Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 14
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
“ข้าเอง...ก็ทำเพราะรักเจ้าเช่นกัน”
ข้าพูดพร้อมกับไอร้อนผ่าวที่แผ่ออกจากใบหน้า
ดวงตาสบประสานกับดวงตากลมโตที่กำลังเบิกกว้าง...หัวใจ...ที่เคยสงบราบเรียบของข้ากลับเต้นราวพสุธาสะเทือน
และมันไม่ได้มีแค่เสียงเดียว
หัวใจดวงน้อยๆของเจ้าเองก็เต้นดังมาถึงนี่เช่นกัน
ข้ามองหน้าเจ้าราวกับคนถูกสะกด
แก้มที่เคยใสสะอาดบัดนี้กลับแดงเหมือนกลีบกุหลาบ
แม้แต่ปลายจมูกเองยังขึ้นสีแสนน่ารัก
ริมฝีปากที่ขยับน้อยๆเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยออกมานั่นก็น่าเอ็นดู เจ้าน่ารักจนข้าหยุดยั้งตัวเองไว้ไม่ไหว
ใบหน้าจึงขยับโน้มลงไป...แล้วแตะริมฝีปากบนกลีบปากนุ่มนิ่มของเจ้า
หน้าข้าร้อนจนรู้สึกได้
เสียงหัวใจของเจ้าก็ดังก้องอยู่ในหูเช่นกัน
ข้าจูบเจ้านิ่งค้างเอาไว้แบบนั้น
เปลือกตาที่ปิดลงยิ่งทำให้ซึมซับความรู้สึกซึ่งเต็มไปด้วยความรัก
ความโหยหา ความผูกพันได้อย่างชัดเจน...มันลอยอยู่รอบๆตัวเรา มันอบอวลและสัมผัสได้
มันอบอุ่นไปจนถึงหัวใจ มันเหมือนกับว่าไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในโลกใบนี้ขอแค่มีเจ้าอยู่กับข้าก็พอ
“ข้ารักเจ้า
ข้ารักเจ้าเหลือเกินมินาโตะ”
ข้าพูดออกไปทั้งที่ละกลีบปากออกมาแค่นิดเดียว
ดวงตาหลุบต่ำจ้องมองไปที่ริมฝีปากนิ่มก่อนจะค่อยๆไล่สายตาขึ้นมาสบประสานกับดวงตาสีเขียวใส
จ้องมองทั้งที่อยู่ใกล้แสนใกล้
ริมฝีปากกดจูบลงไปอีกครา
สิ่งหนานุ่มแนบชิดบดเบียดลงไปอีกนิดจนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกัน
ความหอมหวานลอยฟุ้งดั่งกลิ่นที่ชวนให้หลงใหล
มันเกิดจากมโนภาพหรืออย่างไรข้าก็ไม่แน่ใจแต่ตอนนี้มันกำลังทำให้ตัวข้ารู้สึกมึนเมาและร้อนไปหมดทั้งร่างกาย
ดวงตาของข้ายังคงหลุบมองกลีบปากของเจ้า
ข้าอยากจะเข้าไป ข้าจำได้ว่าในฝันนั้นมันดีแค่ไหน
ลิ้นร้อนจึงแลบเลียกลีบปากของเจ้าเบาๆ
เจ้าคงจะตกใจกับสัมผัสชื้นแฉะที่แตะโดน
ริมฝีปากจึงเผลอเผยอออกเล็กน้อย
แน่นอนว่าข้าไม่รอช้าเพราะข้าถือว่านั่นคือคำอนุญาตของเจ้า ลิ้นร้อนจึงสอดแทรกเข้าไปทันที
“อื้ม?”
เจ้าครางในลำคออย่างไม่เคยชินกับลิ้นที่เต็มแน่นอยู่ในปาก
ข้าจึงค่อยๆเกี่ยวกระหวัดมันมันอย่างเชื่องช้า
ให้น้ำใสๆเหนียวหนืดเหล่านี้ช่วยทำให้ทุกสัมผัสนั้นลื่นไหล ให้ปลายลิ้นที่แตะลงบนลิ้นของเจ้าค่อยๆพลิกลงด้านใต้ก่อนจะย้ายมากวาดไล่ไล้วนอยู่ภายใน
ให้ลมหายใจร้อนระอุปลุกไฟปรารถนาให้ค่อยๆครุกรุ่น
ข้าอยากจะสัมผัสเจ้าให้มากกว่านี้
ฝ่ามือจึงค่อยๆสอดเข้าไปใต้แผ่นหลังแล้วประคองมันขึ้นมา
แผ่นหลังของเจ้านั้นบอบบางมากจนแม้แต่ฝ่ามือเดียวของข้าก็แทบจะโอบกอดได้หมด
ข้าลูบไล้มันอย่างเบามือ ค่อยๆขยับอย่างทะนุถนอม
ฝ่ามืออีกข้างกลับลูบไปในทิศทางตรงข้าม
มันตรงลงไปยังบั้นท้ายกลมกลึงซึ่งอยู่ในฮากามะสีฟ้าของนักบวช
ข้ากดสัมผัสลงไปตามแนวแกนกลางลำตัวจนปลายนิ้วชี้ไปหยุดอยู่บริเวณร่องก้น
ก่อนจะค่อยๆขยับย้ายลูบไล้ไปยังผลพีชลูกหนึ่ง มันคงจะหอมหวานน่ากินมากแน่ๆเพราะเนื้อของมันแน่นเสียขนาดนี้
“ฮ้า~”
เจ้าหอบหายใจเสียยกใหญ่เมื่อข้าปล่อยกลีบปากสีเชอร์รี่ให้เป็นอิสระ
เจ้าหอบไปช้อนดวงตาเชื่อมปรอยมองข้าไป แล้วจะให้ข้าทนไหวได้อย่างไร
“อื้ม~?!”
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงไปช้อนจูบเจ้าที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของข้าอีกครั้ง
แต่คราวนี้ดูเหมือนหัวใจที่ร้อนรุ่มของข้าจะเปลี่ยนจากจูบที่มีรสดั่งขนมสายไหมให้กลายเป็นจูบรสพริกชี้ฟ้าที่เผ็ดจนลิ้นชา
และดูเหมือนฝ่ามือที่ลูบไล้อยู่ภายนอกเสื้อผ้าจะยังไม่พอ
ข้าอยากสัมผัสเจ้าให้มากกว่านี้ สัมผัสเนื้อตัวที่ไร้สิ่งใดบดบังของเจ้าให้มากกว่านี้
มือใหญ่จึงตรงเข้าปลดเชือกที่รัดกางเกงฮากามะออก
แต่เจ้ากางเกงนี่น่ะ ต่อให้ข้าอยู่มาพันปีแล้วก็แกะมันไม่ได้เสียที
และเมื่อมันชักช้าน่ารำคาญใจดีนัก ข้าจึงปลดปล่อยพลังของยักษ์ออกมาจากฝ่ามือ
ทั้งฮากามะทั้งเสื้อกิโมโนของเจ้าหลุดพรึ่บออกจากกันในพริบตา
“อ๊ะ?!”
