KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 05

 KW Original [องศาxพายุ]  องศา π (พาย) : 05

 

: KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า

: องศา x พายุ

: Warmhearted Romantic

: PG-15(ไปก่อน555)

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

             : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด

           : อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

  

 


อีกสามวันจะถึงวันส่งโปรเจคโรงเรียนอนุบาลของนักศึกษาชั้นปีที่สาม สตูดิโอจึงเปิดให้ใช้ทำงาน นักศึกษาถาปัดหลักส่วนใหญ่จึงเริ่มมาใช้ชีวิตกินนอนกันอยู่ที่คณะ

 

พายุ ธารธารากุลก็เช่นกัน

 

เขาเห็นจากรูปถ่ายบรรยากาศสตูเมื่อคืนนี้ที่ลงไว้ในกรุ๊ปไลน์ของวิชาดีไซน์ปีสาม ซึ่งอาจารย์หัวหน้าวิชาอย่างอาจารย์องศาก็อยู่ในกรุ๊ปนี้เช่นกัน

 

ร่างสูงใหญ่ในชุดกั๊กสูทสีเทาเงินก้าวเดินไปตามทางเดินที่เงียบสงบของยามเช้า ช่วงเวลาแบบนี้เหล่าซอมบี้ของคณะสถาปัตย์ก็น่าจะกำลังสลบไสลหลังจากโต้รุ่งมาทั้งคืนจึงไม่มีใครเดินสวนเขามาสักคน

 

เขาตั้งใจจะแวะมาดูงานของเจ้าเด็กโกธิคพังก์นั่นสักหน่อย เพราะเมื่อคืนก็ยังไลน์ถามเขาเรื่องหอคอยว่าจะตัดโมเดลแบบขยายดีหรือไม่ตัดดีอยู่เลย

 

หลังจากที่ตรวจแบบกลุ่มครั้งแรก งานของพายุก็พัฒนาไปไกลมากสมกับที่เป็นตัวท็อปของชั้นปี ทั้งๆที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจ ดูเหมือนทำไปเรื่อย แต่เอาเข้าจริงพายุก็มักจะนึกถึงงานของตัวเองอยู่ในหัวตลอด เหมือนมันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องเค้น ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องกดดันตัวเอง แต่มันกลับกลั่นออกมาเอง

 

พวกเขามักจะเรียกคนแบบนี้ว่าคนที่มีพรสวรรค์ และมันก็น่าจะเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากสายเลือดเพราะรุ่นพี่พิภพเองก็เป็นนักออกแบบที่มีพรสวรรค์เช่นกัน เพียงแต่รุ่นพี่นั้นเป็นผู้ชายที่จริงจังกับทุกเรื่อง ต่างจากพายุที่ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไหร่

 

แต่จะบอกว่าเป็นเพราะพรสวรรค์อย่างเดียวก็คงไม่ใช่ พายุส่งแบบให้เขาตรวจแทบทุกวัน ถึงจะนิดหน่อยเล็กน้อยแค่ไหนแต่ถ้านึกอะไรขึ้นมาได้เจ้าตัวดีก็ไม่คิดจะเกรงใจส่งไลน์มาถามเขาทันที ในขณะที่นักศึกษาคนอื่นๆซึ่งตรวจแบบกับเขามักจะทำแบบมาทีเดียวแล้วค่อยมาตรวจตามจำนวนครั้งให้ครบๆไป แต่พายุคุยกับเขาอยู่ตลอดอย่างไม่กลัวว่าจะถูกแก้แบบกลับไป จะได้รับคำแนะนำมากกว่าใครก็ไม่น่าจะแปลกตรงไหน

 

แล้วพอคุยเรื่องแบบกันไป...เรื่องอื่นๆมันจึงตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ  อย่างเช่นบทสนทนาเมื่อวานนี้ที่พายุมักจะเริ่มถามเขาว่า อาจารย์ทำอะไรอยู่ครับ? ผมส่งแบบให้ดูได้ไหม? แล้วถ้าเขาบอกว่าอยู่ที่ S&P เจ้าตัวดีก็จะคุยเรื่องขนมว่านู่นอร่อยนะ นี่น่ากินมากนะ อาจารย์ลองทานดูสิ...จนเขาพอจะรู้คร่าวๆว่าพายุชอบทานขนมแบบไหน มีอาหารอะไรเป็นเมนูโปรด หรือถ้าเขาบอกว่าอยู่ออฟฟิศแล้วมีเสียงเพลงดังลอดสายโทรศัพท์ไป พายุก็จะชวนเขาคุยเรื่องเพลงจนเขารู้ว่าเจ้าตัวดีชอบฟังเพลงแนวโกธิคร็อค พังก์ ไปจนถึงเพลงร็อคของฝั่งญี่ปุ่น เพลงอนิเมชั่นก็ฟัง ยังชวนเขาไปดูคอนเสิร์ตของ One OK Rock ที่กำลังจะจัดนี่อยู่เลย...

 

เขาเอง...ก็รู้สึกดีที่ได้เห็นข้อความเหล่านั้น รู้สึกดีที่ได้ยินเสียงของพายุเล่าเรื่องต่างๆ แล้วก็มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาได้มันช่วยเอาไว้จากงานที่กำลังตึงเครียด

 

เสียงที่เล่าอะไรไปเรื่อยเปื่อยของพายุ...มีพลังฮีลใจอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนเลยจริงๆ กับผู้หญิงที่เคยคบกันก็ไม่เคย

 

ขายาวก้าวมาถึงสตูปีสาม มีเสียงเพลงเบาๆลอยออกมา ร่างในชุดกั๊กสูทก้าวขาเข้าไปในห้องโถงกว้างโล่งซึ่งมีโต๊ะเขียนแบบตั้งอยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะถูกลากมาติดกันเป็นล็อคๆ แล้วก็นอกจากอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานก็ยังมีอุปกรณ์ยังชีพอย่างพวกที่นอน หมอน ผ้าห่มวางอยู่ตามใต้โต๊ะด้วย แน่นอนว่าในนั้นมีศพหลับอยู่เต็มไปหมด...

 

ร่างสูงใหญ่ต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ถึงแม้เจ้าเด็กพวกนี้จะพยายามรักษาทางเดินเอาไว้ให้แต่ก็ยังมิวายมีกระดาษไปจนถึงขาคนยื่นออกมาขวางเป็นระยะๆ

 

แล้วกลุ่มโต๊ะของเจ้าพวกตองเก้าก็ดันอยู่มันซะในสุด ลึกสุดอีก...

 

หลังจากเดินเตะกระป๋องสเปรย์กาวบ้าง ขวดกระทิงแดงบ้างไปหลายรอบ ในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าล็อคของพายุสักที

 

น่านฟ้า นาวา นธีร์และปรมะ นอนอยู่บนเสื่อเดียวกันที่กลางล็อค รอบๆเป็นโต๊ะเขียนแบบที่มีรูปด้านซึ่งกำลังลงสีบ้าง แปลนที่เขียนค้างไว้บ้าง รูปตัดที่ยังไม่เสร็จบ้างติดอยู่ ที่พื้นก็มีฐานโมเดลขนาดใหญ่สี่ห้าอันวางไว้ ไหนจะกระดาษที่เอาไว้ตัดตัวอาคารวางเกลื่อนกลาด เพราะการส่งโปรเจคครั้งไฟนอลส่วนใหญ่จะเลือกทำโมเดลสีเสมือนจริงกัน เพราะงั้นอุปกรณ์อย่างแผ่นน้ำเทียม หญ้าเทียม แผ่นหลังคา เทียนเจล เรซิ่น ต้นไม้จึงมีต้องใช้กันด้วย แล้วนี่คงจะมีใครย้อมสีต้นไม้? เขาถึงได้เห็นเตาแก๊สปิคนิคกับหม้อต้มสีวางอยู่ท้ายล็อคด้วย? นอกจากนี้ก็ยังมีคอมพิวเตอร์PCที่เปิดคาไว้และเสียงเพลงมันก็ดังมาจากที่นี่เอง

 

แล้ว...เจ้าตัวดีของเขาล่ะ? ไปอยู่ซะที่ไหน? ไม่ได้นอนอยู่กับเพื่อนๆ? เมื่อกี้ที่ห้องพักอาจารย์ของเขาก็ไม่มีนะ?

 

ดวงตาเยือกเย็นกวาดมองไปรอบๆล็อคอีกครั้งก่อนจะไปสะดุดกับกองผ้าห่มสีเทาเข้มจนเกือบดำที่อยู่ใต้โต๊ะตัวหนึ่ง ปอยผมสีดำแล่บออกมาจากโปงผ้าห่มพร้อมกับที่คาดผมคิตตี้อย่างน่ารัก...

 

พายุ?

 

จะว่าไปนี่มันที่คาดผมร่วมสาบานหรือยังไง? เขาหันไปมองอีกสี่คนที่นอนอยู่บนเสื่อ นอกจากนาวาที่สกินเฮดกับน่านฟ้าที่เป็นเดธร็อคแล้ว ที่เหลือก็ใช้ที่คาดผมแบบเดียวกันหมดเลยนี่? ฮะฮะฮะ เขากลั้นขำจนไหล่สั่น

 

ยังดีที่โต๊ะของพายุอยู่ไม่ไกลจากทางเดิน เขาจึงไม่ต้องก้าวข้ามศพทั้งสี่นั่นไป ร่างสูงใหญ่นั่งยองๆก่อนจะมองใบหน้าของคนที่หลับปุ๋ยอยู่ใต้โต๊ะ...เดินไปไม่ถึงเสื่อที่เพื่อนๆนอนอยู่หรือไงนะ? เพราะสภาพเหมือนเพิ่งไหลลงมาจากเก้าอี้มากกว่าเลย? ที่เสื่อเพื่อนๆก็เหมือนจะเว้นที่เอาไว้ให้?

 

ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นไปยืนมองโมเดลที่ยังไม่ได้เริ่มตัดเลยแม้แต่น้อย พายุน่าจะกำลังทำแบบอยู่ เขาจึงลองประเมินคร่าวๆว่าอีกสามวันที่เหลือนี้จะทำทันแค่ไหน การฝืนทำโมเดลขยายเฉพาะส่วนอาคารที่สำคัญอาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้ถ้าไม่มีพี่รหัสหรือน้องรหัสที่เป็นมือปืนมาช่วย อีกอย่าง ปกติแล้วแค่โมเดลหลักนี่ก็ต้องใช้เวลาทำกันเป็นอาทิตย์เชียวนะ นี่ยังมีแค่ฐานอยู่เลย...

 

เขานั่งคุกเข่าลงอีกครั้ง ดวงตาสุขุมเหลือบมองพื้นแข็งๆของสตู มันไม่ได้ปูกระเบื้องด้วยซ้ำ เป็นคอนกรีตเปลือยที่มีแต่ร่องรอยสเปรย์เอยอะไรเอยเต็มไปหมด ถึงมันจะถูกปัดกวาดอย่างดีและพายุก็มีผ้ารองนอนอีกผืน แต่มันก็ยังดูไม่สบายอยู่ดี เขาเองก็เคยนอนตรงนี้มาก่อนจึงรู้ซึ้งถึงความแข็งของมันดีเลยละ

 

“พายุ”   เขาตัดสินใจเรียกคนที่หลับอยู่

 

“พายุ”    มือใหญ่เอื้อมไปเขย่าไหล่บางเบาๆ

 

“อือ...”    คงจะเป็นเพราะเพิ่งอดนอนเป็นวันแรกๆจึงยังปลุกไม่ยากเท่าไหร่ ดวงตากลมใสจึงค่อยๆหรี่ปรือขึ้นมามอง

 

“ผมเอง”

 

“....อาจารย์?...”    เสียงงัวเงียเอ่ยออกมาจากใบหน้าที่ง่วงงุน

 

“ไปนอนที่ห้องผมไหม?”   เสียงทุ้มเองก็เอ่ยชวนอย่างนุ่มนวล เขารู้ดีว่าการได้นอนสบายๆสักชั่วโมงหนึ่งจะช่วยได้มากขนาดไหน ถึงจะรู้สึกผิดต่อนักศึกษาคนอื่นๆแต่โซฟาของเขาก็มีอยู่แค่ตัวเดียวเสียด้วย

 

“อื้อ...ไป...”   ใบหน้าสะลึมสะลือตอบรับทันที

 

“งั้นก็ลุก”   เขาลุกขึ้นนำ

 

“ครับ...”    ก่อนที่ร่างโปร่งในเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีดำจะลุกขึ้นตาม มือบางหยิบหมอนกระต่ายกับผ้าห่มติดมาราวกับเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติทำเอาเขาอมยิ้มอย่างเอ็นดู สภาพไม่ต่างจากเด็กน้อยเดินลากผ้าห่มเลยจริงๆ

 

“ขอบคุณนะครับ...พื้นสตูแข็งสุดๆไปเลย ทำไมไม่บุนวมให้ซักหน่อยนะ...”    เสียงงัวเงียบ่นงึมงำ ก็สตูเค้าไม่ได้ทำไว้ให้นอนนี่ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกับคำบ่นของอีกฝ่าย

 

ตุ้บ...

