Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 31 : END
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
:
Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
:
Warmhearted
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
รถบัสแล่นออกจากสนามบินนาฮะบนเกาะโอกินาว่าก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่โรงแรมที่พักซึ่งอยู่ในตัวเมือง
และเมื่อรถขนนักเรียนคันนี้แล่นเข้ามาจอดยังดร็อปออฟของโรงแรมห้าดาวที่ตั้งอยู่ติดกับชายทะเล
เด็กมัธยมปลายในสูทสีน้ำตาลนับร้อยชีวิตก็เดินลงมาจากรถอย่างเป็นระเบียบ
ตอนนี้...ชั้นปีที่สองของโรงเรียนคิริซากิแผนกมัธยมปลายกำลังมาทัศนศึกษาที่โอกินาว่ากัน
“หยิบกระเป๋าของตัวเองแล้วเข้าไปนั่งรอที่ล็อบบี้นะ
เดี๋ยวครูจะแจกกุญแจห้องให้”
ครูที่ปรึกษาของแต่ละห้องต่างตะโกนบอกนักเรียนของตน
มือใหญ่ของฟูจิวาระ
ชูจึงหยิบกระเป๋ากีฬาใบใหญ่ของชมรมยิงธนูไปสะพายบ่าเอาไว้แล้วเดินเข้าโรงแรมไปพร้อมกับเพื่อนร่วมห้อง
“ถึงจะเป็นห้องรวมแต่ก็นอนได้แค่ห้องละแปดคนเองว่ะ
น่าเสียดายจริงๆ”
เพื่อนคนหนึ่งเปิดบทสนธนาขึ้นมา
“นั่นดิ
ว่าจะชวนเล่นไพ่กันซะหน่อย ฮ่าๆๆ”
เสียงเริ่มดังโหวกเหวกสมกับที่มีแต่เด็กม.ปลายมารวมตัวกัน
ล็อบบี้โรงแรมหรูที่เคยเงียบสงบจนถึงเมื่อครู่จึงดูคึกครื้นขึ้นถนัดตา
“แปดคนแล้วไงวะ
หลังอาจารย์เดินตรวจแล้วค่อยมารวมตัวกันก็ได้นี่หว่า” เพื่อนในห้องยังคุยกันต่อ
เพราะเป็นโรงแรมแบบโมเดิร์นจึงไม่มีห้องใหญ่ที่สามารถลากฟูกไปนอนรวมกันได้เยอะๆเหมือนเรียวกัง
แต่ละห้องจึงมีเตียงพอให้นอนได้แค่นั้น
“โอ้ส
ตามนั้น เจอกันห้องพวกนายแล้วกัน”
เพื่อนๆนัดกันเสร็จสรรพ
เพราะก่อนที่จะแลนดิ้งก็ได้มีการประกาศรายชื่อให้รู้บนเครื่องบินไปแล้วว่าใครพักห้องเดียวกับใครบ้าง
ยกเว้นฟูจิวาระ
ชูที่ไม่มีชื่ออยู่ในห้องไหนเลย
“เอ๊ะ
ฟูจิวาระ นายอยู่ห้องไหนนะ?”
เพื่อนคนหนึ่งหันมาถาม
“ฉันนอนห้องเดี่ยวน่ะ” แล้วคำตอบของเขาก็ทำให้เพื่อนหลายคนที่เรียนม.ต้นห้องเดียวกันมาต่างทำหน้าประหลาดใจ
“อ้าว?
ปกตินายชอบนอนห้องรวมไม่ใช่เหรอ?
ตอนม.ต้นน่ะขนาดจองห้องเดี่ยวไว้ให้นายยังชอบมามุดอยู่ที่ฟูกของนารุมิยะตลอดเลย
ขำกันแทบตาย”
“ตอนกลางคืนฉันมีธุระต้องทำน่ะ
เลยไม่อยากรบกวนพวกนาย” เขาตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาเคยชอบห้องรวมเสียที่ไหน
ทำไมเขาจะต้องมานอนห้องรวมแสนวุ่นวายที่ไม่มีมินาโตะด้วย
“อ้าวเหรอ
ไม่เป็นไร เรื่องของที่บ้านสินะ? เข้าใจเลย ฮ่าๆๆ”
เพราะทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลฟูจิวาระอย่างเขาถูกมองว่าไม่ใช่เด็กม.ปลายธรรมดาๆอยู่แล้ว
เพื่อนๆเลยไม่ติดใจสงสัยอะไรเพราะต่างก็คิดว่าเขาน่าจะกำลังเรียนรู้งานของที่บ้านอยู่
“อื้ม
เรื่องของคนที่บ้านนั่นแหละ”
ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มบางๆเพราะนึกถึงคนที่บ้านคนนั้น
น่าจะกำลังเรียนวิชาเคมีในคาบสุดท้ายอยู่สินะ
มินาโตะน่ะ
มือใหญ่วางกระเป๋าลงบนเตียงคิงไซส์ในห้องสวีทแสนกว้างใหญ่หลังจากรออาจารย์ที่ปรึกษานำกุญแจมาแจกอยู่สักพัก
ดวงตาเหลือบมองนาฬิกา มินาโตะน่าจะซ้อมยิงธนูอยู่ที่ชมรม
ถ้างั้นเขาอาบน้ำก่อนแล้วค่อยโทรหาก็แล้วกัน
แล้วธุระที่ฟูจิวาระ
ชูว่าก็คือการวีดีโอคอลก่อกวนคนที่นึกว่าตัวเองจะได้นอนหลับสบายๆอยู่บ้านกับเค้าบ้างอย่างเขาน่ะสิ!
นารุมิยะ
มินาโตะนิ่วหน้าหรี่ตามองคนที่นั่งอยู่ในจอ
“มินาโตะ?
เผลอหลับเหรอ? ลุกอาบน้ำเถอะนอนทั้งแบบนั้นเดี๋ยวไม่สบายเอา”
“ครับๆ” ร่างโปร่งลุกขึ้นนั่งงัวเงีย
มือบางยกขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ ข้างนอกมืดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? พอไม่มีชูอยู่ด้วยเขาก็เผลอหลับไปเฉยเลย
“หื๋อ?
นายไม่ได้อยู่โอกินาว่าเหรอชู?”
ดวงตากลมโตจ้องเข้าไปในหน้าจอโทรศัพท์เมื่อสังเกตเห็นว่าชูนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายๆอยู่บนโซฟาหรูหราตัวใหญ่
ต่างจากภาพที่เขาคิดไว้ว่ามันน่าจะมีแต่ความวุ่นวายของเพื่อนร่วมห้อง
“โอกินาว่าสิ” ชูจึงหยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกไปที่ระเบียง
เสียงคลื่นซัดสาดดังแว่วมาให้ได้ยินทันที
“นั่นไง
ทะเลของโอกินาว่า แต่มันมืดแล้วอาจจะมองไม่ค่อยเห็นอะไร” ชูยืนเท้าราวกันตกคุยกับเขาต่อ
ภาพที่กล้องของชูแพลนไปคือทะเลสีดำที่กำลังมีน้ำขึ้น
ก่อนจะหันกลับมาที่หน้าของตัวเอง
สายลมที่พัดให้เส้นผมสีชาพลิ้วไหวน้อยๆนั่นทำให้ชูราวกับพระเอกที่หลุดออกมาจากในนิยายเลยจริงๆ
“มินาโตะ?
ยังง่วงอยู่เหรอ?”
ชูปลุกเขาออกมาจากภวังค์ ใบหน้ามนจึงสะบัดไปมาเรียกสติ
แต่ก่อนที่จะได้คุยอะไรกันไปมากกว่านั้น
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูก็ทำให้ชูต้องหันกลับไปดูพร้อมกับเดินไปเปิดประตู
“ครับ?” แล้วใบหน้าที่โผล่มาก็คือใบหน้าของเพื่อนร่วมห้อง
ถ้าจำไม่ผิด ชูเคยบอกว่าคนนี้เป็นหัวหน้าห้อง
“ฟูจิวาระ
เดี๋ยวห้องเราจะมีนัดทดสอบความกล้า นายก็ไปด้วยกันนะ” เพื่อนคนนั้นเอ่ยบอก
“อื้ม
เข้าใจแล้ว” ชูก็ตอบตกลงอย่างไม่ติดอะไร
ถึงชูจะเป็นประเภทที่ไม่สุงสิงกับใครแต่ก็ไม่ได้ตัดขาดกับสังคม
ชูยังคงพูดคุยกับเพื่อนตามปกติ ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของห้องตามปกติ
เพียงแต่จะมีระยะที่เพื่อนๆก็น่าจะดูออกว่าจะก้าวเข้าไปไม่ได้อยู่
คือ...ถ้าเป็นเด็กม.ปลายทั่วไป
เพื่อนๆจะต้องพากันมาบุกสำรวจห้องพักของชูแล้ว
แต่นี่กลับไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่มยามเลยสักคน
ทุกคนยังเกรงใจชูและเอาแต่คิดว่าชูอยู่คนละระดับกับตัวเอง
“ทุ่มนึงนะ
เจอกัน”
เพื่อนคนนั้นโบกมือก่อนจะเดินจากไป
ชูลงไปที่ล็อบบี้ตามเวลาที่นัดเอาไว้แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมปิดวีดีโอคอลที่กำลังคุยอยู่กับเขา
เลยมีเพื่อนสมัยม.ต้นที่เขาคุ้นหน้าโผล่มาทักทายอยู่หลายราย
“พวกนายนี่คุยกันตลอดเลยเหรอ?
