Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 29 : END
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
:
Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
:
Warmhearted
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ร่างโปร่งบางในชุดกักกุรันของนารุมิยะ
มินาโตะนั่งพ่นควันสีขาวออกจากปากในขณะที่รอฟูจิวาระ ชูอยู่ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะใกล้ๆกับที่เรียนพิเศษของร่างสูง
เปล่าหรอก
เขาไม่ได้สูบบุหรี่แต่ไอพวกนี้คือสิ่งที่บ่งบอกว่าตอนนี้อยู่ในฤดูหนาวแล้วต่างหาก
อากาศที่เย็นจัดทำให้ทุกอย่างดูขมุกขมัวไปหมด
ทั้งไฟถนนที่โดนหมอกจางๆบดบัง ทั้งตึกรามบ้านช่องที่ดูเป็นสีเทาๆ
ทั้งผู้คนที่เดินหดคออยู่ในผ้าไหมพรมผืนหนา ทั้งเรียวขาในรองเท้าบูทที่เดินอย่างรีบเร่งเพื่อหนีความหนาวเย็นพวกนี้
“ฟู่ว~”
ริมฝีปากสีแดงพ่นควันออกไปเพราะไม่มีอะไรทำ
น่าจะอีกสิบนาทีได้กว่าชูจะเรียนพิเศษเสร็จ เขามาไวไปหน่อย แต่ก็นั่นแหละ
การอยู่กับเพื่อนในห้องที่คุยแต่เรื่องที่เขาไม่รู้จักมันไม่สนุกเท่าการมานั่งรอชูแบบนี้นี่นา
พอดีว่าวันนี้เขาต้องออกมาซื้อของเพื่อทำงานกลุ่ม
เพื่อนๆเลยชวนกันไปคาราโอเกะต่อ แล้วในขณะที่กำลังลังเลว่าจะไปดีไหม
ชูก็ส่งข้อความมาชวนให้กลับบ้านด้วยกันกำลังจะเรียนเสร็จแล้ว
เขาจึงเลือกชูอย่างไม่มีลังเล
“ฟู่วๆ”
ทำยังถึงพ่นควันออกไปเป็นวงได้กันนะ?
เขาเคยเห็นในทีวี
“อืม...”
แต่พอได้นั่งมองไอที่ลอยออกไปจากปาก...จู่ๆก็นึกถึงจูบแรกขึ้นมา
จูบแรกที่เขาเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
ไม่สิ
เขาไม่แน่ใจต่างหากว่านั่นมันคือจูบในเชิงนั้นได้หรือเปล่า
เขาเลยแทบไม่เคยนับว่ามันเป็นจูบแรก
ตอนนั้น…มันเป็นช่วงไหนกันนะ?
ม.ต้นปีสอง? ไม่สิ
ปีหนึ่งเลยต่างหาก
นั่นสินะ
เขายังเด็กมาก เด็กจนแยกไม่ออกว่ามันเป็นจูบแบบไหนกันแน่?
แล้วตอนนั้น…
เขาก็ยังเป็นเพียงเด็กชายที่เพิ่งเสียแม่ไปได้ไม่นานด้วย
ถึงแม้ในสายตาของคนอื่นๆ เขาจะดูเหมือนทำใจได้แล้ว ค่อยๆกลับมายิ้มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว
ดูเหมือนจะไม่คิดอะไรแล้ว
แต่สำหรับตัวเขา
ทุกวันมันยังผ่านไปได้อย่างยากเย็น
ยังมีเรื่องมากมายที่เขาอยากจะบอกแม่
อยากเล่าให้แม่ฟัง โดยเฉพาะเรื่องของธนูกับชู...