 

แล้วพอมาถึงโซฟาของเขาได้ ร่างโปร่งบางก็ล้มตัวลงไปทันที

 

ตุ๊กตากระต่ายขนหยอยที่ดูนุ่มมากนั่นถูกใช้แทนหมอน? ผ้าห่มสีเทาเข้มก็ถูกตวัดคลุมกาย แล้วดวงตาคู่สวยก็ปิดลงอย่างง่ายดาย พายุ...คงจะไม่อยากคุยเรื่องโมเดลกับเขาแน่ตอนนี้...

 

ช่วยไม่ได้

 

“คุณจะนอนซักกี่ชั่วโมง?”   เสียงทุ้มถามออกไป

 

“....ชั่วโมงเดียวพอครับ...”

 

“งั้นเดี๋ยวผมปลุกคุณให้ก็แล้วกัน”

 

“ขอบคุณครับ...”    เขาคงต้องรอ...จนกว่าพายุจะตื่นขึ้นมา

 

 

 

 

เสียงแกร่กๆที่เกิดจากปลายปากกาขีดเขียนลงไปบนกระดาษยังคงดังต่อเนื่องมากว่าชั่วโมง อาจารย์องศานั่งจิบกาแฟอยู่บนโซฟาเดี่ยวตัวข้างๆพลางสเก็ตแปลนบ้านของลูกค้าไปด้วย เพราะเป็นออฟฟิศขนาดเล็กบางโปรเจคเขาจึงต้องลงไปช่วยคิดคอนเซ็ปต์กับวางผังให้ก่อนจะส่งต่อลูกน้องในทีมพัฒนาแบบต่อไป เขาจะเป็นคนคอยตรวจแบบและควบคุมงานทั้งหมดของออฟฟิศให้ไปในทิศทางเดียวกัน งานที่ออฟฟิศของเขาถนัดจึงเป็นงานบ้านเดี่ยว งานโครงการบ้านจัดสรร รีสอร์ทและโรงแรมเป็นส่วนใหญ่

 

มือใหญ่วางปากกาลงหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพอดี ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองคนที่ยังหลับปุ๋ย เพราะนอนขดตัวอยู่ผ้าห่มที่คลุมขาจึงเลิ่กขึ้นมาทำให้เขาเห็นว่าเจ้าเด็กโกธิคพังก์นั่นใส่กางเกงขาสั้นอยู่ ข้อเท้าเล็กๆและฝ่าเท้าขาวๆนั่นก็เปลือยเปล่าไม่ได้อยู่ในรองเท้าบูทเหมือนทุกที เขาเหลือบตาลงไปมองรองเท้าแตะหนีบง่ายๆสบายๆ...นะ...นักศึกษาคณะเขาก็เดินไปเดินมาในคณะด้วยสภาพชุดอยู่บ้านกันแบบนี้แหละ...

 

สายตาต้องรีบละจากข้อเท้าที่น่าจะเล็กกว่าฝ่ามือของเขามากนั่น เขากระแอมหนึ่งทีก่อนจะปลุกคนที่หลับใหล

 

“พายุ”

 

“พายุ ตื่นได้แล้วครับ ครบหนึ่งชั่วโมงแล้ว”   เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะใช้มือช่วยเขย่าไหล่บาง

 

“พายุ”   

 

“อือ...”    แพขนตายาวค่อยๆกระพริบเปิดขึ้นมา ใบหน้ามนนั้นงัวเงียถึงขั้นสุดแล้วก็ยังไม่ยอมละจากหมอนเสียด้วย

 

“...กี่โมง...แล้วครับ...”    มือบางยกขึ้นมาขยี้ตาทั้งที่ยังนอนอยู่ ใบหน้าสะลึมสะลือมองเขาจากพื้นโซฟาอยู่แบบนั้น

 

“แปดโมงครึ่ง”

 

“หื๋อ? แล้วอาจารย์...มาทำอะไรตั้งแต่เช้าครับ...”   ไม่ว่าจะเลคเชอร์หรือตรวจแบบก็มักจะเริ่มที่เก้าโมงครึ่ง พวกอาจารย์จึงมักจะมากันก่อนแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่อาจารย์องศาน่าจะมาตั้งแต่เจ็ดโมงกว่าๆแล้วไหม?

 

“ผมได้ยินมาว่าสตูคุณเปิดตั้งแต่เมื่อคืน ผมเลยแวะมาดูคุณหน่อย คุณถามผมเรื่องหอคอยนี่? ว่าแต่ทำไมคุณไม่เข้ามานอนในห้องผมล่ะ?”

 

“ผมมาแล้ว...แต่ประตูมันล็อค...”     เสียงงัวเงียตอบงึมงำ

 

“อ่า...จริงสิ...”    ใบหน้าหล่อเหลาจึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่าตอนกลางคืนห้องพักอาจารย์จะถูกลุงภารโรงล็อคเอาไว้

 

“อ่ะ คุณอย่าหลับตานะ ลุกขึ้นมาก่อน”    ไหล่หนาสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นว่าดวงตาที่เพิ่งจะลืมขึ้นมาทำท่าว่าจะปิดลงไปอีกครั้ง

 

“ผมอยากนอน...”    เสียงงึมงำดังลอดออกมาจากผ้าห่ม

 

“คุณต้องลุกไปทำงานก่อน เสร็จแล้วค่อยมานอน”    เพราะเคยเป็นเด็กถาปัดมาก่อนถึงได้รู้ว่าการใจอ่อนแล้วปล่อยให้นอนต่อนั่นคือหายนะ และเจ้าตัวจะโกรธมากที่ไม่ยอมปลุกกันให้ตื่น

 

“ตาผม...มันลืมไม่ขึ้นแล้ว...”   

 

“คุณ ลุกขึ้นมานั่งก่อน”    มือใหญ่จับที่ไหล่บางก่อนจะออกแรงดึงให้ลุกขึ้นมานั่ง งอแงไม่ใช่เล่นเลยนะตอนอดนอนเนี่ย เขาอมยิ้มขำๆเมื่อมองคนที่พยายามจะไถตัวลงไปที่หมอนกระต่ายใบนั้น...ใครก็ช่างซื้อมาให้นะหมอนนี่ เหมาะกับพายุสุดๆ

 

“ตื่นได้แล้วครับ ลืมตาก่อน”   มือใหญ่ประคองสองแก้มก่อนจะบีบเบาๆจนใบหน้าสวยบู้บี้ไปหมด

 

“งื้อ...”   คิ้วเรียวเริ่มขมวดมุ่นเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังบีบแก้มตนไปมาอยู่  ดวงตาสีดำจึงจำต้องเปิดขึ้นมา

 

“เอ้า เช็ดหน้าก่อน”    มือใหญ่ส่งผ้าขนหนูเย็นให้ มือบางจึงรับไปเช็ดหน้าเช็ดตาอย่างเบลอๆ

 

ครืด...

 

ร่างสูงใหญ่เดินกลับไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานของตัวเองก่อนจะหยิบของบางอย่างแล้วเดินกลับมา  เขาวางมันไว้ตรงหน้าร่างโปร่งบาง

 

“นี่กุญแจของผม คุณเอาไปสิ”    มันคือกุญแจดอกหนึ่ง

 

“เอ๊ะ? กุญแจ?”    พายุทำหน้ามึนเพราะไม่รู้ว่ามันคือกุญแจอะไร

 

“กุญแจห้องนี้ไงครับ”   แล้วจากที่ง่วงๆอยู่ใบหน้ามนนั่นก็ตาโตขึ้นมาทันที

 

“ให้ผมไว้จะดีเหรอครับ?”    เสียงนุ่มถามอย่างไม่แน่ใจ

 

“คุณเก็บไว้เถอะ แล้วถ้าง่วงคุณก็เข้ามานอนที่โซฟานี่”   พายุก้มลงมองกุญแจในมือพร้อมกับแก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ

 

และเขาก็มองภาพนั้นอย่างปฏิเสธต่อหัวใจของตัวเองไม่ได้อีก...ว่าเขาคงจะสนใจเด็กคนนี้เข้าให้แล้วจริงๆ

 

เขาชอบที่จะได้อยู่ใกล้ๆ เขาสบายใจที่มีอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ทุกอย่างเริ่มจากเรื่องเล็กๆแค่นี้เลย

 

“ขอบคุณนะครับ อาจารย์”   ใบหน้าใสเงยขึ้นมายิ้มให้เขา

 

“ตู้ตรงนั้นว่างนะ ถ้าคุณจะเอากระต่ายกับผ้าห่มไปเก็บไว้ผมก็ไม่ว่าอะไร”    เขาชี้ไปที่กระต่ายตัวเท่าหมอนนั่นอย่างแซวๆ

 

“ขอบคุณครับ แต่ว่านี่น่ะ! ไม่ใช่ที่ผมอยากได้นะครับ! ที่ผมฝากซื้อคือหมาป่าหน้าโฉดต่างหาก แต่เจ้าพ่อใจยักษ์ดันซื้อมาผิดเลยได้กระต่ายนี่มา! แล้วมันเป็นงานอีเว้นท์ที่เยอรมัน ผมไปเองไม่ได้ หมดแล้วหมดเลยอีก!   พายุโวยวายแก้ตัว... ว่าแต่ซื้อผิดอิท่าไหนถึงได้มาคนละสายพันธุ์กันแบบนี้เนี่ย? ผมว่าพ่อคุณจงใจมากกว่าไหม? เพราะกระต่ายนี่เหมาะกับคุณสุดๆไปเลย แล้วคุณก็น่ารักมากที่ไม่คิดจะทิ้งขว้างของที่พ่อซื้อให้แต่กลับเอามาใช้...เขาได้แต่คิดอยู่ในใจ

 

ดูสิ เรื่องแค่นี้ก็ทำให้เขายิ้มได้แล้ว...

 

“จริงสิ เรื่องหอคอยที่คุณถามผมมา ผมว่าคุณไม่จำเป็นต้องตัดโมเดลขยายแยกอีกตัวหรอก”    เสียงทุ้มเอ่ยออกไปในขณะที่มองตามร่างโปร่งบางที่นั่งยองๆเก็บหมอนกระต่ายกับผ้าห่มอยู่หน้าตู้

 

“ไม่ต้องเหรอครับ?”

