KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 02
:
KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า
:
องศา x พายุ
:
Warmhearted Romantic
:
PG-15(ไปก่อน555)
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด
: อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพราะทำแบบร่างอุโบสถกันมาทั้งคืน
เช้านี้จึงมีแต่ศพตายเกลื่อนห้องเลคเชอร์วิชาออกแบบ...
ดวงตาเยือกเย็นของอาจารย์องศาทอดมองนักศึกษาที่ส่วนใหญ่จะสลบเหมือดฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ
มีเพียงส่วนน้อยนิดที่ยังเอามือยันคางอยู่ได้แต่ก็สับปะหงกแล้วสับปะหงกอีก
ตอนนี้...ไม่มีใครเหลือสติฟังอยู่สักคน...น่าจะไปอยู่ตามเขาพระสุเมรุเฝ้าพระอินทร์กันทั้งชั้นปีแล้ว...
ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจ
ถึงนี่จะเป็นภาพชินตาตลอดเวลาสิบปีที่เขาสอนมาก็เถอะนะ
แต่เพราะเคยเป็นเด็กถาปัดเหมือนกันมาก่อนจึงเข้าใจดีว่าทำไมเด็กๆถึงอยู่ในสภาพนี้
เด็กถาปัดมีส่งงานแทบทุกวันเพราะไม่ได้เรียนแค่วิชาออกแบบเพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีวิชาโครงสร้าง วิชาเขียนแบบ วิชาวาดรูป วิชาคำนวณ วิชาประวัติศาสตร์
วิชาอุปกรณ์อาคารฯลฯ ปีสูงๆก็ยังมีพวกผังเมืองภูมิสถาปัตย์อีก ส่วนพวกปีต้นๆยิ่งแล้วใหญ่เพราะมีวิชาที่เรียนร่วมกับภาควิชาสถาปัตยกรรมไทยอย่างดีไซน์ไทยอีกด้วย
งานจึงเยอะเป็นทบทวี
นิ้วยาวกดปิดโปรเจคเตอร์เมื่อจบคาบ
ถึงจะไม่เหลือคนฟังแต่เขาก็ยังพูดเนื้อหาที่จะสอนจนครบ เอาเถอะ
ไว้ค่อยเซฟเป็นไฟล์ให้อีกทีก็แล้วกัน
เขาเก็บเอกสารการสอนก่อนจะเตรียมเดินออกจากห้อง
ทว่าดวงตาก็เผลอเหลือบไปมองยังแก๊งเด็กหลังห้องเข้าจนได้...วันนี้มัดแกละมาแหะ...เจ้าเด็กโกธิคพังค์นั่น
“ฮึ...” ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับขำพรืดในลำคอเมื่อเห็นหัวยุ่งๆสีดำนั่นมัดแกละต่ำๆไว้ใต้ติ่งหูทั้งสองข้าง
นี่น่าจะมัดไว้เพื่อไม่ให้เกะกะการเขียนแบบร่างโบสถ์เมื่อคืนสินะ? ว่าแต่มาจากบ้านทั้งสภาพนี้เลยเหรอ
ฮึ...
ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เจ้าซอมบี้พวกนี้จะวิ่งหน้าตั้งออกจากบ้านมาในวินาทีสุดท้ายเพื่อให้ทันเช็คชื่อด้วยสภาพที่เหมือนกับถูกสตั๊ฟไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
แต่เขากลับรู้สึกเอ็นดูเจ้าคนที่ใส่เสื้อคอกว้างแขนยาวลายไยแมงมุมนั่นอย่างบอกไม่ถูก
แล้วดูสิ...ใบหน้าได้รูปนั่นกำลังสับปะหงก...แล้วก็ค่อยๆเอน...ค่อยๆเอน...จนผมแกละชี้ฟูนั่นไปจิ้มหน้าเพื่อนที่อยู่ข้างๆ
เจ้าของหัวสกินเฮดจึงใช้มือยันใบหน้ามนออกมาทั้งที่ยังไม่ลืมตา หัวสีดำจึงโงนเงนเอนไปซบไหล่เพื่อนผมยาวที่อยู่อีกข้างแทน...จริงๆเล้ย...
ร่างสูงใหญ่ในชุดกั๊กสูทสีเทาก้าวขาออกจากห้องพลางส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี
หลังจากเดินออกจากห้องเลคเชอร์ของปีสามในตอนสายๆก็ใช่ว่าอาจารย์องศาจะไปไหนได้...เขายังมีตรวจวิทยานิพนธ์ของเด็กปีห้าต่อทั้งวัน
กว่าจะเสร็จก็บ่ายแก่ๆไปแล้ว...
“จารย์
หวัดดีครับ”
“ครับ”
เสียงทักทายของเหล่าลูกศิษย์ดังตลอดทางที่เขาเดินกลับห้องพักอาจารย์ที่ชั้นสาม
เพราะนักศึกษาก็มีอยู่แค่นี้(400กว่าคน)
อาคารเรียนก็มีอยู่แค่นี้(ตึกขนาดกะทัดรัดแค่ตึกเดียว) ทำให้ที่นี่ค่อนข้างจะอุ่นหนาฝาคั่งและรู้จักกันไปหมดเพราะแทบจะเดินสวนกันอยู่ทุกวัน
แกร่ก...
วิชิตคืออาจารย์ผู้ช่วยที่เพิ่งไปตรวจทีสิสมาด้วยกันและอยู่ห้องพักเดียวกับเขา
เป็นหนึ่งในลูกศิษย์หัวกะทิที่พอเรียนจบก็มาช่วยสอนอยู่ที่นี่ทันที ร่างสูงโปร่งเปิดประตูนำเข้าไป
แต่จู่ๆแผ่นหลังที่อยู่ด้านหน้าเขาก็หยุดชะงักเอาดื้อๆ
“เอ้า?
ใครเนี่ย? ไหงมานอนอยู่นี่?”
เสียงของอาจารย์วิชิตอุทานอย่างสงสัย เหมือนอีกฝ่ายจะเห็นอะไรเข้า?
เขาจึงเบี่ยงตัวเข้าไปก่อนจะชะโงกหน้ามองตามสายตาของอาจารย์ผู้ช่วยซึ่งมองตรงไปยังโซฟา
“ฮึ...” เป็นอีกครั้งของวันที่เขาขำพรืดอยู่ในใจ
เพราะเจ้าตุ๊กตาสีดำบนโซฟานั่นไม่ใช่ใครที่ไหน...พายุ ธารธารากุล กำลังหลับปุ๋ยคุดคู้อยู่บนนั้น...
“เอ่อ...ให้ปลุกไหมครับอาจารย์?” อาจารย์วิชิตหันมาถามเขา
“ไม่ต้องหรอก
ไม่เป็นไร ปล่อยให้นอนไปก่อนเถอะครับ ปีสามน่าจะเพิ่งตรวจแบบถาปัดไทยเสร็จ”
ขายาวก้าวไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ
ถ้าเป็นอาจารย์ท่านอื่นคงโดนดุไปชุดใหญ่แล้วที่แอบมานอนในห้องพักอาจารย์แบบนี้
“เด็กกลุ่มอาจารย์เหรอครับ?” อาจารย์ผู้ช่วยถามอย่างสงสัย
“ครับ
อาจจะมารอคุยเรื่องแบบกับผม” ได้ยินเสียงอ๋อ ดังมาจากอาจารย์ผู้ช่วยก่อนที่อีกฝ่ายจะไม่ติดใจซักไซร้อะไรอีก
อาจารย์วิชิตจัดการงานของตัวเองเสร็จแล้วก็ขอตัวกลับไป
ทั้งห้องจึงเหลือเพียงเขากับพายุตามลำพังอีกครั้ง...และตอนนี้เขาก็กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเอายังไงกับเจ้าเด็กนี่ดี?
