาท
“...ผมมาซื้อสีครับ...” เจ้าเด็กนั่นคงคิดว่าเขาจะหาเรื่อง
ใบหน้ามนจึงเริ่มหลบเลี่ยงสายตาก่อนจะก้มหน้างุด
“ที่สโมไม่มีรึไงต้องมาซื้อถึงนี่?” ให้ตายเถอะ
เขาไม่ได้คิดที่จะใช้น้ำเสียงข่มขู่แบบนี้แต่มันเขินจนเผลอพูดกลบเกลื่อนไปตามนิสัย
“มันหมดครับ...”
ตัวเองก็มาซื้อกระดาษถึงนี่เหมือนกันไม่ใช่รึไง?...เจ้าเด็กนั่นใช้สายตาที่เหลือบมองมือเขาพูดแทนออกมา
เฮ้อ....เขาถอนหายใจก่อนจะยกมือเกาท้ายทอยสกินเฮดดังแกร่กๆ
“ผม...ไปก่อนนะครับ...” ร่างบางก้มหัวให้ก่อนจะรีบแหวกทางออกไป
กลัวอะไรขนาดนั้นฟ๊ะ? อ่า แต่พอนึกถึงสิ่งที่เขาทำมันก็น่าแหละที่เด็กนั่นจะกลัว
ใบหน้าเรียวมองตามร่างผอมบางที่เดินไปจ่ายเงินค่าสี
ตอนนี้เขากับเด็กนั่นอยู่ที่ร้านสมใจหน้าเพาะช่างกับโรงเรียนสวนกุหลาบ
ที่ต้องมาซื้อของถึงนี่ทั้งๆที่ในย่านนี้มีร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับศิลปะมากมายก็เพราะที่นี่ราคาถูกรองจากร้านค้าในมหาลัยเขาแล้ว
ถ้าของในสโมหมด พวกเขาก็จะมาซื้อที่นี่กัน
มือใหญ่รีบหยิบกระดาษก่อนจะรีบเดินไปเคาน์เตอร์คิดเงิน
ไม่รู้ต่อมอะไรเข้าสิงทำให้เขาคิดที่จะเดินตามเจ้าจอมไป
เขารีบวางทั้งกระดาษทั้งเงินลงบนเคาน์เตอร์ในขณะที่สายตาก็ยังมองตามร่างผอมบางที่กำลังเดินออกจากร้าน
มือใหญ่ม้วนกระดาษใส่ซูมที่สะพายหลังอยู่ลวกๆก่อนจะรีบก้าวขาตามคนที่เดินก้มหน้าก้มตาไปยังป้ายรถเมล์
เขาไม่ได้มีความคิดที่จะเรียกอีกฝ่าย
ไม่ได้คิดที่จะเดินไปด้วยกัน แต่ที่เดินตามก็เพราะรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดียังไงก็ไม่รู้...
เจ้าจอมยังคงเดินไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ระแวดระวังอะไรเลย
แหงละในเมื่อเด็กนั่นเป็นแค่คนธรรมดาจะมาเข้าใจบรรยากาศของคนจะตีกันแบบนี้ได้ยังไง!
เขาเบิกตาค้างเมื่อมองเห็นกลุ่มเด็กใส่เสื้อช็อปที่น่าจะเป็นพวกเด็กช่างกลเดินกร่างอยู่ที่ข้างถนนอีกฝั่ง
แล้วพอพวกนั้นหันมาเห็นกลุ่มเด็กที่ใส่เสื้อช็อปอีกสีหนึ่งซึ่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม
ทั้งหมดนั่นก็กระโดดข้ามราวกั้นถนนแล้วออกวิ่งมาทางนี้ทันที!
บ้าเอ้ย! ชิบหายแล้วไง!
เขาหันพรึ่บไปมองแผ่นหลังบางที่กำลังเดินไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าไปสลับกับมองไอ้เด็กพวกนั้นที่มันเริ่มจะงัดมีดยาวเท้าแขนออกมา
ตายห่าแล้ว นี่มันกำลังจะตีกันชัดๆ!
สองขาจึงออกวิ่งไปทันที
หมับ!
“เอ๊ะ?” เจ้าจอมยังทำหน้าตกใจปนมึนงงเมื่อเขาจับมืออีกฝ่าย
“หลบ!”
เข้าตะโกนได้แค่นั้นก่อนจะดึงร่างบอบบางจนแทบจะปลิวติดมือ
เขารู้สึกถึงลมแรงๆที่วิ่งผ่านหลังไป
“เฮ้ย!
หยุดนะเว้ย!”
เสียงตะโกนกร่นด่าดังโขมงอยู่ข้างหลัง
เขากดหัวเจ้าจอมลงก่อนจะพากันมุดเข้าไปหลบอยู่หลังแผงขายผลไม้
“กรี๊ด!!” มีเสียงกรี๊ดจากคนที่รอรถเมล์อยู่ดังมา
พวกแม่ค้าต่างก็ร้องพลางหาที่หลบกันให้จ้าละหวั่นเพราะกลัวจะโดนลูกหลง
เสียงตะโกนโหวกเหวกของฝ่ายล่าและฝ่ายที่วิ่งหนีดังจนแทบจะกลบเสียงแตรรถที่ลากยาว
ไม่รู้มีอริต่างถิ่นมาหรือยังไง หรือเด็กช่างกลที่ไหนมันบังเอิญมาเจอกันก็ไม่รู้
เวรเอ้ย เกือบไป!
เขาผงกหัวออกไปดูข้างนอกที่ยังชุลมุนวุ่นวาย
ไอ้พวกนั้นยังวิ่งไล่กันไม่หยุด ในขณะที่ท่อนแขนก็ยังโอบรอบลำตัวบาง
เขายังกดหัวที่ออกสีน้ำตาลนี่เอาไว้กับอกไม่ปล่อย
เฮ้อ...ดีที่เดินตามมานะเนี่ย...
เขาอยู่แบบนั้นอีกเป็นสิบนาที
รอจนความวุ่นวายภายนอกค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆ
พวกแม่ค้าต่างก็ไม่ได้สนใจที่จะขายของกันแล้วเพราะต่างไปมุงดูคนที่โดนลูกหลงโดนชนจนล้มบาดเจ็บอยู่หลายราย
ดวงตากลมโตเบิกโพลงมองคอเสื้อยืดซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มองเห็นในตอนนี้
หัวใจดวงน้อยเต้นโครมๆอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จะว่ามันมาจากเหตุระทึกที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาก็ได้
แต่อีกครึ่งหนึ่งน่าจะมาจากร่างกายที่แนบชิดกันอยู่นี้มากกว่า...
อ่า...เขาแทบจะมัวเมาอยู่ในความรู้สึกที่อบอวลนี้
ทั้งเสียงหัวใจของพี่เก้า
ทั้งกลิ่นแบบผู้ชายของพี่เก้า...เขารับรู้มันได้อย่างชัดเจน
มือใหญ่ที่จับหัวเขากดเอาไว้กับอกตัวเองก็ทำให้สองแก้มร้อนผ่าว
ถึงจะรู้ว่าต่อให้เป็นคนอื่นพี่เก้าก็คงพุ่งเข้าไปปกป้องอย่างไม่ลังเลแต่เขาก็อดดีใจไม่ได้
ถ้าไม่มีมือใหญ่ๆคู่นี้ ไม่มีแขนที่แข็งแรงคู่นี้
ถ้าพี่เก้าไม่ดึงเขาออกมาจากตรงนั้น เขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้...
ดวงตาเหลือบมองเม็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามลำคอแกร่ง
ทำไมถึงได้เท่ห์แบบนี้กันนะ
เขาหายสงสัยแล้วว่าทำไมพี่เก้ากับเพื่อนในกลุ่มถึงได้ฮ็อตมาก
ก็ถ้าเจอคนที่ดึงเราเข้าไปกอดไว้ในวันที่มีอันตราย เป็นใครจะไม่หลงรักบ้าง
ร่างบางผงะไปเล็กน้อย
มะ ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องหลงรักอีกฝ่ายเสียหน่อย ก็แค่รู้สึกขอบคุณ...
เพราะเริ่มเขินกับความคิดของตัวเอง
เขาจึงเริ่มขยุกขยิกอยู่ไม่สุข
“อะ อะ ออกไปได้รึยังครับ?” เขาถามด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กอยู่ในอ้อมแขนของพี่เก้า
เสื้อเชิ้ตลายสก็อตตัวใหญ่ที่อีกฝ่ายสวมทับเสื้อยืดไว้แทบจะคลุมตัวเขามิดจนมองไม่เห็นอะไร
เขาไม่รู้เลยว่าข้างนอกปลอดภัยดีหรือยัง
“จะออกไปได้ยังไงเล่า มึงไม่เคยตีกับใครรึไง? มันไม่เลิกจนกว่าจะหาอริเจอนั่นแหละ
ออกไปตอนนี้ยังอันตราย” พี่เก้าชะเง้อมองข้างนอกอยู่เรื่อยๆ มือใหญ่ขยับจากหัวเขาลงมองประคองอยู่ที่ใบหน้า
อาจจะเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่อีกฝ่ายทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ใต้แผ่นอกซ้ายของเขานี่เต้นจนแทบจะทะลุออกมาอยู่รอมร่อแล้ว
“.....ผม…ไม่เคยตีกับใครครับ…” เขาพูดงึมงำ
“....อืม กูเชื่อ” ใบหน้าหล่อๆก้มลงมายิ้มพลางหัวเราะอย่างเย้าแหย่
และเขาที่ได้เห็นรอยยิ้มร้ายๆในระยะที่ใกล้ขนาดนี้...ได้แต่บอกกับตัวเองว่ายังมีชีวิตอยู่ได้
ยังหายใจ ยังไม่ช็อคตายนี่ก็เก่งสุดๆแล้วเจ้าจอม...
“ออกมาได้แล้วไอ้หนูลูก
ตำรวจมาแล้ว คงหนีไปกันหมดแล้วละ”
ป้าเจ้าของแผงผลไม้เรียกพวกเขาให้ออกไปหลังจากนั่งหลบอยู่ที่นั่นเกือบครึ่งชั่วโมงได้
“ขอบคุณครับป้า” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสกินเฮดเอ่ยบอกคุณป้าในขณะที่มองไปบนถนนที่ยังวุ่นวาย
มีรถกู้ภัยเปิดไซเรนวิ่งกันอยู่หลายคัน มีตำรวจเดินคุมพื้นที่
มีคนเจ็บที่นอนอยู่บนพื้น มีไทยมุงมากมาย แล้วก็มีพวกนักข่าว
“เออๆ
ไปดีๆมาดีๆ ไอ้พวกเด็กสมัยนี้นี่มันไม่ไหวเลย”
ป้ายังคงบ่นต่อ เขาอยู่แถวนี้นานไปไม่น่าจะดี
เกิดติดเข้าไปในกล้องจนเป็นข่าวเดี๋ยวได้โดนพ่อเฉ่งอีก เพราะถึงจะไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยแต่แค่อยู่ในที่เกิดเหตุก็มักจะโดนโยงไปด้วยตลอด
เกิดมาเป็นทายาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป
“มานี่
มากับกู”
เขาไม่รอฟังว่าเจ้าจอมจะว่ายังไง
มือใหญ่จับหมับไปที่ข้อมือเล็กก่อนจะดึงร่างบางออกมาจากความชุลมุนวุ่นวายเหล่านั้น
คนที่กำลังจะทำตัวเป็นไทยมุงจึงหันมามองเขาอย่างเหรอหราแล้วเดินตามมาอย่างมึนงง
“...จะไปไหนเหรอครับ?...” เสียงนุ่มถามอยู่ข้างหลัง
“ไปเอารถ
กูจอดไว้หลังพาหุรัด” พอมาถึงตรอกที่แออัดไปด้วยร้านขายผ้าเมตรและอุปกรณ์เกี่ยวกับงานเย็บปักถักร้อย
เขาจึงค่อยปล่อยมือบาง ตรงนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว...
