KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 04

 KW Original [องศาxพายุ]  องศา π (พาย) : 04

 

: KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า

: องศา x พายุ

: Warmhearted Romantic

: PG-15(ไปก่อน555)

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

             : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด

           : อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

 

 

 

เมอร์ซิเดสเบนซ์สีขาววิ่งอยู่บนถนนเส้นยาวซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยสีชมพูราวกับกำลังวิ่งฝ่าป่าซากุระ กลีบสีหวานที่ร่วงหล่นม้วนวนจนเกิดเป็นภาพราวกับอยู่ในการ์ตูนอนิเมะชั่นของ Makoto Shinkai

 

ทว่า อาจารย์องศาก็ไม่ได้อยู่ญี่ปุ่นแต่อย่างใด กลับยังอยู่ในประเทศไทยเรานี่แหละ

 

เขากำลังมาดูไซต์ก่อสร้างหนึ่งซึ่งที่ออฟฟิศเป็นคนออกแบบ และตอนนี้การก่อสร้างมันก็เกิน60%ไปแล้ว เริ่มในส่วนของงานสถาปัตย์เยอะขึ้นแล้ว เขาจึงต้องมาดูมาตรวจว่าผู้รับเหมาทำถูกแบบไหม มีปัญหาหน้างานให้สถาปนิกอย่างเขาช่วยเคลียร์หรือเปล่า

 

ดวงตาสุขุมมองตรงไปยังถนนส่วนบุคคลด้านหน้า ที่แปลงนี้มีเนื้อที่ทั้งหมด12ไร่ และมันก็กลายเป็นต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ไปกว่าหนึ่งพันต้น เขาจะมองเห็นแต่สีชมพูไปจนสุดลูกหูลูกตาก็ไม่แปลก

 

เอี๊ยด

 

รถสีขาวจอดลงหน้าบ้านราคา30ล้านซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่กลางป่าชมพูพันธุ์ทิพย์พวกนี้ มันเป็นบ้านสไตล์นอร์ดิกเรียบหรูเน้นสีขาวกับสีไม้อ่อนๆเป็นหลัก มันจึงเข้ากับสีชมพูรอบๆบ้านในตอนนี้มาก

 

ติ๊ง

 

เขายังไม่ทันจะลงจากรถก็ได้ยินเสียงไลน์ดังขึ้นมา และเมื่อเปิดดู...ใบหน้าของเขาก็เผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว

 

เป็นรูปเซลฟี่ที่เจ้าเด็กโกธิคพังก์นั่นส่งมา

 

ใบหน้าตายด้านภายใต้กรอบผมมัดครึ่งหัวกำลังเอียงหน้าชูสองนิ้วอยู่ใต้ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นหนึ่ง พร้อมกับแคปชั่นที่ว่า

 

[สวยจนลืมโซฟาของอาจารย์ไปเลยครับ]

 

ฮึ...คงจะอยากอวดเขาสินะว่าได้ถ่ายรูปกับเจ้าต้นไม้สีชมพูนั่นมา เป็นเพราะดอกของมันเพิ่งจะเริ่มบาน ช่วงนี้ใครต่อใครก็เลยเห่อกันยกใหญ่

 

แชะ

 

เขาหันกล้องไปถ่ายนอกหน้าต่างรถก่อนจะส่งรูปกลับไป

 

[แบบนี้พอจะสู้ได้รึเปล่า?]

 

เท่านั้นแหละ

 

[กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!]

 

ประโยคกรี๊ดที่ไม่ห่วงภาพพจน์โกธิคพังก์ก็ถูกส่งกลับมาให้เขาขำจนท้องคัดท้องแข็ง

 

เขาเหลือบตาขึ้นไปมองใบหน้ามนที่อยู่ในรูปอีกครั้ง วันนี้เขียนขอบตาดำด้วยใช่ไหมนะ? หน้าถึงได้ดูคมกว่าปกติ?

 

 

 

 

[อาจารย์อยู่ไหนครับ?!!]

 

นิ้วที่ทาเล็บสีดำรีบพิมพ์ส่งกลับไป เขาไม่ได้แค่กรี๊ดในไลน์อย่างเดียวแต่นอกจอเขาก็แหกปากลั่นจนเพื่อนอีกสี่คนถึงกับหันมามอง

 

“เป็นเชี่ยไรของมึงวะไอ้พาย? ใครเหยียบหางมึงรึไง ร้องซะ”    ไอ้ธีร์หันมาถามในขณะที่ขาก็ยังปั่นจักรยานต่อ

 

“มึงดู! อาจารย์องศาส่งรูปป่าสีชมพูนี่มา!    แล้วมือบางก็ยื่นโทรศัพท์ไปที่จักรยานคันข้างๆซึ่งมีไอ้ไม้กับไอ้ธีร์ปั่นอยู่ ส่วนไอ้ภาคก็ซ้อนไอ้ไม้อีกที จากนั้นก็ยื่นให้ไอ้เก้าที่ปั่นให้เขาซ้อนดูด้วย

 

“กูอุตส่าห์จะขิงต้นหลังหอใน ที่เราไปถ่ายกันเมื่อกี้ซะหน่อย ชิ ดูเป็นต้นเด็กน้อยไปเลยพอเทียบกับป่าของอาจารย์องศา”    เขายู่หน้า

 

“นี่แหละน้า~ เจ้าลูกแมวน้อยริอ่านไปแหย่หนวดราชสีห์ ฮ่าๆๆ ว่าแต่มึงนี่ก็สนิทกับอาจารย์องศาดีเหลือเกินนะ”    ไอ้เก้าพูดไปปั่นจักรยานไป

 

“แน่นอนสิ ก็กูเป็นศิษย์รัก”

 

“กูว่ามึงต้องไปก่อกวนอะไรอาจารย์เค้าไว้แน่ นี่มึงยังไปยึดโซฟาอาจารย์องศานอนอยู่ใช่ไหมเนี่ย? ถึงว่า ปล่อยพวกกูหลับคอเคล็ดอยู่ในสตู แต่มึงนี่ไปนอนนิ่มเลยนะ”    ไอ้เก้าเริ่มขี่จักรยานฉวัดเฉวียนด้วยความหมั่นไส้

 

“เฮ้ย! ปั่นดีๆสิวะ!    มือบางตบบั่บๆลงไปที่สีข้างของเพื่อนสนิท

 

“แต่กูว่า พอไอ้พายมันแท็กมือกับอาจารย์องศาแล้วงานออกมาอย่างเทพเลยว่ะ”    ไอ้ไม้พูดในขณะที่ปั่นจักรยานด้วยสีหน้าชิลๆ  แน่นอนว่าแบบร่างโรงเรียนอนุบาลโกธิคของเขานั้นเป็นที่ฮือฮาไปทั่วสตู ด้วยความยูนิคจัดๆแต่กลับใช้งานได้จริงจนเพื่อนกว่าครึ่งชั้นปีมานั่งฟังเขาตรวจแบบกลุ่มด้วยทั้งที่ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีใครอยู่ฟังกันนอกจากคนที่มีรหัสนักศึกษาใกล้ๆกัน

 

“ปกติแล้วคนเก่งกับคนเก่งนี่มักจะทำงานด้วยกันไม่ค่อยได้นะ แต่มึงกับอาจารย์องศานี่อย่างกับคู่บุญคู่บารมีเลยว่ะ ฮ่าๆๆ”    ไอ้ภาคแซว  อาจารย์องศาเป็นคนที่เก่งมากๆ เขาสัมผัสได้จากการตรวจแบบที่ผ่านมา ถือว่าเขาโชคดีมากที่ได้อาจารย์คอยแนะนำในเรื่องการออกแบบ

 

“กูขอแค่ไม่ใช่คู่กรรมก็พอ กูขี้เกียจไปรอที่ทางช้างเผือก”

 

“มึงจะเป็นโกโบริเลยเหรอวะ? ฮ่าๆๆ”     ไอ้เก้าหัวเราะลั่น

 

ติ๊ง

 

แล้วเสียงไลน์ก็ทำให้เขาหันมาสนใจหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง

 

[กำแพงแสนครับ]

 

อาจารย์องศาตอบกลับมาสั้นๆ

 

[อาจารย์มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?]   

 

ปลายนิ้วสีดำรีบพิมพ์ตอบกลับไป อาจารย์องศาก็อยู่แถวๆนี้นี่!

 

อ้อ ลืมบอกไป ตอนนี้พวกเขากำลังปั่นจักรยานชิลๆอยู่ที่วิทยาเขตนครปฐม พวกเขามารับน้องแล้วก็แฮปจักรยานของน้องไปซื้อขนมกันอยู่

 

[ที่นี่? ผมมาดูไซต์งานก่อสร้างบ้านของลูกค้าครับ คุณล่ะ? อยู่ไหน?]

