KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 08

 KW Original [องศาxพายุ]  องศา π (พาย) : 08

 

: KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า

: องศา x พายุ

: Warmhearted Romantic

: NC-17

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

             : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด

           : อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

 

 

เค้าว่ากันว่า...คนที่เราไม่อยากจะเจอหน้านั้นมักจะอยู่ในสายตาของเราเสมอ ...ดูท่าแล้วมันเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลยแหะ

 

มือใหญ่ที่กำลังจะหยิบกระดาษถึงกับชะงักค้างเมื่อหันไปเห็นว่าคนที่กำลังยืนเลือกหลอดสีน้ำอยู่ข้างๆนั้นเป็นใคร

 

“อึ้ก...ทำไมมึงถึงมาอยู่นี่?”   เพราะตอนนี้เจ้าจอมเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดด้วยยังอับอายในเรื่องที่ไปก่อเอาไว้ ริมฝีปากจึงเผลอสบถออกไปอย่างไร้มารยาท

 

“...ผมมาซื้อสีครับ...”    เจ้าเด็กนั่นคงคิดว่าเขาจะหาเรื่อง ใบหน้ามนจึงเริ่มหลบเลี่ยงสายตาก่อนจะก้มหน้างุด

 

“ที่สโมไม่มีรึไงต้องมาซื้อถึงนี่?”    ให้ตายเถอะ เขาไม่ได้คิดที่จะใช้น้ำเสียงข่มขู่แบบนี้แต่มันเขินจนเผลอพูดกลบเกลื่อนไปตามนิสัย

 

“มันหมดครับ...”    ตัวเองก็มาซื้อกระดาษถึงนี่เหมือนกันไม่ใช่รึไง?...เจ้าเด็กนั่นใช้สายตาที่เหลือบมองมือเขาพูดแทนออกมา

 

เฮ้อ....เขาถอนหายใจก่อนจะยกมือเกาท้ายทอยสกินเฮดดังแกร่กๆ

 

“ผม...ไปก่อนนะครับ...”    ร่างบางก้มหัวให้ก่อนจะรีบแหวกทางออกไป กลัวอะไรขนาดนั้นฟ๊ะ? อ่า แต่พอนึกถึงสิ่งที่เขาทำมันก็น่าแหละที่เด็กนั่นจะกลัว

 

ใบหน้าเรียวมองตามร่างผอมบางที่เดินไปจ่ายเงินค่าสี ตอนนี้เขากับเด็กนั่นอยู่ที่ร้านสมใจหน้าเพาะช่างกับโรงเรียนสวนกุหลาบ ที่ต้องมาซื้อของถึงนี่ทั้งๆที่ในย่านนี้มีร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับศิลปะมากมายก็เพราะที่นี่ราคาถูกรองจากร้านค้าในมหาลัยเขาแล้ว ถ้าของในสโมหมด พวกเขาก็จะมาซื้อที่นี่กัน

 

มือใหญ่รีบหยิบกระดาษก่อนจะรีบเดินไปเคาน์เตอร์คิดเงิน ไม่รู้ต่อมอะไรเข้าสิงทำให้เขาคิดที่จะเดินตามเจ้าจอมไป

 

เขารีบวางทั้งกระดาษทั้งเงินลงบนเคาน์เตอร์ในขณะที่สายตาก็ยังมองตามร่างผอมบางที่กำลังเดินออกจากร้าน มือใหญ่ม้วนกระดาษใส่ซูมที่สะพายหลังอยู่ลวกๆก่อนจะรีบก้าวขาตามคนที่เดินก้มหน้าก้มตาไปยังป้ายรถเมล์

 

เขาไม่ได้มีความคิดที่จะเรียกอีกฝ่าย ไม่ได้คิดที่จะเดินไปด้วยกัน แต่ที่เดินตามก็เพราะรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดียังไงก็ไม่รู้...

 

เจ้าจอมยังคงเดินไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ระแวดระวังอะไรเลย แหงละในเมื่อเด็กนั่นเป็นแค่คนธรรมดาจะมาเข้าใจบรรยากาศของคนจะตีกันแบบนี้ได้ยังไง!

 

เขาเบิกตาค้างเมื่อมองเห็นกลุ่มเด็กใส่เสื้อช็อปที่น่าจะเป็นพวกเด็กช่างกลเดินกร่างอยู่ที่ข้างถนนอีกฝั่ง แล้วพอพวกนั้นหันมาเห็นกลุ่มเด็กที่ใส่เสื้อช็อปอีกสีหนึ่งซึ่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม ทั้งหมดนั่นก็กระโดดข้ามราวกั้นถนนแล้วออกวิ่งมาทางนี้ทันที!

 

บ้าเอ้ย! ชิบหายแล้วไง!

 

เขาหันพรึ่บไปมองแผ่นหลังบางที่กำลังเดินไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าไปสลับกับมองไอ้เด็กพวกนั้นที่มันเริ่มจะงัดมีดยาวเท้าแขนออกมา ตายห่าแล้ว นี่มันกำลังจะตีกันชัดๆ!

 

สองขาจึงออกวิ่งไปทันที

 

หมับ!

 

“เอ๊ะ?”    เจ้าจอมยังทำหน้าตกใจปนมึนงงเมื่อเขาจับมืออีกฝ่าย

 

“หลบ!    เข้าตะโกนได้แค่นั้นก่อนจะดึงร่างบอบบางจนแทบจะปลิวติดมือ เขารู้สึกถึงลมแรงๆที่วิ่งผ่านหลังไป

 

“เฮ้ย! หยุดนะเว้ย!    เสียงตะโกนกร่นด่าดังโขมงอยู่ข้างหลัง เขากดหัวเจ้าจอมลงก่อนจะพากันมุดเข้าไปหลบอยู่หลังแผงขายผลไม้

 

“กรี๊ด!!     มีเสียงกรี๊ดจากคนที่รอรถเมล์อยู่ดังมา พวกแม่ค้าต่างก็ร้องพลางหาที่หลบกันให้จ้าละหวั่นเพราะกลัวจะโดนลูกหลง เสียงตะโกนโหวกเหวกของฝ่ายล่าและฝ่ายที่วิ่งหนีดังจนแทบจะกลบเสียงแตรรถที่ลากยาว ไม่รู้มีอริต่างถิ่นมาหรือยังไง หรือเด็กช่างกลที่ไหนมันบังเอิญมาเจอกันก็ไม่รู้ เวรเอ้ย เกือบไป!

 

เขาผงกหัวออกไปดูข้างนอกที่ยังชุลมุนวุ่นวาย ไอ้พวกนั้นยังวิ่งไล่กันไม่หยุด ในขณะที่ท่อนแขนก็ยังโอบรอบลำตัวบาง เขายังกดหัวที่ออกสีน้ำตาลนี่เอาไว้กับอกไม่ปล่อย

 

เฮ้อ...ดีที่เดินตามมานะเนี่ย...

 

เขาอยู่แบบนั้นอีกเป็นสิบนาที รอจนความวุ่นวายภายนอกค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆ พวกแม่ค้าต่างก็ไม่ได้สนใจที่จะขายของกันแล้วเพราะต่างไปมุงดูคนที่โดนลูกหลงโดนชนจนล้มบาดเจ็บอยู่หลายราย

 

 

 

ดวงตากลมโตเบิกโพลงมองคอเสื้อยืดซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มองเห็นในตอนนี้ หัวใจดวงน้อยเต้นโครมๆอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะว่ามันมาจากเหตุระทึกที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาก็ได้ แต่อีกครึ่งหนึ่งน่าจะมาจากร่างกายที่แนบชิดกันอยู่นี้มากกว่า...

 

อ่า...เขาแทบจะมัวเมาอยู่ในความรู้สึกที่อบอวลนี้

 

ทั้งเสียงหัวใจของพี่เก้า ทั้งกลิ่นแบบผู้ชายของพี่เก้า...เขารับรู้มันได้อย่างชัดเจน

 

มือใหญ่ที่จับหัวเขากดเอาไว้กับอกตัวเองก็ทำให้สองแก้มร้อนผ่าว ถึงจะรู้ว่าต่อให้เป็นคนอื่นพี่เก้าก็คงพุ่งเข้าไปปกป้องอย่างไม่ลังเลแต่เขาก็อดดีใจไม่ได้ ถ้าไม่มีมือใหญ่ๆคู่นี้ ไม่มีแขนที่แข็งแรงคู่นี้ ถ้าพี่เก้าไม่ดึงเขาออกมาจากตรงนั้น เขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้...

 

ดวงตาเหลือบมองเม็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามลำคอแกร่ง ทำไมถึงได้เท่ห์แบบนี้กันนะ เขาหายสงสัยแล้วว่าทำไมพี่เก้ากับเพื่อนในกลุ่มถึงได้ฮ็อตมาก ก็ถ้าเจอคนที่ดึงเราเข้าไปกอดไว้ในวันที่มีอันตราย เป็นใครจะไม่หลงรักบ้าง

 

ร่างบางผงะไปเล็กน้อย มะ ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องหลงรักอีกฝ่ายเสียหน่อย ก็แค่รู้สึกขอบคุณ...

 

เพราะเริ่มเขินกับความคิดของตัวเอง เขาจึงเริ่มขยุกขยิกอยู่ไม่สุข

 

อะ อะ ออกไปได้รึยังครับ?”   เขาถามด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กอยู่ในอ้อมแขนของพี่เก้า เสื้อเชิ้ตลายสก็อตตัวใหญ่ที่อีกฝ่ายสวมทับเสื้อยืดไว้แทบจะคลุมตัวเขามิดจนมองไม่เห็นอะไร เขาไม่รู้เลยว่าข้างนอกปลอดภัยดีหรือยัง

 

จะออกไปได้ยังไงเล่า มึงไม่เคยตีกับใครรึไง? มันไม่เลิกจนกว่าจะหาอริเจอนั่นแหละ ออกไปตอนนี้ยังอันตราย    พี่เก้าชะเง้อมองข้างนอกอยู่เรื่อยๆ มือใหญ่ขยับจากหัวเขาลงมองประคองอยู่ที่ใบหน้า อาจจะเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่อีกฝ่ายทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ใต้แผ่นอกซ้ายของเขานี่เต้นจนแทบจะทะลุออกมาอยู่รอมร่อแล้ว

 

“.....ผมไม่เคยตีกับใครครับ…”    เขาพูดงึมงำ

 

“....อืม กูเชื่อ    ใบหน้าหล่อๆก้มลงมายิ้มพลางหัวเราะอย่างเย้าแหย่

 

และเขาที่ได้เห็นรอยยิ้มร้ายๆในระยะที่ใกล้ขนาดนี้...ได้แต่บอกกับตัวเองว่ายังมีชีวิตอยู่ได้ ยังหายใจ ยังไม่ช็อคตายนี่ก็เก่งสุดๆแล้วเจ้าจอม...

