KW Original [องศาxพายุ] องศา π (พาย) : 01

 KW Original [องศาxพายุ]  องศา π (พาย) : 01

 

: KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า

: องศา x พายุ

: Warmhearted Romantic

: PG-15(ไปก่อน555)

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด

           : อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

            

 

เสียงเอี๊ยดๆดังก้องไปทั่วโถงทางเดินเมื่อพื้นรองเท้าหนังเสียดสีไปกับพื้นหินขัดที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของการใช้งาน 

 

บริเวณที่เคยมีคนขวักไขว่บัดนี้กลับเงียบไปถนัดตาเพราะแดดที่เคยร้อนแรงกลับอ่อนแสงลงจนกลายเป็นสีส้มไปแล้ว

 

ดูเหมือนพรุ่งนี้จะไม่มีปีไหนส่งงานสินะ? ที่คณะถึงได้เงียบสงบไร้ผู้ไร้คนแบบนี้? ใบหน้าที่สะอาดหมดจดและหล่อเหลาราวกับราชนิกุลครุ่นคิด

 

 

[รองศาสตราจารย์ องศา พิรุณณภักดิ์ ณ อยุธยา]

 

 

ดวงตาเยือกเย็นเหลือบมองป้ายชื่อที่ติดอยู่หน้าห้องเล็กน้อยก่อนมือใหญ่จะหมุนลูกบิดโดยไม่จำเป็นต้องเคาะประตูก่อน

 

ก็นี่มันเป็นห้องพักอาจารย์ของเขาเอง 

 

มือใหญ่ขยับคลายเนคไทที่ผูกจนติดคอออกเล็กน้อยเพราะยังไงเสียก็เป็นเวลาเลิกงานแล้วแถมเขายังอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างจะส่วนตัวด้วย

 

เฮ้อ

 

ใบหน้าเคร่งขรึมถอนหายใจออกไปเพราะคิดว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง ถึงห้องพักอาจารย์ภาควิชาออกแบบของเขาจะมีอาจารย์ผู้ช่วยคนอื่นอยู่ด้วย แต่ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว น่าจะกลับบ้านกันหมดแล้วละ 

 

มือใหญ่วางหนังสือเล่มหนาที่แวะไปยืมมาจากห้องสมุดลงบนโต๊ะวางของแถวหน้าห้องอย่างไม่ใส่ใจ นิ้วยาวปลดกระดุมที่แขนเสื้อออกก่อนจะพับมันขึ้นมาจนถึงข้อศอก ที่นี่คือคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศไทย ไม่ใช่แค่นักศึกษาคณะนี้หรอกที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร บรรดาอาจารย์เองก็อาร์ตติสไม่แพ้กันนั่นแหละ หลายคนจึงมีสไตล์การแต่งตัวเป็นของตัวเอง 

 

อาจารย์องศา พิรุณณภักดิ์ ณ อยุธยาก็เช่นกัน

 

ไม่ว่าจะร้อนตับแตกขนาดไหนเขาก็ยังใส่เสื้อเชิ้ตสวมทับด้วยกั๊กสูท และถ้าออกไปข้างนอกก็จะคลุมด้วยสูทเข้ารูปอีกที เรียกว่าเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าจนนักศึกษาพากันเรียกเขาว่าเทพเจ้าไม่ก็เทพบุตรอะไรสักอย่าง?

 

ก็นะถึงตอนเป็นนักศึกษาจะแต่งตัวเซอร์ขนาดไหน แต่พอทำงานแล้วก็ต้องให้มันดูภูมิฐานตามหลักสากลโลกนั่นแหละ

 

แล้วในขณะที่สายตาค่อยๆละจากแขนเสื้อขึ้นมาเพื่อมองไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ร่างทั้งร่างกลับต้องหยุดชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่กองอยู่บนโซฟารับแขกในห้อง

 

อะไรน่ะ?

 

กองผ้าสีดำๆนั่นมีมือขาวซีดโผล่ออกมา มีใบหน้าไร้ชีวิตชีวาที่กำลังหลับตาพริ้ม...นี่มัน...ผี? หรือตุ๊กตา?

 

หรือว่าตุ๊กตาผี?!!

 

แล้วเมื่อขายาวก้าวไปยืนจ้องมองร่างกายที่ดูแปลกตานั่นด้วยความสงสัย เขาจึงรับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่ตุ๊กตา แต่เป็นคน….?

 

ร่างสูงใหญ่เอียงตัวเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเด็กคนนั้นให้ชัดๆ แว่บแรกเขาจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นตุ๊กตาก็คงไม่แปลกเพราะร่างกายผอมบางนั่นไม่ได้อยู่ในเสื้อยืดกางเกงยีนส์เซอร์ๆเหมือนเด็กถาปัดทั่วไป แต่ร่างที่กำลังหลับเป็นตายอยู่นี้ใส่ชุดสีดำสนิทแนวโกธิคพังก์

 

เสื้อตัวนอกบางๆนั้นยาวคลุมเข่ารุ่ยร่าย เสื้อตัวในคอกว้างขาดบ้างซ้อนทับกันหลายๆชั้นบ้างอย่างตั้งใจ กางเกงขายาวขาดเป็นริ้วจนเห็นผิวขาวๆกับรองเท้าบูทหุ้มข้อสูง แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นสีดำ และเจ้าตัวก็นอนตะแคงขดตัวน้อยๆหลับสนิทอยู่บนโซฟาของเขา

 

ดวงตาเยือกเย็นจ้องมองใบหน้าได้รูปที่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย แพขนตายาวยังคงปิดแนบแก้มใส นอนนิ่งราวกับตุ๊กตาไม่ก็ภูตแห่งความตายเลยจริงๆ 

 

ดีนะที่เขารู้จักเด็กคนนี้ จึงไม่คิดว่าเจ้าตุ๊กตาโกธิคนี่เป็นผีถึงแม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยได้มองหน้าใกล้ๆขนาดนี้มาก่อนก็เถอะ

 

นักศึกษาปีสามที่เขาสอนอยู่

 

ใบหน้าสุขุมเหลือบมองกระดาษแบบร่างยับๆที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาหรือว่าจะมารอตรวจแบบกับเขา?