 

“ผมขึ้นไปดูงานคุณมาแล้ว คุณไม่น่าจะทำทัน เพราะยิ่งขยายใหญ่รายละเอียดก็ยิ่งเยอะ ผมว่าคุณใช้โมเดลตัวหลักนั่นแหละ เพียงแต่เปิดหลังคาในส่วนนี้ให้มองเห็นข้างในได้ หรือคุณจะเปิดผนังสักด้านไปเลยก็ได้ แบบนี้จะประหยัดเวลาคุณมากกว่า”

 

“อ่อ ครับ”    ใบหน้ามนเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามันมีวิธีแบบนี้ด้วย ดวงตาคู่สวยจึงเป็นประกายจากคำแนะนำของเขา

 

“ขอบคุณนะครับอาจารย์ ผมไปทำงานก่อนละ”    เขามองตามแผ่นหลังบางที่หายออกจากห้องไป เขาก็ช่วยได้เพียงแค่นี้ทั้งๆที่อยากจะช่วยมากกว่านี้อีก แต่เขาจำเป็นต้องปล่อยให้พายุได้ลงมือทำเอง เรียนรู้เรื่องต่างๆด้วยตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

พอเลิกคิดเรื่องโมเดลแบบขยายของหอคอย เขาก็มีสมาธิมาโฟกัสกับแบบและโมเดลหลักได้มากขึ้น ต้องขอบคุณคำแนะนำจากอาจารย์องศาจริงๆ ใบหน้ามนอมยิ้มบางๆในขณะที่ง้างห่วงสีเงินออกจากกัน

 

“ทำอะไรของมึงอยู่วะไอ้พาย โมดงโมเดลไม่ตัด?”    ไอ้เก้าเท้าแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักมาที่ขอบโต๊ะเขียนแบบของเขา ปากก็คาบถุงเจลลี่และดวงตาเรียวที่ดูเหมือนจะหาเรื่องอยู่ตลอดเวลาก็มองมาอย่างสงสัย

 

“มึงก็แหกตาดูสิ กูเอาลูกกุญแจคล้องสร้อยข้อมืออยู่นี่ไง”   เขาใช้คีมปากจิ้งจกช่วยบีบห่วงเงินเมื่อร้อยลูกกุญแจเข้าไปสำเร็จ ดวงตากลมใสจ้องมองสร้อยข้อมือที่ทำจากลูกปัดอัญมณีสีดำ โซ่เงินรมดำที่เกี่ยวพันกันและไม้กางเขนที่ดีไซน์อย่างพิถีพิถันเส้นนั้นอย่างพึงพอใจ

 

“กุญแจอะไรวะ? ไม่ใช่กุญแจบ้านนี่? กลัวหายขนาดนั้นเลย?”    ไอ้เก้าถามเพราะรู้ว่าสร้อยข้อมือเส้นนี้คือสร้อยที่เขาใส่ติดตัวเป็นประจำ นอกจากมันจะมาจากแบรนด์ที่ขายสินค้าแนวโกธิคชื่อดังของญี่ปุ่น มันยังเป็นสินค้าลิมิเต็ดแพงหูฉี่ที่พ่อซื้อให้ตอนเขาสอบติดถาปัดด้วย มันสวยและมีความสำคัญ เขาจึงใช้มันเป็นที่ห้อยสิ่งต่างๆที่มีความหมายต่อเขา อย่างเช่นจี้พระพรหมฯซึ่งเป็นจี้ประจำคณะอารมณ์เดียวกับเกียร์ของพวกวิศวะเขาก็ห้อยมันไว้ที่นี่ในขณะที่เพื่อนส่วนใหญ่จะห้อยไว้ที่คอ การที่เขาเอามาห้อยข้อมือจึงเป็นอะไรที่เท่ห์มากและสร้อยข้อมือเส้นนี้ของเขาคนทั้งคณะ ไม่สิ แม้แต่คนนอกคณะเองก็ยังจำได้ว่ามันเป็นของเขา

 

“เออ กุญแจห้องแห่งความลับของกู”    เขาตอบไอ้เก้าไปอย่างไม่ใส่ใจ

 

“.....กูไม่ถามต่อแล้วกัน คงไม่พ้นเรื่องของลูกมึงอีกสินะ”    ไอ้เก้ายักไหล่ก่อนจะเดินจากไป

 

“.........”   แต่กลับเป็นเขาเองที่อึ้งอยู่ตามลำพัง...

 

จริงอย่างที่ไอ้เก้ามันพูด...เขาไม่เคยสนใจอะไรนอกจากเรื่องลูกของเขา ดอลล์ของเขา แต่ตอนนี้...ในสมองกลับมีเรื่องของใครคนหนึ่งค่อยๆก้าวเข้ามาแทรกแซง

 

และมันคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของกุญแจดอกนี้...

 

อาจารย์องศา...

 

ยิ่งนึกถึงรอยยิ้มของอาจารย์ที่มองมาตอนมอบกุญแจนี่ให้เขา...ใบหน้ากลับร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ หัวใจก็เต้นแรงอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง

 

แล้วยิ่งพยายามจะหันไปทำงานเพื่อให้เลิกคิดถึงมากเท่าไหร่ ใบหน้าของอาจารย์องศากลับยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่หายไปไหน แถมยังชัดเจนขึ้นอีกต่างหาก

 

เขาเอาแต่นึกถึงอีกฝ่ายจนจะบ้าตายอยู่แล้ว! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?!

 

 

 

 

จากกลางวันผันผ่านเป็นกลางคืน แต่สตูปีสามก็ยังคึกครื้นอยู่ตลอด แล้วยิ่งดึกเสียงพูดคุยเฮฮาก็ยิ่งดังกว่าตอนกลางวันมาก เหมือนทั้ง70ชีวิตจะมาสุมหัวกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว ขนาดพวกถาปัดไทยเองก็ยังมาช่วยพวกถาปัดหลักที่เป็นสายรหัส หรือใครที่ไม่มีสายรหัสก็มาช่วยเพื่อนในสตู ก็ยังนับว่าอาจารย์ยังปรานีที่ไม่ปล่อยให้วันส่งงานของพวกเขาชนกัน ก็เลยยังพอจะช่วยกันได้บ้าง

 

ร่างในเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์ลายแมวแนวพังก์ๆนั่งอยู่หลังโต๊ะเขียนแบบ ถึงจะมีเพื่อนในสตูแวะเวียนมาดูงานเขาอยู่ไม่ขาดแต่ใบหน้ามนที่มัดผมครึ่งหัวคาดที่คาดผมตุ๊กตาคิตตี้ก็ไม่ได้มีสีหน้าวอกแว่กแต่อย่างใด เขายังคงเขียนแปลนของเขาไปเรื่อยๆ การจะดึงคนที่มีโลกส่วนตัวสูงอย่างเขาออกมาจากสมาธิของตัวเองได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ถึงจะมีคนทำได้ก็เถอะ

 

“........”    เป็นเพราะยิ่งเห็นแบบหรือไงนะเขาถึงยิ่งคิดถึงแต่อาจารย์องศา พอเริ่มเขียนแบบระเบียงทางเดินก็จะนึกถึงตอนที่เถียงกันขึ้นมาว่ามันควรจะมีหรือไม่มี

 

อาจารย์องศาน่ะไม่เคยยอมเขาหรอก...แต่ก็มักจะหาวิธีปลอบใจให้เขาหายโมโหได้อยู่เสมอ ชอบรังแกแต่ก็ง้อเก่งมาก!

 

ฟึ่บ!

 

มือลากปากกาเขียนแบบปิดจบแปลนเส้นสุดท้าย การส่งแบบครั้งไฟนอลก็คือต้องเอาแบบร่างที่ผ่านการแก้แล้วแก้อีกพวกนั้นมาเขียนเป็นแบบสถาปัตย์ให้ถูกต้องและสวยงาม ส่วนใหญ่จะพรีเซ็นต์ด้วยการลงสี มีทั้งที่เขียนมือและใช้คอมพิวเตอร์ช่วย ส่วนของเขายังเป็นงานที่เขียนด้วยมืออยู่ เพราะงั้นจึงต้องเผื่อเวลาที่ใช้ในการลงสีด้วย

 

แปลนชั้นหนึ่ง...แปลนชั้นสอง...แปลนหลังคา...ครบแล้ว

 

ต่อไปก็รูปด้าน

 

“พาย มึงยังไม่ขึ้นโมเดลอีกเหรอวะ? เหลืออีกแค่สองวันแล้วนะโว้ย แปลนมึงนี่เอาไปก่อสร้างได้แล้วไหม จะละเอียดไปไหนเนี่ย?”    ไอ้เก้าเดินมาย้ำเตือนด้วยความเป็นห่วง

 

“มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ก๊อตมาช่วยกูตัดโม มึงไปห่วงไอ้ไม้เถอะ ดูท่าทางยังชิลอยู่เลยนะ”    เขาเริ่มเขียนรูปด้านต่อด้วยใบหน้าไม่สะทกสะท้าน ถ้าถามเรื่องสปีดการทำงานในกลุ่มของพวกเขา ไอ้เก้ามักจะเป็นคนที่ทำงานไวสุดเพราะมันเป็นพวกตัดสินใจอะไรเด็ดขาดและมองแต่ภาพรวมใหญ่ๆรายละเอียดที่ไม่สำคัญมันก็มักจะข้ามไป รองลงมาก็ไอ้ภาค ไอ้ธีร์ ส่วนเขากับไอ้ไม้นี่มักจะเป็นกลุ่มรั้งท้าย

 

“ปีสี่ไม่มีส่งงานเหรอวะ?”    พี่ก๊อตคือพี่รหัสปีสี่ของเขาเอง เป็นคนที่เหมือนสวรรค์ประทานพรมาให้เขา จากโมเดลที่ร่อแร่จะเสร็จแหล่มิเสร็จแหล่กลายเป็นงานเก็บแสดงก็เพราะได้พี่รหัสคนนี้ช่วยเอาไว้แทบทุกครั้ง

 

“เห็นพี่แกว่าส่งอาทิตย์หน้า”    เขาตั้งหน้าตั้งตาทำรูปด้านต่อ เพราะถ้าแบบไม่เสร็จก็ตัดโมตามไม่ได้ เขาต้องรีบเคลียร์แบบเอาไว้ให้พี่รหัสน้องรหัสที่จะมาช่วยรุมตัดโมเดลให้เขาในวันพรุ่งนี้

 

“ใครเอาต้นไม้กูไปไหนวะ? กูตากไว้ตรงนี้เนี่ย? ไอ้ธีร์มึงแดกต้นไม้กูไปรึเปล่า?”    เสียงตะโกนดังอยู่ท้ายล็อคจากไอ้ภาคทำให้ไอ้เก้ายอมปล่อยเขาแล้วเดินไปดู

 

“กูจะไปแดกต้นไม้มึงทำไม? ไม่ใช่บล็อคโคลี่นะโว้ย! มึงเดินละเมอหยิบไปไว้ที่ไหนรึเปล่าห่านี่ ว่าแต่เมื่อเช้าใครเหยียบหัวกู? อย่านึกว่ากูหลับแล้วกูจะไม่รู้นะ!    เขาอมยิ้มกับเสียงของเพื่อนที่ผ่านหูมา ถ้าอยู่คนเดียวคงได้หลับไปแล้วป่านนี้ ถึงการปั่นงานจะทำให้เหนื่อยจนอยากจะละสังขาร แต่เขาก็ชอบบรรยากาศของสตูในวันจะส่งงานมาก

 

 

 

 

เมื่อฟ้าเริ่มสาง ร่างโปร่งบางก็พาร่างไร้วิญญาณอันสะโหลสะเหลของตนมาจนถึงห้องพักอาจารย์ที่ชั้นสามจนได้ แบบก็ยังไม่เสร็จดีแต่โมเดลก็ต้องเริ่มตัด ยุ่งขนาดนี้แต่หัวใจไม่รักดีก็ยังเอาแต่นึกถึงเจ้าของห้องนี้อยู่ได้ ให้ตายเถอะ!

 

ใบหน้ามนทำหน้าหงึใส่ประตูก่อนจะใช้ลูกกุญแจที่ห้อยอยู่ที่ข้อมือไขเข้าไป เขาเหลือบตามองท้องฟ้าสีเหลืองที่นอกหน้าต่างก่อนจะหลับตาลงบนโซฟาหนานุ่ม งาน...ยังเหลืออีกเยอะเลยแหะ...

 

เขาหลับไปราวกับภาพตัด และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีทั่วทั้งห้องก็สว่างจ้าไปแล้ว

 

กี่โมงแล้วเนี่ย? คงไม่ได้เผลอหลับข้ามวันไปแล้วหรอกนะ?!  มือบางคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก...เพิ่งผ่านไปแค่สองชั่วโมงเอง ว่าแต่เขาตื่นขึ้นมาได้ยังไงกันนะ? ไม่มีใครปลุก? นาฬิกาที่ตั้งไว้ก็ยังไม่ปลุก? เขาหันมองไปรอบห้องอย่างสงสัย

 

แต่ไม่ทันไรสายตาก็ไปสะดุดกับกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา...กลิ่นเจ้านี่นี่เองที่ปลุกเขาขึ้นมา! ไม่สิ ต้องบอกว่าปลุกกระเพาะของเขามากกว่า!