เพราะการไปเรียนกับอ.ไซออนจิยังเป็นความลับระหว่างเขากับแม่อยู่
เขาจึงไม่เคยเล่าให้แม่ฟังเลยว่าเขามีเพื่อนที่ยอดเยี่ยมอย่างชูอยู่
แม่ยังไม่เคยรู้จักชู
แม่ยังไม่รู้ว่าชูมีตัวตนที่ชัดเจนขนาดไหนในหัวใจดวงน้อยๆของเขา
ใบหน้ามนเงยขึ้นไปมองท้องฟ้าสีเทาอย่างเหม่อลอย
เกล็ดสีขาวของหิมะเกล็ดหนึ่งร่วงหล่นลงมาบนใบหน้า ไอสีขาวที่พ่นออกไปยังคงทำให้นึกถึงวันนั้นขึ้นมา
ใช่แล้ว
มันเป็นช่วงปลายปีของม.ต้นปีหนึ่ง ในวันนั้น...อากาศก็หนาวแบบนี้แหละ
“มากันครบแล้วใช่ไหม?”
เสียงก้องกังวานของโค้ชประจำชมรมยิงธนูโรงเรียนคิริซากิแผนกม.ต้นเอ่ยถามสมาชิกกว่าครึ่งร้อยชีวิตที่นั่งอย่างเป็นระเบียบอยู่ในโรงฝึก
ต่อให้เป็นม.ต้นแต่ชมรมยิงธนูของที่นี่ก็มีชื่อเสียงมาก
แค่จะเข้ามาก็ยากแล้วแต่การทำผลงานให้โดดเด่นท่ามกลางคนเก่งๆเหล่านี้ยิ่งยากกว่า
การแข่งขันในชมรมจึงสูงมาก เพราะตำแหน่งที่ทุกคนใฝ่ฝันก็คือตัวจริงที่จะมีเพียง 5
คนเท่านั้น
“ครับ” ประธานชมรมซึ่งเป็นรุ่นพี่ปีสามเอ่ยตอบโค้ชด้วยเสียงแข็งขัน
“อย่างที่รู้กันว่าช่วงปิดเทอมฤดูหนาวจังหวัดของเราจะจัดแข่งขันยิงธนูประจำจังหวัด
ซึ่งชมรมของเราก็จะส่งตัวแทนไปร่วมลงแข่งด้วย”
โค้ชเริ่มเข้าเรื่องทันที
งานที่โค้ชพูดถึงอยู่นี้เป็นงานที่จัดขึ้นในจังหวัดของเราเองเท่านั้น
ยังไม่ใช่การแข่งขันของโรงเรียนมัธยมต้นทั่วประเทศ เป็นกึ่งๆงานเทศกาล
เป็นเหมือนสนามประลองฝีมือก่อนที่จะถึงสนามจริงเสียมากกว่า
แต่กระนั้นชมรมยิงธนูของคิริซากิก็ยังเอาจริงเอาจังเสมอ
ต่อให้เป็นถ้วยเล็กๆก็ยังส่งแต่ตัวจริงไปแข่งเสมอ
“สำหรับตำแหน่งตัวจริงของการแข่งในครั้งนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงสองตำแหน่ง” แล้วสิ่งที่โค้ชพูดออกมาก็เรียกความสนใจของคนทั้งชมรมได้เป็นอย่างดี
เพราะตำแหน่งตัวจริงในปัจจุบันนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว
ใครกันที่จะมากระชากรุ่นพี่ที่มีฝีมือสูงที่สุดทั้งห้าคนลงจากบัลลังก์ได้
“ตำแหน่งแรก โอจิ ให้ฟูจิวาระ ชูเป็นตัวจริง” เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีเพราะนี่คือครั้งแรกในประวัติการณ์ของชมรมยิงธนูคิริซากิ
ที่จะให้เด็กปีหนึ่งได้ตำแหน่งตัวจริง และเป็นตัวแทนของสมาชิกร่วมห้าสิบคนในชมรมไปแข่งขันในรายการที่ถือเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนเช่นนี้
แล้วยิ่งชื่อต่อไปที่โค้ชประกาศออกมา ก็มีแต่จะยิ่งทำให้คนทั้งชมรมถึงกับแตกฮือ
“อีกตำแหน่ง…โอมาเอะ ให้นารุมิยะ มินาโตะเป็นตัวจริง”
รุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งถึงกับยกมือขึ้นคัดค้านทันที
“โค้ชครับ! ให้เด็กปีหนึ่งเป็นตัวจริงจะไม่เป็นไรจริงๆเหรอครับ? ถึงสองคนนี้จะเก่งแต่ก็ยังด้อยประสบการณ์
อาจจะทำให้ทีมโรงเรียนเราแพ้ก็ได้นะครับ” สมาชิกหลายคนพยักหน้าเห็นด้วยซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกรุ่นพี่
“เพราะยังไม่มีประสบการณ์ไง
ฉันถึงได้ให้พวกเขาลงแข่งรายการนี้เพื่อหาประสบการณ์และเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นตัวจริงในการแข่งขันระดับประเทศ
หรือเธอคิดว่าเอาชนะฟูจิวาระกับนารุมิยะได้?”