ร่างในกั๊กสูทสีเทายืนมองคนที่หลับเป็นตายอยู่หน้าโซฟา
เขาหันไปมองกระดาษแบบร่างม้วนๆเยินๆที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยจึงหยิบมันขึ้นมาคลี่ออกดูเพราะคิดว่าอาจจะมีแบบที่มารอตรวจกับเขา
จะได้ดูไปพลางๆก่อน...
แต่เปล่าเลย...มองยังไงมันก็มีแค่แบบร่างโบสถ์ของวิชาออกแบบสถาปัตยกรรมไทยเท่านั้น?
อ้าว? ไม่ได้จะมาตรวจแบบกับเขานี่?
หรือจะแค่แวะมายึดโซฟาเขานอนเฉยๆ?
“ฮึ” เขาหัวเราะพลางส่ายหน้าเบาๆ
ให้ตายเถอะเจ้าเด็กคนนี้ ต่อให้ง่วงแค่ไหนก็ไม่เคยมีนักศึกษากล้ามาหลับบนโซฟาของอาจารย์แบบนี้มาก่อน
แต่จะว่าไปเขาก็ไม่เคยได้ยินอาจารย์ท่านไหนพูดถึงพายุว่าไปหลับอยู่ในห้องพักอาจารย์ท่านอื่นนะ?
เอาเถอะ
ไว้กลับมาค่อยว่ากัน
ร่างสูงใหญ่ที่แสนสง่างามเดินออกจากห้องด้วยท่าทางชิวๆ
เขาเดินไปซื้อกาแฟที่ร้านกาแฟเล็กๆซึ่งแทรกอยู่ในมหาวิทยาลัย
ร้านนี้ใช้พื้นที่ข้างตึกที่เป็นอาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัย
จึงเป็นร้านชิคๆที่น่านั่งทีเดียว
“อเมริกาโน่เย็นแก้วนึงครับ” เสียงทุ้มสั่งเมนูเดิมอย่างไม่ต้องใช้เวลาคิด
ก่อนจะขยับมายืนรอข้างๆตู้ใส่ขนม
นอกจากกลิ่นของกาแฟแล้วยังมีกลิ่นหอมๆของอะไรบางอย่างลอยมาแตะจมูก
ดวงตาสุขุมมองเห็นพนักงานในร้านกำลังวางถาดใส่พายคาโบนาร่าที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆไว้ในตู้
กลิ่นของพายนี่เอง...
พายเหรอ?
แล้วใบหน้าของเจ้าเด็กที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ในห้องของเขาก็ลอยขึ้นมาทันที
ก่อนออกมาเมื่อกี้เหมือนเขาจะได้ยินเสียงท้องร้องมาจากเด็กนั่นด้วยนะ?
“เอานี่ด้วยครับ”
นิ้วยาวชี้ไปที่พายคาโบนาร่าด้วยสายตาอบอุ่นและรอยยิ้มที่ทำเอาพนักงานสาวถึงกับหน้าแดง
เมื่อได้ของครบเขาก็เดินกลับตึกคณะสถาปัตย์ของตัวเอง
มหาวิทยาลัยของเขาเล็กมาก คณะทั้งสี่ห่างกันแค่สนามบาสกั้นเท่านั้น
เพราะงั้นเขาจึงใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาถึงห้องพักอาจารย์แล้ว
ยังไม่ตื่นจริงๆด้วยแหะ...
มือใหญ่วางแก้วกาแฟกับถุงกระดาษใส่พายลงบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา
เขาไม่ได้เดินไปที่โต๊ะทำงานแต่กลับนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวตัวที่อยู่ข้างๆ
แผ่นหลังกว้างเอนพิงพนักดื่มกาแฟไปอ่านเอกสารที่ได้มาจากหัวหน้าภาควิชาเมื่อเช้าไปโดยมีใครอีกคนหลับอยู่ใกล้ๆ
เป็นบรรยากาศที่แปลกแต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบใจอะไร
เวลาเดินผ่านไปอย่างเงียบเชียบแต่กลับสุนทรีย์จนเขาไม่รู้สึกอึดอัด
เขายังคงใช้สมาธิไปกับการทำงานได้ตามปกติแสดงว่าเด็กคนนี้ไม่ได้สร้างความรำคาญใจให้เขา มือใหญ่วางเอกสารลงเมื่ออ่านจนจบ
เขาหยิบลามี่สีดำซึ่งเหน็บไว้ที่อกเสื้อกั๊กสูทออกมาเซ็นต์ลงไปในเอกสารขอความร่วมมือของคณะในเรื่องต่างๆ
ชึ่บ...
เขาเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งไขว่ห้างก่อนจะหยิบแก้วกาแฟที่มีหยดน้ำเกาะพราวมาดูด
ถึงมันจะยังเย็นอยู่แต่รสชาติก็เจือจางลงมาก ส่วนดวงตานุ่มลึกก็เหลือบมองไปยังใบหน้าคนหลับ...เหมือนตุ๊กตาจริงๆแหะ...
แล้วด้วยความที่ไม่มีอะไรจะทำ
มือใหญ่จึงเอื้อมไปหยิบม้วนกระดาษแบบร่างนั่นมาคลี่ดูเล่นๆ
มันเป็นแบบร่างโบสถ์สมัยอยุธยาที่เขียนด้วยมือ
ฐานที่แอ่นเป็นเรือนี่ก็พอจะทำให้รู้ว่าเด็กคนนี้บ้าระห่ำพอตัวเพราะการเขียนเส้นโค้งมันยากกว่าเส้นตรงเป็นไหนๆ
ถึงแม้จะไม่ต้องทำถึงขั้นจตุรมุขแบบพวกเด็กถาปัดไทย
แต่นี่ก็นับว่าเป็นรูปแบบที่ยากและท้าทายมากทีเดียว
จะว่าไปสัดส่วนอาคารก็ใช้ได้เลยนี่
และดูจากที่มีรอยแก้แค่พวกช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ แสดงว่าแบบของเด็กนี่ก็น่าจะผ่านแล้วสินะ?
จริงๆแล้วในโลกแห่งการทำงาน
สถาปัตยกรรมร่วมสมัยหรือ
Contemporary Architecture ก็เป็นที่นิยมในกลุ่มงานโรงแรมมาอย่างช้านานโดยเฉพาะมีการนำองค์ประกอบในทางไทยมาใช้อย่างแพร่หลาย
เพราะฉะนั้นการเรียนรู้งานสถาปัตยกรรมไทยก็ใช่ว่าจะไม่ได้ใช้ไปเสียทีเดียว
หากนำบัวเอย เสาเอย ค้ำยันเอย องค์ประกอบในทางไทยเอยไปใช้อย่างลดทอนให้ร่วมสมัย
มันก็เป็นอะไรที่พิเศษและเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติมากๆ แล้วงานไทยเนี่ย สัดส่วนอาคารจะสำคัญมาก
ให้เรียนไว้ ให้ปลูกฝังตั้งแต่ยังเป็นเด็กแบบนี้จะทำให้ติดตัวไปแล้วนำไปใช้แบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว
“BE
WAREEE” จู่ๆเสียงว๊ากลั่นก็ดังขึ้นมาจนเขาสะดุ้งเบาๆ แบบในมือถึงกับหล่นลงบนโต๊ะ...เสียงโทรศัพท์ของเจ้าเด็กนี่นี่นะ…
“อือ…” มือขาวซีดตบๆควานหาโทรศัพท์ตามตัวทั้งที่ยังไม่ลืมตา
หลังจากกดรับก็เอาโทรศัพท์วางไว้บนแก้มแล้วนอนต่อ...
