KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 07

 KW Original [องศาxพายุ]  องศา π (พาย) : 07

 

: KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า

: องศา x พายุ

: Warmhearted Romantic

: NC-17

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

             : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด

           : อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

 

 

ด้วยความคับแคบของพื้นที่ ตึกคณะสถาปัตย์จึงตั้งชิดติดกับตึกของคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์เพียงแค่มีสวนเล็กๆกั้น ปีกหนึ่งในอาคารของพวกเราตั้งขนานกัน เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่อยากเห็นแต่จากหน้าต่างบานใหญ่ของสตูปีสามก็ยังมองลงไปเห็นสตูDrawingของพวกเด็กจิตรกรรมอยู่ดี

 

แล้วก็เป็นจิตรกรรมปีหนึ่งเสียด้วย...

 

“เฮ้ยไอ้เก้า”    เสียงใสของไอ้พายร้องเรียกเขา  ร่างในชุดสีดำอย่างกับเจ้าแห่งนรกนั่นกำลังนั่งเท้าแขนอยู่กับราวกันตกซึ่งซ้อนอยู่ด้านในหน้าต่างด้วยท่าทางสบายๆเหมือนกำลังนั่งเล่นอยู่บ้านทั้งๆที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะส่งงานแล้วแท้ๆ

 

พวกเขากำลังทำ Sketch Design ของวิชาออกแบบซึ่งจะเป็นงานที่สั่งเช้าส่งเย็น

 

แล้วก็ให้ทำที่สตูเพื่อจะดูแนวคิดในการออกแบบเป็นหลัก เป็นงานวัดฝีมือที่แท้จริงเลยละเพราะพวกเขาจะไม่มีตัวช่วยใดๆไม่ว่าจะคอมพิวเตอร์หรือพี่รหัส แล้วยังเป็นงานที่ต้องคิดต้องสเก็ตภายในเวลาสั้นๆ พวกเขาต้องออกแบบโชว์รูมรถลงในกระดาษ A2เพียงแผ่นเดียว ต้องพรีเซ็นต์ทั้งแปลน รูปด้าน รูปตัด ตีฟ และรายละเอียดที่มี แถมยังต้องลงสีให้สวยงามอีกต่างหาก

 

“ไร?”    เสียงดุดันตอบไปอย่างรำคาญ เขาขี้เกียจจะลุกไปหยุมหัวมันแล้ว แถมไอ้ตัวแสบนี่ถึงจะทำงานแบบส่งๆไปแต่ไอเดียมันเสือกดีจนน่าหมั่นไส้ เขาคงไม่ต้องห่วงมันมากเท่าไหร่

 

ใบหน้าเรียวภายใต้กรอบผมสกินเฮดเงยขึ้นไปมองโต๊ะดร๊าฟฝั่งตรงข้าม ตอนนี้โต๊ะในสตูถูกตั้งเรียงแถวหันหน้าเข้าหากันอย่างเป็นระเบียบ เขาจึงนั่งหันหน้าเข้าหาไอ้พาย ไอ้ธีร์หันหน้าเข้าหาไอ้ภาค ปิดท้ายด้วยไอ้ไม้เป็นโต๊ะหัวแถว

 

“มึงว่านั่น...ใช่คนที่น้องมึงตามจีบไหมวะ? คนที่ส่งรูปมาให้มึงดูเมื่อวันก่อนอ่ะ”    เขาจึงหันมองไปทางด้านที่เป็นหน้าต่างยาวทั้งผนัง กระจกใสทำให้แสงเข้าจนบางครั้งก็ไม่ต้องเปิดไฟ ส่วนกรอบไม้ของพวกมันก็ทำให้ดูคลาสสิค ไอ้พายนั่งเอาตัวพาดอยู่บนราวกันตกตรงนั้น

 

“ไหน?”   พอได้ยินชื่อคู่กรณีเขาจึงลุกขึ้นไปยืนซ้อนด้านหลังมัน จากสตูปีสามของเขาสามารถมองเห็นสตูวาดรูปของพวกเด็กจิตรกรรมซึ่งอยู่ต่ำลงไปหนึ่งชั้นได้อย่างชัดเจน

 

“ที่นั่งวาดรูปอยู่ในตึกจิตรกรรมนั่นไง”    มือที่ทาเล็บสีดำชี้ไปที่หน้าต่างบานเกล็ดไม้สีเขียวบานหนึ่งซึ่งมักจะเปิดเอาไว้เวลาที่เด็กปีหนึ่งเรียนวาดรูปกัน สตูของพวกนั้นก็ไม่ต่างจากห้องศิลปะทั่วๆไป เป็นห้องโล่งๆ มีแบบตั้งอยู่ตรงกลาง มีขาตั้งสำหรับวาดรูปอยู่รอบๆ แต่จะต่างจากห้องศิลปะสมัยมัธยมก็ตรงที่...ภาพที่วางอยู่บนขาตั้งพวกนั้นมันสวยมาก สวยสุดๆ สวยจนไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของเด็กปีหนึ่งด้วยซ้ำ เพราะพวกเด็กจิตรกรรมไม่ได้เพิ่งมาเริ่มเรียนพื้นฐานเอาที่นี่ แต่เป็นเด็กที่เก่งมาก่อนอยู่แล้ว เป็นหัวกะทิในสายศิลปะที่คัดมาแล้วจากทั่วประเทศ

 

“หื๋อ? มันไม่ใช่เด็กเด็คเหรอวะ? ถ้าเป็นเพื่อนไอ้สองมันก็น่าจะเรียนอยู่มัณฑนศิลป์ดิ?”    เขาชะโงกหน้าไปจ้องอย่างไม่แน่ใจนัก แต่คนที่นั่งอยู่หลังหน้าต่างบานนั้นก็คล้ายไอ้ผู้ชายในรูปที่น้องเขาส่งมามากจริงๆ

 

“มึงเอามือถือมาเปิดรูปเทียบดูดิ๊”    มือบางของไอ้พายกระดิกนิ้วให้เขาส่งมือถือไปให้

 

“ก็ใช่นี่หว่า? อ้าว เรียนจิตรกรรมหรอกเหรอ? กูถึงว่าหน้าคุ้นๆ เพราะกูเห็นจากหน้าต่างนี่บ่อยๆนี่เอง”    ไอ้พายพยักหน้าหงึกๆหลังจากลองเทียบรูปถ่ายกับคนที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่นั่นเสร็จ ใช่จริงๆสินะ...ดวงตาเรียวจ้องเขม็งอย่างไม่สบอารมณ์

 

“ส่องอะไรกันวะพวกมึง? สาวเหรอ?”    ไอ้ธีร์จอมขี้สงสัยเดินเข้ามาเอาแขนพาดคอเขาก่อนจะขอเผือกด้วย

 

“สาวห่าอะไรล่ะ กูกำลังเล็งหัวไอ้คนที่มันบังอาจมาจีบน้องกูอยู่”    เขาตอบออกไปอย่างดุดัน

 

“น้องมันต่างหากที่จีบเค้า”    แล้วไอ้พายก็สวนทันที

 

“ไอ้สองอ่ะเหรอ?”    ไอ้ภาคตามมาสมทบอีกคน แน่นอนว่าพวกมันรู้จักน้องสาวเขาเป็นอย่างดี เพราะตอนที่สองมาติวเข้าเด็คที่นี่ก็เป็นเขานี่แหละที่บังคับให้ไอ้สี่ตัวนี้ไปช่วยนั่งเฝ้าวันที่เขาไม่ว่าง

 

“เออ”   เขาตอบพลางคิ้วกระตุก ดวงตาที่เหมือนจะหาเรื่องตลอดเวลาจับจ้องไปที่เด็กนั่น ยิ่งได้เห็นข้อมือเล็กแค่นั้นจับดินสอแรงเงาวาดรูปก็ยิ่งไม่ชอบใจ ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่ดูไร้อารมณ์มองลงไปบนกระดาษก็ยิ่งไม่ถูกชะตาแปลกๆ

 

ใช่ มันแปลกมากที่เขาจะไม่ชอบขี้หน้าใครสักคนทั้งที่ยังไม่รู้จักกันแบบนี้ แต่อย่างไอ้หมอนี่น่ะเหรอจะมาปกป้องดูแลน้องสาวที่เขาหวงอย่างกับไข่ในหินได้?

 

“คนไหนวะ?”    ไอ้ไม้เดินมาเกาะขอบหน้าต่างดูอีกคน น้องสาวเขาก็เหมือนน้องพวกมันด้วยจึงไม่แปลกที่ไอ้สี่ตัวนี้จะสนใจ

 

“คนที่นั่งริมหน้าต่างนั่นไง”    ไอ้พายชี้ให้ดู

 

“คนที่วาดเพอร์ซิอุสตัดหัวเมดูซ่าอยู่น่ะเหรอ?”    ไอ้ภาคถาม

 

“ใช่”

 

“น่ารักอยู่นะเว้ย ถ้ามึงไม่อยากให้น้องมึงจีบเค้าติด มึงก็ชิงจีบตัดหน้าไปเลยดิวะไอ้เก้า ฮ่าๆๆ”    แล้วก็เป็นไอ้ธีร์ที่แซวไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ดูเส้นเลือดที่เต้นปุดๆอยู่บนขมับเขาเลย!

 

ใช่ เป็นเพราะหน้าตาน่ารักๆแบบนั้นนั่นแหละที่ทำให้เขายิ่งไม่สบอารมณ์! ปากนิดจมูกหน่อยนั่นมันอะไรกัน? หน้าแบบนั้นน่ะเหรอจะมาปกป้องน้องเขาได้~!!

 

“นั่นมันผู้ชายโว้ย”    เขาเผลอสบถอย่างเดือดดาล

 

“ผู้ชายแล้วไง? เชี่ยพายมันยังจีบอาจารย์องศาได้เลย”    ไอ้ธีร์ยังแซวขำๆ

 

“งั้นมึงก็จีบเองเถอะ ฮึ่ย ไอ้ไม้มึงเปลี่ยนที่กับกูดิ๊ กูไม่อยากเห็นหน้ามันว่ะ”   เขาหันไปขอแลกที่นั่งกับไอ้ไม้ซึ่งนั่งอยู่ไกลหน้าต่างสุด เพราะถ้าเขายังนั่งอยู่ตรงนี้อาจจะได้ปาโม่เหลาดินสอไปยังตึกเพื่อนบ้านก็เป็นได้

 

“นี่มันปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ชัดๆ น้องเค้าน่าสงสารนะ มีแม่ผัวอย่างมึงเนี่ยไอ้เก้า โคตรอคติเลยค่ะคุณแม๊~   ปากหมาๆของไอ้ธีร์ยังแซวไม่หยุด พวกมันสี่ตัวยังเกาะขอบหน้าต่างมองไปยังตึกข้างๆกันอยู่

 

“เดี๋ยวกูถีบ”   เขาสบถอย่างหัวเสียหน่อยๆแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับคำแซวนั้นมาก

 

“มึงยังไม่ทันรู้จักเค้าเลยก็ไปแอนตี้เค้าซะแล้ว ไม่เรียกอคติแล้วจะให้เรียกอะไรวะ?”   และเพราะคำพูดนั้นของไอ้ภาคมันก็ทำให้เขาที่คิดจะผละออกไปต้องหวนกลับไปใหม่

 

“แค่ดูหน่วยก้านกูก็รู้แล้ว อ่อนแอปวกเปียกแบบนั้นจะปกป้องน้องกูได้ยังไง? คนที่จะมาเป็นแฟนไอ้สองน่ะ กูไม่ได้ต้องการอะไรเลย บ้าน รถ เงินทอง ชื่อเสียง? ของพวกนี้บ้านกูมีอยู่แล้ว กูไม่อยากได้เพิ่มหรอก กูขอแค่มันปกป้องน้องกูได้อย่างเดียวก็พอ”    เขาพูดออกไปอย่างที่คิด จะเป็นผู้ชายที่มาแต่ตัวก็ยังได้ แต่มันต้องเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งจนล้มเขาได้ เขาถึงจะโอเค

 

“แล้วพวกมึงดูมันดิ ตัวเตี้ยกว่าไอ้พายอีกมั้งน่ะ แถมผอมแห้งเป็นไม้กระดาน โดนกูเหวี่ยงทีเดียวก็แทบจะหักเป็นสามท่อนแล้วมั้ง จะไปอาศัยหน้าตาเหี้ยมๆโหดๆไว้ขู่? มันก็หน้าอย่างหวานอ่ะ พวกมึงดู สภาพนี้มีแต่ต้องให้น้องกูลุยแทนแน่ๆ”   ดูยังไงไอ้สองน้องเขาก็แข็งแรงกว่าชัดๆ!

 

“เค้าอาจจะเสือซ่อนเล็บก็ได้นะเว้ย อาจจะเป็นพวกศิลปะการป้องกันตัวอะไรงี้อยู่ก็ได้”    ไอ้ธีร์พยายามหาข้อดีให้ไอ้เด็กนั่น

 

“มึงดูแขนมันก่อน ไม่มีกล้ามซักมัดอ่ะ แขนไอ้พายยังใหญ่กว่าอีก”   เขาส่ายหน้า ไม่ว่าจะศิลปะการต่อสู้แขนงไหนกระทั่งมวยไทยเขาก็ใช้เป็นหมด แค่ดูแขนเขาก็รู้แล้วว่าคนคนนั้นแข็งแรงแค่ไหน ส่วนไอ้เด็กที่วาดรูปอยู่นั่นแค่ลมพัดเบาๆก็ปลิวแล้ว จริงๆ

 

“แล้วมึงทำไมต้องเอากูไปเทียบด้วยเนี่ย เห็นแบบนี้กูก็เทควันโด้สายดำนะ”    ไอ้พายหันมายิ้มขิงๆ

 

“สายดำของมึงนี่...เพราะไม่ได้ซัก?”    ไอ้ธีร์โต้กลับ

 

“เออดิ ถ้าซักแล้วมันจะดำมั๊ย?”   พวกมันหันไปเล่นมุกกันซะงั้น

 

“ไอ้เวร ฮ่าๆๆๆ”    มือใหญ่ของไอ้ภาคขยี้หัวคนก่อกวน พวกมันหันไปมองหน้าต่างบานนั้นกันอีกหน่อยก่อนจะแยกย้ายไปทำงาน

 

“มึงไปนั่งที่กูเลยไป เดี๋ยวกระโดดข้ามตึกไปแดกหัวน้องเค้าแล้วจะเดือดร้อนมาถึงคณะอีก”   ไอ้ไม้ชี้นิ้วโป้งไปที่โต๊ะมัน

 

“เออ ขอบใจว่ะ”   เขาจึงเก็บข้าวของแล้วย้ายเข้าไป ดวงตาเรียวเหลือบมองร่างผอมบางนั่นอีกครั้ง

 

ก็ยัง...ไม่ชอบใจอยู่ดี

 

 

 

 

 

 

 

“เทคนิคการทำงานเผาๆแต่ออกมาดูดีแบบนี้คุณไปเรียนมาจากไหนกันนะ?”    เสียงทุ้มเอ่ยแซวทันทีที่ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปในห้องพักอาจารย์  อาจารย์องศากำลังถืองาน Sketch Design ของเขาอยู่ในมือ ท่ามกลางงานมากมายของเพื่อนทั้งชั้นปีแต่อาจารย์กลับเลือกดูงานของเขาก่อนใคร

 

“เผาที่ไหนกันครับ ผมตั้งใจทำสุดๆเลยนะ”    เขาเดินไปนั่งแหมะลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของอาจารย์องศาเพราะมั่นใจว่าอาจารย์คงไม่รู้ ก็คนที่มาสั่งงานรวมไปถึงคอยเดินมาดูพวกเขาที่สตู แล้วก็มาเก็บงานกลับไป ล้วนเป็นอาจารย์วิชิตทั้งสิ้น อาจารย์องศาน่าจะตรวจธีสิสทั้งวันด้วยซ้ำ

 

“ผมมีสปายนะ เขาบอกว่าคุณน่ะ เพิ่งจะเริ่มลงเส้นแรกตอนบ่ายสองนี่เอง”    ใบหน้าหล่อเหลายิ้ม ส่วนเขาก็ได้แต่หันไปบ่นขมุบขมิบกับอากาศข้างกาย

 

“ชิ อาจารย์วิชิตเป็นไส้ศึกนี่เอง!

 

“ก็ผมคิดอยู่ไง~ เนี่ย คิดไว้เต็มหัวเลย แล้วค่อยเขียนทีเดียวไงครับ”    ใบหน้ามนช้อนตามองอย่างเอาใจ มือบางก็หยิบช็อกโกแลต75%หย่อนใส่โหลแมวดำไปด้วย

 

“คิดจะติดสินบนเหรอครับ?”   ดวงตาอบอุ่นแลมองช็อกโกแลตที่ไม่เคยพ่องในโหลถึงแม้ว่าเขาจะหยิบกินไปเท่าไหร่ก็ตาม มือใหญ่วางกระดาษ Sketch Designลงก่อนจะเท้าข้ามโต๊ะมา ส่วนใบหน้าที่เกยอยู่บนโต๊ะก็ไม่คิดจะหลบเลี่ยงไปไหน

 

“ให้ติดไหมล่ะครับ?”   ใบหน้ามนนั้นเงยมองเขาด้วยสายตาท้าทาย

 

“ผมคิดแพงนะ คุณจ่ายไหวเหรอ?”    ใบหน้าหล่อเหลาจึงโน้มลงไปหา สายตาหลุบต่ำมองปลายจมูกรั้นที่แทบจะแตะกัน

 

“ลองบอกมาสิครับ...ว่าคิดเท่าไหร่?”    เจ้าตัวดียังไม่หยุด มือใหญ่จึงขยับเข้าไป

 

“ฮึ...”    แล้วบีบจมูกเข้าให้หนึ่งที!

