KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 06

 KW Original [องศาxพายุ]  องศา π (พาย) : 06

 

: KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า

: องศา x พายุ

: Warmhearted Romantic

: PG-15(ไปก่อน555)

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

             : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด

           : อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

  

 

ในหนึ่งปีจะมีไม่กี่ครั้งหรอกที่นักศึกษาคณะสถาปัตย์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้จะใส่ชุดนักศึกษา การได้เห็นร่างโปร่งบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำจึงเป็นอะไรที่หาดูได้ยากมาก

 

วันนี้มีจูลี่ของวิชาออกแบบ

 

ดวงตาสุขุมจ้องมองร่างโปร่งที่ยืนพรีเซ้นต์แบบอยู่หน้าห้อง เสื้อเชิ้ตพอดีตัวนั่นถูกสวมทับอยู่ในกางเกง แขนเสื้อยาวถูกพับขึ้นมาถึงข้อศอกทำให้เห็นสร้อยข้อมือสีดำเส้นนั้นอย่างชัดเจน และมันยิ่งโดดเด่นเมื่ออยู่บนข้อมือเล็กๆซึ่งขาวจัดของพายุ เขามองลูกกุญแจดอกนั้นไม่วางตา ยิ่งเห็นพายุให้ความสำคัญกับกุญแจธรรมดาๆดอกนั้นความรู้สึกบางอย่างก็ราวกับจะประทุออกมา

 

เขาละสายตาจากข้อมือขาวขึ้นมามองยังใบหน้า หัวที่เคยยุ่งเหยิงเมื่อวันก่อนถูกหวีมาอย่างดี วันนี้พายุไม่ได้มัดผมแต่กลับปล่อยหน้าม้ายาวๆนั่นไว้ตามธรรมชาติและมันยิ่งทำให้ใบหน้าดูหวานมากขึ้นไปอีก เขาจ้องมองริมฝีปากสีระเรื่อเริ่มอธิบายตั้งแต่คอนเซ็ปต์ของงานชิ้นนี้ไปจนถึงฟังก์ชั่น เสียงนุ่มที่อธิบายแนวความคิดในการออกแบบและการนำมาใช้นั้นก็น่าฟัง เขานั่งมองมือบางที่ชี้ไปยังส่วนต่างๆของแปลนอาคารซึ่งติดไว้บนกระดานยาวเหยียดนั่นอย่างเพลิดเพลิน

 

เขามองเส้นผมที่สไลด์ละปลายคางยามเมื่อร่างโปร่งบางก้าวเดินไปอธิบายรูปด้านต่อ เขาเคยเห็นรูที่ใบหูของพายุ แต่เขาเพิ่งเคยเห็นมันมีต่างหูก็วันนี้นี่เอง ข้างซ้ายห้า ข้างขวาสาม นั่นคือจำนวนห่วงและเม็ดหินสีดำที่พายุใส่ไว้ บางอันก็มีโซ่คล้องมีไม้กางเขนด้วย

 

เป็นเพราะไม่ได้แต่งตัวแบบโกธิคพังก์หรือไงนะ วันนี้ Accessories อื่นในร่างกายถึงได้จัดเต็มแบบนี้

 

เขาไล่สายตามองร่างที่ยืนอยู่หน้าผนังซึ่งเต็มไปด้วยแบบแผ่นใหญ่ วันนี้ฮาเดสของปีสามก็ยังน่ารักมากในสายตาเขา

 

“ต่อไปก็เป็นโมเดลนะครับ...”    อาจารย์ทั้งกลุ่มต่างก็ลุกขึ้นไปยืนล้อมโมเดลสีเสมือนจริงหลังนั้น การจูลี่ก็คือการตรวจแบบครั้งสุดท้ายซึ่งต้องอธิบายและพรีเซ้นต์แบบตั้งแต่แรกเริ่มทั้งหมดให้อาจารย์ทั้งกลุ่มฟัง บรรดาอาจารย์จะตรวจอย่างละเอียดและช่วยกันซักถาม รวมไปถึงคอมเม้นต์ในส่วนที่มันยังไม่ดีกันซึ่งๆหน้า นักศึกษาสถาปัตย์จึงต้องจิตใจเข้มแข็งกันพอสมควรเพราะอาจารย์แต่ละคนก็แรงในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ขนาดเป็นโมเดลไฟนอลก็ยังแกะยังแงะทิ้งกันอยู่เลยตรงไหนที่มันไม่ดี

 

แต่งานของพายุกลับได้รับคอมเม้นต์ที่น้อยมากหากเทียบกับนักศึกษาคนอื่น...ก็พายุผ่านอาจารย์คนที่โหดหินและเข้มงวดที่สุดอย่างเขาไปได้แล้ว งานจึงลงตัวจนอาจารย์ท่านอื่นแทบไม่ติอะไรอีก

 

 

 

ประตูห้องตรวจแบบปิดลงหลังจากที่นักศึกษาคนสุดท้ายของชั้นปีจูลี่จบไป อาจารย์ใช้เวลประชุมกันพักใหญ่ก่อนที่คะแนนของโปรเจคจะออกทันทีภายในวันเดียวกันนี้

 

แล้วหลังจากที่ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ร่างโปร่งบางก็เดินเข้าไปที่โมเดลของตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นโครมๆอย่างลุ้นระทึกว่าจะได้คะแนนเท่าไหร่ เพราะยังไงเสียคะแนนวิชาดีไซน์ก็มีผลต่อชีวิตของเขามาก เขาจะได้เจอหน้าลูกที่ถูกจับเป็นตัวประกันไว้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวหนังสือบนฐานโมเดลของเขานี่แหละ!

 

อ้า! อยากรู้แต่ไม่อยากดูเลยแหะ!

 

เขามองเห็นร่างที่โดดเด่นของอาจารย์องศายืนอยู่ตรงที่โมเดลของเขาวางอยู่...แล้วใบหน้าหล่อเหลาที่เคลือบรอยยิ้มไว้บางๆนั่นก็ทำให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นยังไงชอบกล...คะแนน...น่าจะโอเคอยู่ใช่ไหม? อาจารย์องศาถึงทำหน้าพอใจแบบนั้น

 

ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่น เขากลั้นใจเดินพรวดๆเข้าไปดูให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย!

 

แล้ว A+ เก็บแสดง ก็คือคำที่ถูกเขียนตัวแดงติดอยู่ที่ฐานโมเดลของเขา

 

จริงเหรอเนี่ย?! ได้ A จริงๆเหรอ?! แถมยังเป็น A+ ซึ่งเป็นงานเก็บแสดงอีก! เขาแทบจะกรี๊ดออกมา

 

ใบหน้ามนก้มๆเงยๆมองชื่อที่โมเดลว่านี่มันชื่อเขาแน่นะ ไม่ได้เขียนผิดใช่ไหม? ถึงแม้ว่าตั้งแต่เข้าปีหนึ่งมางานของเขาจะเก็บแสดงมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่พอคิดถึงตอนที่ตรวจแบบสุดหฤโหดกับอาจารย์องศาที่ผ่านมา เขาก็ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าจะได้คะแนนเยอะขนาดนี้

 

“คุณเอาโมเดลกลับไปทำเพิ่มตรงส่วนที่ยังไม่เสร็จ แล้วค่อยเอามาส่งผมอีกที”    มือใหญ่ชี้ไปตรงส่วนด้านหลังอาคารที่เขาใส่ผนังเผาๆเอาไว้เพราะทำไม่ทัน งานเก็บแสดงนั้นส่วนใหญ่จะถูกรวบรวมไว้เพื่อจัดงานนิทรรศการสรุปผลงานประจำปีของคณะ  โมเดลงานไทยบางชิ้นก็เก็บขึ้นหิ้งตลอดไปเลยก็มี  บ้านเรือนไทยที่เขาทำตอนปีสองยังอยู่ในห้องเก็บแสดงไม่ได้คืนอยู่เลย

 

“ครับ”    เขาตอบพลางช้อนตามอง  ถึงอาจารย์องศาจะไม่ได้ชื่นชมอะไรออกมาเป็นคำพูด แต่สายตาของอาจารย์ก็สื่อออกมาหมดว่ายินดีกับเขาด้วยที่ได้ A+

 

หัวใจดวงน้อยถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ...นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขายินดีกับตัวเองที่ได้คะแนนมากขนาดนี้โดยที่ไม่มีเรื่องตุ๊กตามาเกี่ยวข้อง

 

เพราะอาจารย์องศาดีใจกับเขา และก็เป็นโปรเจคที่เราทำมาด้วยกัน...

 

“อีกครึ่งชั่วโมงจะแจกไฟนอลโปรเจคต่อเลยนะครับ ไปรวมกันที่ห้อง101นะ”    เสียงอาจารย์วิชิตตะโกนปาวๆอยู่หน้าห้อง อาจารย์องศาจึงพยักหน้าให้เขาเบาๆแล้วเดินจากไป ปล่อยให้เขายืนชื่นชมในชัยชนะนี้ตามลำพัง

 

อ้า...สะใจชะมัด!

 

ที่พวกเขายอมอดหลับอดนอนทำโปรเจคส่งกันขนาดนี้เพราะในกลุ่มวิชาของคณะอย่างวิชาออกแบบนั้น  คะแนนส่วนใหญ่แทบจะเป็นคะแนนที่ได้มาจากการทำโปรเจคทั้งสิ้น

 

ในหนึ่งเทอมวิชาดีไซน์จะมีแค่สองโปรเจค สัดส่วนคะแนนแต่ละโปรเจคจึงแทบจะครึ่งต่อครึ่ง และพวกเขาก็จะไปหวังพึ่งคะแนนสอบมิดเทอมหรือปลายภาคอย่างคณะอื่นๆไม่ได้เสียด้วย เพราะวิชาดีไซน์ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีสอบ หรือถ้ามีก็จะเป็นคะแนนที่น้อยมากๆ

 

ช่วงสอบกลางภาคหรือปลายภาคที่คณะอื่นๆตะบี้ตะบันอ่านหนังสือกันจนหัวฟู  พวกเด็กถาปัดก็จะลั้นลากันสุดๆเพราะวิชาที่สอบมีอยู่แค่ไม่กี่วิชา ส่วนใหญ่ก็เป็นวิชาที่ไม่สามารถจะให้ทำโปรเจคได้อย่างพวกประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม วิชาคำนวณโครงสร้าง วิชาอุปกรณ์อาคารอะไรเทือกๆนั้น

 

“หึ...หึๆๆ”    ร่างโปร่งบางยืนแสยะยิ้มหัวเราะหึๆอยู่หน้าตัวอักษร A+ ที่เขียนอยู่บนฐานโมเดล ...เท่านี้เกรดวิชาดีไซน์ของเขาก็ไม่น่าจะต่ำกว่า B แน่ๆเทอมนี้  ไม่สิ  อีกโปรเจคที่เหลือเขาก็จำเป็นต้องได้ A เช่นกัน เพื่อลูกน้อยที่จะได้คืนสู่อ้อมอกของเขา!