 

ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่จะมีนักศึกษามารอตรวจแบบนอกรอบกับเขาเย็นย่ำขนาดนี้ เพราะอาจารย์หัวหน้าวิชาที่สอนปีสูงๆแบบเขาใช่ว่าจะมีเวลาว่างและไม่ได้เข้าคณะทุกวัน เขาจะเข้ามาเฉพาะวันที่มีเลคเชอร์และมีตรวจแบบกลุ่มเท่านั้น

 

ต้องอธิบายก่อนว่าเวลานักศึกษาคณะสถาปัตย์ได้รับโปรเจคสักโปรเจคมา ก็จะมีการแบ่งนักศึกษาให้อาจารย์แต่ละคนที่สอนในวิชานั้นดูแล อย่างวิชาออกแบบของเขาจะมีเขาเป็นหัวหน้าวิชาและจะมีอาจารย์ผู้ช่วยอีกสามคน รวมเป็นสี่คน เราก็จะหารเฉลี่ยนักศึกษาทั้งชั้นปีที่เรียนวิชานี้ให้อาจารย์แต่ละคนเป็นที่ปรึกษา นักศึกษาต้องหาเวลาไปตรวจแบบกับอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเอง เพราะเวลาในคาบเรียนนั้นจะใช้ไปกับการตรวจแบบกลุ่มมากกว่า พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือนักศึกษาจะต้องตรวจแบบเดี่ยวๆกับอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเองก่อน จากนั้นจึงจะถูกอาจารย์ทุกคนช่วยกันตรวจแบบกลุ่มอีกครั้ง

 

นักศึกษา”    เสียงทุ้มลองเรียกดูก่อน แต่ปฏิกิริยาตอบกลับก็มีเพียงความนิ่งสนิท 

 

นักศึกษา”   คราวนี้เขาใช้มือช่วยเขย่าด้วย แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ยังไม่ตื่นเขาพยายามปลุกอีกฝ่ายอยู่หลายนาที แต่คนที่อดหลับอดนอนมาหลายคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาเลย

 

“.....”    ร่างสูงใหญ่ถอยออกมายืนมองอย่างไม่รู้จะทำยังไง รู้สึกว่าปีสามเพิ่งจะส่งโปรเจคคอนหรือวิชาโครงสร้างเมื่อเช้ากันสินะ? ถึงได้หลับจนฟ้าผ่าไฟไหม้ก็ยังไม่รู้เรื่องแบบนี้

 

ช่วยไม่ได้

 

ขายาวเดินกลับไปนั่งลงหลังโต๊ะทำงานของตนอย่างใจเย็น ท่ามกลางกองหนังสืออ้างอิงท่วมหัวมือใหญ่หยิบหนังสือArchitectที่เพิ่งไปยืมมาเพื่อเปิดอ่านรอ เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่กลับไปก่อน

 

แต่บรรยากาศเงียบสงบจากการรอให้ใครสักคนตื่นขึ้นมาแบบนี้เขาก็ไม่ได้รังเกียจนักหรอก

 

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล ต่อให้จะไม่มีการเรียนการสอนแล้วแต่ที่สนามบาสซึ่งอยู่กลางระหว่างคณะทั้งสี่ยังคงเปิดไฟสว่างไสว ยังคงมีนักศึกษาเล่นบาสกันเสียงดัง ยังคงมีนักศึกษาในชุดไปรเวทเดินเข้าออกราวกับเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะเป็นมหาวิทยาลัยทางศิลปะ บรรยากาศจึงต่างจากมหาวิทยาลัยทั่วไป ทุกคณะไม่ได้มีแต่ห้องที่ใช้แค่เลคเชอร์ แต่ยังมีสตูดิโอให้นักศึกษาเอาไว้ทำงานอีกด้วย แต่ละคณะแต่ละชั้นปีที่ส่งงานไม่พร้อมกันจึงทำให้มีนักศึกษาเวียนมาใช้งานจนเหมือนมีคนอยู่ตลอดเวลา อย่างที่คณะของเขาเอง ชั้นบนสุดก็เป็นล็อกเกอร์ของพวกปีสี่กับปีห้า โดยเฉพาะพวกปีห้าที่ใช้เวลาทั้งปีไปกับการทำThesisหรือวิทยานิพนธ์ก็แทบจะอยู่อาศัยมันที่ล็อคนั่นแหละ 

 

ใบหน้าหล่อเหลาเงยจากหนังสือในมือหลังจากใช้สมาธิจมอยู่กับมันจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงดังโวยวายที่มาจากสนามบาส

 

มืดขนาดนี้แล้วเหรอ?

 

เสี้ยวใบหน้าคมคายละจากหน้าต่างกระจกหลังจากหันไปมองภายนอกที่มืดสนิท ในใจกลับมาครุ่นคิดว่าจะปลุกเจ้าคนที่นอนหลับอยู่นั่นยังไงดี

 

แต่แล้วก็ราวกับมีเสียงสวรรค์ โทรศัพท์ที่ไม่ใช่ของเขาส่งเสียงดังลั่นขึ้นจากบนโซฟา

 

“BEWAREEE!!!”    เสียงว๊ากจากเพลงเมทัลทำเอาสะดุ้งโหยงเพราะจู่ๆมันก็ดังกระโชกโฮกฮากขึ้นมาทำไมถึงเอามาตั้งเป็นริงโทนเนี่ย? ให้ตายเถอะ

 

มันดังอยู่พักใหญ่ ดังแบบไม่เลิกลาถ้าเจ้าของมันไม่ลุกขึ้นมากดรับ แล้วในที่สุดคนที่หลับเป็นตายก็ทนไม่ไหว

 

"อือ…"    มือขาวซีดยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูก่อนจะตอบกลับไปด้วยเสียงงัวเงีย ทุกการเคลื่อนไหวล้วนอยู่ในสายตาเจ้าของห้องอย่างเขา

 

"ไอ้เชี่ยพาย มึงอยู่ไหนวะ? กูเข้าบ้านไม่ได้เนี่ย พวกแม่งนัดกูมาตัดโมแต่เสือกยังเล่นบาสอยู่มหาลัย"   เสียงปลายสายดังมาถึงนี่เพราะโทรศัพท์มันค่อยๆไหลจากหูลงไปอยู่ที่ซอกคอ

 

"....กูหลับอยู่…"   เสียงนุ่มๆตอบกลับไปทั้งที่ยังไม่ลืมตา

 

"เออ มึงลงมาเปิดประตูให้กูแป๊บดิ๊ ยุงกัดชิปหายแล้วเนี่ย"    ปลายสายน่าจะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน เท่าที่เขารู้ เด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างจะโดดเด่นมากในคณะที่เด่นอยู่แล้วของเขา

 

"อือ…"    ร่างในชุดโกธิคพังก์ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งอย่างเชื่องช้าเหมือนคนความดันต่ำ ดวงตาค่อยๆเปิดขึ้นแล้วกระพริบปริบๆเหมือนกำลังเรียกสติ เด็กถาปัดเวลาอดนอนนานๆก็จะมีสภาพเหมือนผีดิบแบบนี้แหละ

 

"ธีร์กูนอนอยู่ที่ไหนวะ? กูไม่ได้อยู่บ้านนี่?"    เสียงใสที่ดูจะมีสติมากขึ้น?พูดใส่โทรศัพท์จนเขาถึงกับลอบขำพรืด

 

".........แล้วกูจะรู้กับมึงไหม?...เชี่ยพาย มึงเอาอีกแล้วเหรอ กูบอกกี่ครั้งแล้วให้แข็งใจไว้ต่อให้พื้นถนนจะน่านอนแค่ไหนมึงก็อย่าล้มตัวลงไป มึงลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย"    ยิ่งฟังบทสนทนาเขาก็ยิ่งอมยิ้มจนไหล่สั่น

 

"กูไม่ได้นอนอยู่ข้างถนน แต่เหมือนจะเป็นห้องพักอาจารย์?"    ใบหน้าที่สวยได้รูปจนแยกได้ยากว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกวาดตามองรอบกายแบบเบลอๆ กรอบผมสีดำยาวระต้นคอที่มัดครึ่งหัวไว้ลวกๆยุ่งเหยิงเล็กน้อยแต่กลับน่ามองจนละสายตาไม่ได้ง่ายๆเลย

 

".....มึงไปทำเชี่ยไรห้องพักอาจารย์?"

