KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 03
:
KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า
:
องศา x พายุ
:
Warmhearted Romantic
:
PG-15(ไปก่อน555)
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด
: อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
สโมคือร้านค้าที่ทั้งสี่คณะจะหาซื้ออุปกรณ์เอาไปทำงานได้ครบทุกอย่าง
เพราะที่นี่ขายเครื่องมือทางศิลปะทุกชนิดทุกประเภท
แล้วก็ขายในราคาที่ถูกมากเสียด้วย
แกร๊ก~
ร่างโปร่งบางของพายุ
ธารธารากุลใช้แผ่นหลังดันให้ประตูเปิดออกเพราะสองมือเต็มแน่นไปด้วยกระดาษและอุปกรณ์ที่จะใช้ตัดโมเดล
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าร้านเล็กๆที่แทรกตัวอยู่ใต้อาคารหอประชุมแห่งนี้จะมีขายมันทุกอย่าง
ก็ขนาดทางเดินยังแทบจะไม่มี เข้าไปทีก็ได้แค่สองสามคนเท่านั้น
ขาเรียวยาวในรองเท้าบูทหุ้มข้อสูงก้าวเดินด้วยความทุกลักทุเล
แล้วยิ่งก้าวก็ยิ่งโมโหเพราะกระดาษชานอ้อยที่ควรจะเบาและมีแต่ของเขาคนเดียวกลับหนักอึ้งและเป็นของสำหรับ5คน!
ก็ไอ้เพื่อนเวรที่บ้านน่ะสิ!
พอรู้ว่าเขาจะมาตรวจแบบก็เสือกฝากซื้อของไม่ดูสภาพคนต้องขนอย่างเขาบ้างเลย!
ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันตรวจแบบกลุ่มวิชาดีไซน์ที่ต้องส่งทั้งแปลน
รูปด้าน แล้วยังต้องตัดโมเดลแบบร่างของโรงเรียนอนุบาลมาส่งอีก
ใครก็ไม่อยากจะออกจากบ้านมาซื้อของหรอก
แต่มันก็ใช่ว่าจะให้เขาแบกกระดาษชานอ้อยแผ่นเท่าควายเป็นสิบๆแผ่นได้เสียที่ไหน
นี่ยังไม่นับรวม PVCใส ไม้บัลซ่า ม้วนหญ้าเทียมที่จะเอาไปทำห่าอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้
ไหนจะกาวอีกห้าหกแผง ใบมีดคัตเตอร์ สเปรย์กาว บลาๆๆ เขาจะเดินไปแขนสั่นไปก็ไม่แปลก!
ร่างโปร่งบางเดินไปก็อยากจะหยุมหัวเพื่อนไป
แล้วร่างที่อยู่ในเสื้อตัวยาวสีดำนั้นก็ไปสะดุดสายตาของใครอีกคนเข้า
อาจารย์องศาเดินเข้ามหาวิทยาลัยมาพอดี...
แค่เห็นการแต่งตัวเขาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
ก็ชุดสไตล์โกธิคพังก์แบบนี้ใช่ว่าจะมีใครใส่
แต่ถึงจะมีก็หาคนที่ดูดีขนาดนี้ไม่ง่าย
อาจารย์หัวหน้าวิชาออกแบบของปีสามจึงรู้ได้ทันทีว่านั่นคือ พายุ ธารธารากุล
ดวงตาสุขุมลอบสังเกตอยู่ไม่ไกล
วันนี้มัดรวบผมเป็นก้อนดังโงะมาแหะ และปอยผมที่คลอเคลียต้นคอก็ทำให้ใบหน้าที่ละมุนละไมนั่นจะดูสวยกว่าปกติ
เขาคิดมานานแล้วว่าพายุไม่ค่อยจะเหมือนคุณพ่อแต่น่าจะไปทางคุณแม่มากกว่า?
หมับ!
มือใหญ่จับไปที่ขอบกระดาษได้ทันก่อนที่มันจะตกลงพื้นเพราะข้าวของที่พะรุงพะรังเกินไปพวกนี้
ใบหน้ามนจึงเงยมองท่อนแขนที่พาดอยู่เหนือหัวอย่างมึนงง
ก้อนผมดังโงะนั่นจึงเฉียดปลายจมูกเขาไปแค่นิดเดียว
กุหลาบที่เคยได้กลิ่นนั่น...มาจากผมของพายุจริงๆ...
“อ่ะ?
อาจารย์องศา? ขอบคุณที่ช่วยครับ” ใบหน้าราวกับรูปสลักก้มลงไปมองคนที่เงยหน้าอยู่ที่หน้าอกของตน
เขาต้องรีบชักสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ
“เอากระดาษชานอ้อยมาสิ
เดี๋ยวผมช่วยถือ ดูท่าทางคุณจะไม่ไหวแล้วนะ”
เขายิ้ม แค่ลำพังจะเดินยังสะโหลสะเหลจะแย่แล้ว
“จะดีเหรอครับ”
เสียงเรียบเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจเพราะยังไงเขาก็มีศักดิ์เป็นอาจารย์
มือใหญ่จึงดึงปึกกระดาษหนักๆพวกนั้นมาถือโดยไม่พูดอะไร
“ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่มหาลัย?
พรุ่งนี้มีตรวจแบบกลุ่มไม่ใช่เหรอ? หรือว่าออกมาซื้อของ?” พวกเขาเดินคุยกันไปในขณะที่กลับไปยังตึกคณะ
“ผมเอาแบบมาให้อาจารย์ตรวจนั่นแหละครับ”
“หื๋ม?
วันนี้เนี่ยนะ? แล้วคุณจะกลับไปแก้ทันเหรอ?”
เอาแบบมาให้เขาตรวจเดี่ยววันนี้
แล้วพรุ่งนี้มีตรวจโดยอาจารย์ทั้งกลุ่มเนี่ยนะ?
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา
อาจารย์ไม่ได้เข้าคณะทุกวันนี่” ใบหน้ามนเอ่ยตอบในขณะที่ก้าวตามเขาขึ้นบันไดไปห้องพักอาจารย์ที่ชั้นสาม แสดงว่าจริงๆแล้วอาจจะทำแบบร่างเสร็จตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วก็ได้
แต่เป็นเพราะต้องรอวันที่เขาเข้าคณะซึ่งเป็นวันนี้จึงเพิ่งจะเอามาตรวจ? ร่างในกั๊กสูทสีเทาเข้มทำหน้าครุ่นคิดพลางวางของลงบนโซฟา
“คราวหลังคุณโทรบอกผมก็แล้วกัน
ถ้าผมอยู่แถวนี้ผมก็จะเข้ามาตรวจให้ หรือไม่คุณก็ไปที่ออฟฟิศผม”
“มันจะไม่รบกวนอาจารย์เกินไปเหรอครับ?”