เจ้าเหลือบตามองอย่างตกใจทั้งที่ข้ายังไม่ละริมฝีปากจากเจ้า
มือบางรีบตะครุบสาบเสื้อกิโมโนที่กำลังจะหลุดจากกันไว้ได้ทันท่วงทีราวกับเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ
แรงขยับขลุกขลั่กทำให้ข้าละจูบออกมาจนได้
เจ้านั่งหอบหายใจ...ในขณะที่ช้อนสายตามองข้า...ฝ่ามือก็พยายามกระชับสาบเสื้อเอาไว้
ภาพตรงหน้าช่างไม่ต่างจากกระรอกตัวน้อยที่กำลังสั่นกลัว
แต่มันกลับกระตุ้นสัญชาติญาณนักล่าของข้าออกมาได้เป็นอย่างดี
เจ้าน่ากินเหลือเกิน ข้าอยากจะกลืนกินเจ้าเข้าไปทั้งตัว
กินตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ชูซัง...” เจ้าเรียกชื่อข้าออกมาเบาๆเมื่อข้าตรงเข้าไปจู่โจมที่ซอกคอของเจ้า
ข้ากดจูบมันเบาๆทำเอาไหล่ของเจ้าสั่นสะท้าน
ข้าลองแลบลิ้นเลียเจ้าก็ยิ่งสั่นระริกมากขึ้น
ข้าจึงลองขบเม้มดูดดึงเจ้าจึงยิ่งสะดุ้ง
“อ๊ะ”
แต่เสียงที่เจ้าเปล่งออกมามันกลับทำให้ข้าพึงพอใจ
เพราะข้ารับรู้ได้ว่ามีความหวาดหวั่นอยู่ในน้ำเสียงนั้นแต่มันก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น...อยากลองและอยากให้ข้าลอง
ดวงตาสีม่วงเหลือบมองไปที่มือซึ่งจับสาบเสื้ออยู่ของเจ้า
มันดูวุ่นวายและสับสนมาก มันเดี๋ยวบีบเดี๋ยวคลายเดี๋ยวกำจนคอเสื้อนั่นยับไปหมด
“ฮึ...” ข้าจึงหัวเราะออกมาเบาๆและเจ้าก็สะดุ้งอีกครั้งเมื่อมือของข้าสอดเข้าไปใต้สาบเสื้อพวกนั้น
ข้าสัมผัสผิวกายที่ร้อนขึ้นมากของเจ้า
มันทั้งนุ่มทั้งเรียบลื่นจนทำให้ข้าคิดว่ามันคงน่าเสียดายหากจะใช้แค่มือจับต้อง ข้าอยากจะลองสัมผัสมันด้วยปากดู
พรึ่บ!
“เอ๊ะ?” เจ้าทำหน้าตระหนกเมื่อข้าผลักเจ้านอนลงกับพื้น
ข้อมือเล็กๆทั้งสองข้างของเจ้าก็ถูกข้ากางออกแล้วจับมันกดลงกับฟูก
สาบเสื้อที่พยายามปกปิดไว้จึงปรากฏแก่สายตาของข้า
“อื้อ?~”
เจ้าถึงกับร้องออกมาเมื่อจู่ๆข้าก็กดริมฝีปากลงไปบนหน้าท้องของเจ้า
มันแบนเรียบเสียจนข้าครุ่นคิดว่าเจ้าได้กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่า?
แต่ถึงมันจะไม่มีกล้ามเนื้อแต่หน้าท้องของเจ้าก็กระชับเหมือนคนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ...มันสวยงามน่าหลงใหลมากในสายตาข้า...
จุ๊บ
ข้าแกล้งส่งเสียงเมื่อจูบย้ำเบาๆลงไปอีกครั้ง
ใบหน้ามนของเจ้าถึงกับแดงเถือก เจ้าช่างไร้เดียงสา เจ้าช่างน่ารักเหมือนดอกไม้เล็กๆ
คืนนี้...ข้าจะทะนุถนอมเจ้าได้อย่างไร
ในเมื่อข้าปรารถนาในตัวเจ้าเสียมากมายขนาดนี้
ข้ายืดตัวขึ้นตรงก่อนจะปลดโอบิออกจากกาย
สาบเสื้อที่คลายออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสมชายชาตรีและแผ่นอกหนา
ดวงตากลมโตของเจ้ามองมาที่ลอนบนหน้าท้องข้าอย่างเอียงอาย
“เจ้าอยากสัมผัสมันหรือไม่เล่า?” ข้าถามพร้อมกับจับมือบางของเจ้ามาแตะลงบนกล้ามหน้าท้องของตัวเอง
แรกเริ่มปลายนิ้วเล็กๆนั่นก็ดูเก้ๆกังๆ
แต่พอได้สัมผัสผิวกายและกล้ามเนื้อแข็งๆของข้า
ปลายนิ้วของเจ้ากลับลากผ่านมันไปด้วยความสนใจ แตะผ่านเบาๆราวกับกำลังสำรวจ
แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าปลายนิ้วของเจ้านั้นช่างร้ายกาจยิ่งกว่าคมดาบ
เพราะตอนนี้มันกำลังทำให้ในท้องของข้านั้นปั่นป่วนไปหมดแล้ว
ข้ามองตามปลายนิ้วของเจ้าอย่างสะกัดกลั้นอารมณ์
ทุกจุดที่มันลากผ่านล้วนปลุกสัญชาตญาณดิบให้ตื่นขึ้นมา
ลมหายใจของข้าเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ข้าจึงโน้มตัวลงไป
แล้วใช้ปลายลิ้นลากเลียตั้งแต่กลางลำตัวของเจ้าขึ้นไปจนถึงเนินอก
“อื้อ~” เจ้าถึงกับบิดตัวเบาๆ
ข้าตรงเข้าซุกไซร้ไปที่ซอกคอของเจ้า ที่ที่กลิ่นหอมอ่อนๆมักจะลอยกรุ่นออกมา
วันนี้มันก็ยังหอมมาก กลิ่นเหมือนแอปเปิ้ลพันธุ์ดีที่หอมหวานน่าทานที่สุด ข้าสูดดมมันอย่างหลงใหลก่อนจะแตะริมฝีปากลงไปลิ้มรส
ข้ากดจูบมันจนเจ้าสะดุ้งน้อยๆ
ส่วนมือของข้าก็มิได้ไร้หน้าที่
มันค่อยๆแตะสัมผัสแกนกลางร่างกายที่เริ่มจะตื่นน้อยๆของเจ้า
ตอนนี้ข้าจึงไม่รู้เลยว่าเจ้าสั่นระริกเพราะมือหรือเพราะริมฝีปากของข้ากันแน่
“อ๊ะ ชูซัง” เสียงของเจ้าในยามนี้นั้นช่างไพเราะถูกใจข้าเสียจริง