 

“ไอ้เชี่ยพาย มึงนี่โคตรน่าสยดสยองเลยว่ะ หัวเราะอะไรของมึงวะ?”    ไอ้ธีร์เดินเข้ามาทำหน้าหวาดๆใส่ แต่กลับเป็นท่อนแขนซึ่งเต็มไปด้วยรอยสักที่ล็อคคอเขาก่อนจะลากออกไป

 

“ไปชั้น1กันได้แล้วโว้ย”

 

 

 

 

 

 

 

“โรงพยาบาล”

 

คือชื่อที่ประกาศออกมา ว่ามันจะเป็นไฟนอลโปรเจควิชาออกแบบของเทอมนี้

 

การแบ่งกลุ่มยังเป็นเหมือนเดิม เขายังคงได้ตรวจแบบกับอาจารย์องศาอยู่ ร่างโปร่งบางจึงเนียนเดินตามร่างสูงใหญ่ไปหลังจากที่อาจารย์แจกโปรเจคเสร็จ

 

ในระดับปีสามอาจารย์จะยังเป็นคนกำหนดให้ว่าไซต์ที่ตั้งของโครงการนั้นอยู่ที่ไหน มีเงื่อนไขอะไรบ้าง ทิศทางหรือบริบทโดยรอบเป็นยังไง เพราะมันล้วนมีส่วนในการออกแบบทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีกำหนดขนาดโรงพยาบาล จำนวนเตียง และรีเควสพิเศษเพื่อเป็นโจทย์ให้นักศึกษาด้วย

 

ฟึ่บ

 

มือบางวางกระดาษ A4 ที่มีรายละเอียดของโครงการเอาไว้บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา ก่อนจะนั่งลงแล้วหันมาเอาแขนเอาคางเกยพนักพิงไว้เพื่อมองไปยังโต๊ะทำงานของอาจารย์องศา

 

“นอกจากจะเป็นที่นอน ยังเป็นที่นั่งเล่นของคุณด้วยสินะ ห้องพักของผม”    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาในขณะที่มือก็เก็บเอกสารบนโต๊ะไปด้วย แต่ใบหน้าหล่อเหลาที่อมยิ้มน้อยๆก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านั่นไม่ใช่คำบ่นเพราะรำคาญหรือไม่พอใจแต่อย่างใด

 

“แล้วตอนนี้ก็กำลังจะเป็นที่แต่งตัวด้วยครับ”   ใบหน้ามนยิ้มซุกซน ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะดึงยางรัดผมออกมาจากข้อมืออีกข้างหนึ่งแล้วชูให้อาจารย์องศาดู

 

“ฮึ”   ใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะเบาๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ร่างโปร่งจึงหันกลับมายืดกายนั่งพิงโซฟา ยางรัดผมถูกย้ายมาคาบไว้ที่ปากก่อนที่สองมือจะพยายามช่วยกันรวบผมขึ้นไป

 

“.....”    แต่เป็นเพราะไม่มีหวีและมือของเขาก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก การรวบผมขึ้นไปมัดครึ่งหัวจึงทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะปอยผมที่คอยแต่จะร่วงหล่นลงมา พอรวบทางขวา ทางซ้ายก็หล่น พอรวบทางซ้าย ทางขวาก็หล่น... ยิ่งเมื่อวานได้กลับบ้าน แล้วถูกเจ้าพ่อใจยักษ์จับขังไว้ในห้องน้ำถ้าไม่เอี่ยมไม่ต้องออกมา วันนี้ผมเขาจึงยิ่งนุ่มลื่นเป็นพิเศษ

 

“.........”    เขาเริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะเริ่มเมื่อยแขน จริงๆถึงจะไม่เรียบร้อยเสียหน่อยมันก็ยังดูเซอร์พอได้ แต่ผมที่ลื่นขนาดนี้เดินสองก้าวก็น่าจะหลุดหมดแล้วแน่ๆ ปัดโธ่

 

“อ๊ะ?”     แล้วเขาก็ต้องอุทานออกไปเบาๆ

 

เมื่อจู่ๆ...ก็มีเงาๆหนึ่งทาบทับลงมาข้างหลัง?...

 

อาจารย์องศา...ขยับมายืนซ้อนอยู่หลังโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วร่างสูงใหญ่นั่นก็ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน...

 

ฟึ่บ...

 

มือใหญ่จับข้อมือของเขา...แล้วค่อยๆขยับมันออกจากหัว

 

เส้นผมนุ่มลื่นจึงร่วงกราวลงมาปรกใบหน้า กลิ่นหอมราวกับดอกกุหลาบฟุ้งกระจาย...ท่ามกลางเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของเขา

 

มือที่อบอุ่นคู่นั้นขยับไปสางผมให้เขาอย่างแผ่วเบา...เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปพิงพนักโซฟา ดวงตาสบประสานกับใบหน้าของอาจารย์องศาที่ก้มลงมา...

 

ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไร เพราะสายตาที่อ่อนโยนของอาจารย์องศาได้พูดแทนความรู้สึกไปหมดแล้ว

 

เขาค่อนข้างจะมั่นใจ...ว่าความรู้สึกของเราน่าจะตรงกัน...

 

เป็นความชอบ...ในความหมายเดียวกัน...

 

ร่างโปร่งบางขยับกลับมานั่งให้อีกฝ่ายมัดผมให้ดีๆ เป็นเพราะมือของอาจารย์องศาใหญ่มากจึงรวบผมให้เขาได้ไม่ยากเลย

 

“อาจารย์...ผมทำโรงพยาบาลโกธิคดีไหมครับ?”    เสียงนุ่มชวนคุยอย่างไม่คิดอะไร เขาทอดสายตามองพื้นข้างหน้า สัมผัสบนหัวทำให้รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ถึงจะมีบางครั้งที่เขาต้องเอียงหัวตามแรงของมือใหญ่ๆนั่นก็ตาม

 

“อืม...”     แต่สิ่งที่เขาถามลอยๆออกไปนั้นกลับทำให้ร่างสูงใหญ่คิดอย่างใส่ใจ

 

“ผมก็ไม่ได้คิดว่าโกธิคมันไม่ดีหรอกนะครับ แต่ผมว่าคุณเปลี่ยนแนวบ้างน่าจะดีกว่า”    เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมานั้นช่างน่าฟัง ยิ่งประกอบกับฝ่ามือที่สางผมเขาอย่างนุ่มนวลอยู่นี้ก็มีแต่จะทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม

 

“ตอนเป็นนักศึกษาคุณควรจะเรียนรู้เอาไว้ให้มากที่สุด เพราะในอนาคตตอนที่คุณต้องทำงานจริงๆ บางครั้งคุณก็เลือกไม่ได้หรอกนะว่าคุณจะได้ทำแต่สไตล์ที่ชอบน่ะ บางทีลูกค้าก็รีเควสแบบอื่นมา คุณก็ต้องทำได้”

 

“ไม่ใช่ว่าเค้าเลือกจ้างเราจากการดูผลงานที่ผ่านๆมาของเราเหรอครับ?”

 

“มันก็ใช่ เค้าอาจจะเลือกเราจากแนวทางที่ออฟฟิศเราถนัด แต่ถ้าพูดถึงแต่ละแนวมันก็ยังมีแตกแขนงแยกย่อยไปอีกใช่ไหมล่ะ? อย่างพวกสไตล์คลีนๆก็มีตั้งแต่โมเดิร์นไปจนถึงมินิมอล พวกสไตล์เยอะๆก็มีทั้งคอนเทม ทั้งเทรดดิชั่นนอล ทรอปปิคอลอีก บางทีลูกค้าก็แยกไม่ออก เลือกเราจากสไตล์รวมๆ แต่พอตอนให้ออกแบบจริงอาจจะไม่ใช่แนวที่เราถนัดก็ได้”

 

“อืม...ครับ”    เขาตอบรับทั้งๆที่ยังคาบยางรัดผมอยู่ เขารู้สึกว่าอาจารย์องศาน่าจะรวบผมให้เขาเสร็จแล้วจึงตั้งใจจะส่งยางรัดผมให้

 

ทว่า...หัวใจเจ้ากรรมก็ต้องเต้นไม่เป็นส่ำอีกครั้ง

 

เมื่อจู่ๆมือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นลงมา...ปลายนิ้วยาวแตะเฉียดริมฝีปากของเขา...ก่อนจะย้อนกลับมาลากผ่านเบาๆ...แล้วค่อยดึงเอายางรัดผมสีดำนั่นออกไป...

 

ใบหน้าของเขาร้อนเป็นไฟ...ถึงจะพยายามนิ่งเอาไว้แต่อาจารย์องศาเองก็คงดูออกว่าเขาก็กำลังเขินอยู่

 

 

อาจารย์เองก็น่าจะรู้...ว่าเขาเล่นด้วย

 

 

ผมเขาถูกยางรัดเอาไว้ด้วยกัน  มือใหญ่ค่อยๆละเรื่อยลงมาอย่างอ้อยอิ่งราวกับกำลังเสียดายหากจะต้องทิ้งไปแบบนี้

 

ใบหน้ามนจึงเอียงแก้มถูมือนั่นเบาๆ ปลายนิ้วจึงแตะสัมผัสไล่ตามจิวบนหูของเขาอย่างแผ่วเบา

 

“ผมไม่เคยเห็นคุณใส่เลย”    เสียงทุ้มพูดอยู่ข้างหลัง ไม่ได้ดูตกใจหรือไม่ชอบที่เขาเจาะหูเยอะขนาดนี้

 

“ผมลืมไว้ที่บ้านน่ะครับ เมื่อคืนผมกลับบ้านมา”    แต่อาจารย์กลับยิ้มเมื่อมองเห็นใบหูที่ขึ้นสีแดงของเขา

 

“จะไปแล้วเหรอครับ?”    เสียงทุ้มเอ่ยทักเมื่อเห็นเขาขยับเตรียมจะลุกขึ้น เขาเขินจนนั่งต่อไปไม่ไหวแล้วต่างหาก ถึงจะไม่ได้จาบจ้วงล่วงเกิน แต่ทุกสัมผัสของอาจารย์องศากลับเซ็กซี่มาก...