“ไม่หรอก
แล้วมันก็ยังดีกว่าที่คุณต้องกลับไปแก้งานในคืนเดียวแบบนี้ด้วย คุณรบกวนผมได้
ผมเป็นอาจารย์ของคุณ”
“.......ถ้าผมหลงรักอาจารย์ขึ้นมาทำไงเนี่ย?” เจ้าเด็กโกธิคพังก์ยืนมองหน้านิ่งแต่ดวงตากลับเป็นประกาย
“ฮึ...ฮะฮะฮะ
คุณนี่นะ”
อาจารย์องศาขำพลางส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงาน
“ผมขอเก็บเอกสารแป๊บนึง
คุณเตรียมแบบรอไว้”
“อ่ะ
ครับ”
มือบางกวาดถุงใส่อุปกรณ์ตัดโมไปอีกฝั่งของโต๊ะเตี้ยก่อนจะกางแบบที่ม้วนอยู่ในซูมออกมา
ดวงตาคู่สวยลอบมองร่างสง่างามที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงาน
มือใหญ่ๆที่ดูแข็งแรงและอบอุ่นนั่นกำลังจัดเรียงเอกสารใส่ตู้ไม้ที่อยู่ด้านหลัง...ที่เขาพูดไปเมื่อกี้นี้มันก็มีความเป็นไปได้นี่นา...ถ้าอาจารย์องศายังดูแลเขาหรือใครสักคนดีขนาดนี้
ความใส่ใจของอาจารย์จะทำให้คนตกหลุมรักได้ง่ายๆเลยนะ
“ผมว่ามันดูเยอะไป”
เสียงทุ้มพูดออกมาหลังจากที่เห็นรูปด้านของเขา ขอถอนคำพูดเมื่อกี้ทันไหม?
นอกจากจะไม่ตกหลุมรักแล้วยังจะอยากโดดกัดคอด้วยซ้ำเวลาอาจารย์องศาตรวจแบบเนี่ย
“แต่โกธิคมันก็ต้องเยอะๆแบบนี้สิครับ” เสียงใสพยายามเถียง
“ถ้าคุณทำโบสถ์หรืออาคารทางศาสนาผมจะไม่ว่า
แต่อย่าลืมว่าคุณกำลังออกแบบโรงเรียนอนุบาลอยู่นะครับ
สิ่งแรกที่คุณควรให้ความสำคัญก็คือผู้ใช้งานอย่างเด็กๆนะ
ถ้าคุณใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมโกธิคเต็มรูปแบบ บัวแหลมๆพวกนี้ ซอกหลืบพวกนี้
สีที่อึมครึมพวกนี้ คุณว่ามันจะส่งผลดีต่อเด็กไหม?”
“...........” เถียงไม่ออกเลยแหะ มือใหญ่ที่ถือปากกาแดงไว้ในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก
อย่านะ อย่าวงลงไป~!
ฟึ่บๆๆ
“ก้อนพวกนี้ผมว่ามันไม่มีความจำเป็น
ยิ่งคุณเล่นระนาบเยอะ ซอกหลืบก็เยอะ เป็นอันตรายต่อเด็กเล็กๆนะ” แล้วก็ไม่ใช่แค่วงเดียว
อาจารย์องศาวงแดงมันรอบอาคารเลยทีเดียว...
“ถึงจะเป็นโรงเรียนอนุบาลของโบสถ์แต่ก็ใช่ว่าจะต้องใช้รูปแบบโกธิคแบบจัดเต็ม
ผมว่าลดทอนเหลือเป็นแบบร่วมสมัยก็พอ เพราะยังไงคนที่จะใช้งานก็คือเด็กเล็กๆ คุณควรคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของเด็กเป็นหลัก
ควรให้เด็กใช้งานได้สบายและควรให้มันดูผ่อนคลายมีชีวิตชีวามากกว่านี้”
“คุณลองทำโกธิคแบบสีขาวดูไหม?
จริงๆโกธิคก็มีProportion
มีสัดส่วนของมัน คุณคงProportionและรูปแบบหลักๆไว้
แต่ลองทอนลดองค์ประกอบและรายละเอียดลง อาจจะได้อาคารที่น่าสนใจและสบายขึ้น” มือใหญ่พับปลายกระดาษร่างขึ้นมาทาบทับก่อนจะเขียนเส้นซ้อนลงบนรูปด้านของเขา
อาจารย์องศาแก้อย่างไม่เกรงใจเลยว่าเขามีเวลาคืนเดียวในการทำแปลนและรูปด้านใหม่
แถมยังต้องตัดแมสโมเดลอีกต่างหาก!
“เหมือนคุณยังงงๆนะว่าต้องแก้ยังไง?”
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมามองหน้าเขาที่วิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
ก็เขานั่งปั้นรูปด้านอย่างโกธิ๊คโกธิคมาตั้งหลายคืน
แต่กลับถูกอีกฝ่ายล้มรูปด้านแล้วบอกให้ลดทอนให้มันสบายกว่านี้
โมเดิร์นกว่านี้เนี่ยนะ? ยังไงล่ะ?! ไม่เห็นจะเข้าใจเลย!
ฮืออออ
อยากจะร้องไห้แต่ก็ต้องฮึบเอาไว้!
“ฮึๆ...คุณทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เลย” นั่น!
อาจารย์องศายังมีหน้ามาหัวเราะเขาอีก! ใบหน้ามนเลยยิ่งงอง้ำเข้าไปใหญ่
“อืม...” อาจารย์องศาทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะมองนาฬิกา
“พอดีเลย” อาจารย์พึมพำก่อนจะหันมาถามเขาต่อ
“คุณจะขนของพวกนี้กลับยังไง?
คืนนี้สตูไม่ได้เปิดใช่ไหม? ต้องกลับไปทำที่บ้าน?”
ปกติแล้วการจะเปิดใช้สตูดิโอตอนกลางคืนจะต้องมีการขอทางคณะก่อน
ซึ่งส่วนใหญ่คณะจะเปิดให้เฉพาะวันที่มีส่งโปรเจคเท่านั้น การส่งแค่แบบร่างแบบนี้ยังขอใช้สตูไม่ได้
“ครับ...เดี๋ยวผมขนขึ้นเรือข้ามฟากไปครับ...” เขามองแบบที่ถูกแก้แดงเถือกอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ตอนนี้ยังไม่เข้าใจเลยว่าจะต้องแก้ยังไง
“เดี๋ยวก็ไปตกน้ำตกท่าเอาหรอก” องจารย์องศาหยอกเย้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ผมไปส่งคุณก็แล้วกัน
เก็บของเถอะ ส่วนแบบก็ลองแก้ตามที่บอกนั่นแหละ”
เอ๊ะ? จะไปส่งเหรอ? เขาไม่ปฏิเสธหรอกนะ
เขาเก็บแบบร่างม้วนใส่กระบอกซูมในขณะที่อาจารย์องศาเดินไปหยิบกุญแจรถที่โต๊ะทำงาน
เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่าเขามากหรือยังไงกันนะเขาถึงกล้าพึ่งพาโดยไม่คิดจะปฏิเสธแบบนี้
ท่อนแขนแข็งแรงคว้ากระดาษชานอ้อยแผ่นใหญ่กว่าสิบแผ่นนั่นไปถือให้
เขาจึงได้แต่หอบถุงใส่อุปกรณ์ที่เหลือเดินตามไป
แล้วในขณะที่เดินไปยังตรอกด้านหลังซึ่งอยู่ระหว่างวัดๆหนึ่งกับคณะของเขา
อาจารย์ก็โทรศัพท์คุยกับใครบางคนไปด้วย
“เดี๋ยวผมไปรับเด็กๆเอง...อื้อ...อื้อ”
ความสุภาพของอาจารย์องศาดูจะลดลงเมื่อคุยกับคนที่ปลายสายซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร
แต่น่าจะเป็นคนใกล้ตัวหรือไม่ก็คนในครอบครัว?