 

[ทับแก้วครับ ไม่ทราบว่า...ให้ผมไปศึกษาดูงานดูไซต์กับอาจารย์ด้วยได้ไหมครับ?]

 

ติ๊ง! ติ๊ง!

 

เขาส่งสติ๊กเกอร์แมวอ้อนตามไปอีกสองตัว...

 

[...อยากมาดูต้นชมพูพันธุ์ทิพย์สินะ?]

 

[แหะแหะ]

 

[เดี๋ยวผมไปรับคุณก็แล้วกัน มารอที่ประตูหน้าทับแก้วนะ]

 

[เอ๊ะ? ไปได้เหรอครับ? ครับ!]

 

โป๊ก!

 

ยังไม่ทันจะตอบอาจารย์องศาเสร็จ หน้าผากเขาก็ชนเข้ากับแผ่นหลังของไอ้เก้าเข้าเต็มๆ

 

“โอ๊ย! เบรกทำไมวะ?!   

 

“ปู่มึงจะข้ามถนน จะไม่ให้กูเบรกได้ไง”    ใบหน้ามนจึงชะโงกออกไปมอง ปรากฏว่าเป็นพี่เห้ขนาดมหึมากำลังคลานต้วมเตี้ยมๆข้ามถนน ทั้งรถ คน จักรยานต่างเบรกกันหัวทิ่มเพื่อรอให้มันเดินผ่านไป...สัตว์ประจำมหาวิทยาลัยของเรา...

 

“โห...ไม่เจอกันนานก็ยังอ้วนท้วนสมบูรณ์ไม่เปลี่ยนเลยนะครับคุณปู่...ไม่สิ ช่างหัวเห้มันไปก่อน มึงไปส่งกูที่ประตูมหาลัยก่อน!

 

 

 

 

 

 

 

เมอร์ซิเดสเบนซ์สีขาวเลี้ยววนรถกลับออกไปทั้งที่ร่างสูงใหญ่ยังไม่ทันจะได้ลงจากรถด้วยซ้ำ

 

ดูเหมือนทางเจ้าของบ้านเองก็ยังมาไม่ถึงเพราะเขามาก่อนเวลา เขาออกไปรับเด็กๆสักครู่เดียวคงไม่เป็นไร

 

ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มอยู่หลังพวงมาลัย ทำเป็นขอตามมาดูไซต์งานด้วยแต่จุดประสงค์แอบแฝงนี่ชัดเจนเลยนะ แต่ก็นั่นแหละ หายากเหมือนกันโอกาสที่นักศึกษาจะได้มาดูไซต์งานที่กำลังก่อสร้างอยู่จริงๆ เขาอยากให้พายุได้เห็น...ว่าสิ่งที่ตนเขียนขึ้นมาบนกระดาษนั้น ท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นรูปเป็นร่างเป็นอาคารให้คนอยู่ได้อย่างไร สิ่งที่เรียนอยู่นั้นไม่ใช่แค่เพ้อฝันไปวันๆแต่มันคือของที่จะได้สร้างขึ้นมาจริงๆ จะมีคนเข้าไปอยู่อาศัย เข้าไปใช้งานในอาคารของเราจริงๆ

 

เขาจอดรับพายุโดยมีของแถมเป็นเพื่อนอีกสี่คนที่นั่งเบียดกันเต็มเบาะหลัง

 

“ว่าแต่พวกคุณมาทำอะไรกัน นี่มันยังบ่ายๆอยู่เลยนะ เริ่มซ่อมกันแล้วเหรอ?”    ซ่อมก็คือการว๊ากนั่นแหละ เสียงทุ้มถามออกไปในขณะที่ตามองถนน

 

“คืนนี้มีเฟรชชี่ไนท์ครับอาจารย์ ก็เลยต้องมาดูน้องมันไวหน่อย”    เสียงตอบดังมาจากข้างหลัง ใบหน้าหล่อเหลาจึงพยักหน้าเข้าใจ

 

“นี่พวกคุณไม่ได้ขับรถมากันใช่ไหม?”    เสียงทุ้มถามออกไปด้วยความเป็นห่วงเพราะน่าจะกลับกันดึกมาก

 

“เปล่าครับ เหมารถทัวร์มากันครับ”    น่านฟ้าหรือภาคตอบ

 

“ดีแล้วละ ผมจะได้ไม่ต้องออกมารับพวกคุณตอนดึกๆดื่นๆอีก”    เขาหันไปหยอกเย้าคนที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ

 

“ผมขับรถไปจอดไว้ที่บ้านมาอาทิตย์นึงแล้วน่า ป่านนี้พ่อคงเอาไปเช็คเปลี่ยนอะไหล่อะไรต่อมิอะไรให้จนหมดคันไปแล้ว ปลอดภัยแน่นอนครับ”    เจ้าเด็กโกธิคพังก์บ่นงุ้งงิ้งๆ

 

และเมื่อรถแล่นเข้าไปในอาณาเขตของไซต์ก่อสร้าง เสียงภายในรถก็เปลี่ยนจากบทสนทนาเป็นเสียงฮือฮาเพราะสีชมพูตระการตาที่อยู่รอบกาย

 

“เจ้าต้นที่อยู่หลังหอในเทียบไม่ได้เลยนะเนี่ย อย่างสวยอ่ะที่นี่”    นาวาหรือเก้าที่นั่งชิดติดริมหน้าต่างเอ่ยออกมา

 

“เสียดายจัง~ ถ้ารู้ว่าจะได้มาที่แบบนี้จะได้เอาลูกๆมาถ่ายรูปด้วย~    พายุครางออกมาเบาๆ

 

“คุณมีลูกแล้วด้วยเหรอ?”    ใบหน้าหล่อเหลาถามด้วยรอยยิ้มเพราะคิดว่าน่าจะเป็นหมาไม่ก็แมว

 

“มีแล้วครับ หล่อๆทั้งนั้นเลยด้วยนะ”    หล่อๆนี่อาจจะเป็นพวกสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้? ไม่ก็แมวอย่างพวกเมนคูน? ถึงจะสงสัยว่าทำไมเจ้าสี่คนข้างหลังถึงได้กลั้นขำกันจนไหล่สั่นแต่ก็ขับรถถึงตัวบ้านเสียก่อนจึงยังไม่ทันได้ถามออกไป

 

“ไหนๆพวกคุณก็มาแล้ว ช่วยผมยกตัวอย่างวัสดุข้างหลังรถไปด้วยก็แล้วกัน”    อาจารย์องศายิ้มละไมแต่ทำเอาคนที่หลวมตัวมาถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก นี่เอาพวกเขามาใช้แรงงานนี่หว่า!

 

“มึงนะมึงไอ้พาย พวกกูขี่จักรยานกินลมชมเห้อยู่ดีๆก็หลอกกูมายกกระเบื้องซะงั้น”    เก้าขยี้หัวของพายุอย่างหมั่นเขี้ยวเมื่อทั้งห้าคนลงมายืนมองแผ่นกระเบื้องปูพื้นที่วางซ้อนเต็มท้ายรถ

 

“มึงจะได้เรียนรู้ไว้ไงว่าเวลาสถาปนิกไปดูไซต์เค้าต้องทำอะไรกันบ้าง นี่กูหวังดีนะ”

 

“หวังดีมึงก็ขนไปเยอะๆหน่อยเถอะ ห่านี่ ถือแค่ไม้เบาๆแผ่นเดียวเนี่ย”   นธีร์บ่นปนด่าหลังจากยกกระเบื้องขึ้นมา

 

“งั้นกูจะเอาพวกมึงมาทำไมล่ะ? หึ”    ใบหน้าหล่อเหลาของอาจารย์องศาลอบขำกับบทสนทนาที่ได้ยิน ใช่แล้ว เขาไลน์บอกพายุก่อนหน้านี้ว่าถ้าจะมาก็ต้องช่วยเขาขนของด้วยนะ เจ้าตัวดีเลยลากเพื่อนซึ่งไม่น่าจะรู้ชะตากรรมมาด้วย แสบเสียไม่มีละเจ้าปีศาจตัวน้อยของเขา

 

“อ้าว หวัดดีครับอาจารย์ ให้ช่างมาช่วยขนไหมครับ?”    ผู้รับเหมาเดินออกมาจากในตัวบ้านก่อนจะทักทายเขา

 

“ไม่เป็นไรครับ พอดีวันนี้มีเด็กๆมาดูงานด้วย ให้เด็กๆช่วยขนก็ได้ครับ”

 

“ครับ เชิญเลยครับ”

 

“ผมเอาตัวอย่างกระเบื้องมาให้คุณกิ่งดูด้วย ถ้าเธอโอเคคุณก็สั่งตามนี้ได้เลย”    ร่างสูงใหญ่เดินพูดคุยไปกับผู้รับเหมาโดยมีขบวนเด็กๆเดินตาม

 

ใบหน้ามนมองบ้านที่ราวกับอยู่ในแถบสแกนดิเนเวียนี้อย่างทึ่งๆ สเปซหรือพื้นที่ในทางสถาปัตย์มันคลีนมากซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบ้านสไตล์มินิมอลแบบนี้ มันดูสบายตาน่าอยู่แล้วก็ลื่นไหลต่อเนื่องกันไปหมด หลังหน้าต่างกระจกบานใหญ่ตรงนั้นก็น่านอนกลางวันดีเหลือเกิน จะมีความสุขแค่ไหนกันนะถ้าได้นั่งปั้นหัวตุ๊กตาอยู่ในบ้านที่ปลอดโปร่งและต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ก็แทบจะยื่นเข้ามาในบ้านแบบนี้

 

แล้วก็เพราะมัวแต่มองนู่นมองนี่เขาจึงไม่ทันระวัง...ว่าข้างหน้ามีแผ่นไม้ยื่นมาขวางอยู่ด้านบน!