 

 

“ออกมาได้แล้วไอ้หนูลูก ตำรวจมาแล้ว คงหนีไปกันหมดแล้วละ”    ป้าเจ้าของแผงผลไม้เรียกพวกเขาให้ออกไปหลังจากนั่งหลบอยู่ที่นั่นเกือบครึ่งชั่วโมงได้

 

“ขอบคุณครับป้า”    ใบหน้าภายใต้กรอบผมสกินเฮดเอ่ยบอกคุณป้าในขณะที่มองไปบนถนนที่ยังวุ่นวาย มีรถกู้ภัยเปิดไซเรนวิ่งกันอยู่หลายคัน มีตำรวจเดินคุมพื้นที่ มีคนเจ็บที่นอนอยู่บนพื้น มีไทยมุงมากมาย แล้วก็มีพวกนักข่าว

 

“เออๆ ไปดีๆมาดีๆ ไอ้พวกเด็กสมัยนี้นี่มันไม่ไหวเลย”    ป้ายังคงบ่นต่อ เขาอยู่แถวนี้นานไปไม่น่าจะดี เกิดติดเข้าไปในกล้องจนเป็นข่าวเดี๋ยวได้โดนพ่อเฉ่งอีก เพราะถึงจะไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยแต่แค่อยู่ในที่เกิดเหตุก็มักจะโดนโยงไปด้วยตลอด เกิดมาเป็นทายาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป

 

“มานี่ มากับกู”    เขาไม่รอฟังว่าเจ้าจอมจะว่ายังไง มือใหญ่จับหมับไปที่ข้อมือเล็กก่อนจะดึงร่างบางออกมาจากความชุลมุนวุ่นวายเหล่านั้น คนที่กำลังจะทำตัวเป็นไทยมุงจึงหันมามองเขาอย่างเหรอหราแล้วเดินตามมาอย่างมึนงง

 

“...จะไปไหนเหรอครับ?...”    เสียงนุ่มถามอยู่ข้างหลัง

 

“ไปเอารถ กูจอดไว้หลังพาหุรัด”    พอมาถึงตรอกที่แออัดไปด้วยร้านขายผ้าเมตรและอุปกรณ์เกี่ยวกับงานเย็บปักถักร้อย เขาจึงค่อยปล่อยมือบาง ตรงนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว...

 

ปลอดภัยกับผีน่ะสิ!

 

เพราะถึงจะไม่มีคนมาวิ่งตีกันในตรอกซอกซอยแบบนี้ แต่เจ้าเด็กนี่กลับทำให้ตัวเองไม่ปลอดภัยเสียเองไง!

 

ร่างผอมบางเดินแบบไม่ได้สนใจความคับคั่งของฝูงชนเลยแม้แต่น้อย ใบหน้ามนมัวแต่หันมองข้าวของร้านรวงที่อัดแน่นอยู่สองฝั่งอย่างตื่นตาตื่นใจราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน แต่กลับไม่มองคนที่เดินสวนมาหรือคนที่พยายามจะแซงไปเพราะตัวเองเดินช้ามาก ไม่มองแม้แต่รถเข็นผ้าที่ใกล้จะชนอยู่รอมร่อ!

 

หมับ!

 

เป็นอีกครั้งที่ใบหน้ามนปะทะเข้ากับแผ่นอกของเขา มือใหญ่ดึงเอาร่างที่กำลังขวางรถเข็นผ้าที่วิ่งฮ่ออย่างไม่สนใจใครยิ่งกว่าให้หลบเข้ามาในร้านขายกระดุมร้านหนึ่ง

 

ฮู่ว...เกือบไปๆ

 

มึงนี่โตมาจนป่านนี้ได้ไงวะ?! เป็นเด็กประถมหรือไง เดินก็หัดมองทางบ้างสิ!”    เขาดุออกไปแต่ใบหน้าที่จมูกชนอยู่บนอกเสื้อเขากลับยังอึ้งๆ

 

ผม….”    ใบหน้ามนเงยมองร่างสูงด้วยดวงตาระยิบระยับ เพราะแบบนี้ไงเขาถึงได้มองว่าผู้ชายคนนี้เท่ห์มากๆ

 

“มานี่เลย”    แล้วคราวนี้พี่เก้าก็ออกเดินอีกครั้ง...โดยยังจับมือเขาเอาไว้...

 

“เอ่อ...ปล่อยมือ...ก็ได้นะครับ...”    ดวงตาอ่อนหวานเหลือบตามองเสี้ยวหน้าและแผ่นหลังกว้างที่เดินนำอยู่ข้างหน้า เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองถูกปกป้องมากขนาดนี้มาก่อน ขนาดกับพี่ชายฝาแฝดยังไม่เคยเดินจูงมือแบบนี้เลยสักครั้ง พวกเราคิดอยู่เสมอว่าพวกเราเท่าเทียมกัน เขตต์ก็แค่ออกมาดูโลกก่อนเขาไม่กี่นาที ไม่จำเป็นต้องปกป้องดูแลเขา

 

แต่กับพี่เก้า...มันกลับไม่ใช่ความรู้สึกในแบบพี่น้อง ผู้ปกครอง หรือแม้แต่เพื่อน

 

ถ้าจะบอกว่ามันเหมือนที่เจ้าหญิงถูกเจ้าชายปกป้อง จะหาว่าเขาเพ้อฝันมากเกินไปไหมนะ?

 

“จะปล่อยได้ไงวะ? เดี๋ยวมึงก็ได้เดินชนคนส่งก๋วยเตี๋ยวหรอก ร้อนนะเว้ย แขนพองได้เลยนะ”    พี่เก้าหันมาพูดหยอกเย้าก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่สนใจคำทัดทานจากเขา ถึงอีกฝ่ายจะเดินเร็วจนเขาก้าวตามแทบไม่ทัน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังจ้องมองแผ่นหลังกว้างด้วยหัวใจที่พองฟู

 

เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ

 

ทั้งที่มือที่จับเขาอยู่นี้ไม่ได้นุ่มนวลหรือเบาแรงเลย แต่ก็เพราะว่ามันบีบมาเต็มแรงหรือเปล่านะ หัวใจที่ด้านชาของเขาจึงรู้สึกถึงมัน

 

ดวงตากลมโตเหลือบลงไปมองฝ่ามือข้างนั้น...ก่อนที่สองแก้มจะรู้สึกร้อนๆขึ้นมา...

 

 

 

 

ร่างสูงยาวหยุดลงตรงหน้าบิ๊กไบต์สีดำคันใหญ่คันหนึ่ง Kawasaki Ninja ZX-4R ก็คือรถที่เขาบอกว่าจะไปเอาคันนั้นนั่นแหละ

 

ขายาวก้าวคร่อมลงไปบนรถก่อนจะปลดหมวกกันน็อคออกมาวางไว้บนตัวถัง เพราะบ้านที่เช่าอยู่กับไอ้สี่ตัวนั่นมันเป็นซอยแคบแถมมีที่จอดรถอยู่น้อยนิด พวกเขาจึงไม่ได้เอารถยนต์มาใช้กัน มีแค่รถมินิของไอ้พายคันเดียวเท่านั้น อีกอย่างเขาก็มองว่าถ้าอยู่ในกรุงเทพก็ไม่มีอะไรจะสะดวกเท่ามอเตอร์ไซค์อีกแล้ว รถคู่ใจที่เขาเอามาใช้จึงเป็นเจ้าคาวาซากิเพื่อนยากคันนี้

 

บ้านอยู่ไหน? เดี๋ยวกูไปส่ง     เสียงห้าวเอ่ยถามคนที่ยังยืนมองรถอย่างตื่นตะลึง และเมื่อเขาส่งเสียง “ฮื่อ” เรียกสติ ใบหน้ามนจึงได้เลิ่กลั่กตอบกลับมา

 

ผมยังไม่กลับบ้าน…”

 

ไอ้เด็กใจแตก     เขายกยิ้มมุมปาก

 

“?”     แต่ใบหน้าฉงนที่เอียงคออย่างสงสัยนั่นกลับไม่ได้รับมุกเลยแม้แต่น้อย เขาจึงถามต่อด้วยเสียงติดจะรำคาญแต่สาบานว่าเขาไม่ได้รำคาญหรอก

 

จะไปไหน? หนีเที่ยว?”

 

ปากคลองตลาดครับ...

 

“.....”    แล้วคำตอบของเจ้าจอมก็ทำให้เขานิ่งไปห้าวิ ก่อนจะหลุดขำออกมา

 

มึงนี่ก็หนีเที่ยวได้แปลกดีนะ ขึ้นมา เดี๋ยวกูไปส่ง    เขายิ้มอย่างอารมณ์ดี

 

เอ่อไม่ต้องก็ได้…”    เด็กนั่นปฏิเสธพัลวันมือไม้โบกกันมั่วไปหมด เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องไปตามตื้อเจ้าเด็กที่กลัวเข็ดขยาดไม่อยากจะเข้าใกล้เขาด้วย ทั้งที่มีคนอีกมากมายที่อยากได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากเขา มีคนอีกมากมายที่อยากให้เขาไปส่ง

 

ก็แค่...รู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้?

 

กูบอกให้ขึ้นมา    เสียงดุดันจึงเอ่ยออกไปและมันก็ทำให้คนที่กลัวเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสะดุ้งเบาๆก่อนจะเลิ่กลั่กตอบกลับมา

 

ขึ้นยังไง?”  

 

“.....”    เขากระพริบตามองเจ้าเด็กนั่นปริบๆ ใบหน้ามนลนลานมองมาที่รถบิ๊กไบต์สูงใหญ่อย่างไม่รู้ว่าจะปีนขึ้นมายังไงหรือต้องนั่งตรงไหนดูๆไปมันก็ตลกดีแหะ เขาหัวเราะจนไหล่สั่น

 

ทำไมมึงถึงได้เตี้ยอย่างงี้เนี่ย? พี่มึงก็ออกจะสูงไม่ใช่เหรอ”    ใบหน้าเรียวยิ้มก่อนจะก้าวขาลงจากรถ  ไม่พูดพร่ำทำเพลงมือใหญ่ก็จับข้างลำตัวบางก่อนจะอุ้มลอยขึ้นไปนั่งที่เบาะท้ายจนได้

 

“.....”    เขาจัดแจงจับข้อเท้าเล็กข้ามเบาะให้อยู่ในท่าสำหรับนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ส่วนเจ้าของร่างกายที่ถูกเขาอุ้มเป็นตุ๊กตาก็ยังคงทำหน้าเหรอหราอ้าปากพะงาบๆเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก

 

ร่างสูงยาวจึงก้าวคร่อมรถก่อนจะสวมหมวกกันน็อค มือสตาร์ทรถก่อนที่เสียงกระหึ่มจะดังไปทั่วถนน

 

กอดเอวกูไว้สิ อยากตกลงไปหรือไง?”     ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคหันไปบอกคนที่น่าจะเพิ่งเคยซ้อนท้ายบิ๊กไบต์เป็นครั้งแรก เจ้าจอมจึงมีท่าทางเก้ๆกังๆอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้จะต้องนั่งยังไง เอามือไม้ไปไว้ตรงไหนหรือจับยึดอะไร

 

ไม่อยากตก แต่ว่าถ้ากอดมัน…”    เสียงนุ่มตะโกนฝ่าเสียงทุ้มต่ำของเครื่องยนต์มา ดวงตากลมโตนั่นคงจะคำนวณแล้วว่าถ้าจะจับเอวเขา ด้วยเบาะรถที่ลาดเทลงมาแบบนี้ คงจะนั่งในท่าซ้อนมอเตอร์ไซค์ปกติไม่ได้แน่ๆ คงจะ...รักษาระยะห่างไม่ได้แน่ๆ...

 

ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคจึงยกยิ้มมุมปาก

 

กอด!

 

ครับ!

 

หมับ!

 

ใบหน้าหล่อแบบแบดบอยลอบยิ้มเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่โถมทับลงมาบนแผ่นหลัง...กับร่างกายที่แทบจะแนบชิดกัน...และฝ่ามือเล็กๆที่ดึงรั้งชายเสื้อที่เอวของเขาเอาไว้

 

หึ...ไอ้เด็กนี่มันก็น่ารักดีนะ ทำอะไรก็ไม่เป็นซักอย่าง แถมปฏิกิริยาตอนถูกแกล้งก็น่ารักมาก

 

มือใหญ่จึงเอื้อมไปจับมือบาง ก่อนจะดึงรั้งให้แขนเล็กนั่น “กอด” เอวเขาไว้

 

“ต้องแบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่ากอด”    เขาหันไปยิ้มกับใบหน้าที่ก้มงุดแนบอยู่กับแผ่นหลังของเขาอย่างเขินอาย

 

จะว่าไป...นี่ถือเป็นอภิสิทธิ์ที่เขามอบให้เลยนะ เพราะเขา...ไม่เคยให้ใครซ้อนท้ายมาก่อน ขนาดไอ้พายก็ยังไม่เคยได้ซ้อน ไม่สิ ไอ้ตัวแสบนั่นไม่ยอมซ้อนมากกว่า บ่นลำบากบ้างละ เดี๋ยวดำบ้างละ ร้อนหนาวบ้างละ สารพัดจนเขาอยากจะถีบเข้าให้สักที ส่วนไอ้เพื่อนร่างยักษ์ที่เหลือ...แค่คิดภาพก็ต่างขนลุกขนชันจนแยกกันไปน่าจะดีกว่า

 

ใบหน้ายกยิ้มเหลือบมองท่อนแขนที่กอดอยู่รอบเอว  มองมือบางที่วางอยู่บนกล้ามหน้าท้อง...