 

“ผมว่าจะแวะไปห้องสมุดซักหน่อยน่ะครับ ตอนนี้ผมนึกอะไรไม่ออกเลย”     เขาหันไปช้อนสายตามองด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ร่างสูงใหญ่ยังยืนยิ้มให้เขาอยู่ที่เดิม

 

 

สองขาวิ่งลงบันไดมาด้วยความเขินอายระดับแปด เสน่ห์แบบผู้ใหญ่ของอาจารย์องศานี่เกินจะต้านไหวจริงๆ

 

ติ๊ง!

 

แต่เขายังลงมาทันจะถึงชั้นล่างดีก็มีไลน์เด้งเตือน และคนที่ส่งมาหาเขาก็ไม่ใช่ใคร...คนที่เพิ่งทำให้หน้าเขาแทบจะมอดไหม้นี่แหละ!

 

ข้อความแรกเป็นรายชื่อของวิทยานิพนธ์ปีก่อนๆ?

 

ส่วนข้อความถัดมาก็คือ

 

[นี่เป็นวิทยานิพนธ์ที่ทำเกี่ยวกับโรงพยาบาลครับ ลองเข้าไปดูที่ห้องสมุดคณะนะ ผมว่างานพี่ๆคุณเหล่านี้น่าสนใจดี]

 

เขามองข้อความนั้นก่อนจะยิ้มอยู่กับหน้าจอ ก็ดูความน่ารักของอาจารย์องศาสิ! แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาตกหลุมรักได้ไง! รายชื่อพวกนี้ต้องเตรียมไว้ก่อนแล้วไหม อาจารย์ก็ไม่น่าจะจำรายชื่อธีสิสทั้งหมดของคณะได้ เพราะไม่ใช่ว่าทุกปีจะมีคนทำโรงพยาบาลนะ แถมแต่ละปีก็มีพี่ๆทำธีสิสกัน60-70เล่มเลยนะ

 

ติ๊ง!

 

ไม่พอ อาจารย์ยังส่งรายชื่อหนังสือมาให้อีก

 

[พวกนี้อยู่ในห้องสมุดใหญ่ครับ บางเล่มก็ไม่ใช่โรงพยาบาลโดยตรงแต่ผมว่าดีไซน์น่าสนใจดีและน่าจะเอามาปรับใช้ได้ คุณลองหาดูนะ]

 

อ๊ากกกก! ใส่ใจกันมากขนาดนี้เขาคงหนีไม่พ้นแล้วไหม~!

 

แล้วก็เพราะได้รายชื่อหนังสือของอาจารย์องศานั่นแหละเลยทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาหามากนัก เขาจึงได้กลับบ้านไวกว่าที่คิดเอาไว้

 

 

 

 

 

 

ติ๊ดๆ

 

มือบางกดล็อคกุญแจรถมินิคูเปอร์ก่อนจะหอบหนังสือเล่มโตมากมายหลายเล่มขึ้นลิฟท์ไป  วันนี้เขาก็กลับบ้านที่ทองหล่ออีกแล้วเพราะพ่อของเขาบอกว่าจะหาโปรเจคโรงพยาบาลที่ออฟฟิศเคยออกแบบไว้มาให้เขาดูเป็นตัวอย่าง

 

“ฉันไม่ได้บ้า! ปล่อยฉันออกไปนะ!!    แล้วแค่เปิดประตูห้องนั่งเล่นได้ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ตะโกนดังลั่นจนแก้วหูสั่น

 

เปล่าหรอก ไม่ได้มีใครอยู่ในห้องนอกจากพ่อเขา เสียงที่ดังสนั่นนั่นคือเสียงที่มาจากโทรทัศน์ล้วนๆ เจ้าพ่อบ้านั่นดูละครอีกแล้ว!

 

“.....ดูอะไรอยู่เนี่ย?!    มือบางวางตั้งหนังสือดังโครมลงไปบนโต๊ะไม้สไตล์ญี่ปุ่นตัวใหญ่หน้าโซฟา

 

“ลิขิตรักลำเค็ญไง”    แค่ชื่อเรื่องก็ไม่น่าดูแล้วไหม ใบหน้าคมคายหันมาตอบหน้าตาย

 

“บอกให้เลิกดูละครได้แล้วไง”    แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พ่อก็หันมาพ่นใส่ราวกับต้องการระบายให้ใครสักคนฟัง...แน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้เป็นคนอื่นที่รู้เรื่องนี้แน่ ว่าสถาปนิกตัวพ่อหล่อๆเท่ห์ๆในสายตาคนอื่นจะมีงานอดิเรกชวนหัวจะปวดแบบนี้

 

“พระพาย แกฟังนะ แกต้องดูความร้ายกาจของเจ้ามนุษย์ผู้ชายคนนี้ไว้เป็นบทเรียน เนี่ย มันมาหลอกให้นางเอกหลงรัก พอแต่งงานกันแล้วก็คิดจะฮุบสมบัตินางเอกด้วยการกล่าวหาว่านางเอกเป็นบ้า แล้วก็จับเธอไปขังไว้ที่โรงพยาบาลจิตเวช! ดูมันสิ เลวขนาดไหน!

 

“พ่อนี่แหละที่อินเบอร์ไหน! ดูอะไรก็ไม่รู้? ไหน ขยับไปซิ”   เขาแซะร่างสูงใหญ่ให้ขยับไปก่อนจะนั่งลงข้างๆ ละครน้ำเน่าแบบนี้ก็ดูอยู่ได้นะเจ้าพ่อนี่

 

ว่าแต่ยัยนางเอกนี่ทำไมถึงโง่ให้เขาหลอกเอาได้? แล้วไอ้ผู้ชายวายร้ายแบบนี้ทำไมถึงไม่มีใครจัดการมัน? ไหนดูซิว่ามันจะเชิดหน้าชูตาทำเรื่องชั่วๆได้อีกนานแค่ไหน? แล้วจุดจบมันจะเป็นยังไง? อ้าว กลายเป็นว่าที่แท้แล้วมันเป็นคนดี? แต่ที่ต้องทำกับนางเอกแบบนี้เพราะต้องการจะกันนางเอกให้ห่างไกลจากพี่ชายที่หมายจะฆ่าเธอ? เพราะคนที่คิดจะแย่งสมบัติคือญาติพี่น้องทั้งบ้าน? พระเอกจึงต้องทำตัวร้ายกาจเพื่อกำจัดทุกคนและทำให้นางเอกปลอดภัย?

 

สรุป

 

เขาก็นั่งดูจนจบไปด้วยซะงั้น!! 

 

โว้ยยย กลับบ้านทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีเลย!

 

 

 

 

 

มือบางเปิดตัวอย่างโรงพยาบาลที่พ่อหามาให้ด้วยใบหน้าซังกะตาย บนที่นอนกว้างใหญ่ซึ่งทำความสะอาดไว้อย่างดีตอนนี้เริ่มรกเพราะมีแต่หนังสือเปิดกางไว้เกลื่อนไปหมด

 

เขาดูทั้งหมดนี่ไปรอบนึงแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรดึงดูดใจให้น่าเอามาใช้เป็นคอนเซ็ปต์ของงานได้เลย โรงพยาบาลที่ยัยนางเอกนั่นถูกขังอยู่ยังดูน่าสนใจกว่าซะอีก!

 

“อ่ะ...”    แล้วถ้า...เขาทำโรงพยาบาลจิตเวชล่ะ?

 

มือบางจึงเสิร์จหาข้อมูลเพิ่มเติมทันที

 

 

 

 

 

 

แล้วฟ้ายังไม่ทันสางเขาก็วิ่งหน้าตั้งออกจากบ้าน เขามารออยู่ที่ห้องพักอาจารย์ด้วยความตื่นเต้น อาจารย์องศาจะว่ายังไงนะถ้าเขาบอกว่าจะออกแบบโรงพยาบาลจิตเวช?

 

“.............”     แล้วปฏิกิริยาที่เห็นก็เป็นไปตามคาด

 

อาจารย์องศาอึ้งไปห้านาทีเหมือนตอนที่เขาบอกว่าจะทำโรงเรียนอนุบาลโกธิคเป๊ะ

 

แต่กระนั้น ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังกระแอมกระไอก่อนจะให้เขาเล่าให้ฟังก่อนว่าคิดอะไรมา...เพราะเป็นอาจารย์องศาหรอกนะถึงทำให้เขากล้าที่จะพูดสิ่งที่คิดออกไป เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายจะรับฟังเขา ยอมให้เขาพูด ยอมให้เขาอธิบายก่อน ไม่ตัดสินว่าเขาแปลกเพียงเพราะได้ฟังเขาพูดแค่คำเดียว

 

“ก็...เท่าที่ผมเห็นในหนังในละครหลายๆเรื่อง รวมทั้งที่หาข้อมูลจริงๆมาด้วย ทำไมโรงพยาบาลจิตเวชถึงต้องดูน่ากลัว ดูหดหู่ ดูไม่เป็นมิตรและไม่น่าเข้าใกล้แบบนั้นด้วย”

 

“ตึกก็ไม่สวย เป็นอาคารสี่เหลี่ยมที่เหมือนสร้างๆไปแบบไม่มีงบอะไรประมาณนั้นน่ะครับ ทั้งๆที่ผู้ป่วยจิตเวชก็เป็นคนป่วยเหมือนกัน ผมอยากลองดีไซน์อาคารสวยๆเผื่อจะช่วยฟื้นฟูจิตใจของพวกเขาได้บ้าง”    ใบหน้าหล่อเหลาดูทึ่งๆก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“ฮึ...คุณนี่ทำอะไรเหมือนใครเค้าไม่ได้เลยจริงๆ”    มันดีหรือไม่ดีเนี่ย?