 

เพราะสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้ามันเป็นข้าวกล่องที่ส่งกลิ่นหอมหวลชวนน้ำลายไหลสุดๆ

 

เขาหันมองรอบกายอีกครั้ง...ไม่เห็นมีใครอยู่เลย? ถ้างั้นกล่องข้าวนี่มันของใครกันล่ะ? ซื้อมาให้เขาหรือเปล่า? โน้ตก็ไม่มีเขียนไว้ ถึงจะหอมขนาดไหนเขาก็ไม่กินหรอกนะถ้าไม่รู้ว่าของใคร

 

แล้วในขณะที่ยังนั่งงง ไฟกระพริบเตือนว่ามีไลน์เข้ามาก็สว่างวาบๆอยู่ที่โทรศัพท์ เขาจึงเปิดมันขึ้นมาดู

 

จากอาจารย์องศา?

 

 

[วันนี้ผมไม่ได้เข้าคณะเลยฝากอาจารย์วิชิตซื้อข้าวกล่องไว้ให้คุณ ทานก่อนไปนะครับ ผมรู้ว่าคุณคงมัวแต่ปั่นงานจนไม่สนใจข้าวปลา]

 

 

ที่แท้ก็เป็นอาจารย์องศาซื้อมาให้เขา...ดวงตากลมใสจ้องมองข้าวราดผัดกะเพรากุ้งกับหมูหวานเมนูที่ดูไม่เข้ากันเพราะงั้นจึงมีแต่เขาเท่านั้นแหละที่ชอบทาน และมันก็ทำให้เขารู้อีกว่าอาจารย์องศาตั้งใจสั่งมันมาให้เขาโดยเฉพาะ เพราะมันไม่น่าใช่เมนูที่ร้านขายกันทั่วไป ถ้าเป็นกระเพรากุ้งไข่ดาวก็ว่าไปอย่าง

 

ไม่พอ ยังมีกล่องผลไม้กล่องเล็กๆมาด้วยอีกกล่อง แล้วมันก็ไม่ใช่มะม่วงสับปะรดแตงโมทั่วๆไปแต่เป็นกีวีเขียวปอกพร้อมทานมาให้นี่ก็เป็นผลไม้ที่เขาเคยคุยกับอาจารย์ว่าเขาชอบทานเช่นกัน

 

อาจารย์องศาจำมันได้ทั้งหมด

 

 

[แล้วก็ถ้ามันเย็นคุณก็ใช้ไมโครเวฟในห้องผมอุ่นเอาก็แล้วกัน]

 

 

เขาเงยหน้ามองไปที่มุมชงกาแฟโดยอัตโมัติ มันมีไมโครเวฟอยู่ตรงนั้นจริงๆด้วย?! ว่าแต่มีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ปกติมีแต่กาน้ำร้อนไม่ใช่เหรอ

 

เขาก้มลงมองข้าวที่ใส่กล่องพลาสติกมาอย่างดีไม่ใช่แค่ข้าวราดใส่กล่องโฟมก็พอจะรู้แล้วว่าอาจารย์องศาต้องโทรบอกอาจารย์วิชิตละเอียดขนาดไหน และความพิถีพิถันเอาใจใส่กันขนาดนี้ก็มีแต่จะทำให้สองแก้มของเขาร้อนผ่าว

 

เขาเองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ

 

จากตอนแรกที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่นับวันมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

 

การกระทำของอาจารย์องศายังนับว่าเป็นความเอ็นดูที่อาจารย์มีต่อลูกศิษย์ได้อยู่ไหม? ถ้าไม่เอ็นดูเขาเหมือนลูกก็ต้องคิดกับเขาแบบคนรักแล้วหรือเปล่า?

 

มันคือความเอ็นดู...แบบไหนกันแน่?

 

แล้วเขาล่ะ?

 

มันคือความรู้สึกชอบที่อีกฝ่ายเอาใจใส่แบบไหนกันแน่?

 

 

 

 

 

 

ถึงจะกินข้าวหมดกล่องไปแล้วแต่เขายังเก็บกีวีเขียวเอาไว้ และเขาก็มักจะเผลอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทุกครั้งที่หันไปเห็นมันเข้า เรียกว่าบรรยากาศบนโต๊ะเขานี่ต่างจากระดับความเดือดของสตูลิบลับ

 

วันนี้เริ่มมีผู้คนเดินเข้าเดินออกมากกว่าเดิม เพราะพวกพี่รหัสน้องรหัสก็จะเข้ามาช่วยงานกันบ้างแล้ว ส่วนพวกเขาก็เริ่มเข้าโหมดไฟลน บางคนก็วิ่งไปวิ่งมาเพราะต้องขึ้นไปพ่นสีโมเดล บางคนก็เริ่มทะเลาะกับปริ๊นท์เตอร์ บางคนก็ต้องรีบไปซื้อกระดาษ ต่างจากจากบรรยกาศชิวๆของเมื่อวานราวกับอยู่คนละโลก

 

“เฮ้ยพวกมึง ใครแม่งจีบน้องรหัสกูอีกแล้ววะ? สภาพมันเหมือนคนกำลังอินเลิฟอยู่เลยว่ะ? มันนั่งมองกีวีแล้วก็ยิ้มด้วยว่ะ หรือมันจะเริ่มหลอนเพราะไม่ได้นอนวะ?”   พี่ก๊อตโผล่หน้าเข้ามาก่อนจะหันไปถามเพื่อนสี่ตัวของเขา

 

“พี่อย่าไปแย่งกีวีมันแดกเชียว คราวที่แล้วไอ้ธีร์โดนไล่กัดไปถึงหน้าปากซอยแน่ะ ฮ่าๆๆ”    ไอ้ภาคตอบพลางหัวเราะร่วน

 

“ละกล่องนี้ดูท่าจะอาการหนักกว่ากีวีที่ซื้อมาเป็นโลๆอีกนะ ฮ่าๆๆ”   ไอ้เก้ารับเป็นลูกคู่จนใบหน้ามนต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่

 

“ความผิดพวกมึงแหละ! ชอบมาแย่งกีวีที่กูซื้อมาด้วยความยากลำบาก!    เขาหันไปตอบโต้

 

“มันจะยากยังไงวะ? มึงก็แค่ไปตลาดแล้วก็หยิบกีวีใส่ถุงมา!    ไอ้ธีร์เถียงกลับ

 

“ก็กูไม่ชอบไปตลาด! มึงชอบไปทำไมไม่ซื้อมาให้กูแดกล่ะ! มาแย่งของกูอยู่ได้!    ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากพี่รหัสที่ยืนอยู่ตรงปากทางเข้าล็อคคละเคล้าไปกับเสียงกลั้นขำของน้องรหัสไอ้ภาคกับไอ้ธีร์ที่นั่งตัดโมอยู่ข้างใน

 

“พวกมึงนี่ยังฮาไม่ห่วงหล่อกันเหมือนเดิมเลยนะ มึงอายุเท่าไหร่กันแล้วยังจะมาแย่งกีวีแดกกันเป็นเด็กๆเนี่ย เออ กูไม่ถามแล้วก็ได้ว่ามึงได้กีวีแต่ใดมา ตกลงมึงจะให้กูช่วยทำอะไรครับ? คุณพายน้องรหัสที่รักของกู”    มือใหญ่ของพี่ก๊อตจับหมับลงบนหัวเขาแล้วบังคับให้หันไปดูแบบบนโต๊ะ

 

“ระดับพี่รหัสสุดจีเนียสของผมก็ต้องตัดโมเลยครับ ตัดโม~    แล้วพอเขาผายมือไปที่โมเดลที่ยังมีแต่ฐาน พี่ก๊อตก็ลมแทบจับ

 

“อะไรเนี่ย? ยังไม่ได้ขึ้นซักนิดเลยเหรอ?”

 

“อื้อ!

 

“อื้อ พ่อมึงสิ! ไหนเอาแบบมาให้กูดูซิ! กูไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ถึงต้องเกิดมาเป็นพี่รหัสมึงด้วยวะเนี่ย โอ้โห~ ไอ้เชี่ยยย~! แบบมึงอย่างอลังการแล้วมึงคิดว่าจะตัดโมทันไหมอีกวันครึ่งเนี่ย ไอ้พ๊ายยย~!

 

“อาจารย์องศาบอกให้เปิดหลังคาตรงหอคอยด้วยนะ หรือพี่จะเปิดผนังทำเป็น section model ไปเลยก็ได้”  

 

“เปิดหลังคาด้วย?!

 

“อื้อ!

 

“อื้อ พ่อมึงสิ!     เสียงบ่นปนด่าดังต่อเนื่องอยู่ในล็อคสุดบันเทิงของเขาต่อไป ถึงจะด่ากันแบบนั้นแต่พี่รหัสน้องรหัสก็มักจะตั้งอกตั้งใจช่วยงานเสมือนเป็นงานของตัวเอง เขาไม่ได้นอนพี่ๆน้องๆก็จะไม่หลับไม่นอนเหมือนกัน เขาทำงานไม่ทันก็จะช่วยกันเข็นจนกว่าจะทัน จะช่วยเขาไปจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายนู่นแหละ

 

มันเป็นสายสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด...ของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกันเพียงเลขสองตัวของรหัสนักศึกษา...แต่กลับเป็นกลุ่มคนที่ช่วยเหลือกันอย่างไม่มีข้อแม้ ขนาดญาติพี่น้องยังไม่ช่วยกันมากขนาดนี้เลย

 

“แล้วรูปตัดนี่มึงจะเหลือไว้ให้ใครทำ?”

 

“พี่โอ๋”

 

“ขนาดพี่ปีห้ามึงก็ยังเรียกมาช่วยงานอีกเร๊อะ?!

 

“อื้อ ใครมีมือก็ต้องเรียกหมดแหละเวลานี้”

 

“อื้อ พ่องสิ!!    

 

 

 

 

 

 

จากฟ้าใสกระจ่างกลับกลายเป็นสีแห่งรัตติกาล พี่รหัสเขายกโมเดลไปตัดอยู่ที่สตูปีสี่ ล็อคของเขาจึงเบาความหนาแน่นลง

 

แล้วจู่ๆ ฟู้ดดิลิเวอร์รี่เจ้าสีเขียวก็เดินหิ้วถุงขนาดใหญ่จากร้านอาหารญี่ปุ่นมาส่งให้ที่สตูปีสามเล่นเอาคนมองกันทั้งคณะ แต่ที่ไม่มีใครทักไม่มีใครสงสัยเพราะไรเดอร์หนุ่มเอาไปส่งให้ที่ล็อคท้ายสุดของพวกแก๊งตองเก้า ถ้าไม่สั่งมาเองก็คงมีสาวๆที่กำลังจีบใครในห้าคนนั่นส่งมาให้ หรือยังมีตัวเลือกสุดท้ายอย่างพ่อของพายเป็นคนสั่งมาให้ลูกชายนั่นแหละ

 

แต่เจ้าของตัวเลือกสุดท้ายนั่นกลับยืนถือโทรศัพท์นิ่งค้างก่อนจะมองถุงใส่เบนโตะหรือข้าวกล่องแบบญี่ปุ่นพวกนั้นด้วยใบหน้าอึ้งๆ

 

ก็ข้าวกล่องพวกนี้ไม่ใช่ฝีมือพ่อเขา...

 

แต่เป็น...อาจารย์องศา...

 

เย็นนี้...อาจารย์องศาก็ยังสั่งแกร๊บมาส่งอาหารให้เขาอี๊ก!

 

 

[ผมรู้ว่าคุณคงกำลังหัวหมุนจนแม้แต่เวลาจะสั่งข้าวยังไม่มี เพราะงั้นก็เอาไว้ทานนะครับ ต้องทานนะ ห้ามลืมเด็ดขาดเลย]

 

 

แล้วจะไม่ให้หลงรักได้ไงเนี่ยยย!

 

ถึงจะไม่เคยมีแฟนแต่เขาก็มีคนมาจีบไม่ใช่น้อยนะ น่าจะเป็นร้อยแหละตั้งแต่เด็กจนโตมานี่ แล้วก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชายด้วย แน่นอนว่าการให้ของแบบนี้มันก็คือหนึ่งในวิธีจีบที่เขารู้จัก!