“พี่พาย! พี่อยู่ไหนเนี่ย~ คืนนี้จะมาใช่ไหม~~!
พี่ต้องมานะ! ไม่งั้นผมตายแน่!” ปลายสายก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงตะโกนใส่มาจนเขาได้ยินไปด้วย
“เออ... เดี๋ยวกูขึ้นไป กูนอนอยู่ห้องอาจารย์องศา มึงมาสตูยัง?” เสียงงัวเงียตอบงึมงำ
แต่คราวนี้รู้ด้วยแหะว่านอนอยู่ที่ห้องของเขา ฮึ...
“ผมขนของมาแล้วพี่ อยู่สตูแล้ว ว่าแต่พี่ก็ช่างกล้านะไปนอนกับอาจารย์องศาเนี่ย”
เดี๋ยวๆๆ พูดให้มันดีๆ นอนกับเขาเสียที่ไหนล่ะ
ใครได้ยินก็เข้าใจผิดหมด
“อือ…ก็ของอาจารย์องศานี่มันดีชะมัด…โซฟา” สองแก้มถึงกับร้อนวูบ
ช่วยเรียงประโยคให้มันดีๆหน่อยได้ไหม พอเอาโซฟามาต่อท้ายแล้วมันล่อแหลมสุดๆไปเลยนะ…
“เค งั้นเจอกันพี่ ผมรออยู่น้า~”
คนที่โทรมาน่าจะเป็นน้องรหัสปีสอง? เพราะเท่าที่เขารู้พวกปีสองมีส่งโปรเจคดีไซน์พรุ่งนี้
เห็นมีนักศึกษาทยอยขนโมเดลที่ยังไม่เสร็จขึ้นมา
แถมแถวสตูปีสองก็เริ่มครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน
บรรยากาศแบบไฟลนเริ่มค่อยๆลุกลามร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ พายุเองก็คงจะไปช่วยน้องรหัสเหมือนกันสินะ
“อือ เจอกัน...” เขาเหล่มองเจ้าเด็กที่พูดจากำกวมอย่างไม่ได้ตั้งใจแล้วยังหลับต่อหน้าตาเฉย
นี่แสดงว่าตั้งใจมานอนที่โซฟาของเขาตั้งแต่แรกจริงๆสินะ แต่ก่อนจะได้ทักท้วงอะไรสายตาของเขาก็ถูกโทรศัพท์ที่กำลังค่อยๆไหลลงจากแก้มดึงดูดเอาไว้
เดี๋ยวๆๆ
จะตกแล้วๆๆ
หมับ!
เขายันตัวออกจากโซฟาในเสี้ยววินาทีก่อนที่มือใหญ่จะคว้าโทรศัพท์ที่เกือบจะตกกระแทกพื้นได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
“อึก?!”
แต่นั่นก็แลกมาด้วยร่างกายที่ไร้การทรงตัวของเขา
ร่างสูงใหญ่ถึงเซถลาเข้าไปหาคนที่นอนอยู่!
หมับ!
ยังดีที่มืออีกข้างไวพอที่จะยันพนักโซฟาเอาไว้ได้ทัน! ฮู่ว...ค่อยยังชั่ว...
เขาถอนหายใจก่อนจะเผลอก้มลงไปมองเบื้องล่างอย่างไม่ตั้งใจ
จึงเพิ่งรู้ตัวว่าท่าทางของเขาตอนนี้มันชวนเข้าใจผิดแบบสุดๆ
เพราะเขากำลังคร่อมอยู่เหนือตัวของพายุเลยน่ะสิ!
ร่างสูงใหญ่รีบเด้งตัวถอยห่างออกไป
ทั้งใบหน้าต้องรีบเรียกความสุขุมให้กลับคืนมา...
แต่ว่าเมื่อกี้...
กลิ่นอะไรกันนะ?
กุหลาบ? ลอยออกมาจากไหนกัน? ผม? มียาสระผมที่มีกลิ่นแบบนี้ด้วยเหรอ?
เป็นกลิ่นที่เข้ากับเจ้าเด็กโกธิคพังก์นี่มากทีเดียว
โคร่ก~
แล้วเสียงท้องร้องก็หยุดความคิดทุกอย่าง
เขานิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะลอบขำจนไหล่สั่น
อะไรก็ไม่สู้สัญญาณการเอาชีวิตรอดของร่างกายอีกแล้ว
พวกเด็กถาปัดต่อให้หลับเป็นตายขนาดไหน
แต่กระเพาะก็จะปลุกให้ลุกขึ้นมากินอะไรแบบไร้สติก่อนค่อยนอนต่ออยู่เสมอ
กรอบแกร่บ...
เขาคลี่ปากถุงกระดาษที่พับไว้ออก
กลิ่นพายหอมๆจึงลอยออกมา
“อือ...”
เริ่มมีเสียงอืออาดังขึ้นมาจากใบหน้าที่หลับมาตลอด สงสัยจะได้กลิ่นอาหาร? แล้วไม่นานดวงตาสีดำก็ค่อยๆลืมขึ้นมาจนได้
“.....อือ...อ้าว?...อาจารย์...องศา...?” ร่างในชุดสีดำค่อยๆลุกนั่งอย่างงัวเงีย
มือหนึ่งขยี้ตาส่วนอีกมือก็ปิดปากหาวหวอด ไม่เกรงใจอาจารย์อย่างเขาบ้างเลยหรือไงนะเจ้าเด็กนี่
และเพราะว่าอยู่ใกล้ขนาดนี้เขาจึงเพิ่งเห็นว่าผมแกละนั่นถูกมัดไว้ด้วยยางรัดผมรูปหัวกะโหลก...ฮึ
ไม่รู้ทำไม เด็กนี่ทำอะไรถึงได้ดูน่าเอ็นดูไปหมด
แปะ...
เขาวางแหมะถุงใส่พายไว้บนหัวยุ่งๆนั่นก่อนจะลุกไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อหยิบไฟล์เลคเชอร์เมื่อเช้ามาให้
“หื๋อ?...อะไรน่ะครับ?...พาย?” มือบางคลำๆไปหยิบถุงกระดาษบนหัวของตัวเองลงมาดู
“พายคาโบนาร่า
ผมเห็นมันน่ากินดี คุณยังไม่ได้กินข้าวกลางวันละสิ
ขนาดตอนนอนท้องยังร้องให้ได้ยินเลย”
ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มขำๆทำเอาเจ้าของกระเพาะหน้าไม่อายต้องหลบตาอย่างเขินๆ
“ขอบคุณครับ...” เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานเพื่อเซฟไฟล์ใส่แฟลชไดร์ฟให้
จึงได้ยินเพียงเสียงกรอบแกร่บๆของถุงกระดาษกลับกลิ่นพายที่หอมฟุ้งยิ่งกว่าเดิม
“...อาจารย์” เสียงงัวเงียยิ่งฟังดูงึมงำเมื่อมีพายอยู่ในปาก
“หื๋ม?”
“อาจารย์ซื้อพายมาเพราะคิดว่าชื่อของผมคือขนมนี่หรือเปล่า?”
พายุชวนเขาคุยซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับแบบหรือการเรียนการสอนเลย
“ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ”
“?” เขาละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะเหลือบไปมองเจ้าคนที่เคี้ยวพายตุ้ยๆทั้งที่ตาแทบจะไม่ลืม
“มาจากพระพายต่างหาก” พายุเฉลยอย่างไม่ต้องรอนาน
“อ๋อ
ลมกับพายุสินะ” เพราะพระพายคือชื่อของเทพแห่งสายลมในศาสนาฮินดู
เวลาพูดถึงพระพายจึงมีความหมายว่าลมเช่นกัน ชื่อเล่นเป็นสายลม
ชื่อจริงเป็นสายลมที่รุนแรงกว่าอย่างพายุสินะ
“ครับ
อ่ะ อร่อยจริงๆด้วย” เหมือนต่อมรับรสเพิ่งเริ่มทำงานหลังจากกินไปแล้วครึ่งอัน
เขาได้แต่อมยิ้มกับพฤติกรรมนั่น
“จะไม่ล้างหน้าล้างตาก่อนซักหน่อยเหรอ?” เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้จนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดก่อนจะทอดสายตามองร่างในชุดสีดำนั่นอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวผมจะนอนต่อ...” เจ้าเด็กโกธิคพังก์ตอบกลับมาหน้าตาเฉย
“อ้าว
แล้วน้องรหัส?”
“อ่ะ
จริงด้วย! เย็นแล้วนี่หว่า ผมต้องไปแล้ว
พี่ปีสี่มีส่งงานวันมะรืนเลยมาช่วยไม่ได้ด้วย” แล้วจู่ๆก็เหมือนสติจะถูกเรียกกลับมาในชั่ววินาที
เด็กถาปัดทุกคนจะมีสกิลนี้ อารมณ์เหมือนพวกนักกีฬาที่อะดรีนะลีนหลั่ง พวกเราก็คงจะมีสารอะไรสักอย่างหลั่งออกมาเพื่อให้ตื่นเต็มตาแล้ววิ่งไปส่งแบบให้ทันประมาณนั้น
“เดี๋ยวก่อนพายุ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเมื่อร่างโปร่งบางเด้งจากโซฟาแล้วทำท่าจะพุ่งพรวดออกจากห้อง
“ครับ?” ใบหน้ามนหันมามองทั้งที่พายยังคาปาก
ปกติแล้วเจ้าเด็กนี่จะเท่ห์มากในสายตาเด็กคณะอื่นไม่ใช่เหรอ?
แต่ทำไมอยู่กับเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ ฮะฮะ
“ไฟล์ของเลคเชอร์เมื่อเช้า
ไม่มีใครมีชีวิตรอดจนจบคาบผมสักคนเลยนะ เอาไปแจกเพื่อนๆด้วยล่ะ” เขายื่นแฟลชไดร์ฟให้
“อ่า...ครับ
ฮะฮะฮะ ขอบคุณครับ”
“แล้วก็...ขอบคุณพายนี่ด้วยนะครับ
ช่วยชีวิตผมเลย แหะแหะ” ใบหน้ามนช้อนสายตามองก่อนจะยิ้มบางๆ
“ไปเถอะ” เขามองตามแผ่นหลังที่เดินออกจากห้องไป
คืนนี้ก็น่าจะไม่ได้นอนอีกแล้วไหม?
หรือเขาควรจะไปเหมาพายทั้งตู้นั่นมาให้กินจะได้มีแรง?
ดวงตาสุขุมเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง
ที่ทางเดินหน้าคณะข้างล่างเริ่มมีผู้คนควั่กไขว่
พวกซอมบี้แห่งคณะสถาปัตย์เริ่มจะตื่นจากนิทราแล้วขนโมเดลที่ยังมีแต่ฐานมา
ปกติแล้วถ้าชั้นปีไหนมีส่งโปรเจค
พวกพี่รหัสน้องรหัสก็จะมาช่วยกันในคืนสุดท้ายแบบนี้เสมอ ช่วยตัดโมเดลบ้าง
ช่วยปริ๊นท์แบบ ช่วยทำพรีเซ็นต์แบบบ้าง คืนก่อนส่งงานสตูดิโอจึงเปิดให้ใช้งานและคราคร่ำไปด้วยผู้คน
เพราะแบบนี้นอกจากเพื่อนในสตูเดียวกันแล้วแต่ละสายรหัสก็จะสนิทกันค่อนข้างมากอีกด้วย
พวกอาจารย์อย่างเขาไม่เคยห้ามให้นักศึกษาช่วยกัน
เพราะเรื่องบางอย่างก็ไม่มีสอนในคาบเรียนแต่กลับเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
หลายๆอย่างก็ได้จากการเรียนรู้ตอนที่ไปช่วยรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง อย่างเช่นการตัดโมเดลที่ไม่เคยมีการเรียนการสอนแต่กลับเป็นพี่รหัสที่สอนให้เวลาไปช่วยน้อง
น้องเองก็จะได้เห็นงานดีๆตอนไปช่วยรุ่นพี่ ได้แชร์เทคนิคและโปรแกรมพรีเซ็นต์ใหม่ๆ
ได้ทำได้ฝึกฝนมากกว่าโปรเจคอันน้อยนิดในคาบเรียน
อีกอย่างมันก็เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในสายรหัสของตัวเอง ลงไปห้าชั้นปี
ขึ้นไปอีกห้าชั้นปี
นั่นคือช่วงชีวิตซึ่งคนที่มีรหัสลงท้ายตัวเดียวกันจะได้มารู้จักและสนิทกันราวกับเป็นโชคชะตา
เป็นกลุ่มคนที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปจนกว่าจะเรียนจบ
เด็กมหาลัยนั้นไม่ได้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับแค่เรื่องเรียนเพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีกิจกรรมของคณะ ของมหาวิทยาลัยที่ต้องทำอีกมากมาย
และการรับน้องก็เป็นหนึ่งในนั้น
นักศึกษาปีสามของคณะสถาปัตยกรรมอย่างพวกเขาเองก็เช่นกัน
ไม่สิ
เพราะเป็นปีสามผู้รับผิดชอบหลักของกิจกรรมรับน้องของคณะต่างหากที่ทำให้พวกเขาทั้งห้าคนหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์นี้ไปไม่ได้
“โห...ฉีกเป็นริ้วๆเลยว่ะ
ยางมึงอ่ะพาย” ร่างสูง185ของไอ้ภาคกำลังก้มลงไปดูล้อรถข้างหนึ่งของมินิคูเปอร์สีเทาคาดดำซึ่งจอดอยู่ข้างทางระหว่างนครปฐมเข้ากรุงเทพ
และยางข้างนั้นก็เพิ่งผ่านการระเบิดมาสดๆร้อนๆ เศษยางยังกระจุยอยู่เต็มถนน
เพราะน้องปีหนึ่งยังต้องเรียนอยู่ที่วิทยาเขตนครปฐมหนึ่งปี
ทำให้พวกพี่ๆอย่างเขาต้องไปนครปฐมกันแทบทุกเย็นเพื่อไปรับน้องและช่วยเหลือน้องในเรื่องต่างๆ
ปกติแล้วพวกเขาจะนั่งรถทัวร์ไปกัน แต่วันนี้เพราะต้องขนกลองคณะไปให้น้องเขาจึงต้องขับรถไปให้
และขากลับมันก็เกิดอุบัติเหตุอย่างที่เห็น
“ดีนะที่ไอ้เก้าเป็นคนขับ
ถ้าไอ้พายขับป่านนี้พวกเราคงได้ไปทัวร์นรกด้วยกันแล้ว
ถึงกูจะรักพวกมึงมากแต่กูก็ไม่ได้อยากตายพร้อมพวกมึงหรอกนะ
มึงได้เช็คยางบ้างไหมวะพาย?”