 

“อื้อ~    ใบหน้ามนส่ายหน้าไปมาเพื่อสะบัดมือที่หนีบจมูกตัวเองไว้ คนที่เท้าแขนคร่อมอยู่ข้างบนจึงหัวเราะเบาๆ ท่าทางเหมือนลูกแมวนั่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นทุกครั้งหลังจากผ่านวันที่แสนเหนื่อยล้ามา แค่ได้เห็นหน้าก็เหมือนได้รับการเยียวยาแล้ว

 

“อาจารย์...จะอยู่ปาร์ตี้คืนนี้ไหมครับ?”   ร่างโปร่งบางถอยไปนั่งเอามือกุมจมูกแดงระเรื่อของตัวเองในขณะที่ถามออกมา

 

“อ่า...วันนี้วันศุกร์นี่นะ”    ที่คณะของพวกเขาจะมีปาร์ตี้ทุกคืนวันศุกร์ในช่วงรับน้อง เพื่อเฉลยพี่รหัส อาทิตย์นึงก็ชั้นปีนึง แล้วอาทิตย์ไหนชั้นปีไหนเฉลย ปีนั้นก็จะเป็นเจ้าภาพในงานปาร์ตี้ไปด้วย ส่วนใหญ่ก็ตั้งเวทีรวมวงเล่นดนตรี แล้วก็กินเหล้ากัน

 

“ศุกร์นี้ปีอะไรครับ?”    เสียงทุ้มถามออกไป

 

“ปีห้าแล้วครับ”

 

“อีกไม่นานรับน้องก็จะจบแล้วสินะ”   เพราะหลังจากปีห้าไปแล้วก็จะเหลือแค่ปีสามปีเดียวที่ยังไม่ได้เฉลยพี่รหัส เพราะปีสามเป็นปีที่รับผิดชอบเรื่องการรับน้องและมีพี่ว๊ากอยู่ด้วยจึงเฉลยหลังสุด

 

“ครับ อาจารย์ไม่อยู่ดูเหรอครับคืนนี้~   เจ้าแมวดำพยายามอ้อน

 

“ทำอย่างกับคุณโผล่หน้าออกไปปาร์ตี้กับเค้าได้งั้นแหละ ฮะฮะ”

 

“.....ก็จริง...”    ใบหน้ามนเบะปากก่อนจะยักไหล่ เพราะพี่ว๊ากต้องซ่อนตัว พวกเขาเก้าคนก็เลยมักจะนั่งก๊งเหล้าอย่างลับๆกันอยู่ที่สตูปีสี่ซึ่งเป็นล็อค

 

“อาจารย์~   ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปมองดวงตาใสๆที่อ้อนไม่หยุด อ่า...ถึงจะน่าเสียดายก็เถอะ แต่ว่า

 

“ผมมีงานต่อ...”    เพราะเป็นลูกค้าที่นัดล่วงหน้าไว้แล้วเสียด้วย จะไม่ไปก็คงไม่ได้

 

“ทำไมอาจารย์ถึงงานยุ่งอย่างงี้เนี่ย แต่งงานไปจะมีเวลาให้ลูกเมียเหรอครับ~    ใบหน้ามนบ่นเง้างอดเพราะไม่ได้ดั่งใจ นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นลูกเป็นเมียเขาเลยนะ ใบหน้าหล่อเหลาส่ายพลางอมยิ้ม

 

“คุณอย่างอแงสิ อืม...เอาไว้อาทิตย์ที่เฉลยปีสามของคุณ ผมจะอยู่ก็แล้วกัน”    พายุมีอะไรบางอย่างอยู่ในตัว...อะไรบางอย่างที่ทำให้คนอย่างเขาต้องตามใจ ทั้งๆที่ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะตามใจใครขนาดนี้

 

“เย้~   ร่างโปร่งดีใจอย่างออกนอกหน้า เขามักจะได้ยินอาจารย์วิชิตบ่นอยู่เสมอว่าเจ้าเด็กโกธิคพังก์นี่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาและเข้าถึงยาก มักจะทำตัวคูลๆเหมือนอยู่แต่ในโลกของตัวเอง...แล้วกับเขานี่มันอะไรกัน?

 

“คุณไปนั่งเล่นที่โซฟาก่อนไป ผมขอตรวจงานก่อน”   เขาหยัดกายขึ้นมาก่อนจะนั่งลงหลังกองกระดาษ Sketch Designกว่าครึ่งร้อยแผ่น

 

“ครับ ให้คะแนนผมเยอะๆนะครับ~ ผมต้องไปแล้วเหมือนกัน พวกน้องปีหนึ่งน่าจะมาถึงกันแล้ว”    ร่างในชุดสีดำลุกขึ้นยืนก่อนจะโบกมือให้

 

“ฮึ...”   เขายิ้มให้กับคนที่ผลุบหายออกจากห้องไป แค่แป๊บเดียวที่คุยกัน แต่มันกลับทำให้โลกที่เหนื่อยล้าของเขาสดชื่นขึ้นมาในชั่วพริบตา

 

มันคือความรัก...อย่างไม่ต้องสงสัย

 

เพราะมีเพียงความรัก...ที่สามารถเปลี่ยนโลกทั้งใบของคนเราได้

 

 

 

 

 

 

เสียงเพลงตึงตังที่ดังอยู่ข้างล่างมีแต่จะทำให้กลุ่มคนเหงาต้องชะโงกหน้าออกไปมองทางหน้าต่างอย่างอิจฉา

 

“เชี่ย...วงพี่ปีสี่อย่างเท่ห์อ่ะ”    ไอ้ธีร์นั่งห้อยขาออกไปที่กันสาดโดยมีไอ้ภาคยืนเอามือค้ำกำแพงอยู่ด้านบน วงที่กำลังร้องเพลงอยู่บนเวทีเล็กๆหน้าคณะคือวงหญิงล้วนของพี่ปีสี่ เสียงตะโกน Zombieๆๆดังกระหึ่มจากหน้าเวทียิ่งทำให้รู้สึกมันส์ตามไปด้วย และนั่นก็คือเพลงที่พวกพี่แกเล่นอยู่ในตอนนี้ วงเหล้าวงกับแกล้มที่มีทั้งน้องปีหนึ่งและพี่ๆทุกชั้นปีนั่งแดกรวมกันอยู่นั่นก็ดูน่าสนุก เสียงเฮที่ดังมาจากวงต๊อกวงโซจูบอมก็น่าลงไปร่วมแจมด้วยสุดๆ

 

“พวกมึงฟังกูก่อนสิวะ! ไอ้พวกเพื่อนเลว เห็นพี่ปีสี่สำคัญกว่ากูเหรอวะ?!    เออ! เชื่อว่าพวกเขาอีกเก้าคนคงอยากจะตอบแบบนั้น แต่ทำได้แค่คิดอยู่ในใจ

 

ไอ้เวย์ เพื่อนคนหนึ่งในสตูกำลังนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ข้างขวดเหล้า มันไม่ได้เป็นพี่ว๊ากหรอก แต่ทั้งคณะตอนนี้คงมีแต่ที่นี่และมีแต่พวกเขานี่แหละที่คนเหงาอย่างมันจะมาอยู่ด้วยได้...ใช่ มันเพิ่งถูกแฟนทิ้งมา แฟนที่เพิ่งคบกันได้สองเดือนกว่าๆ

 

ตอนแรกก็ช่วยปลอบมันดีๆอยู่หรอก แต่พอมันเริ่มคร่ำครวญพวกเขาก็เริ่มอยากจะเอาเหล้ากรอกปากให้มันเมาแล้วหลับๆไปซะ รำคาญ!

 

“พวกมึงคงไม่เข้าใจกูหรอก ก็พวกมึงมันหน้าตาดีนี่ ผู้หญิงคงไม่ทิ้งพวกมึงแน่”   

 

“ไม่ทิ้งห่าอะไรล่ะ ถ้าไม่ทิ้งแล้วพวกกูจะเป็นโสดอยู่จนทุกวันนี้มั๊ย?”    ไอ้ธีร์หันมาด่าเข้าให้ก่อนจะหันไปเย้วๆกับเพลงใหม่ของพี่ปีสี่ต่อ

 

ร่างในชุดสีดำนั่งจิบเหล้าเข้าปากเงียบๆก่อนจะแลมองไอ้เวย์ที่ร้องไห้กระซิกๆอยู่กับโต๊ะ เขาไม่เคยเข้าใจความเจ็บปวด ความผิดหวัง ความกังวลใจที่มีบ่อเกิดมาจากความรักเลย ไม่เคยรู้จักความเหงา ความโหยหา ความคิดถึงที่มีต่อใครสักคนอย่างลึกซึ้งมาก่อน

 

ตอนปีหนึ่งเขาได้แต่ปลอบใจไอ้ธีร์ที่เลิกกับแฟนซึ่งคบกันมาตั้งแต่ม.ปลายอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเศร้าจะเป็นจะตายขนาดนั้นด้วย  ไม่เข้าใจความกังวลของไอ้ไม้ที่จู่ๆก็ติดต่อแฟนไม่ได้จนกลายเป็นถูกทิ้งไปในที่สุด ถึงเขาจะไม่เห็นไอ้เก้ากับไอ้ภาคตอนเลิกกับแฟนก่อนจะเข้ามหาลัยแต่ก็คงจะมีสภาพไม่ต่างกัน พวกมันถูกทิ้งเพียงเพราะไม่มีเวลาให้ ถูกทิ้งเพราะอยู่ไกล เขาจึงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราต้องไปแคร์คนแบบนั้นด้วย

 

จนกระทั่งได้เจออาจารย์องศา...

 

ตอนนี้...เขาพอจะเข้าใจความกังวลพวกนี้บ้างแล้ว

 

ถ้าทั้งหมดนั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองล่ะ? ถ้าอาจารย์องศาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขามากไปกว่าลูกศิษย์คนหนึ่งล่ะ? ถ้าอาจารย์องศาแค่เอ็นดูเขาเหมือนเด็กคนหนึ่งเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งเท่านั้นเองล่ะ? ถ้าอาจารย์องศาไม่ได้ชอบเขาเหมือนที่เขาชอบอาจารย์ล่ะ? อาจารย์องศาก็ไม่เคยบอกอะไรเขาในเชิงนั้นสักครั้งเลยด้วยนะ?

 

ถ้าอาจารย์องศา...ไม่โอเคกับผู้ชายด้วยกันขึ้นมาล่ะ?

 

แค่คิด...เขาก็กังวลจนแทบจะเป็นบ้า

 

ฮ้า...

 

ความว้าวุ่นใจในเรื่องความรักแบบนี้...ก็คงเป็นเสน่ห์และสีสันในช่วงวัยของเด็กมหาลัยเหมือนกันสินะ...

 

ถ้างั้นเขาต้องขอบคุณอาจารย์องศาไหม ที่ทำให้เขาได้รู้จักกับความรู้สึกพวกนี้...

 

“อ้า! กูอยู่ไม่ได้แล้ว!    เพราะฤทธิ์เหล้าหรือยังไงกันนะทำให้เขาลุกพรวดขึ้นมา

 

“มึงจะไปไหน?”    ไอ้เก้าที่นั่งอยู่ข้างๆถึงกับต้องล็อคคอเขาไว้เพราะเขาเคยเมาแล้วไปหลับอยู่ในส้วมจนมันต้องตามหากันวุ่นวาย

 

“กูจะไปขออาจารย์องศาแต่งงาน! กูจะจัดงานแต่งให้ใหญ่โตจนคนรู้กันทั้งโลก อาจารย์องศาจะได้ทิ้งกูไปไหนไม่ได้ ต้องรับผิดชอบกูไปตลอดชีวิต!

 

“....มึงเมาแล้วใช่ไหมเนี่ยไอ้พาย? อ่ะ มึงนอนนะ นอนลงบนตักไอ้ไม้นี่ โอ๋เอ๋ๆๆ”    มือใหญ่ของไอ้เก้ากดหัวเขาลงกับตักของไอ้ไม้โดยมีพวกแก๊งตองเก้านั่งขำกันจนไหล่สั่น ส่วนเพื่อนคนอื่นในสตูต่างมองกันอย่างมึนงงเพราะไม่มีใครรู้เรื่องของเขากับอาจารย์องศา

 

“ตกลง...มึงชอบเค้าจริงๆใช่ไหมเนี่ย? มึงเอาแน่ใช่ไหมไอ้พาย?”    ไอ้เก้าถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“เออ กูชอบเค้า กูชอบเค้าจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”   ใบหน้ามนพูดออกไปทั้งที่ยังซบอยู่บนตักของเพื่อน พอได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจมันก็เหมือนจะระเบิดในทีเดียว ตอนนี้เขาจะยอมรับกับพวกมันทั้งสี่คนว่าเขาชอบอาจารย์องศามากจริงๆ

 

“แล้วเค้า...ดูโอเคกับมึงใช่ไหม? กูก็แค่...ไม่อยากให้มึงเจ็บ”   ไอ้ไม้มองลงมาด้วยสายตาเป็นห่วงเพียงเท่านั้น มันไม่ได้สนใจเลยว่าคนที่เขาชอบจะเป็นผู้ชายและมันกำลังจะมีเพื่อนที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่มีสายตารังเกียจมองมาจากเพื่อนทั้งสี่คนของเขาเลย

 

“กูว่ามึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก ดูจากที่คอยเป็นห่วงเป็นไย คอยไปรับไปส่งเนี่ย...ทางนั้นเค้าก็จีบมึงอยู่แหงๆ”    ไอ้ธีร์ย้ายก้นมานั่งลงในวงเหล้าอีกครั้ง

 

“ก็แค่...ยังแสดงออกมาไม่ได้ มึงรู้ใช่ไหมพาย ว่าถ้ามึงชอบคนคนนี้...มึงต้องอดทน ทั้งสถานะที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ทั้งการที่มึงเป็นผู้ชายเหมือนกันกับเค้าด้วย”    ไอ้ภาคก้มหน้าลงมายิ้มให้ก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวเขา

 

“อือ กูรู้...”    ถึงจะรู้และไม่ได้คิดมากในเวลาปกติ แต่ตอนที่มีแอลกอฮอล์อยู่ในกระแสเลือดแบบนี้มันก็อดที่จะว้าวุ่นใจไม่ได้

 

“มึงจะไปกลัวอะไรวะ มีอะไรที่พระพายลูกพ่อภพทำไม่ได้ด้วยเหรอวะ? ถ้าเค้าไม่จีบมึง มึงก็จีบเค้าสิ จีบเข้าไปเถอะ สักวันเค้าคงใจอ่อนกับมึงแน่”   ไอ้เก้าชะโงกหน้ามายิ้มให้ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก

 

 

BEWEAR!!!!

 

 

แล้วจู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นมาก็ทำให้ทั้งวงสะดุ้งโหยง

 

“ไอ้เชี่ยพาย เมื่อไหร่มึงจะเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าวะ?! หัวใจกูหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทุกทีเลยตอนได้ยินเสียงโทรศัพท์มึงเนี่ย!   วงเหล้าถึงกับแตกกระเจิงก่อนจะพากันหัวเราะไปตามๆกัน

 

“พ่อมึงโทรตามอีกรึไง?”    ไอ้เก้าถาม มีแต่ดวงตากลมใสเท่านั้นที่เปล่งประกายระยิบระยับเมื่อมองชื่อที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอ ร่างโปร่งบางรีบลุกพรวดก่อนจะเตรียมวิ่งออกไป

 

“กูขึ้นดาดฟ้าไปรับโทรศัพท์ก่อน ...อาจารย์องศาโทรมา”   ประโยคหลังเป็นเพียงเสียงกระซิบเพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่นได้ยิน แต่ไอ้สี่ตัวที่เหลือต่างวงแตกแยกย้ายของจริง

 

“แล้วมึงจะมาทำตัวดราม่าเพื่อ?! ไอ้ห่า ทางนั้นเค้าก็ชอบมึงแทบบ้าเหมือนกันแล้วไหม โทรเช้าโทรเย็นเนี่ย!    ไอ้ธีร์ตะโกนไล่หลังไป เพื่อนที่เหลือต่างรุมถามกันใหญ่ว่าเขามีแฟนแล้วเหรอ เพราะนี่ถือเป็นข่าวช็อคสตูได้เลย

 

“ไม้ มึงคอยขึ้นไปดูมันด้วย เดี๋ยวไปหลับอยู่ไหนขี้เกียจตามหา”

 

“แล้วมึงจะไปไหนวะเก้า?”