เมอร์ซิเดสเบนซ์สีขาวขับออกจากตรอกแคบๆนั่นไป
ทว่า หลังจากวนรอบสนามหลวงมันกลับไม่ได้จะเลี้ยวไปทางสะพานปิ่นเกล้าแต่ไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย?
ใบหน้ามนจึงหันมองใบหน้าหล่อเหลาเลิ่กลั่ก
จะพาเขาไปไหนเนี่ย? ไม่ได้จะพากลับไปส่งที่บ้านนี่?
“เอ่อ...อาจารย์จะไปไหนเหรอครับ?
ถ้ามีธุระก็ให้ผมลงขึ้นแท็กซี่ตรงนี้ก็ได้...”
เขามองพระบรมรูปทรงม้าที่รถขับผ่านอย่างมึนงง
“ผมจะพาคุณไปดูงาน
คุณจะได้เข้าใจมากขึ้นว่าจะต้องแก้แบบยังไง”
หื๋ม? ดูงาน?
แล้วไม่นานนัก
เจ้ารถสีขาวก็มาจอดอยู่หน้าโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง!
อ๋อ~
จะพาเขามาดูโรงเรียนอนุบาลนี่เอง~
ปึง
มือบางปิดประตูรถก่อนจะรีบก้าวตามร่างสูงใหญ่ไป
น่าจะใกล้เวลาเลิกเรียนเพราะมีผู้ปกครองมารอรับเด็กๆอยู่เต็มไปหมด
แถมเสียงเจี๊ยวจ๊าวก็ดังมาจากข้างในรั้วโปร่งซึ่งมีเด็กตัวเล็กๆตั้งแถวรอกลับบ้านกันอยู่
เป็นความชุลมุนวุ่นวายที่ดูคล้ายๆฝูงลูกเจี๊ยบยังไงอย่างงั้น เขาได้แต่มองภาพอันแปลกใหม่นั่นอย่างทึ่งๆ
จริงอย่างที่อาจารย์องศาว่า
เขานึกภาพเจ้าลูกเจี๊ยบพวกนี้กับอาคารโกธิ๊คโกธิคของเขาอยู่ร่วมกันไม่ออกเลย...
“อ๊ะ
คุณอา~!”
จู่ๆอาจารย์องศาก็โบกมือให้เด็กคู่หนึ่งซึ่งอยู่ในแถว
เด็กสองคนนั้นหน้าตาเหมือนกันมาก...น่าจะเป็นฝาแฝด?
“นั่น...ลูกอาจารย์เหรอครับ?”
เพราะเขาไม่ทันฟังว่าเด็กสองคนนั้นเรียกอาจารย์องศาว่าอะไรจึงถามออกไปแบบนั้น
ดวงตาของเขายังถูกเด็กแฝดคู่นั้นดึงดูดเอาไว้อยู่...
อ๊ากกกก!
น่ารักอย่างกับตุ๊กตาเลย!!
“ไม่ใช่ลูกของผมหรอก
ลูกของพี่ชายผม” อาจารย์องศาตอบพร้อมกับเสียงขำที่เขาเข้าใจไปแบบนั้น
“หลานอาจารย์นี่เอง
น่ารักมากเลยครับ” นี่มันตุ๊กตาชัดๆ! เขามองเด็กสองคนตาเป็นประกายเหมือนได้เห็นดอลล์ตัวใหม่
ได้ยินเสียงคุณครูอนุบาลขานชื่อก่อนที่ผู้ปกครองของเด็กจะเดินไปรับ
แต่พอถึงคิวของเด็กแฝด อาจารย์กลับไปพูดคุยอะไรกับคุณครูอยู่ครู่หนึ่ง
“พายุ
มานี่สิ”
ใบหน้าหล่อเหลาหันมาเรียกเขาก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโรงเรียน อ้าว?
ไม่ได้จะมารับเด็กๆกลับบ้านแค่นั้นหรอกเหรอ?
“คุณอา
พี่สาวคนนี้ใคร?”
เด็กแฝดที่จับมืออาจารย์องศาคนละข้างหันมามองเขาก่อนจะถามด้วยเสียงใส
“ไม่ใช่พี่สาว
แต่เรียกว่าพี่พาย สวัสดีครับพี่พายก่อน”
อาจารย์องศาก้มลงไปสอนเด็กๆด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
แต่แก้มของเขากลับร้อนขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ...กับแค่ได้ฟังเสียงทุ้มนั่นเรียกชื่อเล่นของเขาออกมา...
“สวัสดีครับพี่พาย~” เด็กๆหันมาสวัสดีอย่างว่าง่าย
แล้วดูเด็กแฝดก็สนใจเขาอยู่ไม่น้อยถึงได้จ้องเอาๆแบบนั้น
“เดี๋ยววันนี้เราจะพาพี่พายเดินดูโรงเรียนกัน
ไหนเราสองคนลองพาพี่เค้าไปดูซิว่าตรงไหนใช้ทำอะไร” อาจารย์องศาให้เด็กๆเป็นไกด์ให้ มือเล็กๆนั่นจึงย้ายมาจับมือเขาแล้วลากให้เดินตามไปโดยมีอาจารย์องศาเดินตามอยู่ห่างๆ
เขาหันไปมองอย่างไม่แน่ใจ
แต่อาจารย์องศาก็พยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม
มือเล็กๆจูงเขาไปที่สนามเด็กเล่นก่อนจะพูดเจื้อยแจ้วว่าชอบตรงนี่ที่สุด
ก่อนจะพาไปที่ห้องเรียนแล้วพยายามอธิบายนู่นนี่นั่นตามประสาเด็ก
พาไปดูอ่างล้างมือก่อนจะสาธิตวิธีใช้ให้เขาได้อมยิ้ม
พาไปดูผลงานการปั้นดินน้ำมันที่ถูกตั้งไว้ในตู้โชว์
พาไปดูโรงอาหารและที่ทานข้าวพร้อมกับบอกว่าบลอคโคลี่นั้นไม่อร่อยเลย
พาไปดูห้องที่ใช้นอนกลางวัน พาไปดูห้องน้ำและอ่างล้างหน้า
พาไปดูห้องดนตรีและเวทีเล็กๆในหอประชุม พาไปดูแปลงผักและกรงกระต่าย
และการได้เดินตามเด็กทั้งสองไปจนทั่วก็ทำให้เขาถึงบางอ้อในหลายๆจุด
เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเด็กๆต้องการอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สิ่งที่เขาออกแบบไปนั่นเป็นมุมมองของผู้ออกแบบอย่างเดียว
แต่ยังไม่ได้คำนึงถึงคนที่จะต้องใช้งานอย่างเด็กน้อยพวกนี้เท่าไหร่เลย
ตอนนี้เขาจึงพอจะเข้าใจแล้วว่าเขาควรจะแก้แบบยังไง
เข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์องศาถึงพยายามปรับแบบของเขาให้เป็นแบบนั้น
ดวงตาสีดำเหลือบมองแผ่นหลังกว้างที่เดินจูงเด็กแฝดอยู่ข้างหน้า
ความรู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายช่วยเขาถึงขนาดนี้ก็เป็นเรื่องปกติที่เขาควรจะมีอยู่แล้ว
แต่ความรู้สึกอีกอย่างที่อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไรกลับค่อยๆแทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเขาเช่นกัน
“แล้วมาเล่นกันใหม่น้าพี่พาย~” มือน้อยๆทั้งสองคู่โบกให้เขาเมื่ออาจารย์องศาพาเด็กๆมาส่งให้พี่เลี้ยงซึ่งอยู่ในบ้านของพี่ชายอาจารย์
“อื้ม” เขาจึงโบกมือกลับไป น่ารักจนอยากจะอุ้มกลับบ้านเลยจริงๆ
เมอร์ซิเดสเบนซ์สีขาวออกเดินทางอีกครั้ง
แต่ดูเหมือนมันก็ยังไม่ใช่บ้านของเขา?