ไอ้ไม้ยังมีหน้ามาหยอกล้อด้วยสีหน้าชิวๆ
“กูขับอย่างเดียว
หน้าที่เอารถไปเช็คเป็นของพ่อกูต่างหาก...แต่หมู่นี้กูไม่ค่อยได้กลับบ้านน่ะนะ...ก็เลย...” ดวงตาสีดำกรอกไปมาอย่างสำนึกผิดนิดๆ
“อันตรายไหมเนี่ย”
ไอ้เก้าที่เดินวนเช็ครอบๆรถก่อนจะมายืนเท้าสะเอวมองล้อข้างที่ระเบิดว่าจะเอาไงดี
“เออ
กูรู้ กูขอโทษ แต่ตอนนี้ที่อันตรายกว่าคือพ่อกูจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้~!!!” เขาเริ่มเดินไปเดินมาอย่างกังวลจนอยู่ไม่สุข
“ทำไมวะ?
แต่ยังไงมึงก็ต้องบอกพ่อให้หาช่างมาดูไม่ก็ลากรถมึงกลับไปนี่?” ไอ้เก้าหันมาทำหน้าสงสัย
“นั่นแหละ
ไม่ได้เด็ดขาด! พ่อกูห้ามไม่ให้กูขับรถไปต่างจังหวัดตอนกลางคืน แล้วนี่เราเพิ่งไปไหนมา?
นครปฐม! ถ้าพ่อกูรู้ กูต้องโดนยึดรถกลับไปแน่ ไม่ได้นะ
กูต้องเอารถไว้ขนลูกกู~ มึงจะให้ลูซิเฟอร์นั่งแท็กซี่ได้เหรอ~” สองมือบางยกขึ้นมาทึ้งหัวอย่างร้อนลน
พวกคนที่เหลือก็ทำหน้าละเหี่ยใจก่อนจะเริ่มแยกย้าย
“......มึงนี่นะ...เฮ้อ...ลองช่วยกันหายางอะไหล่มาเปลี่ยนก่อนแล้วกัน
ภาค ไม้ พวกมึงช่วยกูหายางกับแม่แรงบนรถมันทีดิ๊
ถามมันไปมันก็คงไม่รู้เรื่องอยู่ดี จะโทรไปถามพ่อมันก็ไม่ได้ด้วย
เฮ้อ...ถ้าอาภพรู้คงเอากูตายอีกแน่ เฮ้อ...”
ไอ้เก้าส่ายหน้าก่อนจะเดินไปเปิดหลังรถ
"เดี๋ยวเอารถที่บ้านกูมารับพวกมึงก็แล้วกัน" เสียงหนึ่งดังมาจากไอ้ธีร์ที่เพิ่งงัวเงียออกมาจากในรถ
"มึงนั่งเลย ก่อนมึงจะเอารถที่บ้านมึงมารับพวกกูเนี่ย
มึงต้องกลับบ้านให้ได้ก่อนไหม?" ไอ้เก้ากดหัวไอ้ธีร์ให้นั่งลงที่ริมฟุตบาท แต่ก็จริงอย่างที่มันว่า
ตรงนี้ยังห่างไกลจากกรุงเทพอีกหลายขุม ไม่มีแท็กซี่วิ่งมาให้โบกได้เสียด้วย
"เออ กูลืม กูเพิ่งตื่น หรือกูฝันอยู่วะ?" ใบหน้าใต้กรอบผมกัดสียังเบลอๆ
"มึงหลับไปเถอะว่ะ ตื่นมาก็ไร้ประโยชน์ชิบหาย" ไอ้เก้าหัวเราะ
สถานการณ์แบบนี้พวกมันก็ยังเฮฮากันอยู่ได้ คงเพราะอยู่ด้วยกันมากกว่า
ถ้าอยู่คนเดียวคงได้สติแตกแน่ๆ
"พวกมึงมีใครเปลี่ยนยางเป็นไหมวะ กูว่ากูเจอยางสำรองใต้ตูดรถมันละ" ไอ้ไม้โผล่หน้ามาถาม
"กูเปลี่ยนเป็น แต่รถไอ้เชี่ยพายแม่งไม่มีแม่แรงหรือประแจอะไรซักอย่าง
มึงจะขนเครื่องมือซ่อมรถที่จำเป็นออกไปทำไมวะ?" ไอ้เก้าหันมาหยุมหัวเขาอย่างหมั่นเขี้ยว
"ก็เหล็กเป็นอันตรายต่อลูกกู เกิดกลิ้งมาทับลูกกูคอหักว่าไง?"
เขาตอบด้วยสีหน้าจริงจังแต่กลับโดนไอ้เก้าล็อคคอจนต้องดิ้นหนีไปมา
"มึงจะยอมให้ลูกมึงคอหักหรือมึงอยากให้พ่อมึงหักคอมึงแทนละวะ ไอ้คุณพายุ"
ไอ้เก้าเล่นกับเขาด้วยความหมั่นเขี้ยว
แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ยอมให้มันล็อคคอแต่ฝ่ายเดียว
พอหลุดออกมาได้เขาก็กางมือกางแขนเหมือนก๊อตซิลล่าเตรียมพ่นไฟแฟ่ๆกลับ แล้วในขณะที่เขากับไอ้เก้ากำลังยักเย่ยักยันกันอยู่นั้น
เสียงไอ้ภาคก็ลอยมา
"เจอแต่คัตเตอร์กับฟุตเหล็กว่ะ ยางรถนี่แม่งใช้นิตโต้แปะเอาได้ไหมวะ?
มีอยู่ม้วนนึงเนี่ย" ไอ้ภาคเงยหน้าออกมาจากประตูรถฝั่งข้างคนขับ
"ไอ้สัส ยางรถนะไม่ใช่ประตูห้องมึงจะได้ใช้นิตโต้แปะ" ไอ้ธีร์นั่งหัวเราะอยู่ริมฟุตบาท
"มึงอย่าบูลลี่ประตูห้องกู" ไอ้ภาคเดินไปตบหัวมันก่อนจะนั่งลงข้างๆ
ดูเหมือนทั้งห้าคนจะปลงตกกับการเปลี่ยนยางรถเองเสียแล้ว
แล้วในขณะที่กำลังนั่งคอตกกันอยู่ข้างๆรถ
โทรศัพท์สายหนึ่งก็ดังขึ้นพอดี
มือบางพลิกหน้าจอขึ้นมาดูอย่างหวาดระแวงว่าจะเป็นพ่อที่โทรมา
เพราะว่าหมอนั่นมักจะรับรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณ(?)ว่าเขากำลังทำเรื่องไม่ดีอะไรอยู่
ทว่า...มันกลับขึ้นชื่อที่ไม่คาดคิดขึ้นมาให้นิ้วเรียวรีบกดรับทันที
"อาจารย์!!!!" อาจารย์องศา พิรุณณภักดิ์ ณ อยุธยา คือชื่อที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอนั้น
"พายุ?"