“.......”
รุ่นพี่ถึงกับเถียงไม่ออกเพราะมันเป็นความจริงที่ว่าฝีมือการยิงธนูของทั้งคู่นั้นโดดเด่นมาก
แถมได้ข่าวมาด้วยว่าคนที่สอนธนูให้ทั้งคู่คืออ.ไซออนจิ ปรมาจารย์ด้านการยิงธนูที่คนทั้งวงการต่างก็เคารพคนนั้น
“ถ้าเธอไม่พอใจจะท้าแข่งกับทั้งสองคนไหม?” รุ่นพี่กัดฟันกรอด
มือที่กำอยู่ที่ฮากามะทำให้กางเกงสีดำนั่นยับยู่ยี่ไปหมดแล้ว
“ผม…ขอท้าแข่งได้ไหมครับ?” กลับเป็นรุ่นพี่ปีสองที่ถูกนารุมิยะ
มินาโตะแย่งตำแหน่งตัวจริงไปที่ยกมือขึ้นอย่างข้องใจ เพราะหากปล่อยโอกาสนี้ไป ไม่เพียงแต่ตำแหน่งตัวจริงในงานนี้เท่านั้นแต่อาจจะรวมไปถึงตำแหน่งตัวจริงในการแข่งทั้งหมดในอนาคตด้วยที่จะถูกแย่งไป
อีกอย่างในบรรดาตัวจริงทั้งหมด
ไม่ว่าจะในการแข่งทีม3คนหรือ5คน ตำแหน่งโอมาเอะก็จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เป็นตำแหน่งที่สำคัญพอๆกับโอจิเลย
“นารุมิยะ เธอยินดีรับคำท้าไหม?” โค้ชหันมาถามร่างเล็กบางที่ยังดูจะตื่นเต้นน้อยๆอยู่
“ครับ! พร้อมครับ!” ยิ่งพอร่างบางตอบออกไปแบบนั้นก็ยิ่งทำให้พวกรุ่นพี่ไม่พอใจ
เพราะตามมารยาทแล้วรุ่นน้องก็ควรจะหลีกทางให้รุ่นพี่สิ
“ถ้างั้นก็เตรียมตัวเถอะ” แล้วสมาชิกทั้งชมรมก็ลุกขึ้นเพื่อหลีกทางให้และตั้งใจดูการแข่งขันนี้
แน่นอนว่ามีเพียงตำแหน่งโอมาเอะเท่านั้นที่มีการท้าแข่ง
ส่วนตำแหน่งโอจิกลับไม่มีใครกล้าท้าทายคุณชายจากตระกูลฟูจิวาระสักคน
ร่างโปร่งบางของนารุมิยะ
มินาโตะยืนสวมถุงมือหนังกวางอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงฝึก
ใบหน้ามนดูไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะคิดยังไง เพราะเขาแค่อยากจะยิงธนูเท่านั้น
“มินาโตะ ทำเหมือนทุกทีก็พอแล้ว” ฟูจิวาระ
ชูเดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆอย่างให้กำลังใจ