ปลอดภัยกับผีน่ะสิ!
เพราะถึงจะไม่มีคนมาวิ่งตีกันในตรอกซอกซอยแบบนี้
แต่เจ้าเด็กนี่กลับทำให้ตัวเองไม่ปลอดภัยเสียเองไง!
ร่างผอมบางเดินแบบไม่ได้สนใจความคับคั่งของฝูงชนเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้ามนมัวแต่หันมองข้าวของร้านรวงที่อัดแน่นอยู่สองฝั่งอย่างตื่นตาตื่นใจราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่กลับไม่มองคนที่เดินสวนมาหรือคนที่พยายามจะแซงไปเพราะตัวเองเดินช้ามาก
ไม่มองแม้แต่รถเข็นผ้าที่ใกล้จะชนอยู่รอมร่อ!
หมับ!
เป็นอีกครั้งที่ใบหน้ามนปะทะเข้ากับแผ่นอกของเขา
มือใหญ่ดึงเอาร่างที่กำลังขวางรถเข็นผ้าที่วิ่งฮ่ออย่างไม่สนใจใครยิ่งกว่าให้หลบเข้ามาในร้านขายกระดุมร้านหนึ่ง
ฮู่ว...เกือบไปๆ
“มึงนี่โตมาจนป่านนี้ได้ไงวะ?! เป็นเด็กประถมหรือไง
เดินก็หัดมองทางบ้างสิ!” เขาดุออกไปแต่ใบหน้าที่จมูกชนอยู่บนอกเสื้อเขากลับยังอึ้งๆ
“ผม….” ใบหน้ามนเงยมองร่างสูงด้วยดวงตาระยิบระยับ
เพราะแบบนี้ไงเขาถึงได้มองว่าผู้ชายคนนี้เท่ห์มากๆ
“มานี่เลย”
แล้วคราวนี้พี่เก้าก็ออกเดินอีกครั้ง...โดยยังจับมือเขาเอาไว้...
“เอ่อ...ปล่อยมือ...ก็ได้นะครับ...”
ดวงตาอ่อนหวานเหลือบตามองเสี้ยวหน้าและแผ่นหลังกว้างที่เดินนำอยู่ข้างหน้า
เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองถูกปกป้องมากขนาดนี้มาก่อน
ขนาดกับพี่ชายฝาแฝดยังไม่เคยเดินจูงมือแบบนี้เลยสักครั้ง พวกเราคิดอยู่เสมอว่าพวกเราเท่าเทียมกัน
เขตต์ก็แค่ออกมาดูโลกก่อนเขาไม่กี่นาที ไม่จำเป็นต้องปกป้องดูแลเขา
แต่กับพี่เก้า...มันกลับไม่ใช่ความรู้สึกในแบบพี่น้อง
ผู้ปกครอง หรือแม้แต่เพื่อน
ถ้าจะบอกว่ามันเหมือนที่เจ้าหญิงถูกเจ้าชายปกป้อง
จะหาว่าเขาเพ้อฝันมากเกินไปไหมนะ?
“จะปล่อยได้ไงวะ?
เดี๋ยวมึงก็ได้เดินชนคนส่งก๋วยเตี๋ยวหรอก ร้อนนะเว้ย แขนพองได้เลยนะ”
พี่เก้าหันมาพูดหยอกเย้าก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่สนใจคำทัดทานจากเขา
ถึงอีกฝ่ายจะเดินเร็วจนเขาก้าวตามแทบไม่ทัน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังจ้องมองแผ่นหลังกว้างด้วยหัวใจที่พองฟู
เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ
ทั้งที่มือที่จับเขาอยู่นี้ไม่ได้นุ่มนวลหรือเบาแรงเลย
แต่ก็เพราะว่ามันบีบมาเต็มแรงหรือเปล่านะ หัวใจที่ด้านชาของเขาจึงรู้สึกถึงมัน
ดวงตากลมโตเหลือบลงไปมองฝ่ามือข้างนั้น...ก่อนที่สองแก้มจะรู้สึกร้อนๆขึ้นมา...
ร่างสูงยาวหยุดลงตรงหน้าบิ๊กไบต์สีดำคันใหญ่คันหนึ่ง
Kawasaki
Ninja ZX-4R ก็คือรถที่เขาบอกว่าจะไปเอาคันนั้นนั่นแหละ
ขายาวก้าวคร่อมลงไปบนรถก่อนจะปลดหมวกกันน็อคออกมาวางไว้บนตัวถัง
เพราะบ้านที่เช่าอยู่กับไอ้สี่ตัวนั่นมันเป็นซอยแคบแถมมีที่จอดรถอยู่น้อยนิด
พวกเขาจึงไม่ได้เอารถยนต์มาใช้กัน มีแค่รถมินิของไอ้พายคันเดียวเท่านั้น
อีกอย่างเขาก็มองว่าถ้าอยู่ในกรุงเทพก็ไม่มีอะไรจะสะดวกเท่ามอเตอร์ไซค์อีกแล้ว
รถคู่ใจที่เขาเอามาใช้จึงเป็นเจ้าคาวาซากิเพื่อนยากคันนี้
“บ้านอยู่ไหน? เดี๋ยวกูไปส่ง” เสียงห้าวเอ่ยถามคนที่ยังยืนมองรถอย่างตื่นตะลึง
และเมื่อเขาส่งเสียง “ฮื่อ” เรียกสติ ใบหน้ามนจึงได้เลิ่กลั่กตอบกลับมา
“ผมยังไม่กลับบ้าน…”
“ไอ้เด็กใจแตก” เขายกยิ้มมุมปาก
“?” แต่ใบหน้าฉงนที่เอียงคออย่างสงสัยนั่นกลับไม่ได้รับมุกเลยแม้แต่น้อย
เขาจึงถามต่อด้วยเสียงติดจะรำคาญแต่สาบานว่าเขาไม่ได้รำคาญหรอก
“จะไปไหน? หนีเที่ยว?”
“ปากคลองตลาดครับ...”
“.....” แล้วคำตอบของเจ้าจอมก็ทำให้เขานิ่งไปห้าวิ
ก่อนจะหลุดขำออกมา
“มึงนี่ก็หนีเที่ยวได้แปลกดีนะ ขึ้นมา เดี๋ยวกูไปส่ง” เขายิ้มอย่างอารมณ์ดี
“เอ่อ…ไม่ต้องก็ได้…” เด็กนั่นปฏิเสธพัลวันมือไม้โบกกันมั่วไปหมด
เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องไปตามตื้อเจ้าเด็กที่กลัวเข็ดขยาดไม่อยากจะเข้าใกล้เขาด้วย
ทั้งที่มีคนอีกมากมายที่อยากได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากเขา
มีคนอีกมากมายที่อยากให้เขาไปส่ง
ก็แค่...รู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้?
“กูบอกให้ขึ้นมา” เสียงดุดันจึงเอ่ยออกไปและมันก็ทำให้คนที่กลัวเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสะดุ้งเบาๆก่อนจะเลิ่กลั่กตอบกลับมา
“ขึ้นยังไง?”
“.....” เขากระพริบตามองเจ้าเด็กนั่นปริบๆ
ใบหน้ามนลนลานมองมาที่รถบิ๊กไบต์สูงใหญ่อย่างไม่รู้ว่าจะปีนขึ้นมายังไงหรือต้องนั่งตรงไหนดูๆไปมันก็ตลกดีแหะ
เขาหัวเราะจนไหล่สั่น
“ทำไมมึงถึงได้เตี้ยอย่างงี้เนี่ย? พี่มึงก็ออกจะสูงไม่ใช่เหรอ”
ใบหน้าเรียวยิ้มก่อนจะก้าวขาลงจากรถ ไม่พูดพร่ำทำเพลงมือใหญ่ก็จับข้างลำตัวบางก่อนจะอุ้มลอยขึ้นไปนั่งที่เบาะท้ายจนได้
“.....” เขาจัดแจงจับข้อเท้าเล็กข้ามเบาะให้อยู่ในท่าสำหรับนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์
ส่วนเจ้าของร่างกายที่ถูกเขาอุ้มเป็นตุ๊กตาก็ยังคงทำหน้าเหรอหราอ้าปากพะงาบๆเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก
ร่างสูงยาวจึงก้าวคร่อมรถก่อนจะสวมหมวกกันน็อค
มือสตาร์ทรถก่อนที่เสียงกระหึ่มจะดังไปทั่วถนน
“กอดเอวกูไว้สิ อยากตกลงไปหรือไง?” ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคหันไปบอกคนที่น่าจะเพิ่งเคยซ้อนท้ายบิ๊กไบต์เป็นครั้งแรก
เจ้าจอมจึงมีท่าทางเก้ๆกังๆอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้จะต้องนั่งยังไง
เอามือไม้ไปไว้ตรงไหนหรือจับยึดอะไร
“ไม่อยากตก แต่ว่าถ้ากอดมัน…”
เสียงนุ่มตะโกนฝ่าเสียงทุ้มต่ำของเครื่องยนต์มา
ดวงตากลมโตนั่นคงจะคำนวณแล้วว่าถ้าจะจับเอวเขา ด้วยเบาะรถที่ลาดเทลงมาแบบนี้
คงจะนั่งในท่าซ้อนมอเตอร์ไซค์ปกติไม่ได้แน่ๆ คงจะ...รักษาระยะห่างไม่ได้แน่ๆ...
ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคจึงยกยิ้มมุมปาก
“กอด!”
“ครับ!”
หมับ!
ใบหน้าหล่อแบบแบดบอยลอบยิ้มเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่โถมทับลงมาบนแผ่นหลัง...กับร่างกายที่แทบจะแนบชิดกัน...และฝ่ามือเล็กๆที่ดึงรั้งชายเสื้อที่เอวของเขาเอาไว้
หึ...ไอ้เด็กนี่มันก็น่ารักดีนะ
ทำอะไรก็ไม่เป็นซักอย่าง แถมปฏิกิริยาตอนถูกแกล้งก็น่ารักมาก
มือใหญ่จึงเอื้อมไปจับมือบาง
ก่อนจะดึงรั้งให้แขนเล็กนั่น “กอด” เอวเขาไว้
“ต้องแบบนี้สิ
ถึงจะเรียกว่ากอด”
เขาหันไปยิ้มกับใบหน้าที่ก้มงุดแนบอยู่กับแผ่นหลังของเขาอย่างเขินอาย
จะว่าไป...นี่ถือเป็นอภิสิทธิ์ที่เขามอบให้เลยนะ
เพราะเขา...ไม่เคยให้ใครซ้อนท้ายมาก่อน ขนาดไอ้พายก็ยังไม่เคยได้ซ้อน ไม่สิ
ไอ้ตัวแสบนั่นไม่ยอมซ้อนมากกว่า บ่นลำบากบ้างละ เดี๋ยวดำบ้างละ ร้อนหนาวบ้างละ
สารพัดจนเขาอยากจะถีบเข้าให้สักที ส่วนไอ้เพื่อนร่างยักษ์ที่เหลือ...แค่คิดภาพก็ต่างขนลุกขนชันจนแยกกันไปน่าจะดีกว่า
ใบหน้ายกยิ้มเหลือบมองท่อนแขนที่กอดอยู่รอบเอว มองมือบางที่วางอยู่บนกล้ามหน้าท้อง...
ต้อง...ซื้อหมวกกันน็อคเพิ่มอีกใบแล้วหรือเปล่านะ?