ข้าเลยยิ่งกอบกุมเคล้นคลึงแท่งเนื้อสีลูกพีชของเจ้าให้มันยิ่งแข็งขืน ขนาดตรงนี้ของเจ้าก็ยังน่ารัก
หากริมฝีปากของข้ามิได้วุ่นวายอยู่กับซอกคอและลาดไหล่บอบบางของเจ้าแล้วละก็
ข้าคงขอลิ้มลองมันด้วยปากสักคราเป็นแน่
“ฮ้า…อะ…” เจ้าเอื้อมมือเล็กๆของเจ้ามากอดแผ่นหลังของข้าไว้...เสียงครางของเจ้า...ร่างกายที่บิดเร่า...เสียงหอบหายใจ...กลิ่นกายที่หอมอบอวล...ทุกอย่างนี้ของเจ้ามันทำให้ข้ามีอารมณ์
ความเป็นชายของข้าจึงตื่นขึ้นมาโดยไม่ต้องสัมผัสมันแม้แต่น้อย
และตอนนี้ข้าก็รู้ตัวดีว่าอีกไม่นานข้าคงจะทนไม่ไหว
มือที่กอบกุมส่วนอ่อนไหวของเจ้าจึงเริ่มขยับเข้าออก
จากเนิ่บช้าก็ค่อยๆเร็วขึ้น จากแผ่วเบาก็ค่อยๆแรงขึ้น
“อะ
อ้า ชูซัง~
พอก่อน ไม่ไหว ผมไม่ไหว~”
เจ้าร้องครางแทบขาดใจแต่ข้าก็ไม่หยุดมือ...เพราะข้าต้องการอะไรบางอย่างจากมัน
“ปล่อยออกมาเลยมินาโตะ”
ข้ากระซิบที่ใบหูพร้อมกดจูบขมับชื้นเหงื่ออย่างเอาใจ
“อ๊า~!” ข้ารับรู้ได้ถึงปลายนิ้วที่จิกลงมาบนแผ่นหลัง
เจ้าบิดเร่าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะปลดปล่อยมันออกมา...เต็มฝ่ามือข้าคือน้ำรักสีขาวขุ่นที่คงจะไม่ได้ปลดปล่อยมานานมันถึงได้มากมายขนาดนี้
ข้าเหลือบมองมันด้วยรอยยิ้ม
“ฮ้า...ฮ้า...ฮ้า...” เจ้าหอบหายใจตาลอย
ข้าจึงอาศัยจังหวะที่เจ้ายังไม่รู้ตัวนำสิ่งที่ข้าต้องการลงสู่เบื้องล่าง
น้ำรักถูกใช้แทนสารหล่อลื่น...และตอนนี้มันก็กำลังถูกลำเอียงเข้าไปในตัวเจ้าอีกครั้งโดยนิ้วของข้า
“อ๊ะ?
อะไร?”
เจ้าสะดุ้งน้อยๆเมื่อช่องทางเบื้องล่างถูกสิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้าไป
ถึงจะยังหอบหายใจแต่เจ้าก็พยายามก้มมองเพื่อไขความข้องใจ
“ชูซัง?
คุณใส่อะไรเข้ามาในตัวผม?”
เจ้าเงยหน้ามองข้าเมื่อมองไม่เห็นเบื้องล่าง
แววตาสับสนเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆนั่นชวนให้จิตใจฝ่ายชั่วร้ายนึกอยากจะรังแกเสียจริงๆ
แต่ข้าก็ทำได้แค่ก้มลงไปจูบที่หน้าผากใสแล้วเอ่ยออกไปให้เจ้าคลายกังวล “นิ้วของข้า
มันจะทำให้เจ้าไม่เจ็บหากข้าใส่ของของข้าเข้าไป”
“เอ๊ะ?
ต้องใส่เข้ามาด้วยเหรอครับ?”
ข้าถึงกับหัวเราะในลำคอกับความไร้เดียงสาใสซื่อบริสุทธิ์ของเจ้า
คงจะไม่เคยรู้วิธีร่วมรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมาก่อนเลยสินะ
“เจ้าเชื่อใจข้าไหม
มินาโตะ?”
ข้าถามพร้อมกับพรมจูบลงไปบนใบหน้ามน
“...เชื่อครับ...”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ
เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกดี” เจ้าพยักหน้าเบาๆพร้อมกับรอยแดงบนสองแก้ม
นิ้วแรกที่สอดเข้าไปยังคงถูกบีบรัดจนข้าต้องกัดฟัน
มันนิ่มแล้วก็ร้อนมาก แน่นอนว่ามันต้องดีมากแน่ๆหากสิ่งที่สอดเข้าไปไม่ใช่นิ้ว
แค่คิดข้าก็แทบจะทนไม่ไหว
นิ้วที่สองถูกสอดใส่เข้าไปเพื่อช่วยขยายช่องทาง
น้ำรักของเจ้าทำให้ทุกอย่างราบลื่นขึ้นมาก
และเมื่อเจ้าดูผ่อนคลายจนข้าขยับนิ้วเข้าออกได้ง่ายๆ นิ้วที่สามจึงถูกใส่ตามเข้าไป
แน่นอนว่าขนาดมันยังเทียบไม่ได้กับของของข้าหรอก
“อื้อ?”
ข้าจับมือเจ้ามาวางไว้บนแท่งเนื้อร้อนระอุที่อยู่ใต้ชายกิโมโนสีดำ
ข้าไม่อยากให้เจ้าตกใจแต่ก็ดูจะสายไปแล้ว เจ้าถึงกับชักมือกลับอย่างสะดุ้งน้อยๆเมื่อแตะโดนความร้อนของมันทั้งๆที่มีกิโมโนบังไว้
ก่อนจะค่อยๆแตะๆลงมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“นี่คือตัวข้าที่กำลังจะเข้าไปในตัวเจ้า” ข้าพูดพร้อมกับลมหายใจหอบหนัก
เพราะมือที่จะแตะก็ไม่แตะ จะจับก็ไม่จับของเจ้านั่นแหละ แบบนี้มันยิ่งยั่วเย้าอารมณ์ข้ากว่าเดิมเสียอีก
“มัน...ไม่ใหญ่ไปหน่อยเหรอครับ?...”
เจ้าเหลือบมองอย่างหวาดๆและนั่นก็ทำให้ข้าหลุดหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เพราะเจ้าทำให้ข้ามีอารมณ์ขนาดนี้เลยน่ะสิ เจ้าต้องรับผิดชอบต่อความรักที่มากล้นของข้านะ
มินาโตะ”
ข้าก้มลงไปกระซิบที่ใบหูก่อนจะดึงนิ้วทั้งสามออกมา เจ้ายังทำหน้างงว่าต้องรับผิดชอบยังไง
ข้าจึงสอนให้...ด้วยการกดปลายความเป็นชายไว้กับปากช่องทางสีสวย
“อ๊ะ?
อึก...”