 

ทว่า...เขาไม่เคยยอมรับของจากใคร ไม่เคยใจเต้นแรง และไม่เคยรู้สึกเขินแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ

 

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเสาะแสวงหาความรักมาก่อน เขาจึงแทบไม่ได้สนใจเวลามีใครมาจีบ หากเอาของมาให้เขาก็จะวางไว้ที่เดิม หากจะเลี้ยงอะไรเขาก็จะเมินเฉยแล้วส่งเครดิตการ์ดของตัวเองไปจ่ายเอง เพราะเขาไม่เคยอยากมีแฟน ไม่เคยอยากมีคนรัก

 

ถึงเขาจะไม่มีแม่แต่พ่อก็ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเขา ไม่ว่าจะเงินทอง ชื่อเสียง ฐานะ ชาติตระกูล รวมไปถึง ความรัก พ่อฟูมฟักทะนุถนอมเขามาอย่างดีจนเขาไม่รู้สึกขาดหรือต้องการอะไรอีก เขาไม่เคยรู้สึกเหงาหรืออ้างว้างจนต้องการใครสักคนมาเติมเต็มชีวิต เพราะงั้นที่ผ่านมาเขาจึงไม่สนใจเรื่องหาแฟนหรือมีคนรักเลย เขารู้สึกว่ามันไม่จำเป็นด้วยซ้ำถ้าเขาจะต้องเจียดเวลาอันมีค่าของตัวเองไปให้ใครอีกคน ต้องเอาเวลาไปสนใจ ไปอยู่ด้วย ไปคอยดูแล

 

แต่กับอาจารย์องศาเขากลับไม่รู้สึกเสียดายเวลาที่จะใช้ร่วมกับอีกฝ่ายเลย กลับกัน เขารู้สึกสนุกด้วยซ้ำเวลาอยู่ด้วยหรือแม้แต่ตอนที่คิดถึงเรื่องของอาจารย์

 

เขารู้สึกดี...เวลาที่ถูกอาจารย์ดูแลเอาใจใส่แบบนี้...

 

นี่เขาเองก็ชอบอาจารย์องศาหรือเปล่า?

 

 

“ใครส่งข้าวมาให้มึงวะเนี่ย? อย่างเยอะ กูแดกด้วยได้ไหมวะ?”    ไอ้ไม้เดินมาเปิดถุงดู ส่งมาเป็นสิบกล่องขนาดนี้ก็คงจะสั่งเผื่อเพื่อนๆพี่ๆน้องๆของเขามาแล้วละ

 

“เออ มึงแบ่งไปดิ แต่กล่องนี้ของกู”   มือบางรีบฉกกล่องข้าวหน้าปลาไหลย่างเอาไว้ก่อน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เขาเคยบอกอาจารย์องศาว่าเขาชอบทาน ทั้งถุงนี่ถึงได้มีปลาไหลย่างอยู่ตั้งสี่ห้ากล่อง

 

“พ่อมึงนี่ถึงขั้นส่งข้าวส่งน้ำมาให้มึงแล้วเหรอวะไอ้พาย ฮ่าๆๆ”    ไอ้เก้าตั้งใจจะเดินมาแซว แต่มันก็ถึงกับอึ้งรับประทานเมื่อเขาตอบกลับไปว่า

 

“ไม่ใช่พ่อกูโว้ย...แต่เป็น...อาจารย์องศา...”   ท้ายประโยคเขาพูดด้วยเสียงงึมงำพร้อมกับเสตามองพื้นอย่างเขินๆ ส่วนไอ้เพื่อนอีกสี่ตัวถึงกับเดินกลับโต๊ะตัวเองด้วยความเงียบงัน พวกมันต่างยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะพิมพ์ลงไปในกรุ๊ปไลน์บ้านตองเก้าว่า

 

 

ติ๊ง!

อวาต้าร์ทะเลยามเย็น : อุมุ...

 

ติ๊ง!

อวาต้าร์รอยสัก : กรี๊ดดด~ พายลูกพ่อมีคนมาจีบ~

 

ติ๊ง!

อวาต้าร์ตากล้อง : อะไรๆ? ตกลงอาจารย์องศาจีบไอ้เชี่ยพายเหรอวะ?

 

ติ๊ง!

อวาต้าร์ Mr.น่านฟ้า : ว๊ายยยย

 

ติ๊ง!

อวาต้าร์ราฟาเอล : พวกมึงเลิกมากรี๊ดในนี้ซักทีเถอะ กูรำคาญ!

 

 

เขารู้ว่าไอ้พวกนี้มันก็แซวเล่นกันไปอย่างงั้น แต่ตัวเขาเองกลับเริ่มคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็ได้?

 

มัน...ยังไงกันนะ...?

 

 

 

 

 

 

 

 

คืนนี้สตูปีสามก็ยังเปิดเพลงดังลั่นและบรรยากาศก็กำลังดุเดือดมากขึ้นทุกทีๆเมื่อเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าราวกับกำลังเคาต์ดาวน์

 

นอกจากแปลนกับรูปด้านที่มีน้องรหัสปีสองมาช่วยลงสีให้แล้ว เขาก็กำลังนั่งเขียน Perspective หรือรูปสามมิติให้เห็นบรรยากาศของอาคารอยู่ เขาต้องรีบเคลียร์แบบทั้งหมดให้เสร็จคืนนี้ พรุ่งนี้อีกหนึ่งวันที่เหลือเขาจึงจะไปตัดโมเดลอย่างสบายใจได้

 

เพราะงั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตาปั่นงานทั้งคืน ตั้งแต่ขึ้นมันด้วยมือไปจนตัดเส้นด้วยปิกม่า แต่ตีฟของโรงเรียนอนุบาลนั้นก็ไม่ใช่อะไรที่จะทำเสร็จได้ง่ายๆเหมือนตอนออกแบบบ้านเดี่ยว

 

จนรุ่งสางเขาก็ยังตวัดพู่กันลงสีน้ำบนกระดาษวาดรูปนี่อยู่เลย อ่า...ไม่ไหว...เริ่มจะตาลายแล้วแหะ...แต่จะนอนก็ไม่ได้ งานที่ตั้งเป้าไว้ยังไม่เสร็จ เขาจึงทำได้แค่ฝืนถ่างตาต่อไป

 

เสียงระฆังดังมาจากวัดข้างๆ ทั้งนกทั้งอะไรเริ่มร้องออกหากิน ใบหน้าที่ราวกับวิญญาณออกจากร่างหันมองไปรอบๆที่เริ่มเงียบลงเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ยังอยู่แต่ก็ไม่มีใครมีแรงพอจะพูดคุยอะไรกันอีก ตอนเช้าของพวกเขาก็จะมีสภาพเหมือนผีดิบแบบนี้แหละ

 

ไอ้ภาคเดินถือกระดาษลอยผ่านหลังเขาไปส่วนไอ้เก้ายังนั่งตัดบันไดอยู่ ใบหน้าของแต่ละคนดูล่องลอยไร้จิตวิญญาณชอบกล มีเพียงเสียงแกรกๆ ครืดๆเท่านั้นที่ดังออกมา

 

เขายังฝืนถ่างตาลงสีไปเรื่อยๆ งานสีน้ำก็เป็นอีกอย่างที่เขาทำได้ดีทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจ แค่ลงไปตามความรู้สึกแต่ภาพที่ออกมานั้นกลับสวยจนคนต้องหยุดมอง

 

เวลาเดินผ่านไปจนเขาไม่ทันรู้ตัวเลยว่ารอบกายนั้นเงียบและนิ่งสนิทไปหมดแล้ว

 

จะว่าไปสามวันมานี้เขาเพิ่งได้นอนไปสี่ชั่วโมงเองนี่ เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่จะสะบัดหน้าแค่ไหนก็ไม่หายง่วงสักที สมงสมองเบลอไปหมดแล้วตอนนี้

 

แกร่ก...

 

พู่กันในมือร่วงหล่นลงไปบนโต๊ะ ภาพที่เคยเบลอๆกลับวูบไหว แล้วก่อนที่มันจะตัดไป

 

ฟุ้บ!

 

ใบหน้าของเขาก็ถูกอะไรบางอย่างรองรับเอาไว้เสียก่อน...

 

ดวงตาเบิกกว้างขึ้นมาอย่างตกใจ ภาพที่อยู่ใกล้นิดเดียวนั้นคือแก้วล้างพู่กันที่มีน้ำอยู่เต็ม เกือบไป...ถ้าไม่มีอะไรบางอย่างนี่มารองรับหน้าเขาเอาไว้ นอกจากจะเสียโฉมได้ รูปที่วาดมาทั้งคืนอาจจะพังได้เลยนะถ้าถูกแก้วน้ำนี่ราดลงไป เพราะน้ำล้างพู่กันนั้นเต็มไปด้วยสีเขียวๆดำๆ...

 

ดวงตากลมใสจึงเหลือบมองขึ้นไปว่าใครกันนะที่ช่วยเขาไว้

 

แล้วท่ามกลางภาพเบลอๆนั่น...ใบหน้าของอาจารย์องศาก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ...

 

ถ้างั้นอะไรอุ่นๆที่รองรับหน้าเขาอยู่นี่ก็น่าจะเป็นมือของอาจารย์องศาสินะ?

 

อาจารย์~”     เสียงนุ่มครางอย่างหมดแรง แล้วแทนที่จะละออกจากมือใหญ่ ใบหน้ามนกลับแนบแก้มถูไถไปมาราวกับว่ากำลังใช้มันแทนคำขอบคุณ

 

 

อึก...

 

ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับต้องกัดฟันเมื่อได้เห็นท่าทางราวกับลูกแมวดำตัวน้อยๆกำลังอ้อนแบบนั้น...

 

แล้วความนุ่มนิ่มของแก้มที่คลอเคลียอยู่บนฝ่ามือเขานี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะเก็บอาการเอาไว้ได้

 

ก็แค่ตั้งใจว่าจะแวะมาดูแต่เช้าเสียหน่อย พอเห็นว่าไม่ได้นอนอยู่ที่โซฟาของเขาก็คิดว่าพายุคงกะจะโต้รุ่งยันพรุ่งนี้แน่ๆ ด้วยความเป็นห่วงเลยเดินขึ้นมาดูแล้วก็ดันมาทันฉากที่เจ้าตัวดีกำลังสัปหงกหัวจะโขกโต๊ะอยู่พอดีเลยพุ่งมารับไว้ แต่ไม่คิดว่าจะขอบคุณกันแบบนี้เสียได้

 

หัวใจเขา...ยังอยู่ดีไหม? หรือทะลุออกจากอกไปแล้วกันเนี่ย?

 

คุณ...นอนซัก15นาทีดีไหม? เดี๋ยวผมปลุกให้”    เขายิ้มบางๆในขณะที่ทอดสายตามองใบหน้ามนที่ยังไม่ยอมละจากมือของเขา มันอุ่นดีหรือยังไงถึงยังถูไถไม่หยุดแบบนั้น?

 

บ้าเอ้ย น่ารักเกินไปแล้ว!

 

“อื้อ”   ใบหน้ามนพยักหงึกๆก่อนที่มือบางจะเอื้อมลงไปควานหาอะไรบางอย่างใต้โต๊ะ ปฏิกิริยาที่ทำไปโดยอัตโนมัตินั่นทำให้เขาอมยิ้มอย่างเอ็นดู

 

คงจะหานี่อยู่สินะ?

 

มือใหญ่อีกข้างจึงวางหมอนกระต่ายที่ถือติดมาด้วยเพราะมันเก็บอยู่ในห้องของเขาลงไป

 

“...ขอบคุณครับ...”   ใบหน้ามนจึงยอมย้ายจากมือเขามาเกยแหมะลงบนตัวเจ้ากระต่ายขนหยอยตัวนั้นก่อนจะเอ่ยขอบคุณงึมงำๆออกมา

 

เขายืนมองคนที่หลับตาลงอย่างง่ายดาย มือใหญ่ยังมิวายหยิบแก้วน้ำล้างพู่กันนั่นลงไปวางไว้กับพื้น วางให้ห่างๆจากงานที่เพิ่งจะทำเสร็จ

 

ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองล็อคที่เละเทะราวกับเพิ่งมีมรสุมเข้า กระดาษถูกตัดไว้เกลื่อนไปหมด ถึงจะพยายามจัดระเบียบกระป๋องสเปรย์พวกนั้นแต่มันก็ยังล้มกลิ้งระเนระนาดอยู่ดี สภาพคืนก่อนส่งงานก็จะประมาณนี้แหละนะ ร่างสูงใหญ่ตัดสินใจเดินออกจากล็อค เขาอยู่ที่นี่นานๆคงไม่ดี ยังไงเสียเขาก็เป็นอาจารย์ผู้ให้คะแนน ถึงตัวเขาจะเข้มงวดกับพายุไม่ต่างจากนักศึกษาคนอื่นๆ แต่มันคงดูไม่เหมาะสมถ้าเขาจะแสดงออกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกับพายุมากเกินไป

 

ทั้งๆที่หัวใจของเขาล่วงรู้ว่ามันน่าจะเกินเลยมาสักพักแล้ว...