ถึงจะคันใหญ่แต่มันกลับเคลื่อนไหวราวกับกำลังถลาเล่นลม
ใบหน้ามนที่ไม่กล้าละออกจากแผ่นหลังกว้างจึงทำได้แค่มองทุกสิ่งทุกอย่างตาปริบๆอยู่ที่เดิม
เขาเคยซ้อนแต่มอเตอร์ไซค์วินและความรู้สึกมันก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ภาพวิวทิวทัศน์ที่วิ่งผ่านไปนั้นสูงและเร็วกว่ากันมากแต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับนุ่มนวล
นุ่มนวลแม้แต่เสียง มันทุ้มต่ำน่าฟัง
มันชวนให้รู้สึกดีเวลาที่กอดแผ่นหลังนี้เอาไว้...
แรกๆเขาตัวเกร็งไปหมดเพราะไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่ต้องใกล้ชิดกันแบบนี้มาก่อน
จะขยับสักเล็กน้อยก็ยังไม่กล้า เพราะรถคันนี้ทั้งสูงทั้งใหญ่ ถ้าตกลงไปคงเจ็บหนักน่าดู
แถมมันยังเร็วมากอีกต่างหาก
แต่หลังจากที่ซ้อนมาสักพัก
คนที่ควบคุมมันอยู่กลับทำให้เขารู้สึกคลายกังวล
เขารู้สึกได้...ว่าพี่เก้าจะไม่ปล่อยให้เขาหล่นลงไป ไม่ปล่อยให้เขาเป็นอันตราย...
ท่อนแขนเผลอกอดกระชับเอวที่แค่สัมผัสผ่านเสื้อผ้าก็ยังรู้ว่ามันมีแต่มัดกล้าม
ฝ่ามือของเขามันวางทาบอยู่บนลอนของซิกแพ็คจนรู้สึกเขินไปหมด
มันเป็นสถานการณ์ที่จะหนีไปไหนก็ไม่ได้
จะกอดต่อไปก็อายจนหูร้อนเป็นไฟ ใบหน้าภายใต้กรอบผมหน้าม้าจึงได้แต่ซุกกับแผ่นหลังกว้างอยู่อย่างนั้น
คาวาซากินินจาจอดลงที่ตลาดค้าดอกไม้สดแหล่งใหญ่ที่สุดในกรุงเทพซึ่งอยู่ไม่ได้ไกลจากพาหุรัดมากนัก
จากถนนที่เต็มไปด้วยผ้ากลายมาเป็นถนนที่เต็มไปด้วยดอกไม้แทน
ร่างสูงยาวยังคร่อมอยู่บนรถในขณะที่ถอดหมวกกันน็อคสีดำออก
เขาหันไปมองคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังซึ่งคงจะหลับตาปี๋มาตลอดทาง?
แล้วตอนนี้เจ้าเด็กนั่นก็กำลังหาทางลงจากรถคันนี้อยู่
“ฮ่าๆๆ
มึงนี่นะ” ขึ้นเองก็ไม่ได้
ลงเองก็ยังไม่ได้อีก
“มึงเห็นที่เหยียบพักเท้าตรงนี้ไหม?
ใช้เท้านี้เหยียบไว้แล้วค่อยก้าวขาข้างนั้นลงมาก่อน” เขาชี้ลงไปที่เท้าข้างซ้ายก่อนจะอธิบายอย่างไม่ได้รู้สึกรำคาญ
ใบหน้ามนก็พยักหงึกๆก่อนจะพยายามทำตาม
แต่ในจังหวะที่ฝ่าเท้าเหยียบลงไปบนพื้น
ร่างผอมบางกลับทรงตัวไม่อยู่จนเซถลามาหาเขา ท่อนแขนแข็งแรงจึงกางรับโดยอัตโนมัติ
“.......” ดวงตาทั้งสองคู่ต่างสบประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
จู่ๆหัวใจก็เต้นโครมครามโดยไม่ได้บอกกล่าว...
ก่อนที่จะรีบผละออกจากกัน
ต่างฝ่ายต่างก็เขินหน้าแดงกันไป
“ขะ
ขอบคุณที่มาส่งครับ...” เจ้าจอมโค้งให้
มือกำสายสะพายข้างของกระเป๋าขยุกขยิกก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยท่าทางประหม่า
และท่าทางแบบนั้นก็ทำให้คนที่มองตามเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ขายาวก้าวลงจากบิ๊กไบต์
เขาตัดสินใจเดินตามเจ้าเด็กนั่นไป มันรู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้จริงๆด้วยแหะ?
ร่างสูงใหญ่ไม่ได้คิดจะซ่อนตัวตนเพราะงั้นคนที่เดินนำอยู่จึงรู้ตัวตลอดว่าถูกเดินตาม
แรกๆเจ้าเด็กนั่นก็เดินตัวเกร็งด้วยท่าทางตลกๆ
แต่พอผ่านไปสักพักก็เริ่มชินกับการที่มีเขาเดินตามอยู่ห่างๆ
ร่างผอมบางเริ่มหันไปมองดอกไม้ที่วางอยู่หน้าร้าน
มันถูกห่อเอาไว้ง่ายๆเพื่อขายให้ร้านดอกไม้รายย่อยมาซื้อไปจัดช่อต่อ
เพราะงั้นทั้งถนนจึงอัดแน่นไปด้วยดอกไม้นานาพรรณและเป็นถนนที่หอมฟุ้งไปหมด
เขาเดินเอามือล้วงกระเป๋าอย่างไม่แคร์สายตาพี่ป้าน้าอาที่ต่างก็หันมองเป็นทิวแถวเพราะเขาน่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับที่นี่
ก็อย่างว่าแหละ ลุคอย่างกับจะมาเก็บเงินค่าที่มันเข้ากับดอกไม้พวกนี้เสียที่ไหน
ต่างจากเจ้าเด็กนั่นลิบลับ...เจ้าจอมเนียนมากเวลาเดินอยู่ที่นี่...
ร่างผอมบางเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้
ใบหน้าที่อมยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขนั้นเขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
มัน...ก็น่ารักดีแหะ...
เจ้าเด็กนั่นเข้าไปพูดคุยอะไรกับพี่แม่ค้าก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าอย่างใจดี
จากนั้นร่างผอมบางจึงนั่งยองๆลงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปดอกไม้หลายต่อหลายช่อที่เสียบอยู่ในกระถาง
น่าจะขอถ่ายรูปดอกไม้?
เขาหันมองรอบๆร้านไปเรื่อยๆอย่างคนว่างงาน
ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกที่ต้องมาเดินอยู่ในที่ที่เหมาะกับผู้หญิงมากกว่าแบบนี้
เพราะยังไงเขาก็เป็นดีไซน์เนอร์ เป็นนักออกแบบที่ควรจะรู้แม้แต่เรื่องของดอกไม้ที่ถือเป็นความงามประเภทหนึ่ง
“ขอบคุณนะครับ” เสียงนุ่มของเจ้าจอมทำให้เขาหันไปมอง
ร่างผอมบางกำลังโค้งขอบคุณพี่เจ้าของร้านอยู่
จากนั้นก็เดินออกจากร้านซึ่งทำให้เขางุนงง
“อ้าว? ไม่ซื้อเหรอ?” เสียงห้าวถามออกไป
เห็นถ่ายรูปไปเยอะแยะและดูเหมือนต้องใช้ดอกไม้พวกนี้ด้วย?
“ผมไม่มีเงิน ผมมาดูเพื่อเอาไว้วาดรูป ไม่ต้องมีแบบอยู่ตรงหน้าก็ได้ครับ” ใบหน้ามนตอบอย่างไม่คิดอะไร
แต่มือของเขากลับรั้งข้อมือบางนั่นเอาไว้
“เฮ้อ…มึงนี่นะ รู้จักมารยาทบ้างสิวะ
พี่แม่ค้าเค้าอุตส่าห์ให้ถ่ายรูป มึงก็ควรจะซื้อเค้าซักช่อนึงสิ
อย่างน้อยก็แสดงน้ำใจกับเค้าหน่อย”
เขาบ่นปนถอนหายใจ
“ก็ผมไม่มีเงิน…” ใบหน้ามนช้อนสายตาขึ้นมามองก่อนจะเสหลบลงพื้น
“เลือกมา จะเอาช่อไหน เดี๋ยวกูซื้อให้” เสียงห้าวพูดออกไปและไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจ
“เอ่อ…ไม่ดีมั้งครับ…” เจ้าจอมเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจก่อนจะรีบปฏิเสธอย่างเกรงใจ
เขาจึงปล่อยมือบางข้างนั้นก่อนจะเดินไปยังกอดอกไม้ที่เด็กนี่นั่งถ่ายรูปอยู่นานที่สุด
“อันนี้ไหม? หรืออันนี้? หรือเอาแม่งหมดเลย?” บอกไว้ก่อนเลยนะว่าเขาไม่ใช่หนุ่มสายเปย์
แต่ที่ซื้อให้เพราะเขาต้องการจะไถ่โทษต่างหาก มือใหญ่หยิบช่อดอกลิลลี่สีขาวขึ้นมา
ตามด้วยฟอร์เกตมีน็อตสีฟ้า เยอบีร่าสีส้ม เหลือง แดงอย่างละช่อ เจ้าจอมจึงหันมองรอบตัวเลิ่กลั่ก
“เอ่อ...อันนี้พอครับ…” เจ้าเด็กนั่นหันไปคว้าช่อดอกไม้ที่ราคาถูกที่สุดมาแทน
“เอาดอกที่มึงจะใช้สิวะ ไหนๆก็จะซื้อแล้ว
มีแบบให้เห็นตรงหน้ายังไงก็วาดง่ายกว่าจินตนาการนี่หว่า”
“แต่ว่ามันแพง…”
“กูบอกให้หยิบไปไง”
“ครับ…” ในที่สุดร่างผอมบางก็ยอมเดินไปหยิบช่อไฮเดรนเยียสีน้ำเงินฟ้ากับฟอร์เกตมีน็อตมา
“ผมจะใช้สองดอกนี้ครับ...” เสียงนุ่มเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ก็แค่นี้แหละ
เอามานี่”
เขาดึงช่อดอกไม้ในมือบางมาก่อนจะเดินไปจ่ายเงินให้
มันไม่ได้แพงเท่าไหร่เลยหากเทียบกับเรื่องเลวร้ายที่เขาเคยทำไว้กับเด็กนี่
“เอ้า”
เขายื่นช่อดอกไม้ที่ถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์จีนมาให้
ถึงจะไม่ใช่ช่อดอกไม้ที่แพงและหรูหรา แต่คนรับอย่างเจ้าจอมกลับดูดีใจมาก
ใบหน้าที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่นทำให้เขาเขินจนต้องยกมือมาเกาท้ายทอยเลยทีเดียว
“ไปเหอะ
ต้องดูร้านอื่นอีกไม่ใช่หรือไง?”