เจ้าสะดุ้งโหยงทันทีที่ข้าแทรกกายเข้าไป
“กอดข้าไว้สิ
มินาโตะ” ข้าโน้มตัวลงไปกอดแผ่นหลังบางเอาไว้
มือไม้ที่ยังสับสนของเจ้าจึงตวัดมาโอบกอดแผ่นหลังของข้าตามที่ข้าบอก
ร่างของเราจึงแนบชิดกัน แล้วยิ่งข้างล่างสอดใส่เข้ามาได้ลึกเท่าไหร่
ร่างกายก็ราวกับจะหลอมรวมกันมากขึ้นเท่านั้น
อ้า...ข้างในตัวเจ้ามันสุดยอดอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ
ทั้งนิ่ม
ทั้งร้อน ทั้งแน่น ทั้งบีบรัด
มันดี...จนแม้แต่ยักษ์พันปีแบบข้ายังรั้งสติไว้แทบไม่อยู่
“ฮ้า...มันดีมากเลยมินาโตะ...”
ข้าซุกหน้าไว้กับไหล่บางก่อนจะครางออกไปเบาๆ ตัวเจ้าสั่นสะท้านไปหมด
ซึ่งข้าย่อมรู้ว่าการที่เจ้าจะรับข้าเข้าไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย
“เจ้าเจ็บหรือไม่?” ข้าถามพร้อมกับจูบซับน้ำตาที่ไหลปริ่มออกมา ใบหน้าของเจ้ายามนี้ช่างน่าหลงใหล
ถึงเจ้าจะร้องไห้แต่เจ้ากลับสวยมากๆ
“อึก...ไม่เป็นไรครับ...”
ข้าแลบเลียน้ำตาให้ก่อนจะจูบลงไปที่กลีบปากของเจ้า
ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บและเจ้าก็กำลังอดทนอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ข้าจะตอบแทนเจ้าได้ก็คือความสุขสมจนมองเห็นสวรรค์รำไร
ข้าจึงเริ่มขยับเมื่อเจ้าดูเริ่มจะผ่อนคลาย
“อึก
อื้อ~” เจ้าผวากอดข้าแน่น
ดูจากรอยแดงบนแก้มของเจ้า ดูจากสีหน้าของเจ้า เจ้าก็น่าจะรู้สึกดีและชอบมัน
ส่วนข้านั้นไม่ต้องถาม
ภายในของเจ้าทำเอาข้าแทบคลั่ง ข้าจึงขยับกายใส่ไม่ยั้ง
“อ๊ะ?!!”
จู่ๆเจ้าก็กระตุกเกร็งเมื่อความเป็นชายของข้ากระทุ้งไปโดนเข้ากับจุดๆหนึ่งในตัวเจ้า
ปฏิกิริยาที่น่าสนใจนั้นทำให้ข้าลองกระแทกเข้าใส่มันอีกครั้ง
แล้วเจ้าก็ร้องครางเสียงสูงราวกับจะขาดใจ ปลายเล็บจิกลงมาบนหลังของข้าราวกับกำลังระบายความเสียวซ่านออกมา
หรือว่านี่จะเป็นจุดที่ทำให้เจ้ารู้สึกดี?
ข้าลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะจดจำมันเอาไว้
แล้วทุกครั้งที่ขยับเข้าใส่ ข้าก็จงใจเฉียดเข้าใกล้บ้าง โดนมันตรงๆบ้าง
เอาให้เจ้าร้องครางจนแทบไม่เป็นภาษา
“อะ
อ้า~ ชูซัง~ อ้า ดี จังเลยครับ~” กลิ่นกายของเจ้าราวกับจะหอมฟุ้งยิ่งขึ้น
ส่วนสายตาของข้านั้นเริ่มจะพร่ามัวด้วยความปรารถนา
ข้าปล่อยให้สัญชาตญาณนำพา
แล้วเสพสุขจากร่างกายของเจ้าด้วยการขยับเข้าออกอย่างหนักหน่วง
ถึงเบื้องล่างจะกระแทกใส่ถี่กระชั้นแต่เบื้องบนก็ยังกอดรัดเจ้าเอาไว้ในอ้อมแขน
เสียงหอบหายใจดังคละเคล้ากันจนไม่รู้ของใครเป็นของใคร ใกล้แล้ว...อีกนิดเดียว..
“อึก”
ข้ากัดฟันก่อนจะดึงออกไปจนสุดแล้วกระแทกกลับในรวดเดียว
“อ๊า~!!!”
เจ้าครางออกมาด้วยเสียงไพเราะก้องกังวาน
ทุกความต้องการของเราทั้งคู่ต่างพุ่งทะยานออกไป ข้าปล่อยมันทิ้งไว้ในตัวเจ้า
ส่วนของเจ้าก็เลอะเต็มหน้าท้องของข้า
ความสุขสมแผ่กระจายไปในทุกอณูของร่างกายจนเหมือนได้กลิ่นหอมหวานลอยอยู่รอบตัว
“แฮ่ก...แฮ่ก...” ข้าทิ้งกายทาบทับลงไปบนร่างโปร่งบางของเจ้า
เสียงหอบหายใจดังอยู่อีกพักใหญ่ ตอนแรกข้าก็ว่าจะเห็นแก่ครั้งแรกของเจ้า
ว่าจะพอแล้วเสียหน่อย แต่เจ้ากลับมายั่วเย้าข้าด้วยแรงบีบรัดอันไร้เดียงสา...
ข้าจึงพลิกให้เจ้านอนตะแคง
มือใหญ่ดึงรั้งขาข้างหนึ่งของเจ้าให้อ้าออก แล้วเริ่มขยับสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ข้างในนั่นอีกครั้ง
“เอ๊ะ?
ชูซัง เดี๋ยวก่อน อื้อ~”
เจ้าคิดจะทัดทานแต่ก็ไม่อาจต่อต้านไฟราคะที่หอมหวานซึ่งข้ามอบให้ได้
จนกว่าจะรุ่งสาง...อักขระบนแผ่นหลังของเจ้าจึงค่อยๆเลือนหายไปหนึ่งตัว...
ร่างโปร่งบางลืมตาขึ้นมาท่ามกลางอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นและแข็งแกร่งของยักษ์แห่งท้องฟ้า
ดวงตาสีมรกตเปิดขึ้นมาก่อนจะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังหลับสนิท
เมื่อคืนนี้...เขากับชูซัง...ทำ...เรื่องแบบนั้น...กันไปแล้วสินะ...
มันไม่ใช่ความฝันเหมือนอย่างทุกที
เพราะความสุขสมยังฝังอยู่ในทุกอณูของร่างกายจนรู้สึกได้
ถึงตอนแรกจะเจ็บอยู่บ้าง
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกทำจนแทบสิ้นสติ มันเหมือนเขาได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในอ่างของความสุขสม
ถึงจะทรมานแต่มันกลับดีมากจนแทบสำลักเป็นความสุขออกมา
ดวงตากลมโตเหลือบมองร่างกายของเขากับชูซังที่สวมกิโมโนไว้ลวกๆ
แผ่นอกของเรายังแนบชิดกันจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างสงบของชูซังเบาๆ
ผ้าปูฟูกยับเยินไปหมด แถมเสื้อผ้าชิ้นอื่นที่ถูกโยนไว้รอบกายก็ยู่ยี่จนน่าอาย
นี่ยังไม่นับรวมบั้นท้ายของเขาที่ปวดแปลบจนแทบจะขยับไม่ได้...