 

"กูนึกก่อน............"    แล้วใบหน้าเบลอๆก็ทำท่าเหมือนกำลังนึกอยู่จริงๆ

 

"อ๋อ กูจะเอาแบบมาให้อาจารย์องศาตรวจ แต่กูเผลอหลับไปชิปหายละ มืดแล้วนี่หว่า อาจารย์ไม่เห็นว่ากูนอนอยู่ตรงนี้แน่เลย"   ใบหน้ามนเหมือนจะเริ่มตื่นเต็มตา

 

มึงอยู่กลุ่มอาจารย์องศาเหรอ? มึงไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกกูเหรอ? ทำไมปีนี้ตัดกลุ่มแปลกๆวะ?”   ปลายสายจะถามแบบนั้นก็ไม่แปลกเพราะเท่าที่เขารู้ เด็กก๊วนนี้เลขรหัสนักศึกษาจะเรียงกัน สนิทกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งเพราะโต๊ะเขียนแบบในสตูจะถูกจัดให้อยู่ติดกันตามเลขรหัส แล้วแต่ละคนก็เป็นพวกเด็กแนว? นั่นแหละ ถึงได้บอกว่าเด็กกลุ่มนี้โดดเด่นกันทุกคน แล้วด้วยความที่เลขรหัสเรียงกัน จึงตรวจแบบกับอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกันตลอด 

 

ยกเว้นคราวนี้

 

“....กูว่าใช่นะ? กูถึงได้มาตรวจแบบอยู่คนเดียวนี่ไง

 

"...มึงนี่นะช่างหัวพวกมึงละ กูไปเซ็นฯปิ่นก็แล้วกัน มึงจะนอนต่อที่นั่นหรือจะกลับบ้านก็แล้วแต่มึงเถอะกูไม่ไหวกับยุงบ้านมึงละ"

 

"อืม"   โทรศัพท์ตัดสายไปแค่นั้น แล้วเด็กหนุ่มก็เลือกที่จะนอนต่อซะงั้น?! ร่างโปร่งล้มตัวลงบนโซฟาหน้าตาเฉยจนคนที่มองอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือก 

 

ถ้าไม่รีบรั้งเอาไว้ไม่รู้จะหลับยันเช้าเลยไหม เขาไม่ได้มีเวลามานั่งเฝ้าทั้งคืนนะ

 

"นักศึกษา"   เสียงทุ้มจึงเอ่ยเรียกออกไป

 

เงียบ

 

"นักศึกษา…"    เขาก็รู้อยู่หรอกว่าเด็กถาปัดมีความสามารถเรื่องหลับไวหลับที่ไหนก็ได้ขอแค่ให้ได้หลับ แต่นี่มันจะไวเกินไปไหม?

 

เฮ้อ

 

"พายุ"   ชื่อของอีกฝ่ายถูกเรียกออกไป คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มีนักศึกษารวมกันทั้ง 5 ชั้นปีไม่ถึง 450 คน แล้วคนที่โดดเด่นขนาดนี้ทำไมอาจารย์อย่างเขาจะไม่รู้จัก

 

"พายุ!"

 

"อือ?..."   ได้ผล เด็กนั่นผงกหัวขึ้นมาหันมองอย่างมึนงงก่อนจะลุกขึ้นมาทำหน้างัวเงีย

 

"ใคร? คณะมีผีบ้านผีเรือนด้วยเหรอ?"    เสียงใสบ่นงึมงำ

 

"ผมเอง"   เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม

 

"หื๋อ?"   ร่างในชุดสีดำหันมามองอย่างเบลอๆ

 

"อาจารย์ของคุณไง"

 

"อาจารย์…?"    ดูเหมือนจะยังประมวลผลไม่เสร็จ นี่ไม่ได้นอนมากี่คืนกันแน่เนี่ย?

 

"ครับ อาจารย์องศาเองครับ ตื่นมาตรวจแบบได้แล้วครับ"   ใบหน้าหล่อเหลาพูดไปคิ้วกระตุกไป

 

"เอ๊ะ? ทำไมอาจารย์มาอยู่ตรงนี้ล่ะ?” 

 

ก็รอให้คุณตื่นอยู่ไงครับ

 

?? อย่าบอกนะว่านั่งรอผมอยู่ตรงนี้มาตลอดเลย? ทำไมไม่ปลุกล่ะครับ…"   ใบหน้ามนดูเหมือนจะเริ่มตื่นเต็มตาอีกครั้ง ร่างโปร่งจึงลุกขึ้นนั่งดีๆ

 

"ผมปลุกคุณจนไม่รู้จะปลุกยังไงแล้ว เอาเถอะ ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนค่อยมาดูแบบกัน"

 

"ครับ…"    เด็กคนนั้นปิดปากหาวก่อนจะเดินโงนเงนออกจากห้องไป

 

"อย่าไปหลับต่อในห้องน้ำล่ะ รีบกลับมา"    เสียงทุ้มตะโกนไล่หลังจริงๆเลย

 

ผ่านไปหลายสิบนาทีกว่าร่างในชุดสีดำจะกลับมาพร้อมด้วยหน้าตาที่ดูสดใสขึ้น ไรผมสีดำเปียกชื้นน้อยๆบ่งบอกว่าเด็กคนนี้คงจะเพิ่งล้างหน้ามา ผมเผ้าที่เคยยุ่งเหยิงก็ถูกรวบไปมัดครึ่งหัวใหม่ ในสายตาคนทั่วไปเด็กคนนี้น่าจะเท่ห์มากทีเดียว ทั้งยังเป็นตัวของตัวเอง มีสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร ใบหน้าที่เรียบเฉยไร้อารมณ์ราวกับอยู่แต่ในโลกของตัวเองนั่นก็ดูมีเสน่ห์ และนอกจากภาพลักษณ์ที่ดูแหวกแนวแล้วเขายังรู้มาจากอาจารย์ภาควิชาดีไซน์ด้วยกันอีกว่าเด็กคนนี้เก่งมากทีเดียว

 

สมกับที่เป็นทายาทของสถาปนิกชื่อดังอันดับต้นๆของประเทศและเจ้าของออฟฟิศ Architect ที่ออกแบบตึกสูงเพียงไม่กี่เจ้าในไทย

 

ก่อนอื่น พิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของคุณมา”    มือใหญ่ดันโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งไปตรงหน้าเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะนั่งลงมาบนโซฟา

 

ครับ?”    ใบหน้ามนทำหน้างง

 