 

“ไอ้พาย หัว!    เสียงไอ้เก้าที่เหลือบมาเห็นพอดีตะโกนลั่น แต่เพราะมันก็ถือของเต็มมือจึงไม่อาจจะทำอะไรได้ กว่าเขาจะรู้ตัวแผ่นไม้ซ้อนๆกันนั่นก็มาอยู่เต็มหน้าแล้ว!

 

ฟึ่บ!

 

จู่ๆภาพตรงหน้าก็มืดไป

 

ไม่ใช่ว่าเขาหัวฟาดท่อนไม้จนสลบไปหรอก...แต่ที่มันมืด...เพราะมีมือใหญ่ๆมากันหัวเขากับท่อนไม้นั่นเอาไว้ต่างหาก...

 

“อ๊ะ?!

 

แล้วมือนั่นก็ดึงหัวของเขาเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว

 

อาจจะเพราะความรีบร้อนตอนพุ่งเข้ามา ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าหัวของเขาซบอยู่ที่แผ่นอกของอีกฝ่าย

 

และเจ้าของกลิ่นหอมเย็นนี้ก็ไม่ใช่ใครอาจารย์องศานั่นเอง

 

 

ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...

 

 

นี่มัน...จังหวะตกหลุมรักชัดๆ...

 

ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนจะนิ่งค้างไปหลายวินาที มีเพียงเสียงหัวใจเต้นกระหน่ำเท่านั้นที่ได้ยินเต็มสองหู

 

“เดินระวังด้วยสิ อย่าให้บาดเจ็บนะรู้ไหม?”    อาจารย์องศาก้มลงมามองด้วยสายตาเป็นห่วงทั้งๆที่มือยังโอบศีรษะเขาไม่ปล่อย

 

“ครับ...ขอบคุณครับ...”    ใบหน้ามนนิ่งอึ้งไป หัวใจเจ้ากรรมก็ยังเต้นแรงไม่หยุด...นี่มันอะไรกันน่ะ?

 

เขาไม่เคยใจเต้นหรือรู้สึกอะไรแบบนี้กับไอ้เก้า ไอ้ภาค ไอ้ธีร์ ไอ้ไม้ หรือเพื่อนคนไหนในสตูเลย ทั้งๆที่กับพวกมันเขาแตะเนื้อต้องตัวกันมากกว่านี้อีก

 

จะว่าตกใจก็ไม่น่าใช่ เพราะตอนนี้หน้าเขาร้อนเป็นไฟเลย...ถ้าตกใจก็ไม่น่าจะหน้าแดงสิ?

 

เขาค่อยๆละจากแผ่นอกในเสื้อเชิ้ตสีดำ...ในขณะที่มือใหญ่ก็ค่อยๆละผ่านใบหน้าของเขาไป...

 

สัมผัสเพียงแผ่วเบาแต่กลับทำให้หัวใจแทบลุกไหม้แบบนี้...เขาไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจริงๆ...

 

“ผมขอหมวกนิรภัยให้พวกคุณดีกว่า”   ใบหน้าหล่อเหลาพยักให้ผู้รับเหมา หมวกนิรภัยจึงถูกนำมาแจกจ่ายในภายหลัง

 

 

 

 

 

“ว้าว~ คณะสถาปัตย์นี่คัดหน้าตาก่อนเข้าเรียนด้วยหรือเปล่าคะ งานดีตั้งแต่อาจารย์ยันลูกศิษย์เลยนะคะ ถ้าน้องๆสนใจถ่ายแบบเป็นอาชีพเสริมก็ติดต่อพี่ได้นะคะ”    คุณกิ่งเจ้าของบ้านที่เพิ่งมาถึงทักทายอาจารย์องศาก่อนจะมายืนพินิจพิจารณาพวกเขาทั้งห้าคน

 

“ให้พวกเขาเอาเวลาไปนอนเถอะครับ”     อาจารย์องศาตอบแทน

 

“หื๋ม? คนนี้หน้าคุ้นๆนะคะ?”    แล้วจู่ๆใบหน้าโฉบเฉี่ยวนั่นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แต่เขากลับจำไม่ได้เลยว่ารู้จักอีกฝ่าย

 

“....ลูกคุณพิภพ ธารธารากุลไงครับ”    แล้วก็เป็นอีกครั้งที่อาจารย์องศาตอบแทน...ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยจะเต็มใจนัก?

 

“ธารธารากุล...ธารธารากุลนี่...แพรวาเหรอ? นี่ลูกชายของแพรวาเหรอคะ?!    คุณกิ่งดูตื่นเต้นมากหลังจากเอ่ยชื่อแม่ของเขาออกมา

 

“โตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย~ ถึงว่าสิหน้าคุ้นๆ ก็เหมือนแพรซะขนาดนี้ อ้อ ฉันเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของแพรที่มัณฑนศิลป์ รู้ไหมว่าพ่อแม่เราน่ะเป็นคู่ในฝันของมหาลัยเลยนะตอนนั้น ฮ่าๆๆ”    คุณกิ่งหัวเราะอย่างร่าเริงทั้งที่เขายังงงๆ แต่ก็ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ขุดเรื่องที่แม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้วมาพูด เพราะหลายๆครั้งเขาก็ไม่ชอบสายตาที่มักจะแสดงซึ่งความสงสารเด็กไม่มีแม่อย่างเขา

 

ขอโทษทีเถอะ ถึงจะไม่มีความทรงจำเรื่องแม่ แต่ความทรงจำเรื่องพ่อเนี่ยเขามีมากกว่าใครในโลกแน่นอน

 

“ถ้ามีอะไรให้น้าช่วยก็บอกได้เลยนะ แต่ถ้าโดนอาจารย์องศารังแกอันนี้น้าช่วยไม่ได้จริงๆ หมอนี่น่ะโหดร้ายมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ฮ่าๆๆ”    มือเรียวสวยตบบ่าเขาปั่บๆ  สมัยเรียน...อาจารย์องศาเป็นแบบไหนกันนะ? ชักอยากจะรู้ขึ้นมาเลย...

 

“ผมว่ามาเริ่มประชุมกันเถอะครับ”    เสียงทุ้มตัดบทแล้วพาทุกคนเข้าไปยังห้องที่เตรียมตัวอย่างวัสดุกับแบบก่อสร้างเอาไว้ก่อนที่จะถูกเผาไปมากกว่านี้

 

 

 

แต่จากเหตุการณ์ที่อาจารย์องศาช่วยเขาไว้...มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มมองอีกฝ่ายในฐานะผู้ชายคนหนึ่งมากขึ้นก็ได้...

 

ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปที่ร่างสูงใหญ่นั่นอย่างเหม่อลอยน้อยๆ ไม่ได้รับรู้เลยว่าอาจารย์องศากำลังอธิบายเรื่องตัวอย่างกระเบื้องที่ใช้ในแต่ละห้องนั้นว่ายังไงบ้าง ไม่ได้ฟังเลยว่าอาจารย์องศาแก้ปัญหาเรื่องท่อระบายน้ำฝนที่ติดคานจนหาทางลงไม่ได้นั่นอย่างไร ไม่ได้ฟังเลยว่าจะให้เอาคอยล์ร้อนคอยล์เย็นของแอร์ไว้ตรงไหนบ้าง ...เพราะตอนนี้ในสมองและสองตาของเขา...มีเพียงเงาร่างสูงสง่าที่อยู่ในชุดออลแบล็กดำล้วนตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตเข้ารูปที่พับแขนเสื้อมาจนถึงข้อศอก หรือจะกางเกงสแล็คที่ถูกตัดเย็บมาอย่างดี

 

ที่ผ่านมาเขาก็รู้ว่าอาจารย์องศานั้นหล่อมาก แต่วันนี้ใบหน้าที่เซตผมเสยขึ้นกลับดูหล่อกว่าปกติ...