 

“กูจะลงไปเอาโซดา”

 

“เคร”

 

 

 

 

 

 

ร่างสูงยาววิ่งลงบันไดวนมาอย่างคุ้นเคย ยังดีที่พี่น้องร่วมคณะส่วนใหญ่ยังเย้วๆกันอยู่หน้าเวที แถวโถงบันไดชั้นสามชั้นสี่จึงค่อนข้างจะโล่งและคงจะไม่มีน้องปีหนึ่งสังเกตเห็นเขา

 

พอได้เห็นไอ้พายว้าวุ่นใจเพราะความรักแบบนั้นแล้ว...ถ้าให้พูดกันตามตรงเขาก็รู้สึกแปลกๆ

 

ถึงจะเพิ่งเป็นเพื่อนกันมาแค่สามปีแต่เขาก็กล้าพูดว่ามันคือเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว คงจะเป็นเพราะมันไม่เคยสนใจมนุษย์มนาทั่วไปเลยก็ได้มั้ง เขาถึงได้คิดมาว่ามันจะอยู่กับเขาตลอดไป จะเป็นลูกน้อยให้เขาคอยดูแลอยู่แบบนี้

 

แต่ตอนนี้มันกลับกำลังมีความรัก กำลังชอบใครอีกคนหนึ่งอยู่ ถ้าจะบอกไม่หวงไม่ห่วงก็คงจะเป็นเรื่องโกหก

 

อ้า...เข้าใจความรู้สึกคนเป็นพ่อที่ต้องเสียลูกสาวให้ลูกเขยขึ้นมาทันทีเลยแหะ...

 

แต่อีกฝ่ายเป็นอาจารย์องศานี่สิ เขาจะหาอะไรไปตำหนิหรือติติงได้ จะว่าไปที่ไอ้พายมันชอบอาจารย์องศาก็อาจจะไม่แปลก เพราะอาจารย์ก็ดูไม่เหมือนมนุษย์มนาทั่วไป ดูเหมือนเทพบุตรที่ไม่มีจริงในโลกก็ว่าได้

 

จริงสิ...ใบหน้าแล้วก็รูปร่างของอาจารย์องศาก็คล้ายๆกับบรรดาตุ๊กตาของไอ้พายมันเลยนี่นา...

 

ในใจของเขารู้สึกโหวงๆแปลกๆ ถึงจะแซวมันมาตลอด แต่พอเอาเข้าจริง พอมันยอมรับว่าชอบคนคนนั้นจริงๆ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกแย่งคนสำคัญไป...

 

ฮ้า...เขาก็อยากจะทำใจให้ได้เร็วๆอยู่หรอกนะ แต่มันต้องทำยังไงกันล่ะตอนนี้?

 

ขายาวก้าวลงมาถึงโถงชั้นหนึ่งในขณะที่ยังหลุดออกมาจากห้วงความคิดเหล่านั้นไม่ได้

 

แล้วท่ามกลางแสงสีของปาร์ตี้ ท่ามกลางผู้คนที่ร่วมร้องเพลงกันอย่างเมามัน ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นและกลิ่นเหล้า ท่ามกลางเงาดำๆของผู้คนที่เดินเกะกะ

 

 

ร่างในเสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวร่างหนึ่งก็เดินผ่านหน้าคณะไป...

 

 

จากเรื่องของไอ้พายรวมถึงฤทธิ์เหล้าที่เข้าปาก อารมณ์ที่เคยควบคุมได้ดีกลับพลุ่งพล่านจนทำให้สองขาก้าวดุ่มๆตามร่างที่กำลังเดินอุ้มรูปปั้นอันหนึ่งไปทันที

 

นั่นมัน...เจ้าเด็กนั่น!

 

ดวงตาเรียวจับจ้องแผ่นหลังบอบบางอย่างหาเรื่อง ทั้งที่ปกติแล้วเขาจะลงมือขัดขวางก็เฉพาะตอนที่น้องสาวของเขาอยู่ด้วย ขัดขวางเพื่อให้น้องของเขาได้เห็นความไม่ได้เรื่องของอีกฝ่าย แต่ทำไมกับเจ้าเด็กนี่เขาถึงทนไม่ได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้...

 

สองขาก้าวเดินตามอย่างคุกคาม แล้วก็ทั้งๆที่คณะก็อยู่ติดกัน หน้าคณะเขานั้นแดนซ์กันดังลั่น แต่พอก้าวเข้ามายังหน้าคณะจิตรกรรม ก้าวเข้ามายังลานหินขนาดพอเหมาะที่มีอนุสาวรีย์แสนสำคัญของมหาวิทยาลัยเราอยู่ บรรยากาศตรงนี้กลับเงียบสงบราวกับอยู่คนละโลกก็ไม่ปาน

 

และความสงบของมันก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด

 

เขาเพิ่งจะเสียเพื่อนให้คนที่ยอดเยี่ยมอย่างอาจารย์องศาไป แต่เขาจะไม่ยอมเสียน้องสาวให้คนไม่ได้ความอย่างเจ้าหมอนี่แน่!

 

ร่างสูงยาวก้าวตามร่างที่กำลังอุ้มรูปปั้นสีขาวขึ้นบันไดเตี้ยๆของคณะไป ดูเหมือนพวกเด็กจิตรกรรมกำลังจัดนิทรรศการอะไรสักอย่างอยู่ที่หอศิลป์ เจ้าเด็กนี่ถึงยังไม่กลับบ้านกลับช่อง

 

ก็ดี

 

เขาจะได้ใช้โอกาสนี้สั่งสอนมันเสียหน่อย

 

“เจ้าจอม!    แต่แล้วเสียงเรียกของใครบางคนก็ทำให้ฝ่าเท้าของเขาหยุดชะงักก่อนจะรีบพลิกตัวหลบเข้าไปยังหลังเสา

 

“...?”    เจ้าเด็กนั่นหันไปมองตามเสียงเรียก...อย่าบอกนะว่านั่นคือชื่อของเด็กนั่น?

 

“เพกาอ่ะ?”    เด็กจิตรกรรมอีกคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมาจากห้อง ดูจากที่ใส่ชุดนักศึกษาก็น่าจะปีหนึ่งเหมือนกัน

 

“ไม่รู้ ยังอยู่ที่หอศิลป์หรือเปล่า?”    นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ขนาดเสียงก็ยังนุ่มเงียบเรียบร้อยเลย! อ้า! โคตรจะไม่สบอารมณ์!

 

“เออๆ ไปเหอะ”    เพื่อนคนนั้นโบกมือไล่ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้อง   ร่างแบบบางนั่นจึงเดินขึ้นบันไดต่อไปยังชั้นสอง

 

ใบหน้าเรียวยกยิ้มมุมปาก เขาเพิ่งได้รู้ชื่อของไอ้เด็กนั่นนี่แหละ เหอะ! ชื่อเจ้าจอมงั้นเหรอ? พ่อเป็นฮ่องเต้แม่เป็นฮองเฮาหรือไง?

 

ดวงตาเรียวจับจ้องแผ่นหลังในชุดนักศึกษาอย่างไม่ให้คลาดสายตา อันที่จริงพวกเด็กจิตรกรรมก็ไม่ใส่ชุดนักศึกษามาเรียนเหมือนพวกเขานั่นแหละ ออกจะติสกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ แต่ก็จะมีเฉพาะช่วงปีหนึ่งที่ยังรับน้องอยู่นี่แหละที่จะถูกบังคับให้ใส่ชุดนักศึกษาอย่างเรียบร้อยและถูกระเบียบเป๊ะ กระดุมนี่ต้องติดถึงคอ เนคไทต้องสวม ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันทั้งหมด ต้องเดินเป็นแถว จะมีพี่คอยดูอยู่ตลอดเวลา การได้นั่งมองเด็กจิตรกรรมเดินไปไหนมาไหนเหมือนขบวนรถไฟแบบนั้นจึงเป็นอะไรที่ได้รับความสนใจจากผู้คนรอบกายมากๆ น่าจะเป็นคณะที่รับน้องโหดและยาวนานที่สุดในมหาลัยแล้ว

 

เขาก้าวตามอีกฝ่ายขึ้นบันไดไปอย่างไม่รีบร้อน ข้างล่างว่าไม่มีคนแล้ว ข้างบนนี่เงียบกริบยิ่งกว่า ท่ามกลางห้องศิลปะสุดคลาสสิคที่เปิดอยู่เหล่านี้ไม่มีใครเลยสักคน ถึงมันจะดูหลอนๆไปบ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นบรรยากาศที่สวยและมีเสน่ห์มากเลยทีเดียว

 

เจ้าเด็กนั่นอุ้มรูปปั้นไปวางไว้บนแท่นซึ่งอยู่ริมหน้าต่าง...โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเดินตามมาอยู่นานแล้ว และตอนนี้คนคนนั้นก็กำลังย่างสามขุมเข้าไปหา

 

แกร๊ง...

 

เขาจงใจเตะขาตั้งวาดรูปเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว

 

“?!!    ร่างผอมบางสะดุ้งโหยงก่อนจะตวัดหันมามองเขาอย่างตกใจ...ฮ้า...ให้ตายเถอะ เขาฝากน้องสาวของเขาไว้กับคนแบบนี้ไม่ได้แน่ ช่างไม่รับรู้ถึงสัญญาณอันตรายใดๆเลย!

 

“....เจ้า...จอม?”    น้ำเสียงเย็นยะเยือกจงใจเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า ฝ่าเท้าค่อยๆก้าวย่างเข้าไปราวกับสัตว์ร้ายจ้องตะครุบเหยื่อ

 

“.......ครับ?”    ใบหน้าที่หวานกว่าในรูปถ่ายมากมองมาที่เขา ร่างบอบบางก้าวถอยโดยอัตโนมัติจนแผ่นหลังติดผนัง เพิ่งจะรับรู้ถึงอันตรายก็สายไปเสียแล้ว

 

“กูมีเรื่องจะถามมึงหน่อย”   เขาใช้น้ำเสียงเชิงข่มขู่และเหยียดตามองลงไปอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า

 

“ครับ...”    และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะกล้าสบตา ดวงตาราวกับลูกกวางเสหลบลงพื้น มือเล็กๆกำชายเสื้อของตัวเองอย่างหวาดหวั่น...เจ้าเด็กนี่...น่าจะเป็นคนที่ไม่สู้คนขนาดหนักเลยไหมเนี่ย? แค่นี้ก็กลัวแล้ว?

 

“รู้จักสองไหม? ปีหนึ่งคณะมัณฑนศิลป์น่ะ”

 

“เอ่อ...ครับ...”    เจ้าเด็กตรงหน้านิ่งคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้า

 

“ยอมรับก็ดี จากนี้ไปกูขอห้ามมึงเลยนะ ห้ามมายุ่งกับไอ้สองน้องสาวกู”    เขาเชิดหน้าขึ้นก่อนจะเหยียดตามองอย่างข่มขู่มากกว่าเดิม ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ทำให้คนที่ตัวเล็กกว่ามากยิ่งรู้สึกราวกับตกอยู่ภายใต้อำนาจของปีศาจร้าย

 

“ยุ่งนี่คือ....?”    แต่กระนั้นใบหน้าที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาก็เอ่ยถามออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ เจ้าเด็กนี่ดูจะงงมากทีเดียวกับสิ่งที่เขาพูดออกไป

 

“มึงนี่เข้าใจอะไรยากนักหนาวะ ห้ามเป็นแฟนกับน้องสาวกู! เข้าใจรึยัง?!    เขาตะคอกออกไปอย่างจงใจ

 

“...ครับ?...แต่ผมก็ไม่ได้....”    ถึงจะตอบรับอย่างอึกๆอักๆแต่เจ้าเด็กตรงหน้าก็มีท่าทีเหมือนจะปฏิเสธ?  เขาเลยเดินเข้าหาด้วยแววตามืดมน

 

ปึ้ง!

 

มือใหญ่ตบลงไปบนผนังด้านหลังร่างบางก่อนจะใช้แขนยันเอาไว้ กักขังอีกฝ่ายให้ยืนสะดุ้งอยู่ใต้เงาร่างของเขา

 

ใบหน้าเรียวโน้มขยับลงไปหาใบหน้าที่พยายามจะหลบเลี่ยงเบี่ยงสายตา ก่อนที่เสียงกดต่ำจะเอ่ยออกไปให้ได้ยินกันแค่สองคน

 

“ถ้ามึงไม่เชื่อฟังละก็ มึงเจอดีแน่”  

 

“...เจอดี?”    แต่อีกฝ่ายกลับย้อนถามด้วยสีหน้าสับสน เหมือนมันไม่เข้าใจจริงๆ แล้วยิ่งการแสดงออกนั้นดูไร้เดียงสาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโมโห

 

นี่มันกวนประสาทเขาอยู่หรือเปล่า? เขาจึงขยับหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิมก่อนจะพูดด้วยเสียงดุดัน

 

“กูก็จะทำให้มึงไม่มีหน้าไปจีบผู้หญิงคนไหนอีกเลยยังไงล่ะ”   ก่อนจะเป่าลมหายใจรดต้นคอเบาๆจนร่างบอบบางสะดุ้งโหยง  

 

ลมหายใจร้อนยังละเรื่อยจากกกหูสู่ต้นคอ ริมฝีปากของเขาจงใจแตะเฉียดเข้าไปใกล้...

 

“เข้าใจรึเปล่า? ตอบ! 

 

“ครับ...”    ด้วยอารามตกใจใบหน้ามนจึงตอบกลับมาอย่างมึนงง เข้าใจแน่ใช่ไหมเนี่ย?!

 

เฮ้อ...ไอ้คนแบบนี้น้องสาวเขาไปติดใจมันที่ตรงไหนกันนะ? นี่มันดูจะต่างจากคนก่อนๆมากอยู่นะ? ตกลงสเปคของไอ้สองนี่มันเป็นยังไงกันแน่ฟ๊ะ?

 

“จิ๊”    เขาเดาะลิ้นเบาๆก่อนจะผละออกมา ดวงตาหาเรื่องตวัดกลับไปมองอีกครั้งก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องไป

 

 

 

 

 

น่ากลัว...

 

พี่ผู้ชายคนนั้น...น่ากลัวมาก...

 

ร่างบอบบางทรุดนั่งลงกับพื้นทั้งที่หัวใจยังเต้นโครมๆ  มือบางลูบไปบนลำคอที่ยังรู้สึกถึงลมหายใจร้อนระอุนั่นได้อยู่เลย 

 

คนคนนั้น...เป็นพี่ชายของสองงั้นเหรอ? เขาเพิ่งรู้

 

ใบหน้ามนภายใต้กรอบผมหน้าม้าปิดหน้าปิดตาเหม่อมองพู่กันที่ถูกปัดตกลงมา เขาเอื้อมมือไปหยิบมันช้าๆก่อนจะเอาไปวางไว้ที่เดิม

 

พี่คนนั้น...ถ้าจำไม่ผิด...น่าจะชื่อ...พี่เก้า?

 

แม้แต่ในคณะที่ค่อนข้างเก็บตัวและปลีกวิเวกเป็นพวกปัจเจกบุคคลซึ่งสามคณะที่เหลือไม่ค่อยจะเข้ามายุ่มย่ามด้วยมากนักเพราะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างพวกเขา ชื่อเสียงของกลุ่มตองเก้าแห่งคณะสถาปัตย์ก็ยังสามารถทะลุกำแพงนี้เข้ามาได้ เพราะในสายตาเด็กจิตรกรรมอย่างพวกเขา ทั้งห้าคนนั้นถือเป็นงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบมาก

 

ไม่ใช่แค่หน้าตาดี แต่ทั้งห้าคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร ไม่ใช่คนหล่อที่หาได้ทั่วไป

 

แล้วหนึ่งในงานศิลปะที่ดูอันตรายคล้ายกับเทพแห่งสงครามคนนั้นก็เพิ่งมายืนอยู่ตรงหน้าเขา

 

ถึงเขา...จะไม่รู้เลยว่า...ไปทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธเกลียดขนาดนี้กัน...?

 

 

 

 

 

 

 

 

ตัดภาพมาที่ดาดฟ้าของตึกสถาปัตย์ ถึงจะมองไม่เห็นสนามหลวงแต่กับอีกด้านอย่างวัดพระแก้วนั้นพวกเขาสามารถมองเห็นจากบนนี้ได้อย่างชัดเจน พระบรมมหาราชวังและวัดวาอารามยามเปิดไฟตอนกลางคืนนั้นสวยงามมากๆ แถมในนั้นยังไม่มีคนสักคนต่างจากตอนกลางวันที่มีนักท่องเที่ยวเต็มแน่น นับเป็นวิวทิวทัศน์ที่พิเศษสุดสำหรับเด็กถาปัดอย่างพวกเขาโดยแท้เพราะมีแต่พวกเขาเท่านั้นแหละที่จะขึ้นมาบนดาดฟ้าแห่งนี้ได้

 

“ครับ อาจารย์”    เสียงนุ่มกรอกใส่โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือ

 

“คุณยังอยู่ที่คณะใช่ไหม? ผมเพิ่งประชุมเสร็จ”

 

“ครับ ผมอยู่บนดาดฟ้า”    ลมเย็นๆที่ปะทะใบหน้าทำให้ความร้อนจากแอลกอฮอล์ค่อยๆแผ่ออกไป

 

“คุณเมารึเปล่า? เสียงฟังดูงัวเงียนิดหน่อยนะ?”

 

“ผมไม่ได้เมา~ ผมดื่มไปนิดดดเดียว ถ้าอาจารย์ไม่เชื่อก็มาพิสูจน์สิครับ~

 

“ฮึ...ถ้าอย่างงั้นผมแวะไปรับคุณดีไหม? คุณจะกลับบ้านกันยังไง?”