ตอนอยู่ม.ต้นก็ตัวติดกันเป็นตังเมขนาดนั้นยังไม่พออีกหรือไงเนี่ย~
ฮ่าๆๆ”
เพื่อนเอ่ยแซวอย่างขำๆจึงทำให้มีอีกหลายคนที่เขาไม่รู้จักพยายามโผล่หน้ามาดู
ก็อย่างที่รู้กันว่าชูไม่ได้คบกับใครจนเรียกได้ว่าเพื่อนสนิทอีกหลังจากที่เขากับเซยะออกจากคิริซากิมา
ตอนนี้จึงมีคนมากมายอยากจะเก็บข้อมูลโดยมีเขาเป็นเป้าหมายว่าทำยังไงถึงสนิทกับคนอย่างฟูจิวาระ
ชูได้
“มากันครบยัง?” เสียงตะโกนนั้นน่าจะมาจากคนที่เป็นหัวหน้าห้อง
“ครบแล้ว” และใครสักคนหนึ่งก็ตอบกลับไป
“โอเค
เดี๋ยวเราจะไปทดสอบความกล้ากันที่ทางขึ้นศาลเจ้าข้างๆโรงแรมนี้กันนะ ให้แต่ละคนจับคู่เดินไปด้วยกันทีละสองคนนะ
แต่ละคู่จะเดินห่างกันประมาณสิบนาที ใครไปถึงทางออกแล้วก็ให้รออยู่ที่ลานบนศาลเจ้านะ” หัวหน้าห้องอธิบาย
แล้วแค่บอกออกมาว่าจะต้องไปเป็นคู่เท่านั้นแหละ
สายตาของผู้หญิงในห้องต่างก็จับจ้องมาที่เจ้าชายของคิริซากิเป็นตาเดียว
โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับชูขนาดนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ
ไม่นานเขาจึงได้ยินเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับชู
“เอ่อ...ฟูจิวาระคุง...ไม่ทราบว่ามีคู่หรือยัง?
ถ้ายังไงไปด้วยกันไหม?” เขามองไม่เห็นว่าคนพูดคือใคร
แต่ในใจก็แอบหวงหน่อยๆถึงจะรู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องก็ตาม
แต่!เพื่อนร่วมห้องที่เข้ามาถามชูก่อนแบบนี้ต้องมีจุดประสงค์แน่นอน!
“โทษทีนะ
ฉันมีคู่แล้วน่ะ” แต่แล้วชูก็พังทุกความคาดหวังของเด็กสาวเหล่านั้นทิ้งไปทันที
ไม่สิ พังความคาดหวังของเพื่อนผู้ชายที่คิดจะตีสนิทชูไปด้วยในคราวเดียวกันเลย
เมื่อมือใหญ่หันโทรศัพท์ที่วีดีโอคอลค้างอยู่ให้ดู
“ฉันจะไปกับเขา
ยังไงห้องเราก็มีเศษอยู่แล้ว พวกเธอจับคู่กันเองเถอะ” ชูเสียสละแบบหล่อๆก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
เฮ้ย?
แล้วไหงเขาต้องไปทดสอบความกล้าด้วยทั้งๆที่ตัวก็อยู่บ้านแบบนี้เนี่ย? นารุมิยะ
มินาโตะได้แต่อ้าปากค้างอย่างสงสัย
แล้วดูสายตาอำมหิตของเด็กสาวในห้องแต่ละคนที่ส่งมายังหน้าจอโทรศัพท์ของชูสิ
นี่มันน่าสยดสยองกว่าผีที่รออยู่อีกนะ จะทดสอบความกล้าแค่นี้ก็พอแล้วไหมนะ
“ชูนี่ละก็...” เสียงนุ่มบ่นงึมงำ
ชูเดินไปตามทางปูหินที่มีโคมไฟแบบญี่ปุ่นส่องแสงสลัวๆไล่เรียงกันไป
ความชื้นแฉะและความวังเวงทำให้บรรยากาศดูหลอนจนแทบไม่ต้องมีอะไรโผล่มาหลอกก็ยังสามารถขนหัวลุกเองได้
ดวงตากลมใสมองไปข้างหลังชูอย่างหวาดๆ
“จะว่าไปตอนทัศนศึกษาม.ต้น
เราสามคนก็ไม่เคยได้ไปทดสอบความกล้ากับเพื่อนในห้องเลยเนอะ? ทำไมกันนะ?
แล้วนายมาเดินคนเดียวแบบนี้ไม่กลัวเหรอชู?”
เขาชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบ
“กลัวอะไร
มินาโตะก็อยู่ด้วย ถ้ามินาโตะกลัวก็จับมือฉันสิ”
แล้วมือใหญ่ก็ยื่นเข้ามาในจอทำท่าจะให้จับ
“ฮะฮะฮะ” ใบหน้ามนจึงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ก่อนจะยื่นปลายนิ้วมาแตะที่หน้าจอเสมือนกับว่าจับเอาไว้แล้ว
“วีดีโอคอลนี่ดีเนอะ
ถ้าไม่มีมันฉันคงแย่แน่ คิดถึงมินาโตะแย่เลย”
“ไม่มีอาจจะดีก็ได้
นายคิดถึงใจคนที่ต้องอยู่กับนายตลอด24ชั่วโมงแบบฉันบ้างสิ
นายควรจะไปอยู่กับเพื่อนๆบ้างนะชู”
“ก็อยากทำแบบนั้นหรอก
แต่พอนั่งๆไปก็คิดถึงมินาโตะขึ้นมา ทำไงดีล่ะ?”
“เฮ้อ~ ฉันอาบน้ำก่อนนะ” เขาตั้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ที่อ่างล้างหน้าเพราะรู้ว่าชูคงไม่ยอมให้ปิดจนกว่าจะนอนแน่ๆ
มือบางแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกตามความเคยชิน
แน่นอนว่าโทรศัพท์เขานั้นหันเข้าหาแก้วสำหรับแปรงฟันอยู่จึงทำให้ชูมองไม่เห็นอะไร
แต่เสียงสวบสาบกลับยิ่งทำให้คนได้ฟังยิ่งจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่
“เอาเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยสิ” เสียงชูดังออกมาจากโทรศัพท์
“เดี๋ยวเถอะ” เขายู่หน้าใส่ก่อนจะเดินเข้าไปใต้ฝักบัว
สายน้ำเย็นฉ่ำที่ราดรดลงมาทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลย
“คืนนี้นายจะนอนดึกไหมชู?”
เสียงนุ่มฟังดูอู้อี้หน่อยๆเพราะอยู่ในห้องอาบน้ำที่เต็มไปด้วยเสียงสะท้อน
มือบางหยิบสบู่มาถูกายจนฟองเต็มตัว
“มีอะไรเหรอ?” เสียงทุ้มดังมาจากอีกฝั่งของกระจกฝ้า
“ว่าจะให้นายสอนการบ้านเลขหน่อย
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าอาจารย์สอนอะไรมา?”
ได้ยินเสียงชูหัวเราะในลำคอ
“ได้สิ
แต่ต้องมีค่าสอนนะมินาโตะ”
“ขี้งก
ไม่ใช่ว่านายเก็บค่าสอนไปล่วงหน้าแล้วหรือไง? คืนก่อนนายจะไปทัศนศึกษาฉันยังจำได้นะ” เขาเอ่ยอย่างคาดโทษ
พอจะไม่อยู่ทีนี่ชาร์ตแบตจากเขาไปเต็มที่มาก เล่นเอาเอวเคล็ดไปครึ่งค่อนวันแน่ะ
“หื๋ม?
เหรอ?” เจ้าตัวชูทำตีมึน
มือบางบิดก๊อกฝักบัวอีกครั้งเพื่อล้างตัว
ฟองสบู่ไหลลงไปตามขาก่อนจะตกลงสู่พื้นกระเบื้องแล้วไหลไปยังท่อระบายน้ำ
เขาหยิบผ้าขนหนูมาซับตามตัวแต่ยังไม่ทันจะเสร็จดีก็มีเสียงบางอย่างดังแว่วมาจากโทรศัพท์มือถือ
“กรี๊ดดด!” เป็นเสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิง?
ร่างโปร่งบางจึงวิ่งพรวดพราดออกมาจากห้องอาบน้ำแล้วหยิบมือถือขึ้นมาพลิกดู
เห็นชูกำลังวิ่งไปยังต้นเสียงด้วย
“โอ๊ย!!”
มีเสียงร้องดังขึ้นมาอีกเหมือนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะชู?”
เขามองหน้าจอที่ส่ายไปมาด้วยความกังวลว่าจะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น
“ไม่รู้เหมือนกัน” ชูตอบมาทั้งที่ยังวิ่งด้วยความเร็ว
“โอ๊ยๆ
เจ็บๆๆ” เสียงร้องนั้นดังใกล้เข้ามา
ในที่สุดชูก็เจอต้นตอของเสียงจนได้
เป็นเพื่อนร่วมห้องผู้หญิงสองคนที่น่าจะเป็นกลุ่มที่เข้ามาก่อนหน้าชู
“เกิดอะไรขึ้น?” ชูเข้าไปถามเด็กสาวทั้งสองคนทั้งที่ยังหอบ
เด็กสาวคนหนึ่งนั่งน้ำตาปริ่มอยู่ที่พื้นสีหน้าดูไม่ดีเลย
ส่วนอีกคนก็พยายามจะช่วยจับๆขาของเพื่อนที่ดูแล้วน่าจะขาแพลงซ้ำยังมีเลือดออกที่หัวเข่าอีกต่างหาก
“ฟูจิวาระคุง?” เด็กสาวคนที่ไม่ได้บาดเจ็บเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่คิดว่าคนที่ตามกลุ่มของเธอมาจะเป็นฟูจิวาระ
ชู
“เอ่อ
เคียวโกะจังหกล้มน่ะ คิดว่าน่าจะขาแพลง
แล้วทางเดินนี่ก็เป็นหินทั้งนั้นก็เลยโดนขูดจนเลือดออกเต็มไปหมดเลย ทำยังไงดี
พอจะลุกไหวไหมเคียวโกะจัง?”