 

ที่ผ่านมาเขาก็รู้อยู่หรอกว่าอาจารย์องศาหุ่นดีมาก แต่วันนี้กลับเท่ห์กว่าปกติ ยิ่งเวลาที่กำลังทำงานแบบนี้ก็ยิ่งมีเสน่ห์สุดๆ

 

อ่า...อีกฝ่ายก็บอกให้ระวังเอาไว้แล้วแท้ๆ แต่สภาพนี้เขาจะเดินอย่างมีสติได้ไหมเนี่ย?...

 

 

 

และพอดูแบบ เคลียร์เรื่องแบบเสร็จ ทั้งคณะก็เริ่มเดินดูหน้างานกัน

 

แล้วอาจารย์องศาก็เริ่มทำหน้าที่ของสถาปนิกอย่างจริงๆจังๆให้พวกเขาเห็น

 

อย่างเช่น...

 

 

 

“อาจารย์ๆ วันก่อนกิ่งไปเจอบานประตูรัสเซียมา อาจารย์ว่าเอามาตั้งตรงนี้ดีไหม?”

 

“ไม่เอาครับ  สเปซตรงนี้สวยดีอยู่แล้ว อย่าเอาอะไรมากั้นมาแบ่งมันเลยนะครับ”

 

“แต่ประตูมันสวยมากๆเลยนะคะ กิ่งอยากซื้อมาติด...”

 

“ลองส่งรูปมาให้ผมดูก่อนแล้วกันครับ ไว้ผมจะหาที่วางที่เหมาะสมให้”

 

 

 

หรืออย่างเช่น

 

 

 

“ทำไมผนังกรุไม้ตรงนี้เป็นแบบนี้ล่ะครับ? รอยต่อมันไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะ? นี่ทำตามแบบหรือเปล่าครับ?”

 

“มีแบบด้วยเหรอครับ? ผมนึกว่าไล่จากข้างล่างขึ้นไปตามปกติ”

 

“นึกไม่ได้สิครับ ถ้าไม่มีแบบคุณก็ต้องถามผม แต่ผมจำได้ว่าตรงนี้น้องสถาปนิกที่ออฟฟิศทำDetailให้แล้วนะ คุณเอาแบบก่อสร้างเล่มที่เป็นDetailมาดูซิ”

 

“นี่ไงครับ แผ่นนี้”

 

“อ้อ...ครับ...แล้วที่ทำไปแล้วนี่...”

 

“รื้อแล้วทำใหม่ดีกว่าครับ เพิ่งกรุไปไม่เยอะแก้ตอนนี้ยังทัน ไม่ว่าจะรอยต่อไม้ เส้นเซาะร่องผนัง หรือรอยต่อวัสดุเล็กๆน้อยๆก็มีผลต่อบ้านสไตล์มินิมอลแบบนี้ทั้งหมด คุณต้องระวังเป็นพิเศษนะครับ”

 

“ครับ...” 

 

 

 

หรืออย่างเช๊นนน....

 

 

 

“หลังคาตรงนี้ต้องไม่มีดั้งสิครับ?”

 

“อ้าว?”

 

“เพราะผมจะตีฝ้าเอียงตามหลังคา ถ้ามีอะเสกับดั้งมันก็โผล่มาให้เห็นสิครับ ตรงนี้ในแบบโครงสร้างน่าจะมีบอกไว้นะครับ เพราะวิศวกรของผมน่าจะดีไซน์โครงสร้างหลังคาโดยเพิ่มความแข็งแรงจันทันเพื่อรับแรงแทนเอาไว้แล้ว”

 

“เอ่อ...แล้วอย่างงี้ต้องทำยังไงครับ...”

 

“รื้อครับ ไม่งั้นคุณลองโทรคุยกับวิศวกรดูว่าจะทำยังไงได้บ้าง แต่ต้องไม่มีโครงสร้างยื่นเข้ามาในฝ้าของผมเด็ดขาด”

 

 

 

 

 

 

“มึงเห็นสายตาช่างตอนที่อาจารย์องศาสั่งรื้อหลังคาไหมวะ กูนึกว่ากูจะไม่รอดออกมาจากไซต์ซะแล้ว~    ไอ้ภาคเริ่มเมาท์มอยหลังจากที่พวกเขาห้าคนเดินมารออยู่ที่รถก่อน ตอนนี้พวกเขาเดินดูบ้านและอาจารย์องศาก็เคลียร์ปัญหาให้ครบทุกจุดแล้ว

 

“กูว่าข้างหลังบ้านแม่งต้องมีบ่อรอฝังสถาปนิกอย่างพวกเราแน่เลยว่ะ อาจจะฝังไปพร้อมกับถังบำบัดเลยก็ได้ไหมวะ”   ไอ้ธีร์ลูบขนแขนที่ลุกชันขึ้นมา

 

“เค้ามีแต่ฝังไปพร้อมเสาหลักเมือง แต่พวกเรานี่ถูกฝังพร้อมถังบำบัด...ชีวิตทรงคุณค่าชิบหาย ฮ่าๆๆ”    ไอ้เก้าหัวเราะร่วนหลังจากพูดจบ

 

“กูก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าการจะเป็นสถาปนิกนั้นต้องเป็นศัตรูกับมวลมนุษยชาติขนาดนี้ อาจารย์องศาเล่นทะเลาะตั้งแต่เจ้าของบ้านยันผู้รับเหมาเลยนี่หว่า”    ไอ้ไม้ยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา

 

“แล้วมึงคิดสภาพตอนกูตรวจแบบกับอาจารย์องศาสิ แบบนี้แหละ! จะไม่ให้กูร้องไห้ได้ไง~   เขาทำหน้าหงึในขณะที่พูดออกไป

 

“โอ๋~พายลูกพ่อ กูเข้าใจมึงแล้วว่ะ ฮ่าๆ”    มือใหญ่ของไอ้เก้าโยกหัวเขาไปมา

 

“ถึงจะสั่งแก้แต่เหตุผลของอาจารย์มันก็เถียงไม่ออก นั่นยิ่งทำให้มันน่าเจ็บใจ~    แล้วคนที่รังแกเขาจนร้องไห้ก็เดินไม่รู้เรื่องรู้ราวตามมา

 

“มีอะไรกันรึเปล่าครับ? กลับกันเถอะ”   ใบหน้าหล่อเหลาเรียกพวกเขาขึ้นรถราวกับการกระทบกระทั่งพวกนั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นหนึ่งในงานที่พวกสถาปนิกต้องเจอเป็นปกติ~

 

 

 

 

 

“เอาละ ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงที่คุณขอตามผมมาแล้วละ”    เสียงทุ้มพูดพร้อมกับหันมายิ้ม  อาจารย์องศาจอดรถให้ตรงที่ที่มีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์หนาแน่นที่สุด แล้วพอร่างทั้งห้าลงจากรถได้ก็วิ่งกรูกระโดดโล้ดเต้นเหมือนเด็กเข้าไปถ่ายรูปกัน

 

“ขอบคุณครับอาจารย์!    ทั้งห้าคนหันมาโบกมือให้  ใบหน้าราวกับรูปสลักอมยิ้มเมื่อมองตามภาพนั้นไป ร่างสูงใหญ่ในชุดออลแบล็กขยับมายืนพิงฝากระโปรงรถสีขาวเอาไว้ก่อนจะกอดอกรออยู่ตรงนั้น

 

น่าแปลกที่สายตาของเขามักจะถูกพายุตรึงเอาไว้...ทั้งที่มีคนอยู่ตรงนั้นตั้งห้าคน

 

สายตาของเขามักจะเผลอมองตามใบหน้ามนที่แสดงสีหน้าหลากหลายเวลาอยู่กับเพื่อนๆ ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ ทั้งไม่พอใจ ทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งซุกซน แต่ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าแบบไหนก็น่าเอ็นดูไปเสียหมดสำหรับเขา

 

สายตาของเขามักจะเผลอมองตามร่างโปร่งบางที่อยู่ในชุดสีดำ มองตามท่อนแขนเล็กๆสีขาวที่โผล่พ้นเสื้อแขนยาวที่พับจนถึงข้อศอก มองตามมือเรียวยาวที่ทาเล็บด้วยสีดำ มองตามลำคอระหงที่โผล่พ้นคอเสื้อฮู้ดขึ้นไป มองตามเอวบางๆยามเมื่อถูกลมพัดจนตัวแทบปลิว มองตามผิวขาวจัดของเรียวขาซึ่งสว่างออกมาจากริ้วผ้าที่ขาดของกางเกง

 

สายตาของเขา...มักจะเผลอมองพายุอยู่เสมอจริงๆ...