 

ต้อง...ซื้อหมวกกันน็อคเพิ่มอีกใบแล้วหรือเปล่านะ?

 

 

 

 

ถึงจะคันใหญ่แต่มันกลับเคลื่อนไหวราวกับกำลังถลาเล่นลม

 

ใบหน้ามนที่ไม่กล้าละออกจากแผ่นหลังกว้างจึงทำได้แค่มองทุกสิ่งทุกอย่างตาปริบๆอยู่ที่เดิม

 

เขาเคยซ้อนแต่มอเตอร์ไซค์วินและความรู้สึกมันก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภาพวิวทิวทัศน์ที่วิ่งผ่านไปนั้นสูงและเร็วกว่ากันมากแต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับนุ่มนวล นุ่มนวลแม้แต่เสียง มันทุ้มต่ำน่าฟัง มันชวนให้รู้สึกดีเวลาที่กอดแผ่นหลังนี้เอาไว้...

 

แรกๆเขาตัวเกร็งไปหมดเพราะไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่ต้องใกล้ชิดกันแบบนี้มาก่อน จะขยับสักเล็กน้อยก็ยังไม่กล้า เพราะรถคันนี้ทั้งสูงทั้งใหญ่ ถ้าตกลงไปคงเจ็บหนักน่าดู แถมมันยังเร็วมากอีกต่างหาก

 

แต่หลังจากที่ซ้อนมาสักพัก คนที่ควบคุมมันอยู่กลับทำให้เขารู้สึกคลายกังวล เขารู้สึกได้...ว่าพี่เก้าจะไม่ปล่อยให้เขาหล่นลงไป ไม่ปล่อยให้เขาเป็นอันตราย...

 

ท่อนแขนเผลอกอดกระชับเอวที่แค่สัมผัสผ่านเสื้อผ้าก็ยังรู้ว่ามันมีแต่มัดกล้าม ฝ่ามือของเขามันวางทาบอยู่บนลอนของซิกแพ็คจนรู้สึกเขินไปหมด

 

มันเป็นสถานการณ์ที่จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ จะกอดต่อไปก็อายจนหูร้อนเป็นไฟ ใบหน้าภายใต้กรอบผมหน้าม้าจึงได้แต่ซุกกับแผ่นหลังกว้างอยู่อย่างนั้น

 

 

 

 

คาวาซากินินจาจอดลงที่ตลาดค้าดอกไม้สดแหล่งใหญ่ที่สุดในกรุงเทพซึ่งอยู่ไม่ได้ไกลจากพาหุรัดมากนัก จากถนนที่เต็มไปด้วยผ้ากลายมาเป็นถนนที่เต็มไปด้วยดอกไม้แทน

 

ร่างสูงยาวยังคร่อมอยู่บนรถในขณะที่ถอดหมวกกันน็อคสีดำออก เขาหันไปมองคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังซึ่งคงจะหลับตาปี๋มาตลอดทาง? แล้วตอนนี้เจ้าเด็กนั่นก็กำลังหาทางลงจากรถคันนี้อยู่

 

“ฮ่าๆๆ มึงนี่นะ”   ขึ้นเองก็ไม่ได้ ลงเองก็ยังไม่ได้อีก

 

“มึงเห็นที่เหยียบพักเท้าตรงนี้ไหม? ใช้เท้านี้เหยียบไว้แล้วค่อยก้าวขาข้างนั้นลงมาก่อน”   เขาชี้ลงไปที่เท้าข้างซ้ายก่อนจะอธิบายอย่างไม่ได้รู้สึกรำคาญ ใบหน้ามนก็พยักหงึกๆก่อนจะพยายามทำตาม

 

แต่ในจังหวะที่ฝ่าเท้าเหยียบลงไปบนพื้น ร่างผอมบางกลับทรงตัวไม่อยู่จนเซถลามาหาเขา ท่อนแขนแข็งแรงจึงกางรับโดยอัตโนมัติ

 

“.......”    ดวงตาทั้งสองคู่ต่างสบประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆหัวใจก็เต้นโครมครามโดยไม่ได้บอกกล่าว...

 

ก่อนที่จะรีบผละออกจากกัน ต่างฝ่ายต่างก็เขินหน้าแดงกันไป

 

“ขะ ขอบคุณที่มาส่งครับ...”     เจ้าจอมโค้งให้ มือกำสายสะพายข้างของกระเป๋าขยุกขยิกก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยท่าทางประหม่า

 

และท่าทางแบบนั้นก็ทำให้คนที่มองตามเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

ขายาวก้าวลงจากบิ๊กไบต์ เขาตัดสินใจเดินตามเจ้าเด็กนั่นไป มันรู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้จริงๆด้วยแหะ?

 

ร่างสูงใหญ่ไม่ได้คิดจะซ่อนตัวตนเพราะงั้นคนที่เดินนำอยู่จึงรู้ตัวตลอดว่าถูกเดินตาม แรกๆเจ้าเด็กนั่นก็เดินตัวเกร็งด้วยท่าทางตลกๆ แต่พอผ่านไปสักพักก็เริ่มชินกับการที่มีเขาเดินตามอยู่ห่างๆ ร่างผอมบางเริ่มหันไปมองดอกไม้ที่วางอยู่หน้าร้าน มันถูกห่อเอาไว้ง่ายๆเพื่อขายให้ร้านดอกไม้รายย่อยมาซื้อไปจัดช่อต่อ เพราะงั้นทั้งถนนจึงอัดแน่นไปด้วยดอกไม้นานาพรรณและเป็นถนนที่หอมฟุ้งไปหมด

 

เขาเดินเอามือล้วงกระเป๋าอย่างไม่แคร์สายตาพี่ป้าน้าอาที่ต่างก็หันมองเป็นทิวแถวเพราะเขาน่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับที่นี่ ก็อย่างว่าแหละ ลุคอย่างกับจะมาเก็บเงินค่าที่มันเข้ากับดอกไม้พวกนี้เสียที่ไหน

 

ต่างจากเจ้าเด็กนั่นลิบลับ...เจ้าจอมเนียนมากเวลาเดินอยู่ที่นี่...

 

ร่างผอมบางเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ใบหน้าที่อมยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขนั้นเขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก มัน...ก็น่ารักดีแหะ...

 

เจ้าเด็กนั่นเข้าไปพูดคุยอะไรกับพี่แม่ค้าก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าอย่างใจดี จากนั้นร่างผอมบางจึงนั่งยองๆลงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปดอกไม้หลายต่อหลายช่อที่เสียบอยู่ในกระถาง น่าจะขอถ่ายรูปดอกไม้?

 

เขาหันมองรอบๆร้านไปเรื่อยๆอย่างคนว่างงาน ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกที่ต้องมาเดินอยู่ในที่ที่เหมาะกับผู้หญิงมากกว่าแบบนี้ เพราะยังไงเขาก็เป็นดีไซน์เนอร์ เป็นนักออกแบบที่ควรจะรู้แม้แต่เรื่องของดอกไม้ที่ถือเป็นความงามประเภทหนึ่ง

 

“ขอบคุณนะครับ”    เสียงนุ่มของเจ้าจอมทำให้เขาหันไปมอง ร่างผอมบางกำลังโค้งขอบคุณพี่เจ้าของร้านอยู่ จากนั้นก็เดินออกจากร้านซึ่งทำให้เขางุนงง

 

อ้าว? ไม่ซื้อเหรอ?”   เสียงห้าวถามออกไป เห็นถ่ายรูปไปเยอะแยะและดูเหมือนต้องใช้ดอกไม้พวกนี้ด้วย?

 

ผมไม่มีเงิน ผมมาดูเพื่อเอาไว้วาดรูป ไม่ต้องมีแบบอยู่ตรงหน้าก็ได้ครับ    ใบหน้ามนตอบอย่างไม่คิดอะไร แต่มือของเขากลับรั้งข้อมือบางนั่นเอาไว้

 

เฮ้อมึงนี่นะ รู้จักมารยาทบ้างสิวะ พี่แม่ค้าเค้าอุตส่าห์ให้ถ่ายรูป มึงก็ควรจะซื้อเค้าซักช่อนึงสิ อย่างน้อยก็แสดงน้ำใจกับเค้าหน่อย    เขาบ่นปนถอนหายใจ

 

ก็ผมไม่มีเงิน…”     ใบหน้ามนช้อนสายตาขึ้นมามองก่อนจะเสหลบลงพื้น

 

เลือกมา จะเอาช่อไหน เดี๋ยวกูซื้อให้    เสียงห้าวพูดออกไปและไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจ

 

เอ่อไม่ดีมั้งครับ…”    เจ้าจอมเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจก่อนจะรีบปฏิเสธอย่างเกรงใจ เขาจึงปล่อยมือบางข้างนั้นก่อนจะเดินไปยังกอดอกไม้ที่เด็กนี่นั่งถ่ายรูปอยู่นานที่สุด

 

อันนี้ไหม? หรืออันนี้? หรือเอาแม่งหมดเลย?”    บอกไว้ก่อนเลยนะว่าเขาไม่ใช่หนุ่มสายเปย์ แต่ที่ซื้อให้เพราะเขาต้องการจะไถ่โทษต่างหาก มือใหญ่หยิบช่อดอกลิลลี่สีขาวขึ้นมา ตามด้วยฟอร์เกตมีน็อตสีฟ้า เยอบีร่าสีส้ม เหลือง แดงอย่างละช่อ  เจ้าจอมจึงหันมองรอบตัวเลิ่กลั่ก

 

เอ่อ...อันนี้พอครับ…”     เจ้าเด็กนั่นหันไปคว้าช่อดอกไม้ที่ราคาถูกที่สุดมาแทน

 

เอาดอกที่มึงจะใช้สิวะ ไหนๆก็จะซื้อแล้ว มีแบบให้เห็นตรงหน้ายังไงก็วาดง่ายกว่าจินตนาการนี่หว่า

 

แต่ว่ามันแพง…”

 

กูบอกให้หยิบไปไง

 

ครับ…”    ในที่สุดร่างผอมบางก็ยอมเดินไปหยิบช่อไฮเดรนเยียสีน้ำเงินฟ้ากับฟอร์เกตมีน็อตมา

 

“ผมจะใช้สองดอกนี้ครับ...”    เสียงนุ่มเอ่ยอย่างเกรงใจ

 

“ก็แค่นี้แหละ เอามานี่”    เขาดึงช่อดอกไม้ในมือบางมาก่อนจะเดินไปจ่ายเงินให้ มันไม่ได้แพงเท่าไหร่เลยหากเทียบกับเรื่องเลวร้ายที่เขาเคยทำไว้กับเด็กนี่

 

“เอ้า”    เขายื่นช่อดอกไม้ที่ถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์จีนมาให้ ถึงจะไม่ใช่ช่อดอกไม้ที่แพงและหรูหรา แต่คนรับอย่างเจ้าจอมกลับดูดีใจมาก ใบหน้าที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่นทำให้เขาเขินจนต้องยกมือมาเกาท้ายทอยเลยทีเดียว

 

“ไปเหอะ ต้องดูร้านอื่นอีกไม่ใช่หรือไง?”    สายตาแซวๆกับรอยยิ้มกริ่มของบรรดาพี่แม่ค้าทำให้เขายืนอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน มือใหญ่จึงดันแผ่นหลังบางให้เดินออกไป

 