“อื้อ เข้าใจแล้ว” ถึงจะตอบไปแบบนั้นแต่ใบหน้ามนก็ยังดูเกร็งๆอย่างเห็นได้ชัด
ถึงจะไม่สนใจคำพูดของคนอื่นแต่การแข่งขันก็ทำให้ตื่นเต้นอยู่นะ
“มินาโตะ” สองมือของทาเคฮายะ
เซยะจึงตบแปะลงไปที่แก้มนิ่มเพื่อทำให้มินาโตะหายประหม่า
“อู้แอ้ว” ริมฝีปากที่ถูกบีบจนปากจู๋นั่นตอบอู้อี้เป็นคำว่า
รู้แล้ว มือเรียวของเซยะจึงยอมถอยไปได้
“ถ้างั้นฉันไปนั่งดูอยู่นั่นนะ” ใบหน้ามนพยักรับ
เซยะจึงเดินกลับไปนั่งรวมกับสมาชิกในชมรมคนอื่นๆ
มีเพียงร่างสูงสง่าที่ยังยืนอยู่ตรงนี้
มือใหญ่ทั้งสองยื่นลูกธนูที่ร่างโปร่งต้องใช้มาให้
แล้วในขณะที่มือบางยื่นไปรับมันมา
เสียงทุ้มก็พูดออกมาให้ได้ยินกันสองคนว่า
“ไปแข่งด้วยกันนะ มินาโตะ” ดวงตากลมโตจึงเบิกขึ้นน้อยๆ
จริงสิ เขาอยากจะแข่งยิงธนูกับชูมาตลอด และนี่ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้ไปแข่งด้วยกัน
ได้ยืนอยู่ใกล้ๆกันในสนาม ได้ทำให้แม่ของเขาเห็น...ว่าเขาเองก็กำลังแข่งยิงธนูเหมือนที่แม่เคยแข่ง
“อื้อ!” เสียงใสตอบกลับไปด้วยความมุ่งมั่น
ไม่ว่ายังไงก็จะต้องเอาตำแหน่งตัวจริงนี้มาให้ได้
แล้วนารุมิยะ
มินาโตะก็ทำได้จริงๆ
ร่างที่หอบน้อยๆอยู่ในลานยิงที่หนึ่งเก็บคันธนูลงข้างกายในท่าคลาย
ใบหน้ามนยังคงมองไปที่เป้าซึ่งไม่มีพลาดเลยสักดอก ลูกธนูทั้งแปดล้วนปักอยู่ในวงกลมขนาด
36 เซ็นติเมตรนั่นทั้งสิ้น ในขณะที่เป้าของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นพลาดไปถึง
3 ดอก
เท่านี้ผลก็ออกมาแล้วว่าใครสมควรจะได้ตำแหน่งตัวจริงไป
“ยังไงพวกฉันก็ไม่ยอมรับง่ายๆหรอกนะ” แต่พวกรุ่นพี่ปีสามก็ยังคงตั้งแง่กับเขา
คนที่ตัวใหญ่กว่าเดินชนไหล่จนร่างเล็กบางแทบกระเด็น
แต่ใบหน้ามนก็มองตามไปด้วยสีหน้าไม่คิดมากอะไร
ต่างจากอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
ดวงตาในกรอบแว่นเหลือบมองนัยน์ตาสีม่วงแทนคำถามว่าใครจะจัดการ?
ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าชายแห่งคิริซากิจึงพยักลงเบาๆ เป็นอันรู้กันสองคนว่าฟูจิวาระ
ชูจะเป็นคนไปจัดการหมอนั่นเอง
“มินาโตะ เป็นไงบ้าง เจ็บแผลหรือเปล่า?” เพราะเป็นการยิงต่อเนื่องในเป้าเดียวถึง 8 ดอก
ทำให้คนที่เพิ่งผ่าตัดใหญ่มาได้ไม่นานถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก
เซยะจึงถามด้วยสายตาเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก พักแป๊บเดียวก็หาย” แล้วจู่ๆก็มีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งแปะลงมาบนหน้าผาก
“ชู?” มือบางจับผ้าเช็ดหน้านุ่มลื่นนั่นเอาไว้ก่อนจะใช้มันเช็ดเหงื่อเบาๆ
“มินาโตะลืมเอามาใช่ไหมล่ะ? ผ้าเช็ดหน้า” ใบหน้ามนหัวเราะแหะๆเพราะลืมจริงๆ
คงจะเป็นเพราะในหัวมัวแต่นึกถึงเรื่องการยิงธนู ทำให้เขาลืมใส่ใจเรื่องอื่นไปเลย
“การยิงเมื่อกี้…ยอดเยี่ยมมากเลยนะ”
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาชมออกมาจากใจจริง
สีหน้าที่อมยิ้มอย่างอ่อนโยนนั่นทำให้ใบหน้ามนดีใจไปกับคำชมที่ได้รับ
“อื้ม ได้ไปแข่งด้วยกันแล้วนะ ชู” เขายิ้มออกไป
ถึงจะดูเหม่อๆแต่ที่จริงแล้วเขาดีใจมากเพราะนี่คือการแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรก
เขาอยากจะทำผลงานให้ดีๆ อยากให้แม่ได้เห็นการแข่งขันของเขาจากสวรรค์
แม่…คงจะมองดูอยู่สินะ
แต่ความหนักของตำแหน่งตัวจริงที่แบกเอาไว้บนบ่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแบกมันได้อย่างมั่นคง
เพราะเป็นตัวจริงเลยต้องซ้อมหนักกว่าคนอื่นหลายเท่า
กว่าจะได้กลับบ้านก็มืดค่ำ
อีกทั้งการสอบปลายภาคก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย
การแข่งยิงธนูของจังหวัดนั้นจัดขึ้นในช่วงปิดเทอม
นั่นก็หมายความว่ามันจะอยู่หลังการสอบปลายภาคไปแค่อาทิตย์เดียว
ดวงตากลมโตจ้องมองฝ่ามือที่สั่นน้อยๆ
เบื้องล่างคืออ่างล้างหน้าในห้องน้ำของชมรมซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว
เพราะฝืนใช้ร่างกายมากเกินไปหรือเปล่านะถึงได้รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้
ทั้งๆที่เขาสนุกกับการได้ยิงธนู รักที่จะยืนอยู่หน้าเป้าแล้วปล่อยลูกธนูในมือออกไป
ชอบ…ที่จะได้ยินเสียงทสึรุเนะที่ดังแหวกอากาศ
แต่ตอนนี้ร่างทั้งร่างแทบจะยืนไม่ไหว
ง่วงมาก เหนื่อยด้วย…เหนื่อยมากจริงๆ
ซ่า~
สายน้ำเย็นๆถูกวักใส่หน้าเพื่อไม่ให้ตัวเองง่วงจนล้มลงไป
ดวงตากลมใสจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองที่อยู่ในกระจก
เขาอยากจะทำผลงานในการแข่งนี้ให้ดีจริงๆ อยากให้แม่ได้เห็นเขายืนอยู่ในลานแข่ง
อยากให้เราทั้งคู่ได้ทำตามสัญญาที่ให้แก่กันไว้
เขาจะแข่งยิงธนูและแม่จะคอยตามมาเชียร์เขา
แล้วพอคิดถึงแม่ขึ้นมาทีไร
หลุมแห่งความเศร้าก็มักจะเข้ามาเกาะกินหัวใจจนน้ำตาเอ่อล้นออกมาทุกที
“ฮึก…” หยดน้ำตาร่วงกราวลงไปในอ่างล้างหน้า