สายตาแซวๆกับรอยยิ้มกริ่มของบรรดาพี่แม่ค้าทำให้เขายืนอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
มือใหญ่จึงดันแผ่นหลังบางให้เดินออกไป
ร่างผอมบางที่หอบช่อดอกไม้ไว้ในอ้อมแขนเดินผ่านหน้าร้านอีกหลายร้าน
เจ้าเด็กนั่นเหมือนจะอยากเข้าไปดูแต่ก็กลัวว่าเขาจะซื้อดอกไม้ให้อีกจึงไม่กล้าเดินเข้าร้านไหน
มือใหญ่จึงจับหมับลงไปบนหัวสีออกน้ำตาลเมื่อกำลังจะเดินผ่านร้านที่ขายดอกกุหลาบโดยเฉพาะซึ่งเจ้าจอมแอบเหลือบมองจนตาแทบจะเหล่
“มึงก็เข้าไปดูสิ จะมาเกรงใจกูทำไม? แล้วกูก็ไม่ได้ซื้อของแพงอะไรให้มึงซักหน่อย
แค่ดอกไม้เอง ถือซะว่ากูให้เพื่อขอโทษเรื่องที่กูเคยทำไว้กับมึงก็แล้วกัน
อยากได้ดอกอะไรก็เลือกไปเถอะ” เขาพูดออกไปด้วยโทนเสียงที่ไม่ได้ดุดัน ดวงตากลมโตที่มักจะซ่อนอยู่ภายใต้ผมหน้าม้าจึงเหลือบมองขึ้นมาด้วยสายตาที่ไม่กลัวเขาเป็นครั้งแรก
“....ขอบคุณครับ…ถ้างั้น...ขอเข้าร้านนี้นะครับ...” แต่ก็ยังมิวายจะขออนุญาติก่อนอีกนะเจ้าเด็กนี่
เขาหัวเราะเหอะ ก่อนจะเดินตามเข้าไป
ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นกุหลาบหอมฟุ้ง
หอมแบบ หอมมากๆ
แต่กระนั้นสายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่ดอกแก้วเจ้าจอมมากกว่าจะจ้องมองกุหลาบนานาพันธ์
ท่ามกลางสีสันที่หลากหลายพวกนั้นเจ้าดอกไม้เล็กๆของเขากลับดูโดดเด่นยิ่งกว่า
เจ้าจอมเลือกดอกกุหลาบสีขาวแทนที่จะเป็นสีฟ้าซึ่งเป็นกุหลาบพันธ์หายากและแพงกว่ามากทั้งๆที่จ้องอยู่นานสองนาน
ดูก็รู้ว่าคงจะอยากได้สีฟ้านั่นมากกว่า
เขาขี้เกียจจะทะเลาะกับเจ้าเด็กที่ชอบให้บังคับนี่แล้ว
มือใหญ่จึงคว้าเอาทั้งกุหลาบสีขาวและสีฟ้าไปจ่ายเงินหน้าตาเฉย
“เอ่อ...อันนี้ไม่ต้อง...” มือบางพยายามจะปฏิเสธ
“ไม่ต้องอะไร?
เอาไป” เขายัดช่อกุหลาบสีฟ้าใส่ในอ้อมแขนบางไว้
“แต่ผมใช้แค่กุหลาบขาวจริงๆนะครับ” ใบหน้าเลิ่กลั่กนั่นพยายามจะบอก
“งั้นสีฟ้านี่มึงก็ไม่ต้องใช้สิ
แค่ตั้งไว้เฉยๆก็ได้ ที่กูซื้อให้ก็เพราะมึงชอบ เท่านั้นแหละ”
ดวงตากลมโตเบิกค้างมองเขาราวกับจะถามว่ารู้ได้ยังไง ก็ถ้าเขายืนมองเจ้าเด็กนี่อยู่แล้วยังไม่รู้อีกนี่ก็คงจะเซ้นส์ตายด้านน่าดูแล้วไหม
เห็นมองกุหลาบสีฟ้าช่อนั้นเสียขนาดนั้น
“ขอบคุณครับ....”
ใบหน้ามนก้มงุดจนแทบจะจมหายลงไปในช่อดอกไม้ที่ถืออยู่ เอาอีกแล้ว
พี่ๆแม่ค้าหันไปยิ้มกระซิบกระแซะกันจนเขาทนยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไหวอีกแล้ว
พวกเขาก็แค่มาซื้อดอกไม้ไปทำงาน
ไหงกลายเป็นแฟนหนุ่มที่ซื้อดอกไม้ให้กันในสายตาของพี่สาวพวกนั้นไปเสียได้เนี่ย!
Kawasaki
Ninja ZX-4R ออกเดินทางอีกครั้งหลังจากเดินจนสุดปากคลองตลาด
ดอกไม้หอบใหญ่ถูกโอบกอดไว้ระหว่างแผ่นอกบางกับแผ่นหลังกว้าง
และตอนนี้คนที่อยู่ข้างหลังก็ดูจะชินกับการซ้อนบิ๊กไบต์ขึ้นมาบ้างแล้ว ท่อนแขนเล็กจึงกอดเอวเขาอย่างไม่เคอะเขินอย่างตอนแรก
เขาเลี้ยวรถขึ้นไปบนสะพานพระพุทธยอดฟ้าเพื่อจะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังฝั่งธนฯ
เงาของโครงเหล็กที่ทาบทับลงมาเป็นจังหวะๆเวลาที่รถเคลื่อนผ่านนั้นให้ความรู้สึกราวกับย้อนไปอยู่ในสมัยร.5 ความคลาสสิคของโครงทรัสสีเขียวพวกนี้กำลังสร้างความทรงจำดีๆให้กับหนึ่งวันที่อยู่ด้วยกันมากยิ่งขึ้น
เป็นหนึ่งวันที่ไม่ได้คาดฝัน
เป็นหนึ่งวันที่ไม่ได้คิดว่าจะเจอกันมาก่อน และก็คงจะเป็นหนึ่งวันที่จะฝังอยู่ในใจของพวกเราแน่นอน
มือใหญ่ยังคงบิดคันเร่งต่อไปโดยปล่อยให้เงาของโครงเหล็กพาดผ่านแขนที่เปลือยเปล่า
แล้วเสื้อแขนยาวลายสก็อตของเขาหายไปไหนน่ะเหรอ?
ก็อยู่ที่เจ้าเด็กซึ่งซ้อนท้ายเขาอยู่นั่นไง
สภาพเหมือนจะระเหยได้แบบนั้นกว่าจะไปถึงบ้านคงเหลือแต่ช่อดอกไม้พอดี
เขาที่ชินกับการขี่มอเตอร์ไซค์นั้นไม่เป็นไรหรอก
ก็เลยบังคับให้เจ้าจอมใส่เสื้อของเขาแทน
ร่างที่อยู่ในเสื้อยืดสีดำก้มแนบไปกับตัวถัง
ถนนที่ยาวกว่าเดิมและท่อนแขนที่กอดเอวเขาอยู่ทำให้การขี่รถในวันนี้ช่างรู้สึกเพลินดีเหลือเกิน
เพลินจนเกือบจะเลยซอยที่อยู่ด้านข้างโรงพยาบาลศิริราชซะแล้ว
เจ้าจอมบอกว่าห้องพักของตัวเองอยู่ที่วังหลัง
และตอนนี้เขาก็พาร่างผอมบางนั่นมาจนถึงที่หมายแล้ว
ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองคนที่ก้าวขาลงจากรถอย่างเก้ๆกังๆอยู่บ้างแต่ก็นับว่าดีกว่าครั้งแรกมาก
พอเสื้อลายสก็อตสีดำของเขามาอยู่บนตัวเจ้าจอมแล้วกลายเป็นเสื้อโอเวอร์ไซส์ไปเลยแหะ
“ฮึ” ถึงจะขำออกไป แต่ในใจกลับคิดว่ามันก็น่ารักดี
“เอ๊ะ?” ใบหน้ามนถึงกับผงะไปว่าเขาขำอะไร
“เดินนำไปได้แล้ว” เขายิ้มพลางดันแผ่นหลังคนที่ยังเหรอหรานั่นไป
“เอ๋?
เดินนำนี่...เอ่อคือ...ไม่ต้องเดินไปส่งก็ได้นะครับ ผมก็เดินจากท่าเรือกลับห้องอยู่ทุกวัน...”
ใบหน้ามนหันมาบอกเลิ่กลั่กแต่ก็ต้องเดินไปตามแรงดันของเขา
“กูก็แค่จะตามไปดูว่าพี่มึงแอบพาน้องสาวกูมาทำเรื่องไม่ดีอะไรที่นี่หรือเปล่า”
อันที่จริง...ก็แค่รู้สึกเสียดายถ้าจะต้องแยกกันตั้งแต่ฟ้ายังสว่างแบบนี้ อยู่กับเจ้าจอมก็สนุกดี
อีกอย่างก็อยากจะเห็นด้วยว่าเจ้าเด็กนี่พักอยู่ในที่แบบไหนกัน อันตรายหรือเปล่า
“คือว่า...”
“เดินไปเถอะน่า”
“ครับ...”
แล้วเจ้าจอมก็พาเขาเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยของตลาดวังหลังที่มีขายทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้ามือหนึ่งยันมือสอง
โดยเฉพาะพวกเสื้อผ้ามือสองของที่นี่ก็นับว่าคุณภาพดีและราคาถูกมาก
พวกเขายังเคยแวะมาซื้อไปใส่ จะใส่เลอะแค่ไหนก็ไม่เสียดาย
ตอนเย็นๆแบบนี้คนก็ยังมาเดินซื้อของกันคึกคัก
ขนมก็อร่อยมากที่นี่ เขาเดินสวนกับฝูงชนไม่ได้ขาดสาย ร้านค้าที่ยัดอยู่ในตึกแถวก็แน่นขนัดทั้งสองข้าง
เขามองบรรดาของกินแล้วก็ได้แต่สงสัย เจ้าเด็กนี่ยังผอมแห้งอยู่ได้ยังไงกันนะถ้าต้องเดินผ่านของน่าทานขนาดนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน
เจ้าจอมพาเขาเดินเข้าไปลึกมาก
แต่ยิ่งลึกเท่าไหร่ความวุ่นวายก็ยิ่งลดลง เขาจึงพอจะเห็นนักศึกษาเดินสวนกลับมาบ้าง
จริงๆแถวนี้มีมหาวิทยาลัยชื่อดังอยู่ถึงสามแห่ง
แต่กลับไม่สามารถจะสร้างหอพักนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยได้โดยเฉพาะสองมหาวิทยาลัยที่อยู่ฝั่งพระนคร
เด็กมหาลัยแถวนี้จึงกระจายตัวอยู่ที่อีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นส่วนใหญ่
ร่างที่หอบดอกไม้มาเต็มสองแขนหยุดยืนอยู่หน้าตึกแถวที่เสียงดังขโมงโฉงเฉงแห่งหนึ่ง
เขาถึงกับงงเพราะดูยังไงมันก็ไม่ใช่หอพักแต่น่าจะเป็นร้านอาหารตามสั่งมากกว่า?
ไม่สิ
ดูเหมือนจะมีร้านอาหารอย่างหรูซ่อนอยู่บนชั้นสอง
แต่ก็มีแผงขายเสื้อผ้ากับเครื่องประดับมั่วๆแทรกอยู่ด้วย
สรุปมันเป็นร้านอะไรกันแน่วะ?
“....อยู่บนนั้นครับ...” เจ้าจอมหันมาบอกอย่างไม่แน่ใจว่าเขายังอยากจะขึ้นไปไหม
ดูจากสภาพเก่าโทรมของตัวอาคารแล้วเขาก็เดาไม่ถูกเลยจริงๆว่าเจ้าเด็กนี่อยู่ยังไงกันแน่
“ไปสิ” เสียงห้าวเอ่ยบอก
ไม่ต้องกลัวหรอกว่าเด็กถาปัดอย่างพวกเขาจะรับความเละเทะไม่ได้
ตั้งแต่เรียนคณะนี้มาเขาก็ไม่ติดหรูห่วงหล่ออะไรแล้ว เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการได้นอนต่างหาก!