 

 

 

“อาจารย์ไม่ไปถ่ายรูปด้วยกันเหรอครับ?”    เสียงทักดังขึ้นจากนาวาที่เดินกลับมา

 

“ไม่เป็นไร พวกคุณถ่ายกันไปเถอะ”   เขาอมยิ้มบางๆเมื่อหันไปมองพายุที่มีนธีร์ถ่ายรูปให้อยู่  แล้วหลังจากเอารูปมาดูก็ประเคนฝ่าเท้าเข้าให้หนึ่งทีก่อนที่จะถ่ายกันใหม่

 

ไอ้ธีร์มันเป็นตากล้องครับ มันถ่ายรูปสวยอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะครับ    ถึงว่า...กล้องในมือนธีร์ถึงไม่ใช่กล้องจากโทรศัพท์มือถือทั่วไป แต่เป็นกล้องตัวใหญ่ที่พวกตากล้องใช้จริงๆ

 

ส่วนไอ้ไม้ก็เป็นพ่อครัว ด้วยความใจเย็นเป็นน้ำแข็ง มันเลยทำอาหารอร่อยมากแล้วก็หน้าตาน่ากินสุดๆไปเลยครับ   นาวาสาธยายถึงเพื่อนแต่ละคนในกลุ่มให้ฟัง ซึ่งเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่จะรับรู้ข้อมูลพวกนี้

 

ส่วนไอ้ภาคก็เป็นนักดนตรี มันเล่นกีต้า เมื่อก่อนตอนม.ปลายมันเคยมีวงด้วยนะครับ

 

ส่วนผม ก็รับซ่อมทุกอย่าง เป็นหัวหน้าช่างประจำบ้าน   นาวาชูมือขึ้นมาราวกับว่ากำลังถือเครื่องมือช่างอยู่

 

คนสุดท้าย ไอ้พายนอกจากเรียนส่งๆไปแต่เสือกได้คะแนนดีกว่าชาวบ้านแล้ว มันก็ไม่ทำห่าอะไรซักอย่าง ฮ่าๆๆ ใครได้มันไปเป็นแฟนเนี่ย บอกเลยว่าชีวิตลำบากแน่ครับ    เขาถึงกับขำพรืดหลุดหัวเราะออกไปจนนาวาได้แต่มองตาค้าง เพราะนอกจากการยิ้มบางๆแล้วอาจารย์องศาก็ใช่ว่าจะหัวเราะไปทั่วเสียเมื่อไหร่

 

พายุ...ไม่ใช่คนที่จะดูแลใคร แต่ต้องการให้ใครสักคนมาดูแลสินะ...

 

เขาทอดสายตามองไปยังร่างโปร่งบางที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยนต่อไป 

 

 

 

 

 

 

 

“อาจารย์~ อยู่ดูน้องคืนนี้เฟรชชี่ไนท์ด้วยกันสิครับ”    เสียงของพายุถามขึ้นเมื่อรถขับมาจนใกล้จะถึงมหาวิทยาลัยแล้ว

 

“ผมว่าจะถามตั้งนานแล้ว พวกคุณมากับผมทั้งวันนี่ไม่เป็นไรเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าต้องดูน้องปีหนึ่งหรอกเหรอ?”    เสียงทุ้มเอ่ยถามทั้งที่ตายังมองถนน

 

“ฮ่าๆๆ....จริงๆแล้ว...พวกผมเป็นพี่ว๊ากครับ ทั้งกลุ่มเลย”    พายุหันมายิ้ม ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร

 

“เพราะงั้น...ปกติก็ต้องซ่อนตัวไม่ให้น้องปีหนึ่งเจออยู่แล้วครับ”   เขาพยักหน้าเข้าใจ ถ้ากลุ่มของพายุไม่ได้เป็นพี่ว๊ากสิจะแปลกมาก เพราะพี่ว๊ากของคณะสถาปัตย์ใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้ ต้องมีผลการเรียนดีและหน้าตาติดอันดับต้นๆของชั้นปีเท่านั้น

 

“ตกลงอาจารย์จะอยู่กับผมไหมครับ? คืนนี้”

 

“เอาสิ”

 

“เอ๊~~!!    เป็นเสียงที่ดังมาจากสี่คนข้างหลัง...

 

“ผมก็ไม่ได้มาดูพวกคุณรับน้องนานมากแล้ว ไหนๆก็ผ่านมาพอดี ผมอยู่กับคุณก็ได้คืนนี้”

 

 

 

 

ติ๊ง...

 

อวาตาร์ตากล้อง  :  [ไอ้เชี๊ย~ สองคนข้างหน้าเค้าคุยกันโคตรหวานเลยว่ะ]  

 

เป็นเพราะไม่กล้าพูดออกไป ธีร์เลยพิมพ์หวีดลงในกรุ๊ปไลน์ของกลุ่มตองเก้า

 

 

ติ๊ง...

 

อวาตาร์ Mr.น่านฟ้า  :  [ไอ้พายแม่งจีบอาจารย์องศาอยู่เปล่าวะ?]  

 

 

ติ๊ง...

 

อวาตาร์รอยสัก  :  [พายลูกพ่อโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ~]

 

 

ติ๊ง...

 

อวาตาร์ทะเลยามเย็น  :  [ตกลงอาจารย์จะอยู่กับผมไหมครับคืนนี้]

 

 

ติ๊ง...

 

อวาตาร์ Mr.น่านฟ้า  :  [เอาสิ ผมอยู่กับคุณก็ได้คืนนี้]

 

 

ติ๊งๆๆๆ...

 

อวาตาร์ตากล้อง  :  [ว๊ายยย]

อวาตาร์รอยสัก  :  [อร๊ายยย]

อวาตาร์ Mr.น่านฟ้า  :  [งื้ออออ]

อวาตาร์ทะเลยามเย็น  :  [ฮิ้วววว]

 

 

ติ๊ง...

 

อวาตาร์ราฟาเอล  :  [พวกมึงเป็นเชี่ยอะไรกัน!!]

 

 

 

 

 

 

 

“เดี๋ยวตอนมืดๆผมกลับมาอีกที ผมขอไปทำธุระแถวนี้ก่อน”

 

อาจารย์องศาจอดส่งพวกเขาที่หน้ามหาวิทยาลัย แล้วพวกเขาก็ยังไม่ทันจะไปถึงจักรยานที่จอดไว้ หัวหน้าชั้นปีก็โทรตามให้ไปทำหน้าที่พี่ว๊ากทันที

 

 

ก้มหน้าลงไป!”  

 

 

นั่นคือคำที่พวกเขาตะโกนคอแตกกันอยู่ทุกเย็น

 

จำเป็นต้องคัดพี่ว๊ากจากเกรดเฉลี่ยอันนี้ก็เข้าใจได้อยู่หรอกเพราะว่าพี่ว๊ากเป็นคนที่จะขาดไม่ได้เลยสักวัน ก็แต่ละปีแต่ละรุ่นจะมีพี่ว๊ากแค่ 9 คนเท่านั้น ไม่เหมือนพวกพี่ใจดีที่มีเยอะแยะ ว่างก็มา ไม่ว่างก็ไม่ต้องมา เพราะงั้นพวกพี่ว๊ากจึงจำเป็นต้องเป็นพวกที่มีผลการเรียนดีอยู่แล้ว จะได้ไม่ค่อยมีผลกระทบกับการเรียนเพราะพวกเขารับน้องกันค่อนข้างนานและพี่ว๊ากก็ต้องรับผิดชอบต้องอยู่กับมันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย

 

แต่! การคัดพี่ว๊ากจากหน้าตาTop 9ของชั้นปีนี่สิที่เขาไม่เห็นจะเข้าใจ! ก็แค่กลัวน้องปีหนึ่งจะแอบปิ๊งพวกเขาก่อนเนี่ยนะ? ก็เลยต้องซ่อนไว้จนถึงที่สุด? เพราะกว่าพี่ว๊ากจะเปิดเผยตัวตนได้ก็เกือบจบเทอมหนึ่งนู่นแหละ

 

เพราะงั้นประชากรแก๊งตองเก้าของเขาจึงหนีไม่พ้นกันซักคน ถูกหมายหัวว่าต้องเป็นพี่ว๊ากตั้งแต่วันแรกที่ก้าวขึ้นปีสามแล้ว

 

 

 

วันนี้พวกเขาส่งต่อน้องๆให้พวกพี่ใจดีหลังจากอบรมตามหัวข้อเสร็จ

 

จากนั้นก็รอจนกว่าน้องๆจะเข้าไปในอาคารกีฬารวมและขึ้นไปนั่งบนอัฒจรรย์ของคณะสถาปัตย์เรียบร้อย  พวกพี่ว๊ากจึงค่อยเดินเข้าไปเป็นกลุ่มสุดท้าย 

 

ร่างสูงยาวทั้ง 9 ก้าวเข้าไปด้วยท่าทางสบายๆ แต่มันกลับดูเท่ห์มากในสายตาคนอื่น คงจะเพราะทั้งร่างกายอยู่ในชุดไปรเวทเซอร์ๆเนื่องจากคณะเขาไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาไปเรียนกันอยู่แล้ว จะใส่ก็เฉพาะวันที่มีสอบมิดเทอม สอบปลายภาค กับจูลี่แบบเท่านั้น  อันที่จริงทั้งสี่คณะสายศิลปะที่อยู่ในวิทยาเขตวังท่าพระก็จะใส่ไปรเวทไปเรียนเหมือนกันหมด

 

แล้วแค่พวกเขาปรากฎตัวเท่านั้นแหละ เสียงอื้ออึง เสียงหวีดร้อง ก็คอยๆลุกลามจนดังก้องไปทั่วโรงยิมในทันที

 

 

“มาแล้ว!