เด็กสาวดูร้อนลนและเป็นห่วงเพื่อนของเธอ
เขารู้สึกคุ้นหน้าเด็กสาวคนนี้พอสมควรเลย
“เลือดออกเยอะเหมือนกันนะ
ต้องรีบพาไปปฐมพยาบาล”
ชูก้มลงไปมองสำรวจที่หัวเข่าและข้อเท้าของเด็กสาว
“เคียวโกะจังค่อยๆลุกขึ้นมานะ
เดี๋ยวฉันช่วยพยุง”
เด็กสาวพยายามจะประคองเพื่อนของเธอขึ้นมา แต่คนบาดเจ็บกลับมีสีหน้าเหยเก คงจะเจ็บหน้าดู
“เธอถือโทรศัพท์นี่ไว้ที”
แล้วจู่ๆชูก็ยัดโทรศัพท์มือถือที่มีเขาอยู่ในหน้าจอให้เด็กสาวคนที่ไม่ได้บาดเจ็บ
ก่อนจะหันไปอุ้มเด็กสาวคนที่ขาแพลงขึ้น ทำเอาทั้งสองคนถึงกับตะลึงตาค้าง
ก็คนอย่างฟูจิวาระ
ชูเนี่ยนะจะมาอุ้มพวกเธอ? ฝันไปรึเปล่า!
“ไม่ต้องวางสายนะ
ถือตามมาแบบนั้นแหละ” จนกระทั่งใบหน้าหล่อเหลาหันมาเอ่ยย้ำเธอจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
“อะเอ่อ
ค่ะ!”
เด็กสาวลุกลี้ลุกลนรีบวิ่งตามไป แน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาเขา
ชูก้าวขาเร็วมากทำให้เด็กสาวคนที่ถือเขาอยู่ต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดิน
เธอเหลือบลงมามองในหน้าจอ
ถ้าฟูจิวาระคุงไม่ได้บอกให้ปิดไปแบบนี้แสดงว่าไม่ได้เป็นความลับอะไร?
แล้วพอเธอเห็นว่าใครอยู่ในหน้าจอ เธอก็ชะงักค้างไปน้อยๆ
“นารุมิยะคุง?” เสียงของเด็กสาวทักทายขึ้น
“เอ่อ...ครับ” เขาตอบอย่างมึนงง เธอรู้จักเขาด้วยเหรอ?
“จำฉันได้ไหม?
เราเคยอยู่ห้องเดียวกันตอนม.ต้นไง”
คราวนี้เป็นเขาที่อ้าปากค้างบ้าง ถึงว่ารู้สึกคุ้นๆหน้า
แต่เขาก็นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าเธอชื่ออะไร เขานึกอยู่นานเพราะเป็นพวกแยกหน้าคนกับลูกธนูไม่ออกพอๆกับชู
จนเด็กสาวถึงกับหัวเราะออกมา
“ฮะฮะฮะ
นึกแล้วว่าต้องจำไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรนะ ตอนนั้นก็แทบไม่ได้คุยกันเลย” เพราะนารุมิยะคุงมีฟูจิวาระคุงกับทาเคฮายะคุงคอยห้อมล้อมปกป้อง?
เพื่อนคนอื่นจึงไม่กล้าเข้าไปคุยกับนารุมิยะคุง นั่นคือสิ่งที่เด็กสาวอยากจะบอก
“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะที่ยอมให้ฟูจิวาระคุงช่วยเคียวโกะจังเพื่อนของฉัน” ใบหน้ามนเอียงคออย่างมึนงง หื๋อ? ทำไมถึงมาขอบคุณเขาล่ะ?
ต้องขอบคุณชูสิ
“ก็...ฉันสังเกตมาตั้งแต่ตอนม.ต้นแล้ว
ถ้าเรื่องไหนที่นารุมิยะคุงไม่อนุญาต ฟูจิวาระคุงจะไม่ทำเด็ดขาด”
“เอ๋?
เป็นงั้นเหรอ?” เขาตอบรับอย่างงงๆเพราะไม่เคยรู้ตัวมาก่อน ชูหัวเราะเบาๆก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาในกล้อง
“เป็นงั้นแหละครับ”
ง่ะ จู่ๆใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเฉยเลย เขาถึงกับเขินหน้าดำหน้าแดง
เด็กสาวลอบมองเด็กหนุ่มทั้งสองคนแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าสองคนนี้น่าจะเป็นมากกว่าเพื่อนกันแน่ๆ
เพราะขนาดแค่จะช่วยเหลือพวกเธอ ฟูจิวาระคุงยังไม่ยอมทำลับหลังนารุมิยะคุงเลย
ที่ให้เธอถือวีดีโอคอลไว้ก็เพื่อให้นารุมิยะคุงได้เห็นทุกอย่าง
เพื่อให้ทางนั้นสบายใจแล้วก็ไม่ต้องคอยคิดมาก ซึ่งถ้าเป็นแค่เพื่อนผู้ชายด้วยกันมันก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้?
ก็อย่างที่รู้ๆกันว่ามีเด็กสาวมากมายใช้สารพัดวิธีเพื่อเข้าหาฟูจิวาระคุง
ถึงขนาดแกล้งบาดเจ็บเพื่อให้ฟูจิวาระคุงช่วยประคองหรืออุ้มก็ยังมี
แต่ฟูจิวาระคุงกลับไม่เคยยอมให้ใครเข้าใกล้เลย
จะเรียกอาจารย์บางทีถึงขั้นโทรเรียกหน่วยแพทย์ฉุกเฉินมาเลยก็ยังมีเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องไปแตะต้องเด็กสาวพวกนั้น
บอกตามตรงตอนที่เธอเห็นว่ากลุ่มที่ตามเธอมาเป็นใคร
เธอยังกังวลอยู่เลยว่าฟูจิวาระคุงจะยอมช่วยเพื่อนเธอหรือเปล่า
แต่เพราะมีนารุมิยะคุงอยู่ด้วยนั่นแหละ เจ้าชายของคิริซากิจึงยอมช่วยเหลือพวกเธอ
“ว่าแต่...นารุมิยะคุง...กำลังทำอะไรอยู่เหรอ...” เด็กสาวมองในจอแล้วก็รู้สึกว่าภาพของเด็กหนุ่มมันดู...จะว่าไงดี...ไม่น่ามีใครวีดีโอคอลด้วยสภาพแบบนี้ไหมนะ?
“อาบน้ำน่ะ
แต่เสร็จแล้วละ”
“เอ๋?
คุยกับฟูจิวาระคุงตอนกำลังอาบน้ำเนี่ยนะ....”
ท้ายประโยคแผ่วลงราวกับไม่อยากจะเชื่อและนั่นมันก็ทำให้ร่างโปร่งบางเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองเปลือยท่อนบนอยู่!
“อ๊ะ!
โทษที มัวแต่ตกใจที่ได้ยินเสียงร้อง”
เด็กสาวมองอ้าปากค้างแต่เป็นเพราะว่าอยู่ห้องเดียวกันตอนม.ต้นมาหลายปีเธอจึงพอจะรู้ว่านารุมิยะคุงก็เป็นคนแบบนี้แหละ
ดูเหม่อลอยไม่ค่อยจะมีสติ จะลืมว่าตัวเองไม่ได้ใส่เสื้ออยู่อาจจะไม่แปลก มั้ง?
“ใส่เสื้อก่อนสิมินาโตะ” ไม่สิๆๆ นี่มันแปลกแล้ว!
เด็กสาวทั้งสองหันมองเด็กหนุ่มสองคนที่คุยกันเป็นปกติ
ที่เธอว่าแปลกน่ะเพราะฝ่ายหนึ่งเป็นฟูจิวาระ ชูต่างหาก
ทั้งๆที่เว้นระยะห่างกับทุกคน ไม่เคยเข้าใกล้ใครเลยแต่กลับใกล้ชิดกับนารุมิยะคุงจนถึงขั้นคุยกันแม้แต่ตอนอาบน้ำเนี่ยนะ?
ไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วไหมแบบนี้?
เธอได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วลอบสังเกตทั้งสองคนต่อไป
“รู้แล้วน่า” คนในหน้าจอตอบพลางหายไปใส่เสื้อ
“ใส่กางเกงด้วย” แต่ฟูจิวาระคุงกลับหยอกเย้าต่อจนพวกเธอแทบจะแข็งเป็นหิน
“อ้า~! อย่าย้ำได้ไหม น่าอายจะตาย!” เสียงจากในจอดังขึ้นมาทั้งๆที่ไม่เห็นตัว
“ฮึ
ฮะฮะฮะ”
แล้วที่ช็อกกว่าก็คือจู่ๆใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักหินอ่อนนั่นก็หัวเราะขึ้นมา
ฟูจิวาระ ชูหัวเราะเป็นด้วย!! แถมดูอารมณ์ดีสุดๆแบบที่พวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต!