"ฮือออ~~" เขาร้องออกไปอย่างโล่งใจ
"พอดีอาจารย์ไม่มีเบอร์หัวหน้าชั้นปีเรา
ฝากบอกเพื่อนๆหน่อยได้ไหมว่าแลคเชอร์วิชาดีไซน์เช้าวันศุกร์นี้ขอเลื่อนขึ้นมาเป็นตอนแปดโมงครึ่งแทน…?...เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น?" เสียงทุ้มที่ดังอยู่ที่หูนั้นราวกับเสียงสวรรค์
เป็นเสียงของเทพบุตร เทพธิดา เทพยดาฟ้าดิน เทพอะไรก็แล้วแต่ที่แท้จริงเลยในเวลานี้
"ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าจะทำยังไงให้เรื่องนี้ไม่รู้ไปถึงหูพ่อผม อาจารย์~
ช่วยผมด้วย~ มารับผมที~~" ตอนนี้ใครก็ได้แล้วที่ไม่ใช่พ่อ!
"หื๋อ?" เสียงปลายสายยังมึนงง
แต่จนแล้วจนรอดอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา...อาจารย์องศาก็ขับรถมารับพวกเขาจริงๆ!
ไฟขอทางกระพริบส่องแสงติ๊กๆจากเบนซ์ S class สีขาวที่จอดอยู่ด้านหลัง ร่างสูงใหญ่ที่ยังสวมเสื้อเชิ้ตสีดำทับในกางเกงสแลคสีเทาอย่างเนี้ยบแม้จะดึกดื่นป่านนี้กำลังก้มลงมองสภาพล้อรถที่ระเบิดเป็นริ้วๆ
"ผมให้อู่ที่รู้จักมาดูให้พรุ่งนี้เช้า คืนนี้จอดไว้นี่ก่อนก็แล้วกัน
ดึกแล้ว พวกคุณไปรถผม เดี๋ยวผมไปส่ง" ใบหน้าหล่อเหลาหันมาบอกอย่างใจเย็นและพึ่งพาได้
ไม่เพียงแต่เขาที่อึ้ง
เพื่อนอีกสี่คนของเขาก็อึ้งไม่แพ้กันเพราะไม่คิดว่าอาจารย์จะยอมขับรถมาตั้งไกลเพื่อมารับพวกเขาจริงๆ
"ขอบคุณมากๆเลยครับอาจารย์~ รอดตายแล้วนะมึง~~" ไอ้เก้าขยี้หัวเขาที่ยังยืนอึ้งอยู่
และพอขึ้นรถได้เขาก็รู้ว่าที่จริงแล้วอาจารย์องศานั้นไม่ได้ว่างเลย
อาจารย์งานยุ่งมากด้วยซ้ำเพราะตลอดทางที่ขับรถกลับ
อาจารย์ก็คุยโทรศัพท์กับคนที่ออฟฟิศแทบจะตลอดเวลา
อ้อ
เขาลืมบอกไปว่า นอกจากจะเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยแล้ว อาจารย์องศายังมีออฟฟิศออกแบบของตัวเองอีกด้วย
ชื่อออฟฟิศของอาจารย์ก็คือ 180 Degree.
“ครับ
งั้นก็ขยับถนนไปอีกเมตรนึงแล้วเฉลี่ยที่ดินทุกแปลงใหม่ แปลงสุดท้ายที่อยู่ตรงมุมโฉนดจะมีพื้นที่เท่าไหร่ครับ?” เพราะอาจารย์เปิดลำโพงในรถเขาจึงได้ยินด้วยทุกอย่าง
“อืม...โอเคครับ...ได้50.5ตารางวาใช่ไหม? พื้นที่ผ่าน แต่อย่าลืมวัดกว้างยาวให้เกิน10เมตรด้วยนะ ไม่งั้นจะไม่ผ่านเวลายื่นจัดสรรที่ดิน” ดูเหมือนปลายสายจะเป็นสถาปนิกในออฟฟิศของอาจารย์ที่ยังทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
ทั้งสองคนคุยกันในเรื่องที่เขาไม่เข้าใจเพราะนี่มันเกินกว่าสิ่งที่เขากำลังเรียนไปมาก
อาจารย์พูดถึงข้อกฎหมายหลายๆอย่างที่แค่ฟังเขาก็มึนแล้ว
“ครับ
เสร็จแล้วปริ๊นท์วางไว้บนโต๊ะผมแล้วกัน
พรุ่งนี้ผมต้องออกไปคุยกับเจ้าของที่แต่เช้า ครับ ขอบคุณมาก
กลับบ้านกันดีๆนะ”
ในที่สุดอาจารย์ก็ได้วางสายเสียที
“โครงการบ้านจัดสรรน่ะ
ต้องเริ่มตั้งแต่การวางผังเลย ตอนอยู่ปีสี่ต้องตั้งใจเรียนวิชากฎหมายอาคารนะรู้ไหม
จะเอาแต่หลับไม่ได้ล่ะ”
ใบหน้าราวกับรูปสลักหันมายิ้มให้ก่อนจะกลับไปมองทางต่อ
“อาจารย์ก็ต้องสั่งงานกันให้น้อยลงสิครับ~” เขาโอดครวญ ใช่ว่าอยากจะหลับเป็นศพแบบนี้เสียที่ไหน
“ผมว่าโปรเจคที่พวกคุณได้เรียนมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ” ใบหน้าที่มองตรงไปบนถนนอมยิ้ม
“นี่ยังน้อยอีกเหรอครับ?
อาจารย์จะเลือดเย็นเกินไปแล้ว”
“ฮึ
อ่ะ เดี๋ยวนะ”
แล้วยังไม่ทันจะได้คุยอะไรต่อ
โทรศัพท์อีกสายก็ดังแทรกขึ้นมา...นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้วนะ?
ปกติอาจารย์องศาทำงานถึงกี่โมงกันแน่เนี่ย?
อย่าบอกนะว่าถึงแม้จะเรียนจบไปแล้วเขาก็ยังหนีชีวิตซอมบี้แบบนี้ไม่พ้นน่ะ...
“ครับ?” อาจารย์ตอบรับราวกับรู้จักปลายสายเป็นอย่างดี
"อาจารย์เข้าบ้านรึยังคะ?"
คราวนี้เป็นเสียงผู้หญิง?
"ยังครับ มีอะไรรึเปล่า?"
"ช่วยแวะมาเซ็นต์เอกสารยื่นขอต่อใบอนุญาติก่อสร้างของไซต์ที่ระยองให้ก่อนได้ไหมค่ะ
พอดีได้ยินน้องบอกว่าพรุ่งนี้อาจารย์ออกแต่เช้า ทางไซต์เพิ่งแจ้งมาเมื่อเย็นนี้ว่าทางอบต.ขอด่วน" ห๊ะ?
จะให้แวะไปไหนตอนสี่ทุ่มกว่าแบบนี้เนี่ย?