 

“ไหน?!

 

“นั่นไง! ครบเลยด้วย! กรี๊ดดดด!

 

“จริงด้วย! กรี๊ดดดด!

 

 

จริงๆก็ตั้งใจจะแอบไปดูน้องเงียบๆอยู่หรอกแต่เพราะเป็นTop 9ของสถาปัตย์ไง แค่ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปเสียงกรี๊ดก็ดังรับราวกับพวกเขาเป็นโอปป้าเกาหลีก็ไม่ปาน

 

ยังดีที่ไอ้พวกน้องปีหนึ่งของเขามันนั่งอยู่บนอัฒจรรย์กันแล้ว มันจึงมองไม่เห็นพวกเขาที่ยืนอยู่ข้างล่าง ต่างจากสาวๆวิทยาเขตฝั่งนี้ที่มีอัฒจรรย์อยู่ตรงกันข้าม จึงมองเห็นพวกเขาอย่างชัดเจน

 

หยุดกรี๊ดกันก่อนนะค้า~ ถึงแม้ว่าวันนี้หนุ่มๆตองเก้าจะมากันครบทีม แต่พวกหนูๆก็อย่ามัวแต่ส่องผู้ ฟังพิธีกรอย่างดิฉันก๊อน~”   แล้วพิธีกรสาวสองก็ยิ่งทำให้ฮอลล์แตกไปใหญ่ จากบางคนที่ไม่รู้กรี๊ดอะไรเพราะมองตอนพวกเขาเดินเข้ามาไม่ทัน ตอนนี้ก็รู้กันไปทั่วแล้วว่าพวกเขาทั้งห้าคนมากันครบเลยจ้ะ

 

ใบหน้ามนพยักรับเสียงกรี๊ดที่ดังให้ พวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกที่มีคนชื่นชอบ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบพวกเขาขนาดนี้ก็เถอะ? คุยก็ไม่เคยคุยกัน  รู้จักก็ไม่รู้จัก  แล้วพวกเขาก็ไม่เคยไปทำประโยชน์อะไรให้เลย แค่ใช้ชีวิตง่วงๆของพวกเขาไปวันๆ

 

อาจจะเป็นเพราะตอนปีหนึ่งพวกเขาเรียนอยู่ที่นี่ แล้วพวกเขาทั้งห้าคนก็แนวแบบนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ถึงจะใช้ชีวิตปกติของตัวเองไปแต่กลับเป็นที่สนใจของสาวน้อยสาวใหญ่สาวสองไปโดยไม่รู้ตัว

 

พวกเขาก็ไม่ได้อยากจะวิ่งถือโมเดลฝ่าทุ่งหญ้าให้เป็นตำนานแต่มันต้องรีบไปส่งงานไง ไม่ได้อยากจะเดินไปไหนมาไหนห้าคนให้เตะตาใครแต่โต๊ะเขียนแบบของพวกเขามันอยู่ติดกันไง จะชวนใครไปเซเว่นหรือไปไหนไอ้พวกนี้ก็เรียกง่ายสุดแล้วไหม

 

จากที่ปกติเด็กถาปัดไปไหนก็ค่อนข้างจะเด่นอยู่แล้วกับข้าวของพะรุงพะรัง หน้าง่วงๆ สภาพเหมือนซอมบี้ของพวกเรา เจอความแนวของพวกเขาห้าคนเข้าไปเลยยิ่งเด่นไปใหญ่ พวกเขาจึงเป็นที่กล่าวขานยิ่งกว่าเดือนมหาลัยในปีนั้นไปอีกเดินไปตรงไหนใครก็มอง เดินไปตรงไหนใครก็พูดถึง อาจจะด้วยรูปร่าง? อาจจะด้วยหน้าตา? อาจจะด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว?

 

แล้วยิ่งประวัติพวกเขาถูกขุดคุ้ยขึ้นมาพูดถึงมากเท่าไหร่ ความไม่ธรรมดาของโปรไฟล์แต่ละคนก็ยิ่งทำให้แก๊งตองเก้าทั้งห้ากลายเป็นชายในฝันห้าสไตล์ให้สาวๆได้เอาไปปราบปลื้มกัน...

 

แล้วถ้าถามว่าทำไมไม่ให้หนึ่งในพวกเขาเป็นเดือนมหาลัยให้มันจบๆไปอย่าว่าแต่เดือนดาวพระจันทร์อะไรเล้ย ขนาดกิจกรรมอย่างชมรมพวกเขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้า แค่ส่งงานทุกวันก็จะตายอยู่แล้ว จึงไม่เคยมีเด็กถาปัดคนไหนเข้าชมรมหรือทำกิจกรรมใดๆของมหาลัยเลย ปกติแล้วจะแทบไม่เจอพวกเขาที่ไหนในมหาลัยที่กว้างใหญ่แห่งนี้เลย ถ้าไม่อยู่ที่สตูก็เผางานกันอยู่ที่หอ เพราะงั้นมันจึงเกิดเป็นความพิเศษขึ้นมาถ้าได้เจอ

 

 

 

เสียงกลองทอมกลบเสียงเซ็งแซ่ให้เบาลงก่อนที่บรรยากาศจะคึกคักขึ้นจากการโชว์เชียร์ของแต่ละคณะที่กำลังจะเริ่มต้น

 

แต่ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก เพราะยังไม่ทันไรซุปเปอร์บิ๊กเซอร์ไพรส์ก็มาปรากฎกายให้ทุกสายตาได้เห็น!

 

 

...ร่างที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าก้าวเดินเข้ามาทางประตูด้านหลังอัฒจรรย์ของคณะสถาปัตย์...

 

 

เงาร่างนั้นสูงมาก สง่างามมาก หุ่นดีมาก และใบหน้าที่เซตผมมาอย่างดีนั่นก็หล่อมาก หล่อจนเรียกเสียงฮือฮาศาลาแตกและทำให้ทุกสายตาหันไปมองได้ยิ่งกว่าตอนที่พวกตองเก้าเดินเข้ามาเสียอีก!

 

 

“นั่นใคร?”

 

“ใครน่ะ?”

 

“หล่อม๊าก~ รุ่นพี่ถาปัดรุ่นไหนอีก?!

 

 

เหมือนจะได้ยินแต่เสียงนี้ลอยมาจากอัฒจรรย์รอบๆ  คนที่เพิ่งเดินเข้ามาไม่ใช่เด็กถาปัดที่ไหน

 

แต่เป็นอาจารย์องศา พิรุณณภักดิ์ ณ อยุธยาต่างหาก!

 

เทพบุตรแห่งคณะสถาปัตย์  ตำนานที่แทบไม่มีใครเคยเห็นตัวเป็นๆที่มหาลัยฝั่งนี้!

 

แล้วเสียงก็ยิ่งกรีดร้องกันไม่ไหวเมื่อร่างที่มีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่นั่นเดินมารวมกลุ่มอยู่กับหนุ่มๆแก๊งตองเก้า!