แล้วพอทั้งสามคนเดินถึงทางออก
เพื่อนๆในห้องต่างตกใจกันยกใหญ่
ตกใจที่เห็นเด็กสาวบาดเจ็บไม่พอยังตกใจที่เห็นว่าใครเป็นคนอุ้มเธอออกมา ก็ฟูจิวาระ
ชูเคยอุ้มใครแบบนี้เสียที่ไหน
“เดี๋ยวฉันพาเขาไปห้องพยาบาลนะ” ใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อะ
อื้ม” เพื่อนๆต่างตอบรับอย่างอึ้งๆ
ส่วนพวกสาวๆในห้องต่างก็อิจฉาเด็กสาวคนนั้นกันเป็นแถว ซึ่งเด็กสาวทั้งสองต่างก็อยากจะบอกว่าคนที่น่าอิจฉาที่สุดไม่ใช่พวกเธอ
แต่เป็นคนที่อยู่ในหน้าจอนี่ต่างหาก
ห้องรับรองห้องหนึ่งของโรงแรมถูกระบุเป็นตำแหน่งของห้องพยาบาลเผื่อกรณีฉุกเฉิน
พวกเขาจึงหามันได้ไม่ยาก เด็กสาวผู้บาดเจ็บถูกวางลงไปบนโซฟา ทว่า
“ดูเหมือนครูพยาบาลจะไม่อยู่
ทำยังไงดี มีแต่กระเป๋าพยาบาล” เด็กสาวที่ไม่ได้บาดเจ็บถือกระเป๋าใบใหญ่มาวางไว้บนโต๊ะด้วยสีหน้ากังวล
เลือดที่เข่าของเพื่อนเธอยังไหลซึมออกมาไม่หยุด
“ยังไงก็ห้ามเลือดก่อนเถอะ” แต่เจ้าชายแห่งคิริซากิกลับไม่ได้ตื่นตระหนกและยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยซึ่งมันดูพึ่งพาได้มากๆเลยในเวลาแบบนี้
ร่างสูงสง่าคุกเข่าลงไปอย่างไม่ถือตัวก่อนจะรับกล่องปฐมพยาบาลไปจากมือของเด็กสาว
มือใหญ่เปิดมันอย่างคล่องแคล่วก่อนจะหยิบขวดน้ำเกลือ สำลี ยาทาแผล
และอุปกรณ์ที่จะใช้ทั้งหมดออกมา
ปลายนิ้วยาวที่ใช้คีมคีบสำลีเช็ดไปรอบๆแผลนั้นดูคุ้นชินมากจนเด็กสาวผู้บาดเจ็บเอ่ยชื่นชมเพราะเธอรู้สึกถึงความเอาใจใส่และเบามือ
เธอไม่รู้สึกเจ็บเลย
“ฟูจิวาระคุงทำแผลเป็นด้วย
เก่งจัง” ใบหน้าของเธออดที่จะร้อนผ่าวไม่ได้เพราะคนที่กำลังทำแผลให้เธอนั้นเป็นถึงเจ้าชายของโรงเรียนเชียวนะ
แล้วใบหน้าของคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอนั้นก็หล่อมากๆ จะอดใจเต้น
อดคิดว่าเธอเป็นคนสำคัญได้ยังไง
ทว่า
พอเสียงทุ้มเอ่ยออกมา เธอก็แทบจะหกล้มจนหัวทิ่ม
“ทำแผลให้มินาโตะบ่อยๆน่ะ
เพราะคนบางคนชอบทำให้ตัวเองมีแผลแล้วยังดื้ออีกต่างหาก” ดวงตาสีม่วงคู่นั้นเหลือบไปมองที่หน้าจอมือถือก่อนจะหันกลับมาทำแผลให้เธอด้วยรอยยิ้ม...เป็นรอยยิ้ม...ที่ไม่ได้มีให้เธอแต่เป็นคนที่อยู่ในหน้าจอต่างหาก
“ฉันก็ไม่ได้เป็นแผลบ่อยขนาดนั้นสักหน่อย...” เสียงนุ่มๆดังออกมาจากหน้าจอ
บรรยากาศที่ราวกับว่าโลกนี้มีเพียงกันและกันนั้นทำให้เด็กสาวทั้งสองรู้สึกเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอไม่ได้มีความสำคัญหรือพิเศษใดๆต่อเจ้าชายของคิริซากิ
เธอก็เป็นเพียงคนที่เด็กหนุ่มผ่านมาเจอแล้วก็ให้ความช่วยเหลือในฐานะเพื่อนคนหนึ่งก็เท่านั้น
พรุ่งนี้ฟูจิวาระ ชูจะยังจำเรื่องราวของเธอได้หรือเปล่าก็ไม่รู้!
“ทำแผลเรียบร้อย
แต่ข้อเท้าที่แพลงนี่ยังไงก็รออาจารย์ก็แล้วกัน” นิ้วยาวแปะสก๊อตเทปลงไปบนผ้าก๊อซที่ให้แปะแผลก่อนจะละออกไป
“ขอบคุณมากนะ
ทั้งสองคนเลย” เด็กสาวเอ่ยขอบคุณแต่ดูเหมือนร่างสูงสง่าที่ไปล้างมือกลับมาจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่
“ส่งมินาโตะคืนมาหน่อย” มือใหญ่แบมือขอมินาโตะ? อ๋อ
โทรศัพท์มือถือ!
“อ่ะ
นี่จ้ะ” เธอจึงรีบยื่นคืนให้
“ขอให้หายไวๆนะ” เป็นเสียงที่ดังมาจากหน้าจอส่วนคนที่ถือมันอยู่กลับไม่ได้พูดอะไร
ใบหน้าของเจ้าชายแห่งชมรมยิงธนูยังคงเฉยชาราวกับว่าการช่วยพวกเธอไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร
ก็แค่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เท่านั้น
“ฉันไปก่อนนะ”
เสียงเย็นชาเอ่ยออกมาก่อนจะทิ้งเด็กสาวเอาไว้แบบนั้น
“ไม่อยู่เป็นเพื่อนก่อนจะดีเหรอชู?” เสียงพูดคุยค่อยๆดังห่างออกไป
“เดี๋ยวอาจารย์ห้องพยาบาลก็มา
มินาโตะต้องรีบทำการบ้านด้วยไม่ใช่เหรอ”
“อ่ะ
จริงสิ ฉันต้องให้นายสอนเลขนี่นะ”
เด็กสาวยืนมองแผ่นหลังที่ค่อยๆลับตาไป
ฟูจิวาระคุงทำเหมือนนารุมิยะคุงมีตัวตนอยู่ด้วยกันตรงนี้ไม่มีผิด
ระยะห่างทำอะไรสายสัมพันธ์ของสองคนนั้นไม่ได้เลยจริงๆ
เช้าวันใหม่และนักเรียนปีสองของโรงเรียนมัธยมปลายคิริซากิก็ถูกนำมาปล่อยไว้ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิหรือ
Okinawa
Churaumi Aquarium พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
ที่นี่มีตู้จัดแสดงสายพันธุ์สัตว์ทะเลมากมายและไฮไลท์ก็คือที่ที่ร่างสูงสง่ากำลังยืนอยู่นี่แหละ
ตู้ปลายักษ์
จากพื้นถึงเพดานสูงลิ่วนั้นเป็นกระจกทั้งผืนทำให้เบื้องหลังเขานี้กลายเป็นโลกสีฟ้าที่งดงามตระการตา
ฝูงปลาหายากทั้งฉลาม ฉลามวาฬ ทูน่าต่างอวดโฉมแหวกว่ายกันไปมา ราวกับว่าได้ยกโลกใต้มหาสมุทรมาไว้ตรงนี้เลยทีเดียว
มันสวยมาก
และเขาก็อยากให้มินาโตะได้เห็นด้วย
ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองนาฬิกา
น่าจะเป็นช่วงพักกลางวันพอดี เขาจึงไม่รีรอที่จะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“ชู?” มินาโตะกำลังเดินถือถาดอาหารไปคืนอยู่ในโรงอาหารจริงๆด้วย
“ทานข้าวเสร็จแล้วเหรอ?”
“เพราะรู้ว่าใครบางคนน่าจะวีดีโอคอลมาน่ะ
ก็เลยรีบลงมากินก่อน”
เขาถึงกับหัวเราะในลำคอ
“ดูนี่สิมินาโตะ” แล้วมือใหญ่ก็แพลนกล้องไปที่ตู้ปลายักษ์ซึ่งอยู่ด้านหลัง
“ว้าว!
สวยจัง~ นายอยู่อควาเรี่ยมเหรอ?
ปลาตัวเบ้อเริ่มเลยแถมยังอยู่ใกล้จนเหมือนจะเอามือแตะได้เลยอ่ะชู” มินาโตะอุทานออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจเมื่อได้เห็นภาพที่งดงามอลังการของโลกใต้สมุทรที่อยู่เบื้องหลัง
ใบหน้ามนดูจะตื่นเต้นกว่าเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้เสียอีก
มือใหญ่จึงเอื้อมออกไปแตะปลายนิ้วกับกระจกตู้ปลาเบาๆ เจ้าปลาตัวใหญ่เป็นสิบเมตรก็ขยับว่ายเข้ามาใกล้ราวกับรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น
เป็นภาพที่ทั้งมหัศจรรย์และสวยงามมากๆ
“ว้าว~
ปลามันว่ายมาหานายด้วยละชู เจ้านี่คือปลาอะไรน่ะ?”
“ฉลามวาฬน่ะ
ที่นี่มีตั้งสามตัวเลยนะ” เขามองเจ้าปลาลายจุดที่ว่ายวนเข้ามาหา
ตัวมันใหญ่จนแม้แต่รถก็ยังเทียบไม่ได้
“สุดยอดเลย
มันดูเชื่องมากเลยอ่ะ เป็นปลาฉลามไม่ใช่เหรอ? เอ๊ะ หรือปลาวาฬ?” มินาโตะทำหน้างง
ซึ่งเขาชอบมากเวลามินาโตะทำหน้าแบบนี้ เพราะมันน่ารักมาก
“เป็นปลาฉลามน่ะ
แต่มันไม่ดุร้ายและกินแต่แพลงตอน”
“น่ารักจัง”
“มีปลากระเบนด้วยนะ
มินาโตะต้องชอบมันแน่ ดูสิ” แล้วเขาก็ถ่ายใต้ท้องปลากระเบนให้ดู
ปากที่เหมือนแมวของมันน่ารักมากและคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
“ชู!
มันยิ้มให้ด้วยล่ะ! นั่นปากมันใช่ไหม?!
น่ารักมากเลยอ่ะ!”
“ใช่ไหมล่ะ
อยากให้มินาโตะมาดูด้วยกันจัง” เขายิ้มให้และจ้องมองใบหน้าตื่นเต้นนั้นไม่วางตา
“ไปสิ!
คราวหน้าเราไปดูด้วยกันไหมชู? อ่ะ แต่นายจะเบื่อรึเปล่านะ นายไปแล้วนี่นา”
“ไม่เบื่อ
ฉันอยากไปกับมินาโตะ”
“โอเคเลย”
“สัญญาแล้วนะ
ไปอาทิตย์หน้าเลยไหม?”
“เดี๋ยวสิ
ฮ่าๆๆ นายยังไม่ออกจากอควาเรี่ยมเลยนะชู เอ๊ะ? จะว่าไปก็เนียนเลยนะ?”
“อะไรเนียนเหรอ?”