 

“เอ๊ะ? จริงเหรอครับ? ผมคงกลับแท็กซี่กับเพื่อนน่ะ อาจารย์จะมารับจริงเหรอครับ?”

 

“ครับ ยังไงผมก็ต้องกลับบ้านอยู่แล้ว วนไปรับคุณก่อนก็ได้ ว่าแต่คุณจะกลับกันรึยัง?”

 

“กลับครับ! กลับเลย! เหะๆๆ”

 

“ฮึ...อยากให้ผมอยู่ด้วยขนาดนั้นเลย?”

 

“อื้อ อยากให้อาจารย์อยู่ด้วยขนาดนั้นเลยครับ~

 

“ฮะฮะ คุณเมาแล้วแน่ๆ  ผมอยู่แถววัดเบญฯ คงอีกสักพักนะครับกว่าจะถึง”

 

“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมยืนดูวัดพระแก้วรอ~

 

“คุณไม่ลงไปอยู่กับเพื่อนก่อนเหรอ? อ่า แต่คุณคงลงไปปาร์ตี้ข้างล่างไม่ได้สินะ”

 

“ใช่ครับ อยู่กับพวกมันมาทั้งวันแล้วครับ เบื่อหน้าพวกมันแระ คุยกับอาจารย์ดีกว่า”

 

“อาจารย์~

 

“หื๋ม?”

 

“อาจารย์ชอบสีอะไร?”

 

“ขาว เทา ดำ?”

 

“ชอบที่สุดล่ะ?”

 

“อืม...สีดำมั้งครับ มีอะไรรึเปล่า? ถามไปทำไมเหรอ?”

 

“ผมก็แค่อยากรู้...ว่าอาจารย์ชอบอะไรบ้าง ไม่ชอบอะไรบ้าง เผื่อวันหลังผมซื้ออะไรให้จะได้รู้ไงว่าอาจารย์ชอบสีไหน”

 

“ไม่ได้สิ ตอนนี้ผมยังเป็นอาจารย์ของคุณอยู่ คุณไม่ควรซื้ออะไรให้ผมนะ มันไม่เหมาะสม”

 

“ไม่ได้เหรอครับ...”

 

“อืม...เอาไว้...ผมเลิกเป็นอาจารย์ของคุณเมื่อไหร่...ตอนนั้นคุณซื้ออะไรให้ ผมก็ชอบหมดนั่นแหละ”

 

“....อาจารย์.......ผมจะเอาหน้ามุดราวกันตกแล้วนะ”

 

“คุณจะมุดทำไม? ระวังตกลงไปด้วยล่ะ ฮึ...ฮะฮะฮะ”

 

“อาจารย์ยิ้มอยู่ใช่ไหมเนี่ย?”

 

“รู้ได้ยังไง?”

 

“ผมรู้ก็แล้วกันน่า อาจารย์ชอบแกล้งผม แล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียว!

 

“คุณไม่ชอบเหรอ? มีแค่คุณคนเดียวเลยนะที่ผมแกล้งน่ะ”

 

“อาจารย์ต้องเรียกดับเพลิงมาดับไฟบนหน้าผมแล้วละครับ...”

 

“ฮึ...คุณนี่นะ...แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ? แล้วต่อไปคุณจะอยู่ได้ยังไงเนี่ย?”

 

“...มีต่อไปด้วย~

 

“พายุ”

 

“ครับ”

 

“ปกติคุณดูหนังในโรงหนังไหม?”

 

“ก็ถ้าอาจารย์ชวนไป ผมก็ดูครับ”

 

“ฮึ...”

 

“ถ้างั้น...คุณไปดูหนังเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ผมอยากให้คุณไปดูกับผมนะ”

 

“เอ๋~ นี่อาจารย์ชวนผมไปเดตเหรอครับ? หนังรักเหรอครับ? หรือว่าอนิเมชั่น? หรือไซไฟ? คงไม่ใช่แนวสงครามใช่ไหมครับ? หรือว่าหนังผี?”

 

Architectural Theory

 

“อุ๊บ...ฮ่าๆๆๆๆ”

 

“หัวเราะลั่นเชียวนะ”

 

“ก็สมเป็นอาจารย์มากนี่ครับ ว่าแต่มันมีหนังแบบนี้เข้าโรงด้วยเหรอครับ? คิกๆๆ”

 

“มีครับ...โรงเล็กๆอย่างพวกเฮาส์ ถึงจะเป็นแนวสารคดีแต่ก็ถ่ายภาพออกมาได้ดีมากทีเดียว แถมตัวอาคารแต่ละที่ก็น่าสนใจมากด้วย”

 

“ไปครับ ไป! อะไรผมก็ดูทั้งนั้นแหละ”

 

“โอเค ไว้ผมนัดคุณอีกทีก็แล้วกัน...อืม...ในเมื่อคุณไปดูหนังที่ผมอยากดูเป็นเพื่อนผมแล้ว...ถ้างั้น...ผมจะไปดูหนังที่คุณอยากดูเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”

 

“อื้อ~~~    ร่างโปร่งบางแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้นดาดฟ้าด้วยความเขิน ก็ดูอาจารย์องศาสิ จีบเขาอย่างมีชั้นเชิงขนาดนี้จะไม่ให้เขินได้ยังไง~

 

“พายุ”

 

“ครับ”

 

“ผมมาถึงสะพานผ่านฟ้าแล้ว คุณเตรียมออกมารอผมที่ประตูแดงเลยไหม? ถ้าเพื่อนๆจะกลับด้วยก็ชวนมาพร้อมกันเลยก็ได้”

 

“ครับ ได้ครับ”

 

“งั้นผมวางก่อนนะ”

 

“ครับ เดี๋ยวเจอกันครับ”

 

 

 

 

 

 

ร่างโปร่งบางวิ่งตึงตังลงมายังสตูปีสี่ก่อนจะโผล่พรวดเข้าไปในล็อคที่เพื่อนๆนั่งอยู่

 

“กูจะกลับแล้ว พวกมึงจะกลับพร้อมกูเลยไหม?”   ไอ้สี่ตัวที่อยู่บ้านเดียวกับเขาหันหน้ามามองเป็นตาเดียว ก็ปกติเขาไม่เคยทำอะไรเป็นพายุสมชื่อแบบนี้เลยสักที พวกมันยังแซวกันตลอดว่าพ่อควรจะตั้งชื่อเขาว่าแม่น้ำไปเลยมากกว่าถ้าจะเอื่อยเฉื่อยอะไรขนาดนี้

 

“ทำไมรีบกลับนักวะ? พวกมึงจะไม่อยู่ปลอบใจกูก่อนเหรอวะ? กูนึกว่าพวกมึงจะนอนคณะกันซะอีก”    ไอ้เวย์เป็นฝ่ายเอ่ยออกมา แต่ดูท่าไอ้เพื่อนสี่ตัวของเขามันจะรู้เป็นนัยๆจากท่าทีของเขาแล้วว่าคงจะมีอาจารย์องศามาเอี่ยวด้วยแน่ๆ

 

“ไปดิวะ พ่อมันคงมารับน่ะ พวกมึงแดกกันต่อเถอะ เดี๋ยวพวกกูกลับแระ”    ไอ้เก้าลุกก่อนจะล็อคคอเขาเดินออกมาเพื่อไม่ให้ใครได้ถามต่อ

 

“กลับก่อนเว้ย”   อีกสามคนที่เหลือก็ลุกตามมาเช่นกัน

 

“มึงไปล่อลวงอาจารย์องศาอิท่าไหนเค้าถึงมารับมึงได้เนี่ย?”    ไอ้เก้าถามในขณะที่แขนของมันยังพาดคอเขาอยู่ รู้จริงๆด้วยสินะ?

 

“กูไม่ได้ล่อลวงซะหน่อย อาจารย์เพิ่งกลับจากประชุมแล้วกำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน...”    ไอ้เก้าล็อคคอเขาอย่างหมั่นเขี้ยว

 

“พวกมึงเดินกันดีๆสิวะไอ้ห่า เดี๋ยวก็ตกบันได”    ไอ้ธีร์ที่เดินตามหลังมาพูดเสียงดัง

 

“มึงก็หุบปากก่อน เดี๋ยวน้องมันก็เห็นหมดหรอก”    เป็นไอ้ภาคที่ยื่นมือไปปิดปากไอ้ธีร์  พวกเขาห้าคนพยายามเดินฝ่าพี่ๆน้องๆที่ชั้นหนึ่งไปอย่างไม่เป็นจุดสนใจที่สุด แต่ก็นั่นแหละ แก๊งตองเก้าแม้แต่ในคณะเองก็ยังเป็นที่กรี๊ดกร๊าดของพี่น้องสาวๆ เพราะงั้นแค่เห็นเงาของพวกเขาห้าคนก็มองกันทั้งถนนแล้ว

 

“กลับแล้วเหรอวะไอ้เชี่ย กูว่าดึกๆจะขึ้นไปหาพวกมึงซักหน่อย”   แล้วเสียงทักจากพี่ๆผู้ชายก็ดังไม่ขาดสายเช่นกัน

 

“พี่ หวัดดีคร้าบบบ ไมกลับแล้วอ่ะ?”    เสียงจากพวกน้องปีสอง ทักกันขนาดนี้ก็ไม่ต้องปิดแล้วม้าง อีกอย่างนี่ก็ปาไปค่อนเทอมแล้ว น้องๆปีหนึ่งน่าจะได้ยินเรื่องของพวกเขาหมดแล้วและก็คงจะหาข้อมูลจนรู้หน้าค่าตากันไปหมดแล้วแหละ

 

“พ่อไอ้พายมารับแล้ว ฮ่าๆ”    พอได้ยินแค่นั้นก็เข้าใจกันทั้งคณะและไม่มีใครคิดจะถามอะไรต่อไปอีก พ่อเขามาก่อวีรกรรมอะไรไว้ก็คิดดูแล้วกัน...

 

ประตูเดียวที่ยังเปิดอยู่ในตอนนี้ก็คือประตูด้านที่ติดกับวัดพระแก้วซึ่งเป็นประตูใหญ่ของพวกเขา รั้วที่แทบไม่ต่างจากรั้วของวัดและพระบรมมหาราชวังทำให้บางครั้งคนนอกก็ไม่คิดว่าจะมีมหาวิทยาลัยซ่อนอยู่ในนี้ พวกเขาทั้งห้ายืนรออยู่หน้าประตูไม้ขนาดใหญ่สีแดง และไม่นานรถของอาจารย์องศาก็มาจอดรับพวกเขาไป

 

อาจารย์องศาไม่ได้มีท่าทีรำคาญที่เขามักจะพาเพื่อนๆติดสอยห้อยตามมาด้วย แต่กลับยังปฏิบัติกับเพื่อนเขาเหมือนอาจารย์กับลูกศิษย์ทั่วไป และนั่นมันก็ทำให้เขาสบายใจไม่อึดอัด เพื่อนๆของเขาก็เช่นกัน

 

“จริงๆอาจารย์ไม่ต้องมารับก็ได้นะครับ ยังไงพวกผมก็จะขึ้นแท็กซี่กลับกันอยู่แล้ว”   เสียงนุ่มพูดออกไปในขณะที่คาดเข็มขัดนิรภัย

 

“ไม่เป็นไรหรอก ผมอยากเจอคุณด้วย เลิกประชุมมาเหนื่อยๆแบบนี้ ได้คุยกับคุณแล้วรู้สึกดี”   อาจารย์องศาเหลือบตามามองพร้อมกับออกรถ เขาจึงตอบกลับแก้เขิน

 

“ดีที่ได้แหย่ผมน่ะเหรอครับ?”

 

“ฮึ... ครับ”   เขายู่หน้าใส่ อาจารย์กลับยิ้มออกมาในขณะที่ตาก็มองถนน

 

“ตัวคุณมีกลิ่นเหล้านิดๆนะ”    เสียงทุ้มพูดออกมาทำเอาเขาผงะไปสามวิ ต้องรีบดึงคอเสื้อขึ้นมาดม เหม็นเหรอ? ก็ไม่ได้มีกลิ่นอะไรมากนี่?

 

“ไม่ใช่ผมสักหน่อย ไอ้พวกข้างหลังนู่นต่างหาก ไม่เชื่อลองดมสิครับ”   แขนบางยื่นออกไปให้คนที่ขับรถอยู่ดมแต่ใบหน้าหล่อเหลากลับอมยิ้ม

 

“ไม่ได้เหม็นหรอก...แต่กลิ่นแบบนี้...ก็หอมดี”   ใบหน้าหล่อเหลาเอียงเสี้ยวหน้ามาหยอกเย้าก่อนจะหันไปมองถนนต่อ

 

หน้าเขาถึงกับแดงแปร๊ด

 

รู้สึกว่าไอร้อนที่แผ่ออกมา มันจะมากกว่าเหล้าที่กินเข้าไปอีกนะ!

 

 

 

 

 

อวาต้าร์ Mr.น่านฟ้า : สะพานปิ่นเกล้าหวานมาก

 

อวาต้าร์ตากล้อง : เชี่ย กูชอบดูสองคนนี้จีบกันว่ะ เขินชิบหาย

 

อวาต้าร์ทะเลยามเย็น : บอกรัก...แบบไม่มีคำว่ารัก

 

อวาต้าร์ Mr.น่านฟ้า : กูคันไปหมดแล้ว มดขึ้นหลังกูเปล่าวะ

 

อวาต้าร์รอยสัก : เฮ้อ...กูคงต้องทำใจยกลูกน้อยของกูให้เขาไปสินะ

 

อวาต้าร์ตากล้อง : มึงมาเป็นพ่อกูแทนไหม?

 

อวาต้าร์รอยสัก : ไม่เอา กูหนวกหู

 

อวาต้าร์ตากล้อง : ไอ้สัส

 

อวาต้าร์ Mr.น่านฟ้า :  ว่าแต่มึงหายไปไหนมาวะไอ้เก้า? กูรอจนต้องลงไปเอาโซดาเอง ไอ้น้องตรงนั้นมันบอกว่าไม่เห็นมึงไปเอานี่หว่า?

 

อวาต้าร์รอยสัก :  กูไปจัดการเจ้าจอมมา

 

อวาต้าร์ตากล้อง : มึงเป็นฮ่องเต้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?

 

อวาต้าร์รอยสัก :  เชี่ยนี่ ไม่ใช่โว้ย ไอ้เด็กจิตรกรรมนั่นไง มันชื่อเจ้าจอม

 

อวาต้าร์ Mr.น่านฟ้า :  ห๊ะ?! มึงไปทำอะไรน้องเค้าวะ?! ไอ้เชี่ย เค้าจะเรียกตำรวจมาจับมึงป่ะเนี่ย มึงไม่ต้องกลับบ้านกูเลยนะ

 

อวาต้าร์รอยสัก :  สัส รักเพื่อนเหลือเกินนะมึงอ่ะ กูแค่ไปเตือนโว้ย ไม่ได้ทำอะไร

 

อวาต้าร์ตากล้อง : กูไม่เชื๊อออ

 

อวาต้าร์ทะเลยามเย็น : ตำรวจจะมาจับใครนะ?

 

อวาต้าร์รอยสัก :  .......

 

อวาต้าร์ Mr.น่านฟ้า :  ........

 

อวาต้าร์ตากล้อง :  อ่ะ ถึงแระ ลงรถกันเถอะ เชี่ยไม้ เดี๋ยวกูค่อยอธิบายให้มึงฟังนะ ด้วยรัก

 

 

 

 

ไอ้สามตัวข้างหลังมันเดินขำจนไหล่สั่นเรื่องอะไรกัน? ร่างโปร่งบางก้าวขาลงจากรถด้วยความสงสัยเพราะยังไม่ได้เปิดไลน์ดู

 

“พายุ”    แล้วในขณะที่กำลังจะเดินเข้าบ้าน เสียงทุ้มก็เรียกให้เขาต้องหันกลับไป

 

“ครับ?”    อาจารย์องศาที่ยังนั่งอยู่หลังพวงมาลัยพยักหน้าเรียก เขาจึงเดินกลับไปหาด้วยความมึนงง หรือจะลืมบอกอะไร?

 

ทว่า...แค่เขาเข้าไปใกล้พอ...มือใหญ่ก็เอื้อมออกมากดหลังคอของเขาลงไป...

 

ปลายนิ้วเย็นๆที่แตะอยู่บนท้ายทอยทำให้สะดุ้งเบาๆ ก่อนที่เลือดลมจะไหลขึ้นสู่ใบหน้าทันทีทันใด

 

อาจารย์องศาขยับหน้าเข้ามาใกล้ ...ปลายจมูกเฉียดผ่านซอกคอของเขาไป...แค่นิดเดียว...

 

“ถ้าจะให้ดมกลิ่น...ก็ต้องระยะประมาณนี้สิครับ ว่าไหม?”    ดวงตากลมใสถึงกับเบิกกว้าง เสียงฟุดฟิดๆนั่นบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังดมกลิ่นของเขาอยู่จริงๆ

 

“อะ อะ อะ ครับ...”     อยากจะร้องอ๊ากออกไปแต่กลับทำอะไรไม่ถูกแล้ว นี่อาจารย์องศายังติดใจตอนที่เขายื่นแขนให้ดมอยู่สินะ?