"ไซต์นั้น…ผมเซ็นต์เหรอ?" แต่อาจารย์องศาก็ดูไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์นี้ราวกับเป็นเรื่องปกติที่เคยทำเป็นประจำอยู่แล้ว
"ค่ะ ต้องเป็นสามัญสถาปนิกถึงจะเซ็นต์ไซต์นั้นได้" เสียงปลายสายฟังดูเหนื่อยล้ามาก
"ครับ คราวหลังบอกเค้าว่าห้ามมาของานด่วนๆแบบนี้อีก
ถ้าผมไม่อยู่ในประเทศจะทำยังไง"
"ค่ะ"
"เดี๋ยวผมเข้าไปครับ"
อาจารย์องศาตัดบทด้วยเสียงเฉียบขาด บอกตามตรง
เวลาอาจารย์องศาเอาจริงขึ้นมากลับเป็นคนที่ดูน่ากลัวมาก
"ผมขอแวะเข้าไปเซ็นต์เอกสารที่ออฟฟิศแป๊บนึงนะ" เขามองเข้าไปในกระจกหลัง เพื่อนสี่คนหลับเป็นตายกันไปหมดแล้ว
เขาจึงคิดว่าไม่น่าเป็นไร
"ครับ หรือจะปล่อยพวกผมลงแถวนี้ก็ได้นะครับ เดี๋ยวขึ้นแท็กซี่ต่อได้"
“ไม่ได้สิ
ผมไปรับพวกคุณมาก็ต้องไปส่งให้ถึงบ้าน ดึกแล้วมันอันตราย”
เขามองเสี้ยวใบหน้าที่ยังคงมองตรงไปยังถนนนั่นอย่างรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างวิ่งวนอยู่ในใจ
ทำไมถึงมีความรับผิดชอบแล้วก็พึ่งพาได้ขนาดนี้กันนะ
"อาจารย์ยุ่งขนาดนี้ ผมยังไปกวนอีก…" ทำเอารู้สึกผิดเลยแหะ
"อาจารย์ก็มีหน้าที่ของอาจารย์ และหนึ่งในนั้นก็คือการดูแลลูกศิษย์" เสียงทุ้มตอบมาอย่างไร้กังวล
".....อย่างเท่ห์…" ดวงตากลมใสมองอีกฝ่ายอย่างเป็นประกาย
"ฮึ" อาจารย์องศายิ้ม คงเพราะไม่เคยมีใครชมซึ่งๆหน้าขนาดนี้มาก่อน
"ผมจะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง กับโรงเรียนอนุบาลโกธิคของผม" เขาให้คำมั่นและนั่นก็ทำให้ใบหน้าสุขุมหัวเราะร่วนออกมา
"ฮะฮะฮะ" ....เวลาอาจารย์ยิ้มแบบนี้ก็ดูดีแหะ
เมอร์ซิเดสเบนซ์สีขาวเลี้ยวเข้าไปในซอยที่ดูร่มรื่นแม้จะเป็นเวลากลางคืน
แล้วไม่นานมันก็วิ่งผ่านประตูรั้วก่อนจะไปจอดลงที่ดร็อปออฟหน้าอาคารหลังหนึ่ง
“อยากลองลงไปดูไหม
ว่าบรรยากาศในออฟฟิศก็แทบไม่ต่างจากตอนเรียนเลย” อาจารย์องศาปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะหันมาถาม
เขาเหลือบมองอีกสี่ตัวในกระจกมองหลัง...ก็ยังดีกว่านั่งฟังเสียงกรนพวกมันอยู่ในนี้ละนะ
“ครับ”
เสียงราบเรียบจึงตอบกลับไปก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวขาลงมาจากรถตาม
เขาเคยไปวิ่งเล่นที่ออฟฟิศของพ่อตั้งแต่เด็กยันโตแต่ออฟฟิศของอาจารย์องศากลับต่างออกไปมาก
เขานึกว่าออฟฟิศเต็ก(tect)ทุกที่จะเหมือนออฟฟิศของพ่อเขาเสียอีก แต่ 180 Degree.ของอาจารย์องศากลับไม่เหมือนเลยสักนิด
เพราะออฟฟิศของอาจารย์องศาไม่ได้ตั้งอยู่ในตึกแบบโมเดิร์น
แต่อาคารที่เขากำลังก้าวเดินอยู่นี้เป็นอาคารแบบโคโลเนียลสีขาวที่เหมือนเอาวังเก่ามาดัดแปลงยังไงอย่างงั้น
ดูบัวไม้ ดูซุ้มโค้ง ดูลายฉลุพวกนี้สิ
ถึงจะดูใหม่และสะอาดสะอ้านแต่มันก็เหมือนจะเป็นของที่สร้างมานานแล้วเลย
จะว่าไป...นามสกุลอาจารย์องศาก็ชวนให้คิดว่ามันเป็นวังเก่าจริงๆนะ...
แถมในสวนที่อยู่ระหว่างทางเชื่อมอาคารก็มีแต่ต้นแก้วส่งกลิ่นหอมรึ่ม
ถ้ามากลางวันมันคงจะเป็นสวนที่ร่มรื่นมากแน่ๆ นี่ยังไม่รวมต้นแก้วเจ้าจอมที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงดร็อปออฟแบบใครขับรถเข้ามาก็จะเห็นเจ้าต้นไม้สูงค่านี้ตั้งเด่นเป็นสง่าก่อนใคร
ก็อย่างที่รู้ว่าแก้วเจ้าจอมไม่ใช่ต้นไม้ที่โตไว แล้วต้นเท่าตึกสองชั้นนั่นต้องมีอายุกี่ร้อยปีกัน...
แกร่ก
เสียงประตูที่เปิดออกเรียกให้ใบหน้ามนหันกลับไปสนใจที่โถงทางเดิน
มีผู้หญิงหัวกระเซิงหน้าตาง่วงๆเดินหาวหวอดออกมา...ทำไมเขาถึงคุ้นเคยกับสภาพของคนคนนี้นักนะ
แต่แทนที่จะเดินสวนกันไป
หญิงสาวกลับหยุดยืนขวางหน้าเขาเอาดื้อๆจนทำให้อาจารย์องศาต้องหยุดตามไปด้วย
ดวงตาที่ขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าไล่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังหาเรื่อง? ก่อนจะพูดอะไรแปลกๆออกมา
"เฮอะ อย่าให้โดนจับข้อหาพรากผู้เยาว์ล่ะ เดี๋ยวจะเดือดร้อนมาถึงคนที่บ้าน" ดวงตาแบบคนอารมณ์ไม่ดีตวัดมองไปยังอาจารย์องศาก่อนจะเดินจากไป
"......?" ทิ้งความมึนงงไว้ที่เขาซึ่งไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้นเลย
".......อินทีเรียตัวแสบของเราน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เข้าไปกันเถอะ"
ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยในขณะที่ก้าวเดินต่อไป
เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เกิดยัยเด็กนั่นเลยรู้ดีว่าเขาชอบแนวไหน…
ก่อนที่ดวงตาเยือกเย็นจะหลุบต่ำแล้วเหลือบมองไปที่คนซึ่งเดินเยื้องอยู่ด้านหลัง...