ร่างโปร่งบางต้องกัดฟันพยายามยันตัวลุกขึ้นเพราะน่าจะสายมากแล้ว
ถึงจะไม่มีใครมาสักการะแต่เขาก็ควรจะลุกไปเปิดศาลเจ้าให้เป็นปกติ
“อะ” ทว่า
เอวบางกลับถูกท่อนแขนแข็งแรงกอดรั้งเอาไว้
“ชูซัง?
ตื่นแล้วเหรอครับ?”
ใบหน้ามนหันไปมองดวงตาสีม่วงที่ปรือปรอยขึ้นมาอย่างงัวเงีย
“จะไปไหน?” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามออกมาให้เขาหน้าแดง
ก็เสียงชูซังตอนเพิ่งตื่นนอนแบบนี้มันเซ็กซี่มาก
“ตื่นเถอะครับ
สายแล้วนะ”
เขาถูกแรงมหาศาลนั่นดึงให้ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง อ้อมแขนแข็งแกร่งตวัดกอดเขาอย่างหวงแหนก่อนจะซบหน้าลงมาซุกไซร้เหมือนแมวตัวใหญ่
“ร่างกายเจ้าเป็นยังไงบ้าง?
เจ็บตรงไหนไหม?”
ชูซังถามด้วยเสียงงัวเงีย
“ยังเจ็บก้นอยู่เลยครับ
เพราะใครล่ะ” ดวงตากลมโตมองอย่างคาดโทษ
“เพราะใครกันนะ?” ส่วนใบหน้างัวเงียก็ยิ้มอย่างหยอกเย้ากลับมา
“นั่นมันครั้งแรกของผมนะครับ
มีอย่างที่ไหนทำมาได้ทั้งคืน ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจบ้างเลยเจ้าคนใจยักษ์นี่” เขาค้อนให้เสียหนึ่งที
“ก็ข้าเป็นยักษ์” แต่ชูซังกลับถูไถใบหน้าคลอเคลียอย่างเอาใจ
ร่างโปร่งบางนิ่งค้างไปอย่างเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้...ก็เมื่อคืนนี้เขายังไม่มีเวลาที่จะบอกกับอีกฝ่าย
เพราะงั้น...ตอนนี้...
“มินาโตะ?
เป็นอะไรไป? หรือว่าเจ็บตรงไหน?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเขานิ่งเงียบไป
มือบางจึงจับขย๋ำสาบเสื้อกิโมโนสีดำอย่างรวบรวมความกล้าแล้วเงยขึ้นไปเผชิญหน้ากับเจ้าของดวงตาสีม่วงคู่นั้น
“ผมก็รักคุณนะครับชูซัง”
“อะ...”
ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับชะงักค้างไปเพราะไม่ทันเตรียมใจ
“ก็เมื่อคืน...ผมไม่ทันได้บอก...” ใบหน้ามนก้มลงมาพูดงึมงำ
แต่ตอนนี้ทั้งหน้าของเขาและหน้าของชูซังต่างก็แดงระเรื่อไปหมดแล้ว
“ฮ้า...ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดี?
ขอข้าทำแบบเมื่อคืนอีกสักทีได้ไหม? เจ้าน่ารักจนข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”
ท่อนแขนแข็งแรงดึงตัวเขาเข้าไปกอดจนใบหน้ามนได้แต่ซบอยู่กับแผงอกกว้าง
“อดทนไว้นะครับ
ห้ามทำแบบเมื่อคืนเด็ดขาดเลย ก้นผมยังระบมอยู่”
เสียงใสบ่นพึมพำทำเอาชูซังหัวเราะออกมา
“ฮะฮะฮะ”
อ้อมแขนยังคงกอดเขาไม่ปล่อยและภายในนี้มันก็อุ่นมากจริงๆ
อุ่นจนไม่อยากจะลุกไปไหน อุ่นจนอยากจะนอนอยู่แบบนี้ทั้งวันทั้งคืน แล้วมันก็ยิ่งอุ่นขึ้นอีกเมื่อเสียงทุ้มพูดขึ้นมา
“ข้าก็รักเจ้า
มินาโตะ”
กว่าจะจัดการตัวเองเสร็จ
จัดการห้องเสร็จ อาการเอวเคล็ดก็กลับมาเยือนอีกรอบ
“อูย...ขนาดเป็นยักษ์ก็ยังปวดเอวได้เหรอเนี่ย?”
ใบหน้ามนบ่นกระปอดกระแปดเปิดประตูหอสักการะไปพลางบีบนวดเอวของตนไปพลาง
แล้วจู่ๆสายตาก็หันไปเห็นของไหว้ที่ไม่ได้เห็นมานานถูกวางเอาไว้หน้าประตู...พลังงานตกค้างที่เหลืออยู่บนของไหว้นั้นบ่งบอกว่านั่นเป็นของเด็กสาวที่เขากับชูซังเพิ่งไปช่วยมาเป็นคนเอามาถวาย
รอยยิ้มบางๆจึงปรากฏอยู่บนใบหน้า
เขาได้แต่หวังว่าเธอจะได้พบกับความสุขเสียที...
แต่นอกจากของไหว้ที่วางอยู่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ร่างโปร่งบางถึงกับผงะไปเมื่อเหลือบไปเห็น…
อะ
อะไรน่ะ?