“ก็นายไงชู
ชวนไปเดตเนียนเลยนะ...แถมเอาปลากระเบนมาล่อด้วยละ หว๋า~” มินาโตะหรี่ตาเขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
ทำไมเป็นคนน่ารักขนาดนี้กันนะ
“ถูกจับได้ซะแล้ว
ฮะฮะฮะ”
“แต่สวยจัง
ดีจังเลยที่ได้ไปนะชู”
“อื้ม” เขากับมินาโตะยืนดูฝูงปลาแหวกว่ายผ่านหน้า
ถึงจะดีกว่าถ้าได้จับมือมินาโตะแล้วยืนดูอยู่ด้วยกันจริงๆ
แต่แบบนี้มันก็ไม่เลวนักหรอก มันเหมือนกับว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน มองเห็นอะไร
เขาก็จะมีมินาโตะอยู่ด้วยเสมอ มองเห็น...โลกที่เขาเห็น โลกที่มีกันและกัน
เขาใช้เวลาดื่มด่ำอยู่ในโลกสีฟ้านั่นพักใหญ่
จนกระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาเริ่มเดินมาไล่ต้อนนักเรียนในห้องให้เตรียมตัวขึ้นรถเพื่อไปยังที่ต่อไป
“แล้วเดี๋ยวต้องไปไหนต่อเหรอ?” มินาโตะถามเขาซึ่งกำลังเดินไปตามทางออก
“ไปปราสาทชูริน่ะ”
“ส่วนตอนบ่ายก็เป็นเวลาอิสระให้ไปเล่นน้ำทะเลกัน”
“ดีจังเลยน้า
โอกินาว่าหาดสวยด้วยนี่นา”
“มินาโตะตามมาไหม?
เดี๋ยวฉันรออยู่ที่นี่ ยังไงพอจบทริปทัศนศึกษาก็เป็นวันเสาร์อาทิตย์พอดี
ส่วนตั๋วเครื่องบินเดี๋ยวให้โทโจซังจัดการให้”
“ชู...อย่าไปรบกวนโทโจซังสิ
แล้วเราก็ไม่ควรทำอะไรกะทันหันแบบนั้นด้วย
ตั๋วเครื่องบินขากลับนายก็จองไปแล้วด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“เลื่อนก็ได้
ทิ้งไปแล้วซื้อใหม่ก็ได้”
“ไม่ได้สิ...”
“อยากให้มินาโตะมาด้วยจัง” เขาพยายามอ้อน
“เอาไว้คราวหน้านะ
สัญญาแล้วนี่” มินาโตะชูนิ้วก้อยขึ้นมาบนหน้าจอ
“อื้อ...”
“อย่างอแงสิ
พรุ่งนี้เย็นก็เจอกันแล้วไหม”
“ก็ได้”
“อ่ะ
ออดดังแล้ว ต้องไปเรียนแล้วนะ”
“อื้ม
ตั้งใจเรียนนะ”
“ดูแลตัวเองด้วยนะชู
บะบาย” มินาโตะวางสายไป
เขายังคงอมยิ้มกับหน้าจอที่ดับสนิทไปแล้ว
แล้วเมื่อถึงทางออก
เขาก็เจอร้านขายของที่ระลึกของอควาเรี่ยมเข้า ขายาวจึงแวะเข้าไป
มีของที่ระลึกที่เกี่ยวกับสัตว์ของที่นี่มากมาย
แต่สิ่งที่สะดุดสายตาของเขากลับเป็นเจ้านี่...มือใหญ่หยิบพวงกุญแจปลากระเบนยิ้มตัวสีเขียวขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
แค่เห็นมันก็นึกถึงมินาโตะแล้ว ดวงตาสีม่วงจึงทอดมองมันด้วยรอยยิ้ม
ซื้อไปฝากมินาโตะดีกว่า
หลังกลับจากปราสาทชูริ
นักเรียนทั้งหมดก็ใช้เวลาอิสระอยู่ที่โรงแรมเพราะที่นี่อยู่ติดกับชายทะเลจึงสามารถลงไปเล่นน้ำได้โดยไม่ต้องไปไหน
หาดที่เคยเงียบสงบจึงคึกครื้นและเต็มไปด้วยเหล่าเด็กม.ปลาย
ในขณะที่เพื่อนๆต่างลงไปเล่นน้ำทะเลกัน
ร่างสูงสง่าของฟูจิวาระ ชูกลับนั่งอยู่ที่เก้าอี้ชายหาด
มีเด็กสาวใส่ชุดวันพีชบ้าง
บิกินี่บ้างพยายามจะเดินผ่านเพื่อเรียกร้องความสนใจแต่นัยน์ตาสีม่วงกลับจ้องมองอยู่ที่หน้าหนังสือในมือ
ข่าวเรื่องที่เขาอุ้มเพื่อนร่วมชั้นที่บาดเจ็บเมื่อคืนคงจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งชั้นปีแล้วสินะ
ตั้งแต่เช้ามาแล้วถึงได้มีเด็กสาวพยายามจะเข้าหาเขาหนักขนาดนี้
บางคนแกล้งเป็นลมต่อหน้าก็ยังมี
เปล่าประโยชน์เสียจริงๆ
ยังดีที่เป็นทริปของชั้นปี
คู่แฝดเซนอิจิกับมันจิจึงมากับเขาด้วยและกลายเป็นตัวช่วยอย่างดี
อย่างน้อยเก้าอี้ชายหาดตรงนี้มันก็ไม่ว่างให้ใครเข้ามายุ่มย่ามได้เพราะคู่แฝดปากดีนั่นยึดไป
และทำให้ใครต่อใครไม่กล้าเข้าใกล้
มือใหญ่ปิดหนังสือก่อนจะเหลือบมองเซนกับมันที่เล่นตีแตงโมกันเจี๊ยวจ๊าวอยู่ข้างๆ
ใบหน้าหล่อเหลาเงยพิงเก้าอี้ชายอย่างตั้งใจจะพักสายตาสักครู่
แต่เสียงโทรศัพท์ก็ทำให้นัยน์ตาสีม่วงต้องเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
ใครกัน?
ที่บ้านเขาเหรอ?
ทว่า
เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอ เขาก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจน้อยๆ
มินาโตะ?
หายากนะเนี่ยที่จะวีดีโอคอลมาหาเขาก่อน
ปกติแล้วเขาจะเป็นฝ่ายคอลไปมากกว่า
“มินาโตะ?
ว่าไง? เรียนเสร็จแล้วเหรอ?” กระเป๋านักเรียนที่สะพายไหล่บางอยู่ทำให้เขาทักออกไปแบบนั้น
“อื้อ
กำลังจะไปโรงฝึกน่ะ ทำอะไรอยู่?”
“นอนอ่านหนังสืออยู่น่ะ” เขานอนเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆก่อนจะพูดกับคนในหน้าจอต่อ
“หว๋า~ ไปถึงทะเลทั้งทีแต่ก็ยังจะเอาแต่อ่านหนังสือเนี่ยนะ?
ไม่ลงไปเล่นน้ำเหรอ?” มินาโตะเปิดประตูโรงฝึกธนูเข้าไปก่อนจะวางกระเป๋าลงที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ไม่ละ
มันเหนียวเหนอะหน่ะ ถ้าไม่ได้เล่นกับมินาโตะก็ไม่อยากลงไป”
“ชู...นายนี่นะ...”
“อะไรๆ?
ใครโทรมา?”
แล้วจู่ๆคู่แฝดที่เล่นตีแตงโมกันอยู่ก็โผล่เข้ามาในหน้าจอ
“อ๊ะ!
พวกคาเซไม!”
เซนกับมันชี้นิ้วใส่เมื่อเห็นหน้ามินาโตะ
“อะไรน่ะ?
อ้าว? พวกนั้นอยู่ไหนกันเนี่ย?”
คราวนี้เป็นทางฝั่งเพื่อนๆในชมรมของมินาโตะบ้างที่หันมาเห็นเข้าพอดี
ต่างฝ่ายจึงหันมายืนรุมโทรศัพท์มือถือของเขากับมินาโตะ
“โอ! กิ! นา! ว่า! ไงล่ะอิจฉาไหมล่ะ
วะฮะฮะ!”
คู่แฝดผายมือไปที่หาดทรายและชายทะเลเพื่ออวดคนอีกฝั่งที่ยังอยู่ในโรงเรียน
“โห
พวกคิริซากิไปทัศนศึกษาที่โอกินาว่ากันเลยเหรอ? บ้าไปแล้ว” เพื่อนของมินาโตะชะโงกหน้ามาโวยวาย
บรรยากาศที่ราวกับไม่ใช่คู่แข่งกันนั้นทำให้เขาอมยิ้ม
“เฮ้ย
ซื้อของฝากมาเลยนะ” โอโนงิ
ไคโตะกอดอกก่อนจะเขม่นตามองอย่างข่มขู่ใส่คู่แฝด
“ห๋า?
ทำไมต้องซื้อของฝากพวกนายด้วย?”
“ขนม~ อยากกินขนมของโอกินาว่า~”
คราวนี้เป็นเรียวเฮย์กับนานาโอะ
“โอ๊ย
รู้แล้ว! แต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่านะ”
คู่แฝดถอนหายใจอย่างต้านไม่ไหว
“แต๊งกิ้ว~”
“ทุกคน...ไปซ้อมได้แล้ว”
เสียงเย็นๆจากเซยะดังอยู่ข้างหลังทำให้ทั้งห้องแตกกระเจิง
“มินาโตะเองก็อย่ามัวแต่คุยล่ะ
รีบ-วาง-ได้-แล้ว”
สายตาดำทะมึนนั่นเหมือนจะส่งมาให้เขามากกว่าเลยแหะ?