“ผมหิวแล้ว
คุณทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนผมหน่อยก็แล้วกัน”
“เอะ?” เขายังไม่ทันจะได้คัดค้านหรือตอบรับอะไร
อาจารย์องศาก็หมุนพวงมาลัยให้เจ้ารถสีขาวเลี้ยวออกนอกเส้นทางที่จะขึ้นสะพานปิ่นเกล้าแล้วตรงเข้าไปยังถนนพระอาทิตย์แทน
ร้านอาหารไทยที่ดูราคาแพงแห่งหนึ่งคือเป้าหมายของเจ้ารถคันนั้น
อาจารย์องศาสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่วซึ่งเขาก็ไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้วถ้าอีกฝ่ายจะเป็นคนเลี้ยง
“คืนนี้คุณคงไม่ได้นอนอีกแล้วสินะ
ต้องแก้ทั้งแปลนทั้งรูปด้านเยอะขนาดนี้ แล้วจะตัดแมสทันไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาในขณะใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือ
แมสที่ว่านั่นก็คือแมสโมเดล เป็นโมเดลแบบร่างที่เอาไว้ดูสัดส่วนและก้อนของอาคารให้ลงตัว
เพราะบางทีการเขียนอยู่แต่ในกระดาษก็อาจจะนึกรูปอาคารที่เป็นสามมิติได้ยาก
การตัดโมเดลง่ายๆขึ้นมาดูก่อนก็จะทำให้เห็นสัดส่วนได้ชัดเจนขึ้น
“ก็ยังดีกว่าไม่ได้มานะครับ
บอกตามตรงว่าหลังจากที่อาจารย์ให้แก้เมื่อตอนบ่ายผมยังมึนอยู่เลยว่าจะต้องแก้ยังไง
แต่หลังจากได้ไปเห็นโรงเรียนอนุบาลจริงๆกลับเข้าใจแล้วว่าจะต้องแก้ตรงไหน
แค่รู้ว่าต้องแก้ยังไงที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหา”
“อีกอย่าง
แมสก็ไม่ต้องแข็งแรงจริงจังอะไรมากนี่ครับ เดี๋ยวพวกอาจารย์ก็ดึงกันกระจุยอยู่ดี
หึ” เขายิ้มมุมปากอย่างเย้าแหย่
“ตั้งใจว่ายังไงก็ได้โดนแก้อยู่ดีสินะ” อาจารย์องศากลับยิ้มรับ
“งั้นอาจารย์ก็อย่าแก้สิครับ”
“คงจะไม่ได้ละ” เขายู่หน้าให้จนอาจารย์องศาหลุดหัวเราะออกมา
“เอาแค่แมสใหญ่ๆมาดูภาพรวมก่อนก็แล้วกัน
ยังไม่ต้องลงรายละเอียดมากนักก็ได้”
“ครับ”
ติ๊ง
เสียงไลน์ดังมาจากโทรศัพท์มือถือของอาจารย์องศา
มือใหญ่จึงหยิบขึ้นมาดูเผื่อว่าจะเป็นเรื่องงาน ทว่า
รูปที่ขึ้นหราบนหน้าจอกลับเป็นรูปของเด็กแฝดหลานชายของอาจารย์ที่กำลังยกแขนให้คุณแม่ถอดเสื้อให้เตรียมจะอาบน้ำกันอยู่
[อาบน้ำเรียบร้อยแล้วค้าบ ขอบคุณที่ไปรับนะครับคุณอา~]
อาจารย์องศาอมยิ้มบางๆในขณะที่มองรูป
“หลานอาจารย์น่ารักมากเลยนะครับ
อย่างกับตุ๊กตาเลย”
ดวงตาสีดำเหลือบมองรูปที่อยู่ในหน้าจออย่างเอ็นดู
“ตอนคุณเด็กๆ
คุณก็เหมือนตุ๊กตานะ” ตอนนี้ก็ยังเหมือน...นั่นคือสิ่งที่อาจารย์องศาได้แต่คิดอยู่ในใจ
“....?....อาจารย์...เคยเจอผมตอนเด็กๆด้วยเหรอครับ?” กลับเป็นใบหน้ามนที่อึ้งไปเพราะตนไม่มีความทรงจำอยู่เลยว่าเคยเจออาจารย์ด้วย
“เคยเจอ...ตอนที่ไปงานศพของคุณแม่คุณ...ผมพูดถึงได้รึเปล่า?”
“หมายถึงแม่เหรอ?
ได้ครับ ความทรงจำของแม่ก็มีแต่ในรูปถ่ายเท่านั้น
ผมจำอะไรเกี่ยวกับแม่แทบไม่ได้เลย คนที่คอยวุ่นวายกับผมก็มีแค่พ่อเท่านั้นแหละ”
“คุณพ่อคุณเป็นรุ่นพี่ที่มีชื่อเสียงมากในคณะสถาปัตย์ของเรา
ใครๆก็รู้จัก คนในคณะก็เลยไปกันเกือบหมด”
แล้วรุ่นพี่พิภพ ธารธารากุลก็ยังเป็นสถาปนิกที่เก่งและประสบความสำเร็จมากที่สุดอีกด้วย
จึงมีแต่คนนับถือ
“ตอนนั้นคุณเกาะติดคุณพ่อไม่ปล่อยเลย
น่ารักมากๆ”
ถึงจะเป็นความทรงจำที่เลือนรางเพราะผ่านมานานมากแล้วแต่เขาก็ยังจำความประทับใจในภาพที่เห็นนั่นได้เป็นอย่างดี
มันเป็นวันที่โศกเศร้าและมีแต่ความเสียใจในการจากไป
แต่พี่ภพที่จับมือเด็กน้อยไม่ปล่อยก็ทำให้ใครที่ได้เห็นรู้สึกซาบซึ้งมากๆ
เขาจ้องมองใบหน้ามนที่เกาแก้มอย่างเขินๆ
“แต่นึกถึงตอนอาจารย์จูงหลานแล้วผมก็ได้แต่สงสัย ว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่มีลูกกันนะ?” พายุชวนเขาคุยในระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ
“ก่อนจะมีลูกผมควรจะมีแฟนก่อนไหม?” เขาตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร
“นั่นสิ แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่มีแฟน? เอ๊ะ? อาจารย์ยังไม่มีแฟนเหรอครับ?”