 

“ทำไม่ได้เหรอครับ?...”    ดวงตากลมใสช้อนถามอย่างไม่มั่นใจ ร่างสูงใหญ่จึงเอนหลังพิงพนักโซฟาก่อนจะครุ่นคิดอย่างตั้งใจ เขาก็ไม่แน่ใจนักแต่บางทีโปรแกรมของการออกแบบมันอาจจะต่างจากโรงพยาบาลธรรมดาที่หลักสูตรต้องการจะให้เรียนรู้ก็ได้?

 

“........อืม.....ผมให้คุณทำก็แล้วกัน”    ในที่สุดอาจารย์องศาก็ให้คำตอบกับเขา

 

“แต่งานของคุณชิ้นนี้จะต้องเป็น Case study ให้เพื่อนๆของคุณศึกษาต่อด้วย”    ใบหน้าหล่อเหลาตั้งเงื่อนไข เพราะการออกแบบโรงพยาบาลจิตเวชนั้นค่อนข้างจะพิเศษและพายุก็เป็นเด็กที่เก่ง บางทีการให้เพื่อนๆดูงานของเด็กคนนี้อาจจะทำให้ได้เรียนรู้โดยไม่ต้องออกแบบเองก็ได้ เพราะเวลาในแต่ละเทอมๆของพวกเขามีจำกัดจะให้ออกแบบโรงพยาบาลหลายๆแบบก็คงไม่ได้

 

“ขอบคุณนะครับ”    ดวงตากลมใสมองมาที่เขาด้วยแววระยิบระยับ

 

“ในเมื่อคุณเป็นคนเลือกที่จะทำ คุณก็ต้องยอมรับความยากของมันนะ จะมางอแงทีหลังไม่ได้ล่ะ”    เขาแกล้งขู่ ใบหน้ามนจึงแอบหงึใส่เขาเบาๆ

 

“ไม่ว่าผมจะทำโรงพยาบาลประเภทไหน แต่ถ้าคนตรวจเป็นอาจารย์ ยังไงก็ยากหมดแหละครับ”    ฮึ...เขาได้แต่ยิ้มรับคำบ่นเง้างอดนั่น

 

“คุณตั้งใจมาแล้วแบบนี้ คงจะคิดคอนเซ็ปต์คร่าวๆมาแล้วล่ะสิ?”    อันที่จริงก็ยังไม่ถึงวันนัดตรวจแบบครั้งแรกเลยด้วยซ้ำเพราะเพิ่งจะแจกโปรเจคไปเมื่อวาน แต่พายุก็ดูจะสนใจมันเพราะฉะนั้นถึงจะเป็นแค่การเอามาพูดคุยกันเฉยๆ เขาก็เชื่อว่าในหัวซับซ้อนนั่นต้องมีคิดเรื่องคอนเซ็ปต์ของงานเอาไว้อยู่แล้วแน่ๆ

 

“ครับ คิดมาแล้วครับ”    แล้วจู่ๆ...ใบหน้ามนก็ยื่นเข้ามาใกล้ๆ ดวงตากลมใสจดจ้องอยู่ที่ปลายจมูกเขาก่อนจะตวัดขึ้นมาสบตา...ใบหน้า...เฉียดผ่านไปยังใบหู...ทำเอาหัวใจเต้นผิดจังหวะไปเลย...

 

“คอนเซ็ปต์ก็คือ [Touch]    เสียงที่กระซิบข้างหูเบาๆนั้นทำเอาต้องลอบกลืนน้ำลาย เขาเหลือบมองรอยยิ้มซุกซนที่ถอยห่างออกไปนั่นด้วยใบหน้านิ่งๆ

 

“สัมผัส...งั้นเหรอ? ...ดูเซ็กซี่ดีนะครับ”    เขาใช้สายตาจ้องกลับไปแบบไม่วางตา รอยยิ้มที่เผยอยู่บนมุมปากก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างเช่นเคย แต่เจ้าลูกแมวดำที่ตั้งใจจะแกล้งแหย่ราชสีห์เล่นก็ยังไม่ยอมหยุด

 

“ผม...อยากให้มันเป็นอาคารที่สัมผัสได้ด้วยประสาทการรับรู้ทุกอย่างของมนุษย์ ตั้งแต่หัวใจ...”    แล้วดวงตากลมใสก็จ้องมองไปที่แผ่นอกด้านซ้ายของเขา

 

“ฝ่ามือ...”    ก่อนที่มันจะย้ายมายังฝ่ามือที่วางไว้บนตักอย่างแช่มช้า

 

“แล้วก็ โสตประสาท...”    ก่อนจะจบด้วยสายตาที่จ้องกลับมาในดวงตาของเขา...

 

...ทั้งๆที่ไม่มีการสัมผัสแต่กลับทำให้ลมหายใจติดขัดได้ขนาดนี้เลยนะ

 

เขา...คงจะหันหลังกลับไม่ได้แล้วจริงๆ

 

ใบหน้าหล่อเหลาจึงขยับสวนกลับไปบ้าง ริมฝีปากเอ่ยเสียงทุ้มเบาๆใส่ที่ใบหูบาง

 

“งั้นคุณก็ลองทำดูแล้วกัน...ทำให้ผม...สัมผัสมันให้ได้”

 

“ครับ”

 

 

 

 

 

 

 

แต่ถึงจะพูดไว้ซะดิบดีแบบนั้น  การตรวจครั้งแรกก็ยังจบลงด้วยการถูกอาจารย์องศาล้มแบบระนาวราวรูดอยู่ดี...

 

“อาจารย์อ่า~ จะไม่ยอมผมซักหน่อยเลยเหรอ~~    ร่างในชุดสีดำแทบจะลงดิ้นไปมาอยู่บนพื้นโซฟา

 

“ก็ผมยัง [สัมผัส] อะไรอย่างที่คุณว่ามาไม่ได้เลยนี่ ฟังก์ชั่นก็ยังดูสับสนอยู่เลย ทางเข้าทางออกคุณก็ยังมั่วๆไว้ คุณดูสิ กว่ารถพยาบาลจะมาถึงห้องฉุกเฉินคุณครอสไปกี่ทางแล้ว คุณกลับไปร้อยเรียงเส้นทางพวกนี้ให้มันดีๆก่อนก็แล้วกัน”    อาจารย์องศาพูดออกมาตรงๆตามสไตล์คนโหดร้ายที่ไม่ยอมปรานีแม้เขาจะน้ำตาปริ่มขนาดนี้

 

“ก็โรงพยาบาลจิตเวชมันแทบไม่มีข้อมูลอ้างอิงเลยนะครับ ผมเพิ่งรู้ว่ามันไม่มีหนังสืออยู่ในห้องสมุดเลยสักเล่ม! แถมออฟฟิศพ่อผมก็ไม่เคยออกแบบอีก แล้วผมจะไปรู้ได้ไงล่ะว่ามันต้องเริ่มต้นยังไง”   เขาเริ่มทำหน้าง้ำ แต่อาจารย์องศากลับเป็นฝ่ายยิ้มออกมา

 

“ฮึ...คุณอย่างอแงสิ ผมบอกแล้วไงว่ามันยาก”    มือใหญ่ยกขึ้นมาประคองแก้มเขาก่อนจะบีบเบาๆ

 

“อาจารย์ไม่พาไปดูงานบ้างเหรอครับคราวนี้...”    เขาลองอ้อนดู

 

อาจารย์องศานิ่งไปเหมือนคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าช่วงนี้หน้าตาของอาจารย์ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ เหมือนจะไม่ค่อยได้นอน? อาจจะงานยุ่งมากก็ได้ เขาจึงไม่รบเร้าต่อไป

 

“ช่างเถอะ เดี๋ยวผมลองแก้ตามนี้ดู”    มือบางรวบแบบร่างที่ถูกแก้จนยับเยินก่อนจะม้วนเก็บง่ายๆ

 

“อาจารย์!    เขาเรียกอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะยังคิดอะไรใจลอยอยู่

 

“หื๋ม? ครับ?”    ใบหน้าที่มีรอยคล้ำใต้ตาน้อยๆหันมามองอย่างตกใจ

 

“ผมกลับก่อนนะครับ แล้วก็...ถึงอาจารย์จะงานยุ่ง แต่ก็อย่าลืมทานข้าวด้วยนะครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็โทรมาได้เลยนะ”    เขามองร่างสูงใหญ่ด้วยสายตาเป็นห่วง อาจารย์องศาจึงยิ้มบางๆส่งให้

 

“ครับ กลับดีๆล่ะ”    มือใหญ่ยกขึ้นโบกให้เขา เห็นแบบนี้แล้วก็เข้าใจอาจารย์องศาขึ้นมาเลย ...ตอนที่เขาส่งโปรเจคอีกฝ่ายก็คงเป็นห่วงแล้วก็คงอยากจะช่วยเขาให้ได้มากที่สุดเหมือนกัน แต่เขายังเป็นแค่เด็กที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แล้วจะไปช่วยอาจารย์องศาได้ยังไง...

 

ร่างที่กำลังจะก้าวขาออกจากห้องจู่ๆก็ตวัดตัวหันกลับไปอย่างรวดเร็ว สองขาวิ่งตรงกลับไปที่อาจารย์องศาซึ่งยังนั่งอยู่บนโซฟา

 

ก่อนที่สองแขนจะกอดหมับเข้าให้ที่คอของร่างสูงใหญ่  เขาก็แค่อยากจะให้กำลังใจ...เวลาที่พ่อเขาเหนื่อยๆก็ชอบให้เขากอดแบบนี้นี่นา...

 

ใบหน้ามนคลอเคลียต้นคอแกร่งเบาๆก่อนจะรีบละออกไป ร่างโปร่งวิ่งปรู๊ดออกจากห้องด้วยใบหูแดงฉ่า ทิ้งไว้เพียงร่างสูงใหญ่ที่ยังทำหน้าตื่นตะลึงนิ่งค้าง

 

ไออุ่นและกลิ่นหอมจากร่างกายยังลอยวนอยู่บนตัวเขา...ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับต้องกลืนน้ำลาย...

 

เจ้าลูกแมวดำทำอะไรเขากันเนี่ย?