มันเหมือนกับจะบอกว่าให้เขาจมน้ำทะเลตายไปซะไม่ต้องกลับไปให้เห็นหน้าอีกยังไงอย่างงั้น
แน่นอนว่าเขายกยิ้มมุมปากส่งกลับไปให้เซยะได้แต่ควันออกปาก
ร่างสูงสง่าลุกจากเก้าอี้ชายหาดก่อนจะเดินเลาะไปตามชายหาดที่น้ำสาดถึง
เสียงซ่าๆทำให้จิตใจราวกับได้รีเฟรช
ทั้งสดชื่นทั้งสงบจนแม้แต่เสียงโหวกเหวกของเพื่อนๆที่ดังอยู่ไกลๆก็ไม่อาจรบกวนเขาได้
“ดูนี่สิมินาโตะ”
เขาแพลนกล้องไปยังท้องทะเลสีเทอร์ควอยซ์ที่สวยและใสมาก
“ว้าว~ สวยจังชู” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เขาจึงนั่งยองๆลงไป
เงาสีเทาจางๆทาบทับหาดทรายสีขาวเนื้อเนียนละเอียด
เขาหันกล้องลงไปส่องฟองคลื่นซึ่งสาดซัดขึ้นมาโดนเท้าก่อนจะค่อยๆไหลกลับไป
อีกไม่กี่อึดใจน้ำใสๆนั้นก็สาดขึ้นมาใหม่ ยิ่งได้เห็นใกล้ๆมินาโตะก็ยิ่งตื่นตาตื่นใจ
“สวยจัง~” เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะอมยิ้ม
ปลายนิ้วแตะลงไปในคลื่นบางๆที่ซัดสาดขึ้นมา
“มีปะการังกับเปลือกหอยด้วย?” สิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่น้ำทะเลไหลลงไปก็คือเศษปะการังสีขาวชิ้นเล็กๆกับเลือกหอยน้อยใหญ่อีกหลายชิ้น
“ฉันเก็บไปฝากมินาโตะดีไหม?”
“เอ๋?
จริงเหรอ? ได้เหรอ?”
“ได้สิ
ถ้าเป็นชิ้นเล็กๆแบบนี้”
มือใหญ่แบเปลือกหอยสังข์สีอมชมพูอันเล็กๆให้ดู
“น่ารักจัง...”
“เอาอันนี้นะ?”
“อื้ม
ขอบใจนะชู จะเก็บไว้อย่างดีเลย”
“ดีใจที่มินาโตะชอบ”
“ก็ชูเก็บมาให้นี่นา” เขามองใบหน้าดีใจที่อยู่ในหน้าจอด้วยสายตาอ่อนโยน
บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรยิ่งใหญ่
แค่ได้อยู่ด้วยกันในทุกๆวันแบบนี้มันก็มีความสุขมากแล้ว
“....อยากจูบมินาโตะจัง”
“เดี๋ยวเถอะ
มันเปลี่ยนเป็นเรื่องนั้นไปได้ยังไง?”
“ก็มินาโตะน่ารัก”
“อ้า~”
“มิ-นา-โตะ” แล้วเสียงทะมึนที่ลอยราวกับวิญญาณอาฆาตมาเรียกมินาโตะก็ทำให้บรรยากาศที่กำลังหวานๆต้องหยุดลง
“อ่ะ
เซยะมาตามแล้ว ฉันไปซ้อมก่อนนะ” มินาโตะหันมามองเลิ่กลั่กก่อนจะโบกมือลา
“อื้ม
เดี๋ยวตอนเย็นโทรไปใหม่”
“อื้ม
บาย”
ตุ๊กตาปลากระเบนกับเปลือกหอยสีชมพูถูกวางคู่กันอยู่บนโต๊ะไม้สีเข้มในห้องของโรงแรม
ส่วนร่างสง่าก็นอนแช่อยู่ในอ่างจากุชชี่ซึ่งตั้งอยู่ที่ระเบียงห้อง
“ห้องเดี่ยวที่นายพักนี่มันเป็นห้องแบบไหนกันแน่นะ
ถึงได้มีจากุชชี่ส่วนตัวอยู่ที่ระเบียงห้องได้เนี่ย” มินาโตะหรี่ตาถามในมือยังถือมีดหั่นหอมหัวใหญ่ต่อไป
“ก็ห้องสวีทธรรมดาๆนั่นแหละ” ห้องสวีทนี่มันธรรมดาสำหรับเด็กม.ปลายเหรอ?
แถมยังอยู่ในการไปทัศนศึกษาอีก?
ใบหน้ามนของคนที่อยู่ในหน้าจอได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
“มินาโตะทำอะไรกินเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นมือบางเทมันฝรั่งและแครอทลงไปในหม้อ
“แกงกะหรี่น่ะ” แค่เห็นเขาก็เหมือนจะได้กลิ่นหอมลอยมาถึงนี่
อาหารที่มินาโตะทำถึงจะไม่ใช่เมนูหรูหราระดับโรงแรมห้าดาว
แต่มันกลับเป็นอาหารที่ทำให้หัวใจอบอุ่นเวลาได้กิน
“อยากกินบ้าง
อยากกินอาหารที่มินาโตะทำ”
เขาจ้องแกงกะหรี่ในหม้อตาเขม็ง
“ฮ่าๆๆ
ใช่ว่าจะไม่เคยกินเสียเมื่อไหร่ เดี๋ยวกลับมาก็ได้กินแล้ว” มินาโตะคนหม้อด้วยสายตาอ่อนโยน
จู่ๆก็รู้สึกคิดถึงจนอยากจะวิ่งกลับไปหา กลับไปกอดร่างในผ้ากันเปื้อนนั่นเอาไว้
กอดให้จมลงไปในอก...
อ่า...ถึงจะมีวีดีโอคอล
แต่ก็ห่างกันไปมากกว่าสามวันไม่ไหวจริงๆแหะ
เขาเริ่มจะคิดถึงกลิ่นของมินาโตะ
ความร้อนของมินาโตะ ร่างกาย...ของมินาโตะ
“แล้วคนอื่นๆทำอะไรอยู่เหรอ?” มินาโตะถามเมื่อได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังแว่วมาจากข้างล่าง
“กำลังเล่นน้ำกันอยู่ที่สระว่ายน้ำของโรงแรมน่ะ”
เขายื่นกล้องแพลนลงไปข้างล่างให้ดู
“ขนาดเมื่อตอนบ่ายไปเล่นน้ำทะเลกันมาแล้ว
ตอนเย็นก็ยังกลับมาเล่นที่สระว่ายน้ำของโรงแรมอีก พลังเหลือล้นกันจริงๆนะ” มินาโตะอมยิ้ม
เขาลุกจากอ่างจากุชชี่ไปสวมเสื้อผ้า
ส่วนมินาโตะก็นั่งทานข้าวอยู่หน้าโซฟา หลังจากที่มินาโตะล้างจานเสร็จ
เขาก็ออกจากโรงแรมมา มินาโตะขึ้นไปนอนกลิ้งคุยกับเขาอยู่บนเตียง
ส่วนเขาก็เดินเล่นอยู่ที่ชายหาด
พระอาทิตย์ที่กำลังตกลงไปในน้ำนั้นสวยงามมาก
แสงสีส้มๆของยามเย็นก็ฉาบไล้ให้บรรยากาศแสนโรแมนติก
เขาแพลนกล้องให้มินาโตะได้เห็นด้วยกัน
เห็นน้ำที่กำลังขึ้น
เห็นคลื่นที่กำลังแรง เห็นฝูงนกที่พากันบินกลับบ้าน เห็นทุกๆอย่างด้วยกัน
ถึงวันนี้จะเป็นวันที่ต้องกลับแล้วแต่โปรแกรมของการทัศนศึกษาก็ยังไม่จบ
สถานที่สุดท้ายที่ต้องไปก็คือหมู่บ้านริวกิวหรือ
Ryukyu
Mura หมู่บ้านเชิงประวัติศาสตร์และวัฒธรรมของโอกินาว่า
นอกจากมีอาคารบ้านเรือนของชาวริวกิวชนพื้นเมืองของที่นี่ให้ดูแล้วก็ยังมีกิจกรรมให้ทำอีกมากมาย
เพื่อนๆจึงกระจายตัวกันไปยังจุดที่ตัวเองสนใจ
ฝาแฝดเซ็นกับมันไปทำทาร์ตมันม่วงหรือเบนิอิโมะ
ขนมขึ้นชื่อของโอกินาว่าเพื่อเอาไปให้พวกชมรมยิงธนูคาเซไมเป็นของฝาก
ที่ร้านโอคาชิโกเทนเราสามารถทำขนมเองได้ แม้แต่กล่องใส่ขนมก็สามารถตกแต่งวาดลวดลายภายในเองได้
แล้วก็ดูคู่แฝดจะสนุกสนานกับการทำของฝากนั่นมากทีเดียว
แต่เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่
เพราะเขามีเป้าหมายอยู่แล้วนั่นก็คือการทำแก้วริวกิว ที่ Naha City
Traditional Arts & Craft Center
ดวงตาสีม่วงจ้องมองตัวอย่างแก้วที่วางโชว์ไว้ก่อนจะบอกพนักงานร้านไปว่าเขาจะทำสองอัน
อันหนึ่งสีม่วง
อันหนึ่งสีเขียว
ที่นี่เป็นเหมือนเวิร์คช็อปและเขาจะได้ลงมือทำแก้วสองใบนี้ด้วยตัวเอง
ภายในโรงงานมีอุปกรณ์การผลิตแก้วแบบริวกิวตั้งอยู่เต็มไปหมด
ถึงจะมีพนักงานคอยช่วยแต่เขาก็ได้เป่าแก้วสีม่วงกับสีเขียวนั่นเอง
ขยายขนาดและรูปร่างของมันเอง
ดวงตาสีม่วงไล่มองแก้วสองใบที่เพิ่งเสร็จแบบสดๆร้อนๆ
สีม่วงใสที่ค่อยๆไล่ไปจนไม่มีสี กับสีเขียวใสที่ค่อยๆไล่ขึ้นไปในลักษณะเดียวกัน
รูปทรงของแก้วที่ไม่เหมือนแก้วทั่วไป
มันไม่ได้เป็นทรงกระบอกเรียบๆแต่กลับบิดเบี้ยวน้อยๆ
ฟองอากาศในเนื้อแก้วซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแก้วริวกิวก็ทำให้มันดูเป็นผลงานศิลปะ
แก้มของเขาขึ้นสีนิดๆเมื่อมองดูมัน
เขาตั้งใจจะทำให้มินาโตะ
ถึงจะเป็นผลงานของมือสมัครเล่นแต่มันก็มีคุณค่าเพราะว่าเขาทำมันด้วยหัวใจ
อีกอย่าง
แก้วที่ใช้แปรงฟันในห้องน้ำของมินาโตะก็เป็นแบบทึบเขาเลยมองไม่เห็นอะไร
เขาจึงตั้งใจจะเอาเจ้านี่ไปเปลี่ยนกับมัน
หึ
คราวนี้ละ...