อาจารย์องศาเปิดประตูห้องก่อนจะถึงห้องสุดปลายทางเดินเข้าไป
ดวงตาสีดำจึงทำได้แค่มองผ่านกระจกของประตูไม้สไตล์โคโลเนียลนั่นเข้าไป
ห้องสุดปลายทางเดินน่าจะเป็นสตูดิโอที่พี่ๆสถาปนิกใช้ทำงาน
มันยังเปิดไฟสว่างสไวทำให้เขามองเห็นว่ามันเป็นห้องโถงกว้างๆซึ่งมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่มุมใครมุมมัน
มันไม่ค่อยเหมือนออฟฟิศทั่วไปเท่าไหร่แต่คล้ายๆสตูของพวกเขามากกว่า
แล้วขนาดโต๊ะทำงานก็ไม่ใช่ไซส์ปกติแต่เป็นมีทั้งโต๊ะคอมและโต๊ะเขียนแบบ
มีโต๊ะตัวใหญ่ซึ่งน่าจะเอาไว้ตัดโมเดล มีแผงตัวอย่างวัสดุตั้งแทรกๆอยู่ด้วย
ยังมีคนเดินไปเดินมาอยู่ในนั้น แล้วบรรยากาศก็ดูน่าทำงานสุดๆ
“เข้ามาก่อนสิ” เสียงทุ้มของอาจารย์องศาเรียกให้เขาหันมามอง
อ๋อ ห้องที่อาจารย์เดินเข้าไปน่าจะเป็นห้องทำงานส่วนตัวของอาจารย์นั่นเอง
มือใหญ่หยิบเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะมาดูก่อนจะเซ็นต์ลงไป
ร่างสูงใหญ่เดินไปหยิบสำเนาใบประกอบวิชาชีพในลิ้นชักก่อนจะเซ็นต์อีกใบ...ทั้งสีหน้าและแววตา...อาจารย์องศาเวลาทำงานนี่มีเสน่ห์สุดๆไปเลยแหะ
“เสร็จแล้ว
กลับกันเลยไหม?” ใบหน้าหล่อเหลาหันมาบอก
เขาจึงพยักหน้าหงึกๆ
"ไม่เห็นพ่อผมจะยุ่งแบบอาจารย์บ้างเลย หมอนั่นดูว่างจะตายถึงได้มีเวลามาวุ่นวายกับผมขนาดนี้" เสียงราบเรียบของเขาบ่นออกไปในขณะที่คาดเข็มขัดนิรภัย
"ฮึ" อาจารย์องศาหัวเราะเบาๆ
"ออฟฟิศขนาดใหญ่กับออฟฟิศเล็กๆก็ต่างกันแบบนี้แหละครับ
สถาปนิกกับอินทีเรียของออฟฟิศผมต้องทำเองหมดทุกอย่าง ตั้งแต่คิดคอนเซ็ป ทำแบบร่าง
ทำพรีเซ็นต์ คุยกับลูกค้า กลับมาเขียนแบบก่อสร้าง แบบขออนุญาติ คุยกับวิศวกร
เลือกวัสดุตกแต่ง คุยกับเซลล์ ไปจนถึงคุยกับเจ้าหน้าที่เขต ผู้รับเหมา
ช่างก่อสร้าง รับผิดชอบโปรเจคนั้นๆไปเลยคนเดียว" เสียงทุ้มอธิบายในขณะที่หมุนพวงมาลัยบังคับให้รถวนรอบต้นแก้วเจ้าจอมก่อนจะขับออกไป
"แต่ออฟฟิศของพ่อคุณมีแผนกต่างๆแยกไปจัดการเรื่องพวกนี้
แต่ละคนก็มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง เพราะมีกำลังคนเพียงพอที่จะทำแบบนั้นได้
อย่างการเซ็นต์ขออนุญาติก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ที่ต้องใช้สถาปนิกที่มีใบประกอบวิชาชีพระดับสามัญสถาปนิก
ในออฟฟิศผมก็มีแค่ผมคนเดียวที่เซ็นต์ได้ แต่ออฟฟิศพ่อคุณคงมีเป็นสิบๆคน
พ่อคุณถึงไม่ต้องเข้าออฟฟิศดึกๆดื่นๆเพื่อไปเซ็นต์เอกสาร"
"แต่ผมชอบบรรยากาศแบบออฟฟิศของอาจารย์มากกว่า" ใบหน้าที่กำลังมองถนนอมยิ้ม
"เอ่อ...แล้วก็...เรื่องคืนนี้…อย่าบอกพ่อผมนะครับ" เขาขอร้องด้วยเสียงตะกุกตะกัก
เขารู้มาว่าอาจารย์องศาเป็นรุ่นน้องของพ่อ ไม่รู้ว่ารู้จักกันมากแค่ไหน
"ผมก็ไม่มีเหตุอะไรให้ต้องคุยกับพ่อคุณอยู่แล้วนี่ วางใจเถอะ" เสียงทุ้มตอบมาให้เบาใจ
"แต่ผมก็เห็นด้วยกับพ่อคุณนะ
ว่าการขับรถไปต่างจังหวัดดึกๆดื่นๆแบบนี้มันอันตราย คุณยังเด็ก" แล้วอาจารย์ก็เริ่มบทเทศนา
ใบหน้ามนจึงฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์
"ฮ่า ผมอายุ21ปีแล้วนะครับ บรรลุนิติภาวะแล้ว"
อาจารย์เหลือบมองเขาก่อนจะยกยิ้มมุมปากแล้วหันกลับไปมองถนน
"เพราะงั้น…อาจารย์ไม่โดนจับข้อหาพรากผู้เยาว์แน่นอนครับ"
เสียงใสเรียบๆเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เล่นเอาอาจารย์องศาแทบจะเบรกหัวทิ่ม
"เดี๋ยวเถอะ"
“ฮ่าๆๆๆ” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
แกล้งอาจารย์องศาก็สนุกดีเหมือนกันแหะ
"ที่ผมพูดนี่ไม่ใช่ว่าจะบ่นคุณหรืออะไรหรอกนะ แต่ผมเป็นห่วง แล้วก็…ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบวันนี้ขึ้นอีก ให้คุณนึกถึงผม โทรหาผม เข้าใจไหมครับ?"
อุก
จู่ๆก็เหมือนโดนหมัดฮุกจากคำพูดตรงไปตรงมาที่แสนอ่อนโยนนั่น
"อาจารย์…ทำแบบนี้กับลูกศิษย์ทุกคนรึเปล่าครับ?"
เขาหันไปจ้องอีกฝ่ายอย่างต้องการคำตอบ
"ไม่ครับ เพราะไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายอยู่ในสายตาของผมเหมือนคุณ
ผมได้รู้จักคุณมากกว่าที่รู้จักลูกศิษย์คนอื่นๆ
ผมจะเป็นห่วงคนที่ผมรู้จักมากกว่ามันก็คงไม่แปลก" แล้วอาจารย์ก็ตอบมาตามตรง
แต่คำตอบที่แสนตรงไปตรงมานั่นก็ทำให้หัวใจเต้นแปลกไปโดยไม่รู้ตัว
"ผมก็แค่ยืมโซฟานอนเท่านั้นเอง วุ่นวายที่ไหน" ใบหน้ามนอมยิ้มก่อนจะก้มมองสองมือที่วางอยู่บนหน้าตักของตน
น่าเสียดายที่ระยะทางนั้นแสนสั้น
ไม่นานก็ถึงบ้านของพวกเขาแล้ว...
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
มันจะชิวมากอย่างที่เคยบอก
มันจะเป็นเรื่องราวความรักที่ค่อยๆก่อเกิดค่อยๆเป็นค่อยๆไป
ตัวละครก็จะเป็นเหมือนคนทั่วไปไม่ได้มีปมอะไรมากมาย แต่เอาจริงๆแล้วคุณกวางชอบแต่งนิยายแนวนี้แบบที่สุดเลย555 แบบที่ต้องผูกปมดราม่าเยอะๆน่ะแต่งไปก็ปวดหัวไป จำไม่ค่อยจะได้อีก ชีวิต
หรืออย่างที่มีNCหนักๆอันนั้นก็ต้องใช้พลังมหาศาล
แต่แบบที่ค่อยๆรักกันไปเรื่อยๆ หวานๆกันไปมันดีต่อใจคนแต่งที่สุดแร้ว
ที่พูดมาทั้งหมดนี่คือจะบอกว่าคุณกวางมันตั้งใจแต่งจริงๆนะ!
ถึงจะดูไม่ค่อยมีเนื้อเรื่องอะไรแต่ตั้งใจจริงจริ๊งงงง แง๊
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามด้วยน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น