 

ดูเหมือนพายุจะอยากให้กำลังใจเขา? ทว่า...อ่า...ให้ตายเถอะ...จริงๆแค่ได้เห็นหน้า แค่ได้ฟังเสียง แค่ได้คุยกัน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขามีแรงไปสู้กับความเครียดระดับสูงพวกนั้น

 

แต่การที่จู่ๆร่างโปร่งบางพุ่งเข้ามากอดเขาแบบนี้...มันมีแต่จะยิ่ง...

 

อยากกอด...

 

อยากจะกอดให้มากกว่านี้...

 

กอดให้จมหายลงไปในอกเขามันเสียเลย...

 

อยากทำมากกว่านี้... มากกว่านี้...

 

 

 

 

 

 

 

เพราะยังมีส่งงานวิชาเขียนแบบ คืนนี้ร่างโปร่งบางจึงไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านทั้งที่เป็นคืนวันศุกร์

 

จริงๆพวกเขาเรียนเขียนแบบกันมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่งแล้ว เริ่มจากการเขียนด้วยมือ การใช้เครื่องมือในการเขียนแบบ จนตอนนี้ก็เริ่มขยับมาใช้คอมพิวเตอร์เขียนแล้ว

 

เพราะแบบก่อสร้างนั้นถือเป็นสื่อสากลชนิดหนึ่งซึ่งจะใช้เหมือนกันทั่วโลก สถาปนิก วิศวกร และช่างจำเป็นต้องเรียนรู้และอ่านให้ออก

 

แกร่กๆๆ

 

มือบางคีย์คำสั่ง L ซึ่งเป็นคำสั่งสร้างเส้นในหน้าจอสีดำของโปรแกรม Auto Cad แต่เส้นที่ได้กลับเฉไปเฉียงมา ลากเท่าไหร่มันก็ไม่ตรงจนใบหน้ามนชักจะหงุดหงิด เขาเพิ่งจะเริ่มฝึกเขียนแบบด้วยคอม มันก็เลยจะยังงกๆเงิ่นๆไม่คล่องอย่างงี้แหละ

 

ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่น เขาจำได้ว่ามันมีนะ วิธีที่จะลากเส้นให้ตรงเป๊ะในทีเดียวเนี่ย? มันต้องกดอะไรนะ?

 

ครืด..

 

ร่างโปร่งจึงตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ

 

“ไอ้เก้า กูต้องกดอะไรถึงจะทำให้เส้นมันตรงได้วะ?”    ใบหน้าแบบแบดบอยจึงหันมาก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจ

 

F8 ไง”    ไหนๆก็มาแล้วเขาจึงแวะเข้าไปเล่นในห้องมันเสียหน่อย

 

“อะไรเนี่ย? ทำไมทำไปได้เยอะแล้วอ่ะ? มึงนี่ทำงานไวไม่เข้ากับหน้าเลยนะ ท่าทางอย่างกับพวกเด็กเสเพลแท้ๆ~ โอ๊ย?!    มือใหญ่โยกหัวเขาอย่างหมั่นไส้ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของไอ้เก้านั้นมีแบบแปลนของอาคารขึ้นอยู่เกือบเต็มหลังแล้ว

 

“กูต่างหากที่ต้องสงสัย ว่ามึงทำไมถึงยังทำไม่ได้อีก~ ทั้งๆที่น่าจะเห็นไอ้โปรแกรมนี่มาตั้งแต่ลืมตาดูโลก? พ่อกูนี่แทบจะให้กูเล่น Auto cad แทนเกมอ่ะ”    เขาหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวนอนกลิ้งลงไปบนเตียงของไอ้เก้ามัน  ถึงจะดูเหมือนอันธพาลแบบนี้แต่นี่คือลูกชายคนที่สามของบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศไทยเชียวนะ เป็นวิศวกรกันทั้งบ้าน เป็นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ! ถ้าพูดถึง รณฤทธิ์ ละก็ คนไทยทุกคนน่าจะเห็นผ่านตากันมาแล้วบ้างแหละ บนผ้าใบกั้นเขตการก่อสร้างตามถนนและตึกใหญ่ๆที่มีทั่วทั้งประเทศ

 

และนั่นก็คือนามสกุลของไอ้เก้ามัน

 

ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!

 

“ใครไลน์หามึงไม่หยุดเลยวะ? ไม่ดูหน่อยเหรอ? หรือว่า! มีใครมาจีบมึง?!    เขาตาวาวขึ้นมาทันที มือบางหยิบโทรศัพท์ที่ถูกโยนอยู่บนเตียงขึ้นมาดูอย่างไม่สนใจความเป็นส่วนตัว

 

“จีบกูที่ไหนล่ะ? น้องกูส่งรูปเพื่อนมันมาให้ดู”    ไอ้เก้าตอบมาด้วยเสียงติดจะรำคาญแต่ก็ไม่ได้ห้ามที่เขาเปิดไลน์มันเข้าไปดู

 

เป็นข้อความที่ส่งมาจากน้องสอง น้องสาวคนเล็กของไอ้เก้ามัน ...พี่หนึ่ง พี่สาม ไอ้เก้า น้องสอง...ชื่อพี่น้องบ้านนี้อย่างกับใบ้หวยอ่ะ ฮ่าๆๆ

 

ดวงตากลมใสจ้องรูปผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน้องสองส่งมาในไลน์ เหมือนเขาเคยเห็นหน้าเลยแหะ? รู้สึกจะเป็นเด็กเด็ค? เอ๊ะ หรือว่าจิตรกรรม?

 

“เออ มึงดูก็ดีละ ช่วยกูจำหน้ามันไว้หน่อย เจอเมื่อไหร่กูจะลากคอมันไปต่อยซักทีสองที บังอาจมาจีบน้องสาวกู”    ไอ้เก้าพูดอย่างห้าวหาญ ยังไงก็เป็นน้องสาวคนเดียวของพี่ชายสามคนอ่ะนะ มันเลยหวงน้องไม่ธรรมดาแต่ก็ไม่ค่อยจะแสดงความรักออกมาดีๆ

 

“แต่ในไลน์น้องมึงเนี่ย มันบอกว่ามันกำลังจะจีบผู้ชายคนนี้ ห้ามมึงมายุ่งอยู่นี่?”    เขาขำจนไหล่สั่น เพราะโดนพี่ชายก่อกวนตลอดเลยไม่เคยเดตตลอดรอดฝั่ง ถึงน้องสองจะเป็นเด็กสาวที่น่ารักมาก โปรไฟล์ก็ดีทุกอย่าง แต่กลับไม่เคยคบใครได้เกินสองวันสักคน

 

“เหอะ! จะจีบไปทำไมวะ? จีบไปก็คบได้ไม่เกินสองวันหรอก!    ก็เพราะมึงนี่แหละ!  เขาส่ายหน้าอย่างเพลียๆก่อนจะมองรูปผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง

 

ก็นับว่าเป็นคนที่หน้าตาดีมากอยู่นะ? ถ้าน้องสองบอกว่าเป็นเพื่อนงั้นก็แปลว่าน่าจะอยู่คณะมัณฑนศิลป์ปีหนึ่งสินะ? เพราะน้องไอ้เก้าก็เรียนอยู่ตึกฝั่งตรงข้ามกับพวกเขานี่เอง

 

 

 

 

 

 

เขาถอดใจกับการแบ่งช่องหน้าต่างอย่างมึนงงด้วยคำสั่ง DIV แล้วหันไปนอนแทน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยให้ไอ้เก้ามันทำให้ดูก็แล้วกัน มันต้องลากเส้นจากตรงไหนของวงกบนะ บานหน้าต่างมันถึงจะกว้างเท่ากัน?

 

ฟุ้บ

 

เขาซุกหน้าลงไปบนตัวเจ้ากระต่ายขนหยอยสีขาวก่อนจะหลับตาลง อ่า...เจ้าอ้วนนี่นิ่มชะมัด ชอบจัง...

 

สติเขาวูบหายไปอย่างรวดเร็วสมกับที่นานๆจะได้นอนดีๆสักที เขาน่าจะหลับลึกพอสมควรเพราะงั้นกว่าจะรู้ตัวว่ามีเสียงโทรศัพท์ดังอยู่ก็น่าจะผ่านมาหลายนาทีแล้ว

 

...กี่โมงแล้วเนี่ย? แล้วใคร...โทรมาเอาป่านนี้?

 

ดวงตาปรือปรอยเหลือบมองเวลาที่หน้าจอ..ตีสามเนี่ยนะ?!

 

แล้วพอมองชื่อที่โทรมา...อาจารย์องศา?

 

“....ครับ...อาจารย์...มีอะไรหรือเปล่าครับ...ถึงโทรมาเวลานี้...”    มือบางกดรับก่อนจะพูดใส่โทรศัพท์ด้วยเสียงงัวเงีย

 

“คุณหลับแล้วเหรอ?”    ปลายสายพูดกลับมาด้วยเสียงประหลาดใจ

 

“ครับ...นานๆผมจะได้นอนตอนกลางคืนเลยนะครับ...”    แต่เขากลับไม่ได้โกรธที่ถูกอีกฝ่ายโทรปลุกตอนกำลังจะหลับจะนอนทั้งๆที่ไม่มีส่งงาน เขาพลิกตัวกลับมาเพื่อนอนคุยกับอาจารย์องศาดีๆ

 

“ถ้างั้นคุณก็เปลี่ยนที่นอนซักหน่อยดีไหม?”

 

“หื๋อ?”   

 

“คุณอยู่บ้านใช่หรือเปล่า?”

 

“ครับ...”    นี่เขาฝันอยู่รึเปล่า? อาจารย์คุยอยู่กับเขาจริงๆใช่ไหม? หรือเขาคิดไปเอง? บทสนทนาแปลกๆนั่นทำให้เขาเริ่มสับสนมึนงง

 

“งั้นคุณก็ลงมาหาผมหน่อย ผมอยู่หน้าบ้านคุณแล้ว”

 

“เอ๋....”   แล้วพอเขาลุกลงไปดูก็เห็นรถอาจารย์องศาจอดอยู่หน้าบ้านจริงๆ

 

เขาเดินโงนเงนลงบันไดไป ไม่ได้หยิบอะไรติดตัวมาสักอย่างนอกจากโทรศัพท์ที่แนบอยู่กับหู

 

“ขึ้นไปสิครับ”    อาจารย์องศาลงมาเปิดประตูหลังรถให้ เขาก็ก้าวขึ้นไปแบบงงๆ

 

“บนเบาะมีหมอนกระต่ายกับผ้าห่มของคุณอยู่ นอนไปก่อนนะครับ ถึงแล้วเดี๋ยวผมปลุก”    ดวงตาที่ยังเบลอๆมองผ้าห่มกับเจ้าอ้วนอีกตัวที่ทิ้งไว้ที่ห้องของอาจารย์องศาก่อนจะล้มตัวลงไปราวกับมีแรงดึงดูด

 

“อาจารย์...จะพาผม...ไปไหน....”   แต่ถามยังไม่ทันจบประโยคเขาก็หลับไปซะก่อน...นี่มัน...เรื่องจริงหรือเปล่านะ?