เพราะร่างกายที่เหนื่อยล้าหรือไงนะ จิตใจถึงได้รู้สึกหดหู่ไปด้วย
เขาอยากให้แม่อยู่ตรงนี้
อยากเล่าความภาคภูมิใจนี้ให้แม่ฟัง
อยากเล่าว่าเขาเหนื่อยขนาดไหนที่ต้องใช้เวลาทั้งวันฝึกซ้อม อยากบอกกับแม่…ว่าเขาได้เป็นตัวจริง
ได้ไปแข่งแล้วนะ
“อึก…ฮึก…” ก้อนสะอื้นถูกกลืนลงไปในลำคอ
น้ำตายังร่วงลงมาไม่หยุดและไหล่บางก็สั่นสะท้าน
ดีนะที่ไม่มีใครอยู่แล้ว
มือบางจึงเอื้อมมากอบกุมอยู่เเหนือรอยแผลเป็นที่ยังเจ็บแปลบ
ตรงนี้ว่าเจ็บแล้วแต่ที่ใต้แผ่นอกซ้ายกลับเจ็บกว่า เจ็บจนหายใจแทบไม่ออกเลย
และเสียงสะอื้นที่ยังดังอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ร่างสูงสง่าของฟูจิวาระ
ชูทำได้เพียงยืนพิงแผ่นหลังเอาไว้กับผนัง มินาโตะอาจจะคิดว่าไม่มีใครอยู่แล้วแต่เปล่าเลย
เขายังคงอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆมินาโตะเสมอ
หัวสีชาเงยหน้าพิงผนังเย็นเฉียบของห้องน้ำ
ปล่อยให้มินาโตะร้องไห้ต่อไป ให้มินาโตะได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา
เรื่องของคุณแม่…เป็นแผลที่เขาไม่สามารถจะเข้าไปแตะต้องได้
ต่อให้มีล้านคำปลอบใจก็ไม่อาจฉุดรั้งมินาโตะออกมาจากหลุมบ่อที่เต็มไปด้วยความผูกพันนั้นได้
มีเพียงเวลาที่จะช่วยเยียวยาและทำให้หลงลืมความเศร้านั้นไป
เขาทำได้แค่ยืนอยู่ข้างๆแบบนี้เท่านั้น
ร่างเล็กบางเดินออกจากห้องชมรมมาด้วยรอยแดงใต้ตาและปลายจมูก
ดวงตากลมโตเหลือบมองรอบกาย มืดจนได้ ต้องรีบกลับไปทำอาหาร ทำการบ้าน
แล้วก็อ่านหนังสือเตรียมสอบอีก
แต่การร้องไห้ขนาดหนักก็ทำให้เปลือกตารู้สึกหนักๆ
ถึงสิ่งที่อยู่ในใจจะระบายออกไปได้บ้าง
ทว่า ภาระที่เกิดขึ้นกับร่างกายนี่ก็ใช่ย่อยเลยแหะ
“ง่วงจัง…” ร่างในชุดสูทสีน้ำตาลลากสังขารไปยังห้องพักครูเพื่อคืนกุญแจห้องชมรม
ก่อนจะต้องลากสังขารกลับมายังประตูทางเข้าเพื่อเปลี่ยนรองเท้า อ่า อยากนอนแล้ว...
กึ้ง!
หื๋อ? จู่ๆก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังอยู่ที่ทางเดินเล่นเอาดวงตาที่เคยหรี่ปรือถึงกับตื่นขึ้นมาเลย
เขาพยายามจ้องไปที่เงาซึ่งกำลังเดินออกมาจากความมืดสลัวของทางเดิน
“ชู?....” เสียงนุ่มเอ่ยชื่อเจ้าของเงานั้นออกไป
“พักหน่อยไหม?” มือใหญ่ชูกระป๋องชานมร้อนที่น่าจะเพิ่งกดมาจากตู้ก่อนจะยื่นมาให้เขา
สัมผัสอันอบอุ่นของมันในคืนฤดูหนาวแบบนี้ทำให้รู้สึกดีมากจริงๆ
“ขอบใจนะ แล้ว นายยังไม่กลับเหรอ?” ชูออกมาจากชมรมได้สักพักแล้วนี่?
“พอดีมีเรื่องต้องไปคุยกับผอ.โรงเรียนหน่อยน่ะ
มีมดปลวกน่ารำคาญอยากให้จัดการให้หน่อย”
“มดปลวก?
โรงเรียนของเราโดนปลวกขึ้นเหรอ? แบบนั้นก็อันตรายสิ” ใบหน้ามนถามอย่างใสซื่อและไม่ได้เข้าใจความหมายที่คุณชายฟูจิวาระพูดประชดถึงพวกรุ่นพี่ปีสามในชมรมเลย
“หึ...ดีแล้วละที่มินาโตะไม่เห็น
มันน่ารังเกียจจนอยากขยี้ให้ตายเลยละ” แต่ความใสซื่อนั้นกลับทำให้ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มอย่างเอ็นดู
“เหรอ?