นั่นโทรศัพท์ผมเอง ไม่มีอะไรน่าสงสัยหรอก ผมจะเอาไว้โทรปลุกเวลาคุณมาหลับรอตรวจแบบอีก”   ก็อย่างที่เห็น ว่าวิธีการปลุกเจ้าเด็กโกธิคพังก์ตรงหน้าแบบได้ผลที่สุดก็คือการโทรปลุก

 

อ่อ ครับ…”    มือบางรับโทรศัพท์ไปพิมพ์ เขาจึงเพิ่งเห็นว่านิ้วทั้งสิบนั่นทาเล็บสีดำด้วย

 

ต่อให้เป็นในคณะสถาปัตย์ก็เถอะนะ แต่คนที่จะใช้ชีวิตประจำวันด้วยการแต่งตัวแบบนี้ก็คงหาแทบไม่มี สายตาและความสนใจของเขาจะถูกเด็กคนนี้ดึงดูดเอาก็คงจะไม่แปลก

 

เสียงกรอบแกรบๆดังขึ้นเมื่อมือบางคลี่กระดาษแบบร่างออก ในนั้นมีเส้นสเก็ตง่ายๆของแปลนอาคารหลังหนึ่ง

 

"คอนเซ็ปต์คืออะไรครับ?"   ก่อนจะไปถึงฟังก์ชั่นและแปลนอาคาร สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดของวิชาออกแบบก็คือแนวคิดในการสร้างอาคารหลังนี้ขึ้นมา เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดแนวทางในการออกแบบรวมไปถึงหน้าตาของตัวอาคารด้วย 

 

เท่าที่เขาสอนมาเป็นสิบปีคอนเซ็ปต์อย่าง โปร่ง โล่ง สบายนั้นพบเจอได้ง่ายที่สุด แต่ส่วนใหญ่แล้วด้วยความที่ยังเป็นเด็ก ยังไม่ถูกผูกมัดด้วยราคาค่าก่อสร้างหรือกฎหมาย คอนเซ็ปต์ที่เด็กๆพยายามคิดมาจึงสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยความฝันและฟุ้งเฟ้อได้เท่าที่ต้องการ 

 

แต่ถึงจะเคยเจอแนวคิดที่นอกกรอบมาขนาดไหน เขาก็ไม่เคยเจอที่นอกกรอบขนาดนี้มาก่อน

 

"โกธิคครับ"    ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับนิ่งค้างไปเมื่อได้ยินคอนเซ็ปต์นั่นหลุดออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อ

 

"........."    ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เขาถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว 

 

"คุณอยู่ปีอะไรนะครับ? ปีสองหรือปีสาม? อันนี้มาตรวจแบบบ้านพักอาศัยหรือว่าโรงเรียนอนุบาล?"    ก็ถ้าเป็นบ้านพักอาศัยหรืออาคารทั่วไปจะใช้คอนเซ็ปต์แบบนี้ก็ยังเข้าใจได้ แต่โปรเจคดีไซน์ของปีสามที่เขากำลังสอนอยู่นี้มันเป็นการออแบบโรงเรียนอนุบาลน่ะสิ!

 

"ปีสามครับ แล้วก็มาตรวจแบบโรงเรียนอนุบาล"    ใบหน้ามนยังคงตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

".........."   โรงเรียนอนุบาลกับคอนเซ็ปต์โกธิค? …ภาพสนามเด็กเล่นเวอร์ชั่นทิมเบอร์ตันลอยเข้ามาในหัวทันทีม้ากระดกที่ตั้งอยู่กลางสุสานงี้เหรอ? หรือว่าสไลเดอร์ที่ไหลลงไปเจอโครงกระดูก

 

"เอ่อขอโทษที่อึ้งไป แต่ไม่เคยเจอใครที่คิดคอนเซ็ปต์แนวนี้มาก่อนไหนลองเล่าให้อาจารย์ฟังซิ ว่าคุณคิดอะไรมา"   เขาลองเปิดกว้างและฟังเด็กคนนี้ก่อนก็แล้วกัน

 

"!?.....จะฟังจริงๆเหรอครับ!"    จู่ๆดวงตาที่เรียบเฉยมาตลอดก็เป็นประกาย ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มาตลอดกลับยิ้มให้จนคนเป็นอาจารย์ถึงกับอึ้งไปอีกรอบ

 

ก็การที่จะได้ยินคำพูดแบบนี้จากอาจารย์หรือใครก็ตามมันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของร่างโปร่งบางมาก ใบหน้ามนจึงยิ้มออกมาอย่างยินดี

 

ปฏิกิริยาอย่างอาการอ้าปากค้างหรือหัวเราะออกมานั้นเขาก็คิดมาแล้วว่าคงจะเจอ แต่ไม่คิดจริงๆว่าอาจารย์จะยอมฟัง นึกว่าจะให้เขาเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ไปเลยซะอีก

 

"ก็ในโจทย์ไม่ได้กำหนดมานี่ครับ ว่าเจ้าของโรงเรียนอนุบาลเป็นใคร อาจจะเป็นโบสถ์คริสเตียนก็ได้นี่ครับ ผมก็เลยอยากลองทำโรงเรียนอนุบาลของโบสถ์ดู"   เสียงนุ่มอธิบายอย่างฉะฉานและนั่นก็ทำให้คนที่กำลังนั่งลูบคางเข้าใจได้ในทันที

 

"ผมเข้าใจละ โกธิคที่เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมสินะครับ ไม่ใช่โกธิคที่เป็นสไตล์การแต่งตัวของคุณ"   อาจารย์องศายิ้มหลังจากที่พูดจบ แต่ไม่รู้ทำไมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นปนหยอกเย้านั้นกลับทำให้แก้มใสถึงกับร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัว

 

อาจารย์ก็สังเกตเห็นตัวเขาด้วยสินะถึงได้รู้ว่าเขาแต่งตัวแนวไหน

 

คงเป็นเพราะอีกฝ่ายคืออาจารย์องศาที่ใครๆก็บอกว่าเป็นเหมือนเทพบุตรที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก พอคิดว่าคนแบบนั้นก็สังเกตเห็นมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเขาด้วย ความรู้สึกอันแปลกประหลาดจึงก่อเกิดขึ้นมา

 

เรื่องคอนเซ็ปต์ผมไม่ติดอะไรนะครับ มันน่าสนใจดี ผมชักอยากจะรู้แล้วว่าคุณจะออกแบบมันยังไง?”     ดวงตาสุขุมเหลือบมองใบหน้ามนที่ดูอึ้งๆเล็กน้อย เด็กคนนี้ดูท่าจะเก่งสมคำล่ำลือที่มีมาในภาควิชาออกแบบ ความคิดที่ซับซ้อนและจินตนาการในภาพที่ไม่เหมือนใครนั้นทำให้คนเป็นอาจารย์รู้สึกสนใจ เพราะไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีนักศึกษาตีโจทย์ไปในเชิงลึกขนาดนี้

 

แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือใบหน้านิ่งๆที่กล้าพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาตรงๆนั่นมากกว่า ไม่มีหวั่นไหวหรือประหม่าเลยแม้แต่น้อยความมั่นใจในตัวเอง ก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติซึ่งสถาปนิกควรมีและเด็กคนนี้ก็มีมันอย่างเต็มเปี่ยม

 

ไหนเอาไดอะแกรมฟังก์ชั่นมาให้ผมดูหน่อย

 

ครับ…”    มือบางเลื่อนแผ่นกระดาษที่เป็นรูปบับเบิ้ลไดอะแกรมวงกลมมาให้ดู  

 

การตรวจแบบนอกรอบยังดำเนินต่อไป เสียงพูดคุยถกประเด็นของแปลนที่ยังไม่ลงตัวยังคงดังอยู่อีกพักใหญ่



 

 

 

 

 

กว่าจะได้กลับบ้านก็ดึกเลยแหะ

 

ดวงตาสีดำทอดมองท้องน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลง ร่างทั้งร่างถูกปล่อยไปตามแรงโยกของเรือข้ามฟากที่มักจะโคลงเคลงไปมาตามกระแสของแม่น้ำเจ้าพระยา  …พายุ ธารธารากุลกำลังกลับบ้านที่อยู่แถวตีนสะพานปิ่นเกล้า

 

ปอยผมประบ่าที่หลุดรุ่ยจากการรวบครึ่งหัวไว้ลวกๆปลิวไปตามสายลม ใบหน้ามนเหม่อลอยถึงแม้ในหัวจะครุ่นคิดถึงช่วงเวลาชั่วโมงกว่าๆที่ผ่านมา

 

จะว่าโดนล้มแบบก็ไม่เชิงแต่การตรวจแบบเมื่อกี้นี้ก็ทำให้เขาต้องกลับไปแก้แปลนขนานใหญ่ เพราะนอกจากสนามเด็กเล่นรูปไม้กางเขนตรงกลางแล้วมันก็แทบไม่เหลืออะไรที่ยังเป็นเค้าเดิม… 

 

ก็นะถึงมันจะน่าเจ็บปวดไปบ้างแต่หลายๆอย่างที่อาจารย์องศาจี้จุดมามันก็ทำให้เขาค้นพบปัญหาของอาคารที่เขาไม่ทันคิดมาก่อนเลยจริงๆ

 

ต่างกันที่ประสบการณ์และมุมมองสินะ?

 

แล้วก็ถึงจะดูเป็นสุภาพบุรุษที่นุ่มนวลและใจดี แต่อาจารย์องศากลับไม่ยอมอ่อนข้อให้แบบของเขาแม้แต่น้อย ตรงไหนที่ยังดูแปลกดูไม่ลงตัวริมฝีปากคมคายนั่นก็จะวิจารณ์มันออกมาตรงๆ ซึ่งเขาก็เถียงไม่ออกเพราะทุกข้อมันถูกรองรับด้วยเหตุผล

 

ปลายนิ้วเรียวเขี่ยลูบกระดาษร่างที่ถูกแก้จนยับเยินก่อนจะถอนหายใจออกมา

 

เอาเถอะยังไงนี่ก็เป็นการตรวจแบบครั้งแรก ถ้าไม่เคยถูกล้มแบบก็ไม่ใช่เด็กถาปัดแล้ว แค่นี้ ไม่เจ็บเท่าไหร่ร้อก~

 

พาย มึงร้องไห้ทำไมวะ? จารย์องศารังแกมึงเหรอ? ดูจากรอยแดงเถือกที่ทะลุแบบออกมาก็คงเป็นแบบนั้นสินะ? ฮ่าๆๆ”    เสียงที่ดังขึ้นข้างๆทำเอาคนที่บอกตัวเองว่าไม่เจ็บเท่าไหร่ถึงกับสะอึกไป  หัวสกินเฮดกับใบหน้าที่ดูเหมือนพวกแบดบอยเถื่อนๆของไอ้เก้ายื่นเข้ามามองอย่างล้อเลียน

 

เขาลืมบอกไป ว่าเขาไม่ได้กลับบ้านคนเดียว แต่ไอ้พวกเพื่อนสนิทที่เล่นบาสรอเขาอยู่อีกสามคนก็กลับมาพร้อมกัน

 

มึงจะย้ำเพื่อ? กูไม่ได้ร้อง ฮืออออ”   หน้าผากมนหันไปโขกกับเสาเรืออย่างช้ำใจ ยังไงมันก็เป็นแบบร่างที่เขาใช้เวลาคิดมาหลายวันเลยนะ!

 

ฮ่าๆๆๆ หันมาให้กูดูซิ”   ต้นแขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยรอยสักล็อคคอก่อนจะดึงใบหน้ามนให้หันไปหา นิ้วยาวลูบหน้าลูบตาให้ ช่างเป็นการปลอบใจตามประสาเพื่อนที่ดิบเถื่อนน่าดู 

 

แต่ก็นะ ในบรรดาเพื่อนสนิทกลุ่มห้าคนของเขา เขาซี้กับไอ้เก้ามากที่สุดแล้ว

 

ขนาดไอ้พายยังโดนล้มแบบไม่เหลือซากขนาดนี้ ทั้งชั้นปีคงไม่มีใครผ่านแล้วว่ะ อาจารย์องศาแม่งโหดจริง”   เสียงชิวๆดังมาจากคนที่นั่งถัดไป ไอ้ไม้เป็นคนที่ใจเย็นที่สุดในกลุ่ม เย็นจนบางทีก็ไม่แน่ใจว่ามันตามเพื่อนทันไหม? ใบหน้าเหมือนไม่เคยโกรธใครมาก่อนในชาตินี้อมยิ้มอยู่ภายใต้กรอบผมยาวที่ถูกรวบไว้ที่ท้ายทอย ถ้าให้เปรียบเป็นตุ๊กตาก็น่าจะอารมณ์เอลฟ์หล่อๆสักตัวแหละหมอนี่

 

ดีนะที่พวกเราอีกสี่คนไม่ได้อยู่กลุ่มนั้น”    เสียงทุ้มดังมาจากอีกข้างของตัวเขา ไอ้ภาคนั่งเอนหลังสบายๆเอาแขนยันกับม้านั่งไว้  ภายใต้กรอบผมเดธร็อคนั่นคือใบหน้าที่ถูกกล่าวขานกันว่าหล่อที่สุดในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์รุ่นปัจจุบัน แล้วไอ้ภาคเนี่ยก็เป็นหลานชายเจ้าของบ้านที่พวกเราเช่าอยู่ด้วยกันในตอนนี้

 

พวกมึงจะทิ้งกูเหรอ”    เขาหันหน้าไปหาเรื่องพวกมันเพราะมีเพียงเขาคนเดียวที่ไม่ได้ตรวจแบบกลุ่มเดียวกัน

 