เจ้าเด็กตรงหน้าดูตกใจมาก
“ครับ” เขายอมรับไปตรงๆ
ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคบกับใคร แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่
จนหลังๆก็มัวแต่ทำงานจนไม่ได้สนใจเรื่องนี้ไปเลย
“ทำไมล่ะ? อย่างอาจารย์ก็น่าจะมีคนมาชอบเยอะนี่นา...หรือว่า...อาจารย์มีปมอะไรรึเปล่า?
อย่างเช่นร่างกายแบบว่า...” ใบหน้ามนอึกๆอักๆจนเขานึกขำ
“ฮึ...ไม่มีปมอะไรทั้งนั้นแหละ
แล้วร่างกายผมก็สบายดี”
“ผมก็แค่...อืม...คนแบบที่ผมชอบอาจจะไม่มีอยู่จริงบนโลกก็ได้มั้ง?” ที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันจึงตอบไปแบบนั้น
“เห๋~
เพราะอาจารย์เป็นเทพบุตร เลยชอบเทพธิดางี้เหรอ?”
“อุ๊บ
ฮ่าๆๆ” คิดได้ยังไงเนี่ย...เขาหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่
เขาสังเกตตัวเองมาสักพักแล้วว่าเขามักจะสบายใจและยิ้มได้อยู่เสมอเวลาคุยกับพายุ
“ก็เทพธิดาไม่มีอยู่จริงนี่?”
“ใครว่าละ....” เขาพยายามหยุดหัวเราะก่อนจะหันมาจ้องใบหน้ามน
ดวงตานุ่มลึกสบประสานเข้าไปในดวงตากลมใสคู่นั้นราวกับต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่าง
“...ผม...อาจจะชอบแบบเดวิลตัวน้อยๆ...ไม่ใช่แบบเทพธิดาก็ได้นะ...”
“เดวิล...ก็ไม่มีอยู่จริงนี่?”
ร่างโปร่งบางได้แต่นิ่งอึ้งไป
...คงไม่ได้...หมายถึงแบบเขาใช่ไหม?
“ขอบคุณครับอาจารย์” ร่างโปร่งบางก้มตัวลงไปพูดกับกระจกประตูรถที่ถูกเลื่อนลง
อาจารย์องศาพาเขามาส่งที่หน้าบ้านในที่สุด
เขายืนมองตามไฟท้ายรถที่ค่อยๆแล่นหายไป
ในขณะที่ไอ้เพื่อนอีกสี่ตัวก็รวมหัวมองเขามาจากหน้าต่างที่ชั้นสองเช่นกัน
“นั่นรถอาจารย์องศาป่ะ?
อาจารย์มาส่งมึงอีกแล้วเหรอ?” พวกมันย้ายมายืนเรียงแถวหน้าสลอนกันอยู่ที่บันไดเมื่อเขาเข้าบ้านไป
“เออ
กูเพิ่งไปตรวจแบบกับอาจารย์มา อาจารย์กลัวว่ากูจะตกน้ำตกท่าเลยมาส่ง เพื่อนที่แสนดีของกูก็ไม่มีไปช่วยขนของสักคนเลยนี่”
“โห~
เดี๋ยวนี้กล้าประชดพี่ๆแล้วเหรอเจ้าเด็กน้อย~” ไอ้เก้าก้าวขาพรวดลงมาล็อคคออย่างหมั่นเขี้ยวแล้วดึงกระดาษไปช่วยถือ
“แต่มึงนี่ก็สุดตีนเลยนะ
วันแบบนี้ยังจะไปตรวจแบบอีก ไม่โดนแก้บานเลยเหรอเนี่ย? แล้วจะตัดแมสทันไหม?” ไอ้ภาคถามพลางดึงถุงพะรุงพะรังไปถือให้
“เออ
แต่อย่างน้อยกูก็รู้แระว่าจะต้องแก้อะไร”
“นึกว่ามึงจะโดนอาจารย์องศารังแกร้องไห้กลับมาอีกนะเนี่ย
ฮ่าๆๆ” ไอ้เก้าแซว
“อาจารย์เค้าดูแลกูเป็นอย่างดีเฟ้ย
หลีกไปเลยกูต้องรีบปั่นแล้ว”
“....ดูแลดีมากเลยนะเนี่ย
แก้ซะยับขนาดนี้ ฮ่าๆๆ” ไอ้ธีร์หัวเราะร่วนเมื่อหยิบแบบร่างไปดู
เขาได้แต่แสยะยิ้มไม่บอกพวกมันหรอกว่าอาจารย์องศาพาเขาไปไหนมาบ้าง หึ!
“ถ้าไม่ทันเดี๋ยวกูช่วยตัดก็ได้นะ
แมสมึงอ่ะพาย” ไอ้ไม้พูดด้วยสีหน้าชิวๆ
“มึงทำของตัวเองก่อนไหม?
กูเห็นยังมีแต่ฐานอยู่เลยนะ ฮ่าๆ”
ไอ้ธีร์ว่าให้
“เออน่า
ของกูอ่ะสบายๆ”
“มึงก็สบายตลอดอ่ะ”
“พายมึงแดกข้าวมายัง?
พวกกูจะสั่งพิซซ่า”
“กินแล้ว
แต่กูจะแย่งพวกมึงกินอีก!”