 

 

 

“มาแล้วเหรอครับอาจารย์? คณะอื่นเพิ่งจะเริ่มแสดงเองครับ”    ใบหน้ามนหันไปทักทายคนที่ขยับมายืนอยู่ใกล้ๆ คนที่เซอร์ไพรส์ไม่ได้มีแค่เด็กคณะอื่น แต่ขนาดเด็กถาปัดเองก็ยังตกใจที่เห็นอาจารย์องศามายืนอยู่ตรงนี้ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องของเขาต่างเลิ่กลั่กไปตามๆกัน เพราะอาจารย์ที่สอนปีสูงๆอย่างอาจารย์องศานั้นไม่ได้ข้องแวะกับกิจกรรมรับน้องมานานแล้ว

 

แถมเอาเข้าจริงอาจารย์องศาก็ไม่ใช่คนที่จะไปไหนมาไหนกับนักศึกษา ถึงจะพูดคุยด้วยได้ ค่อนข้างใจดีและตรวจแบบอย่างมีเหตุผล แต่ออร่าบางอย่างก็มักจะทำให้นักศึกษาเกรงใจและไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าเล่นด้วยอย่างสนิทสนม  พวกรุ่นพี่เลยแปลกใจอยู่หน่อยๆที่เห็นอาจารย์ดูเป็นกันเองกับพวกปีสามปีนี้ โดยเฉพาะแก๊งตองเก้าทั้งห้าคน

 

“ปกติก็ถ่ายรูปกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”    ใบหน้าหล่อเหลาที่แม้จะอยู่ในเงามืดก็ยังหล่อหันไปสู้แสงแฟลชระยิบระยับยิ่งกว่าไฟประดับคริสต์มาสด้วยความมึนงง

 

“อื้อ แบบนี้แหละครับ”    ส่วนคนที่ชินแล้วแบบร่างในชุดโกธิคพังก์ก็หันไปมองด้วยสีหน้าปลงๆ

 

“เดี๋ยวอาจารย์รอดูของคณะดุริยางค์สิครับ เพลงมาอย่างอลังการทุกปีเลย”    เขาชี้ชวนให้อาจารย์องศาดูเครื่องดนตรีแบบจัดเต็มที่วางอยู่ข้างอัฒจรรย์

 

“ครับ น่าสนใจทีเดียว”    แล้วด้วยความที่เสียงรอบข้างดังมาก ใบหน้าหล่อเหลาจึงต้องเอนก้มลงมาหาเพื่อจะฟังเสียงของเขา

 

“ตอนอาจารย์เรียนอยู่ยังไม่มีสินะครับ คณะดุริยางค์?”   ส่วนมือบางก็ยกขึ้นป้องไปที่ปากเพื่อที่จะพูดกลับไป ความสูงของเขากับอาจารย์องศาน่าจะต่างกันอยู่ราวๆ15เซ็นต์ได้ เขาจึงต้องเขย่งเท้าช่วย

 

“ยังครับ”   แล้วยิ่งคุยใบหน้าของอาจารย์องศาก็ยิ่งโน้มเข้ามาใกล้ จนมือที่ป้องปากไว้ของเขาแทบจะแตะไปที่แก้มของอาจารย์

 

“แต่ยังไงผมก็ชอบกลองของเรามากกว่า”    เขาพูดด้วยรอยยิ้มซุกซน

 

“คุณรู้ไหมว่าเพลงเชียร์ที่พวกคุณใช้กันอยู่นี้ รุ่นพี่ๆอย่างพวกผมเป็นคนคิดขึ้นมาเองนะ”   อาจารย์องศาก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มมาดมั่น

 

“จริงเหรอครับ? อยากรู้เลยว่ารุ่นอาจารย์ใช้เนื้อเพลงประจำคณะของเราว่ายังไง?”    เสียงพูดคุยนี้อาจจะมีแค่เราสองคนที่ได้ยิน เพราะภาพที่ทุกคนเห็นมีเพียงอาจารย์องศาที่โน้มตัวลงมาฟังกับเขาที่ยกมือป้องปาก สายตาสบประสานกันไปมา รวมไปถึงรอยยิ้มอันหาได้ยากเหล่านี้ด้วย

 

“ฮึ...คุณรู้ของรุ่นคุณพ่อคุณรึเปล่า? นั่นน่ะตำนานเลยนะ”   

 

“เอ๋? จริงอ่ะ?”

 

“ครับ ลองไปให้เค้าร้องให้ฟังสิ”

 

“ไม่เอาอ่ะ อาจารย์ร้องให้ฟังไม่ได้เหรอครับ”

 

“ไม่ได้สิ ไม่ใช่รุ่นของผมนี่”   

 

แล้วเขากับอาจารย์องศาก็ยังคุยกันงุ้งงิ้งต่อไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า...ไอ้เพื่อนสนิทสี่ตัวข้างๆกำลังจะดิ้นตายกับความเขินไม่ไหว

 

ส่วนบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องก็มองตาค้างกันใหญ่ ที่เทพบุตรผู้สูงส่งอย่างอาจารย์องศาดูจะสนิทกับฮาเดสเจ้าแห่งนรกอย่างเขามากทีเดียว

 

 

 

 

ในที่สุดกลองของพวกเขาก็ถูกยกลงไป ตามด้วยน้องๆปีหนึ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไร เพราะแค่กลองถาปัดเริ่มตี วินาทีนั้นทุกสายตาก็ถูกสะกดอยู่ที่พวกเขาแล้ว

 

พวกเขาไม่ได้ใช้กลองทอมทั่วไป แต่เป็นกลองทัดที่มีขนาดใหญ่ เป็นกลองที่ใช้ในวงปี่พาทย์และใช้ในศึกสงคราม เวลาได้ฟังจึงเกิดความฮึกเหิมและมีส่วนร่วมได้ไม่ยาก

 

จะเรียกว่ากลองถาปัดก็คงไม่ผิดนัก เพราะคณะสถาปัตย์ทั่วประเทศจะใช้กลองแบบนี้เหมือนกันหมดไม่ว่าจะมหาวิทยาลัยไหน แล้วเวลาที่มีมิตติ้งถาปัดกันทีไร เวลาได้ตีกลองประชันกัน ก็จะเป็นอะไรที่มันมาก

 

นอกจากกลองแล้วเพลงของพวกเขาก็ไม่ได้ใช้เพลงเชียร์ทั่วๆไป แต่เป็นเพลงของคณะสถาปัตย์โดยเฉพาะ แต่งขึ้นมาเองโดยเฉพาะ แถมแต่ละรุ่นก็ยังมีเพลงประจำคณะเพลงหนึ่งซึ่งจะใช้สามท่อนแรกเหมือนกับของรุ่นพี่ๆราวกับเป็นมรดกที่ตกทอดมา แต่สามท่อนหลังจะแต่งใหม่เป็นของรุ่นใครรุ่นมัน ผู้คนจึงมักจะให้ความสนใจเพราะมันแปลก มันเท่ห์ มันไม่เหมือนใคร

 

จังหวะที่ถูกตีด้วยไม้กลองสองท่อนกำลังจะจบลงเมื่อการแสดงเชียร์เพลงสุดท้ายสิ้นสุด ใบหน้ามนจึงหันไปบอกกับอาจารย์องศาที่ยังยืนดูอยู่ข้างๆ

 

“อาจารย์จะกลับก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวพวกผมพาน้องกลับคณะก่อน”   พอเริ่มดึกก็เริ่มเกรงใจ เพราะอาจารย์องศาต้องขับรถกลับอีกไกลทั้งๆที่ทำงานมาทั้งวัน

 

“อยู่มาจนขนาดนี้แล้ว อยู่ต่ออีกหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก มันดึกแล้วด้วย ผมเป็นห่วง ผมอยู่จนกว่าพวกคุณจะกลับดีกว่า”    ความเป็นคนมีความรับผิดชอบของอาจารย์องศานั้นทำให้ดวงตากลมใสมองอย่างปลื้มปริ่มในใจ เพราะเขารู้สึกว่าจะไม่ถูกอีกฝ่ายทิ้งไว้กลางทางอย่างแน่นอน

 

“ขอบคุณนะครับ...วันนี้...ผมก่อกวนอาจารย์ทั้งวันแท้ๆเลย”

 

“ไม่เป็นไรหรอก เพราะผมก็สนุกดี นานแล้วที่ไม่ได้มาดูรับน้องแบบนี้”

 

อาจารย์องศาเดินตามไปตึกคณะที่อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวในวิทยาเขตแห่งนี้และอาจารย์ก็อยู่กับเขาจนการรับน้องเสร็จสิ้นอย่างที่บอกไว้จริงๆ

 

 

 

ตอนนี้พวกน้องปีหนึ่งต่างแยกย้ายกันกลับหอไปหมดแล้ว ส่วนพวกพี่ๆที่มาจากกรุงเทพอย่างพวกเขาก็เตรียมขึ้นรถทัวร์ที่เหมามากลับกัน

 

“อาจารย์ขับรถกลับคนเดียวใช่ไหมครับ?”    ร่างในชุดโกธิคพังก์มายืนส่งอาจารย์องศาที่รถก่อนจะถามออกไปอย่างนึกอะไรได้

 

“ครับ”    ร่างสูงใหญ่นั้นเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยแล้วจึงตอบผ่านกระจกรถออกมา

 

“งั้น...ผมกลับกับอาจารย์ดีไหมครับ? จะได้เป็นเพื่อนคุย อาจารย์จะได้ไม่ง่วงจนเผลอหลับใน”   

 

“เอาสิ”    ใบหน้าหล่อเหลาพยักรับอย่างไม่คิดอะไร ดึกๆแบบนี้มีเพื่อนร่วมทางไปด้วยก็น่าจะดีกว่าขับรถอยู่คนเดียว

 

“พวกมึงอ่ะ?”   ร่างโปร่งบางจึงหันไปถามเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่แถวนั้น

 

“มึงไปเถอะ เดี๋ยวพวกกูกลับพร้อมไอ้พวกนี้ ฝากไอ้พายด้วยนะครับอาจารย์”     นาวาก้มลงมาฝากฝังกับคนที่นั่งอยู่ในรถ

 

“มึงต้องฝากอาจารย์กับกูสิ เพราะกูต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนไม่ให้อาจารย์หลับใน”    แต่เจ้าเด็กโกธิคพังก์นั่นก็เถียงเบาๆให้เขาได้ยิ้มอีกรอบ

 

“เออ แล้วแต่มึงเหอะ”    ดูเหมือนแม้แต่เพื่อนก็ขี้เกียจจะเถียงด้วยแล้ว ร่างโปร่งบางของพายุจึงก้าวขาเข้ามานั่งลงที่เบาะข้างๆอย่างคุ้นเคย

 

 

 

แล้ว...ทั้งๆที่พูดแบบนั้น...แต่รถยังไม่ทันจะออกพ้นนครปฐม เจ้าคนที่ตั้งใจดิบดีว่าจะมาเป็นเพื่อนคุยให้เขากลับหลับปุ๋ยไปก่อนซะงั้น!