 

“อืม...เหมือนกลิ่นรัมผสมสตรอว์เบอร์รี่...ตัวคุณเวลาดื่มเหล้าแล้วกลับหอมดี น่าแปลกจริงๆ”    ใบหน้าหล่อเหลาแสร้งทำเป็นละออกไปด้วยความสงสัย แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไร

 

“......”    ทั้งๆที่เขานี่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ แดงตั้งแต่ใบหูยันลำคอ เขินจนพูดไม่เป็นภาษาแล้วเนี่ย~

 

และเมื่ออาจารย์องศาเห็นสภาพเขาก็ถึงกับหลุดหัวเราะอย่างชอบใจ ดูผู้ชายขี้แกล้งคนนี้สิ!

 

ถ้าเขาหยอดไปเท่าไหร่ อาจารย์องศาก็จะหยอดคืนสิบเท่า ถ้าเขารุกไปแค่ไหน อาจารย์องศาก็จะรุกคืนสิบเท่า! เคยยอมเขาเสียที่ไหน!

 

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”    ใบหน้าหล่อเหลาหันมายิ้มให้อย่างสบายใจแล้วที่ได้แหย่เขา กระจกค่อยๆเลื่อนขึ้นก่อนที่เจ้ารถสีขาวจะเคลื่อนตัวออกไป

 

“.....”    ตอนนี้...เขาทำหน้าไม่ถูกเลยว่าจะหงึใส่หรือยิ้มให้ จะเขินอายหรือยกมือฟาดสักที รู้แค่ว่าหัวใจกำลังล้นปรี่ไปด้วยความสุขเพียงแค่นั้น...

 

“ไอ้เก้า! รัมกับสตรอว์เบอร์รี่นี่กลิ่นเป็นยังไงวะ เอามาให้กูดมหน่อยซิ!    เขากระโดดเข้าบ้านก่อนจะตะโกนลั่น

 

“ไปขอพ่อมึงสิ มึงคิดว่าเด็กมหาลัยอย่างกูจะมีเหล้ารัมเก็บไว้กับตัวรึไงไอ้เด็กนี่!

 

“แต่กูมีนะ?”

 

“ไอ้เชี่ยไม้....มึงมีได้ยังไงเนี่ย....”

 

“กูเอาไว้ทำอาหารไง?”

 

“อ่อ....”

 

“กูเพิ่งรู้ว่ากับข้าวที่กูแดกอยู่ทุกวันนี่มันทำจากวัตถุดิบชั้นเลิศขนาดนั้น...”

 

“กูก็เหมือนกัน...”

 

“มึงซุบซิบอะไรกันวะ?”

 

“เปล่าคร้าบ คุณชายไม้คร้าบบบบ”

 

 

 

 

 

 

 

ต่อให้เป็นวันที่ไม่มีเรียนแต่พวกเขาก็มักจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่มหาวิทยาลัยราวกับเป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง เพราะนอกเหนือจากการเรียนแล้วที่นี่ก็มักจะมีอะไรให้ทำอยู่เสมอ อย่างเช่นวันนี้...พวกเขากำลังทาสีผนังทับรูปเก่าเพื่อทำ Cutout สำหรับวันศิลป์ พีระศรีที่กำลังจะมาถึง

 

ที่หน้าคณะสถาปัตย์จะติดกับตึกของคณะจิตรกรรมอย่างที่บอกและผนังด้านสกัดของตึกนั้นก็กลายเป็นพื้นที่ของพวกเขาไปโดยปริยาย

 

พวกเขาใช้ผนังสูงสามชั้นนี้เป็น Cutout ของคณะสถาปัตย์ แน่นอนว่าทั้งสี่คณะต่างมีผนังตึกที่ใช้ทำ Cutout แบบนี้เป็นของตัวเอง แล้วด้วยความเป็นคณะที่เกี่ยวกับศิลปะจึงไม่มีใครยอมใครในการทำให้ Cutout พวกนี้สวยเด่น แต่ละคณะต่างก็มีลายเส้นในแบบของตัวเอง เวลาเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้นอกจากความร่มรื่นของสวนแก้วแล้วก็ยังจะได้เห็นงาน Street art สวยๆอีกด้วย

 

“ธีร์มึงปิดโปรเจคเตอร์แล้วดูหน่อยดิ๊ว่าลงเส้นครบยัง?”    ร่างสูงยาวยืนเท้าสะเอวอยู่บริเวณด้านล่างของผนัง พวกเขาไม่ใช่เพียวอาร์ตที่นึกอยากจะวาดรูปเท่ากำแพงก็ทำได้เลยเหมือนพวกเด็กจิตรกรรม เพราะงั้นจึงต้องมีตัวช่วยในการร่างเส้นกันหน่อย

 

“ตรงไอ้พายยังขาดมืออีกหน่อยว่ะ”    ไอ้ธีร์ที่เป็นคนคุมโปรเจคเตอร์กับคอยดูภาพรวมตะโกนบอกมาจากม้านั่งหน้าคณะ

 

“เคร”   ไอ้พายที่นั่งอยู่บนบันไดเหล็กเหนือหัวเขายกมือโอเคก่อนจะหันกลับไปวาดเส้นต่อ เขาจึงก้มลงไปผสมสีก่อนจะหิ้วกระป๋องไปที่บันไดอีกตัวที่มีไอ้ไม้นั่งอยู่

 

“เอ้า กูผสมสีไว้ให้แล้ว มึงจะทาเองหรือให้กูทา?”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสกินเฮดเงยขึ้นไปถาม

 

“มึงขึ้นมาทาเหอะ กูปวดคอแล้วว่ะ”    ใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวที่มัดเป็นจุกไว้ของไอ้ไม้ตอบอย่างใจเย็น

 

“เออ”    เขาตอบ มันจึงปีนลงบันไดมาก่อนจะยืดหลังอย่างเมื่อยล้า

 

“แล้วมึงอ่ะพาย เปลี่ยนกูไหม?”     ไอ้ภาคเงยหน้าขึ้นไปถามไอ้พายที่ยังมีสีหน้าชิวๆ

 

“ไม่ต้องอ่ะ มึงลงสีข้างล่างไปแล้วกัน จะได้เสร็จไวๆ กูต้องกลับไปปั้นหัวลูกกูต่อ”     ....มันไม่ได้ชิว แต่มันกำลังเผางานทางนี้เพื่อที่จะได้กลับไปเล่นกับตุ๊กตาของมันนี่หว่า ไอ้เจ้าฮาเดสตัวแสบนี่ เขาลอบยิ้มพลางส่ายหน้า

 

“แต่กูหิวแล้วว่ะ ไปแดกข้าวกันก่อนไหมวะ?”   ไอ้ธีร์เดินผ่านเงาของโปรเจคเตอร์มา เขาจึงหยิบมือถือขึ้นมาดูนาฬิกา

 

“เที่ยงแล้วนี่หว่า พักก่อนแล้วกัน”    เสียงห้าวๆเอ่ยบอกก่อนที่ทุกคนจะพยักหน้า ไอ้พายจึงโดดลงมาจากบันได

 

“กินไหนดีวะ ท่าพระจันทร์?”    ไอ้ธีร์ถาม

 

“กินนี่แหละ กูขี้เกียจเดิน ร้อน”    ไอ้พายตอบทันทีพร้อมกับชี้นิ้วโป้งไปที่ชั้นสองของอาคารหอประชุมซึ่งเป็นโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ถ้าไม่ใช่เรื่องที่มันสนใจละก็มันก็จะไม่ใส่ใจเลยไม่ว่ารสชาติของอาหารจะเป็นยังไง ต่อให้เป็นอาหารข้างทางราคาถูกมันก็กินได้หน้าตาเฉยต่างจากลุคคุณหนูของมันลิบลับ

 

“ตัวมึงถึงได้แคระแกรนแบบนี้ไง หัดเดินออกกำลังกายซะบ้างสิวะ”     เขาอดที่จะล็อคคอมันอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้สักที มันเหมือนกับเวลาที่เราเห็นลูกแมวแล้วอยากจะเข้าไปฟัดพุงอะไรประมาณนั้น

 

“ใครจะไปตัวใหญ่เป็นยักษ์มารแบบพวกมึง”    มันมุดหนีออกไปจนได้ เขาจึงแหย่กลับไปอย่างหมั่นไส้

 

“อย่างกับอาจารย์องศาของมึงไม่ตัวใหญ่งั้นอ่ะ?”    สูงกว่าเขากับไอ้ภาคเป็นคืบได้มั้งน่ะ

 

“......”    แล้วปฏิกิริยาของไอ้พายนี่มันก็ชวนให้อยากจะเดินแยกย้ายมาก ขนาดเขายังทนไม่ไหว คนปากหมาอย่างไอ้ธีร์ย่อมโพล่งออกไปทันที

 

“โหยยย มันเขินได้น่าหมั่นไส้มากเลยว่ะ เหม็นกลิ่นความรักโว้ยยย”    มันแหกปากโวยวายในขณะคนที่เหลือพากันหัวเราะ เสียงของพวกเขาดังลั่นโถงบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นสองของอาคารหอประชุม

 

โรงอาหารขนาดไม่ได้ใหญ่มากนักดูว่างโล่ง เพราะรอบๆมหาวิทยาลัยหาของกินอร่อยๆได้โดยง่าย นักศึกษาส่วนใหญ่จึงออกไปกินข้างนอกกัน อีกทั้งมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ได้คนเยอะอะไรขนาดนั้น

 

และเพราะว่าโต๊ะมันว่างนั่นแหละ...สายตาของพวกเขาจึงจับจ้องไปยังกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวที่นั่งอยู่ก่อนแล้วโดยมิได้นัดหมาย

 

ชุดนักศึกษาอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งไม่มีใครเขาใส่กันทำให้อารมณ์ที่กำลังสดใสขุ่นมัวขึ้นมาทันที

 

โอ๊ะ นั่นมันปีหนึ่งจิตรกรรมนี่ น้องเจ้าจอมของมึงนั่งอยู่ตรงไหนวะไอ้เก้า?”   ไอ้พายแซวและมันก็ยิ่งทำให้บนขมับเขามีเส้นเลือดเต้นตุบๆ

 

ของกูเชี่ยไร    แทบไม่ต้องกวาดตาหาเขาก็มองเห็นเจ้าเด็กนั่นปะปนอยู่ในกลุ่มเด็กจิตรกรรมที่นั่งอย่างเป็นระเบียบ

 

ไปแดกที่อื่นไหมล่ะ?”   ไอ้ภาคยิ้มขำๆแต่มันก็ถามเพราะเข้าใจความรู้สึกเขา

 

แดกนี่แหละ ทำไมกูต้องหนีมันด้วย   เขาเชิดหน้าก่อนจะเดินนำเข้าไปยังโต๊ะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะของเด็กนั่นอย่างจงใจ

 

กูไม่ได้กลัวมึงแดกข้าวไม่ลงโว้ย แต่กูกลัวมึงจะหันไปแดกหัวน้องเค้าแทน เมื่อคืนกูไม่ได้นอนด้วย กูไม่มีแรงห้ามมึงหรอกนะ    ไอ้ภาคหัวเราะ

 

กูเห็นด้วยกับไอ้ภาค    ไอ้พายพูด อย่างมันเนี่ย น่าจะขี้เกียจมากกว่าจะอยากเข้าไปช่วยห้ามเวลาเขามีเรื่อง

 

ไม่เอา กูจะแดกนี่ ไหนมึงว่าร้อนขี้เกียจเดินไงไอ้พาย    เขายังดื้อดึง

 

ตามใจมึงละกัน~~”

 

แล้วพอนั่งลงไปบนโต๊ะได้ เขาก็จ้องเขม็งไปที่เด็กนั่นจนมันนั่งตัวเกร็ง

 

 

 

 

 

 

พี่พวกนั้นเค้ามองนายเปล่าวะเจ้าจอม? จ้องเขม็งอย่างกับจะจับนายย่างกินอ่ะ”     เพื่อนที่นั่งข้างๆกระซิบถามเมื่อทุกคนในโต๊ะต่างก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมาอย่างเปิดเผย ใบหน้ามนจึงส่ายน้อยๆก่อนจะหลบหน้าหลบตา

 

สายตาคู่นั้นมันน่ากลัวมากสำหรับเขา...แต่ที่มากกว่าก็คือมันยังมีสายตาอีกสี่คู่ที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น มันเป็นสายตาของเหล่านักล่าที่จับจ้องมองเหยื่อ เป็นสายตาของผู้ที่เหนือกว่ากำลังใช้มองพวกของเล่น...

 

เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนั้นเลยจริงๆ...

 

นั่นมันพวกตองเก้าของสถาปัตย์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมจ้องนายขนาดนั้นอ่ะ? ไปมีเรื่องอะไรกันมารึเปล่า?”    เพื่อนเขาเริ่มถามอย่างสงสัยเพราะพี่พวกนั้นพากันมองไม่หยุดจนเขานึกอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

 

ไม่มี…”    เสียงสั่นปฏิเสธออกไป จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่ามี เพราะเขาเองก็ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเลยสักนิด ถ้าเพื่อนถามว่าเขาไปทำอะไรให้อีกฝ่ายหมายหัวเอาได้ เขาจะตอบว่ายังไง? ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้เลย

 

ไม่มีก็ดีแล้ว อย่าไปมีเรื่องกับพวกนั้นเชียว เห็นพวกรุ่นพี่บอกว่าเส้นใหญ่มาก ขนาดอธิการบดีก็ยังต้องเกรงใจ แล้วก็เป็นหน้าเป็นตาของมหาลัยด้วยเลยไม่มีใครกล้าแตะ    ...เป็นอารมณ์พวกลูกคนรวยงี้เหรอ? พวกเด็กเกเรที่มีอิทธิพล? เขาได้แต่ฟังข้อมูลจากเพื่อนอย่างไม่รู้อะไรมาก่อน ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าพวกเขามักจะปลีกวิเวกอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของมหาวิทยาลัย อยู่ในโลกของตัวเองจึงไม่ค่อยได้สนใจใคร เขาที่รู้ว่ามีตัวตนของคนห้าคนนี้อยู่ก็ถือเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจะแย่แล้ว

 

แต่เอาจริงๆนะ เหมือนเราเห็นรูปปั้นเทพเจ้าในห้องหุ่นมาตั้งอยู่ตรงนี้เลยว่ะ    เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆพูดออกมา เขาจึงแอบเหลือบตาขึ้นไปมองคนทั้งห้าที่กำลังกินข้าวกันไปพูดคุยเล่นหัวอย่างสนุกสนานกันไป...จริงอย่างที่เพื่อนบอก...เหมือนเห็นรูปปั้นที่กำลังขยับได้ห้าชิ้นยังไงอย่างงั้น

 

นั่นดิ ถ้าได้ไปเป็นแบบตอนทำโปรเจคจบของเทอมนี้จะดีขนาดไหนนะ    เขาฟังเพื่อนอยู่เงียบๆ ตอนจบเทอมพวกเขาต้องทำโปรเจคส่งอาจารย์ และการหานายแบบหรือนางแบบเพื่อวาดรูปนั้นก็สำคัญมาก

 

แต่เขาเอง...กลับไม่คาดหวังว่าคนแบบนั้นจะมาเป็นแบบให้...

 

เอาแค่...เลิกมองเขาแบบจะจับหักคอให้ได้ก่อนก็พอแล้ว...

 

พวกรุ่นพี่ก็บอกนะว่าพี่ๆก็เล็งกันมาทุกปี ปีก่อนๆก็เคยมีคนไปขอให้มาเป็นแบบให้ ขนาดเป็นพี่ที่ซี้ๆกับพวกเด็กถาปัด แต่ห้าคนนั่นก็ยังไม่เอาด้วยเลย   เขาฟังเพื่อนคุยกันต่อไป

 

ทำไมวะ?”

 

เขินมั้ง? ถึงจะเด่นขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนพวกเซเลบนี่หว่า ไม่งั้นจะลากแตะมากินข้าวที่นี่เหรอ   

 

อุ๊บ ก็จริง”    เขาเหลือบตากลับไปมองอย่างเพิ่งจะได้สังเกตดีๆเพราะก่อนนี้ไม่กล้า...จริงด้วยแหะ...

 

พี่เก้า...ใส่เสื้อกล้ามตัวโคร่งจนมองเห็นรอยสักที่มีตั้งแต่แขนลามไปจนถึงส่วนที่เสื้อสีขาวนั่นปิดบังไว้ มีเสื้อเชิ้ตลายดอกสีดำบางๆทับอีกชั้น กับกางเกงลายทหารสามส่วน แล้วก็สวมรองเท้าแตะหนีบมาจริงๆ

 

เขาอึ้งไป จะว่าดูน่ากลัวเหมือนพวกนักเลงแต่ก็เพราะทั้งห้าคนนั้นแต่งตัวไม่ได้เข้ากันเลยสักนิด เรียกว่าคนละแนวกันเลย แต่กลับไปไหนมาไหนด้วยกันก็ดูขำๆดี ดูชิวๆมากกว่าจะหรูๆหยิ่งๆเหมือนพวกลูกคนรวยทั่วไป

 

เพราะอยู่ด้วยกันห้าคนหรือเปล่านะ ถึงไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่คิด

 

มีคนหนึ่งที่สวมเสื้อสบายๆสไตล์ผ้าพื้นเมืองกับกางเกงแม้ว?...ส่วนคนที่กัดผมสีบรอนด์นั่นก็เป็นเสื้อฮู้ดกับกางเกงจั๊มป์ขาเหมือนหลุดออกมาจากมังงะญี่ปุ่น?...คนที่ทำผมเดธร็อคก็ใส่เสื้อยืดง่ายๆกับกางเกงยีนส์ขายาวขาดๆดูเซอร์ๆ...ส่วนคนสุดท้ายที่แหวกแนวสุดแล้วก็น่าจะเด่นสุดด้วยชุดสีดำล้วนนั่นก็มาในเสื้อคอกว้างแบบพังก์ๆกับกางเกงสี่ส่วนรูดข้าง รองเท้าบูท...