“สัสนี่”
เสียงเพลงสกาเรกเก้ที่ดังมาจากห้องไอ้ภาคคละเคล้าไปกับเสียงทีสไลด์ที่ลากอย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้ไอเดียในหัวของเขากำลังแล่นเต็มที่
แกร่กๆๆ
โม่เหลาดินสอถูกหมุนอย่างไม่ทันใจก่อนที่ดินสอเขียนแบบร็อตติ้งสีดำจะถูกขีดลงไปบนกระดาษแบบร่างใหม่
แบบแปลนที่ดูผ่อนคลายขึ้นค่อยๆถูกเขียนเป็นรูปเป็นร่าง เหลี่ยมมุมที่ดูอันตรายถูกลบออกไป
รวมถึงระนาบที่ไม่จำเป็นก็ด้วย จากแปลนยุบยับยึกยักค่อยๆดูเรียบง่ายลงตัวขึ้น
ฟึ่บ
กระดาษอีกแผ่นถูกวางทาบไว้ด้านบน
โต๊ะดร๊าฟไฟขนาดใหญ่ถูกปรับให้เอียงมากขึ้นเมื่อต้องปีนขึ้นไปเขียนส่วนที่อยู่สูงขึ้นไป
เส้นร่างบางๆถูกลากต่อจากแปลนขึ้นไปเพื่อขึ้นเป็นรูปด้านที่เข้าสเกล
ตอนนี้เขามีรูปร่างของอาคารอยู่ในหัวแล้ว
เพราะงั้นจึงเขียนมันออกมาได้อย่างรวดเร็ว ตรงไหนที่อาจารย์บอกว่าเตี้ยไปหรือสูงไปเขาก็ลองปรับใหม่ให้มันดูสมส่วนมากขึ้น
ต้องขอบคุณอาจารย์องศาจริงๆที่พาเขาไปดูโรงเรียนอนุบาล
ไม่อย่างงั้นเขาก็คงจะวนอยู่กับความคิดเดิมๆ แล้วพอมันตัน มันคิดไม่ออก
งานก็จะช้าลงมาก
เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัวเลย
เขาแทบจะใช้พลังทั้งหมดไปกับสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา
แต่ในที่สุดรูปด้านหน้าก็เสร็จสมบูรณ์
อืม...มันดูลงตัวขึ้นจริงๆด้วยแหะ
ดูสบายขึ้น ดูเฟรนลี่สมกับที่เป็นโรงเรียนอนุบาลมากขึ้น
แต่ถึงอย่างงั้นกลิ่นไอของโกธิคก็ยังคงอยู่
“พาย
ไปเซเว่นกันไหมวะ?”
เสียงทักดังมาจากไอ้ภาคที่เดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องของมัน เขาจึงหันไปมองนาฬิกา
ตายห่า ตีสองแล้วนี่หว่า ยังไม่ได้ขึ้นรูปด้านที่เหลือเลย
ไม่ต้องพูดถึงแมสโมเดลที่ยังเป็นแค่กระดาษชานอ้อยแผ่นๆอยู่เลย...
“ไปดิ” แต่ริมฝีปากก็ตอบไปแบบนั้น
การไปเซเว่นก็เป็นการผ่อนคลายทำให้หายง่วงได้อย่างหนึ่ง
เพราะจริงๆแล้วก็ไม่ได้จะไปซื้ออะไรหรอก
“โห~ โมมึงจะเสร็จแล้วนี่หว่าไอ้เก้า~ กูนั่งทับได้ไหมวะ?”
เขาเดินเข้าไปแซวไอ้เก้าที่กำลังตัดแมสโมเดลอยู่แล้วก็ดูจะคืบหน้ามากกว่าคนอื่นๆในบ้าน
“มึงกล้าเหรอ?” ใบหน้าเถื่อนๆหันมาแสยะยิ้ม
มืออันใหญ่โตของมันแค่หยุมลงมาบนหัวเขาก็กำแทบมิดแล้ว
“ไปเซเว่นกัน” เขาชวนมัน
“เออ” ไอ้เก้าวางคัตเตอร์ลงก่อนจะเดินตามออกมา
แล้วก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ปิดประตูห้องกัน
เสียงหัวเราะดังลั่นจึงดังมาจากห้องที่ไอ้ธีร์มันสิงอยู่
“ฮ่าๆๆๆ
ก้อนเชี่ยอะไรของมึงวะเนี่ย เหมือนก้อนขี้เลย ฮ่าๆๆ” เสียงไอ้ภาคหัวเราะดังสนั่น
“ขี้อะไรไอ้ห่า
นี่มันคองๆโว้ย คิงคองเจ้าป่าของเด็กๆน่ะ! มึงนี่ไม่มีจินตนาการเลย!” เสียงด่าดังปนเปไปกับเสียงแซว
พวกเขามักจะเดินไปดูงานของกันและกันอยู่ตลอด
หนึ่งเพื่อกันใครเผลอหลับไปจะได้ช่วยกันปลุก สองคอยกระตุ้นกันให้ทำงานและถ้าเห็นงานดีๆก็จะได้มีไฟไปด้วย
สามคือเอาไว้หัวเราะคลายเครียดแบบนี้แหละ ฮ่าๆ
“ไอ้ไม้ล่ะ?” เขาถามเมื่อไอ้ภาคไปลากไอ้ธีร์ออกมา
“ลงไปรออยู่หน้าประตูแล้ว”
“เรื่องไปเซเว่นนี่ไวเชียวนะมึง” ไอ้ธีร์ตะโกนลงไปแซวไอ้ไม้ที่ยืนหาวหวอดอยู่หน้าประตูบ้าน
“มึงมองอะไร
กูไม่ให้นะ อันนี้อันสุดท้าย” เปล่า
พวกเขายังเดินไม่ถึงเซเว่นและไม่ได้แย่งขนมชิ้นสุดท้ายจากบนชั้นขายของ
แต่สิ่งที่เขามองอยู่คือที่คาดผมบนหัวไอ้ธีร์ต่างหาก
“กูรู้ว่ามึงยังมีที่คาดผมคิตตี้อยู่อีกหลายอัน
เพราะงั้นเอาอันนี้มาให้กู” ถึงจะไม่ยาวเท่าเขาแต่ผมกัดสีของไอ้ธีร์ก็ไม่ได้สั้น
ผมหน้ามันจึงเกะกะเวลาเขียนแบบอยู่เหมือนกัน
มือบางเอื้อมไปดึงที่คาดผมสีดำนั่นมาก่อนจะคาดลงไปบนหัวตัวเอง
“มึงเป็นจอมมารรึยังไงเนี่ย?!
พ่อมึงก็ออกจะรวย ให้ซื้อที่คาดผมให้ซักโหลนึงสิโว้ย มาแย่งของกูอยู่ได้!” ไอ้ธีร์โวยวายทำให้ทางเดินไปเซเว่นที่แสนยาวไกลไม่เงียบเหงาอีกต่อไป
“พ่อกูซื้อให้แล้วไม่โวยวายแบบมึงไง
เลยไม่สนุก ฮ่าๆๆ”
“เชี่ยนี่”
ท้องฟ้าที่เคยมืดสนิทค่อยๆมีสีส้มจางๆ
แม่น้ำที่มองแทบไม่เห็นค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเข็มสั้นของนาฬิกาที่ค่อยๆเดินมายังเลขหก
[อรุณเบิกฟ้า~ นกกาโบยบิน~]
“ห่า
ใครเปิดเจ้าขุนทองวะ?! มึงเปลี่ยนเลยนะ กูจะดูเกราะเพชรเจ็ดสี!” ธีร์โวยวายเมื่อได้ยินเสียงเพลงสุดคลาสสิคที่ภาคเปิดแกล้งจากในยูทูบ
“มันฉายวันเสาร์อาทิตย์โว้ย” เสียงทุ้มของภาคตะโกนตอบข้ามห้องกลับมา
“รู้อีกนะมึงอ่ะ
ฮ่าๆๆ” ธีร์หัวเราะร่วนก่อนจะชะโงกหน้าออกมามองห้องที่ดูจะเงียบไป
“ไอ้เชี่ยพายหลับไปแล้ว!