                                                                                                                                                               

ดวงตานุ่มลึกเหลือบมองคนที่นั่งหลับอยู่ข้างๆพลางส่ายหน้าอมยิ้ม  เขาเห็นใบหน้าตอนหลับของเจ้าเด็กนี่พอๆกับตอนตื่นนอนเลยนะ ปกติก็ไม่น่าจะมีอาจารย์กับลูกศิษย์ที่ไหนเป็นแบบนี้สิ?

 

“งืม...”   ใบหน้ามนที่เอนซบเบาะกระสับกระส่ายไปมา เดี๋ยวส่ายไปทางซ้าย เดี๋ยวส่ายไปทางขวา ดูท่าจะรำคาญปอยผมที่หลุดลงมาปรกแก้มแต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมลืมตา

 

เขาจึงตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมันที่กำลังจะขับผ่านพอดี

 

ดึกดื่นแบบนี้ลานจอดรถแทบจะว่างโล่ง เขาจึงจอดเสียบเข้าไปในช่องหนึ่งซึ่งห่างไกลจากรถคันอื่นพอสมควร

 

แสงไฟที่ลอดผ่านกระจกมาทำให้เห็นวงหน้าหวานได้อย่างชัดเจน ยิ่งเวลาหลับแบบนี้...พายุ...ก็ยิ่งเหมือนตุ๊กตา...ทั้งใบหน้าเล็กๆ ปากนิดจมูกหน่อย น่ารักจนเขาหยุดมองไม่ได้เลย...

 

แกร๊ก!

 

มือใหญ่จึงเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง

 

ก่อนจะเอี้ยวตัวข้ามไป...

 

สายตาที่มักจะเยือกเย็นอยู่เสมอจับจ้องไปที่ใบหน้ามนของคนที่หลับสนิท...จับจ้องไปที่แพขนตายาวซึ่งยังปิดแนบแก้มใส...

 

มือใหญ่ค่อยๆเกลี่ยปลายนิ้วลงไปอย่างแผ่วเบา...ค่อยๆกวาดเอาปอยผมเส้นเล็กๆพวกนั้นไปทัดไว้ที่ใบหูให้ เขาระมัดระวังไม่ให้ปลายนิ้วไปปลุกคนหลับจนตื่นขึ้นมา ทุกการขยับของฝ่ามือจึงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวล

 

เท่านี้...ก็น่าจะหลับสบายขึ้นแล้วสินะ?

 

เขาอมยิ้มก่อนจะมองจมูกโด่งรั้นอยู่แบบนั้น

 

เวลา...ยังคงเดินผ่านไปอีกหลายนาที...แต่ตัวเขาก็ยังถูกใบหน้ามนนี้สะกดเอาไว้

 

หัวใจ...ที่เต้นแปลกไปทำไมเขาจะไม่รู้ตัว...

 

ว่ามันมีความรู้สึกบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาแวะไปส่งพายุก่อนจะกลับถึงบ้านตอนเที่ยงคืนกว่าๆ มือใหญ่โยนกุญแจรถไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาอย่างตั้งใจว่าจะเดินไปหยิบเหยือกน้ำในตู้เย็นมาดื่ม ทว่า

 

ติ๊ง!

 

เสียงไลน์กลับดังขึ้นตอนที่เขากำลังเทน้ำลงไปในแก้ว ร่างสูงใหญ่เดินถือแก้วใสใบนั้นกลับมายังห้องนั่งเล่นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู

 

พายุ...ส่งรูปๆหนึ่งมาให้...

 

มันเป็นรูปที่ถ่ายจากด้านหลัง

 

เป็นรูปของเขากับพายุที่กำลังเดินคุยกันท่ามกลางดอกสีชมพูบานสะพรั่งของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์นับพันพวกนั้น

 

น่าจะเป็นฝีมือการถ่ายรูปของนธีร์? แต่ภาพที่ออกมานั้นสวยงามมากๆ ทั้งแสงสีฟุ้งๆและองค์ประกอบของภาพให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในฝัน

 

ถึงจะเป็นเสี้ยวหน้าจากด้านหลังที่หันเข้าหากัน แต่ใบหน้าของเขากลับยิ้มอย่างอบอุ่น รอยยิ้มของพายุก็น่ารักมากเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขานั้นชวนให้สงสัย...ว่ากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่นะถึงได้ดูมีความสุขมากขนาดนี้ เสื้อผ้าสีดำที่พวกเขาทั้งคู่ใส่อยู่ก็ยิ่งทำให้โดดเด่นท่ามกลางกลีบสีชมพูของหมู่มวลดอกไม้นั่น

 

นิ้วยาวเลื่อนไปที่ปุ่มเซฟก่อนจะกดลงไป

 

เขาเก็บภาพนี้เอาไว้...เพราะเขาชอบมันมากจริงๆ

 

 

 

 

 

 

 

ติ๊ง!

 

[ขอบคุณสำหรับรูปครับ คุณตื่นเต็มตาแล้วสินะ?]

 

รอยยิ้มค่อยๆเบ่งบานขึ้นมาบนใบหน้าใสของคนที่นอนกลิ้งดูโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง

 

[ก็ผมต้องทำงานส่งอาจารย์นี่ครับ ขอบคุณที่ให้ผมได้นอนนะครับ ไม่ว่าจะเบาะรถหรือโซฟาของอาจารย์ก็หลับสบายมากจริงๆ แถมเงียบกว่าในรถทัวร์ด้วย]

 

[ที่แท้คุณก็แค่จะหาที่นอนสินะ?]

 

[เปล๊า~]

 

[ฮึ...เอาเถอะ ยังไงก็หาอะไรกินด้วยนะ ผมรู้ว่าคืนนี้คุณคงจะอยู่อีกนาน]

 

[ครับ อาจารย์อาบน้ำนอนเถอะครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะครับ]

 

[ครับ]

 

ถึงบทสนทนาจะหยุดไปแล้วแต่ดวงตาคู่สวยก็ยังจับจ้องอยู่ที่ข้อความทั้งหมดนั้น ยิ่งนึกถึงตอนที่หัวของเขาซบอยู่บนแผ่นอกกว้างนั่น ใบหน้า...ก็แดงขึ้นมาอีกจนนอนต่อไปไม่ไหว

 

ร่างโปร่งบางเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะนั่งลงที่หน้าโต๊ะปั้นหัวตุ๊กตา เขาหยิบสมุดสเก็ตขึ้นมา แน่นอนว่าในสมุดเล่มนี้ไม่ได้มีงานที่เกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรมเลยเพราะมันเป็นสมุดที่เขาใช้สเก็ตแบบใบหน้าของตุ๊กตาก่อนที่จะปั้นมันขึ้นมา

 

เขาวาดใบหน้าของอาจารย์องศาลงไป...

 

ค่อยๆเกลา...ค่อยๆเกลา...จนมันกลายเป็นสเก็ตต้นแบบของใบหน้าตุ๊กตา...

 

โครงหน้า ช่องเจาะดวงตา สันจมูก ริมฝีปาก...เขาตัดสินใจแล้ว...เขาจะปั้นมันขึ้นมา

 

และความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์องศาซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรนี้ เขาก็จะใส่มันลงไป...ในใบหน้าเล็กๆนี่...

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

To be con.

 

แต่งไปกะเขินไป >/////< อยากมีอาจารย์องศาเป็นของตัวเอง555 แต่บอกเลยว่าอาจารย์องศาเนี่ย ไม่ใช่คนดี กร๊ากกก

 

มีคนเดาถูกด้วยว่าโลเคชั่นอยู่ที่ไหน อิๆๆ

 

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามที่มีให้ผลงานออริเรื่องแรกของคุณกวางมันด้วยน้า  แล้วเจอกันตอนหน้าค่า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น