รถยนต์ของบ้านฟูจิวาระไปรับนายน้อยของตนจากโรงเรียนคิริซากิตามเวลาที่นัดกันไว้
ทว่า มันไม่ได้แล่นกลับบ้านใหญ่ แต่มาจอดลงที่หน้าบ้านของนารุมิยะ มินาโตะ
“ชู?
กลับมาแล้วเหรอ? แล้วนี่กลับบ้านตัวเองมารึยังเนี่ย?” ร่างโปร่งบางเปิดประตูชะโงกหน้าออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงรถที่คุ้นเคย
“ยังเลย
อยากเจอมินาโตะก่อน” ดวงตากลมโตหรี่มอง
แค่อยากเจอแล้วไหงให้คนขับรถกลับไปแล้วล่ะ?
“นาย...จะค้างที่นี่สินะ?
ไม่กลับไปให้คุณพ่อคุณแม่เห็นหน้าก่อนจะดีเหรอ?”
ร่างโปร่งบางเดินนำเข้าบ้านมาอย่างอ่อนใจ ถึงจะบ่นไปก็เท่านั้นเพราะชูก็มักจะเอาแต่ใจตัวเองในเรื่องของเขาแบบนี้แหละ
“แล้ว
กินอะไรมารึยัง? แกงกะหรี่เมื่อวานยังมีอยู่นะ กินไหม? เดี๋ยวฉันอุ่นให้”
เขาพูดไปเดินไปโดยไม่ได้หันไปมองคนที่เดินตามอยู่ข้างหลังจึงไม่ทันระวัง
“ยังไม่ได้กินเลยมินาโตะ
หิวสุดๆ” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ที่ใบหู แล้วจู่ๆร่างทั้งร่างของเขาก็ถูกยกพาดบ่า?
“เอ๊ะ?
หิวแล้วจะอุ้มฉันไปไหน? นี่?!”
ขายาวก้าวฉับๆขึ้นบันไดก่อนที่ไม่นานร่างของเขาจะถูกโยนไว้บนเตียง
“ชู?” สองขาที่ก้าวคร่อมลงมานั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดี
ไอ้ที่ว่า “หิว” น่ะ มันหิวอะไรกันแน่!
“เดี๋ยวก่อนสิ
ชู นี่!
อื้อ~ เสื้อฉัน”
“จะกินให้หมดทั้งตัวเลยมินาโตะ”
“เดี๋ยวก่อน
นาย อื้ม~”
“คิดถึงสุดๆ
กลิ่นของมินาโตะ”
“อะ
ฮ้า...เดี๋ยว อ้า ช้าๆ อย่าเพิ่งใส่เข้ามา อ้า~”
และแล้ว...นารุมิยะ
มินาโตะก็ได้รับรู้ถึงความอันตรายของการไปทัศนศึกษาที่แสนธรรมดา ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าเวลาแค่สามวันที่ไม่ได้กลิ่นเขา
จะเปลี่ยนเจ้าตัวชูให้กลายเป็นสัตว์ร้ายที่จับเขากินทั้งคืนได้!
“อื้อ...”
เสียงอืออาดังออกมาจากใบหน้าที่หลับสนิทจนถึงเมื่อครู่
หัวคิ้วเริ่มขมวดมุ่นก่อนที่เปลือกตาหนักๆจะค่อยๆเปิดขึ้นมาช้าๆเพราะรู้สึกว่าถูกก่อกวน...นี่เขา...อยู่ที่ไหนกัน...
ความง่วงงุนทำให้ทุกอย่างมึนเบลอไปหมด
แถมความอบอุ่นนี้ก็ทำให้ไม่อยากจะลืมตาตื่นเลย...
“อ๊ะ?”
แต่อะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ในร่างกายก็ทำให้เปลือกตาที่กำลังจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งจำต้องเปิดขึ้นมา
แล้วสายตาก็ค่อยๆโฟกัสว่าเขานอนอยู่ที่ไหน...ไหปลาร้าที่ดูแข็งแรง
ไหล่ที่กว้างและหนา หน้าอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
ผิวกายที่เปลือยเปล่า...เขา...นอนอยู่บนตัวของชูนี่
“อื้อ~” สะโพกมนสะดุ้งเบาๆ เขาไม่ได้คิดไปเอง
มันมีอะไรขยับอยู่ในตัวเขาจริงๆ และเจ้าสิ่งนั้นก็คงจะเป็นชูนั่นแหละ!
เมื่อคืน...ถูกทำจนไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน
อาจจะหลับคาอกชู แล้วก็อาจจะหลับทั้งที่มันยังคาอยู่
แต่นายจะตื่นมาทำต่อตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้ไม่ได้ไหมฟูจิวาระ
ชู!
ที่ขมับมีเครื่องหมายโมโหเต้นตุบๆอยู่
แต่เพราะตอนนี้เขาไม่มีแรงเหลือแม้แต่นิดเดียวจึงจำต้องปล่อยให้ทั้งร่างถูกอ้อมแขนแข็งแรงนั่นกอดเอาไว้
“ชู...จะเอาออกไปได้รึยัง
นี่มันสายแล้วนะ”
“ไม่...”
อ้อมแขนที่กอดกระชับเขาจากข้างหลังยิ่งกอดแน่นกว่าเดิม เส้นผมสีชาก็ซบซุกลงที่หลังคอของเขาจนรู้สึกได้
อ้า! เจ้าเด็กเอาแต่ใจนี่!
“เฮ้อ...” เขาได้แต่ถอนหายใจ สงสัยเพราะทำมาทั้งคืนข้างล่างมันเลยชาจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว
“ในตัวมินาโตะอุ่นดีนี่นา...” ฝ่ามือที่กอดเขาอยู่ลูบตามผิวกายของเขาไปมา
เอาเถอะ ชูที่งอแงแบบนี้ก็มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นแหละที่ได้เห็น
“นายนี่ก็จริงๆเลยนะ
กลับมาไม่พูดพร่ำทำเพลงจับฉันกดเลยแบบนั้นได้ยังไง” เขานอนคุยกับชูทั้งที่ยังถูกกอดเอาไว้ทั้งตัว
“ก็ไม่มีอะไรจะต้องเล่าให้ฟังแล้วนี่นา
มินาโตะก็ได้เห็นหมดแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันไปไหน ทำอะไรมาบ้าง” มือใหญ่จับมือของเขาก่อนจะลูบปลายนิ้วเล่นเบาๆ
“ก็จริง
แต่ไม่คิดเลยนะว่าโอกินาว่าจะมีที่ที่น่าสนใจแบบนั้นด้วย”
“ใช่ไหมล่ะ
จริงสิ ฉันมีของมาฝากมินาโตะด้วย”
ชูเอื้อมมือข้ามตัวเขาไปยังเสื้อสูทของคิริซากิที่กองอยู่บนพื้นก่อนจะหยิบของในกระเป๋าออกมา
แรงขยับทำให้ส่วนที่ยังเชื่อมต่อกันอยู่เรียกความร้อนผ่าวมายังใบหน้าของเขา
“ชู...อย่าขยับสิ”
“โทษที” มีเสียงจุ๊บเบาๆดังอยู่ที่ท้ายทอย ชูวางของไว้ในมือเขาก่อนที่มือใหญ่ทั้งสองข้างจะประคองมันไว้อย่างอ่อนโยน
“อ่ะ
เปลือกหอยที่บอกว่าจะเก็บมาให้นี่ แล้วนี่ก็...พวงกุญแจ?” ดวงตากลมใสมองของในมือด้วยความดีใจ
เขาหยิบเปลือกหอยสีอมชมพูเล็กๆนั่นมาส่องดู มันน่ารักมาก แต่เหนืออื่นใดมันจะกลายเป็นเครื่องยืนยันช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันของเขากับชู
นั่นแหละคือความสำคัญของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำร่วมกัน
“ปลากระเบนนี่น่ารักจัง
มันยิ้มเหมือนตัวจริงเลยด้วย”
เขาหยิบพวงกุญแจมาดูบ้างและที่ด้านท้องของมันก็ปักรูปปากแมวเหมือนตัวจริงเลย
“ห้อยไว้ที่ถุงใส่ถุงมือดีไหม?
สีเขียวเหมือนกันเลยด้วย”
และถุงใส่ถุงมือยิงธนูก็คือสิ่งที่เขาพกติดตัวตลอดเรื่องนี้เราทั้งคู่ต่างก็รู้ดีเพราะชูเองก็เป็นเหมือนกัน
“อื้ม
เอาสิ แต่ฉันไม่ได้ซื้อของตัวเองมา เสียดายเหมือนกันนะ
ไม่งั้นคงได้ห้อยเหมือนมินาโตะ”
“ไว้คราวหน้าเราไปด้วยกันฉันซื้อให้นายก็แล้วกัน
ดีไหม?”
“อื้ม
ตกลงตามนั้น”
“ที่จริงยังมีแก้วที่ฉันทำมาให้มินาโตะด้วย
แต่มันแพ็คใส่กล่องไว้”
ดวงตาสีม่วงทอดมองปลายนิ้วของตนที่ลูบนิ้วของมือที่จับเอาไว้เล่น
“ชูทำเองเลยเหรอ?