เก้ามึงไปลากมันออกมาจากเตียงดิ๊ เดี๋ยวอาจารย์องศาพ่อมันก็ขย้ำคอตายหรอก
แมสมันยังไม่ถึงไหนเลย” ธีร์ตะโกนบอกเก้าที่อยู่ห้องถัดไป
“เออ...กี่โมงแล้ววะ...กูจะตายแล้วเนี่ย...”
“มึงยังตายไม่ได้
มึงต้องไปปลุกไอ้พายก่อน” ร่างสูงเกือบเท่าประตูเดินโงนเงนอย่างง่วงๆเข้าไปในห้องที่มีแต่ชิ้นส่วนตุ๊กตา
“.....พายลูกพ่อ
ตื่นเร้วววว ถ้ามึงไม่ตื่นกูจะเอาลูซิเฟอร์โยนลงแม่น้ำเจ้าพระยานะ” มือที่เส้นเลือดขึ้นชัดพยายามดึงหัวสีดำออกจากตุ๊กตากระต่ายที่ใช้แทนหมอน
“อือ....” ท่อนแขนบางถูกมือหนาดึงให้ลุกขึ้นมานั่งจนได้
“มึงนั่งนะ
แล้วมึงก็ลืมตา ลืมตาเร็วเข้า มึงต้องแข็งใจไว้ มึงยังตัดโมไม่เสร็จ”
“อือ...กูไม่เอาแล้วได้ไหม...”
“ไม่ได้~
มึงนึกถึงหน้าพ่อมึงไว้สิ~
พ่อมึงที่อุ้มราฟาเอลยืนอยู่ขั้วโลกน่ะ”
“อือ...โอย...กูต้องทำเพื่อลูก...โอย...จะปล่อยพ่อใจยักษ์เอาลูกกูไปทิ้งไม่ได้...โอย...แต่กูก็ไม่ไหวแล้ว...” ใบหน้ามนโอดครวญไปหัวเราะอย่างคนเพิ่งตื่นไป
คนที่มองอยู่ก็ขำกันยกใหญ่ สภาพ...
“ป่ะ ลุกไปล้างหน้ากันนะลูกพ่อ กุ๊กๆๆ”
“กูไม่ใช่ไก่~”
“งั้นเจี๊ยกๆๆก็ได้”
“ไม่เอา~ กูไม่เป็นลิง~”
“งั้นมึงจะเป็นอะไร? แมวไหม? เมี้ยวๆๆ~”
“อื้อ แมวก็ได้~ ฮืออออ”
“เชี่ยพายตอนงอแงไม่ยอมตื่นนี่ตลกชิบหาย พ่อมันเลี้ยงมายังไงวะ ฮ่าๆๆๆ” ธีร์หัวเราะจนไหล่สั่น
“ก็น่าจะเลี้ยงอย่างที่ไอ้เก้ามันทำนั่นแหละ อุ๊บ ฮึๆ ฮ่าๆๆ” แล้วภาคก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปพ่นหัวเราะออกมาไม่หยุด
“ถ้ากูไม่รู้จักไอ้พาย กูก็คงจะยังคิดว่าอาภพเป็นสถาปนิกตัวพ่อหล่อๆเท่ห์ๆอยู่นะ
ฮ่าๆๆ” ก็ใครจะไปคิดว่าสถาปนิกหนุ่มไฟแรงที่เป็นเจ้าของออฟฟิศเต็กขนาดใหญ่จะมีสภาพแบบนี้เวลาเลี้ยงลูกชาย
คนที่มีโครงการก่อสร้างอภิมหาโปรเจคเป็นสิบๆโปรเจคต่อปีอยู่ในมือ
มีเงินหมุนเป็นสิบเป็นร้อยล้านนั่นจะมาจับตุ๊กตาเป็นตัวประกัน แถมตามติดชีวิตลูกชายอย่างกับสิงอยู่ต้นไม้หน้าบ้านยังไงอย่างงั้น
“อือ คิกๆๆ” ภาคพยายามจะหยุดหัวเราะอย่างเต็มที่แต่ก็ทำไม่ได้สักที
ยังดีที่กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างลอยมาดึงความสนใจไป
“กูต้มโจ๊กไว้
ใครจะแดกบ้าง” ไม้ถือหม้อโจ๊กหมูสับหอมฉุยเดินขึ้นบันไดมา
“มึงนี่ก็ยังมีกะใจไปต้มโจ๊กอีกนะ
จะชิวไปไหนเนี่ย” ภาคแซวขำๆเพราะไม้ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่ง
เป็นเพราะไม่รู้ร้อนรู้หนาวหรืออยากหนีจะความจริงกันแน่ก็ไม่รู้
“จะแดกไหม?”
“แดก!” ธีร์พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ต้องถามซ้ำ
แล้วตำนานโจ๊กหม้อเดียวกันก็ยังคงดำเนินต่อไป
พอได้ล้างหน้าล้างตาลุคเท่ห์ๆคูลๆของเขาก็กลับมา
ร่างโปร่งบางนั่งลงหลังโต๊ะเขียนแบบที่มีแมสโมเดลซึ่งยังไม่เสร็จตั้งอยู่อีกครั้ง
เหลือเวลาอีกสองชั่วโมง ประกายวิ้งวับแว่บออกมาจากใบคัตเตอร์คมกริบในมือ เสร็จ
มันต้องเสร็จ!!
แล้วเขาก็ตัดโมราวกับผีเข้า
ฐานที่เคยว่างเปล่าก็มีโมเดลอาคารขาวๆมาตั้งอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บๆๆ
กระดาษชานอ้อยถูกตัดแบ่งอย่างแม่นยำก่อนจะประกอบเป็นหลังคาจั่วที่ลาดเอียงลงมา
ช่องเจาะต่างๆถูกซ้อนด้วยpvcใสทั้งๆที่ไม่ต้องใส่ก็ยังได้
อาคารที่รักษารูปทรงและสัดส่วนแบบโกธิคไว้แต่ลดทอนองค์ประกอบลงกลับดูสวยงามลงตัวทั้งๆที่ยังเป็นแค่แมสโมเดล
“เชี่ย...งานไอ้พายแม่งโคตรสวยอ่ะ
นี่อาจารย์องศาจับมือมึงเขียนป่ะเนี่ย?”
ไอ้ธีร์ถึงกับเอ่ยปากชมเมื่อเดินเข้ามาดู
“กูคิดเองโว้ย” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“มึงจะเอา
A อีกแล้วเหรอวะ?” ไอ้ภาคเท้าแขนลงที่เบาะรองหลังของเก้าอี้เขียนแบบ
“กูต้องได้
A เท่านั้นว่ะ ขอโทษด้วย ฮ่าๆๆ”
“น่าหมั่นไส้ชิบหายอ่ะ
ไอ้คนที่ร้องไห้เพราะโดนล้มแบบนั่นอยู่ไหนแล้ววะ” ไอ้ธีร์แซว
“กูไม่ได้ร้อง~”
“เฮ้ย
เก็บของไปได้แล้วโว้ย เดี๋ยวไม่ทัน!”