ร่างผอมบางพาเขาเดินอ้อมไปใช้บันไดด้านหลัง
มันเป็นบันไดปูนเปลือยเล็กๆที่ยิงยาวขึ้นไปจนถึงดาดฟ้า...ก็คงจะมาถามหากฎหมายอะไรจากตึกที่มีอายุเป็นร้อยปีพวกนี้ไม่ได้หรอกมั้ง
เขาก้าวขึ้นบันไดตามไป
แล้วเจ้าเด็กนี่จะขนเฟรมวาดรูปขนาดใหญ่ๆขึ้นไปไหวเหรอเนี่ย? เขามองลอดซี่ราวกันตกเหล็กโปร่งอย่างหวาดเสียว
เจ้าจอมไขประตูรั้วซึ่งเป็นเหล็กโปร่งเช่นกัน
เขาจึงมองเห็นส่วนต่อเติมอาคารที่อยู่ด้านบน นี่มันห้องเก็บของบนดาดฟ้าชัดๆ!
เขายืนมองอาคารทรงกล่องที่อยู่บนดาดฟ้า
ถ้าคุณคิดภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงห้องเช่าบนดาดฟ้าของพระเอกนางเอกในซีรี่ย์เกาหลีดู
เหมือนเป๊ะยังไงอย่างงั้น
เพราะถึงห้องจะเล็กและแคบมาก
ถึงห้องจะดูเก่าโทรมไม่แข็งแรง แต่บนนี้กลับบรรยากาศดีมากกกก
เขาเพิ่งรู้ว่าเจ้าตึกแถวมั่วๆนี่มีด้านนึงแทบจะติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ถึงได้มีร้านอาหารหรูอยู่บนชั้นสองสินะ?
ตรงลานเล็กๆหน้าบ้านที่ถูกล้อมไว้ด้วยราวกันตกซี่ๆเหล็กโปร่งพวกนั้นก็มีกระถางต้นไม้ทั้งวางทั้งห้อยเต็มไปหมด
และมันล้วนเป็นต้นพยับหมอกที่กำลังออกดอกสีฟ้าบานสะพรั่ง
จะว่าไป...เจ้าเด็กนี่ชอบสีฟ้าอย่างงั้นเหรอ?
เห็นซื้อมาแต่ดอกไม้สีฟ้า ต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็ยังออกดอกสีฟ้าอีก
“เอ่อ...ส่งแค่นี้ก็ได้นะครับ...เขตต์ไม่ได้อยู่ที่นี่...” ร่างที่หอบดอกไม้อยู่เอ่ยอย่างลุกลี้ลุกลน...หื๋ม?
“จะไม่เลี้ยงน้ำกูสักแก้วเลยเหรอ?
กูดูแลมึงมาทั้งวันเลยนะวันนี้” เขาพูดทวงบุญคุณออกไปพลางยกยิ้ม
“เอ่อ...แต่ว่า...ผมไม่มีน้ำอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า...” เจ้าเด็กตรงหน้าดูกระสับกระส่าย
ยังจะมีอะไรต้องอายอีกหรือไง? หรือจะซ่อนอะไรไว้? ทำเอาอยากเห็นข้างในเลยแหะ
“น้ำเปล่าก็ได้” เขาเอ่ยด้วยเสียงแน่วแน่ เจ้าจอมอ้ำๆอึ้งๆก่อนจะยอมแพ้ในที่สุด
“เอ่อ...ครับ...ถ้างั้น...ก็...เชิญเข้ามาก่อนก็ได้ครับ...คือว่า...มันอาจจะไม่ค่อยเรียบร้อย...”
ยังจะมีที่ไหนรกเท่าบ้านของพวกเขาอีกงั้นเร๊อะ ไปดูห้องไอ้พายซะก่อน ถ้าไม่ได้ครึ่งของที่นั่นก็อย่าพูดว่ารก!
มือบางไขกุญแจบ้านเข้าไป
แต่กว่าจะยอมเปิดได้ใบหน้ามนก็หันมาบอกเขาว่า
“เอ่อ...ผมขอเข้าไปเก็บของก่อนนิดนึงนะครับ
พอดีมัน...ไม่เรียบร้อยจริงๆ...”
เขามองใบหน้าเลิ่กลั่กนั่นอย่างประหลาดใจ อายจนหน้าแดงไปหมดแล้วไหมน่ะ?
น่าจะซุกซ่อนอะไรไว้จริงๆสินะ?
หรือว่าจะเป็นหนังสือโป๊?
เขาถึงกับแสยะยิ้ม
“อืม
เอาสิ เดี๋ยวกูรออยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้” เขาก็พูดไปอย่างงั้นแหละ
เพราะพอร่างผอมบางเดินเข้าบ้าน เขาก็ย่องตามไปทันที
มันจะต้องอายอะไรวะ?
ผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ เขาก็แค่อยากรู้ว่าอย่างเจ้าเด็กนั่นจะดูหนังสือโป๊แนวไหน?
ไม่ได้จะเอามาล้ออะไรเสียหน่อย
ก็แค่อยากรู้...ว่าชอบแบบไหน?
เขามองเห็นเงาของเจ้าจอมเดินไปวางดอกไม้ลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระดานวาดรูป?
หื๋อ? มันวางหนังสือโป๊ไว้เด่นหราแบบนั้นเลยเหรอ? มิน่า
ถึงได้อยากจะเข้ามาเก็บก่อน ใบหน้ามนหันไปหันมาเหมือนกำลังมองหาที่ซ่อน
แป่ก
แต่แล้วไฟทั้งห้องก็สว่างวาบด้วยฝีมือของเขา
“อ๊ะ?
พี่? เข้ามาได้ไง?”
ร่างบางรีบซ่อนอะไรบางอย่างนั่นไว้ข้างหลังทันที
“มึงซ่อนอะไรไว้น่ะ?
เอามาให้กูดูซะโดยดีเลยนะ”
เขายิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างบางที่ยิ่งซ่อนก็ยิ่งเลิ่กลั่กลนลานไปหมด
“ปะ
เปล่า ไม่มีอะไร ก็แค่...”
ใบหน้ามนเบี่ยงหลบเมื่อเขาเข้าไปประชิดตัว
“แค่?” เขายื่นใบหน้าเข้าไปกระซิบถามที่ใบหู
“เอ่อ...แค่รูปที่ยังวาดไม่เสร็จน่ะ
มันก็เลยยังไม่สวย ไม่น่าดูหรอก”
เจ้าจอมแก้ตัวจนลิ้นพันกัน น่ารักเสียไม่มีละเจ้าเด็กนี่
“เอามาให้กูดู” เขาแกล้งทำเสียงเข้ม
“ไม่เอา” แต่เจ้าจอมกลับดื้อใส่เขาเป็นครั้งแรก
หื๋ม...? น่าสงสัยแหะ...
“เอา
มา ให้ กู ดู” เขาเน้นย้ำทีละคำๆ
แต่ใบหน้ามนกลับส่ายยิกๆ
เขาจึงเอื้อมแขนหมายจะคว้าไปยังของซึ่งถูกซ่อนไว้ด้านหลัง
แต่ร่างบางก็เบี่ยงตัวหลบ
มันเป็นหนังสือโป๊อะไรกันเนี่ยถึงไม่อยากให้เขาเห็นขนาดนั้น! หรือจะเป็นแนวSM?
เขาคว้าซ้ายเจ้าจอมก็เบี่ยงไปทางขวา
เขาคว้าขวาเจ้าจอมก็เบี่ยงไปทางซ้าย ปัดโธ่!
หมับ!
สองแขนแข็งแรงจึงรวบตัวบางเข้ามากอดไว้มันเสียเลย!
“อื้อ~
ปล่อยนะครับ~”
“หึ!
หนีกูไม่พ้นหรอก!”
เจ้าจอมอ้าปากพะงาบๆหน้าแดงเถือก จะเขินเพราะถูกจับตัวได้หรือเขินเพราะถูกเขากอดก็ไม่รู้แหละ
เพราะตอนนี้สิ่งที่เขากำลังอยากรู้มากกว่าก็คือสิ่งที่มือเขาคว้ามาได้แล้ว!
อ้าว?
ไม่ใช่หนังสือโป๊แหะ?
แต่เป็นแค่กระดาษที่ใช้สำหรับวาดรูปใบหนึ่ง?
ดูเหมือนบนนั้นจะมีรูปวาดอยู่
แต่เขาก็ยังไม่ทันดูให้ดีๆ มือบางก็ตามมาก่อกวนด้วยการพยายามแย่งมันคืนไป
เขาจึงชูกระดาษใบนั้นขึ้นเหนือหัว
และด้วยความที่ตัวเตี้ยกว่าเขามากเจ้าจอมถึงกับต้องกระโดดแย่งเหยงๆ
อ้า~
บ้าเอ้ย! มึงจำเป็นต้องน่ารักขนาดนี้ด้วยเหรอวะ?
หมับ!
คราวนี้เขาจับข้อมือบางรวบเข้าหากันด้วยมือเพียงข้างเดียว
ก่อนจะยันเจ้าลูกแมวที่กำลังร้องแง้วๆนั่นให้ออกไปห่างๆ
แล้วเขาก็พลิกภาพใบนั้นขึ้นมาดู...
มันเป็นเพียงภาพของเสือโคร่งเบงกอลตัวหนึ่ง...
ซึ่งคนอื่นอาจจะมองว่ามันก็เป็นแค่เสือ
มีอะไรต้องปกปิดไว้ขนาดนั้น?
แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา...
เขาจะจำเจ้าเสือตัวนี้ไม่ได้ได้ยังไง...
ในเมื่อมันคือเสือที่อยู่บนแผ่นหลังของเขาเอง...
เจ้าจอม...วาดรูปเสือที่เป็นรอยสักบนตัวเขา...
“เสือตัวนี้...” เขามองดูมันอย่างอึ้งๆ
เพราะเขาจำได้ว่าเขาไม่เคยไปถอดเสื้อต่อหน้าเด็กนี่แน่ๆ...ยัง...ไม่เคย
“.........” เจ้าจอมถึงกับทรุดลงไปนั่งคุกเข่าเอามือปิดหน้า
ดูจากใบหูที่แดงแปร๊ดแล้วก็พอจะรู้ว่าเจ้าเด็กนี่กำลังอายมากที่ตัวเองวาดรูปที่แสนอีโรติกแบบนี้ขึ้นมา
นี่มันอีโรติกยิ่งกว่าหนังสือโป๊อีกนะ...เพราะว่าฝ่าเท้าของเจ้าเสือตัวนั้น...มันอยู่ต่ำกว่าขอบกางเกงของเขาลงไปอีก...
หัวใจของเขา...ก็กำลังเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุอยู่เช่นกัน...
มันไม่ใช่ความโกรธ
ไม่ใช่ความไม่พอใจ ไม่ใช่ความรู้สึกในแง่ลบ
แต่เขา...กำลังเขิน?
กำลังเขินที่ถูกอีกฝ่ายเก็บไปวาดเป็นรูปออกมา
กำลังเขินเพราะรู้ตัวว่าเขาเองก็อยู่ในห้วงคำนึงของคนตรงหน้า
กำลังเขิน...ไม่ต่างจากเจ้าจอมเลย
“นี่มึง...เป็นคนวาดเหรอ?”
เขานั่งยองๆลงตรงหน้าคนที่ชันเข่าขึ้นมาซุกหน้าเอาไว้
หัวสีออกน้ำตาลพยักหงึกๆโดยไม่ยอมตอบอะไร
“มึงไปเห็นรอยสักของกูตอนไหนเนี่ย?
อย่าบอกนะว่าไปแอบดูกูเข้าห้องน้ำ?”