 

 

 

 

 

 

แล้วเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริง

 

เมื่อเสียงซ่าๆเหมือนน้ำซัดโขดหินทำให้ดวงตาสีดำค่อยๆกระพริบเปิดขึ้นมา  หัวที่ยุ่งเล็กน้อยผงกมองรอบกายทั้งที่ยังซุกอยู่ในผ้าห่ม วิวทิวทัศน์จากเบาะหลังรถก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เขามองเห็นท้องฟ้าที่เริ่มจะเจือสีรำไร...น่าจะเช้ามืดใกล้สว่างแล้ว...

 

จมูกรั้นขยับฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นบุหรี่โชยมา เขาจึงขยับใบหน้าเข้าไปใกล้หน้าต่างรถอย่างเกียจคร้านเพื่อมองหาต้นตอ

 

แล้วเขาก็มองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นตาของอาจารย์องศายืนพิงประตูรถฝั่งคนขับอยู่

 

อาจารย์...สูบบุหรี่อยู่ด้วยแหะ...มือบางจึงลดกระจกหน้าต่างลง

 

“อาจารย์...”    ใบหน้ามนขยับคางไปเกยไว้ที่ขอบหน้าต่างรถก่อนจะคุยกับร่างสูงใหญ่ที่หันหน้ามา กลิ่นบุหรี่ยิ่งชัดกว่าเมื่อครู่และแท่งสีขาวควันฉุยที่อยู่ในมือใหญ่ก็ทำให้เขารู้ว่ามันมาจากอาจารย์องศาจริงๆ

 

“ตื่นแล้วเหรอครับ?”    เสียงทุ้มถามกลับมา เขาจ้องมองใบหน้าที่ดูล้าน้อยๆนั่น...ไม่รู้ทำไม...อาจารย์องศาในเวลานี้ถึงได้ดูใกล้เคียงกับมนุษย์ทั่วไป ดูเป็นผู้ชายคนหนึ่งไม่ใช่เทพบุตรที่จับต้องไม่ได้ อาจารย์องศาที่พับแขนเสื้อขึ้นมาแล้วปลดกระดุมคอเสื้อถึงสองเม็ดทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง อาจารย์ดูหล่อ ดูอันตรายเหมือนพวกคุณชายมาเฟียในละครที่พ่อเขาชอบดูเลย

 

“สูบบุหรี่ด้วยเหรอครับ?”    เขาซบหน้าไว้กับขอบหน้าต่างรถแล้วถามออกไป บรรยากาศออกจะหวานละไมมากกว่าจะน่ากลัว

 

“สูบเฉพาะตอนที่ทำงานแล้วไม่ได้นอนน่ะ”    มือใหญ่กดปลายบุหรี่ลงในกล่อง เขาอมยิ้มเพราะเหมือนได้เห็นอาจารย์องศาในมุมที่ไม่มีใครเคยได้เห็น

 

“นี่อาจารย์เพิ่งทำงานเสร็จ...แล้วก็มารับผมเหรอ?”

 

“ครับ”

 

“ยังไม่ได้นอนเลยเหรอ?”

 

“ครับ เพราะถ้าพลาดวันนี้ไป มันต้องรอถึงอาทิตย์หน้าเลย คุณไม่น่าจะมีเวลาพอ”

 

“หื๋ม? แล้วที่นี่....”     เขาหันไปมองผืนน้ำเวิ้งว้างข้างหน้า พระอาทิตย์กำลังค่อยๆทอขอบฟ้าจนกลายเป็นสีส้ม

 

“ทะเล?!    มือบางเกาะขอบหน้าต่างนอนมองอยู่ในรถโดยมีร่างสูงใหญ่ยืนพิงประตูอยู่ข้างๆ เราต่างก็มองพระอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นน้ำขึ้นมา เป็นทะเลยามเช้าที่สงบและสวยงามจนยากจะละสายตาเลยทีเดียว

 

“สวยจัง...อาจารย์ไปลักพาตัวผมมาจากที่นอน เพื่อพามาเดตเหรอครับ?”    เขาแกล้งหยอกเย้า ถึงจะยังไม่รู้ก็เถอะว่าอาจารย์องศาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

 

“ฮึ...คิดว่าไงล่ะ?”    ใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะเบาๆก่อนจะหันมาถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ เดี๋ยวนี้อาจารย์องศาก็รู้จักทำหน้าแบบนี้กับเขาแล้วนะ!

 

“คิก~    เขาหัวเราะอย่างชอบใจ

 

“ผมจะพาคุณมาดูโรงพยาบาลจิตเวช ผมโทรขอทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลไว้แล้ว แต่วันอาทิตย์จะเป็นวันที่โรงพยาบาลปิดรับคนนอก เราจึงเข้าดูได้แค่วันนี้ที่เป็นวันเสาร์”

 

“อาจารย์...”      ในใจรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทันที...นี่อาจารย์ทำเพื่อเขาอีกแล้ว มันทั้งซาบซึ้ง ทั้งขอบคุณ ทั้งดีใจ ทั้งยิ่งรักเข้าไปใหญ่ ทำไมถึงได้แสนดีขนาดนี้นะผู้ชายคนนี้!

 

“ผมขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกคุณล่วงหน้า เพราะกว่าผมจะติดต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้ก็ต้องผ่านเลขาของพี่ชายผม ผมเลยเพิ่งได้คำตอบมาเมื่อคืน แล้วก็ต้องขอโทษที่ไปปลุกคุณมาตอนดึกดื่น ผมเพิ่งเคลียร์งานเสร็จ มันเป็นงานประกวดแบบโรงแรมที่ภูเก็ต งานนี้ผมต้องสู้กับอีกหลายออฟฟิศ ต้องพรีเซ้นต์ทั้งคอนเซ็ปต์ ทั้งสเก็ต ทั้งราคา ก็เลยยุ่งน่าดูเลยช่วงที่ผ่านมา”     อาจารย์องศาหันมาลูบหัวเขาด้วยสายตาที่กำลังขอโทษอยู่จริงๆ เขาจึงยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ เขาขยับหน้าไปคลอเคลียมือใหญ่ข้างนั้น เขารู้สึกว่าอาจารย์องศาดูจะชอบที่เขาทำแบบนี้ เขาจึงใช้มันแทนคำขอบคุณ

 

ทั้งๆที่อาจารย์ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อเขาขนาดนี้ก็ได้แท้ๆแต่ก็ยังทำ ทั้งๆที่ตัวเองก็เหนื่อยจะแย่ยังอุตส่าห์ติดต่อโรงพยาบาลให้ ไหนจะขับรถไปรับเขาทั้งที่เพิ่งเสร็จงานอีก

 

“อาจารย์...อาจารย์คิดค่าสินสอดเท่าไหร่ครับ ผมจะให้พ่อไปขอ”    เขาพูดหยอกเย้าด้วยสีหน้าซาบซึ้ง

 

“ฮึ... ฮะฮะ”     อาจารย์องศากลับหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

 

เรายืนดูทะเลกันอยู่ตรงนั้นอีกสักพัก พอสายๆอาจารย์องศาก็พาเขาเข้าไปดูโรงพยาบาลจิตเวชที่อยู่ไม่ไกลจากแถวนั้น

 

 

 

 

 

 

 

การได้มาเดินดูสถานที่จริงกับตามันช่างแตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ ต้องขอบคุณอาจารย์องศามากจริงๆที่เสียสละเวลาพาเขามา เขาได้เห็น ได้เรียนรู้หลายๆเรื่องในการมาวันนี้ และมันน่าจะส่งผลดีต่อการออกแบบของเขาค่อนข้างมาก

 

เขากับอาจารย์องศาเดินออกจากโรงพยาบาลตอนบ่ายแก่ๆอย่างตั้งใจจะกลับกรุงเทพกันแล้ว แต่ก่อนจะได้ก้าวขึ้นรถ มือบางก็รั้งแขนแข็งแรงเอาไว้ก่อน

 

“ครับ?”    อาจาร์องศาหันมาทำหน้าสงสัย

 

“ให้ผมขับรถแทนดีไหมครับ? แค่ขับกลับกรุงเทพแค่นี้สบายมากครับ...ผมเห็นอาจารย์...สูบบุหรี่จนจะหมดซองอยู่แล้ว...ง่วงใช่ไหมล่ะครับ? อาจารย์นอนพักเถอะครับ เดี๋ยวผมขับเอง”    มือบางตบลงไปบนอกตัวเองอย่างมาดมั่นเพื่อให้อาจารย์องศาวางใจ ใบหน้าหล่อเหลามองเขาอย่างชั่งใจอยู่สักครู่ก็ตอบออกมา

 

“......ก็ได้ครับ”    

 

“ผมขอโทษนะครับที่ต้องให้คุณขับ ทั้งๆที่ผมตั้งใจจะดูแลคุณให้ดีกว่านี้แท้ๆ”    อาจารย์องศายังหันมาขอโทษเขาอีกหลังจากที่ขึ้นรถได้...ตีหัวแล้วลากเข้าห้องมันซะเลยดีไหม? ผู้ชายดีๆแบบนี้ทำไมถึงปล่อยให้โสดอยู่ได้?

 

“ขอโทษอะไรกัน อาจารย์ต้องพึ่งพาผมบ้างสิครับ ผมเองก็พึ่งพาได้นะ”    เขาหันไปยิ้มก่อนจะพยายามปรับเบาะให้พอดีตัว อาจารย์องศาจะขายาวไปไหนเนี่ย เขาต้องเลื่อนเบาะเข้ามาตั้งเยอะแน่ะ

 

“ฮึๆ ครับ ถ้างั้นก็ฝากด้วยนะครับ”     ดวงตาที่ดูง่วงงุนค่อยๆปิดลง

 

อ่ะ! เขาเพิ่งเคยเห็นอาจารย์องศาตอนหลับเป็นครั้งแรก! เขาจึงมัวแต่จ้องเอาๆ ก็ขนาดตอนหลับยังหล่อมากเลยนะคนเรา...