 

เขาจึงกลับลงไปยังห้องพักอาจารย์ของตัวเอง แล้วใช้วิธีโทรขึ้นมาปลุกเอา

 

 

 

 

 

แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้โทรปลุกมันทั้งเช้าทั้งบ่าย...

 

เขาที่เพิ่งกลับจากตรวจThesisของพวกปีห้า กลับต้องมานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่หน้าโซฟาของตัวเอง

 

เขานอนไปนานรึยังครับ?”    ใบหน้าหล่อเหลาหันไปถามอาจารย์วิชิตที่เริ่มจะชินกับการได้เห็นเจ้าเด็กโกธิคพังก์นี่มานอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาของเขาแบบนี้

 

ตอนผมกลับมาก็เห็นหลับอยู่ตรงนี้แล้วนะครับ    อาจารย์วิชิตตอบ

 

คุณกลับมานานรึยัง?”    เสียงทุ้มเอ่ยถามทั้งที่สายตายังไม่ได้ละไปจากใบหน้ามนของคนที่หลับสนิท

 

ซักชั่วโมงนึงได้ครับ

 

“น่าจะพอแล้วละ...ถ้างั้นอาจารย์อุดหูไว้นะครับ”    เขาหันไปบอกอาจารย์วิชิตก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมา

 

“เอ๊ะ? อุดหู?”    อาจารย์วิชิตยังทำหน้างงแต่ก็เข้าใจได้ในสองวินาทีเมื่อเขาโทรปลุกเจ้าคนที่หลับอยู่นี้

 

“ผม...”    อาจารย์วิชิตอุดหูก่อนจะลุกขึ้นมาแล้วบอกกับเขาด้วยภาษามือว่าจะออกไปข้างนอก แหงละ อดนอนมาสามสี่วันอย่างงี้ปลุกยากแน่นอน เพราะงั้นเพลงเมทัลกระโชกโฮกฮากนั่นจึงดังอยู่นานพอสมควร อาจารย์วิชิตน่าจะเผ่นแน่บไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยแล้ว...

 

“อือ....”    เขายังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆโซฟาในขณะที่ดวงตากลมใสนั่นลืมขึ้นมา

 

ทำไมมานอนอยู่นี่ล่ะ หื๋ม?”    เขาค่อยๆจับร่างโปร่งบางนั่นลุกขึ้นนั่งอย่างเบามือ

 

“.......ผมจะไปซื้อกระดาษกับกาว…”    ใบหน้างัวเงียตอบพลางหาวหวอด พอพายุลุกขึ้นนั่ง เขาที่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ที่พื้นจึงต้องเงยหน้ามอง

 

แล้วยังไงต่อ?”

 

พอเดินผ่านหน้าห้องอาจารย์ก็ได้ยินเสียงโซฟามันเรียกก็เลยเดินเข้ามา…”    ฮึ...เขาถึงกับขำพรืดออกมา สายตาจับจ้องลงไปที่สร้อยข้อมือที่เห็นพายุใส่เป็นประจำ แล้วพอเห็นว่ากุญแจที่เขาให้ไปมันห้อยอยู่ตรงนั้น เขาก็อดมองมันด้วยสายตาอ่อนโยนไม่ได้

 

ผมก็อยากปล่อยคุณนอนอยู่หรอกนะ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ได้ส่งงาน…”    เขาเงยหน้าขึ้นไปสบกับดวงตาที่ยังดูลอยๆนั่นอีกครั้ง

 

ส่งงาน….”    ใบหน้ามนก้มลงมาสบตาเขาเช่นกันก่อนจะนึกอยู่นานว่าส่งงานอะไร

 

อ๊ากกก! กี่โมงแล้วครับ?!”    แล้วพอสติกลับมาเท่านั้นแหละ ร่างทั้งร่างก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที

 

สี่โมงเย็น

 

ผมต้องไปซื้อกระดาษ~”    แต่ก่อนที่ร่างโปร่งบางจะเด้งตัวขึ้นไป มือใหญ่กลับดึงรั้งข้อมือเล็กนั่นให้นั่งอยู่ก่อน

 

“เดี๋ยวครับ หัวคุณยุ่งมากเลย”    ปลายนิ้วเกี่ยวปลายผมที่ยุ่งรุงรังเพราะไม่ได้รับการดูแลขึ้นทัดหูให้อย่างนุ่มนวลในขณะที่สายตานุ่มลึกก็มองใบหน้ามนอย่างละมุนละไม แก้มใสจึงแดงแปร๊ดอย่างห้ามไม่อยู่

 

“ดะ ดะ เดี๋ยวผมมัดใหม่ ตะ ตอนเดินไปซื้อกระดาษ...ขะ ขอบคุณที่ปลุกนะครับอาจารย์...”    ใบหน้าอมชมพูพูดจาตะกุกตะกักก่อนจะลุกเดินออกไปด้วยท่าทางประหลาดๆ เหมือนกำลังเขิน? เหมือนกำลังอาย?

 

ถ้าไม่ชอบ...ก็คงจะปฏิเสธหรือไม่ก็เมินเฉยไปแล้วสิ อย่างพายุน่ะ

 

แต่กลับยังทำตัวน่ารักแบบนั้นแล้วยังวนเวียนอยู่รอบๆตัวเขา...แล้วจะไม่ให้หวั่นไหวได้ยังไง

 

 

 

 

 

 

ร่างโปร่งบางเดินจ้ำอ้าวลงจากตึกคณะก่อนจะมุ่งหน้าไปยังร้านค้าสโม ผมที่แกะมัดรวบใหม่นั่นจะเป็นทรงไหมเขาก็ไม่มีสติจะไปสนใจมันอีกแล้ว

 

เมื่อกี้อาจารย์องศาจู่โจมเขารุนแรงมาก! เล่นมองกันด้วยใบหน้าหล่อระดับเทพเจ้าแบบนั้น มองกันด้วยสายตาอ่อนโยนแบบนั้น แล้วยังการกระทำที่นุ่มนวลแบบนั้น ใจเขาก็ดวงแค่นี้จะไปทนไหวได้ยังไง

 

เล่นเอาหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเลยเนี่ย!

 

สองขาถึงกับต้องหยุดเดินเพื่อให้มือยกขึ้นมากุมหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำ...เขาต้องการคำปรึกษา เขาต้องรู้ก่อนว่าความรู้สึกที่เขามีต่ออาจารย์องศานี้มันคืออะไร จะใช่ความรักจริงๆหรือเปล่า?

 

แต่ก่อนอื่นเขาต้องผ่านคืนนี้ไปให้ได้ก่อน!

 

 

 

 

 

 

เหมือนมีไฟลุกโชติช่วงชัชวาลย์อยู่รอบๆตัวของคนที่ได้รับสมญานามว่าฮาเดสแห่งปีสาม

 

คัตเตอร์คมกริบกรีดลงไปบนกระดาษอาร์ตการ์ดเม้าสองชั้นอย่างแม่นยำ ถึงพี่ก๊อตจะช่วยทำให้โมเดลเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแต่มันก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดีหากเขาทำงานด้วยความเร็วตามปกติ ไม่ใช่แบบตอนนี้ที่เหมือนมีผีเข้า

 

ถึงพี่รหัสปีสี่ของเขาจะดูเบาใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาอย่างหวาดระแวงว่าเขาไปโดนอะไรสิงมาหรือไง จากน้องรหัสที่ทำงานส่งๆไปกลับตะบี้ตะบันตัดโมไม่พักหายใจแบบนี้

 

อ๊า! ก็แค่นึกถึงฝ่ามือใหญ่ๆที่ทัดผมให้เขามันก็เหมือนจะมีพลังงานบางอย่างพวยพุ่งออกมาบนหน้า เขาเลยต้องระบายมันออกมาด้วยการตัดโมๆๆแบบนี้ไง!

 

อาจารย์องศานั่นแหละสาเหตุ!

 

“มึงว่า...พี่รหัสมึงใกล้จะเป็นบ้ารึเปล่าวะไอ้นนท์ กูเห็นมันทำหน้าเหมือนจะพ่นไฟแล้วก็กลับมาตัดโมอย่างกับผีเข้าแบบนั้น ปกติมันต้องเหลวเป๋วเป็นน้ำแล้วสิเวลาแบบนี้?”    พี่ก๊อตหันไปซุบซิบนินทาเขากับน้องรหัสปีสอง ตอนนี้ทั้งสายรหัสมาสุมหัวกันอยู่ที่สตูปีสี่แล้วช่วยกันรุมตัดโมเดลของเขาอยู่ มันใหญ่เกือบเท่าโต๊ะดร๊าฟเพราะงั้นจึงเป็นอะไรที่ไม่น่าจะเสร็จง่ายๆเลย

 

“พี่อย่าไปทักสิเดี๋ยวท่านผีออกไปซะก่อน เอาไว้แบบนั้นแหละดีแล้ว”    ไอ้นี่ก็นินทาระยะเผาขนกลับอีก!

 

“พี่พาย ซุ้มโค้งเสร็จแล้วพี่ ติดเลยไหม?”   ไอ้นนท์หันมาถาม รหัสเขาทั้งสายเป็นผู้ชายล้วน ขนาดน้องปีหนึ่งที่ยังไม่ได้เฉลยรหัสก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน  ด้วยความที่ไม่มีผู้หญิงเลยเพราะงั้นทั้งพี่ทั้งน้องจึงมักจะเอ็นดูเขาผู้ซึ่งได้ชื่อว่าสวยที่สุดในชั้นปีสามแทน...ว่าแต่ใครมันยกตำแหน่งนี้ให้เขาฟ๊ะ?!

 

“เออ ติดเลย แล้วมึงขึ้นไปพ่นสเปรย์กาวให้กูที”    เขาเตรียมกระดาษลายอิฐสีขาวไว้ให้มัน เพราะที่พ่นสเปรย์ถูกอัปเปหิขึ้นไปบนดาดฟ้าเมื่อเช้านี้

 

“ครับ พี่มาช่วยผมเอาลงไซต์ก่อน”   เพราะระเบียงทางเดินมันยาวมาก เขาจึงต้องไปช่วยเอาวางลงบนผังซึ่งเป็นฐานโมเดลก่อน สองมือช่วยกันประคองหลังจากไอ้นนท์ทากาวเสร็จก็ต้องช่วยกันค่อยๆวางลงไป เขาก้มลงไปเล็งแล้วเล็งอีกให้มันตรง พอได้มองลอดในโมเดลแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าสเปซตรงนี้สวยดีจริงๆ มันเชื่อมต่อไปถึงคอร์ตตรงกลางซึ่งเป็นรูปไม้กางเขน มันเป็นทางเดินที่อาจารย์องศาแนะนำว่าน่าจะใส่มา...อาจารย์องศาอีกแล้ว...

 

“พายมึงช่วยกูจับตรงนี้ก่อนดิ๊ เดี๋ยวนะ ทำไมหน้ามึงแดงแบบนี้เนี่ย?”    พี่ก๊อตเรียกให้เขาหันไปช่วยจับผนังด้านหนึ่งซึ่งกำลังจะประกอบกันเป็นหอคอย เขาก็ไม่ได้อยากจะหน้าแดงอย่างงี้ทุกครั้งเวลานึกถึงอาจารย์องศาสักหน่อย!

 

“มึงไม่เป็นไรแน่นะ? เอาไว้ส่งงานแล้วมึงค่อยดื่มน้ำมนต์แล้วกัน ตอนนี้เอาท่านผีไว้ก่อน”    พี่ก๊อตมองมาอย่างหวาดๆ ผีที่ไหนล่ะ! เทพบุตรต่างหากที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้!