ร่างผอมบางที่หอบช่อดอกไม้ไว้ในอ้อมแขนเดินผ่านหน้าร้านอีกหลายร้าน เจ้าเด็กนั่นเหมือนจะอยากเข้าไปดูแต่ก็กลัวว่าเขาจะซื้อดอกไม้ให้อีกจึงไม่กล้าเดินเข้าร้านไหน

 

มือใหญ่จึงจับหมับลงไปบนหัวสีออกน้ำตาลเมื่อกำลังจะเดินผ่านร้านที่ขายดอกกุหลาบโดยเฉพาะซึ่งเจ้าจอมแอบเหลือบมองจนตาแทบจะเหล่

 

มึงก็เข้าไปดูสิ จะมาเกรงใจกูทำไม? แล้วกูก็ไม่ได้ซื้อของแพงอะไรให้มึงซักหน่อย แค่ดอกไม้เอง ถือซะว่ากูให้เพื่อขอโทษเรื่องที่กูเคยทำไว้กับมึงก็แล้วกัน อยากได้ดอกอะไรก็เลือกไปเถอะ     เขาพูดออกไปด้วยโทนเสียงที่ไม่ได้ดุดัน ดวงตากลมโตที่มักจะซ่อนอยู่ภายใต้ผมหน้าม้าจึงเหลือบมองขึ้นมาด้วยสายตาที่ไม่กลัวเขาเป็นครั้งแรก

 

“....ขอบคุณครับถ้างั้น...ขอเข้าร้านนี้นะครับ...    แต่ก็ยังมิวายจะขออนุญาติก่อนอีกนะเจ้าเด็กนี่ เขาหัวเราะเหอะ ก่อนจะเดินตามเข้าไป

 

ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นกุหลาบหอมฟุ้ง หอมแบบ หอมมากๆ

 

แต่กระนั้นสายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่ดอกแก้วเจ้าจอมมากกว่าจะจ้องมองกุหลาบนานาพันธ์ ท่ามกลางสีสันที่หลากหลายพวกนั้นเจ้าดอกไม้เล็กๆของเขากลับดูโดดเด่นยิ่งกว่า

 

เจ้าจอมเลือกดอกกุหลาบสีขาวแทนที่จะเป็นสีฟ้าซึ่งเป็นกุหลาบพันธ์หายากและแพงกว่ามากทั้งๆที่จ้องอยู่นานสองนาน ดูก็รู้ว่าคงจะอยากได้สีฟ้านั่นมากกว่า

 

เขาขี้เกียจจะทะเลาะกับเจ้าเด็กที่ชอบให้บังคับนี่แล้ว มือใหญ่จึงคว้าเอาทั้งกุหลาบสีขาวและสีฟ้าไปจ่ายเงินหน้าตาเฉย

 

“เอ่อ...อันนี้ไม่ต้อง...”    มือบางพยายามจะปฏิเสธ

 

“ไม่ต้องอะไร? เอาไป”    เขายัดช่อกุหลาบสีฟ้าใส่ในอ้อมแขนบางไว้

 

“แต่ผมใช้แค่กุหลาบขาวจริงๆนะครับ”    ใบหน้าเลิ่กลั่กนั่นพยายามจะบอก

 

“งั้นสีฟ้านี่มึงก็ไม่ต้องใช้สิ แค่ตั้งไว้เฉยๆก็ได้ ที่กูซื้อให้ก็เพราะมึงชอบ เท่านั้นแหละ”    ดวงตากลมโตเบิกค้างมองเขาราวกับจะถามว่ารู้ได้ยังไง ก็ถ้าเขายืนมองเจ้าเด็กนี่อยู่แล้วยังไม่รู้อีกนี่ก็คงจะเซ้นส์ตายด้านน่าดูแล้วไหม เห็นมองกุหลาบสีฟ้าช่อนั้นเสียขนาดนั้น

 

“ขอบคุณครับ....”     ใบหน้ามนก้มงุดจนแทบจะจมหายลงไปในช่อดอกไม้ที่ถืออยู่  เอาอีกแล้ว พี่ๆแม่ค้าหันไปยิ้มกระซิบกระแซะกันจนเขาทนยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไหวอีกแล้ว

 

พวกเขาก็แค่มาซื้อดอกไม้ไปทำงาน  ไหงกลายเป็นแฟนหนุ่มที่ซื้อดอกไม้ให้กันในสายตาของพี่สาวพวกนั้นไปเสียได้เนี่ย!

 

 

 

 

 

 

Kawasaki Ninja ZX-4R ออกเดินทางอีกครั้งหลังจากเดินจนสุดปากคลองตลาด

 

ดอกไม้หอบใหญ่ถูกโอบกอดไว้ระหว่างแผ่นอกบางกับแผ่นหลังกว้าง และตอนนี้คนที่อยู่ข้างหลังก็ดูจะชินกับการซ้อนบิ๊กไบต์ขึ้นมาบ้างแล้ว ท่อนแขนเล็กจึงกอดเอวเขาอย่างไม่เคอะเขินอย่างตอนแรก

 

เขาเลี้ยวรถขึ้นไปบนสะพานพระพุทธยอดฟ้าเพื่อจะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังฝั่งธนฯ เงาของโครงเหล็กที่ทาบทับลงมาเป็นจังหวะๆเวลาที่รถเคลื่อนผ่านนั้นให้ความรู้สึกราวกับย้อนไปอยู่ในสมัยร.5 ความคลาสสิคของโครงทรัสสีเขียวพวกนี้กำลังสร้างความทรงจำดีๆให้กับหนึ่งวันที่อยู่ด้วยกันมากยิ่งขึ้น

 

เป็นหนึ่งวันที่ไม่ได้คาดฝัน เป็นหนึ่งวันที่ไม่ได้คิดว่าจะเจอกันมาก่อน และก็คงจะเป็นหนึ่งวันที่จะฝังอยู่ในใจของพวกเราแน่นอน

 

มือใหญ่ยังคงบิดคันเร่งต่อไปโดยปล่อยให้เงาของโครงเหล็กพาดผ่านแขนที่เปลือยเปล่า แล้วเสื้อแขนยาวลายสก็อตของเขาหายไปไหนน่ะเหรอ? ก็อยู่ที่เจ้าเด็กซึ่งซ้อนท้ายเขาอยู่นั่นไง

 

สภาพเหมือนจะระเหยได้แบบนั้นกว่าจะไปถึงบ้านคงเหลือแต่ช่อดอกไม้พอดี เขาที่ชินกับการขี่มอเตอร์ไซค์นั้นไม่เป็นไรหรอก ก็เลยบังคับให้เจ้าจอมใส่เสื้อของเขาแทน

 

ร่างที่อยู่ในเสื้อยืดสีดำก้มแนบไปกับตัวถัง ถนนที่ยาวกว่าเดิมและท่อนแขนที่กอดเอวเขาอยู่ทำให้การขี่รถในวันนี้ช่างรู้สึกเพลินดีเหลือเกิน

 

เพลินจนเกือบจะเลยซอยที่อยู่ด้านข้างโรงพยาบาลศิริราชซะแล้ว

 

เจ้าจอมบอกว่าห้องพักของตัวเองอยู่ที่วังหลัง และตอนนี้เขาก็พาร่างผอมบางนั่นมาจนถึงที่หมายแล้ว

 

ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองคนที่ก้าวขาลงจากรถอย่างเก้ๆกังๆอยู่บ้างแต่ก็นับว่าดีกว่าครั้งแรกมาก พอเสื้อลายสก็อตสีดำของเขามาอยู่บนตัวเจ้าจอมแล้วกลายเป็นเสื้อโอเวอร์ไซส์ไปเลยแหะ

 

“ฮึ”    ถึงจะขำออกไป แต่ในใจกลับคิดว่ามันก็น่ารักดี

 

“เอ๊ะ?”    ใบหน้ามนถึงกับผงะไปว่าเขาขำอะไร

 

“เดินนำไปได้แล้ว”    เขายิ้มพลางดันแผ่นหลังคนที่ยังเหรอหรานั่นไป

 

“เอ๋? เดินนำนี่...เอ่อคือ...ไม่ต้องเดินไปส่งก็ได้นะครับ ผมก็เดินจากท่าเรือกลับห้องอยู่ทุกวัน...”    ใบหน้ามนหันมาบอกเลิ่กลั่กแต่ก็ต้องเดินไปตามแรงดันของเขา

 

“กูก็แค่จะตามไปดูว่าพี่มึงแอบพาน้องสาวกูมาทำเรื่องไม่ดีอะไรที่นี่หรือเปล่า”    อันที่จริง...ก็แค่รู้สึกเสียดายถ้าจะต้องแยกกันตั้งแต่ฟ้ายังสว่างแบบนี้ อยู่กับเจ้าจอมก็สนุกดี อีกอย่างก็อยากจะเห็นด้วยว่าเจ้าเด็กนี่พักอยู่ในที่แบบไหนกัน อันตรายหรือเปล่า

 

“คือว่า...”

 

“เดินไปเถอะน่า”

 

“ครับ...”

 

แล้วเจ้าจอมก็พาเขาเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยของตลาดวังหลังที่มีขายทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้ามือหนึ่งยันมือสอง โดยเฉพาะพวกเสื้อผ้ามือสองของที่นี่ก็นับว่าคุณภาพดีและราคาถูกมาก พวกเขายังเคยแวะมาซื้อไปใส่ จะใส่เลอะแค่ไหนก็ไม่เสียดาย

 

ตอนเย็นๆแบบนี้คนก็ยังมาเดินซื้อของกันคึกคัก ขนมก็อร่อยมากที่นี่ เขาเดินสวนกับฝูงชนไม่ได้ขาดสาย ร้านค้าที่ยัดอยู่ในตึกแถวก็แน่นขนัดทั้งสองข้าง เขามองบรรดาของกินแล้วก็ได้แต่สงสัย เจ้าเด็กนี่ยังผอมแห้งอยู่ได้ยังไงกันนะถ้าต้องเดินผ่านของน่าทานขนาดนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน

 

เจ้าจอมพาเขาเดินเข้าไปลึกมาก แต่ยิ่งลึกเท่าไหร่ความวุ่นวายก็ยิ่งลดลง เขาจึงพอจะเห็นนักศึกษาเดินสวนกลับมาบ้าง

 

จริงๆแถวนี้มีมหาวิทยาลัยชื่อดังอยู่ถึงสามแห่ง แต่กลับไม่สามารถจะสร้างหอพักนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยได้โดยเฉพาะสองมหาวิทยาลัยที่อยู่ฝั่งพระนคร เด็กมหาลัยแถวนี้จึงกระจายตัวอยู่ที่อีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นส่วนใหญ่

 

ร่างที่หอบดอกไม้มาเต็มสองแขนหยุดยืนอยู่หน้าตึกแถวที่เสียงดังขโมงโฉงเฉงแห่งหนึ่ง เขาถึงกับงงเพราะดูยังไงมันก็ไม่ใช่หอพักแต่น่าจะเป็นร้านอาหารตามสั่งมากกว่า?

 

ไม่สิ ดูเหมือนจะมีร้านอาหารอย่างหรูซ่อนอยู่บนชั้นสอง แต่ก็มีแผงขายเสื้อผ้ากับเครื่องประดับมั่วๆแทรกอยู่ด้วย สรุปมันเป็นร้านอะไรกันแน่วะ?

 

“....อยู่บนนั้นครับ...”    เจ้าจอมหันมาบอกอย่างไม่แน่ใจว่าเขายังอยากจะขึ้นไปไหม ดูจากสภาพเก่าโทรมของตัวอาคารแล้วเขาก็เดาไม่ถูกเลยจริงๆว่าเจ้าเด็กนี่อยู่ยังไงกันแน่

 

“ไปสิ”    เสียงห้าวเอ่ยบอก ไม่ต้องกลัวหรอกว่าเด็กถาปัดอย่างพวกเขาจะรับความเละเทะไม่ได้ ตั้งแต่เรียนคณะนี้มาเขาก็ไม่ติดหรูห่วงหล่ออะไรแล้ว เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการได้นอนต่างหาก!