คงต้องบอกว่าตั้งแต่กลายเป็นยักษ์ขอบเขตการมองเห็นของเขาก็ขยายไปมาก
เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นนักบวช
เป็นแค่มนุษย์เขาจะมองเห็นแค่ภูตผีปีศาจวิญญาณคำสาปที่มีจิตแรงกล้า เช่น
ยังมีความผูกพันอันแรงกล้า ความแค้นอันแรงกล้า ความรักอันแรงกล้า
ความชั่วร้ายอันแรงกล้า แล้วก็พวกที่มีพลังมหาศาลอย่างชูซังเป็นต้น
ส่วนปีศาจหรือจิตวิญญาณที่คงอยู่มานานอย่างสงบนั้นบางครั้งเขาก็มองไม่เห็น
แต่ตอนนี้
ตอนที่เป็นยักษ์แล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นวิญญาณ ปีศาจ
หรือโยไคประเภทไหนเขาก็มองเห็นทั้งหมด
“ดูอะไรอยู่น่ะ?” เสียงทุ้มของชูซังกระซิบอยู่ที่ใบหู
แผ่นหลังรับรู้ถึงไออุ่นที่แนบชิดเข้ามา
ใบหน้ามนจึงหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มมองเขาอยู่ที่หัวไหล่
ความใกล้ชวนให้ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหวนกลับมาลอยวนอยู่ในหัว
ใบหน้าจึงขึ้นสีแดงจัดอย่างรวดเร็วก่อนจะสะบัดกลับไปมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ดะ ดูนั่นสิครับ…” ใบหน้ามนพยักเพยิดไปยังเบื้องหน้าทว่าสายตาของอสุราแห่งท้องนภายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหูสีแดงและต้นคอที่มีรอยจูบฝังอยู่
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่เคยเฉยชาเพราะคนในอ้อมแขนช่างเขินอายได้น่ารักจริงๆ
“ชูซัง? ดูอยู่หรือเปล่าครับ? นั่นน่ะ”
ใบหน้าแดงระเรื่อเหลือบมามองอีกครั้ง
ข้าจึงยอมละสายตาจากต้นคอน่างับนี่แล้วมองไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“โยไก?” เสียงนุ่มถามออกมาเบาๆอย่างไม่แน่ใจนัก
โยไกก็คือชื่อเรียกรวมๆของปีศาจหรือภูตตามความเชื่อของญี่ปุ่นที่มีมาแต่โบราณและมันก็แบ่งแยกย่อยได้อีกมากมาย
ไม่แปลกที่มินาโตะจะแยกเจ้าสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีร่างกายเหมือนมนุษย์ตรงหน้านี้ไม่ได้
“มันคือโคดามะ” เสียงทุ้มจึงเอ่ยตอบไปในขณะที่เหลือบมองร่างที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ตนนั้น
ร่างที่มองเห็นมาในรูปแบบของชายหนุ่มรูปร่างบางสวมกิโมโนสีขาวสะอาดตา
ใบหน้าก็หมดจด ดวงตาหลุบต่ำอย่างสงบนิ่งนั้นทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีอันตรายและไม่ได้มาร้าย
ข้าจึงไม่จำเป็นต้องไล่มันออกไป
“โคดามะ?”
“ใช่ โคดามะ จิตวิญญาณแห่งต้นไม้
เป็นภูติที่จะสิงสถิตย์อยู่ตามต้นไม้ที่มีความพิเศษ”
“ดูเหมือนเค้า…มีเรื่องอยากให้เราช่วยเลยนะครับ?”
ใบหน้ามนเอียงคออย่างไม่แน่ใจเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ยืนมองพื้นนิ่งๆอยู่ตรงนั้น
ไม่เข้ามาทำร้ายแต่ก็ไม่ได้เข้ามาขอร้องอะไร
ก็คงจะรู้อยู่สินะว่าที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของยักษ์ธรรมดาๆ
“ฮึ เจ้าเนี่ย เลิกคิดว่าทุกคนเค้าจะอยากให้เราช่วยสักทีดีไหม?”
ข้าเอ่ยหยอกเย้าเจ้ายักษ์เด็กจิตใจดีที่อยู่ในอ้อมแขน
ใบหน้ามนยู่หน้าก่อนจะหันไปมองโคดามะตนนั้นอีกครั้ง
ข้าเหลือบตาลงไปมองท้ายทอยที่มีปอยผมสีดำน่ารักๆนั่นอย่างนึกเอ็นดู
แต่ก็เพราะเจ้าเป็นคนดีแบบนี้นี่แหละข้าถึงติดใจ
ข้าถึงได้เฝ้ามองเจ้าด้วยความสงสัยเพราะข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ ฆ่าเจ้าก็ไม่ได้ด้วย
หากเจ้าไม่ย้ายเครื่องหมายของยักษ์มาไว้ที่ตัวเองเสียเอง
มีหรือที่ข้าจะสามารถผูกมัดเจ้าด้วยโซ่กรรมได้
ของที่มีไว้สำหรับคนชั่วพวกนั้นหากเจ้าไม่หยิบมันไปด้วยตนเอง
ข้าก็นึกไม่ออกเลยว่าระหว่างเราจะรู้จักกันได้ยังไง
มือใหญ่ยกขึ้นก่อนจะร่ายคาถาในใจ
อากาศที่เคยโปร่งใสแหวกออกเป็นโพรงทันที
รอบๆหมู่อาคารของศาลเจ้านี้มีอักขระของยักษ์แบบเข้มข้นมากปกป้องอยู่อีกชั้น โยไกที่มีพลังอยู่พอตัวนั่นจึงเข้ามาไม่ได้
“เข้ามาสิ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกโคดามะตนนั้น
อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างเจียมตัว
นานแล้วที่ศาลเจ้ายาตะไม่ได้รับแขกแบบนี้…ถึงนี่จะไม่ใช่แขกที่เป็นมนุษย์ก็เถอะนะ
มือบางวางถ้วยชาหอมกรุ่นลงไปที่พื้นเสื่อทาทามิก่อนจะดันไปตรงหน้าภูติแห่งต้นไม้ตนนั้น
ยิ่งได้มามองใกล้ๆก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นต้นไม้ เอ้ย เป็นร่างจำแลงที่งดงามมากจริงๆ
เส้นผมยาวสีเทาจางๆนั้นราวกับจะเปล่งประกายได้ ดวงตาสีทองก็ชวนให้นึกถึงดอกไม้ที่เบ่งบานในยามราตรี
กลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยออกมาจากร่างสีขาวนี้ก็ชวนให้รู้สึกใจสงบยังไงชอบกล
เอ…กลิ่นแบบนี้มันคุ้นๆแหะ?
“ฮิโนกิสินะ?” แล้วพอเสียงราบเรียบของชูซังพูดออกมา
เขาก็นึกออกทันทีว่าเคยได้กลิ่นแบบนี้มาจากที่ไหน
ต้นสนฮิโนกิ
เป็นต้นไม้สูงค่าที่คนญี่ปุ่นนิยมนำมาสร้างบ้านเรือน
เพราะเป็นไม้สีอ่อนสวยและยังมีกลิ่นหอมซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบำบัดโรคภัยและช่วยให้จิตใจรู้สึกสงบ
ที่ศาลเจ้าเองก็มีอาคารหลายหลังที่ทำมาจากสนฮิโนกิเช่นกัน
“ขอรับ” น้ำเสียงเย็นๆนั่นตอบรับ
“มีอะไรก็พูดมา” เขาขยับไปนั่งข้างๆชูซังที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย
มันเหมือนเป็นการสนทนาระหว่างทวยเทพที่ไม่สนใจไยดีอะไรสององค์เลยแหะ
ดูยังไงก็ไม่เหมือนยักษ์กับภูติเลยสักนิด
“คือว่า…ต้นสนฮิโนกิที่ข้าสิงสถิตย์อยู่นั้นกำลังจะตายตามอายุขัยของมัน”
เสียงเย็นๆเอ่ยออกมา…ไม่สิ…จะว่าภูติโคดามะตรงหน้าไม่ไยดีอะไรคงไม่ได้
เพราะตอนนี้บนใบหน้างดงามนั่นกำลังแสดงถึงความเจ็บปวดออกมา
ทว่า
ทั้งเขาทั้งชูซังต่างก็มีแววตาแปลกใจ เขาเองก็ศึกษาเกี่ยวกับโยไกในตำราโบราณมามาก
เลยพอจะรู้อยู่ว่าโคดามะนั้นไม่ได้เกิดและตายไปพร้อมกับต้นไม้ต้นหนึ่ง แต่มันสามารถย้ายไปที่ต้นไม้ต้นอื่นได้
ตัวมันเองจะไม่มีวันตายหากยังอยู่กับต้นไม้ไปเรื่อยๆ
เช่นนั้นทำไมภูติต้นสนฮิโนกิตรงหน้าถึงได้ทำหน้าราวกับจะร้องไห้แบบนี้ล่ะ? ยึดติดกับต้นไม้ต้นนี้มากอย่างงั้นเหรอ?