 

“ไอ้พายกูยืมรถหน่อย กระดาษปริ๊นท์หมดว่ะกูจะกลับไปเอาที่บ้าน”    ไอ้ภาควิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมา ตอนนี้ตีสองกว่าๆแต่ละคนจะเหมือนมีไฟลนก้นอยู่ก็ไม่แปลก

 

“กูเอากุญแจรถไว้ไหนวะ? มึงถามไอ้ไม้ดิ๊ เมื่อเย็นมันเพิ่งเอารถกูไปขนอะไรมาจากบ้านไม่รู้ น่าจะอยู่ที่มันแหละ”    เขาหันไปตอบอย่างไม่ใส่ใจเพราะไอ้สี่ตัวนี้ก็ใช้รถเขาเหมือนเป็นรถตัวเองกันหมด เขาไม่เคยหวงทั้งกุญแจรถ กุญแจบ้าน ไม่เคยมีกุญแจดอกไหนที่เขาพกติดตัวเหมือน....

 

“อ๊ากกก!    โป๊ก! หัวสีดำโขกลงบนโต๊ะจนพี่รหัสน้องรหัสหันมามองเป็นตาเดียว

 

“พาย...มันเป็นอะไรรึเปล่าน่ะ? ง่วงเหรอ?”    พี่โอ๋พี่รหัสปีห้าที่ถือรูปตัดเข้ามาถึงกับสะดุ้งโหยง

 

“ผีเข้าน่ะพี่ ไม่มีไรหรอก”    พี่ก๊อตตอบไปทั้งที่ยังทำหน้าระแวง

 

“ผีเข้านี่ไม่เป็นไรแน่เหรอ? แต่วัดก็ขนาบอยู่สองข้างเลยนะ? ยังมีผีกล้าอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”

 

“อาจจะเป็นผีเจ้านายสมัยต้นรัตนโกสินทร์ก็ได้นะพี่ พวกที่ตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม”   ไอ้นนท์เสริม

 

“แต่พายมันเป็นถึงฮาเดสเจ้าแห่งนรกเชียวนะ มีผีกล้าเข้าสิงมันด้วยเหรอ?”    นี่คุยเรื่องอะไรกันอยู่ฟ๊ะ? ถึงจะอยากลุกขึ้นไปด่าแต่ว่าหน้าที่แดงฉ่าของเขานี้ก็มีแต่ต้องแนบมันไว้กับโต๊ะ

 

ฮืออออ ถึงจะรู้ว่าพอคิดถึงอาจารย์องศาแล้วจะเป็นแบบนี้ แต่ก็หยุดคิดถึงไม่ได้สักทีนี่สิจะทำยังไงดี!

 

 

 

 

 

 

เก้าโมงครึ่งคือเวลาแห่งชะตาชีวิต คือเวลาที่ต้องวิ่งสี่คูณร้อย ตอนนี้ทั่วทั้งตึกคณะสถาปัตย์กำลังวุ่นวายสุดขีดเพราะการส่งโปรเจคดีไซน์ของปีสาม

 

โมเดลบางส่วนถูกขนลงบันไดวนมาจากสตูปีสี่ พี่ปีห้าก็วิ่งถือตีฟลงมาจากล็อค น้องปีสองก็วิ่งถือต้นไม้ตามมาปักให้ ส่วนพวกปีสามเองก็ต้องรีบรวบแบบทั้งหมดก่อนจะโกยแนบไปให้ถึงห้อง301ก่อนที่ประตูจะปิดลง

 

“เอาแบบมาปั๊มทางนี้ครับ!   เสียงอาจารย์วิชิตตะโกนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง แบบทุกแผ่นจะถูกประทับตราเอาไว้เพื่อไม่ให้มีการเอามาแทรกในภายหลัง โมเดลก็เช่นกัน

 

สายรหัส 23 ของเขาถึงกับนั่งหมดแรงกันอยู่รอบๆโมเดลที่ถูกปั๊มแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามันจะเสร็จออกมาสวยงามขนาดนี้ แล้วโรงเรียนอนุบาลทรงโกธิคสีขาวนี่ก็มีแต่คนแวะเวียนมาดู ไม่ว่าจะรุ่นพี่รุ่นน้องต่างก็มองกันอย่างชื่นชม ทำเอาพี่รหัสน้องรหัสเขายิ้มหน้าบานไปตามๆกัน

 

“เปิดหลังคาได้ด้วยนะครับอาจารย์”   เสียงพี่ก๊อตโฆษณาเรื่องหลังคาไม่ได้ทำให้เขาสนใจได้เท่ากับคำว่า อาจารย์ใบหน้ามนจึงหันควับไปทันที

 

แล้วก็เป็นอาจารย์องศากำลังก้มๆเงยๆมองโมเดลของเขาอยู่จริงๆ

 

สองแก้มรู้สึกร้อนผ่าวเบาๆ แล้วยามที่สบตากันมันก็ทำให้เขารู้สึกราวกับมีไฟช็อต

 

“......”    อาจารย์องศายิ้มให้เขาโดยไม่พูดอะไร แต่แค่นั้นมันก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตอย่างบอกไม่ถูก

 

“แล้วเจอกันตอนจูลี่นะครับ”    เสียงทุ้มบอกเขาแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป เขาจึงก้มหน้าก่อนจะกัดริมฝีปาก

 

ไม่ได้การละ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันใช่รักไหม?

 

แล้วคนที่จะตอบเขาได้ก็น่าจะมีอยู่แค่คนเดียว...คนที่เคยมีความรักอันยิ่งใหญ่จนใครๆก็ต้องอิจฉา

 

 

 

 

 

 

 

 

รถมินิคูเปอร์สีเทาคาดดำเลขทะเบียน 5-999 แล่นเข้าไปจอดยังที่จอดรถวีไอพีของคอนโดย่านทองหล่อแห่งหนึ่ง

 

คีย์การ์ดแตะลงไปด้วยความเคยชิน ก่อนที่แป้นหน้าลิฟท์จะขึ้นหมายเลขชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องเพนท์เฮ้าส์ขนาดสองชั้น ที่นี่คือบ้านจริงๆของเขา

 

ติ๊ง

 

ลิฟท์เลื่อนขึ้นไปยังชั้นที่มีห้องเพียงห้องเดียวและ “ธารธารากุล” ก็คือป้ายที่เห็นได้ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก

 

ปกติแล้วหลังจากส่งโปรเจคแบบนี้เขาคงกลับไปนอนตายอยู่ที่บ้านเช่าตีนสะพานปิ่นเกล้า แต่ความค้างคาใจก็ทำให้เขาต้องถ่างตาขับรถฝ่ารถติดกลับมาถึงบ้านเพื่อที่จะเอาคำถามทั้งหมดมาถามคนที่อยู่ที่นี่

 

ตึงๆๆๆ

 

สองขาออกแรงวิ่งเพราะการเดินไปดูจะไม่ทันใจเขาเสียแล้ว และพอเจอห้องเป้าหมาย มือบางก็เปิดประตูเข้าไปแบบไม่เคาะไม่อะไรทั้งนั้น

 

ปึง!!

 

“พ่อ!    เสียงใสตะโกนเรียกให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาหันกลับมามอง  ช่วงเวลาที่ควรจะใช้ไปกับการเลี้ยงรับรองลูกค้า ไม่ก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ไม่ก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่ที่ออฟฟิศ แต่เจ้าผู้ชายวัยกลางคนคนนี้กลับเลือกที่จะนอนเอกเขนกดูสารคดีสัตว์โลกอยู่กับบ้าน...

 

“พระพาย?”   ใบหน้าที่จัดได้ว่าหล่อมากหันกลับมามองเขาอย่างประหลาดใจ นี่ถ้าเขาได้ความหล่อจากพ่อมาซักครึ่งนึงเขาคงไม่กลายเป็นคนที่สวยที่สุดในชั้นปีแบบนี้หรอก! เจ้าพ่อขี้งก!

 

“หยุดดูไส้เดือนกิ้งกือพวกนั้นก่อน! พายมีอะไรจะถาม!    มือบางกดหยุดสต๊อปสารคดีที่ขึ้นอยู่ในจอโทรทัศน์อย่างถือวิสาสะก่อนจะกระโดดไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆร่างที่สูงใหญ่พอๆกับอาจารย์องศา

 

“อะไรของแกเนี่ย? แล้วจะกลับบ้านทำไมไม่บอกฉันก่อน จะได้สั่งข้าวไว้ให้”

 

“พ่อกินอะไร?”

 

“กะเพรากุ้งไง”

 

“พายกินด้วย ไม่สิ! ตอนนี้ไม่ใช่เวลากินกะเพรากุ้ง! ฟังนะ พายคิดว่าพายกำลังชอบคนคนนึงอยู่ แต่พายไม่รู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นยังไงกันแน่? ตอนพ่อรักแม่มันเป็นยังไงเหรอ?”    พ่อดูจะอึ้งไปที่จู่ๆเขาก็โผล่พรวดมาพูดอะไรที่เหนือความคาดหมาย ร่างสูงใหญ่จึงขยับมานั่งเผชิญหน้ากับเขาดีๆก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“.......มันเป็นใคร?”     ริมฝีปากที่กระตุกเบาๆนั่นราวกับปฏิกิริยาของคนที่กำลังจะลุกไปหยิบปืนมายิงหัวคนเลยนะ สองมือบางจึงจับหมับไปที่แขนซึ่งโอบอุ้มเขามาแต่เล็กแต่น้อยนั่นพลางเขย่าเบาๆ

 

“เถอะน่า~ บอกมาก่อนว่ายังไงถึงจะเรียกได้ว่าเรารักเค้า?”    เขารบเร้า พ่อมองอย่างคลางแคลงใจก่อนจะถอนหายใจแล้วยอมพูดออกมาดีๆ

 

“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าความรักของคนอื่นเป็นยังไง ฉันเลยบอกได้แค่ความรู้สึกที่ฉันมีต่อแม่ของแก”

 

“อื้อๆ”    เขาพยักหน้าหงึกๆอย่างตั้งใจฟัง ความรักที่เขายอมรับว่าเป็นรักแท้ก็มีแต่ความรักที่พ่อมีให้แม่นี่แหละ เพราะถึงแม่จะตายจากไปนานแล้วแต่พ่อก็ไม่คิดจะมีใครใหม่ ยังเอาแต่พูดถึงแม่อย่างงู้นอย่างงี้จนน่าหมั่นไส้อยู่ทุกวัน

 

“ถ้าแกรักใครสักคนหนึ่ง...แกจะมองว่าเค้าทำอะไรก็น่ารักไปเสียหมด”    ....เขา...มองว่าอาจารย์องศาน่ารักหรือเปล่านะ? รู้แค่ว่า ไม่ว่าอาจารย์จะทำอะไรก็น่ามองไปเสียหมด?

 

“ไม่ว่าจะเรื่องเปิ่นๆ เรื่องผิดพลาด แกก็จะมองว่ามันน่าเอ็นดู”   ...ปัญหาคือน่าจะมีแต่เขานี่แหละที่ไปทำตัวเปิ่นๆให้อาจารย์เห็น เพราะอาจารย์องศายังไม่เคยทำอะไรผิดพลาดให้เขาเห็นเลยสักครั้ง

 

“แกจะให้อภัย แกจะไม่นึกอยากโกรธเค้าจริงๆจังๆ”    ...ที่เขาให้อภัยอาจารย์องศาเวลาล้มแบบเขานี่นับไหมนะ?

 

“แกจะอยากยื่นมือเข้าไปช่วยตอนที่เค้าเดือดร้อนโดยที่ไม่มีความรู้สึกรำคาญใจเลย แกจะเต็มใจทำให้เค้าทุกอย่าง”   ...มีแต่อาจารย์องศาแหละไหมที่ยื่นมือมาช่วยเขาเนี่ย?

 

“ที่สำคัญ แกจะเอาแต่นึกถึงเรื่องของเค้า ไม่ว่าแกจะนั่ง เดิน นอน กินข้าว ทำงาน แกจะนึกถึงแต่เค้า เค้ากำลังทำอะไรอยู่ จะกินข้าวหรือยัง จะนอนหลับไหม ภาพเล็กๆน้อยๆตอนที่แกกับเค้าเคยอยู่ด้วยกันมันมักจะลอยเข้ามาในหัวแก จนแม้แต่เรื่องที่เคยสำคัญสำหรับแก ก็ถูกเค้าแทนที่ไปหมด”   ...เอ๊ะ...ข้อนี้นี่มัน...อาการของเขาเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย?