ขอบใจนะ” ปลายนิ้วของเราต่างเกาะเกี่ยวกันไปมา
ถึงจะเป็นวันที่แสนธรรมดาแต่การได้อยู่ในอ้อมแขนของกันและกันแบบนี้มันดีที่สุดแล้ว
ชูกอดกระชับร่างกายของเขาก่อนจะสูดดมกลิ่นที่คิดถึงเข้าไป
ส่วนใบหน้ามนก็ยิ้มออกมาก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้จมหายไปในอ้อมแขนนั้น
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
ทุกคนคะ
ในที่สุดฟิคเรื่องนี้ก็มียอดอ่านถึง100,000แล้วค่ะ!!! กรี๊ดดดด >////< ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยจริงๆ จากฟิคที่แบบแต่งสนองนี๊ดตัวเองล้วนๆ
ไม่ได้มีพล็อต ไม่ได้เป็นเรื่องยาว นึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียน
ไทม์ไลน์ก็ไม่ได้ไล่เรียง โดดไปโดดมา เขียนไปเรื่อยยยย
ไม่คิดเลยว่าจะมีคนเข้ามาอ่านเยอะขนาดนี้เลยค่ะ ขอบคุณทุกๆคน ทุกๆยอดวิวที่อยู่ในนี้มากๆๆๆเลยนะคะ
ปลื้มมาก ดีใจมากๆเลยค่ะ
วันนี้ก็มีสปอยด์มาเม้ามอยอีกแล้วค่ะ
จะเรียกว่าสปอยด์ไหมก็ไม่แน่ใจเพราะมันเป็นฉากที่เกี๊ยวนางตัดและปรับเปลี่ยนไปในซีซั่นที่สองอ่ะ
เพราะอันนี้อยู่ในโนเวลเล่มสองค่ะ
ก็อย่างที่ทราบกันดีว่ามีอีกฉากหนึ่งที่ถูกตัดไปในซีซั่นที่สอง
นั่นก็คือฉากที่คุณชายชูแกไปท้าทายมาสะซังเอาไว้5555
เรื่องที่ว่าให้มาพนันกัน ถ้าชายชูฮีชนะในการแข่ง
มาสะซังจะต้องสอนฮีเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ให้ฮีไปฝึกที่คาเซไมด้วยอะไรแบบนั้น //ถ้าตูเป็นมาสะซังก็คงอยากจะถือมีดขึ้นมาจ้วง
เพราะชายชูฮีพูดต่อหน้าเลยว่าที่อยากฝึกด้วยเพราะมินาโตะ5555
ไม่ได้เห็นว่าตูเก่งไม่ได้นับถืออะไร แต่อยากฝึกด้วยเพราะมินาโตะเนี่ยนะ พ่อคะ5555 คือคุณกวางยังกูเกิลทรานอ่านไม่ถึงตอนที่ไปฝึก แต่ดันไปเจอสาเหตุแระว่าทำไมคุณชายแกไปท้ามาสะซังแบบนั้นนน
ต่อไปนี้เป็นสปอยด์นาคะ
และคุณกวางไม่ได้แปลแบบเป๊ะๆนะ จับใจความจากอิกูเกิลทรานมาอีกทีนะ
มันน่าจะตกหล่นและมีผิดพลาดบ้างแหละแต่รวมๆก็น่าจะราวๆนี้มั้งนะ
ก็หลังจากแข่งวันแรกของระดับภูมิภาค
ชูรู้สึกว้าวุ่นใจจนต้องออกจากห้องพักในโรงแรมออกมาเดินเล่น
ชูนึกถึงท่ายิงธนูของมินาโตะที่ดูเปลี่ยนไปที่เห็นจากตอนซ้อมแข่งแล้วก็ตอนแข่งจริงในวันนี้
ว่ากันว่าถึงจะไม่ได้ถูกสอนให้แต่หากได้มองการยิงของใครสักคนไปนานๆก็จะมีท่ายิงเหมือนกันไปโดยปริยายแล้ววันนี้ตนก็เห็นแล้วว่ามินาโตะเอาแต่มองตามแต่โค้ชของตัวเอง!
มีไฟบางอย่างลุกโชนขึ้นในใจของชู
"คนที่น่าเกรงขามในสายตาของมินาโตะต้องเป็นฉันเท่านั้น!"
โว้ยยยยยยย
พ่อคะะะะะะะะ คนอ่านจะขิตแล้วค่ะะะะ!! อะไรอ่ะะะะ
คนที่แข็งแกร่งที่สุดในสายตาเทอต้องเป็นฉันเท่านั้นอะไร๊ยยย ในสายตาของมินาโตะต้องมีแต่ฉันคนเดียวห้ามมองใครงี้อ่ะเนอะะะ
โอ๊ยๆๆๆๆ อะไรก็มินาโตะอ่ะะะะ
แง๊~~~
แล้วหลังจากนั้นก็เจอเรียวเฮที่ลงมาโทรศัพท์หาพี่สาวพอดี
ทั้งสองคนก็เลยคุยเรื่องพี่สาวน้องสาวกัน
ชูคิดว่าที่เขากล้าพูดเรื่องครอบครัวกับคนที่ไม่ได้สนิทกันคงเป็นเพราะเรียวเฮคล้ายกับมินาโตะ
//จย้าาาา เพราะเหมือนน้องอ่ะเนอะะะะ ทั้งที่ขนาดตัวทั้งสองคนก็ต่างกันมาก
เหมือนชิบะอินุสีดำกับลาบาดอรีทรีฟเวอร์ คือชูเห็นน้องมิเหมือนหมาชิบะสีดำอ่ะแม่
แง๊~~~ น่ารักกกก >////< ในสายตาชายชูน้องต้องน่ารักมากแน่ๆอ่ะเพราะชิบะสีดำคืออย่างน่ารักอ่ะ
งื้อออออ
นอกจากน้อนแล้ว
คุณชายแกยังมีจุดอ่อนอีกเรื่องนึงค่ะ5555 ก็...เรียวเฮก็ขอบคุณเรื่องที่ชูให้ยืมลูกธนู
จากนั้นก็คุยเรื่องยิงธนูกัน เหมือนเรียวเฮน่าจะชมว่าชูเก่งนี่แหละ
แต่เรียวเฮก็บอกว่าแต่ยังมีเรื่องนึงที่ฉันชนะชูคุงนะ แล้วก็ขยับมายืนเทียบใกล้ๆ
ฉันสูงกว่า5555+ เรียวเฮบอกว่าในตาชูมีแววไม่พอใจอยู่วูบนึง
นี่เป็นจุดอ่อนของนายเหรอ ชูก็จุดอ่อนคืออะไร ฉันไม่มีว่างั้น555+ จากนั้นเรียวเฮก็กอดคอแล้วลากชูกลับไปห้องพักเหมือนที่ชอบทำกับมินาโตะ(โรงเรียนที่มาจากจ.เดียวกันจะพักด้วยกัน
สองโรงนี้เลยอยู่ด้วยกัน) ชูไม่เคยถูกลากคอไปด้วยเดินไปด้วยแบบนี้เลย
ใจก็อยากจะปฏิเสธแต่ก็นึกที่มินาโตะเคยพูดไว้ว่าเรียวเฮมีบางอย่างที่ทำให้ปฏิเสธไม่ได้
ตอนนี้ตนเข้าใจแล้ว ก็คือนึกถึงแต่มินาโตะอ่ะพ่อคะะะะ แล้วชูกับน้องมินี่ต้องคุยกันมากขนาดไหนอ่ะ
เรื่องเพื่อนเรื่องอะไรก็แชร์กันหมดงี้
แล้วก็ไม่ได้มีแค่มินาโตะที่รู้สึกกลัวตอนที่รู้ว่าไม่มีใครยืนอยู่ข้างหลังเวลายิงธนู
ไม่เหมือนตอนม.ต้นที่มีชูกับเซยะอยู่
ชูเองก็เป็นเหมือนกัน
เพราะไม่มีแผ่นหลังของมินาโตะก็เลยกลัวมาตลอดเหมือนกัน
การยิงธนูสามารถยิงคนเดียวได้โดยไม่ต้องแข่งกับใคร แต่พอไม่มีเพื่อนอยู่มันก็แปลกไป
ชูที่ไม่เคยสนใจใครและมองแต่แผ่นหลังของมินาโตะลึกๆก็เลยรู้สึกกลัวมาตลอดเมื่อแผ่นหลังนั้นหายไป
จากนั้นเลยเริ่มมองเห็นว่ายังมีเพื่อนคนอื่นในชมรมอยู่นะ อะไรแบบนี้
คือสองคนเนี้ย
พอแยกกันถึงได้รู้ว่าการยิงธนูต้องยิงกับเพื่อน แต่ถ้ายังอยู่ด้วยกันต่อนี่น่าจะไม่สนใจใครเลยเพราะมีแค่กันและกันสองคนก็พออ่ะดูแล้ว5555+
วางไลท์โนเวลลงก่อนจะขิต...ที่กูเกิลทรานได้วันละนิดนี่ไม่ใช่เพราะจะตาบอดอย่างเดียวนาคะ
ก็คือต้องพักหวีดบ้างค่ะ เด่วกรี๊ดตายไปก่อน
แต่ละตอนก็คือไม่ไหวแล้วคุณชายชูของดิชั้นนน น้องมิจะรอดพ้นเงื้อมมือของฮีไปได้เหรอเนี่ยเอาจริงๆ
5555
โอยยย >/////< ฮีคงหงุดหงิดน่าดูแล้วอ่ะตอนนี้
ม.ต้นก็มีเซยะคอยขวาง ม.ปลายอยู่ห่างกันไม่พอยังมีมาสะซังมาเพิ่มอีกคน
อาการเลยออกเยอะขึ้นอย่างที่เห็น
หวงน้องมิทั้งน้านเลยที่ไปลงกับเซยะและมาสะซังแบบนั้นอ่ะ >////<
แล้วเนี่ย
เพราะชายชูฮีบอกว่าน้องมิเหมือนชิบะอินุสีดำใช่มะ
ดิฉันก็เลยกลายเป็นติ่งหมาไปเลยจย้า555
ปกติเป็นทาสแมวนะแต่ตอนนี้ในไอจีตูก็คือมีแต่ชิบะสีดำถถถ
แล้วยิ่งมาเมะชิบะ(ชิบะพันธุ์เล็ก)อ่ะแม่ โคตรเหมือนน้องมิอ่ะ >////< น้อนๆน่ารักมว๊ากกก แปะลิ้งค์ น้อนโคตะโนะสึเกะคุงให้ลองเข้าไปส่อง
น่ารักไม่ไหว ในสายตาชายชูต้องเห็นน้องมิน่ารักขนาดไหนกันเนี่ย งื้อ
น้องแบบตัวเล็กๆมองแบบอ้อนๆ //อั่ก
เอาเป็นว่า
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทมากๆๆนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น