 

“.....หื๋ม? สตาร์ทรถไม่ได้เหรอครับ? เอ... ก็สตาร์ทอยู่นี่นา?”    จู่ๆอาจารย์องศาก็ลืมตาขึ้นมาทำเอาคนที่แอบมองถึงกับเลิ่กลั่ก อาจารย์นึกว่าเขามีปัญหากับรถเลยยังไม่ขับออกไปเสียที

 

“ผม...นึกเส้นทางอยู่น่ะครับ แหะแหะ ไปแล้วครับๆ”    มือบางกลับมาจับพวงมาลัย เจ้ารถสีขาวจึงเริ่มเคลื่อนที่ออกไป

 

 

 

 

แล้วก็ทั้งที่คุยโม้เอาไว้เสียดิบดี แต่ดวงตาสุขุมเปิดขึ้นมาอีกที...รถมันกลับขยับจากที่เดิมยังไม่พ้นจังหวัดเลยด้วยซ้ำ เสียงซ่าๆของชายทะเลยังตามมากรอกหูเขาอยู่เลย? ใบหน้าหล่อเหลาที่เอียงเข้าหาหน้าต่างลืมตามองรอบกายอย่างสงสัย?

 

“อาจารย์...”   เสียงของพายุเรียกเขาอยู่ใกล้ๆ

 

“อาจารย์องศาครับ”    ใบหน้าแบบคนเพิ่งตื่นจึงค่อยๆหันไปมอง

 

“หื๋ม?...”

 

“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ อาจารย์ติดงานอะไรหรือเปล่าครับ?”    เขายังเบลอๆอยู่แต่ก็พยายามนึกตาม

 

“อืม...ไม่มีนะ พรุ่งนี้วันหยุดของผม”    เสียงที่ตอบออกไปนั้นแหบพร่างัวเงียเล็กน้อย แต่ใบหน้ามนที่จ้องเขาอย่างคาดหวังอะไรบางอย่างอยู่กลับทำหน้าดีใจ

 

“ดีเลย!    พายุยิ้มกริ่มก่อนจะก้มลงไปจ้องอะไรในมือถือต่อ เขาจึงปรับเบาะจากที่เอนนอนไว้ให้ตั้งตรงมากขึ้น

 

“...ยังไม่ถึง...กรุงเทพอีกเหรอครับ? เหมือนผมจะหลับไปนานพอสมควรแล้วนะ?”    ความมืดรอบกายเป็นสักขีพยานได้ นับจากตอนที่เขาหลับไปถ้ามันมืดได้ขนาดนี้ก็น่าจะผ่านมาสักสามสี่ชั่วโมงได้แล้วไหม?

 

“แหะแหะ...พอดีว่า...พ่อผมน่ะ...สั่งผมไว้ไง~ ว่าห้ามผมขับรถไปต่างจังหวัดตอนกลางคืนเด็ดขาดเลย แล้วนี่มันก็กลางคืนแล้วด้วย~    พายุทำหน้าเจ้าเล่ห์อย่างไม่รู้ไม่ชี้ เขาเลยจ้องมองไปที่ใบหน้ามน

 

“แล้ว?”

 

“ผมเลยคิดว่า...เราค้างที่นี่กันสักคืนดีไหมครับ?”    เขาถึงกับหัวเราะในลำคออย่างรู้ทัน ที่มัวโอ้เอ้แท้จริงแล้วก็อยากจะหาเรื่องค้างคืนที่นี่สินะ? หรือจะอยากอยู่เล่นน้ำทะเลต่อ?

 

“เอาสิ”    นี่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพายุเป็นคนที่พิเศษมากสำหรับเขา เพราะถ้าเป็นคนอื่นทำแบบนี้ หลอกให้เขาค้างคืนด้วย ยื้อให้เขาเสียเวลาอันมีค่าไปเปล่าๆแบบนี้ เขาคงจะโกรธมากไปแล้ว แต่กับเจ้าเด็กโกธิคพังก์ตรงหน้า ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ เขายังยินดีที่จะอยู่ต่ออีกด้วย

 

“แล้วจะค้างที่ไหนล่ะ?”    เขาถามออกไป

 

“นี่ไง! ผมหาไว้ให้แล้ว โรงแรมนี้มีชายหาดส่วนตัวด้วยนะ ผมจองไปแล้วด้วยล่ะ”    ....เอาเวลาที่นั่งหานั่งจองไปขับรถก็น่าจะถึงกรุงเทพตั้งนานแล้วไหม? ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มให้เจ้าเด็กอยากเที่ยวทะเลตรงหน้า

 

“ก็ได้ครับ มาสิ เดี๋ยวผมขับรถเอง ได้นอนไปตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะแล้ว”     เขาเตรียมขยับร่างกายเพื่อที่จะเปลี่ยนไปขับรถแทน

 

“ไม่ต้องเลยครับ อาจารย์นอนต่อไปเลย เดี๋ยวผมจัดการเอง”    แต่ท่อนแขนบางกลับเอื้อมมากดตัวเขาลงกับเบาะรถ

 

“เอาหมอนไหมครับ?”    มือบางควานไปหยิบหมอนกระต่ายมาจ่อหน้าเขา ทำเอาเขาชะงักไปเล็กน้อยที่ได้เห็นดวงตาเม็ดพลาสติกนั่นใกล้ๆ

 

“ฮึ...ไม่เอาครับ หมอนนี่มันเหมาะกับคุณมากกว่า”    เขาหัวเราะออกไปอย่างอารมณ์ดี ทั้งที่ไม่ได้นอนแต่กลับทำให้เขาอารมณ์ดีได้ขนาดนี้ คงจะมีแต่พายุคนเดียวแล้วละมั้งที่จะรับมือเขาไหว...เพราะเขาเอง...ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่ตอนอดนอนเหมือนกัน...

 

“อะไรล่ะ เห็นแบบนี้แต่มันก็นิ่มสบายคอมากเลยนะ”    ใบหน้ามนหันไปบ่นงุ้งงิ้ง

 

“ขอบคุณครับ”    เขายิ้ม พายุจึงถอดใจแล้วเอาหมอนไปเทินไว้บนตักตัวเองแทน ร่างโปร่งขับรถต่อไปโดยมีตุ๊กตากระต่ายนั่งอยู่บนตัก เป็นภาพที่น่ารักมาก

 

 

 

 

 

 

เพราะมาถึงโรงแรมก็มืดมากแล้วจึงต้องตัดใจทิ้งชายหาดไว้เบื้องหลังแล้วขึ้นห้องพักไป

 

“คุณอาบน้ำก่อนได้เลยนะครับ หรือถ้าหิวก็สั่งรูมเซอร์วิสขึ้นมา ผมขอนอนสักครู่...แล้วก็...อย่าปลุกผม ปล่อยให้ผมนอนไป เข้าใจนะครับ?”   อาจารย์องศาบอกเขาสั้นๆก่อนจะเดินไปที่เตียง ดูท่าทางอาจารย์จะไม่ได้นอนมาหลายคืน

 

“ครับ...?”    เขาตอบรับ ถึงจะยังติดใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมต้องย้ำขนาดนั้นด้วย? ไม่ชอบให้คนกวนเวลานอนเหรอ?

 

น่าสงสัยแหะ....

                                                                                          

ร่างโปร่งบางเดินสำรวจห้องพักสไตล์โมเดิร์นห้องนี้ว่ามีอะไรให้บ้าง ก่อนจะหันมาอีกทีก็พบว่าอาจารย์องศานอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงไปแล้ว...

 

แม้แต่ผ้าห่มก็ไม่ได้ดึงออกมา น่าจะล้มตัวลงไปเฉยๆเลยมากกว่าไหม ลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกว่าอาจารย์องศาหลับไปแล้ว...

 

 

ติ๊ง!

 

เสียงไลน์ทำให้เขาสะดุ้งเบาๆ เปล่านะ! เขาไม่ได้กำลังคิดเรื่องชั่วร้ายอย่างการลักหลับอาจารย์องศาเสียหน่อย ถึงจะต้องตกใจกับเสียงไลน์แค่นี้ด้วย! มือบางล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาดูอย่างคนมีพิรุธ

 

 

อวาต้าร์รอยสัก :  [ไอ้พาย มึงอยู่ไหนวะ? มึงไม่ได้นอนอยู่ในห้องนี่?]

 

 

อ่ะ! เขาลืมไปเลยว่าเขายังไม่ได้บอกไอ้เพื่อนสี่ตัวนั้น เมื่อกลางวันก็มัวแต่ดูโรงพยาบาล ป่านนี้ไม่แจ้งตำรวจไปแล้วเหรอเนี่ยว่าเขาหายตัวไป แย่ละ! จะให้พ่อเขารู้ไม่ได้! เดี๋ยวได้ตามมาลากคอเขากลับบ้าน ไม่เอานะ เขาจะอยู่กับอาจารย์องศา~

 

 

อวาต้าร์ Mr.น่านฟ้า :  [มึงอยู่ไหนเนี่ยพาย? พวกกูเดินหากันให้ทั่วบ้าน นึกว่ามึงนั่งปั้นหัวตุ๊กตาอยู่เลยไม่ได้ไปเรียก]

 

อวาต้าร์ตากล้อง :  [มึงยังไม่ตายใช่ม๊ายยย กูจะแจ้งตำรวจแล้วนะ!!]

 

อวาต้าร์ทะเลยามเย็น :  [พาย มึงตอบพวกกูด้วย]

 

 

เสียงไลน์ดังมาอีกเป็นขบวน มือบางจึงต้องรีบพิมพ์ตอบก่อนที่การหนีตามผู้ชายของเขาจะรู้ไปถึงหูพ่อ!