 

ร่างผอมบางพาเขาเดินอ้อมไปใช้บันไดด้านหลัง มันเป็นบันไดปูนเปลือยเล็กๆที่ยิงยาวขึ้นไปจนถึงดาดฟ้า...ก็คงจะมาถามหากฎหมายอะไรจากตึกที่มีอายุเป็นร้อยปีพวกนี้ไม่ได้หรอกมั้ง

 

เขาก้าวขึ้นบันไดตามไป แล้วเจ้าเด็กนี่จะขนเฟรมวาดรูปขนาดใหญ่ๆขึ้นไปไหวเหรอเนี่ย?  เขามองลอดซี่ราวกันตกเหล็กโปร่งอย่างหวาดเสียว

 

เจ้าจอมไขประตูรั้วซึ่งเป็นเหล็กโปร่งเช่นกัน เขาจึงมองเห็นส่วนต่อเติมอาคารที่อยู่ด้านบน นี่มันห้องเก็บของบนดาดฟ้าชัดๆ!

 

เขายืนมองอาคารทรงกล่องที่อยู่บนดาดฟ้า ถ้าคุณคิดภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงห้องเช่าบนดาดฟ้าของพระเอกนางเอกในซีรี่ย์เกาหลีดู เหมือนเป๊ะยังไงอย่างงั้น

 

เพราะถึงห้องจะเล็กและแคบมาก ถึงห้องจะดูเก่าโทรมไม่แข็งแรง แต่บนนี้กลับบรรยากาศดีมากกกก  เขาเพิ่งรู้ว่าเจ้าตึกแถวมั่วๆนี่มีด้านนึงแทบจะติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถึงได้มีร้านอาหารหรูอยู่บนชั้นสองสินะ? ตรงลานเล็กๆหน้าบ้านที่ถูกล้อมไว้ด้วยราวกันตกซี่ๆเหล็กโปร่งพวกนั้นก็มีกระถางต้นไม้ทั้งวางทั้งห้อยเต็มไปหมด และมันล้วนเป็นต้นพยับหมอกที่กำลังออกดอกสีฟ้าบานสะพรั่ง

 

จะว่าไป...เจ้าเด็กนี่ชอบสีฟ้าอย่างงั้นเหรอ? เห็นซื้อมาแต่ดอกไม้สีฟ้า ต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็ยังออกดอกสีฟ้าอีก

 

“เอ่อ...ส่งแค่นี้ก็ได้นะครับ...เขตต์ไม่ได้อยู่ที่นี่...”   ร่างที่หอบดอกไม้อยู่เอ่ยอย่างลุกลี้ลุกลน...หื๋ม?

 

“จะไม่เลี้ยงน้ำกูสักแก้วเลยเหรอ? กูดูแลมึงมาทั้งวันเลยนะวันนี้”     เขาพูดทวงบุญคุณออกไปพลางยกยิ้ม

 

“เอ่อ...แต่ว่า...ผมไม่มีน้ำอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า...”    เจ้าเด็กตรงหน้าดูกระสับกระส่าย ยังจะมีอะไรต้องอายอีกหรือไง? หรือจะซ่อนอะไรไว้? ทำเอาอยากเห็นข้างในเลยแหะ

 

“น้ำเปล่าก็ได้”    เขาเอ่ยด้วยเสียงแน่วแน่  เจ้าจอมอ้ำๆอึ้งๆก่อนจะยอมแพ้ในที่สุด

 

“เอ่อ...ครับ...ถ้างั้น...ก็...เชิญเข้ามาก่อนก็ได้ครับ...คือว่า...มันอาจจะไม่ค่อยเรียบร้อย...”    ยังจะมีที่ไหนรกเท่าบ้านของพวกเขาอีกงั้นเร๊อะ ไปดูห้องไอ้พายซะก่อน ถ้าไม่ได้ครึ่งของที่นั่นก็อย่าพูดว่ารก!

 

มือบางไขกุญแจบ้านเข้าไป แต่กว่าจะยอมเปิดได้ใบหน้ามนก็หันมาบอกเขาว่า

 

“เอ่อ...ผมขอเข้าไปเก็บของก่อนนิดนึงนะครับ พอดีมัน...ไม่เรียบร้อยจริงๆ...”    เขามองใบหน้าเลิ่กลั่กนั่นอย่างประหลาดใจ อายจนหน้าแดงไปหมดแล้วไหมน่ะ? น่าจะซุกซ่อนอะไรไว้จริงๆสินะ?

 

หรือว่าจะเป็นหนังสือโป๊?

 

เขาถึงกับแสยะยิ้ม

 

“อืม เอาสิ เดี๋ยวกูรออยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้”    เขาก็พูดไปอย่างงั้นแหละ เพราะพอร่างผอมบางเดินเข้าบ้าน เขาก็ย่องตามไปทันที

 

มันจะต้องอายอะไรวะ? ผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ เขาก็แค่อยากรู้ว่าอย่างเจ้าเด็กนั่นจะดูหนังสือโป๊แนวไหน? ไม่ได้จะเอามาล้ออะไรเสียหน่อย

 

ก็แค่อยากรู้...ว่าชอบแบบไหน?

 

เขามองเห็นเงาของเจ้าจอมเดินไปวางดอกไม้ลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระดานวาดรูป? หื๋อ? มันวางหนังสือโป๊ไว้เด่นหราแบบนั้นเลยเหรอ? มิน่า ถึงได้อยากจะเข้ามาเก็บก่อน  ใบหน้ามนหันไปหันมาเหมือนกำลังมองหาที่ซ่อน

 

แป่ก

 

แต่แล้วไฟทั้งห้องก็สว่างวาบด้วยฝีมือของเขา

 

“อ๊ะ? พี่? เข้ามาได้ไง?”    ร่างบางรีบซ่อนอะไรบางอย่างนั่นไว้ข้างหลังทันที

 

“มึงซ่อนอะไรไว้น่ะ? เอามาให้กูดูซะโดยดีเลยนะ”    เขายิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างบางที่ยิ่งซ่อนก็ยิ่งเลิ่กลั่กลนลานไปหมด

 

“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ก็แค่...”    ใบหน้ามนเบี่ยงหลบเมื่อเขาเข้าไปประชิดตัว

 

“แค่?”    เขายื่นใบหน้าเข้าไปกระซิบถามที่ใบหู

 

“เอ่อ...แค่รูปที่ยังวาดไม่เสร็จน่ะ มันก็เลยยังไม่สวย ไม่น่าดูหรอก”     เจ้าจอมแก้ตัวจนลิ้นพันกัน น่ารักเสียไม่มีละเจ้าเด็กนี่

 

“เอามาให้กูดู”    เขาแกล้งทำเสียงเข้ม

 

“ไม่เอา”   แต่เจ้าจอมกลับดื้อใส่เขาเป็นครั้งแรก หื๋ม...? น่าสงสัยแหะ...

 

“เอา มา ให้ กู ดู”    เขาเน้นย้ำทีละคำๆ แต่ใบหน้ามนกลับส่ายยิกๆ

 

เขาจึงเอื้อมแขนหมายจะคว้าไปยังของซึ่งถูกซ่อนไว้ด้านหลัง แต่ร่างบางก็เบี่ยงตัวหลบ มันเป็นหนังสือโป๊อะไรกันเนี่ยถึงไม่อยากให้เขาเห็นขนาดนั้น! หรือจะเป็นแนวSM?

 

เขาคว้าซ้ายเจ้าจอมก็เบี่ยงไปทางขวา เขาคว้าขวาเจ้าจอมก็เบี่ยงไปทางซ้าย ปัดโธ่!

 

หมับ!

 

สองแขนแข็งแรงจึงรวบตัวบางเข้ามากอดไว้มันเสียเลย!

 

“อื้อ~ ปล่อยนะครับ~

 

“หึ! หนีกูไม่พ้นหรอก!    เจ้าจอมอ้าปากพะงาบๆหน้าแดงเถือก จะเขินเพราะถูกจับตัวได้หรือเขินเพราะถูกเขากอดก็ไม่รู้แหละ เพราะตอนนี้สิ่งที่เขากำลังอยากรู้มากกว่าก็คือสิ่งที่มือเขาคว้ามาได้แล้ว!

 

อ้าว? ไม่ใช่หนังสือโป๊แหะ?

 

แต่เป็นแค่กระดาษที่ใช้สำหรับวาดรูปใบหนึ่ง?

 

ดูเหมือนบนนั้นจะมีรูปวาดอยู่ แต่เขาก็ยังไม่ทันดูให้ดีๆ มือบางก็ตามมาก่อกวนด้วยการพยายามแย่งมันคืนไป

 

เขาจึงชูกระดาษใบนั้นขึ้นเหนือหัว และด้วยความที่ตัวเตี้ยกว่าเขามากเจ้าจอมถึงกับต้องกระโดดแย่งเหยงๆ

 

อ้า~ บ้าเอ้ย! มึงจำเป็นต้องน่ารักขนาดนี้ด้วยเหรอวะ?

 

หมับ!

 

คราวนี้เขาจับข้อมือบางรวบเข้าหากันด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนจะยันเจ้าลูกแมวที่กำลังร้องแง้วๆนั่นให้ออกไปห่างๆ

 

แล้วเขาก็พลิกภาพใบนั้นขึ้นมาดู...

 

มันเป็นเพียงภาพของเสือโคร่งเบงกอลตัวหนึ่ง...

 

ซึ่งคนอื่นอาจจะมองว่ามันก็เป็นแค่เสือ มีอะไรต้องปกปิดไว้ขนาดนั้น?

 

แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา...

 

เขาจะจำเจ้าเสือตัวนี้ไม่ได้ได้ยังไง...

 

ในเมื่อมันคือเสือที่อยู่บนแผ่นหลังของเขาเอง...

 

 

เจ้าจอม...วาดรูปเสือที่เป็นรอยสักบนตัวเขา...

 

 

“เสือตัวนี้...”    เขามองดูมันอย่างอึ้งๆ เพราะเขาจำได้ว่าเขาไม่เคยไปถอดเสื้อต่อหน้าเด็กนี่แน่ๆ...ยัง...ไม่เคย

 

“.........”     เจ้าจอมถึงกับทรุดลงไปนั่งคุกเข่าเอามือปิดหน้า ดูจากใบหูที่แดงแปร๊ดแล้วก็พอจะรู้ว่าเจ้าเด็กนี่กำลังอายมากที่ตัวเองวาดรูปที่แสนอีโรติกแบบนี้ขึ้นมา นี่มันอีโรติกยิ่งกว่าหนังสือโป๊อีกนะ...เพราะว่าฝ่าเท้าของเจ้าเสือตัวนั้น...มันอยู่ต่ำกว่าขอบกางเกงของเขาลงไปอีก...

 

หัวใจของเขา...ก็กำลังเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุอยู่เช่นกัน...

 

มันไม่ใช่ความโกรธ ไม่ใช่ความไม่พอใจ ไม่ใช่ความรู้สึกในแง่ลบ

 

แต่เขา...กำลังเขิน?