 

ไม่เหมือนกันเลยสักนิดแล้วก็ไม่เข้ากันด้วย

 

เขามองความไม่เข้ากันที่ดันลงตัวนั้นอย่างทึ่งๆ

 

มอง...ใบหน้าดิบเถื่อนตอนที่อยู่กับเพื่อน...

 

กำลัง...ยิ้ม กำลังหัวเราะอยู่...

 

แล้วทำไมเวลามองมาที่เขาถึงได้ต้องทำหน้าไม่พอใจ ทำหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์แบบนั้นด้วย...

 

ไม่เห็น...จะเข้าใจเลย...

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากได้เจอพี่ๆตองเก้ามายกกลุ่ม ทั้งชั้นเรียนของเขาจึงมีแต่เสียงพูดคุยกันถึงความพยายามที่จะขอให้พวกนั้นมาเป็นแบบวาดรูปให้ ต่างคนต่างก็หมายตาพี่ที่มีสไตล์ที่ตัวเองชื่นชอบ นอกจากนี้ยังคุยกันอีกว่าจะใช้วิธีไหนให้พี่พวกนั้นยอมมาเป็นแบบให้ เพราะดูแล้วแค่เข้าไปขอร้องหรือทำความรู้จักกันแบบผิวเผินอาจจะไม่ได้ผล แล้วก็คงจะใช้เงินจ้างไม่ได้เสียด้วย

 

ร่างผอมบางหิ้วถังใส่อุปกรณ์งานปั้นเดินลงมาจากตึกคณะเพื่อจะไปยังโรงหล่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาใช้ข้ออ้างในการช่วยอาจารย์ขนของเพื่อหลีกหนีออกมาจากวงสนทนาเหล่านั้นของเพื่อนๆ

 

เพราะเขาไม่มีไอเดียแล้วก็ไม่มีความคิดที่จะอยากให้ทั้งห้าคนนั้นมาเป็นแบบวาดรูปให้เขาเลย

 

ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะอยู่เงียบๆมากกว่าจะอยากอยู่กับคนที่เป็นจุดสนใจพวกนั้น

 

อีกอย่าง...ตอนนี้เขาก็ยังไม่มีแรงบันดาลใจ ยังไม่มีอะไรที่อยากจะวาดเลย เขามักจะความรู้สึกช้าจนค่อนข้างด้านชาแบบนี้อยู่เสมอจนแม้แต่พี่ชายเพียงคนเดียวของเขาก็ยังบ่นอยู่ตลอดว่าให้หัดสนใจโลกภายนอกบ้าง

 

แกร๊ง

 

เขาวางถังลงไปในห้องพักอาจารย์ซึ่งอยู่ในโรงหล่อ ใบหน้ามนมองต้นแบบอนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงกับสมเด็จพระนเรศวรซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในห้องโถงสูงใหญ่ คงไม่มีใครคิดเป็นแน่ว่าจะมีโรงหล่ออยู่ใกล้กับวัดพระแก้วแค่นี้ และที่นี่ก็เคยเป็นสถานที่ผลิตรูปปั้นของอนุวสาวรีย์หลายแห่งในประเทศไทยขึ้นมา ดูจากต้นแบบที่ยังถูกเก็บไว้ที่นี่นับสิบรูป

 

ร่างโปร่งบางเดินออกจากโรงหล่อซึ่งลานหินตรงนี้ก็เชื่อมต่อกับด้านหนึ่งของตึกมัณฑนศิลป์ เสียงที่คุ้นเคยจึงเรียกให้ได้ยิน

 

“ขวัญ!    ฝ่าเท้าชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมอง

 

“สอง?”    หญิงสาวรีบวิ่งลงจากบันไดหน้าคณะของตัวเองเพราะกลัวเขาจะหนีไป เขารู้จักกับอีกฝ่ายผ่านพี่ชายของเขาอีกที...และนี่...ก็คือน้องสาวของพี่เก้า...

 

“อ่ะ ต้องเรียกเจ้าจอมสินะ? โทษทีๆ”    หญิงสาวยิ้มร่าเริง สองเป็นผู้หญิงที่น่ารักสดใสต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง

 

“ไปหาหนมกินกัน! ที่ท่าช้างนี่เอง นายว่างอยู่หรือเปล่า? ไปด้วยกันเถอะ เดี๋ยวเขตต์ก็จะตามไปเหมือนกัน ตอนนี้โดนอาจารย์ดักไว้อยู่”    สองมือของหญิงสาวจับหมับมาที่แขนเขา อีกฝ่ายน่าจะอยากสนิทสนมกับเขาถึงได้พยายามเข้าหาเขาก่อน ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด  เขาจึงตั้งใจจะปฏิเสธเพราะเขาเองก็ไม่ชอบอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ แล้วก็ไม่มีอะไรจะคุยกับหญิงสาวด้วย

 

“...คือวะ- ?”     แต่แล้วจู่ๆก็มีมือใหญ่ของใครบางคนมาตัดฉับระหว่างมือของสองกับแขนของเขา

 

“อ่ะ...”    แล้วพอเงยหน้าขึ้นไปมองจึงรู้ว่าเงาทะมึนที่ทาบทับอยู่บนหัวนั่นก็คือพี่เก้า...ที่กำลังทำหน้าราวกับจะฉีกร่างเขาโยนให้หมากินยังไงอย่างงั้น

 

“พี่?!   สองอุทานอย่างตกใจ  เขาลืมไป...ว่าพวกพี่เก้ากำลังทาสี Cutout อยู่ข้างๆนี้!

 

“กำลังจะไปไหนกันเหรอ?...แต่หมอนี่คงไม่ว่างไปกับแกหรอก เพราะหมอนี่มีธุระกับฉันน่ะ ขอตัวมันไปก่อนนะ”    เสียงเย็นๆเอ่ยออกมาจนเขารู้สึกเสียวสันหลัง กลายเป็นมือใหญ่จับลงมาที่ข้อมือของเขาแทน แรงบีบทำให้ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ร่างสูงใหญ่เริ่มออกแรงลากให้เขาเดินตามไปและเขาก็ขัดขืนแรงนั่นไม่ได้เลย

 

“พี่? รู้จักกับเจ้าจอมด้วยเหรอ?”    สองที่ยังยืนอยู่ที่เดิมร้องถามด้วยความมึนงง

 

“เออ!    แต่พี่เก้าก็ไม่ได้หันไปตอบและยังคงตั้งหน้าตั้งตาลากจนเขาแทบจะปลิวติดมือไป เขาหันไปมองสองที่ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะถอดใจแล้วเดินจากไป เดี๋ยวสิ ช่วยเขาด้วย ช่วยเขาก่อน~

 

ตุ้บ!

 

“อึก?!     เขาถูกกดให้นั่งลงที่ม้านั่งหน้าคณะสถาปัตย์ท่ามกลางสายตาตะลึงพรึงเพริดของเพื่อนๆพี่เก้า อีกฝ่ายไม่ได้เบาแรงกับเขาเลย...

 

“นั่งอยู่นี่! อย่าได้คิดจะกระดิกตัวแม้แต่มิลเดียว แล้วก็เลิกคิดที่จะตามน้องสาวกูไปได้เลย”    ใบหน้าหาเรื่องนั่นใช้น้ำเสียงข่มขู่...เขาก็ไม่ได้คิดจะตามไปเสียหน่อย...

 

“แต่ผมต้องกลับไปที่คณะ...”

 

“คณะมึงไม่หนีไปไหนหรอก นั่งอยู่กับกูตรงนี้แหละ! ถ้าพี่มึงคนไหนมีปัญหาบอกให้มันมาหากู”     ก็รู้สินะว่าเขาจะโดนรุ่นพี่ในคณะของเขาดุเอาได้หากเขาแตกกลุ่มกับเพื่อนนานๆ...คงไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นหรอกใช่ไหม...

 

เขานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกังวล แต่จะแอบหนีไปก็กลัว เพราะใบหน้าแข็งกร้าวนั่นคอยหันมามองด้วยสายตาดุร้ายอยู่ทุกๆนาที

 

เฮ้อ....

 

เขาถอนหายใจก่อนจะกลับมานั่งตัวเกร็งเมื่อถูกสายตาคมกริบนั่นมองมา เขาก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหนแล้วไง เลิกมองได้แล้ว...

 

ร่างผอมบางนั่งตัวลีบอยู่หน้าคณะที่ไม่คุ้นเคย การถูกพวกเด็กถาปัดที่เดินผ่านไปผ่านมามองอย่างสงสัยก็มีแต่ทำให้เขาลุกลี้ลุกลน เขาต้องพยายามไม่สนใจสายตาพวกนั้นด้วยการหันไปโฟกัสอยู่ที่หน้าCutoutแทน หันไปมอง...พี่ๆกลุ่มตองเก้าทั้งห้าคนแทน...

 

ดวงตาอ่อนหวานทอดมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยสัก คงจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อนตอนนี้พี่เก้าจึงถอดเสื้อเชิ้ตลายดอกนั่นออกเหลือแต่เสื้อกล้าม แล้วด้วยความบางของเนื้อผ้าเขาจึงมองเห็นใบหน้าของเสือตัวหนึ่งอยู่บนร่างกายแข็งแรงนั่น...

 

มันเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ที่กำลังขู่คำราม...

 

ถึงจะยังเห็นไม่ชัดแต่รอยสักนั่นกลับทำให้เขาละสายตาจากมันไปไม่ได้...มันเป็นรอยสักสีดำเพียงสีเดียวที่ไม่เหมือนใคร เขาไม่เคยเห็นรอยสักแบบนี้มาก่อน มันเป็นเหมือนการตวัดวาดด้วยพู่กันจีนอย่างไงอย่างงั้น

 

นี่มัน...เท่ห์มากๆเลย...

 

และสิ่งที่ทำให้เจ้าเสือตัวนั้นดูสง่างามน่าเกรงขามก็คือร่างกายที่เป็นทรงสามเหลี่ยมของพี่เก้า เพราะกล้ามเนื้อที่สวยงามพวกนั้นจึงทำให้เสือนั่นดูหล่อเหลาเอาการมากๆเลย...

 

สายตาของเขาราวกับถูกมันสะกด จนกระทั่ง

 

“ไอ้เชี่ยพาย มึงปาดแปรงหน่อยสิวะ สีมันหยดลงหัวกูแล้วเนี่ย!    เพื่อนพี่เก้าคนที่กัดสีผมตะโกนโวยวายอยู่ใต้บันไดเหล็กทำเอาคนทั้งสี่ที่เหลือหัวเราะครื้นเครง

 

“มึงก็หลบดิวะ ง่าวป่ะเนี่ย?”    คนที่นั่งอยู่บนบันไดเอ่ยอย่างยียวน

 

“โอ้โห~ มึงจะให้กูทาสีไปด้วย หลบหยดสีของมึงไปด๊วย? มึงเห็นกูมาฝึกวิทยายุทธรึไงวะ?”

 

“เออ! มึงโกนหัวซะ แล้วกูจะให้ไอ้เก้ารับมึงเป็นศิษย์เข้าวัดเส้าหลินของมัน”   แล้วสีก็ร่วงกราวลงไปอีกหลายหยด

 

“ไอ้เด็กนรกนี่! มึงจะเอาใช่ไหม? มึงอย่าลืมว่ามึงนั่งอยู่บนบันไดหนีกูไม่ได้นะโว้ย!    แล้วแปรงในมือก็ปาดลงที่ขาขาวๆของเพื่อนไปหนึ่งที

 

“อ๊า! มึงปาดขากูทำไมไอ้ธีร์ กูจะฆ่ามึงงงง”    แล้วการสู้รบแบบเด็กๆนั่นก็ยังดำเนินต่อไป มันเหมือนเขานั่งดูเด็กอนุบาลระบายสีผนังอยู่มากกว่า

 

“เดี๋ยวพวกมึงจะโดนฝ่ามืออรหันต์ของกู หน้าอาจารย์ศิลป์กูเลอะหมดแล้วไอ้ห่าพวกนี้!    พี่เก้าที่นั่งอยู่บนบันไดอีกตัวเอาเท้ายันแผ่นหลังเพื่อนหัวกัดสีนั่นเอาไว้ ที่ถูกแซวว่าเป็นพระวัดเส้าหลินคงเป็นเพราะหัวสกินเฮดนั่นแน่ๆ แต่นอกจากจะไม่โกรธกันแล้วยังรับมุกอีกแน่ะ

 

“พวกมึงอย่ามาตีกันบนหัวกูได้ไหมเนี่ย?”    เพื่อนผมยาวที่นั่งยองๆระบายสีมุมข้างล่างยกแขนขึ้นป้องใบหน้า ดูชุลมุนวุ่นวายมากภาพตรงหน้า

 

“อุ๊บ...”     เขาลอบเขาจนไหล่สั่น ต้องพยายามเก็บอาการไม่ให้คนพวกนั้นรู้ตัว

 

ถึงจะทำไปเล่นไปแต่ทั้งห้าคนก็ดูสนุกแล้วก็มีความสุข ดูเป็นการระบายสีที่ไม่มีความซีเรียสกังวลใจใดๆ...มันทำให้เขานึกถึงบางสิ่งที่หลงลืมไป...

 

เขาเหลือบมองใบหน้าแบบแบดบอยที่กำลังหัวเราะลั่น ตามตัวพี่เก้าก็มีแต่สีเลอะอยู่เช่นกัน และถึงงานจะเทียบไม่ได้กับภาพจิตรกรรมชั้นครูที่พวกเขาวาด แต่คนตรงหน้ากลับดูมีความสุขมาก...

 

ความสุข...ที่เกิดจะการวาดรูป...

 

ความสนุก...ที่เกิดจากการได้ทำงานที่ตัวเองชอบ...

 

นั่นคือ...สิ่งที่เขาลืมมันไป...

 

เขาเลือกสอบเข้าคณะจิตรกรรมก็เพราะมีคนบอกให้เขาเลือก เขาวาดรูปก็เพราะมีคนบอกว่าเขามีพรสวรรค์

 

แต่เขากลับหลงลืมความรู้สึกตอนที่วาดรูปอย่างมีความสุขไปแล้ว ได้แต่วาดตามที่คนอื่นบอก วาดตามหน้าที่...จนตอนนี้มันกลับเป็นเพียงภาพที่ไร้หัวใจ 

 

ถึงจะสวยแค่ไหนแต่มันกลับเป็นภาพที่ไม่มีความรู้สึก...

 

ดวงตาเหลือบไปเห็นกระดาษกับปากกาที่วางอยู่ข้างๆโปรเจคเตอร์ มือเผลอหยิบมันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...

 

เส้นสายถูกถักทอลงไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่ได้ผ่านการสั่งงานจากสมอง รอยยิ้มที่เขาอยากเก็บมันไว้ถูกวาดลงไป...ดวงตาร้ายๆคู่นั้น จมูกที่โด่งเป็นสัน รอยหยักที่ริมฝีปาก...

 

รู้ตัวอีกที...ใบหน้าของพี่เก้าก็มาอยู่บนกระดาษแผ่นนี้แล้ว...

 

เขามองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างตื่นตะลึง มือบางรีบพับกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะยัดใส่กระเป๋าเสื้อ หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักราวกับไปทำอะไรผิดมา...

 

ดวงตาอ่อนหวานเหลือบมองไปที่ร่างสูงยาวซึ่งเลิกจับตามองเขามาสักพักแล้ว...จะว่าไป คนที่ปลุกหัวใจที่ตายด้านของเขาขึ้นมากลับเป็นผู้ชายที่น่ากลัวคนนี้

 

เขารู้สึกชินชากับทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งผู้ชายคนนี้เดินดุ่มๆเข้ามาทำให้เขากลัว ความกลัวก็เป็นความรู้สึกที่เขาลืมเลือนไป จนตอนนี้ก็ยังมาทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีก...

 

ถ้าได้วาดรูปพี่เก้าอีกครั้ง เขาจะค้นหาหัวใจที่ปล่อยให้หลับใหลจนหายไปนั่นเจอไหมนะ?

 

แล้วมันจะมีเงื่อนไขอะไร...ที่จะทำให้คนแบบนั้นยอมมาเป็นแบบให้เขาวาดรูปได้บ้างล่ะ?

 

 

 

 

 

 

 

แล้วเงื่อนไขที่ว่า...ก็มาไวกว่าที่คิด...