ถ้าพวกกูทิ้งมึงจะเล่นบาสรอมึงตรวจแบบไหม? เดี๋ยวแวะแดกข้าวก่อนเข้าบ้านไหมวะ หิวอ่ะ”   ประโยคสุดท้ายไอ้เก้าหันไปคุยกับไอ้ภาคทั้งที่ยังเอาท่อนแขนพาดไว้ที่คอเขา พวกเราห้าคนสนิทกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แล้วยิ่งในคณะที่แทบจะกินนอนอยู่ด้วยกันทั้งปีทั้งชาติอย่างสถาปัตย์ พวกเราจึงยิ่งสนิทกันมากกว่าปกติ

 

เอาดิ ว่าแต่มีใครโทรบอกไอ้ธีร์ยังวะ?”   ไอ้ภาคถามถึงเพื่อนอีกคนในกลุ่มขึ้นมา หมอนี่น่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตคอนทราสในตัวเองที่สุดแล้ว ก็ถึงจะไว้ผมเดธร็อคให้ดูโหดๆคูลๆแต่กลับเป็นคุณชายขนานแท้ เป็นคนชอบดูแลแต่ก็เข้าถึงยากและไว้ตัว

 

กู แต่มันไม่รับ ไม่ใช่ว่าไปหลับอยู่ในโรงหนังจนเค้าลากออกมาอีกนะ?”   ไอ้ไม้ตอบพลางมองหน้าพวกเราก่อนจะพากันขำพรืดกับวีรกรรมของเพื่อนสนิท

 

แล้วก็เสือกแปะเบอร์กูไว้ที่หน้าจอโทรศัพท์อีกแหน่ะ อายชิบหายตอนโรงหนังโทรมาบอกให้ไปเอาตัวมันกลับเพราะปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ฮึ ฮ่าๆๆ”   ไอ้ภาคขำ ด้วยความที่สนิทกับไอ้ธีร์จนแทบจะถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแล เวลาไอ้บ้าหัวร้อนนั่นไปก่อเรื่องที่ไหนก็เป็นไอ้ภาคนี่แหละที่เป็นคนคอยไปเคลียร์ให้

 

ก็ดีกว่ากูไหม? ตอนไอ้พายแม่งหลับอยู่บนรถทัวร์จากนครปฐมมากรุงเทพแล้วกูนึกว่ามันเดินตามกูลงรถมาแต่เปล่าเลย มันยังหลับอยู่หลังรถ ฮ่าๆๆ จนรถแม่งวนกลับไปนครปฐมแล้ววนกลับมากรุงเทพใหม่มันก็ยังไม่ตื่น แล้วกูต้องไปค้นตามรถทุกคันเพราะไม่รู้มันอยู่คันไหน ตอนขึ้นกูก็เบลอตอนลงกูก็เบลอ พ่อมันแทบจะกินหัวกูตายที่ทำลูกชายเค้าหาย ฮ่าๆๆ”    ไอ้เก้าดันขุดยุคมืดของเขามาเล่าซะได้ วันนั้นทำเอาวุ่นวายกันไปทั้งคณะ เพราะพ่อของเขาแทบจะปิดสายใต้ใหม่ค้นรถทัวร์มันทุกคันให้รู้แล้วรู้รอด

 

ทำอย่างกับพวกมึงไม่เคย กูยังสงสารพวกรุ่นพี่วิดยาตอนปีหนึ่งไม่หาย อุตส่าห์แต่งเป็นผีวันฮาโลวีนมาหลอกแต่พวกมึงเสือกหลับเป็นตายจนเค้าคิดว่ามึงตายแล้วจริงๆ พาส่งโรงพยาบาลกันให้วุ่นวายอ่ะ”    ไอ้ไม้พูดได้ดี เพราะนี่เป็นเรื่องของไอ้เก้ากับไอ้ภาคสมัยที่อยู่หอใน ตอนปีหนึ่งรุ่นของพวกเขายังทันที่ต้องไปเรียนที่นครปฐมและวิทยาเขตที่นั่นก็มีคณะสายวิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ อักษรศาสตร์ รวมทั้งวิศวกรรมศาสตร์อยู่

 

แล้วก็ถ้าคิดว่าคนเรามันจะหลับขนาดนั้นได้ยังไงคุณก็ลองอดนอนซักสองอาทิตย์ดู 

 

เชี่ยแต่ตอนนั้นกูตกใจจริงๆนะที่ตื่นมาข้างๆห้องดับจิต กูยังนึกว่ากูตายไปแล้วเลย ฮ่าๆๆ

 

ใบหน้ามนหัวเราะออกมา พวกมันยังคงหาเรื่องคุยกันได้ไม่มีวันจบ จากเรื่องวีรกรรมการนอนของแต่ละคนไปจนถึงผลบอลเมื่อคืน เรื่องงานรีดีไซน์ที่ต้องทำส่งอาจารย์ไปจนถึง Mies van der Rohe สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่

 

เขาค่อยๆปล่อยให้เสียงของเพื่อนๆเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเพราะตอนนี้กำลังมีอะไรบางอย่างวนเวียนอยู่ในหัว

 

ที่จริงถึงการตรวจแบบจะล้มเหลวไม่เป็นท่า….แต่ว่านะใบหน้าของอาจารย์องศาเนี่ยมันต้นแบบดอลล์ 1:3 ดีๆนี่เอง

 

ก็นอกจากการตรวจแบบที่ตรงไปตรงมาแล้ว อีกอย่างหนึ่งซึ่งมักจะดึงดูดสายตาของเขาอย่างปฏิเสธได้ยากก็คือใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับรูปสลักจากฝีมือพระเจ้าของอาจารย์องศานั่นแหละ เขาเพิ่งเคยได้มองใบหน้านั้นใกล้ๆเป็นครั้งแรก เพิ่งได้ตระหนักถึงคำกล่าวที่ว่าอาจารย์องศาคือเทพบุตรแห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มันไม่เกินจริงเลยสักนิด

 

น่าเอาไปปั้นชะมัด

 

 

 

 

 

 

บ้านไม้ริมน้ำที่สร้างตั้งแต่สมัย ร.6 กลับฟื้นคืนชีวิตเมื่อพวกเขากลับมา บ้านที่เคยเย็นชืดและมืดสนิทกลับคึกครื้นขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟทุกดวงถูกเปิดจนสว่างไสว

 

ความจริงแล้วคนที่อาศัยอยู่ที่นี่หลักๆมีเพียงเขา ไอ้เก้า ไอ้ภาคซึ่งมีบ้านอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัย แต่คนบ้านใกล้อย่างไอ้ไม้กับไอ้ธีร์ก็มักจะมาสิงอยู่ที่นี่จนบ้านช่องแทบไม่กลับเช่นกัน

 