ไอ้เก้าเริ่มเดินไล่ไปตามห้องเพื่อแงะทุกคนออกมา แปดโมงกว่าแล้วตอนนี้
ถึงจะเป็นการตรวจแบบร่างแต่เพื่อความยุติธรรม
อาจารย์ก็จะให้เอาทั้งแบบและทั้งแมสโมเดลไปวางไว้ในห้องตรวจแบบตั้งแต่เช้าเพื่อไม่ให้คนที่เลขรหัสหลังๆมีเวลาทำงานมากกว่าเพื่อนคนอื่น
มือบางแกะแบบออกจากโต๊ะดร๊าฟก่อนจะรีบม้วนใส่ซูม
เขาไม่ลืมยัดกาวกับแผ่นหลังคาที่ยังติดไม่เสร็จใส่กระเป๋าไปด้วย
เรือข้ามฟากก็เรือข้ามฟากวะ ตัดโมบนนั้นเขาก็ทำได้!
“เร็วๆไอ้พาย
ไอ้ไม้ล่ะ?”
ไอ้เก้าเร่งอยู่หน้าประตูบ้าน เขาหยิบโมเดลแบบร่างแล้วรีบวิ่งลงบันไดไป
ส่วนไอ้ไม้นั้นไอ้ภาคกับไอ้ธีร์กำลังไปช่วยมันโกยของลงกระเป๋าอยู่
“ไอ้พวกตองเก้า
มึงอยู่ไหนกัน? รีบมาเร็วๆอาจารย์จะปิดห้องแล้ว!” หัวหน้าชั้นปีถึงกับต้องโทรมาตาม
ส่วนตองเก้าคือชื่อแก๊งของพวกเขาห้าคนที่เพื่อนในชั้นปีมันเรียกกัน
ก็มาจากเลขทะเบียนรถมินิของเขาเอง 5ก-999
ที่พวกเขาห้าคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันด้วยรถคันนี้ตอนอยู่ปีหนึ่งที่นครปฐม
“ท่าพระจันทร์
มึงช่วยสกัดขาอาจารย์ไว้ก่อนนะ” ไอ้เก้าตอบไปแบบนั้นทั้งๆที่พวกเขายังไม่ถึงท่าปิ่นเกล้าเลยด้วยซ้ำ!
“มึงวิ่งเลย!” ไอ้เก้าตะโกนบอกเมื่อทุกคนออกจากบ้านครบแล้ว
แขนข้างหนึ่งสะพายซูม มืออีกข้างก็ถือโมเดลวิ่งหน้าตั้งไปยังท่าเรือข้ามฟาก
ยังดีที่พวกเขาขายาวเลยวิ่งกันไว ก็ในกลุ่มมีเพียงเขาเท่านั้นที่สูงแค่173 นอกนั้นพวกมันสูงเกิน180กันหมด
เขายังเอาหลังคามานั่งติดบนเรือต่ออย่างที่บอก
จากนั้นก็ต้องแบกโมเดลวิ่งฝ่าฝูงชนจากท่าพระจันทร์มายังมหาวิทยาลัยที่อยู่ตรงหน้าพระลานอย่างไม่ได้หายใจหายคอ
“เซฟ!” พวกเขาทั้งห้ากระโดดพรวดเข้าไปในห้องก่อนที่ประตูจะถูกปิดลงแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...” เขาถึงกับต้องก้มลงหอบหายใจอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
นอนก็ไม่ได้นอนแล้วยังต้องมาวิ่งสี่คูณร้อยแต่เช้าแบบนี้อี๊ก
“เอาแบบกับโมมาวางตรงนี้” เสียงอาจารย์วิชิตดังอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง
มือสั่นๆของเขาจึงต้องเอาแบบออกจากซูมแล้วย้ายมันไปวางไว้ตรงที่อาจารย์แกบอก
อาจารย์องศาเดินมาดูแมสโมเดลของเขาก่อนจะทำหน้าพึงพอใจ
“ใช้ได้ไหมครับ?
แหะแหะ” เขาถามออกไปทั้งที่ยังหอบหายใจหน้าแดงระเรื่อ
“อืม
แสดงว่าคุณเข้าใจที่ผมบอก ดีขึ้นเยอะเลย คุณเก่งมากที่ทำทัน”
“ตามมาเอาของรางวัลที่ห้องผม” แล้วจู่ๆร่างสูงใหญ่ก็ขยับมากระซิบให้ได้ยินแค่สองคน
เขาได้แต่ขอบคุณที่หน้าเขาแดงอยู่แล้วจากการวิ่ง
ไม่งั้นอาจารย์คงได้มองเขาแปลกๆแน่เพราะตอนนี้หน้ามันร้อนยิ่งกว่าเดิมไปอีก
“อีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มตรวจนะ
ไปกินข้าวกินปลาให้เรียบร้อย”
เสียงอาจารย์วิชิตตะโกนบอกคนอื่นๆ ส่วนสายตาของเขาก็เหลือบมองตามอาจารย์องศาที่ปลีกตัวออกไปจากห้อง
ร่างโปร่งบางแอบเดินตามไปอย่างรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ
อาจารย์องศาจะให้อะไรนะ? อยากรู้ซะแล้ว~
แปะ
ปรากฏว่าเป็นถุงกระดาษสีน้ำตาลอันแสนคุ้นตา
ไหนจะกลิ่นพายหอมรึ่มนี่อีก!
“ยังไม่ได้กินอะไรมากันใช่ไหมล่ะ?
คุณเอาไปแบ่งเพื่อนๆด้วยก็ได้นะ” เขาดึงถุงที่วางอยู่บนหัวลงมา
แล้วก็แทบไม่ต้องเดาเพราะมันคือสารพัดพายสิบกว่าชิ้นที่อยู่ในนั้น
“คิก...” เขาหัวเราะเบาๆ จะว่าโรแมนติกก็โรแมนติกแหละ
เพราะยังไงนี่มันก็แสดงถึงความห่วงใยที่อาจารย์มีต่อเขา
“ก็บอกแล้วไงว่าชื่อของผมไม่ใช่ขนมน่ะ...” เสียงใสบ่นไปแต่ก็อมยิ้มไป
“ถ้าจะให้รางวัลละก็
ขอเป็นโซฟาตัวนี้ดีกว่า”
“คุณจะมานอนที่โซฟาผมอีกแล้วเหรอ?”
“ไม่ได้เหรอครับ?”
“ตามใจคุณเถอะ
ไว้ใกล้ๆจะถึงรหัสคุณเดี๋ยวผมมาปลุกก็แล้วกัน”
“ขอบคุณนะครับ
อาจารย์”
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
มีใครเดาได้ไหมว่าใช้โลเคชั่นที่มหาวิทยาลัยไหน5555 มีสถานที่จริงนาคะ แต่เป็นบรรยากาศก่อนที่จะรีโนเวทอ่ะนะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆหัวใจและทุกๆการติดตามด้วยน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น