 

 

อวาต้าร์ราฟาเอล :  [กูยังมีชีวิตอยู่โว้ย]

 

อวาต้าร์รอยสัก :  [มึงไปไหนของมึงเนี่ย? จู่ๆก็หายหัวออกไปจากบ้าน กูนึกว่าใครลักพาตัวมึงไปซะแล้ว]

 

อวาต้าร์ราฟาเอล :  [กูมาดูโรงบาลจิตเวช อยู่ต่างจังหวัด]

 

อวาต้าร์รอยสัก :  [ห๊ะ? มึงไปคนเดียวเนี่ยนะ? ไม่สิ กูเห็นรถมึงยังจอดอยู่นี่ หรือว่าพ่อมึงพาไป?]  

 

อวาต้าร์ราฟาเอล :  [เปล่า...ไม่ใช่พ่อกู...แต่เป็น...อาจารย์องศา...]

 

 

พวกมันนิ่งไปหลายวินาที พอจะมีเวลาให้เขาล้มตัวลงบนเตียง หัวของเขาแทบจะชนกับหัวของอาจารย์องศา เขาจึงรู้สึกถึงเส้นผมที่แตะโดนกัน...

 

 

อวาต้าร์ Mr.น่านฟ้า :  [โอยยย]  

 

อวาต้าร์ทะเลยามเย็น :  [อุยยย]  

 

อวาต้าร์รอยสัก :  [แยกย้ายๆๆ เสียเวลาชะมัดเลยกู]  

 

อวาต้าร์ตากล้อง :  [ตกลงอาจารย์องศาจีบมึง รึมึงจีบอาจารย์องศาวะ? มึงตอบให้กูหายคาใจซิไอ้เชี่ยพาย] 

 

 

เหมือนจะมีแต่ไอ้ธีร์นี่แหละที่ไม่เข้าใจสถานการณ์แบบนี้  ไอ้บ้าเอ้ย  จะให้เขาตอบตรงๆยังไงวะ มันเขินนะโว้ย!

 

 

อวาต้าร์ราฟาเอล :  [จีบเจิบอะไรกันเล่า~ อาจารย์ก็แค่พามาดูโรงบาลเอง]

 

อวาต้าร์ตากล้อง :  [แล้วทำไมพามึงไปคนเดียววะ? คนในกลุ่มที่ตรวจกับจารย์องศาก็มีเป็นสิบคนไม่ใช่เร๊อะ?]  

 

อวาต้าร์ราฟาเอล :  [ก็กูทำโรงบาลบ้าอยู่คนเดียวไง! โรงบาลปกติมึงแค่เดินเข้าไปก็ดูได้แล้วไหม? แต่โรงบาลบ้าเค้าต้องขออนุญาติก่อนโว้ย แล้วก็จำกัดจำนวนคนเข้าด้วย อาจารย์องศาเลยพากูมาดูแค่คนเดียวไง~~ พวกมึงจะสงสัยอะไรนักหนา~~] 

 

อวาต้าร์รอยสัก :  [จ้ะ พวกพี่ๆไม่สงสัยแล้วก็ได้จ้ะ เดต เอ้ย ดูโรงบาลให้สนุกนะจ้ะ] 

 

อวาต้าร์ตากล้อง :  [แล้วนี่มึงไปดูถึงไหนวะ? ทำไมต้องค้างคืนด้วย?] 

 

อวาต้าร์ Mr.น่านฟ้า :  [มึงก็เลิกสงสัยซักทีเถอะไอ้เชี่ยธีร์ ไอ้พายมันเขินหน้าดำหน้าแดงแล้วมั้งน่ะ มึงนี่ไม่รู้เรื่องเลย มานี่!] 

                                     

 

เหมือนจะได้ยินเสียงตบหัวป๊าปลอยมาจากในแชทเลยแหะ ฮ่าๆ

 

จากนั้นแชทก็เงียบไป...

 

 

เงียบ...พอๆกับอาจารย์องศาที่นอนอยู่ข้างๆเลย...

 

เขาพลิกตัวมานอนคว่ำมองร่างสูงใหญ่ที่นอนหลับด้วยใบหน้าสงบ อาจารย์ไม่กรนด้วยแหะ ตอนหลับก็ยังเหมือนเทพบุตรเลย

 

เรียวนิ้วแอบจิ้มลงไปที่ปลายจมูกโด่ง  ดูท่าทางจะเหนื่อยมาก พอเข้าห้องพักมาได้ถึงกับหลับสนิทขนาดนี้

 

เขาพับแขนขึ้นมาก่อนจะเกยคางไว้บนหลังมือ ดวงตากลมใสไล่มองแนวจมูกคมสันกับใบหน้าราวกับรูปสลักนั่นอย่างเผลอไผล

 

เปลือกตาค่อยๆรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะหลับตามไป...

 

 

 

 

 

ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรขึ้น...เพราะทั้งเขาทั้งอาจารย์องศาต่างหลับเป็นตายอยู่ข้างๆกัน หลับจนฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่ตื่น...หลับจนไม่รู้จะมาค้างคืนในโรงแรมไปเพื่ออะไรกัน?!!

 

พวกเขาต่างก็หัวเราะเมื่อลืมตามาเจอหน้ากันตอนบ่ายสามโมงเย็น แม้แต่อาหารเช้า อาหารกลางวันยังไม่ได้กินด้วยกันเลยสักมื้อ...นี่แหละนะ เดตแบบเด็กถาปัด!

 

“หิวไหมครับ?”     อาจารย์องศายิ้มในขณะที่นอนมองหน้าเขา แม้แต่หัวของพวกเราก็ยังไม่ถึงหมอนเลยด้วยซ้ำ

 

“อื้อ...”    เขาทั้งพยักทั้งส่ายหน้าอย่างมึนงง มันก็น่าจะหิวแหละแต่ก็อยากจะนอนอยู่แบบนี้มากกว่า...มือใหญ่จึงยกมาเกลี่ยไล้เส้นผมออกจากใบหน้าที่ยังงัวเงียของเขาอย่างเอ็นดู

 

“งั้นก็หาอะไรกินง่ายๆจากร้านขนมที่โรงแรมนี่ก็แล้วกันนะครับ เราไม่น่าจะมีเวลาพอทานมื้อใหญ่ๆ เอาไว้ผมเลี้ยงคุณคราวหน้าก็แล้วกัน”    เพราะต้องขับรถกลับกรุงเทพอีกหลายชั่วโมง ป่านนี้คุณเพื่อนที่ทำหน้าที่เสมือนพ่อคงยืนกอดอกรอกินหัวเขาแล้วที่ไม่กลับบ้านกลับช่องแบบนี้

 

“ครับ...”   

 

“งั้นก็ลุกล้างหน้าล้างตากันเถอะ”

 

“อื้อ...”

 

ในห้องน้ำมีอ่างล้างหน้าสองใบ พวกเขาจึงเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกันเพื่อไม่ให้เสียเวลา

 

“ทำไมโรงแรมถึงชอบทำอ่างล้างหน้าคู่แบบนี้นะครับ? เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนก็เป็นแบบนี้หมดเลย”    เขาแกล้งถามเหมือนอยากได้ความรู้ในขณะที่บีบยาสีฟันลงไปบนแปรง

 

“ทำไว้ให้คู่รักมาใช้งานได้พร้อมกันไงครับ เพราะส่วนใหญ่ห้องเตียงเดี่ยวKing sizeแบบนี้คนที่จะมาพักด้วยกันก็มักจะเป็นคู่รักไม่ใช่เหรอครับ”    อาจารย์องศาก้าวตามเข้ามายืนบีบยาสีฟันอยู่ข้างๆ

 

“นั่นสินะครับ...น่าจะเป็นคู่รักแหละ”    ใบหน้ามนยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะมองไปยังคนสองคนที่ยืนอยู่ในกระจก

 

“ฮึ...คุณนี่มัน...”    ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับส่ายหน้าไปยิ้มไปเมื่อตามเขาทัน  จะบอกว่าเราเป็นคู่รักกันงั้นสิ ถึงได้มาพักด้วยกันเนี่ย~

 

 

 

“ขอโทษด้วยนะครับที่ผมเอาแต่หลับจนคุณไม่ได้เล่นน้ำทะเลเลย คุณอุตส่าห์จองที่นี่เพราะมีหาดส่วนตัวแท้ๆ”    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาในขณะที่เขากำลังก้มเพื่อล้างหน้าในอ่าง

 

“อาจารย์จะรับผิดชอบยังไงครับ?”    ใบหน้ามนที่พราวไปด้วยหยดน้ำเงยขึ้นมาถาม เขาหยิบผ้าขนหนูที่มือใหญ่ยื่นให้มาเช็ดหน้า ก่อนจะหันหลังพิงเคาน์เตอร์มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มซุกซน

 

“อืม....เอาไว้ผมพาคุณมาใหม่ คำตอบแบบนี้พอใจไหมครับ?”    อาจารย์องศาที่ยังยืนหันหน้าเข้าเคาน์เตอร์หันมาตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

 

“คิก~ เป็นคำตอบที่ถูกต้องครับ”    เขาหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเสมองพื้นแล้วพูดงึมงำออกไปเบาๆ

 

“ถึงแม้ว่า...จริงๆแล้ว...ผมจะไม่ได้อยากเล่นน้ำ แต่แค่อยากอยู่กับอาจารย์ก็ตาม...”

 

อาจารย์องศาเพียงแค่มองหน้าเขาไม่ละไปไหน ถึงจะไม่มีคำพูดใด...ทว่า...สายตานุ่มลึกที่มองมาก็แทนทุกคำพูดได้หมดสิ้น

 

 

แทนทุกเสียง...ที่ดังออกมาจากหัวใจได้จนหมด...

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

To be con.

 

ยัยพายลูกแม่ก็คือจีบอาจารย์องศาหนักมากตอนนี้ 55555 >/////< เคะที่ดีต้องแบบนี้ ไม่ต้องรอเมะมาจีบเนอะลูก อยากได้ก็ลงมือก่อนเลย โอ๊ย >////<

 

นี่คุณกวางมันก็พยายามนึกถึงบรรยากาศตอนเรียนให้ได้มากที่สุดแล้วนะ แต่มันนานแล้วเลยลืมไง เพราะงั้นมีผิดพลาดประการใดก็ข้ามๆมันไปนาคะ 555 ก็อย่างที่บอกเป็นประจำว่าอย่าไปเชื่อข้อมูลอะไรมันมาก บางเรื่องก็แต่งเสริมเพิ่มเข้าไปงี้ ใช้จักรยานในการอ่านนั่นแหละดีค่ะ 555

 

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามมากๆเลยนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น