 

“ถ้าวันไหนที่แกคิดถึงใครสักคนมากกว่าลูกๆของแกละก็ นั่นแหละ คือการที่แกหลงรักคนคนนั้น”    ...ถ้าอย่างงั้น...เขาก็น่าจะชอบอาจารย์องศาจริงๆสินะ?

 

ใบหน้ามนชะงักงัน เพราะไม่เคยชอบใครในเชิงชู้สาวมาก่อนเลยอดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

 

“ทีนี้บอกฉันได้รึยังว่ามันเป็นใคร?”    พ่อพยายามจะเค้นถามต่อ

 

“ถ้าคนคนนั้นเป็นผู้ชายล่ะ?”    เขาหันควับไปถามพ่อแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่เกริ่นนำไม่โน้มน้าวอะไรทั้งนั้น

 

“ห๊ะ?”   เล่นเอาใบหน้าหล่อเหลานั่นถึงกับผงะไป

 

“ถ้าคนที่พายชอบเป็นผู้ชายล่ะ?”    สมัยนี้แล้ว ผู้ชายคบกับผู้ชายมีให้เห็นถมเถไปจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรอีก

 

“.................”     แต่พ่อก็ดูอึ้ง ดูตกใจอยู่ไม่ใช่น้อย ถึงพ่อจะรู้มาตลอดก็เถอะว่าเขาเองก็มีผู้ชายมาจีบอยู่บ่อยๆและเป็นพ่อนั่นแหละที่คอยไล่เป่ากบาลคนพวกนั้น

 

“พ่อจะห้ามไหม?”    ดวงตากลมใสจ้องมองใบหน้าพ่อตรงๆ พ่อดูอ้ำอึ้งอยู่สักพักก่อนจะพยายามหาคำตอบให้ทั้งตัวเองและตัวเขา

 

“....จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็แล้วแต่ แต่ถ้าแกชอบใครแกต้องบอกฉันก่อน ฉันจะได้ช่วยสแกนให้ว่าเจ้าหมอนั่นมันรักแกจริงๆแน่หรือเปล่า แกก็รู้ใช่ไหมว่าคนสมัยนี้มันเชื่อถือไม่ได้”

 

“รู้แล้วน่า แสดงว่าพ่อโอเคใช่ไหมถ้าคนคนนั้นเป็นผู้ชาย?”    เขาถามย้ำให้แน่ใจ เพราะพ่อคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา ถ้าพ่อไม่โอเคเขาจะได้ตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ที่ทุกอย่างยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น

 

“............”    พ่ออึ้งไปอีกรอบ ก่อนจะพยายามจัดการกับความคิดและความรู้สึกของตัวเอง พวกเขาพ่อลูกมักจะพูดคุยกันตรงๆ เถียงกันตรงๆ และสนิทกันเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง

 

“แกคงเข้าใจฉันสินะ ถ้าฉันจะต้องใช้ความคิดสักหน่อยน่ะ”    พ่อถอนหายใจออกมา

 

“เพราะแกไม่เคยพูดเรื่องความรักมาก่อน แล้วจู่ๆก็จะมาบอกฉันว่าชอบผู้ชาย แกต้องให้เวลาฉันด้วยสิ”

 

“อื้อ”

 

“ไม่สิ ต่อให้เป็นผู้หญิง แต่แกที่ไม่เคยสนใจมนุษย์โลกมาบอกว่าชอบ ฉันก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ดี”    พ่อทำท่าคิดทบทวน

 

“ห๊ะ?”   เขาถึงกับคิ้วกระตุก

 

“อืม เอาเถอะ...”    พ่อพยักหน้ากับตัวเอง เหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับเขา แล้วในที่สุดใบหน้าคมคายก็มองมาที่เขาตรงๆเสียที

 

“......ฉันก็เคยอยู่ในจุดที่รักแม่ของแกจนมองข้ามทุกอย่าง ฉันรู้ว่าความรักมันมีพลังมากขนาดไหนและบางทีก็ไม่ใช่เรื่องที่จะห้ามกันได้...”    เรื่องนี้เขารู้มาตลอด เพราะพ่อบอกเขามาตลอดว่าที่สร้าง THARA Architect. ออฟฟิศสถาปัตย์ของพ่อขึ้นมาแล้วยังตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาจนมันกลายเป็นออฟฟิศขนาดใหญ่ที่รับงานออกแบบไปทั่วโลกแบบนี้ ก็เพราะพ่อรักแม่มากและอยากให้แม่มีชีวิตที่สุขสบาย อยากให้แม่ภาคภูมิใจ อยากจะเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในสายตาของแม่ ธาราอาคิเต็ก จึงถูกสร้างขึ้นมาโดยมีความรักที่มีต่อแม่เป็นแรงผลักดัน

 

“ถ้านั่นเป็นคนที่แกรัก...และเค้าก็รักแกจริงๆ เหมาะสมกับแกจริงๆ ฉันก็จะไม่ห้าม”    มือใหญ่ของพ่อลูบหัวเขาเบาๆ

 

“แต่แกต้องไม่ลืม...ว่าแกเป็นทุกอย่างของพ่อคนนี้ ถ้าหมอนั่นไม่ใช่คนดีอย่างที่คิด แกก็ต้องฟังฉัน”

 

“อื้อ”

 

“ที่ผ่านมาฉันก็ตามใจแกทุกเรื่อง ขอแค่แกพอใจ ขอแค่แกมีความสุข ฉันไม่เคยห้าม แต่ถ้าเรื่องไหนที่ฉันเห็นว่ามันจะมีผลต่ออนาคตของแก มันจะทำให้แกทุกข์ใจ ฉันก็อยากให้แกเชื่อฉัน”

 

“รู้แล้วน่า”   มือของพ่อโยกหัวเขาไปมา ในสายตาของพ่อเขายังคงเป็นลูกน้อยไม่เคยเปลี่ยน

 

“แกค่อยๆเรียนรู้ไปเถอะ ค่อยๆทำความรู้จัก ไม่ต้องรีบร้อน มองเค้าในทุกๆด้าน แกมีเวลาและฉันก็จะซัพพอร์ตแกทุกอย่าง ขอแค่แกบอกมา”

 

“อื้อ”

 

“บอกฉันก่อนซักหน่อยไม่ได้เหรอ ว่าหมอนั่นเป็นใคร? เพื่อนในสตู? รุ่นพี่ที่คณะ? หรือว่ารุ่นน้อง? หรือว่าเด็กคณะอื่น? เด็กเด็ค? จิตรกรรม? โบราณ? หรือเด็กมหาลัยอื่น?”   พ่อพยายามจะหลอกถาม เขาจึงปัดมือที่ขยี้หัวเขาออกไป

 

“ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ พายก็ยังไม่แน่ใจ เอาไว้พายจีบติดเมื่อไหร่พายจะบอก แต่ไม่ใช่คนไม่ได้ความแน่ๆๆ”    ตอนนี้เขาพอจะมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองบ้างแล้ว ส่วนทางฝั่งอาจารย์องศา ต่อให้ความรู้สึกชอบของอาจารย์จะไม่เหมือนเขาแล้วยังไง? เขาเป็นฝ่ายจีบอาจารย์เองก็ได้นี่?

 

“ให้มันจริงเถอะ ฉันชักจะเป็นห่วงแล้วนะเนี่ย...หรือจะเป็นพวกอันธพาลที่ไม่ได้เรียนมหาลัยแบบในละคร?”    พ่อเอียงคอมองเขาอย่างไม่ใว้ใจ

 

“พ่อเลิกดูละครซักทีเถอะ ว่างนักก็ไปทำงานสิ!

 

“ฉันก็ต้องเรียนรู้ไว้ใช้กับแกไง”

 

“วางใจเถอะ เค้าไม่ใช่อันธพาล แล้วก็เรียนจบป.โทมาจากอเมริกา!

 

“หรือจะเป็นพวกดีแต่เปลือกแล้วคิดจะมาฮุบสมบัติของแก? แย่ละสิ หมอนั่นต้องรู้แน่ว่าแกเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลธารธารากุลของเรา นอกจากออฟฟิศของฉันก็ยังมีสมบัติของปู่แกและโรงงานน้ำปลาของตาแกอีก หมอนั่นต้องหวังรวยทางลัดแน่ๆ”

 

“ก็บอกว่าให้เลิกดูละครยังไงเล่า! พายหิวแล้ว กินกะเพรากุ้งนี่ก่อนนะ พ่อก็ไปสั่งใหม่เองแล้วกัน”    เขาส่ายหน้ากับความมโนเป็นวรรคเป็นเวรของพ่อ มือบางเปิดฝาครอบแก้วที่ครอบจานข้าวกับผัดกะเพรากุ้งที่วางอยู่บนโต๊ะหินอ่อนตัวยาว แล้วก็เลิกเรียกโรงงานสารพัดเครื่องปรุงที่คนไทยใช้กันทั่วโลกของคุณตาว่าโรงงานน้ำปลาสักทีเถอะ!

 

“แกนี่มันเป็นลูกปฐพีจริงๆ”

 

“ทรพี! เฮ้อ....”    พ่อเขานี่เก่งทุกอย่าง ยกเว้นภาษาไทย! ก็ยังอุตส่าห์เป็นเจ้าของออฟฟิศเต็กเบอร์ต้นของประเทศได้อีกเนอะ

 

“เอาหมูหวานไหม?”    ร่างสูงใหญ่ลุกไปกดโทรศัพท์สั่งแม่บ้านที่อยู่อีกชั้นนึงให้ทำอาหารขึ้นมาให้

 

“เอา!

 

 

 

 

 

 

 

มือบางค่อยๆเสียบห่อแท่งช็อกโกแลตมากมายหลากหลายรสชาติ หลายยี่ห้อและหลายระดับความหวานใส่ลงไปในโหลใบเล็กๆที่หุ้มด้วยตุ๊กตาแมวดำอีกที

 

เขาวางมันลงไปบนโต๊ะทำงานของอาจารย์องศา เพราะไม่รู้ว่าอาจารย์ชอบรสหวานประมาณไหนเขาก็เลยเหมาซื้อมาหมดทั้งชั้นที่วางขายช็อกโกแลตมันซะเลย

 

แชะ

 

มือบางกดถ่ายรูปก่อนจะส่งให้อาจารย์องศาพร้อมกับข้อความ

 

[เอาไว้ทานตอนทำงานดึกๆนะครับ ช็อกโกแลตช่วยคลายเครียดได้นะ]

 

[แล้วก็ อาจารย์ชอบหวานระดับไหนบอกผมด้วยนะครับ]

 

ใบหน้ามนมองโหลแมวดำนั่นอีกครั้งก่อนจะอมยิ้ม

 

จีบมา จีบกลับ ไม่โกง คติพจน์ประจำใจของนายพายุ ธารธารากุลครับ

 

“ไอ้พาย มึงอยู่นี่เปล่าวะ? ไปแดกข้าวกันค่อยกลับมาจูลี่”    ไอ้เก้าโผล่หน้ามาเรียก

 

“เออ”   เขาจึงออกจากห้องไป

 

 

 

 

ติ๊ง!

 

[ชอบระดับนี้ครับ ขอบคุณนะครับ]

 

แล้วไม่นานก็มีรูปช็อกโกแลต75%แท่งหนึ่งในโหลแมวดำนั่นส่งมาให้เขา

 

ใบหน้ามนจึงยิ้มกว้างก่อนจะก้าวเดินต่อไป

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

To be con.

 

 

สวัสดีปีใหม่นะค้า ขอให้เป็นปีที่ดีๆนะคะทุกคลลล อยากให้ไรท์คนไหนอัพเรื่องอะไรก็ขอให้สมปรารถนา5555 ขอให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงๆทำอะไรก็ดีๆๆไปหมดเลยนะคะ

 

แล้วก็ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นของเมื่อปีที่ผ่านมาด้วยนะคะ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทเลยน้า ยังไงปีหน้าก็ฝากเนื้อฝากตัวเช่นเคยค่า

 

เจอกันค่า

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น