เขาแกล้งพูดเย้าแหย่
“เปล่านะครับ...” ในที่สุดเจ้าจอมก็ยอมตอบมาด้วยเสียงงึมงำ
“ตอนนั้น...ที่พี่เก้าบังคับให้ผมนั่งดูพี่ทาสี
Cutout...แล้วพี่ใส่แต่เสื้อกล้าม...มันบางจนมองเห็นเสือตัวนี้รางๆ...แค่รางๆ”
เสียงนุ่มอธิบายไปก็ก้มหน้างุดไปจนเขานึกอยากแกล้งจึงเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเด็กลามก
แอบดูเรือนร่างของกูอยู่สินะ? อร๊าย เจ้าจอมคนลามก~” เขาแกล้งทำท่าทางดีดดิ้น
“มะ
ไม่ใช่นะครับ ก็เสื้อพี่มันบาง ใครก็มองเห็น”
ใบหน้ามนเงยขึ้นมาเพื่อพยายามแก้ตัว
“ก็แล้วกูว่าอะไรมึงหรือยังล่ะ?”
เขายกยิ้มสบประสานสายตาที่ยอมมองหน้าเขาตรงๆเสียที
“พี่...ไม่โกรธเหรอครับ...ที่ผมแอบวาดรอยสักของพี่...คิดยังไงมันก็ประหลาดชัดๆ...” แล้วเจ้าจอมก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง
“หรือผมจะกลายเป็นคนโรคจิตไปแล้ว...” เสียงนุ่มบ่นงึมงำ
แต่เขากลับมองคนที่กำลังสับสนนั่นด้วยรอยยิ้ม
ไม่ใช่ใครก็ได้หรอกนะที่จะวาดรอยสักของเขาได้
ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ทำแบบนี้แล้วเขาจะไม่โกรธ ไม่มองว่ามันน่ารังเกียจ
เพราะเป็นเจ้าจอมไง
เขาถึงได้โอเค
เจ้าเด็กนี่เองก็คงเป็นเหมือนกันนั่นแหละ
ไม่ใช่ใครก็ได้ที่เห็นแล้วอยากจะวาดสิ่งที่อยู่ใต้ร่มผ้าของอีกฝ่าย
มันคงจะต้องเป็นเขาเท่านั้น
เป็นเสือที่อยู่บนตัวเขาเท่านั้น เจ้าจอมถึงอยากจะวาดออกมา
“ทำไมถึงอยากวาดเสือตัวนี้ล่ะ?
เพราะมันสวยใช่ไหม?” สองมือของเขาจับมือของเจ้าจอมออกจากใบหน้าเพื่อที่จะได้มองแก้มสีแดงนั้นให้เต็มตา
“......”
“บอกกูหน่อยสิ
กูอยากรู้” เขากระซิบถามแผ่วเบา
“....ครับ...มันเป็นรอยสักที่สวยมาก
ผมไม่เคยเห็นรอยสักแบบนี้มาก่อน มันไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนที่พวกนักเลงสักกัน
แต่มันคือศิลปะ”
เจ้าจอมพูดออกมารวดเดียว
“แล้วมันก็ยิ่งสง่างามมาก...เมื่อได้อยู่บนแผ่นหลังของพี่...” คราวนี้เจ้าจอมพูดไปก็หน้าแดงไป
หน้าแดงจนเขาแทบจะเขินตามไปด้วยแล้วเนี่ย~
“มัน...เป็นเสือที่ดูดุร้ายแต่ก็หล่อมาก...” ถ้าหน้าระเบิดได้
หน้าเจ้าจอมในเวลานี้คงไม่เหลือแล้ว
เขาเองก็ไม่ต่างกัน
มือใหญ่ยอมปล่อยมือบาง
หัวใจที่แข็งกร้าวของเขามันกำลังพองฟู
เขาไม่เคยรู้สึกอุ่นในใจเวลาที่มีใครชมรอยสักของเขาแบบนี้มาก่อน
ที่ผ่านมามันก็แค่ดีใจ...แต่นี่มัน...มากกว่านั้น
เต็มไปด้วยความรู้สึก...ที่มากมายกว่านั้น...
เขานั่งลงที่พื้นห้องอย่างไม่มีพิธีรีตอง
ก่อนจะจ้องมองใบหน้ามนที่ยังมีสีแดงจางๆ
“มึงจะเข้าใจความงามของมันก็ไม่แปลก
เพราะเสือตัวนี้กูไปขอร้องศิลปินด้านการวาดภาพด้วยพู่กันของญี่ปุ่นวาดเป็นต้นแบบมาให้เลยนะเว้ย
แล้วอาจารย์เค้าก็ไม่ได้สักแต่จะวาดไป เค้าดูโครงสร้างร่างกายของกูด้วย
มันถึงได้เข้ากับกูไง
เป็นเสือ...ที่ไม่ว่าจะไปอยู่บนตัวใครก็ไม่หล่อเท่าอยู่บนตัวกู” เขาเล่าถึงที่มาของรอยสักนี้ให้เจ้าจอมฟัง
“จริงเหรอครับ
สุดยอดเลย” ใบหน้าที่เขินอายเปลี่ยนไปเมื่อพูดถึงเรื่องงานศิลปะ
ตอนนี้ดวงตากลมๆนี่วิบวับขึ้นมาเชียว
“ก็มันจะอยู่กับกูไปทั้งชีวิตนี่หว่า
กูก็ต้องเลือกสรรมันอย่างพิถีพิถันหน่อยสิวะ”
เจ้าจอมมองเขาด้วยสายตาซาบซึ้ง
เจ้าเด็กนี่อาจจะเคยคิดว่าเขาเป็นพวกลูกคนรวยนิสัยเหลวแหลกก็เป็นได้ คงจะคิดว่าเขาอยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อแล้วก็ทิ้งไปง่ายๆ
แต่มันไม่ใช่เลย อะไรที่มันจะเป็นของเขา เขาก็จะเลือกมาอย่างดี
แล้วก็ไม่มีวันทิ้งขว้างไปง่ายๆด้วย
คน...ก็เหมือนกัน
“แต่มึงยังวาดไม่เหมือนนะ
หนวดมันต้องไม่ใช่สามเส้นสิ นี่มันแมวแล้ว ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะชอบใจ ก็ยังมีหลายจุดที่ยังไม่ใช่เสียทีเดียว
ก็คงจะอย่างที่เจ้าจอมบอก
“ก็ผมเห็นแค่รางๆนี่ครับ...” ใบหน้ามนงอขึ้นมาจนเขานึกอยากแกล้ง
“งั้นมึงอยากจะเห็นชัดๆไหมล่ะ?” ใบหน้าร้ายๆยกยิ้มถาม
“เอ๊ะ?
เอ่อ....” ใบหน้ามนผงะไป
เพราะรู้ว่าการที่จะได้เห็นเสือตัวนั้นชัดๆมันต้องทำยังไง
ดวงตากลมโตจึงกรอกไปมาเพราะกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ ใจนึงก็อยากเห็น
แต่ใจนึงก็กลัวเพราะตอนนี้ก็อยู่กับเขาแค่สองต่อสองในห้องที่ห่างไกลจากผู้คนอีก
“อุ๊บ
ฮ่าๆๆๆๆๆ” เขาถึงกับหัวเราะออกมายกใหญ่
“มึงจะกลัวอะไรเนี่ย~
กูไม่ทำอะไรมึงหรอก ตอนนั้นก็แค่ขู่ให้มึงกลัวเฉยๆ กูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว
อะไรที่มึงไม่โอเค กูก็จะไม่ทำ ตกลงไหม?”
เขาให้สัญญาด้วยการยื่นนิ้วก้อยออกไป
มือบางจึงแตะนิ้วก้อยลงมาบนนิ้วของเขา...
“เอ้า
อยากดูก็ดูซะให้เต็มตา”
แล้วมือใหญ่ก็ดึงชายเสื้อยืดสีดำขึ้นมา...ก่อนจะถอดมันออกจากหัวไป
ร่างกายท่อนบนของเขาจึงเปลือยเปล่า...
“บอกไว้ก่อนนะ
กูไม่ใช่คนโรคจิตที่ชอบถอดเสื้อให้ใครดู แต่เพราะกูสัญญากับมึงไว้แล้วไง
ว่าจะเป็นแบบให้ ยังไงมึงก็ต้องเห็นอยู่ดี”
เขาพูดออกไป เอาจริงๆก็เขินเหมือนกันแหะ มือจึงยกขึ้นมาถูจมูกเบาๆ
“ครับ...มัน...เป็นรอยสักที่สวยมากจริงๆนะครับ...”
เขาเพิ่งได้สังเกตว่าผนังห้องฝั่งที่ติดแม่น้ำนั้นเป็นหน้าต่างกระจกผืนใหญ่
เพราะงั้นเขาจึงมองเห็นภาพของเจ้าจอมที่สะท้อนอยู่ในนั้น
เจ้าเด็กนั่น...กำลังจ้องมองแผ่นหลังของเขาอย่างพินิจพิจารณา
บ้าจริง
นอกจากช่างสักแล้วก็ไม่เคยมีใครจ้องเอาๆขนาดนี้มาก่อน มันเขินว้อย~
“กล้ามเนื้อของพี่ก็สวยมากๆ....” ฉ่า~
เขารู้สึกว่าหน้าเขามันมีเสียงแบบนี้ดังออกมาเลย เคยมีคนชมอยู่หรอกว่าเขาหุ่นดี
แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดที่ออกมาจากปากของเจ้าจอมถึงทำให้เขารู้สึกเขินขนาดนี้
โธ่เว้ย
ทั้งๆที่เขากะจะแกล้งให้เจ้าเด็กนี่อายม้วนเสียหน่อย แต่ดันถูกของมันย้อนกลับเข้าตัวเสียได้!
เพราะงั้นเขาจึงเสสายตาไปมองอย่างอื่นภายในห้องเพื่อทำให้หน้าเบาร้อนลง
มันเป็นเพียงห้องเล็กๆซึ่งมีแค่ฟูกนอนหนึ่งอัน เคาน์เตอร์ครัวง่ายๆ
ประตูที่น่าจะเป็นห้องน้ำ กับห้องที่เชื่อมต่อออกไปและเจ้าจอมก็น่าจะใช้ทำงาน
เพราะผนังที่เชื่อมกันนั้นเป็นกระจกจึงมองเห็นห้องข้างๆนั่นรางๆ
มันมีขาตั้งวาดภาพวางอยู่หลายอัน มีทั้งภาพที่อยู่บนนั้นและวางพิงผนังเอาไว้อีก
แปะตามกำแพงก็มี หนีบห้อยอยู่ตามกระจกก็มี และผนังที่ผ้าม่านบังอยู่นั่นก็น่าจะเป็นวิวของแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว
ดูๆไป...ถึงห้องจะเล็กแต่ก็อาร์ตมากเลยนะ
มันดูน่าอยู่ดีออก ในห้องทำงานนั่นยังมีกระถางต้นไม้ มีขวดสีมีพู่กัน
และภาพที่เจ้าจอมวาดเอาไว้นั้นก็สวยมากๆ
“แล้วพี่มึงล่ะ?
ไม่ได้อยู่ด้วยกันที่นี่เหรอ?”
เขาไม่เห็นโต๊ะดร๊าฟซึ่งน่าจะเป็นอุปกรณ์ที่เด็กเด็คใช้เหมือนกัน
ไม่มีคอมพิวเตอร์พีซีที่เอาไว้ทำ3D
ในห้องนี้ไม่มีกลิ่นไอของใครอื่นนอกจากเจ้าจอมเลย
“ห้องมันเล็กน่ะครับ
เขตต์เลยย้ายออกไปอยู่ที่หอพักข้างๆนี้ ที่มันไม่พอทำงาน...”