 

ร่างสูงยาววิ่งขึ้นไปยังสตูปีสามที่บัดนี้ว่างโล่งเพราะไม่ใช่วันที่มีวิชาภาคปฏิบัติ เพื่อนคนอื่นต่างเดินลงไปหาข้าวกินกันหมดแล้วหลังจากเลคเชอร์วิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมจบลง

 

แต่เขาดันลืมสเกลเอาไว้เลยต้องขึ้นมาเอา ดวงตาเรียวกวาดมองหาไม้สามเหลี่ยมขนาดเท่าไม้บรรทัด แต่ไม้บรรทัดของพวกเขาจะไม่ได้มีหน่วยแค่เซ็นติเมตรหรือนิ้วอย่างไม้บรรทัดทั่วไป มันมีสเกลมากมายสำหรับใช้ในการเขียนแบบอยู่

 

แล้วเขาก็เจอไม้สามเหลี่ยมที่มีแกนกลางสีเหลือง แดง ขาววางอยู่ที่โต๊ะเขียนแบบของเขาเอง มือใหญ่จึงหยิบมันขึ้นมาก่อนจะตั้งท่าเตรียมเดินออกจากสตู

 

ทว่า...สายตากลับเหลือบไปมองสตูจิตรกรรมที่อยู่ตึกข้างๆโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

แล้วเขาก็เห็นเจ้าเด็กนั่นนั่งวาดรูปอยู่ตามลำพัง...

 

“เหอะ”    เขาเค่นหัวเราะอย่างพยายามไม่หันไปสนใจอะไรมากนัก คติพจน์ของเขาก็คือจะกินหัวเฉพาะพวกไม่เจียมตัวที่เข้ามาจีบน้องสาวเขาเท่านั้น ถ้าไอ้เด็กนั่นมันไม่ได้ทำอะไรเขาก็จะไม่ลงไม้ลงมือกับมัน

 

ทั้งๆที่ตั้งใจเอาไว้แบบนั้น...

 

แต่มันกลับพังทลายไปทันทีที่เสียงแจ้งเตือนหนึ่งดังขึ้นมา

 

เขาเปิดอินสตราแกรมของน้องสาวเขาดู ก่อนจะเห็นภาพที่เพิ่งโพสต์เมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา

 

มันเป็นภาพของน้องสาวเขาที่ถ่ายคู่กับเจ้าเด็กนั่น...

 

พร้อมกับแคปชั่นรูปหัวใจ!

 

เขายืนตะลึงนิ่งค้างไปหลายวินาที

 

มีคอมเม้นต์จากเพื่อนๆของไอ้สองพิมพ์เข้ามาแซวในทันที มีคนเข้ามาถามว่าตกลงคบกันแล้วใช่ไหม? แล้วน้องของเขาก็มาตอบว่า “ใช่”

 

“......”     เขาอึ้งไปจนพูดอะไรไม่ออก...

 

ใช่ เชี่ยอะไรล่ะ?!!

 

ความโมโหพุ่งปรี๊ดขึ้นมาที่ขมับทันที ทั้งๆที่เขาเตือนไปตั้งขนาดนั้น ทั้งที่ต่อหน้าเขาก็ทำเป็นกลัวหง๋อ แต่พอลับหลังเขากลับตกลงคบกับน้องสาวเขาเนี่ยนะ?

 

ไอ้เด็กนั่น...มันคิดว่าเขาขู่มันเล่นๆหรือไง?!

 

สันกรามถึงกับกัดกันกรอดในขณะที่พุ่งตัวลงจากชั้นสี่ แล้วแทนที่จะก้าวขาเดินตามกลุ่มเพื่อนไปเขากลับเลี้ยวไปในทิศตรงกันข้าม ขายาวก้าวเข้าไปในตึกจิตรกรรมด้วยไออันตรายแบบถึงขีดสุด ใช่ตอนนี้เขาโมโห โมโหมาก!

 

โครม!

 

มือใหญ่เปิดประตูก่อนจะเดินชนขาตั้งจนล้มระเนระนาด คนที่นั่งวาดรูปอยู่ตามลำพังหันมามองเขาอย่างตกใจ

 

“พี่...”    ใบหน้ามนผงะไปและคงจะรับรู้ถึงความอันตรายของเขาได้ ร่างบอบบางนั่นจึงลุกขึ้นแล้วเตรียมจะวิ่งหนีทันที

 

หมับ!

 

แต่เขาก็ไวกว่ามาก มือใหญ่คว้าหมับไปที่ข้อมือเล็กก่อนจะออกแรงเหวี่ยงตัวบางๆนั่นจนล้มหงายลงไปกับพื้น ทั้งกระดานวาดภาพที่เจ้าจอมวาดอยู่ ทั้งดินสอยางลบอุปกรณ์ต่างๆต่างถูกชนจนหล่นกระจาย แต่คนทำอย่างเขาก็ไม่ได้สนใจ

 

ร่างสูงใหญ่ตรงเข้าไปคร่อมคนที่พยายามจะดิ้นหนีให้อยู่กับพื้น สองมือจับข้อมือเล็กกดไว้จนร่างกายบางนั้นถูกตรึงและถึงจะพยายามดิ้นรนก็หนีไปจากเงื้อมมือของเขาไม่ได้อีก

 

“มึงนี่ไม่ได้ฟังกูเลยใช่ไหม?”   เขาตะคอกใส่คนที่อยู่ใต้ร่าง

 

“เอ๊ะ? อะ อะไรกันครับ?”    ใบหน้าที่ตกใจกลัวเอ่ยตอบตะกุกตะกัก มันยังคงทำหน้าไม่เข้าใจ ทำหน้าราวกับกลัวเขาเสียเต็มประดา ทั้งๆที่ลับหลังเขากลับเป็นอีกอย่าง และมันก็ยิ่งมีแต่จะทำให้เขาโมโห!

 

“กูบอกแล้วไงว่าห้ามมายุ่งกับน้องสาวกู!    เขาตะคอกใส่ด้วยเสียงทรงพลัง มือใหญ่บีบจนข้อมือเล็กเป็นรอยช้ำและยังคงกดมันเอาไว้กับพื้น ร่างกายบางสั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด พยายามจะดิ้นหนีแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้

 

“ผมก็ไม่ได้”    เจ้าเด็กตรงหน้าพยายามปฏิเสธแต่มันก็เห็นกันอยู่ทนโท่ว่าเจ้าเด็กนี้เห็นเขาเป็นแค่ตัวตลก ต่อหน้าเขาก็ทำอย่าง ลับหลังเขาก็ทำอีกอย่าง และเขาเกลียดคนหน้าไหว้หลังหลอกชอบหักหลังแบบนี้ที่สุด!

 

“มึงอย่ามาบอกนะว่ามึงรักน้องสาวกูจริงๆน่ะ? มึงยังไม่ทันจะรู้จักน้องสาวกูเลยแต่ก็ตกลงยอมคบกันเป็นแฟนแล้วเนี่ยนะ? มึงหวังอะไร? มึงหวังอะไรจากน้องสาวกู? จากบ้านกู?”    

 

“ผมเปล่า”    ใบหน้ามนสะบัดไปมาจนเส้นผมละพื้นเลอะไปหมด ยิ่งอีกฝ่ายขัดขืนเขาก็ยิ่งโมโห ยิ่งอีกฝ่ายปฏิเสธเขาก็ยิ่งโกรธ

 

ได้...ในเมื่อมันกล้าท้าทายเขาขนาดนี้ เขาก็จะนับว่ามันยังพอมีความกล้าอยู่บ้าง เพราะงั้นเขาจะให้โอกาสมันได้สู้...

 

“เอาเถอะ...ถึงมึงจะหวังอะไรกูก็ไม่เคยว่าถ้ามึงรักและปกป้องน้องสาวกูได้จริงๆ”      ดวงตาหาเรื่องจ้องสบลึกลงไปในดวงตาสั่นเครือ และเมื่อใบหน้ามนตั้งใจจะบ่ายหน้าหนี มือแข็งแรงก็จับหมับบีบปลายคางให้เผชิญหน้ากับตนทันที

 

“อื้อ...”    ใบหน้ามนส่ายหนีอีกก็ยิ่งถูกบีบเอาไว้ให้แน่นขึ้นไปอีก เสียงกดต่ำพูดออกไปอย่างข่มขู่

 

“งั้นมึงลองทดสอบดู ถ้ามึงรอดจากกูไปได้ กูถึงจะยอมให้มึงคบกับน้องสาวกู!    มือบางข้างที่ถูกปล่อยไว้เริ่มผลักไสเขาเมื่อรับรู้ถึงอันตราย

 

ปึ้ง!

 

เขาจึงจับมือข้างนั้นกดลงพื้นอีกครั้งก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปกระซิบที่ใบหูของคนที่แทบไม่มีแรงสู้

 

“ถ้ามึงสู้กูได้ ถ้ามึงต่อยกูได้แม้แต่เพียงหมัดเดียว กูจะยอมปล่อยไปก็ได้ ความรักของมึงกับน้องกู”    ใบหน้าเรียวกดริมฝีปากลงไปที่ลำคอขาวอย่างจะบอกให้รู้ว่าเขาเอาจริง ร่างบางสะดุ้งโหยงทันทีและแรงต่อสู้ดิ้นรนก็ต้านแรงกดของเขาขึ้นมา

 

“อื้อ! เดี๋ยวก่อน ผมไม่?!    หัวเข่าของคนข้างใต้พยายามดิ้นหนี ดินสอแรเงากับพู่กันที่ตกเกลื่อนกราดถูกรองเท้าผ้าใบกวาดจนเกิดเสียงโครมคราม

 

“ไม่อะไร?! มึงสู้กูสิ มึงขัดขืนกูสิ!    มือของเขายิ่งออกแรงบีบ เขากระตุ้นเร้าให้อีกฝ่ายขัดขืน แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็มีแต่จะทำให้เขาหงุดหงิด ทำไมไอ้เด็กนี่มันอ่อนแอขนาดนี้วะ?! อ่อนแอ แต่ก็ยังกล้าท้าทายเขา!

 

ริมฝีปากร้อนจึงกดลงไปบนผิวเนื้อนุ่มอีกรอบ คราวนี้เขาจงใจกัดจนลำคอขาวขึ้นเป็นรอยแดง

 

“ผม...อย่านะ ปล่อย!    ข้อมือเล็กๆนั่นขืนแรงของเขามากขึ้น ร่างข้างใต้ก็ดิ้นรนมากขึ้นราวกับรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีมาสู้กับเขาแล้ว...แต่มันก็ยังไม่พออยู่ดี

 

“กูบอกให้มึงขัดขืนกูไง!    เขาตะคอกใส่ อย่าว่าแต่จะต่อยเขาสักหมัดเลย...แค่จะหลุดไปจากมือเขายังทำไมได้เลยมั้งแบบนี้

 

ใบหน้าจึงย้ายไปที่ซอกคออีกข้างก่อนจะกดริมฝีปากลงไป เขาดูดเม้มจนร่องรอยสีกุหลาบถูกฝากไว้อีกหลายรอย

 

“อื้อ ปล่อยผมนะครับ!    ใบหน้ามนสะบัดไปมา ร่างบางหอบแฮ่กตื่นกลัวและแรงที่จะขัดขืนเขาก็เริ่มแผ่วลงทุกทีๆ มีแรงอยู่แค่นี้? เขาจึงกระซิบไปที่ใบหูแดงด้วยเสียงกดต่ำเย็นเยือกอีกครั้ง

 

“ถ้าไม่ยอมขัดขืน ...มึงได้เป็นเมียกูแน่”    

 

“ไม่เอา...”     ร่างบางพยายามดิ้นรนอย่างคนจนตรอก น้ำหูน้ำตาที่พยายามกลั้นไหวไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก

 

“ฮึก...อึก...”    ร่างที่เขากดอยู่สั่นระริกจนทำให้เขาชะงักไป เสียงสะอึกสะอื้นทำให้เขาต้องละขึ้นมามองใบหน้ามนที่ร้องไห้ออกมา

 

“เฮ้ย?”    เขาถึงกับผงะและเผลอคลายข้อมือบาง ร่างสูงหยัดกายขึ้นไปมองจากด้านบนด้วยความตกใจ มือเล็กจึงย้ายมาปาดน้ำตาของตัวเองก่อนจะพยายามปิดบังใบหน้าเอาไว้

 

“นี่มึงร้องไห้เหรอ?!    เขาพยายามจับข้อมือที่มีแต่รอยช้ำนั่นเอาไว้เพื่อจะมองใบหน้ามนที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตา บอกตามตรงว่าตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูกเพราะเขาไม่เคยเจอผู้ชายที่กลัวจนร้องไห้แบบนี้มาก่อน...

 

เขาก็แค่อยากให้อีกฝ่ายสู้เขา แต่เจ้าเด็กนี่ต้องกลัวขนาดไหนถึงกับร้องไห้ออกมาเนี่ย...

 

“เฮ้อ....”     เขายกมืออย่างยอมแพ้ก่อนจะถอยออกไป

 

ร่างที่นอนอยู่กับพื้นลุกถอยครูดไปยังมุมห้องทันที ร่างที่สั่นสะท้านยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้นและเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้อีกฝ่ายใจเย็นลง

 

ร่างสูงจึงย้ายตัวเองไปนั่งอยู่บนโต๊ะก่อนจะจ้องมองไปยังร่างที่ยังกอดเข่าอยู่ที่มุมห้อง ช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาดและชวนให้หัวใจเจ็บแปลบสิ้นดี

 

เขานั่งอยู่ตรงนั้นน่าจะครึ่งชั่วโมง...ไม่สิ อาจจะหนึ่งชั่วโมงก็ได้...นั่งโดยไม่พูดอะไรและรอให้เด็กนั่นค่อยๆสงบลง...

 

“มึงเป็นผู้ชายภาษาอะไรวะแค่นี้ก็ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ?”    เขาถอนหายใจก่อนจะพูดออกไป ตอนนี้ทั้งเขาทั้งเจ้าจอมต่างก็ใจเย็นลงแล้วทั้งคู่ เขายังคงนั่งอยู่บนโต๊ะส่วนเด็กนั่นก็ยังนั่งอยู่ที่มุมห้องตามเดิม

 

“ทำไมมึงไม่สู้? กูก็ไม่ได้คิดจะทำจริงๆสักหน่อย ก็แค่ขู่ให้กลัวเฉยๆ มึงดูสภาพมึงตอนนี้ซิ เป็นมึงจะกล้ายกน้องสาวให้ดูแลไหม? มึงจะปกป้องน้องสาวกูได้เหรอ? จริงอยู่ที่มึงคงไม่ต้องออกไปตีรันฟันแทงกับใคร แต่อย่างน้อยมึงก็ควรมีใจที่จะฮึดสู้บ้างไหมวะ?”    เขากึ่งบ่นกึ่งด่า เพราะส่วนใหญ่เขาจะใช้ชีวิตอยู่กับพวกผู้ชายเถื่อนๆอย่างไอ้พวกเพื่อนเขาที่ด่ากันแรงๆได้ เขาจึงไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงกับเจ้าเด็กอ่อนแอตรงหน้านี้

  

“ผมไม่ใช่เขตต์...”   แต่แล้วใบหน้ามนที่ยังก้มงุดอยู่กับเข่าตัวเองกลับพูดงึมงำๆอะไรออกมา?

 

“เขตอะไรวะ?”    แต่คนที่อยู่ตรงมุมห้องก็เงียบไปอีก เขาจึงเป็นฝ่ายลุกเดินไปหาและแค่เขาคุกเข่าลงไปตรงหน้า เจ้าจอมก็เบี่ยงตัวหนีทันที

 

“ไหนมาพูดให้มันชัดๆซิ”    แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ สองมือจับสองแก้มให้หันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ

 

ร่างบางจึงสะดุ้งเบาๆ ดวงตาที่เคยหลั่งน้ำตาค่อยๆสบประสานกับดวงตาที่แน่วแน่นั่นอย่างกล้าๆกลัวๆ

 

การกระทำที่ทั้งดิบทั้งเถื่อนนั่นทำให้เขากลัวมากจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สู้ เขาสู้แล้ว แต่แรงของเขาสู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย พี่เก้าแรงเยอะมาก...นี่ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด เขาก็คงจะแย่แน่ๆ ตอนนี้จึงเป็นเพียงโอกาสเดียวที่เขาจะได้อธิบายออกไป ถึงเขาจะไม่แน่ใจว่ามันใช่เรื่องนี้ไหมก็เถอะ เขาจึงรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดออกไปอย่างช้าๆชัดๆ

 

“ผมไม่ใช่เขตต์ครับ...คนที่คบกับสอง คือเขตต์...พี่ชายฝาแฝดของผมครับ”

 

อากาศรอบกายนิ่งสนิทไปถึงห้านาที...

 

“ห๊ะ?”    กว่าพี่เก้าจะอ้าปากค้าง เข็มวินาทีก็เดินวนรอบนาฬิกาไปแล้วหลายรอบ ดูเหมือนสมองจะยังประมวลผลไม่เสร็จ

 

“เขตต์...เรียนมัณฑนศิลป์ เป็นเด็กเด็คเหมือนสองครับ”    เขาก้มหน้างุดก่อนจะอธิบายออกไปด้วยเสียงงึมงำๆ พี่เก้ายังนิ่งค้างต่อจากนั้นอีกหลายนาที...

 

“เฮ้ย?! ว่าไงนะ?! มึงโกหกเพื่อจะเอาตัวรอดรึเปล่า?!    ใบหน้าเรียวโฉบเฉียวโวยวายออกมาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เขาบอก สองมือบีบไหล่เขาจนต้องขมวดคิ้ว

 

“ผมไม่ได้โกหก...”