หรือว่าจะอยู่ด้วยกันมานาน?
“มันกำลังจะตาย…และถูกชาวบ้านในหมู่บ้านตัดเพื่อใช้ในพิธีองบะชิระ”
หรือว่าจะเศร้าที่ต้นไม้กำลังจะถูกมนุษย์ตัดไปใช้อย่างงั้นเหรอ?
ต้องอธิบายก่อนว่า
ไม่ใช่ว่าต้นสนฮิโนกิหรือต้นไม้ทุกต้นจะมีโคดามะสิงสถิตย์อยู่
เพราะโคดามะนั้นจะเลือกสถิตย์เฉพาะต้นไม้ที่มีลักษณะพิเศษเท่านั้น เช่น ซากุระที่มีอายุ500ปีขึ้นไป อย่างฮิโนกิต้นนี้ก็อาจจะต้องสูงไม่ต่ำกว่า30เมตร จะต้องมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นน่าเกรงขาม
มีอายุอานามเพียงพอให้ผู้คนนับถือ
เพราะต้นไม้ต้นไหนที่มีโคดามะสิงสถิตย์อยู่จะเป็นต้นไม้ที่ให้โชคลาภและมีคนไปกราบไหว้
ในทางกลับกัน
หากต้นไม้ต้นนั้นถูกทำร้ายโดนตัดทำลาย
ก็จะเกิดคำสาปที่นำเภทภัยหายนะมาสู่คนที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นๆ
มันอาจจะร้ายแรงจนทำให้ทั้งหมู่บ้านล่มสลายไปเลยก็ได้
เพราะถึงโคดามะจะย้ายต้นไม้สิงสถิตย์ได้
แต่มันก็จะมีสายไยเชื่อมกับต้นไม้ที่สิงอยู่อย่างหนาแน่น
การจะย้ายไปต้นใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
และการที่หากใครมาตัดแล้วจะเกิดหายนะทั้งหมู่บ้านนั้นก็เป็นคำสาปที่มีไว้เพื่อช่วยชีวิตของโคดามะเอง
ยังไงเสียโคดามะก็ยังเป็นโยไก
ถึงจะเป็นภูติที่ให้โชคดีแต่ก็ยังเป็นภูติที่สามารถดูดกลืนพลังชีวิตของมนุษย์ได้
หากถ้ามีคนตายเพราะคำสาปนี้โคดามะก็จะได้พลังชีวิตของคนพวกนั้นไป
ช่วยให้ในระหว่างที่โคดามะหาต้นไม้ต้นใหม่ วิญญาณของมันจะได้ไม่แตกสลาย
แต่ถึงอย่างนั้น
ร่างสีขาวตรงหน้ากลับพูดออกมาว่า
“เรื่องที่ข้าอยากจะขอร้องท่านก็คือ…ท่านช่วยคลายคำสาปที่จะมีต่อผู้คนในหมู่บ้านให้ข้าได้หรือไม่
ข้าไม่ต้องการชีวิตของพวกเขาแม้แต่คนเดียว…”
ขนาดชูซังก็ยังอึ้งไป…เพราะสิ่งที่โคดามะตรงหน้าพูดออกมานั้นมันเท่ากับกำลังจะฆ่าตัวตายเลยนี่?
หากไม่มีพลังชีวิตที่ได้จากคำสาปเหล่านี้
หากเจ้าย้ายไปสิงต้นไม้ต้นใหม่ไม่ทัน
จิตวิญญาณของเจ้าก็ไม่อาจจะคงอยู่ได้และการแตกสลายก็คือการดับสูญของภูติผีปีศาจนั่นเอง
“เจ้าจะตายเอานะ?” เสียงทุ้มของชูซังพูดออกไปตรงๆ
แต่ใบหน้าที่ราวกับจะร้องไห้นั่นกลับเผยรอยยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“สักวัน…จิตวิญญาณของข้าก็คงจะแตกสลายหายไปอยู่แล้ว
มันจะเป็นไรไปเล่า ถึงตอนนั้นเขาเองก็คงจะสิ้นอายุขัยแล้วเช่นกัน”
“ข้ามีชีวิตอยู่มานานพอแล้ว
ให้อยู่ต่อไปตามลำพังจะสู้ได้ตายพร้อมคนที่ข้ารักได้อย่างไร”
หมายความว่ายังไง? ในบรรดากลุ่มคนที่จะตัดต้นสนฮิโนกิมีคนที่ภูติโคดามะตนนี้รักรวมอยู่ด้วยงั้นเหรอ?
ถึงได้ยอมตายเสียเองแบบนี้
“เจ้า…ไม่ได้มาขอร้องข้าสินะ? เพราะข้าคลายคำสาปพวกนั้นไม่ได้หรอก
ข้าไม่ใช่ยักษ์ที่จะทำแบบนั้นได้” แล้วสิ่งที่อสุราแห่งท้องนภาพูดออกมาก็ทำให้ใบหน้ามนที่ฟังอยู่หันมองคนนู้นทีคนนี้ทีอย่างยังไม่รู้ตัว
จนกระทั่งภูตโคดามะตนนั้นหันมาค่อมหัวให้ร่างโปร่งน้อยๆ
สองมือวางประสานกันไว้บนพื้นเบื้องหน้าด้วยท่าทางเคารพ
“ขอรับ…คนที่ข้าตั้งใจจะมาขอร้องให้ช่วย…ก็คือท่าน” ดวงตาสีทองเหลือบขึ้นมาสบประสานกับดวงตาสีเขียวด้วยแววอ้อนวอน
“เอ๊ะ? ผมเหรอ?” มือบางถึงกับชี้ตัวเองอย่างมึนงง
เพราะนอกจากยกหินยกบ้านได้แล้วเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าพลังที่เพิ่งได้มาใหม่นี้มันยังทำอะไรได้อีก?
“แต่ว่า…?” ใบหน้ามนหันไปหาร่างสูงสง่าที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างไม่รู้จะตอบว่ายังไง
ในเมื่อชูซังเองยังบอกว่าทำไม่ได้เลย แล้วเขาจะทำได้ได้ยังไง? พลังที่เขามีน่าจะเป็นแบบเดียวกับชูซังนี่?
ชูซังเองก็นิ่งคิดไปนิดหนึ่ง
ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เอ๋? ยังไงเหรอครับ?”