"เชี่ยพาย ห้องมึงนี่ยังน่าสยดสยองเหมือนเคยเลยนะ มีแต่หัวตุ๊กตาที่กำลังปั้นอยู่เต็มไปหมด แล้วมึงอย่าเอาลูกกะตามาวางไว้กลางทางเดินอย่างงี้สิวะ เดี๋ยวกูก็เหยียบ!”  พูดถึงไอ้ธีร์ ไอ้ธีร์ก็มาเลย วันนี้มันไม่ได้ไปหลับอยู่ในโรงหนัง แต่กลับถึงบ้านหลังพวกเขาไม่นาน หัวกัดสีบรอนด์อ่อนๆเข้ากับผิวขาวสะอาดของมันกำลังก้มลงมาไล่สายตามองบรรดาลูกรัก(?)ของเขาอยู่ ถ้าถามว่าไอ้ธีร์เป็นแนวไหนก็ตอบได้ไม่ยากเพราะมันเหมือนพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นเท่ห์ๆเซอร์ๆที่หลุดออกมาจากมังงะยังไงอย่างงั้น

 

จะมีแค่ปากหมาๆชอบด่าไว้ก่อนกับความหัวร้อนนี่แหละที่ดูจะแปลผกผันกับรูปร่างหน้าตาไปไกล

 

“ถ้ามึงเหยียบก็จ่ายมาห้าพัน จบ”

 

“สัส ลูกตาห่าไรแพงจังวะ”    ร่างสูงสมส่วนเดินเลี่ยงกล่องใส่ลูกตาที่คงจะไหลตกลงไปจากเตียง

 

"ทำไมมึงไม่ไปเรียนจิตรกรรมให้รู้แล้วรู้รอดไปวะ? จะได้ปั้นตุ๊กตาพวกนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน"    นิ้วยาวจิ้มๆลงไปบนริมฝีปากดินปั้นของหัวดอลล์ต้นแบบหัวหนึ่ง

 

อ้อที่จริงแล้วเขาเป็นสายดอลล์และชอบเล่นพวกตุ๊กตา BJD มาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เขาเล่นมานานและเชี่ยวชาญจนถึงขั้นปั้นหัวตุ๊กตาเองได้แล้ว ในห้องของเขาจึงเต็มไปด้วยชิ้นส่วนตุ๊กตาไม่ว่าจะหัวที่ยังปั้นไม่เสร็จ วิกผม ลูกตา แขนขา มือ เท้า บอร์ดี้ เรียกว่าอุปกรณ์ยิ่งรกคูณสองจากห้องเด็กถาปัดทั่วไปอีก

 

"พ่อมันจับมาดัดสันดานที่นี่ไม่รู้เหรอ พ่อมันบอกว่าไม่มีคณะไหนฝึกความอดทนและทำให้มันเป็นผู้เป็นคนได้เท่าถาปัดแล้ว ฮ่าๆๆ"    ไอ้เก้าเดินเข้ามาก่อนจะวางแอดจัสหรือไม้สามเหลี่ยมปรับมุมได้ที่แอบมาแฮปของเขาไปคืนไว้ให้บนโต๊ะเขียนแบบ

 

"มึงอย่ามาจับหัวลูกกู ถอยไปๆ ถ้าพ่อไม่จับลูกกูเป็นตัวประกันไว้ ป่านนี้กูไปเรียนตัดเสื้อผ้าตุ๊กตาอยู่ปารีสแล้ว"    พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ยังโมโหพ่อไม่หาย เขาดันหลังไอ้ธีร์ให้หลบไปก่อนจะโยนแบบร่างไว้บนเตียงที่แทบไม่มีที่นอน

 

แม่เขาเสียไปตั้งแต่ยังเด็กๆ เขาจึงกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อ พ่อตามใจเขาทุกอย่างก็จริง แต่ยกเว้นเรื่องเรียนต่อนี่แหละที่ความคิดไม่เคยจะลงรอยกันจนถึงขั้นต้องจับราฟาเอลลูกรักของเขาเป็นตัวประกันไว้ เขาน่ะ ไม่ได้อยากจะเรียนสถาปัตย์มาตั้งแต่แรกหรอก

 

"....กูเป็นพ่อมึงกูก็คงทำทุกวิถีทางให้มึงเรียนถาปัดว่ะ มึงดูแถวA+ ที่ต่อท้ายวิชาในใบเกรดของมึงดิ๊"    ไอ้ธีร์พูดอย่างเหม็นขี้หน้า แน่นอนว่าได้เวลาขิงของเขาแล้ว

 

"กูต้องทำเพื่อลูก ขอโทษพวกมึงด้วยว่ะที่เกรดกูเกินหน้าเกินตา ถ้าวิชาดีไซน์กูต่ำกว่า B+เมื่อไหร่ พ่อใจยักษ์กูจะพรากลูกน้อยไปจากกู~"   ไหล่บางยักขึ้นอย่างน่าหมั่นไส้ก่อนจะเดินไปลูบหัวลูซิเฟอร์ ดอลล์ขนาด78ซม.ที่นั่งไขว่ห้างอย่างหล่ออยู่บนเก้าอี้หลุยส์

 

".........ลูกมึงนี่สเกลเท่าไหร่นะ?"    ไอ้ธีร์หรี่ตามอง

 

"1:3"

 

"อืม"    มันพยักหน้าปลงๆก่อนจะเดินกอดอกออกจากห้องไป ช่วยไม่ได้ เขาก็รักของเขานี่นา

 

 

 

 

 

 

ไอ้ไม้แม่งหลับไปแล้วนี่หว่า แล้วกูจะได้ตัดโมไหมวันนี้?”    ได้ยินเสียงไอ้ธีร์ดังอยู่ที่ระเบียง เขาจึงเดินเข้าไปหลังจากแวะหยิบขวดชาเขียวในครัว

 

บนชั้นสองจะมีระเบียงไม้ขนาดใหญ่พอที่จะเอาโซฟาออกมาตั้งได้ จากตรงนี้มองเห็นเรือและแสงไฟจากแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจนเพราะมันอยู่ติดริมน้ำ พวกเขามักจะใช้พื้นที่ตรงนี้มานั่งชิวกัน ถึงตอนนี้จะสี่ทุ่มกว่าแล้วแต่สำหรับพวกเขามันยังหัวค่ำ

 

พวกมึงตัดโมอะไรกันวะ?”   เขาเดินไปนั่งแหมะบนพนักโซฟายาวซึ่งมีไอ้ไม้หลับพาดคาอยู่ ไอ้ธีร์พยายามแซะๆดันๆตัวมันเข้าไปเพื่อที่จะนั่งด้วย ส่วนไอ้ภาคนั่งดีดกีต้าอยู่ที่โซฟาเดี่ยวอีกตัว

 

โมคอนทัวร์ภูเขาที่ได้มาจากอาจารย์ไง     ไอ้ธีร์ตอบ

 

อ้อ งานพิเศษ”     มือบางวางขวดชาลงบนโต๊ะไม้หน้าโซฟาก่อนจะหยิบขนมที่ใครสักคนแหกถุงเอาไว้มาใส่ปาก

 

พายมึงไถหัวให้กูหน่อย”   ไอ้เก้าถือบัตตาเลี่ยนมายื่นให้ก่อนจะนั่งลงไปบนพื้นตรงหน้าเขา หัวมันนี่ไม่ใช่สกินเฮดธรรมดาแต่มักจะมีรอยบากเท่ห์ๆติดอยู่ด้วยเสมอ และมันก็เป็นฝีมือเขาทั้งนั้น

 

“....ตกลงพวกมึงจะตัดโมกันไหมวะ ถ้าไม่ตัดแล้วเรียกกูมาทำไมเนี่ย?!”    ไอ้ธีร์ยังมีความพยายามที่จะลากพวกมันไปตัดโมเดล

 

เรียกมึงมาโวยวายแหละ หนวกหูดี”   ไอ้เก้าตอบกวนตีนใส่

 

สัส”    ไอ้ธีร์โวยวายอย่างไม่มีใครสนใจ เพราะไอ้ภาคยังคงนั่งดีดกีต้าของมันไป ส่วนเขากับไอ้เก้าก็

 

จะให้กูไถเป็นคำว่าอะไร?”