 

“มึงจะบอกว่ามึงไม่ใช่ไอ้คนในรูปนี้งั้นเหรอ? เดี๋ยวนะ กูเปิดให้ดู!    แล้วมือใหญ่ก็ล้วงโทรศัพท์มือถือที่เสียบกระเป๋าหลังไว้มาเปิดรูปในอินสตราแกรมให้เขาดู เป็นโพสที่สองถ่ายคู่กับพี่ชายฝาแฝดของเขาเอง

 

“เนี่ย! ไม่ใช่มึงเหรอ?!    นิ้วยาวจิ้มลงไปที่คนในรูป

 

“....ไม่ใช่ครับ...นั่นพี่ชายฝาแฝดของผม...ดู...รูปนี่สิครับ...”    แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาเปิดรูปที่ถ่ายกับพี่ชายให้ดู

 

พวกเขาเป็นแฝดคนละฝา ถึงจะคล้ายกันอยู่บ้างแต่ก็นับว่าเป็นแฝดที่ต่างกันพอสมควร คือดูแล้วแยกออกว่าใครเป็นใคร

 

“แล้วทำไมมึงไม่บอกแต่แรกเนี่ย?!   พี่เก้าถึงกับหงายหลังลงนั่งกับพื้นอย่างเหวอๆ

 

“ก็พี่...มาถึงก็ใส่เอาๆ...ผมยังไม่รู้เรื่องเลย...”    เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าอีกฝ่ายมาหาเรื่องเขาด้วยเรื่องอะไร เขามีโอกาสได้อธิบายเสียที่ไหน อีกอย่างทั้งเขาทั้งพี่ชายก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องที่พวกเรามีฝาแฝด เพียงแต่พวกเราแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็น

 

“เชี่ยเอ้ย...หน้าพวกมึงเหมือนกันเลยนี่ แล้วกูจะไปแยกออก จะไปรู้ได้ไงว่าพวกมึงมีฝาแฝด?”    พี่เก้าโวยวาย

 

พวกเราต่างเงียบไปอยู่พักใหญ่...

 

พี่เก้าไม่ได้หนีไปไหน ไม่ได้ทิ้งเขาไว้คนเดียว อีกฝ่ายเพียงแต่นั่งใช้ความคิดอยู่เงียบๆ เขาแอบเหลือบมองร่างสูงที่นั่งชันขายันแขนอยู่กับพื้น เมื่อกี้เขายังกลัวอีกฝ่ายแทบตาย แต่ความดิบของอีกฝ่ายนั้นก็เท่ห์มากจริงๆ

 

คงจะเป็นเพราะเขาอ่อนแอ เขาจึงหลงใหลความแข็งแรงของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก ถึงอีกฝ่ายจะข่มขู่เขาเพราะความเข้าใจผิด แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้คิดจะปัดความรับผิดชอบ พี่เก้าถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้

 

แล้วพอดวงตาที่ดุร้ายคู่นั้นเหลือบมาเห็นเขาที่นั่งจุ้มปุ๊กกอดเข่าอยู่ที่เดิม พี่เก้าก็ถอนหายใจก่อนจะขยับเข้ามาหา...

 

เขาเกือบจะถอยหนีตามปฏิกิริยาอัตโนมัติ ทว่า...มือใหญ่ที่วางลงมาบนหัวเขาก็ทำให้ดวงตาถึงกับเบิกกว้าง...

 

พี่เก้า...กำลังลูบหัวเขาเบาๆ...

 

ลูบหัวเขาพลางเสหน้าไปมองอย่างอื่นเพราะไม่กล้าสบตา...

 

ผิดไหม....ที่หัวใจของเขาจะเต้นกระหน่ำ...

 

และมันก็ไม่ได้เต้นเพราะความกลัวอย่างที่เป็นมาเสียด้วย...

 

“เออ ...กูขอโทษ กูเข้าใจผิด กูผิดเอง”     เสียงห้าวเอ่ยออกมา ดวงตาของเขาก็ยังคงเบิกค้างอยู่เหมือนเดิม

 

พี่เก้า...ยอมขอโทษเขา...

 

ผู้ชายคนนี้...ผิดก็ยอมรับผิดออกมาตรงๆ 

 

“เฮ้อ...บ้าเอ้ย กูอยากจะบ้าตายจริงๆ แล้วกูหงุดหงิดใส่มึงไปตั้งเยอะเนี่ยนะ? อ้า!    เสียงแข็งกร้าวนั่นร้องครางออกมา มือที่ลูบหัวเขาอยู่ก็เริ่มโยกแรงขึ้นเรื่อยๆเหมือนอีกฝ่ายกำลังละอาย อับอายและเขินอายต่อสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

 

เขา...ก้มหน้าอยู่ พี่เก้าจึงไม่เห็นว่าใบหน้าที่เคยนองไปด้วยน้ำตาของเขากำลังมีรอยยิ้มบางๆ

 

“เจ็บไหม? กูขอโทษ”    มือใหญ่จับมือของเขาขึ้นมาดูรอยช้ำจากแรงบีบที่ข้อมือ...ก่อนที่นิ้วยาวจะย้ายมาจิ้มไปยังรอยแดงที่คอ...

 

“.....”    เขารีบเบี่ยงตัวหนี พี่เก้าอาจจะคิดว่าเขาคงโกรธ แต่ที่จริงแล้วที่ต้องหลบเลี่ยงเพราะเขากำลังอาย ก็รอยที่คอพวกนั้นมัน...

 

“มึง...จะให้กูทำยังไงมึงถึงจะยกโทษให้ก็บอกมาเลย!   แล้วพี่เก้าก็ทำให้เขาตกใจอีกครั้งด้วยการที่จู่ๆร่างสูงก็ก้มหัวให้   เขาถึงกับชะงักค้างไป

 

ดวงตาอ่อนหวานทอดมองคนที่นั่งก้มหัวอยู่ตรงหน้า...แม้จะแค่ชั่วครั้งชั่วคราวมนุษย์ผู้ต่ำต้อยก็ยังอยากจะลองครอบครองความงดงามที่เทพเจ้าปั้นแต่งนี้เอาไว้

 

ถึงจะรู้ว่ามันคือความโลภและสักวันมันต้องสูญสลายหายไป...แต่เขาก็อยากใช้เงื่อนไขนี้ในการผูกมัดผู้ชายที่ใครต่อใครก็อยากได้ตัวคนนี้เอาไว้

 

ริมฝีปากสีระเรื่อจึงเอ่ยออกไป...

 

“ถ้างั้น...พี่...ช่วยมาเป็นแบบให้ผมวาดรูปในโปรเจคจบเทอมของผมได้ไหมครับ”

 

พี่เก้าเงยหน้ามองพร้อมกับอึ้งไป หากเคยถูกขอร้องมาแล้วหลายครั้งพี่เก้าย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่ารูปที่เขาจะวาดนั้นเป็นรูปแบบไหน

 

บนร่างกายของพี่เก้าจะต้องไม่เหลือเสื้อผ้าอยู่เลยสักชิ้น

 

นั่นแหละ...คือรูปที่เขาต้องวาด

 

“.......ก็ต้องได้แล้วไหมวะ เฮ้อ...กูอยากจะบ้าตายจริงๆนะ”    ใบหน้าเรียวถอนหายใจก่อนจะรับปากอย่างช่วยไม่ได้  บางที...อาจจะเป็นพี่เก้าเองก็ได้ที่เดินเข้ามาติดไยแมงมุมของสัตว์ร้ายที่อยู่ในมุมมืดอย่างเขา

 

“เฮ้อ...”     จากนั้นพี่เก้าก็ยังถอนหายใจอีกหลายต่อหลายครั้งในขณะที่มือใหญ่ก็ช่วยเขาเก็บขาตั้งที่ล้มระเนระนาดไปด้วย และท่าทางที่ไม่อยากจะเป็นนายแบบให้เขาขนาดนั้นก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา

 

ก็อีกฝ่ายแกล้งเขามาตลอด เขาเอาคืนแค่นี้ยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ

 

เขาเหลือบมองแผ่นหลังกว้างนั่นอย่างไม่หลงเหลือความกลัวอีกต่อไปแล้ว และอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปล่อยรังสีคุกคามใส่เขาอีก ความจริง...พี่เก้าจะหนีไปอย่างไร้ความรับผิดชอบก็ย่อมได้ อีกฝ่ายแข็งแรงกว่าเขาขนาดนี้ถ้าจะข่มขู่เขาต่อไปก็ย่อมทำได้สบายๆ แต่กระนั้นพี่เก้าก็เลือกที่จะขอโทษเขา เผชิญหน้ากับเขาแบบลูกผู้ชาย

 

เขาจึงตั้งใจว่าจะยอมยกโทษให้สักครั้ง

 

“พี่ชื่อเขตต์ แล้วทำไมมึงถึงชื่อเจ้าจอมวะ? ไม่เห็นจะเข้ากัน?”    เสียงห้าวถามออกมาอย่างสงสัยในขณะจับขาตั้งขึ้น

 

“ชื่อจริงๆของผมไม่ได้ชื่อเจ้าจอมครับ แต่เจ้าจอมเป็นชื่อที่พี่ๆในคณะตั้งให้ครับ”    พี่เก้าถึงกับร้องอ๋อ~ เพราะคณะจิตรกรรมจะมีธรรมเนียมการตั้งฉายาที่จะใช้ไปจนวันตายอยู่  หลังจากได้ชื่อที่พี่ๆตั้งให้ก็จะไม่เรียกกันด้วยชื่อจริงอีกแต่จะเรียกชื่อฉายานั้นแทน 

 

“คอนเซ็ปต์ปีนี้เป็นอะไร? หนังจีน?”    เขาถึงกับหลุดขำเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่เก้าถามออกมา

 

“ไม่ใช่ครับ ต้นไม้ต่างหาก ชื่อของผมมาจากต้นแก้วเจ้าจอมครับ”    เขาบอกออกไปอย่างอายๆ แล้วจู่ๆร่างสูงยาวก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ ดวงตาแข็งกร้าวไล่มองส่วนต่างๆบนใบหน้าของเขาไปมาทำเอาเขาต้องหลบตาด้วยความเขิน ทะ ทำอะไรเนี่ย?

 

“เออ มึงนี่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนต้นแก้วเจ้าจอมจริงๆ”    พี่เก้าพูดในขณะที่ถอยออกไปมองอีกรอบ

 

“โตช้า”     อึ้ก! เขาถึงกับสะอึกที่อีกฝ่ายจี้จุดได้อย่างโหดร้าย เพราะถึงจะเป็นเด็กมหาลัยแล้วแต่เขาก็ยังสูงไม่ถึง170 เขาเหลือบตามองคนที่กอดอกวิจารณ์เขาอย่างค้อนๆ แต่ยามเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้เพื่อพูดคำต่อไป...

 

“มีกลิ่นหอม”    ใบหน้าของเขาก็ถึงกับแดงระเรื่อ...นั่นมัน...คุณสมบัติของต้นแก้วเจ้าจอมที่อีกฝ่ายมองว่าเหมือนเขาอย่างงั้นเหรอ...ไม่พอ พี่เก้ายังขยับเข้ามาพูดต่อที่ใบหู

 

“แล้วก็...สูงค่า”    เขาถึงกับก้มหน้างุดในขณะที่อีกฝ่ายละออกไป หัวใจ...เต้นแรงกว่าเดิมนิดหน่อย...

 

ที่ผ่านมา...ในใจลึกๆเขาก็ยังมีความรู้สึกปฏิเสธชื่อนี้มาตลอด แต่ตอนนี้กลับรู้สึกชอบมันขึ้นมา...

 

ต้นแก้วเจ้าจอมก็ไม่เลวเลย...

 

 

“มึงจะให้กูเป็นแบบอะไรนั่นเมื่อไหร่ มึงก็ขึ้นไปเรียกกูแล้วกัน ที่สตูปีสาม”    พี่เก้าเอ่ยบอกหลังจากช่วยเขาเก็บของจนเสร็จ

 

“ครับ...”     แล้วจู่ๆร่างสูงก็ขยับเข้ามายืนชิดติดแผ่นหลังด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์?

 

“หรือมึงจะเงยหน้าขึ้นไป...แล้วเรียกกูจากตรงนี้ก็ได้”    แล้วนิ้วยาวก็ชี้ให้เขาดูว่า ที่ผ่านมาอีกฝ่ายมองลงมาจากตรงนั้นอยู่ตลอด

 

“อ๊ะ?”    เขาที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกมองมานานแล้วก็ยิ่งหน้าแดงไปใหญ่ แต่อีกฝ่ายก็ยังมิวายแซวเขาอย่างขำๆ

 

“กูเห็นหมดแหละ ว่าพวกมึงวาดรูปนู้ดกันด้วย เหอะๆ”   วันไหนที่สตูจิตรกรรมปิดหน้าต่าง นั่นแหละ...

 

“...มันเป็นวิชา...อนาโตมี่ครับ.....”   เขาพยายามแก้ต่างแต่ก็หน้าแดงไม่พักจนพี่เก้าถึงกับขำออกมา

 

“หน้ามึงทำมาจากลูกมะเขือเทศรึไงวะ? ฮ่าๆๆ”    อีกฝ่ายหัวเราะจนพอใจก่อนจะเตรียมเดินออกไป

 

“กูไปละ ขอโทษมึงอีกทีแล้วกัน กูไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งจนมึงร้องไห้นะ”

 

“ครับ...”

 

“ส่วนพี่มึง เดี๋ยวกูไปจัดการอีกที”    เขาถึงกับต้องรีบคว้าแขนอีกฝ่ายไว้

 

“คงไม่ได้...จะจัดการ...แบบที่ทำกับผมใช่ไหมครับ...”   พี่เก้าเลยดีดหน้าผากเข้าให้

 

“มึงคิดว่ากูยังจะกล้าอยู่ไหมล่ะ? เฮ้อ...”   แล้วก็เดินออกจากห้องไป

 

เขายกมือขึ้นมาลูบหน้าผากที่เจ็บนิดๆนั่นก่อนจะอมยิ้ม ถ้าได้รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมากกว่านี้ก็คงจะดี

 

คนอย่างเขาจะมีสิทธิ์นั้นไหมนะ...

 

เพราะจะว่าไป...หากไม่มีเรื่องเข้าใจผิดนี้ขึ้น เส้นทางของเขากับพี่เก้าก็คงเป็นเพียงเส้นขนาน เป็นเพียงคนสองคนที่ไม่น่าจะมีอะไรให้เกี่ยวพันหรือรู้จักกันได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

เสียงฟืดๆที่เกิดจากการดูดกาแฟเย็นที่เหลือแต่น้ำแข็งดังขึ้นอย่างเซ็งๆ

 

ตอนนี้ร่างสูงยาวกำลังนั่งหลบอยู่ในมุมลึกสุดของคาเฟ่หลังจากแอบตามดูน้องสาวกับแฝดผู้พี่ของเจ้าจอมมาพักใหญ่

 

เวรเอ้ย นี่มันฝาแฝดกันตรงไหนวะ?

 

มีแค่หน้าตาที่คล้ายๆกันเท่านั้น นอกนั้น ไม่ว่าจะรูปร่าง ความสูง บุคคลิก ไม่มีตรงไหนที่เหมือนกันเลย!

 

เจ้าแฝดพี่นี่ดูแมนมากกกกก สูงโปร่ง ดูแข็งแรง บุคคลิกก็ดี ดูมีความเป็นผู้นำ ดูมั่นใจ พูดจาฉะฉานแล้วก็สบตากับคนฟังตลอดด้วย เขาเชื่อว่าถ้าเขาไปจับไอ้หมอนี่กดจะต้องโดนมันสวนสักหมัดสองหมัดแน่ๆ

 

“ไงวะมึง แฝดพี่เค้าเอาเรื่องอยู่นะ”    ไอ้พายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแซะ ไอ้ห่าสี่ตัวนี้ขำก๊ากกันบ้านแทบพังตอนที่เขาเข้าไปสารภาพบาปว่าไปจัดการผิดคนมา เพราะงั้นเรื่องที่เจ้าจอมเป็นแค่แฝดคนน้องจึงรู้กันทั้งกลุ่ม

 

“เออ กูจะปล่อยไปก่อนก็ได้ ไว้ท่าดีทีเหลวเมื่อไหร่ค่อยกระทืบมันก็ยังทัน”    ก็ดันไปก่อความผิดกับน้องชายเค้าไว้แล้วด้วยนี่!

 

อยากจะบ้าตาย อยากจะบ้าตายจริงๆ!

 

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

To be con.

 

ยาวหน่อยนะคะตอนนี้ 5555 ไม่รู้จะตัดตอนยังไงเลยลงมันรวดเดียวไปละกัน กร๊ากกก

 

มาแล้น คู่รองคู่แรกของเรา แล้วจะบอกว่าคู่นี้น่ารักมว๊ากกกเลยด้วยนะ อยากให้รออ่านกันต่อไป >/////< เพราะคู่หลักเค้าจะติดเรื่องความที่ยังเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ก็เลยจะทำอะไรไม่ค่อยได้มาก แต่คู่พี่เก้าน้องขวัญก็คือ %$#@&$#  >/////<

 

แอบกระซิบว่าเพื่อนอีกสี่คนของพายคือเป็นเมะหมดนะคะ 5555 น่าจะมีคู่ของเค้าแหละ ไว้ค่อยๆคิด กร๊ากกก จริงๆคือสนุกมากตอนได้คิดรายละเอียดของแต่ละคนค่ะ แล้วก็สนุกมากตอนได้แต่งเรื่องของห้าคนนี้ด้วย

 

ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น