เสียงนุ่มตอบทั้งๆที่ตายังจ้องแผ่นหลังของเขาไม่หยุด พอได้แล้วเว้ย~
“กูให้ดูแค่นี้แหละ” เขาสวมเสื้อยืดกลับไป ให้ตายเถอะ
คนที่ทำให้คนหน้าด้านอย่างเขายังอายได้นี่ต้องไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เจ้าเด็กนี่น่าจะเห็นงานศิลปะดีๆไม่ได้ โรคคลั่งบางอย่างน่าจะออกลาย
“อ๊ะ” นั่น ยังมีทำหน้าเสียดายอีกนะ
เขาลุกขึ้นไปเดินดูในห้องทำงานแก้เขิน
นอกจากขาตั้งสำหรับวาดรูปแล้วก็ยังมีกองหนังสือที่เกี่ยวกับอนาโตมี่ของมนุษย์
หนังสือเกี่ยวกับงานศิลปะเล่มใหญ่ๆอีกมากมาย
เขาเดินเข้าไปดูรูปที่เจ้าจอมวาดค้างไว้ใกล้ๆ
มันเป็นภาพสีน้ำของกระถางพยับหมอกที่กำลังออกดอกสีฟ้า มันสวยมากๆเลยนะ
แต่เขากลับรู้สึกว่ามันดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่?
ใบหน้าเรียวจึงหันมองภาพที่วางอยู่รอบๆห้อง
มีทั้งภาพที่ระบายด้วยสีน้ำและภาพที่วาดด้วยดินสอ ภาพสเก็ตก็มี
มีทั้งภาพที่วาดเสร็จเต็มรูป ภาพที่ยังมีแต่เส้นร่าง ภาพที่วาดไว้แค่บางส่วน
ภาพที่มีแต่มือหรือดวงตาก็มี ภาพทั้งหมดนี้มันสวยมาก แต่ก็นั่นแหละ
เขากลับรู้สึกว่ามันยังขาดอารมณ์ความรู้สึกไป เหมือนตอนที่เจ้าจอมวาด
จะวาดโดยไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย
ขนาดตีฟของเขาดูแล้วยังรู้สึกถึงอารมณ์เผาตอนวาดเลยนะ
แต่งานของเจ้าเด็กนี่กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เป็นไปได้เหรอเนี่ย?
หลังจากดูรูปไปเรื่อยๆเขาก็เหลือบไปมองที่กองหนังสือเล่มหนาพวกนั้นอีกครั้ง
แต่คราวนี้กลับมีบางสิ่งที่เขาเคยมองข้ามไปปรากฎให้เห็นอยู่ที่สันของหนังสือ?
มันดูยังไงก็ไม่ใช่ที่คั่นหนังสือ
แต่น่าจะเป็นกระดาษที่ถูกพับไว้มากกว่า?
แล้วก็ไม่รู้อะไรดลใจให้เขานึกอยากจะดึงมันออกมาดู...
ฟึ่บ
มันเป็นกระดาษที่ถูกพับเอาไว้จริงๆด้วย
พับเสียสามสี่ตลบ พับลวกๆเหมือนรีบร้อน แต่ถ้าดูจากรอยยับก็เหมือนจะหยิบขึ้นมาดูบ่อยเหมือนกันแหะ?
หรือว่า! จะเป็นรูปสาวที่เจ้าจอมชอบ?!
เขาแสยะยิ้มอีกครั้ง
ขอดูหน้าสักหน่อยเถอะ~~
แกร่บ...
เขาคลี่กระดาษกรอบๆนั่นออกมาดู
พอดีกับเสียงนุ่มที่ได้ยินมาจากข้างหลัง
“น้ำ...ครับ...อ๊ะ!
พี่เก้า! อย่าเปิดนะ!!!” เสียงขวดน้ำร่วงลงพื้นดังตุ้บ ร่างผอมบางวิ่งถลาเข้ามาหมายจะแย่งกระดาษในมือเขาไปอีกครั้ง
แต่แขนแข็งแรงก็คว้าเอวบางไว้อย่างง่ายดาย
“มึงนี่ความลับเยอะจริงนะ
แอบวาดรูปคนที่ชอบเอาไว้หรือไง?”
เขาแซวทั้งที่ตายังอยู่ที่กระดาษซึ่งยังเปิดออกไม่หมด
มัน...น่าจะเป็นเพียงรูปสเก็ตหยาบๆ หยาบถึงขนาดที่วาดด้วยปากกาด้วยซ้ำ
และเมื่อกระดาษแผ่นนั้นถูกคลี่ออกมาจนหมด
ดวงตาของเขาก็ถึงกับเบิกกว้าง
ถ้าคิดว่ารูปเสือนั่นเขาต้องจำได้แล้ว
รูปที่อยู่ในมือนี้เขายิ่งต้องจำได้มากกว่า
เพราะว่ามันเป็นรูปสเก็ตใบหน้าที่กำลังยิ้มของเขาเอง!
เขาจ้องมองรูปนั้นอย่างตื่นตะลึง
ถ้าเทียบกับรูปที่อยู่ในห้องนี้ทั้งหมด เจ้ารูปที่วาดด้วยปากกาง่ายๆรูปนี้
มันกลับดูมีชีวิตชีวากว่ารูปอื่นๆมาก
ราวกับว่า...คนที่วาดมันขึ้นมานั้นกำลังเต็มไปด้วยความรู้สึก...
เขาเงยหน้ามองเจ้าจอมอย่างอึ้งๆ
“นี่มึง...ชอบกูหรือเปล่าเนี่ย?” เขาถามออกไปตรงๆเพราะหาสาเหตุอื่นไม่ได้แล้ว
กระดาษแผ่นนี้บ่งบอกได้หลายอย่าง เหมือนเจ้าจอมเองก็กำลังสับสน
ทั้งชอบแต่ก็ไม่อยากจะยอมรับ จึงได้เผลอวาดขึ้นมาตามความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ
แต่ก็รีบหยุดมันกลางคันจนมันมีแค่ลายเส้นง่ายๆ
แต่ก็ยังไม่อาจจะปล่อยความรู้สึกนี้ไปได้ถึงได้หยิบมันขึ้นมาดูจนกระดาษยับเยินไปหมด
“เอ่อ....” เจ้าจอมหลบตาหน้าเน้อแดงไปหมด
“ตอบ” เขาคาดคั้นแต่ก็ไม่ได้ใช้เสียงที่ดุดันนัก
เขากลับรู้สึกโอเคจนน่าประหลาดใจ
“ชอบครับ...พี่...เหมือนรูปปั้นที่อยู่ในวาติกันเลย...” ใบหน้ามนหลับหูหลับตาพูดออกมา
“.......” อ่อ ชอบเขาแบบงานศิลปะ?
ถึงจะรู้สึกเสียดายแปลกๆแต่เขาก็อดที่จะเย้าแหย่ต่อไม่ได้
เขาจึงขยับเข้าไปพูดใกล้ๆใบหูแดง
“ถ้าชอบกู
กูก็จะบอกมึงเอาไว้ก่อนเลยนะ”
“ครับ?”
“กูเป็นฝ่ายรุกเท่านั้น” ใบหน้าแบดบอยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ได้แกล้งอีกฝ่าย
“ฮะ?
รุก? รุกคืออะไรครับ?” เจ้าจอมอ้าปากพะงาบๆ
เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจว่าความหมายมันเหมือนกันไหม
เขาจึงยิ่งขยับเข้าไปใกล้แล้วพูดด้วยเสียงกดต่ำออกไป
“กูเป็นฝ่ายที่จะเสียบเข้าไปในตัวมึงเท่านั้นไงล่ะ” ดวงตากลมโตถึงกับเบิกกว้างเป็นปลาทอง
“อ๊ะ?!
มะๆๆๆๆ ไม่ใช่แบบนั้นนะ...” ร่างบางปฏิเสธพัลวัน
ไม่ใช่?
แต่ก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึงแบบนี้เนี่ยนะ?
อ่า...ชักจะน่าสนใจแล้วแหะ
แต่ถ้าถามความรู้สึกเขา...ถ้าเป็นเจ้าเด็กนี่...ก็น่าจะเข้ากันได้อยู่นะ
นิสัยใจคอเท่าที่ได้สัมผัสมาในเวลาไม่นาน
เขาก็ไม่ได้ซีเรียสด้วยถ้าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชาย ขอแค่เข้ากันได้ก็พอ
“พะๆๆพี่...พูดอะไร...ผม...ผมไม่ได้ชอบพี่แบบนั้นนะ....” ใบหน้าเลิ่กลั่กยังคงปฏิเสธ
เขาจึงยักไหล่อย่างไม่รีบร้อน
“งั้นเหรอ?
งั้นก็แล้วไป ว่าแต่มึงยังซุกรูปอะไรของกูเอาไว้อีกไหมเนี่ย?”
“ไม่มีแล้วครับ...”
เจ้าจอมทำหน้าหมดแรงที่ถูกเขารู้ความลับรัวๆแบบนี้
เขานั่งลงไปบนเก้าอี้หน้าขาตั้งเพื่อมองดูรูปของตัวเองในกระดาษให้ชัดๆ
นี่ก็น่าจะเป็นรูปที่เจ้าจอมวาดตอนที่เขาทาสี Cutout อยู่เช่นกันสินะ
แปลว่าเจ้าเด็กนี่ชอบทั้งที่เขาทำตัวเถื่อนๆด้วยน่ะเหรอ?
“ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะออกไปในความประหลาดคนของเจ้าเด็กนี่
“หัวเราะอะไรครับ...น้ำครับ...”
ใบหน้ามนมองมาอย่างหวาดระแวงก่อนจะยื่นขวดน้ำให้
“เปล่า” เขายักไหล่อย่างไม่ยอมบอก
“ผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะวาดให้ดีๆกว่านี้
มันจะดีกว่านี้แน่นอนครับ พี่ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลานะครับ
ที่อุตส่าห์ยอมมาเป็นแบบให้ผม”
เจ้าจอมรีบบอกเขาอย่างร้อนลนเพราะกลัวว่าเขาเห็นเส้นสเก็ตเผาๆนี่แล้วจะเปลี่ยนใจไม่ยอมมาเป็นแบบให้วาด
นี่ก็แสดงว่า...การที่อีกฝ่ายขอร้องให้เขามาเป็นแบบให้
ไม่ใช่เพราะจับพลัดจับผลูมาเจอตอนที่เขาไม่มีทางเลือกพอดี
ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครในกลุ่มตองเก้าก็ได้ แต่เจ้าจอมอยากวาดรูปเขามาตั้งแต่แรกแล้ว
บ้าเอ้ย
มาทำให้ใจเต้นทำไมเนี่ย เขาอุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่มีแฟนจนกว่าจะเรียนจบเพราะยังเข็ดขยาดจากปั๊ปปี้เลิฟในวัยเด็กนั่นอยู่
เขารู้ว่าตอนที่ต้องเลิกกันมันทรมานขนาดไหน
เขาจึงตั้งใจจะใช้ชีวิตมหาลัยกับเพื่อนฝูงเท่านั้น ไม่อยากคิดเรื่องผู้หญิงแล้ว
แต่กลับต้องมาคิดเรื่องผู้ชายแทนซะงั้น?! เฮ้อ...ไอ้เก้านะไอ้เก้า~
“แต่กู...ชอบรูปนี้นะ
มันดู...มีหัวใจดี”
เขาเอ่ยออกไปในขณะที่ตาก็มองรูป มือบิดฝาขวดน้ำก่อนจะเหลือบมาเห็นเจ้าจอมมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อาจารย์ที่คณะก็บอกเหมือนกันครับ...ว่ารูปของผมมันสวยก็จริง...แต่ไม่มีหัวใจ
ผมวาดรูปเหมือนคนตายมาตลอด”
เขาดื่มน้ำก่อนจะฟังเจ้าจอมเงียบๆ โอ้
พวกศิลปินเค้าก็มีปัญหาแบบนี้เหมือนกันแหะ
เหมือนพวกนักออกแบบที่คิดงานไม่ออกหรือหาแนวทางของตัวเองไม่เจอสินะ
“ผมก็รู้ตัวนะครับ
ว่าหลังๆมานี้ผมวาดไปตามคำสั่งมากกว่า ผมวาดเพราะคนอื่นบอกให้วาด
ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการวาดรูปเลย แต่ว่า...ผมกลับวาดรูปพี่ออกมาโดยที่ห้ามตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้อินกับมันแบบนี้มานานมากแล้ว พี่...ทำให้รูปของผมกลับมามีชีวิต
มีความรู้สึก มีหัวใจ ผมเลยอยากจะวาดรูปพี่อีกสักครั้ง”
เจ้าจอมระบายออกมาและนั่นก็ยิ่งทำให้เขาแน่ใจว่า
เด็กนี่...ชอบเขาแน่ๆ...