“เจ้ามีพลังของข้า…อสุราแห่งท้องนภาอยู่ในตัว
เจ้าจะใช้พลังแบบเดียวกับข้าได้ ทว่า…เจ้ายังมีพลังที่ข้าไม่มีและข้าก็ไม่สามารถใช้พลังแบบเดียวกับเจ้าได้…เพราะข้าไม่ได้เป็นนักบวชเช่นเจ้า” เขาถึงกับร้องอ๋อออกมา
ใช่สิ เพราะเขาไม่ใช่ยักษ์อย่างเดียวแบบชูซัง
แต่เขายังเป็นทั้งยักษ์ทั้งนักบวชด้วย
เขาปัดเป่าคำสาปได้…ด้วยวิธีการของนักบวช
แล้วหากยังเป็นแค่มนุษย์เขาอาจจะไม่สามารถปัดเป่าคำสาประดับอภิมหาโปรเจคที่คร่าชีวิตคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ได้…แต่ตอนนี้เขาเป็นยักษ์
แล้วก็เป็นยักษ์ที่มีพลังมหาศาลเสียด้วย
เรื่องนี้จึงมีความเป็นไปได้
“ข้าขอร้อง…ได้โปรดช่วยคนในหมู่บ้านด้วย”
ภูตโคดามะยังก้มหัวอยู่ตรงหน้า
ดวงตากลมใสจึงเหลือบไปมองที่ร่างสูงสง่า เขารู้ว่าชูซังเป็นห่วงเขามากและเขาก็ไม่อยากจะทำอะไรดื้อดึงแบบตอนที่ช่วยเด็กสาวคนนั้นอีกแล้ว
เขาจึงถามชูซังด้วยสายตาว่าเขาทำได้ไหม? แล้วอีกฝ่ายอนุญาตหรือเปล่า?
ใบหน้าหล่อเหลาจึงเหลือบมองลงไปยังหัวสีเทาซึ่งยังก้มอยู่
“ในหมู่คนพวกนั้น…มีมนุษย์ที่เจ้ารักอยู่ใช่หรือไม่?”
เสียงทุ้มก้องกังวานถามออกไป
ใบหน้าที่ก้มอยู่จึงเงยขึ้นมามอง…แล้วยอมรับตามตรง
“ขอรับ…” เจ้ารักคนที่คิดจะตัดเอาต้นไม้ของเจ้าไปใช้เนี่ยนะ?
ยังรักลงได้อย่างไร ในใจข้ามีแต่ความสงสัย
“ข้าขอไปดูก่อน…ว่ามนุษย์ผู้นั้นมีค่าพอที่พวกข้าจะช่วยหรือไม่
หากเขารอดพ้นจากอาณาเขตของข้าไปได้โดยไม่ถูกทำเครื่องหมาย…มินาโตะก็จะช่วยเจ้า”
“ขอบคุณขอรับ…ขอบคุณมากจริงๆ” ภูติโคดามะก้มหน้าไหล่สั่นพรางเอ่ยคำขอบคุณออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับซาบซึ้งมาก
“เจ้ายังไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เพราะมนุษย์ผู้นั้นอาจจะต้องตายด้วยโซ่กรรมของข้าก่อนจะโดนคำสาปก็ได้
เจ้าจงทำใจเอาไว้เสียเถอะ”
ดวงตาสีม่วงจ้องมองภูตต้นไม้ตรงหน้า
เจ้าต้องใช้ความกล้าขนาดไหนกันนะถึงได้มาเผชิญหน้ากับยักษ์เช่นข้าได้
ทั้งๆที่น่าจะได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของข้าไปแล้วแต่ภูตตัวน้อยๆอย่างเจ้ากลับยังรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะขอร้องยักษ์ที่แค่ขยับมือก็บดขยี้เจ้าให้แหลกได้ในพริบตาเช่นนี้
เจ้า…คงจะรักมนุษย์ผู้นั้นมากจริงๆ
และที่ข้ายอมช่วยเจ้า…ก็เพราะข้าเองก็เคยรักมนุษย์มาก่อนเช่นกัน
ข้าเข้าใจความทรมานที่ไม่อาจปกป้องคนที่รักของเจ้าเป็นอย่างดี
ข้าเข้าใจความอึดอัดที่ต้องทนเห็นชีวิตที่บอบบางนั้นโดนทำร้ายจนบาดเจ็บ
“เจ้าจงขอบใจมินาโตะเสียเถิด…หากข้าไม่ได้รักเขา ไม่เคยหลงรักมนุษย์เช่นเขา
ข้าก็คงไม่แยแสเรื่องของเจ้าอย่างแน่นอน”
ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองใบหน้ามนเพราะรู้สึกถึงสายตาที่มองมา
ดวงตาสีเขียวคู่นั้นกำลังมองข้าอย่างภาคภูมิใจ? เพราะข้ายอมช่วยเจ้าภูติต้นไม้นี่สินะ?
เจ้าถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่น่าบีบแก้มเสียขนาดนี้
เอาเถอะ
ข้าจะถือว่ามันเป็นรางวัลก็แล้วกัน
อีกอย่างข้าก็ประเมินแล้วว่ามินาโตะสามารถทำได้โดยไม่มีผลกระทบอะไรกับตัวเอง
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
“เจ้ากลับไปรอยังที่ของเจ้า พรุ่งนี้ข้ากับมินาโตะจะตามไป”
สิ้นเสียงก้องกังวานภูตโคดามะก็ก้มหัวน้อยๆก่อนจะค่อยๆสลายหายไป
“ต้องเตรียมกระเป๋าไหมครับ? น่าจะต้องไปค้างหลายคืน?
เสื้อผ้าล่ะ? ต้องเอาไปกี่ชุดดีนะครับ?”
ส่วนเจ้าคนทางนี้ก็ดูตื่นเต้นดีเหลือเกินนะ
ข้าลอบขำกับใบหน้าราวกับเด็กจะได้ไปทัศนศึกษานั่น
“เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าเราหายตัวไปก็ได้? ตอนเช้าไป
ตอนเย็นกลับมาก็ยังได้” ร่างสูงสง่าลุกเดินนำไปตามระเบียงที่เชื่อมต่อกันโดยมีเจ้าแมวดำเดินแง้วๆตาม
“ไม่ได้สิครับ เราต้องไปแบบมนุษย์สิ~ นี่~ ชูซัง~~ นั่งรถไฟไปกันเถอะ~”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
แฮ่ก..แฮ่ก..แฮ่ก...นะในที่สุดก็เขียนจบตอนจนได้555 เรื่องนี้ก็จะเป็นอารมณ์แบบเคลียร์เคสไปเรื่อยๆงี้อ่ะนะคะ
ก็จะมีทั้งเรื่องของคนและภูตผีปีศาจ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะค้า >////<
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์มากๆเลยนะคะ
ขอบคุณที่มาเล่าสู่กันฟังในหลายๆเรื่อง ชอบอ่านมากค่ะ
มีอะไรก็มาหวีดมาเล่าให้ฟังได้ค่ะ ยินดีค่ะ เหะๆๆ ขอบคุณทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม
และทุกๆโดเนทด้วยนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น