 

“BEFORE YOU DIE”

 

อย่างเท่ห์

 

“พวกมึง แบบร่างโบสถ์ถาปัดไทยนี่ส่งเมื่อไหร่นะ?”    แล้วจู่ๆไอ้ธีร์มันก็เหมือนจะนึกอะไรออกขึ้นมา ที่มหาวิทยาลัยของเขาค่อนข้างพิเศษ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยทางศิลปะจึงแยกคณะอย่างจิตรกรรม สถาปัตยกรรม และมัณฑณศิลป์ออกจากกัน จึงทำให้ในคณะสถาปัตย์เองมีเพียงสองสาขาวิชานั่นก็คือสถาปัตยกรรมหลักกับสถาปัตยกรรมไทย จะไม่มีสถาปัตย์ภายใน ภูมิสถาปัตย์หรือออกแบบผลิตภัณฑ์เหมือนที่อื่น และในช่วงปีหนึ่งปีสองทั้งสองสาขาก็แทบจะเรียนเหมือนกันหมด ทั้งชั้นปี70กว่าคนจึงอยู่ด้วยกันตลอด จะเริ่มมาแยกก็ปีสามนี่แหละที่พวกถาปัดไทยจะไปเรียนเจาะลึกเกี่ยวกับอาคารทางไทย ส่วนพวกเขาถาปัดหลักก็จะไปทางอาคารสาธารณะกับตึกสูง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีวิชาดีไซน์ไทยตัวสุดท้ายที่พวกเขายังต้องเรียนด้วยอยู่

 

ไอ้เก้าที่มือว่างอยู่จึงเปิดไลน์กรุ๊ปของสตูดู แน่นอนว่าในนั้นหัวหน้าชั้นปีกำลังพ่นไฟเตือนว่าพรุ่งนี้มีตรวจแบบร่างถาปัดไทยนะโว้ย

 

“.....พรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ?”    แล้วหลังจากที่ไอ้เก้าพูดจบ ไอ้ภาคก็วางกีต้าลงอย่างเงียบเชียบ ไอ้ธีร์ค่อยๆลุกขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียง เขาเองก็ปิดบัตตาเลี่ยนแล้วส่งคืนไอ้เก้ามันไป

 

“..............”    ทุกคนต่างแยกย้ายไปยังโต๊ะดร๊าฟของตัวเองโดยไม่พูดไม่จา...ยกเว้นไอ้ธีร์ที่เดินดุ่มๆกลับมา

 

“เชี่ยไม้ มึงตื่นเดี๋ยวนี้! พรุ่งนี้ต้องส่งแบบร่างโบสถ์โว้ยยยย!    มือที่เส้นเลือดขึ้นชัดกระชากคอเพื่อนรักขึ้นมาจากโซฟา

 

“อือ...ขอห้านาที....”

 

“ห้านาทีห่าไร่ล่ะ! มึงคิดว่าโบสถ์นี่มึงจะสเก็ตสองชั่วโมงเสร็จรึไง ลุกขึ้นมา!

 

แล้วเสียงเพลงก็ยังคงเปิดคลอไปทั้งคืน เช่นเดียวกับแสงไฟที่ยังสว่างไสวไปยันเช้า พวกเขาไม่ได้ปิดประตูห้องแต่เปิดอ้าคาไว้ เพราะงั้นจึงมีคนเดินไปเดินมา ทั้งพูดจาและตะโกนปลุกกันอยู่ตลอด

 

 

คืนนี้...ก็ไม่ได้นอนอีกแล้วสินะ...

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

To be con.

 

อะ แอบเปิดไหใหม่อีกแล้ว555 แถมยังเป็นไหที่นับว่าใหม่มากสำหรับคุณกวางด้วยยยย จะรอดไม่รอดหนอ แต่ก็อยากจะแต่งต่อเรื่อยๆนะะะ

 

เพราะมีแต่คำว่าครั้งแรกเต็มไปหมดเลยค่ะไหนี้ ^ ^a เป็นนิยายออริเรื่องแรกในชีวิตเพราะที่ผ่านมาแต่งแต่ฟิคมาตลอด  ตัวละครเป็นคนไทยมีชื่อไทยครั้งแรกในชีวิต โลเคชั่นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในชีวิต  เขียนเกี่ยวกับมหาลัยและสัมมาอาชีพตัวเองเกือบๆจะครั้งแรกในชีวิต 5555 เพราะครั้งแรกน่าจะเป็นเรื่อง ในห้องที่แสงส่องไม่ถึง ที่ให้เอเลนเป็นเด็กถาปัด แต่ก็ไม่ได้ลงลึกเท่าไหร่ ส่วนเรื่องนี้น่าจะมาแบบจัดเต็มทั้งฝั่งเด็กๆที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยและฝั่งอาจารย์องศาที่เป็นเจ้าของออฟฟิศArchitect จะได้เห็นการต่อสู้(?)ของสถาปนิกวัยทำงานด้วยงี้ 555  ยังไงก็ฝากติดตามนิยายชิวๆเรื่องนี้ด้วยนะค้า ก็คือใครหวังเนื้อเรื่องดราม่าน้ำตาท่วมตับพังอะไรงี้ไม่มีนะคะในนิยายเรื่องนี้555 แกดูสภาพตัวละครฉันแต่ละคนสิ เอาให้มันตื่นมาใช้ชีวิตให้ได้ก่อนนน

 

ส่วนฟิค หรือรักเรียกหา , ยักษ์ , GLIDE 2x4 ที่มีคนทวงมามากมายในช่วงนี้ คุณกวางจะรีบมาต่อให้น้า ไม่ได้หายไปไหนแต่ยุ่งสุดอะไรสุดเลยค่ะช่วงนี้ แง๊ เวลาเห็นคอมเม้นต์ทวงมาก็สะดุ้งสะเทือนทุกครั้งอยู่นะ รอหน่อยน้า ส่วนองศาพายที่ลงได้เพราะมันมีแต่งเก็บไว้ในสต็อกอยู่บ้างแล้ว เลยเอามาลงกันบลอกร้างและบอกทุกคนว่าคุณกวางมันยังมีชีวิตอยู่ววว555

 

ขอบคุณทุกๆท่านที่หลงเข้ามาอ่านมากๆนะคะ ถ้าชอบก็จะดีใจมากๆเลยค่ะ >/////<

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น