เพียงแต่...น่าจะยังไม่รู้ตัว...
ถ้าเขาไม่คิดจะเล่นด้วยก็ควรจะปฏิเสธเสียตั้งแต่ตอนนี้
เฮ้อ...แต่ทำไมความคิดที่ว่าจะปฏิเสธนั้นมันกลับไม่มีอยู่ในหัวของเขาเลยนะ?
“พี่เก้า…” เจ้าจอมซึ่งนั่งอยู่ที่ขอบประตูเอ่ยเรียกเขา
“หื๋อ?” เขาละสายตาจากรูปของตัวเองก่อนจะหันไปมอง
“ผม…ขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหมครับ” เขามองใบหน้ามนนิ่งๆก่อนจะถามออกไป
“....อะไร?”
“ช่วย…เลิกใช้กูมึงกับผมได้ไหมครับ…ผม..ไม่ใช่รุ่นน้องในคณะพี่....ไม่อยากเป็น(แค่)รุ่นน้องด้วย...” เขาได้ยินเสียงงึมงำๆพูดประโยคหลังไม่ชัดนัก
“ห๊ะ?” มึงกูไม่ดีตรงไหน? ใบหน้าแบบแบดบอยเลยเผลอมองใส่ด้วยสายตาหาเรื่อง
แต่พอนึกถึงหนี้ที่ติดไว้แล้วก็ต้องถอนหายใจ เอาเถอะ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่
จะยอมให้ก็ได้...
“นี่กูกลายเป็นหนี้ชีวิตมึงไปแล้วใช่ไหมเนี่ย? มึงให้ทำไรกูก็ต้องทำใช่ไหม?”
ใบหน้ามนจึงหัวเราะแหะๆ
“แล้ว...จะให้เรียกว่าอะไรล่ะ?”
“พี่ช่วย…แทนตัวเองว่า พี่” ร่างสูงยาวถึงกับร้องโอ๊ยพร้อมกับลูบขนแขนที่ลุกชันขึ้นมา
แม้แต่ไอ้สองน้องสาวเขายังไม่เคยเรียกตัวเองว่า พี่ กับมันเลยนะ~
“แล้วก็เรียกผมว่าเจ้าจอม” ได้ทีเอาใหญ่เลยนะเจ้าเด็กนี่ เขานิ่งมอง เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ใจอยู่ฝ่ายเดียวแน่
เสียงห้าวๆจึงเอ่ยออกไปจากใบหน้าที่เชิดขึ้น
“กูจะไม่เรียกมึงว่าเจ้าจอม บอกชื่อจริงของมึงมา” เจ้าจอมคือชื่อที่พี่ๆในคณะตั้งให้
นั่นหมายความว่าเจ้าเด็กนี่ต้องมีชื่อจริงๆของตัวเองอีกชื่อหนึ่ง
ซึ่งตั้งแต่นี้ไปก็จะไม่มีใครเรียกมันอีก
แล้วชื่อๆนั้นมันก็จะเป็นของเขา
มีแต่เขาเท่านั้นที่จะเรียก
“เอ๊ะ?” เจ้าจอมงุนงง
“มึงมีชื่อจริงๆของมึงนี่ ถ้าอยากให้กูเรียกมึงก็ต้องบอกชื่อของมึงมาสิ”
“......” ใบหน้ามนนิ่งอึ้งไปแต่กลับไม่หลบเลี่ยงไปจากสายตาเขา
ริมฝีปากสีระเรื่อเอ่ยออกมาเบาๆ
“ขวัญ…ชื่อของผมคือขวัญครับ…”
“ขวัญ”
จู่ๆเขาก็เรียกออกไป ใบหน้ามนจึงนิ่งค้างราวกับได้กลายร่างเป็นหินไปแล้ว
เป็นหินสีชมพูเสียด้วย
ฮ่าๆๆ แดงจนถึงใบหูแล้วนั่น
“ก็ได้ กูจะแทนตัวเองว่าพี่ แล้วก็ถ้าอยู่กันแค่สองคนกูจะเรียกมึงว่าขวัญ” เขาก้มหน้าลงไปพูดใกล้ๆ
แต่เจ้าคนที่คิดจะเอาคืนเขากลับหน้าแดงเสียเอง
“ครับ…”
สิบห้านาทีผ่านไป...
อืม
แค่สิบห้านาทีเท่านั้นแหละ
“ดอกกุหลาบควรจะอยู่บนหรือไฮเดรนเยียอยู่บนดีครับ?” ตอนนี้เขากับเจ้าจอมกำลังช่วยกันเอาดอกไม้มาจัดใส่แจกันเพื่อเป็นแบบในการวาดรูปอยู่
“กู
เอ้ย พี่ว่า...อ๊ากกก ขนลุก!”
“ว่ายังไงนะครับ?...คิก”
เขาเห็นนะว่าเจ้าเด็กนั่นกลั้นขำจนไหล่สั่นเลยน่ะ! ทั้งๆที่คิดว่าก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่
แต่พอได้มาลองพูดดูแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ได้~~
มันคันยุบยิบๆตามตัวไปหมดแล้ว~
“มึง
เอ่อ ขวัญ...ลองจัดแบบการจัดดอกไม้ญี่ปุ่นดูไหม กู เอ่อ พี่...อธิบายไม่ถูก
เดี๋ยวเปิดคลิปให้ดูแล้วกัน เนี่ย มันจะไม่ได้ยัดๆใส่ๆไปทั้งหมดแบบที่มึง เอ่อ
ขวัญทำ แต่เค้าจะจัดเน้นให้เป็นทรงตามธรรมชาติของมันแค่ดอกหรือสองดอกเท่านั้นมากกว่า
ถึงมึง เอ่อ ขวัญจะวาดรูปสวย แต่ถ้าแบบมันแปลกใหม่น่าสนใจมันก็น่าจะช่วยส่งเสริมงานมากขึ้นใช่ไหมล่ะ....อ๊า!!
กูชักจะไม่ไหวแล้วนะ ผดผื่นจะขึ้นแขนกูหมดแล้วเนี่ย!” เขาแทบจะล้มโต๊ะ แต่เจ้าจอมกลับ
“อุ๊บ
ฮ่าๆๆๆๆๆ” ใบหน้ามนหัวเราะลั่น
หัวเราะแบบที่เขาไม่มีวันได้เห็นมาก่อน หัวเราะอย่างมีความสุขมากๆ
หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล
หัวเราะจนหัวใจของเขา...ก็พลอยเต้นแรงเพราะรอยยิ้มกว้างนั่นไปด้วย
“นี่มึงแกล้งกูใช่ไหม?” เขาแสยะยิ้มทำหน้าเหี้ยม
“เปล่านะ
ฮ่าๆๆๆ แต่พี่ที่พยายามพูดเพราะมัน...ตลกมากเลย ฮ่าๆๆ” เจ้าจอมยังขำไม่หยุด
เขาจึงหยุมหัวสีออกน้ำตาลนั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว
“กูไม่เอาด้วยแล้ว! พี่ห่าอะไร
ขนลุกชิบหาย เอาไว้มึงเป็นเมียกูเมื่อไหร่ กูจะเรียกที่รักครับให้เลยเอ้า
แต่ตอนนี้กูจะพูดกับมึงแบบนี้แหละ!”
“อุ๊บ
ฮึๆๆๆ ครับ ไม่เป็นไรครับ ถือว่าพี่พยายามแล้ว” มือบางยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่ปริ่มออกมาเพราะความสุข
พี่เก้าตลกมากจริงๆ
ยิ่งฝืนพูดจาที่ไม่เข้ากับตัวเองก็ยิ่งตลก
เขาไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งหรือเอาคืนอีกฝ่ายหรอกนะ จริงๆ
แต่ที่อยากให้พี่เก้าเรียกเขาแบบนั้นก็เพราะเขาอยากจะมีความแตกต่างจากรุ่นพี่รุ่นน้องของพี่เก้าบ้าง
เพราะพี่เก้า...ไม่ว่าจะกับใครก็พูดด้วยความสนิทสนมแบบนี้ตลอด
แต่ไม่เป็นไร
ตอนนี้...เขาเริ่มรู้สึกว่ามันมีความพิเศษบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเราจนไม่จำเป็นต้องฝืนให้พี่เก้าพูดไปขนลุกไปแบบนี้แล้ว
“ยัง
ยังหัวเราะอีก มึงจะให้กูช่วยจัดไหม? ดอกไม้เนี่ย หรือจะจัดการจับมึงฝังก่อนดี
หื๋ม?” มือใหญ่บีบปลายคางของเขาด้วยสีหน้าหมั่นเขี้ยว
“โอ๊ยๆๆ
จัดดอกไม้ครับ ดอกไม้~”
สุดท้ายแล้วการจัดแจกันแบบญี่ปุ่นของพี่เก้ามันก็ยังดูมั่วๆอยู่ดี?
แต่ถึงกระนั้นเขาก็มองมันไป
วาดมันไป ด้วยรอยยิ้ม
เพราะเขามักจะนึกถึงช่วงเวลาที่ได้จัดดอกไม้ช่อนี้อยู่ด้วยกัน
นึกถึงแขนยาวๆที่ชอบหยอกล้อแกล้งเขา นึกถึงทั้งวันที่เดินซื้อมันมาด้วยกัน
แล้วยังกุหลาบสีฟ้าที่ถูกแยกใส่แจกันวางไว้ติดข้างฝานั่นอีก
เขาค่อยๆแต้มปลายพู่กันลงไป
สีสันที่ค่อยๆปรากฎกายขึ้นนั้นช่างดูอบอุ่นและอบอวลไปด้วยกลิ่นไอที่หอมจางๆ
ปลายพู่กันหนักเบาที่ลงไปตามความรู้สึกของเขานั้นทำให้กอไฮเดรนเยียและกุหลาบขาวในรูปดูเป็นธรรมชาติมาก
ดอกฟอร์เกตมีน็อตที่มีหยดน้ำเกาะพราวก็ราวกับจะเปล่งประกายระยิบระยับออกมา
ขนาดดูเอง...เขายังรับรู้ถึงชีวิตชีวาและความสุขที่แผ่ออกมาจากภาพๆนี้
ทำไมกันนะ?
มือก็มือเดียวกัน
พู่กันก็อันเดียวกัน สีก็หลอดเดียวกัน
แต่ตอนมีพี่เก้ากับไม่มีมันต่างกันขนาดนี้เลยเหรอ?
ถ้างั้นก็แย่แล้วสิ?
เขาจะใช้ชีวิตโดยไม่มีพี่เก้าได้ยังไงล่ะทีนี้?
เขายังอยากจะวาดรูปที่มีหัวใจต่อไปนะ...
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
จริงๆตั้งใจจะเขียนทั้งสองคู่นาคะตอนนี้
แต่แค่คู่แรกก็ยิ่งแต่งยิ่งยาวขนาดนี้ไปแล้วถถถ อาจารย์องศาไว้เจอกันตอนหน้านะคะ
แง
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามมากๆน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น