 

กำลังเขินที่ถูกอีกฝ่ายเก็บไปวาดเป็นรูปออกมา กำลังเขินเพราะรู้ตัวว่าเขาเองก็อยู่ในห้วงคำนึงของคนตรงหน้า กำลังเขิน...ไม่ต่างจากเจ้าจอมเลย

 

“นี่มึง...เป็นคนวาดเหรอ?”    เขานั่งยองๆลงตรงหน้าคนที่ชันเข่าขึ้นมาซุกหน้าเอาไว้ หัวสีออกน้ำตาลพยักหงึกๆโดยไม่ยอมตอบอะไร

 

“มึงไปเห็นรอยสักของกูตอนไหนเนี่ย? อย่าบอกนะว่าไปแอบดูกูเข้าห้องน้ำ?”     เขาแกล้งพูดเย้าแหย่

 

“เปล่านะครับ...”    ในที่สุดเจ้าจอมก็ยอมตอบมาด้วยเสียงงึมงำ

 

“ตอนนั้น...ที่พี่เก้าบังคับให้ผมนั่งดูพี่ทาสี Cutout...แล้วพี่ใส่แต่เสื้อกล้าม...มันบางจนมองเห็นเสือตัวนี้รางๆ...แค่รางๆ”    เสียงนุ่มอธิบายไปก็ก้มหน้างุดไปจนเขานึกอยากแกล้งจึงเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้ม

 

“เจ้าเด็กลามก แอบดูเรือนร่างของกูอยู่สินะ? อร๊าย เจ้าจอมคนลามก~   เขาแกล้งทำท่าทางดีดดิ้น

 

“มะ ไม่ใช่นะครับ ก็เสื้อพี่มันบาง ใครก็มองเห็น”   ใบหน้ามนเงยขึ้นมาเพื่อพยายามแก้ตัว

 

“ก็แล้วกูว่าอะไรมึงหรือยังล่ะ?”    เขายกยิ้มสบประสานสายตาที่ยอมมองหน้าเขาตรงๆเสียที

 

“พี่...ไม่โกรธเหรอครับ...ที่ผมแอบวาดรอยสักของพี่...คิดยังไงมันก็ประหลาดชัดๆ...”    แล้วเจ้าจอมก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง

 

“หรือผมจะกลายเป็นคนโรคจิตไปแล้ว...”    เสียงนุ่มบ่นงึมงำ แต่เขากลับมองคนที่กำลังสับสนนั่นด้วยรอยยิ้ม

 

ไม่ใช่ใครก็ได้หรอกนะที่จะวาดรอยสักของเขาได้ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ทำแบบนี้แล้วเขาจะไม่โกรธ ไม่มองว่ามันน่ารังเกียจ

 

เพราะเป็นเจ้าจอมไง เขาถึงได้โอเค

 

เจ้าเด็กนี่เองก็คงเป็นเหมือนกันนั่นแหละ

 

ไม่ใช่ใครก็ได้ที่เห็นแล้วอยากจะวาดสิ่งที่อยู่ใต้ร่มผ้าของอีกฝ่าย

 

มันคงจะต้องเป็นเขาเท่านั้น เป็นเสือที่อยู่บนตัวเขาเท่านั้น เจ้าจอมถึงอยากจะวาดออกมา

 

“ทำไมถึงอยากวาดเสือตัวนี้ล่ะ? เพราะมันสวยใช่ไหม?”    สองมือของเขาจับมือของเจ้าจอมออกจากใบหน้าเพื่อที่จะได้มองแก้มสีแดงนั้นให้เต็มตา

 

“......”

 

“บอกกูหน่อยสิ กูอยากรู้”    เขากระซิบถามแผ่วเบา

 

“....ครับ...มันเป็นรอยสักที่สวยมาก ผมไม่เคยเห็นรอยสักแบบนี้มาก่อน มันไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนที่พวกนักเลงสักกัน แต่มันคือศิลปะ”    เจ้าจอมพูดออกมารวดเดียว

 

“แล้วมันก็ยิ่งสง่างามมาก...เมื่อได้อยู่บนแผ่นหลังของพี่...”    คราวนี้เจ้าจอมพูดไปก็หน้าแดงไป หน้าแดงจนเขาแทบจะเขินตามไปด้วยแล้วเนี่ย~

 

“มัน...เป็นเสือที่ดูดุร้ายแต่ก็หล่อมาก...”    ถ้าหน้าระเบิดได้ หน้าเจ้าจอมในเวลานี้คงไม่เหลือแล้ว

 

เขาเองก็ไม่ต่างกัน

 

มือใหญ่ยอมปล่อยมือบาง หัวใจที่แข็งกร้าวของเขามันกำลังพองฟู เขาไม่เคยรู้สึกอุ่นในใจเวลาที่มีใครชมรอยสักของเขาแบบนี้มาก่อน ที่ผ่านมามันก็แค่ดีใจ...แต่นี่มัน...มากกว่านั้น

 

เต็มไปด้วยความรู้สึก...ที่มากมายกว่านั้น...

 

เขานั่งลงที่พื้นห้องอย่างไม่มีพิธีรีตอง ก่อนจะจ้องมองใบหน้ามนที่ยังมีสีแดงจางๆ

 

“มึงจะเข้าใจความงามของมันก็ไม่แปลก เพราะเสือตัวนี้กูไปขอร้องศิลปินด้านการวาดภาพด้วยพู่กันของญี่ปุ่นวาดเป็นต้นแบบมาให้เลยนะเว้ย แล้วอาจารย์เค้าก็ไม่ได้สักแต่จะวาดไป เค้าดูโครงสร้างร่างกายของกูด้วย มันถึงได้เข้ากับกูไง เป็นเสือ...ที่ไม่ว่าจะไปอยู่บนตัวใครก็ไม่หล่อเท่าอยู่บนตัวกู”    เขาเล่าถึงที่มาของรอยสักนี้ให้เจ้าจอมฟัง

 

“จริงเหรอครับ สุดยอดเลย”    ใบหน้าที่เขินอายเปลี่ยนไปเมื่อพูดถึงเรื่องงานศิลปะ ตอนนี้ดวงตากลมๆนี่วิบวับขึ้นมาเชียว

 

“ก็มันจะอยู่กับกูไปทั้งชีวิตนี่หว่า กูก็ต้องเลือกสรรมันอย่างพิถีพิถันหน่อยสิวะ”    เจ้าจอมมองเขาด้วยสายตาซาบซึ้ง เจ้าเด็กนี่อาจจะเคยคิดว่าเขาเป็นพวกลูกคนรวยนิสัยเหลวแหลกก็เป็นได้ คงจะคิดว่าเขาอยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อแล้วก็ทิ้งไปง่ายๆ แต่มันไม่ใช่เลย อะไรที่มันจะเป็นของเขา เขาก็จะเลือกมาอย่างดี แล้วก็ไม่มีวันทิ้งขว้างไปง่ายๆด้วย

 

คน...ก็เหมือนกัน

 

“แต่มึงยังวาดไม่เหมือนนะ หนวดมันต้องไม่ใช่สามเส้นสิ นี่มันแมวแล้ว ฮ่าๆๆ”    เขาหัวเราะชอบใจ ก็ยังมีหลายจุดที่ยังไม่ใช่เสียทีเดียว ก็คงจะอย่างที่เจ้าจอมบอก

 

“ก็ผมเห็นแค่รางๆนี่ครับ...”    ใบหน้ามนงอขึ้นมาจนเขานึกอยากแกล้ง

 

“งั้นมึงอยากจะเห็นชัดๆไหมล่ะ?”     ใบหน้าร้ายๆยกยิ้มถาม

 

“เอ๊ะ? เอ่อ....”      ใบหน้ามนผงะไป เพราะรู้ว่าการที่จะได้เห็นเสือตัวนั้นชัดๆมันต้องทำยังไง ดวงตากลมโตจึงกรอกไปมาเพราะกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ ใจนึงก็อยากเห็น แต่ใจนึงก็กลัวเพราะตอนนี้ก็อยู่กับเขาแค่สองต่อสองในห้องที่ห่างไกลจากผู้คนอีก

 

“อุ๊บ ฮ่าๆๆๆๆๆ”    เขาถึงกับหัวเราะออกมายกใหญ่

 

“มึงจะกลัวอะไรเนี่ย~ กูไม่ทำอะไรมึงหรอก ตอนนั้นก็แค่ขู่ให้มึงกลัวเฉยๆ กูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว อะไรที่มึงไม่โอเค กูก็จะไม่ทำ ตกลงไหม?”    เขาให้สัญญาด้วยการยื่นนิ้วก้อยออกไป

 

มือบางจึงแตะนิ้วก้อยลงมาบนนิ้วของเขา...

 

“เอ้า อยากดูก็ดูซะให้เต็มตา”    แล้วมือใหญ่ก็ดึงชายเสื้อยืดสีดำขึ้นมา...ก่อนจะถอดมันออกจากหัวไป

 

ร่างกายท่อนบนของเขาจึงเปลือยเปล่า...

 

“บอกไว้ก่อนนะ กูไม่ใช่คนโรคจิตที่ชอบถอดเสื้อให้ใครดู แต่เพราะกูสัญญากับมึงไว้แล้วไง ว่าจะเป็นแบบให้ ยังไงมึงก็ต้องเห็นอยู่ดี”    เขาพูดออกไป เอาจริงๆก็เขินเหมือนกันแหะ มือจึงยกขึ้นมาถูจมูกเบาๆ

 

“ครับ...มัน...เป็นรอยสักที่สวยมากจริงๆนะครับ...”   เขาเพิ่งได้สังเกตว่าผนังห้องฝั่งที่ติดแม่น้ำนั้นเป็นหน้าต่างกระจกผืนใหญ่ เพราะงั้นเขาจึงมองเห็นภาพของเจ้าจอมที่สะท้อนอยู่ในนั้น เจ้าเด็กนั่น...กำลังจ้องมองแผ่นหลังของเขาอย่างพินิจพิจารณา

 

บ้าจริง นอกจากช่างสักแล้วก็ไม่เคยมีใครจ้องเอาๆขนาดนี้มาก่อน มันเขินว้อย~

 

“กล้ามเนื้อของพี่ก็สวยมากๆ....”     ฉ่า~ เขารู้สึกว่าหน้าเขามันมีเสียงแบบนี้ดังออกมาเลย เคยมีคนชมอยู่หรอกว่าเขาหุ่นดี แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดที่ออกมาจากปากของเจ้าจอมถึงทำให้เขารู้สึกเขินขนาดนี้

 

โธ่เว้ย ทั้งๆที่เขากะจะแกล้งให้เจ้าเด็กนี่อายม้วนเสียหน่อย แต่ดันถูกของมันย้อนกลับเข้าตัวเสียได้!

 

เพราะงั้นเขาจึงเสสายตาไปมองอย่างอื่นภายในห้องเพื่อทำให้หน้าเบาร้อนลง มันเป็นเพียงห้องเล็กๆซึ่งมีแค่ฟูกนอนหนึ่งอัน เคาน์เตอร์ครัวง่ายๆ ประตูที่น่าจะเป็นห้องน้ำ กับห้องที่เชื่อมต่อออกไปและเจ้าจอมก็น่าจะใช้ทำงาน เพราะผนังที่เชื่อมกันนั้นเป็นกระจกจึงมองเห็นห้องข้างๆนั่นรางๆ มันมีขาตั้งวาดภาพวางอยู่หลายอัน มีทั้งภาพที่อยู่บนนั้นและวางพิงผนังเอาไว้อีก แปะตามกำแพงก็มี หนีบห้อยอยู่ตามกระจกก็มี และผนังที่ผ้าม่านบังอยู่นั่นก็น่าจะเป็นวิวของแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว

 

ดูๆไป...ถึงห้องจะเล็กแต่ก็อาร์ตมากเลยนะ มันดูน่าอยู่ดีออก ในห้องทำงานนั่นยังมีกระถางต้นไม้ มีขวดสีมีพู่กัน และภาพที่เจ้าจอมวาดเอาไว้นั้นก็สวยมากๆ

 

“แล้วพี่มึงล่ะ? ไม่ได้อยู่ด้วยกันที่นี่เหรอ?”    เขาไม่เห็นโต๊ะดร๊าฟซึ่งน่าจะเป็นอุปกรณ์ที่เด็กเด็คใช้เหมือนกัน ไม่มีคอมพิวเตอร์พีซีที่เอาไว้ทำ3D ในห้องนี้ไม่มีกลิ่นไอของใครอื่นนอกจากเจ้าจอมเลย

 

“ห้องมันเล็กน่ะครับ เขตต์เลยย้ายออกไปอยู่ที่หอพักข้างๆนี้ ที่มันไม่พอทำงาน...”    เสียงนุ่มตอบทั้งๆที่ตายังจ้องแผ่นหลังของเขาไม่หยุด พอได้แล้วเว้ย~

 

“กูให้ดูแค่นี้แหละ”    เขาสวมเสื้อยืดกลับไป ให้ตายเถอะ คนที่ทำให้คนหน้าด้านอย่างเขายังอายได้นี่ต้องไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เจ้าเด็กนี่น่าจะเห็นงานศิลปะดีๆไม่ได้ โรคคลั่งบางอย่างน่าจะออกลาย

 

“อ๊ะ”    นั่น ยังมีทำหน้าเสียดายอีกนะ

 

เขาลุกขึ้นไปเดินดูในห้องทำงานแก้เขิน นอกจากขาตั้งสำหรับวาดรูปแล้วก็ยังมีกองหนังสือที่เกี่ยวกับอนาโตมี่ของมนุษย์ หนังสือเกี่ยวกับงานศิลปะเล่มใหญ่ๆอีกมากมาย

 

เขาเดินเข้าไปดูรูปที่เจ้าจอมวาดค้างไว้ใกล้ๆ มันเป็นภาพสีน้ำของกระถางพยับหมอกที่กำลังออกดอกสีฟ้า มันสวยมากๆเลยนะ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่?

 

ใบหน้าเรียวจึงหันมองภาพที่วางอยู่รอบๆห้อง มีทั้งภาพที่ระบายด้วยสีน้ำและภาพที่วาดด้วยดินสอ ภาพสเก็ตก็มี มีทั้งภาพที่วาดเสร็จเต็มรูป ภาพที่ยังมีแต่เส้นร่าง ภาพที่วาดไว้แค่บางส่วน ภาพที่มีแต่มือหรือดวงตาก็มี ภาพทั้งหมดนี้มันสวยมาก แต่ก็นั่นแหละ เขากลับรู้สึกว่ามันยังขาดอารมณ์ความรู้สึกไป เหมือนตอนที่เจ้าจอมวาด จะวาดโดยไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย

 

ขนาดตีฟของเขาดูแล้วยังรู้สึกถึงอารมณ์เผาตอนวาดเลยนะ แต่งานของเจ้าเด็กนี่กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เป็นไปได้เหรอเนี่ย?

 

หลังจากดูรูปไปเรื่อยๆเขาก็เหลือบไปมองที่กองหนังสือเล่มหนาพวกนั้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับมีบางสิ่งที่เขาเคยมองข้ามไปปรากฎให้เห็นอยู่ที่สันของหนังสือ?

 

มันดูยังไงก็ไม่ใช่ที่คั่นหนังสือ แต่น่าจะเป็นกระดาษที่ถูกพับไว้มากกว่า?

 

แล้วก็ไม่รู้อะไรดลใจให้เขานึกอยากจะดึงมันออกมาดู...

 

ฟึ่บ

 

มันเป็นกระดาษที่ถูกพับเอาไว้จริงๆด้วย พับเสียสามสี่ตลบ พับลวกๆเหมือนรีบร้อน แต่ถ้าดูจากรอยยับก็เหมือนจะหยิบขึ้นมาดูบ่อยเหมือนกันแหะ?

 

หรือว่า! จะเป็นรูปสาวที่เจ้าจอมชอบ?!

 

เขาแสยะยิ้มอีกครั้ง

 

ขอดูหน้าสักหน่อยเถอะ~~

 

แกร่บ...

 

เขาคลี่กระดาษกรอบๆนั่นออกมาดู พอดีกับเสียงนุ่มที่ได้ยินมาจากข้างหลัง

 

“น้ำ...ครับ...อ๊ะ! พี่เก้า! อย่าเปิดนะ!!!    เสียงขวดน้ำร่วงลงพื้นดังตุ้บ ร่างผอมบางวิ่งถลาเข้ามาหมายจะแย่งกระดาษในมือเขาไปอีกครั้ง แต่แขนแข็งแรงก็คว้าเอวบางไว้อย่างง่ายดาย

 

“มึงนี่ความลับเยอะจริงนะ แอบวาดรูปคนที่ชอบเอาไว้หรือไง?”    เขาแซวทั้งที่ตายังอยู่ที่กระดาษซึ่งยังเปิดออกไม่หมด มัน...น่าจะเป็นเพียงรูปสเก็ตหยาบๆ หยาบถึงขนาดที่วาดด้วยปากกาด้วยซ้ำ

 

และเมื่อกระดาษแผ่นนั้นถูกคลี่ออกมาจนหมด ดวงตาของเขาก็ถึงกับเบิกกว้าง

 

ถ้าคิดว่ารูปเสือนั่นเขาต้องจำได้แล้ว รูปที่อยู่ในมือนี้เขายิ่งต้องจำได้มากกว่า

 

 

เพราะว่ามันเป็นรูปสเก็ตใบหน้าที่กำลังยิ้มของเขาเอง!

 

 

เขาจ้องมองรูปนั้นอย่างตื่นตะลึง ถ้าเทียบกับรูปที่อยู่ในห้องนี้ทั้งหมด เจ้ารูปที่วาดด้วยปากกาง่ายๆรูปนี้ มันกลับดูมีชีวิตชีวากว่ารูปอื่นๆมาก

 

ราวกับว่า...คนที่วาดมันขึ้นมานั้นกำลังเต็มไปด้วยความรู้สึก...

 

เขาเงยหน้ามองเจ้าจอมอย่างอึ้งๆ

 

“นี่มึง...ชอบกูหรือเปล่าเนี่ย?”    เขาถามออกไปตรงๆเพราะหาสาเหตุอื่นไม่ได้แล้ว กระดาษแผ่นนี้บ่งบอกได้หลายอย่าง เหมือนเจ้าจอมเองก็กำลังสับสน ทั้งชอบแต่ก็ไม่อยากจะยอมรับ จึงได้เผลอวาดขึ้นมาตามความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ แต่ก็รีบหยุดมันกลางคันจนมันมีแค่ลายเส้นง่ายๆ แต่ก็ยังไม่อาจจะปล่อยความรู้สึกนี้ไปได้ถึงได้หยิบมันขึ้นมาดูจนกระดาษยับเยินไปหมด

 

“เอ่อ....”    เจ้าจอมหลบตาหน้าเน้อแดงไปหมด

 

“ตอบ”    เขาคาดคั้นแต่ก็ไม่ได้ใช้เสียงที่ดุดันนัก เขากลับรู้สึกโอเคจนน่าประหลาดใจ

 

“ชอบครับ...พี่...เหมือนรูปปั้นที่อยู่ในวาติกันเลย...”     ใบหน้ามนหลับหูหลับตาพูดออกมา

 

“.......”    อ่อ ชอบเขาแบบงานศิลปะ? ถึงจะรู้สึกเสียดายแปลกๆแต่เขาก็อดที่จะเย้าแหย่ต่อไม่ได้ เขาจึงขยับเข้าไปพูดใกล้ๆใบหูแดง

 

“ถ้าชอบกู กูก็จะบอกมึงเอาไว้ก่อนเลยนะ”

 

“ครับ?”

 

“กูเป็นฝ่ายรุกเท่านั้น”    ใบหน้าแบดบอยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ได้แกล้งอีกฝ่าย

 

“ฮะ? รุก? รุกคืออะไรครับ?”    เจ้าจอมอ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจว่าความหมายมันเหมือนกันไหม เขาจึงยิ่งขยับเข้าไปใกล้แล้วพูดด้วยเสียงกดต่ำออกไป

 

“กูเป็นฝ่ายที่จะเสียบเข้าไปในตัวมึงเท่านั้นไงล่ะ”    ดวงตากลมโตถึงกับเบิกกว้างเป็นปลาทอง

 

“อ๊ะ?! มะๆๆๆๆ ไม่ใช่แบบนั้นนะ...”    ร่างบางปฏิเสธพัลวัน  ไม่ใช่? แต่ก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึงแบบนี้เนี่ยนะ?

 

อ่า...ชักจะน่าสนใจแล้วแหะ

 

แต่ถ้าถามความรู้สึกเขา...ถ้าเป็นเจ้าเด็กนี่...ก็น่าจะเข้ากันได้อยู่นะ นิสัยใจคอเท่าที่ได้สัมผัสมาในเวลาไม่นาน เขาก็ไม่ได้ซีเรียสด้วยถ้าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชาย ขอแค่เข้ากันได้ก็พอ

 

“พะๆๆพี่...พูดอะไร...ผม...ผมไม่ได้ชอบพี่แบบนั้นนะ....”    ใบหน้าเลิ่กลั่กยังคงปฏิเสธ เขาจึงยักไหล่อย่างไม่รีบร้อน

 

“งั้นเหรอ? งั้นก็แล้วไป ว่าแต่มึงยังซุกรูปอะไรของกูเอาไว้อีกไหมเนี่ย?”

 

“ไม่มีแล้วครับ...”    เจ้าจอมทำหน้าหมดแรงที่ถูกเขารู้ความลับรัวๆแบบนี้

 

เขานั่งลงไปบนเก้าอี้หน้าขาตั้งเพื่อมองดูรูปของตัวเองในกระดาษให้ชัดๆ นี่ก็น่าจะเป็นรูปที่เจ้าจอมวาดตอนที่เขาทาสี Cutout อยู่เช่นกันสินะ แปลว่าเจ้าเด็กนี่ชอบทั้งที่เขาทำตัวเถื่อนๆด้วยน่ะเหรอ?

 

“ฮ่าๆๆ”   เขาหัวเราะออกไปในความประหลาดคนของเจ้าเด็กนี่

 

“หัวเราะอะไรครับ...น้ำครับ...”    ใบหน้ามนมองมาอย่างหวาดระแวงก่อนจะยื่นขวดน้ำให้

 

“เปล่า”    เขายักไหล่อย่างไม่ยอมบอก

 

“ผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะวาดให้ดีๆกว่านี้ มันจะดีกว่านี้แน่นอนครับ พี่ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลานะครับ ที่อุตส่าห์ยอมมาเป็นแบบให้ผม”    เจ้าจอมรีบบอกเขาอย่างร้อนลนเพราะกลัวว่าเขาเห็นเส้นสเก็ตเผาๆนี่แล้วจะเปลี่ยนใจไม่ยอมมาเป็นแบบให้วาด

 

นี่ก็แสดงว่า...การที่อีกฝ่ายขอร้องให้เขามาเป็นแบบให้ ไม่ใช่เพราะจับพลัดจับผลูมาเจอตอนที่เขาไม่มีทางเลือกพอดี ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครในกลุ่มตองเก้าก็ได้ แต่เจ้าจอมอยากวาดรูปเขามาตั้งแต่แรกแล้ว

 

บ้าเอ้ย มาทำให้ใจเต้นทำไมเนี่ย เขาอุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่มีแฟนจนกว่าจะเรียนจบเพราะยังเข็ดขยาดจากปั๊ปปี้เลิฟในวัยเด็กนั่นอยู่ เขารู้ว่าตอนที่ต้องเลิกกันมันทรมานขนาดไหน เขาจึงตั้งใจจะใช้ชีวิตมหาลัยกับเพื่อนฝูงเท่านั้น ไม่อยากคิดเรื่องผู้หญิงแล้ว

 

แต่กลับต้องมาคิดเรื่องผู้ชายแทนซะงั้น?! เฮ้อ...ไอ้เก้านะไอ้เก้า~

 

“แต่กู...ชอบรูปนี้นะ มันดู...มีหัวใจดี”    เขาเอ่ยออกไปในขณะที่ตาก็มองรูป มือบิดฝาขวดน้ำก่อนจะเหลือบมาเห็นเจ้าจอมมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

“อาจารย์ที่คณะก็บอกเหมือนกันครับ...ว่ารูปของผมมันสวยก็จริง...แต่ไม่มีหัวใจ ผมวาดรูปเหมือนคนตายมาตลอด”    เขาดื่มน้ำก่อนจะฟังเจ้าจอมเงียบๆ โอ้ พวกศิลปินเค้าก็มีปัญหาแบบนี้เหมือนกันแหะ เหมือนพวกนักออกแบบที่คิดงานไม่ออกหรือหาแนวทางของตัวเองไม่เจอสินะ

 

“ผมก็รู้ตัวนะครับ ว่าหลังๆมานี้ผมวาดไปตามคำสั่งมากกว่า ผมวาดเพราะคนอื่นบอกให้วาด ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการวาดรูปเลย แต่ว่า...ผมกลับวาดรูปพี่ออกมาโดยที่ห้ามตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมไม่ได้อินกับมันแบบนี้มานานมากแล้ว พี่...ทำให้รูปของผมกลับมามีชีวิต มีความรู้สึก มีหัวใจ ผมเลยอยากจะวาดรูปพี่อีกสักครั้ง”     เจ้าจอมระบายออกมาและนั่นก็ยิ่งทำให้เขาแน่ใจว่า

 

เด็กนี่...ชอบเขาแน่ๆ...

 

เพียงแต่...น่าจะยังไม่รู้ตัว...

 

ถ้าเขาไม่คิดจะเล่นด้วยก็ควรจะปฏิเสธเสียตั้งแต่ตอนนี้

 

เฮ้อ...แต่ทำไมความคิดที่ว่าจะปฏิเสธนั้นมันกลับไม่มีอยู่ในหัวของเขาเลยนะ?

 

 

พี่เก้า…”    เจ้าจอมซึ่งนั่งอยู่ที่ขอบประตูเอ่ยเรียกเขา

 

หื๋อ?”    เขาละสายตาจากรูปของตัวเองก่อนจะหันไปมอง

 

ผมขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหมครับ     เขามองใบหน้ามนนิ่งๆก่อนจะถามออกไป

 

“....อะไร?”

 

ช่วยเลิกใช้กูมึงกับผมได้ไหมครับผม..ไม่ใช่รุ่นน้องในคณะพี่....ไม่อยากเป็น(แค่)รุ่นน้องด้วย...”    เขาได้ยินเสียงงึมงำๆพูดประโยคหลังไม่ชัดนัก

 

ห๊ะ?”   มึงกูไม่ดีตรงไหน? ใบหน้าแบบแบดบอยเลยเผลอมองใส่ด้วยสายตาหาเรื่อง แต่พอนึกถึงหนี้ที่ติดไว้แล้วก็ต้องถอนหายใจ เอาเถอะ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ จะยอมให้ก็ได้...

 

นี่กูกลายเป็นหนี้ชีวิตมึงไปแล้วใช่ไหมเนี่ย? มึงให้ทำไรกูก็ต้องทำใช่ไหม?”     ใบหน้ามนจึงหัวเราะแหะๆ

 

แล้ว...จะให้เรียกว่าอะไรล่ะ?”

 

พี่ช่วยแทนตัวเองว่า พี่”    ร่างสูงยาวถึงกับร้องโอ๊ยพร้อมกับลูบขนแขนที่ลุกชันขึ้นมา แม้แต่ไอ้สองน้องสาวเขายังไม่เคยเรียกตัวเองว่า พี่ กับมันเลยนะ~

 

แล้วก็เรียกผมว่าเจ้าจอม”    ได้ทีเอาใหญ่เลยนะเจ้าเด็กนี่  เขานิ่งมอง เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ใจอยู่ฝ่ายเดียวแน่ เสียงห้าวๆจึงเอ่ยออกไปจากใบหน้าที่เชิดขึ้น

 

กูจะไม่เรียกมึงว่าเจ้าจอม บอกชื่อจริงของมึงมา    เจ้าจอมคือชื่อที่พี่ๆในคณะตั้งให้ นั่นหมายความว่าเจ้าเด็กนี่ต้องมีชื่อจริงๆของตัวเองอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งตั้งแต่นี้ไปก็จะไม่มีใครเรียกมันอีก

 

แล้วชื่อๆนั้นมันก็จะเป็นของเขา มีแต่เขาเท่านั้นที่จะเรียก

 

เอ๊ะ?”   เจ้าจอมงุนงง

 

มึงมีชื่อจริงๆของมึงนี่ ถ้าอยากให้กูเรียกมึงก็ต้องบอกชื่อของมึงมาสิ

 

“......”     ใบหน้ามนนิ่งอึ้งไปแต่กลับไม่หลบเลี่ยงไปจากสายตาเขา ริมฝีปากสีระเรื่อเอ่ยออกมาเบาๆ

 

ขวัญชื่อของผมคือขวัญครับ…”

 

ขวัญ   จู่ๆเขาก็เรียกออกไป ใบหน้ามนจึงนิ่งค้างราวกับได้กลายร่างเป็นหินไปแล้ว

 

เป็นหินสีชมพูเสียด้วย ฮ่าๆๆ แดงจนถึงใบหูแล้วนั่น

 

ก็ได้ กูจะแทนตัวเองว่าพี่ แล้วก็ถ้าอยู่กันแค่สองคนกูจะเรียกมึงว่าขวัญ    เขาก้มหน้าลงไปพูดใกล้ๆ แต่เจ้าคนที่คิดจะเอาคืนเขากลับหน้าแดงเสียเอง

 

ครับ…”

 

 

 

 

 

สิบห้านาทีผ่านไป...

 

อืม แค่สิบห้านาทีเท่านั้นแหละ

 

 

“ดอกกุหลาบควรจะอยู่บนหรือไฮเดรนเยียอยู่บนดีครับ?”     ตอนนี้เขากับเจ้าจอมกำลังช่วยกันเอาดอกไม้มาจัดใส่แจกันเพื่อเป็นแบบในการวาดรูปอยู่

 

“กู เอ้ย พี่ว่า...อ๊ากกก ขนลุก!

 

“ว่ายังไงนะครับ?...คิก”   เขาเห็นนะว่าเจ้าเด็กนั่นกลั้นขำจนไหล่สั่นเลยน่ะ! ทั้งๆที่คิดว่าก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ แต่พอได้มาลองพูดดูแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ได้~~ มันคันยุบยิบๆตามตัวไปหมดแล้ว~

 

“มึง เอ่อ ขวัญ...ลองจัดแบบการจัดดอกไม้ญี่ปุ่นดูไหม กู เอ่อ พี่...อธิบายไม่ถูก เดี๋ยวเปิดคลิปให้ดูแล้วกัน เนี่ย มันจะไม่ได้ยัดๆใส่ๆไปทั้งหมดแบบที่มึง เอ่อ ขวัญทำ แต่เค้าจะจัดเน้นให้เป็นทรงตามธรรมชาติของมันแค่ดอกหรือสองดอกเท่านั้นมากกว่า ถึงมึง เอ่อ ขวัญจะวาดรูปสวย แต่ถ้าแบบมันแปลกใหม่น่าสนใจมันก็น่าจะช่วยส่งเสริมงานมากขึ้นใช่ไหมล่ะ....อ๊า!! กูชักจะไม่ไหวแล้วนะ ผดผื่นจะขึ้นแขนกูหมดแล้วเนี่ย!   เขาแทบจะล้มโต๊ะ แต่เจ้าจอมกลับ

 

“อุ๊บ ฮ่าๆๆๆๆๆ”    ใบหน้ามนหัวเราะลั่น หัวเราะแบบที่เขาไม่มีวันได้เห็นมาก่อน หัวเราะอย่างมีความสุขมากๆ หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล

 

หัวเราะจนหัวใจของเขา...ก็พลอยเต้นแรงเพราะรอยยิ้มกว้างนั่นไปด้วย

 

“นี่มึงแกล้งกูใช่ไหม?”    เขาแสยะยิ้มทำหน้าเหี้ยม

 

“เปล่านะ ฮ่าๆๆๆ แต่พี่ที่พยายามพูดเพราะมัน...ตลกมากเลย ฮ่าๆๆ”     เจ้าจอมยังขำไม่หยุด เขาจึงหยุมหัวสีออกน้ำตาลนั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว

 

“กูไม่เอาด้วยแล้ว! พี่ห่าอะไร ขนลุกชิบหาย เอาไว้มึงเป็นเมียกูเมื่อไหร่ กูจะเรียกที่รักครับให้เลยเอ้า แต่ตอนนี้กูจะพูดกับมึงแบบนี้แหละ!

 

“อุ๊บ ฮึๆๆๆ ครับ ไม่เป็นไรครับ ถือว่าพี่พยายามแล้ว”    มือบางยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่ปริ่มออกมาเพราะความสุข

 

พี่เก้าตลกมากจริงๆ ยิ่งฝืนพูดจาที่ไม่เข้ากับตัวเองก็ยิ่งตลก เขาไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งหรือเอาคืนอีกฝ่ายหรอกนะ จริงๆ  แต่ที่อยากให้พี่เก้าเรียกเขาแบบนั้นก็เพราะเขาอยากจะมีความแตกต่างจากรุ่นพี่รุ่นน้องของพี่เก้าบ้าง เพราะพี่เก้า...ไม่ว่าจะกับใครก็พูดด้วยความสนิทสนมแบบนี้ตลอด

 

แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้...เขาเริ่มรู้สึกว่ามันมีความพิเศษบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเราจนไม่จำเป็นต้องฝืนให้พี่เก้าพูดไปขนลุกไปแบบนี้แล้ว

 

“ยัง ยังหัวเราะอีก มึงจะให้กูช่วยจัดไหม? ดอกไม้เนี่ย หรือจะจัดการจับมึงฝังก่อนดี หื๋ม?”    มือใหญ่บีบปลายคางของเขาด้วยสีหน้าหมั่นเขี้ยว

 

“โอ๊ยๆๆ จัดดอกไม้ครับ ดอกไม้~

 

 

 

 

 

สุดท้ายแล้วการจัดแจกันแบบญี่ปุ่นของพี่เก้ามันก็ยังดูมั่วๆอยู่ดี?

 

แต่ถึงกระนั้นเขาก็มองมันไป วาดมันไป ด้วยรอยยิ้ม

 

เพราะเขามักจะนึกถึงช่วงเวลาที่ได้จัดดอกไม้ช่อนี้อยู่ด้วยกัน นึกถึงแขนยาวๆที่ชอบหยอกล้อแกล้งเขา นึกถึงทั้งวันที่เดินซื้อมันมาด้วยกัน แล้วยังกุหลาบสีฟ้าที่ถูกแยกใส่แจกันวางไว้ติดข้างฝานั่นอีก

 

เขาค่อยๆแต้มปลายพู่กันลงไป สีสันที่ค่อยๆปรากฎกายขึ้นนั้นช่างดูอบอุ่นและอบอวลไปด้วยกลิ่นไอที่หอมจางๆ

 

ปลายพู่กันหนักเบาที่ลงไปตามความรู้สึกของเขานั้นทำให้กอไฮเดรนเยียและกุหลาบขาวในรูปดูเป็นธรรมชาติมาก ดอกฟอร์เกตมีน็อตที่มีหยดน้ำเกาะพราวก็ราวกับจะเปล่งประกายระยิบระยับออกมา

 

ขนาดดูเอง...เขายังรับรู้ถึงชีวิตชีวาและความสุขที่แผ่ออกมาจากภาพๆนี้

 

ทำไมกันนะ?

 

มือก็มือเดียวกัน พู่กันก็อันเดียวกัน สีก็หลอดเดียวกัน แต่ตอนมีพี่เก้ากับไม่มีมันต่างกันขนาดนี้เลยเหรอ?

 

ถ้างั้นก็แย่แล้วสิ?

 

เขาจะใช้ชีวิตโดยไม่มีพี่เก้าได้ยังไงล่ะทีนี้? เขายังอยากจะวาดรูปที่มีหัวใจต่อไปนะ...

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

To be con.

 

จริงๆตั้งใจจะเขียนทั้งสองคู่นาคะตอนนี้ แต่แค่คู่แรกก็ยิ่งแต่งยิ่งยาวขนาดนี้ไปแล้วถถถ อาจารย์องศาไว้เจอกันตอนหน้านะคะ แง

 

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามมากๆน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น