อย่าไปขยี้นะ เดี๋ยวมันก็กัดเอาหรอก เอายาฆ่าแมลงฉีดเอาสิ”
“อื้ม” ชูพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ชูเปลี่ยนรองเท้าเสร็จพวกเราจึงเดินออกมาด้วยกัน
ก่อนที่เขาจะแวะนั่งลงที่ขอบกระถางต้นไม้ใหญ่ข้างทางเดินเพื่อจิบชานมอุ่นๆในมือให้หมดเสียก่อน
ชูเองก็กำลังดูดถุงเจลลี่ผสมวิตามินซีอยู่
น่าแปลก…ที่ความเงียบงันนี้กลับทำให้รู้สึกสบายใจ
ชูไม่ได้ถามเขาทั้งๆที่คงจะสังเกตเห็นรอยแดงบนจมูกและขอบตาของเขาแล้ว
ไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือร้องไห้ทำไม
เพราะนั่นจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดที่จะต้องหาคำตอบมาให้อีกฝ่าย
“มินาโตะ” ไอสีขาวออกมาจากปากของชูเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อเขา
“หื๋ม?”
“มาติวหนังสือด้วยกันไหม? ทั้งมินาโตะทั้งฉันต้องซ้อมมากกว่าคนอื่น
เวลาอ่านหนังสือก็ไม่ค่อยมี อ่านคนเดียวก็คอยแต่จะหลับด้วย” ชูพูดออกมาและมันก็ทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
จู่ๆความโดดเดี่ยวที่เกาะกุมหัวใจอยู่ก็สลายหายไป
จะว่าชูพึ่งพาได้หรือชูเข้าใจเขาดี? แต่การกระทำของชูทำให้เขาหรี่ตาลงด้วยรอยยิ้ม
“อื้อ เอาสิ”
หลังจากวันนั้นชูก็มานอนค้างที่บ้านเขา
พวกเราอ่านหนังสือด้วยกันและชูก็ช่วยสอนในเรื่องที่เขาไม่เข้าใจให้
เพราะก่อนหน้านี้เราไม่ได้เรียนโรงเรียนประถมที่เดียวกัน
เขาจึงไม่เคยรู้เลยว่าชูเรียนเก่งมาก ก่อนหน้านี้เรามักจะพูดคุยกันแต่เรื่องธนู
แต่ชูที่กำลังสอนเลขให้เขาอยู่ตอนนี้ก็แปลกดีไปอีกแบบ
“ไม่ไหวแล้ว~ หัวจะระเบิดแล้ว~
นายเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ไงน่ะชู?” ชูน่าจะคุยกับเซยะรู้เรื่องนะ?
แต่สิ่งที่ชูต่างจากเซยะเวลาสอนหนังสือให้เขาก็คือ
ชูใจเย็นมากและมีความอดทนกับเขามาก ถ้าเป็นเซยะป่านนี้เขาคงโดนเชือดคอตายไปแล้วที่ต้องให้อธิบายซ้ำถึงสามรอบแบบนี้
ใบหน้ามนไถลลงไปกับหน้าสมุดราวกับจะให้มันซึมเข้าไปเอง หัวสีดำจึงอยู่ตรงหน้าร่างสูงสง่าพอดี
หัวสีชาจึงโน้มลงไปนอนบนหนังสือด้วย
สายตา…ทั้งสองคู่จึงสบประสานกันท่ามกลางความเงียบงัน
ต่างฝ่ายต่างไม่มีความรู้สึกที่อยากจะถอยหนีหรือขยับไปไหน
แต่มันกลับเป็นความสบายใจที่ได้จ้องมองกันอยู่แบบนี้
เป็นใบหน้าหล่อเหลาที่ขยับเข้าไปหา…ก่อนจะหอมหัวสีดำนั่นเบาๆ
ซึ่งเขาเองก็อยู่เฉยๆให้ชูทำ
ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่กลับรู้สึกสงบอยู่ในใจ
ชูละออกไปและตะแคงหน้ามองเขาอยู่แบบเดิม
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่กลับรู้สึกอุ่นอยู่ในใจ
สำหรับเด็กม.ต้นปีหนึ่งอย่างเขา
แค่มีใครสักคนหนึ่งอยู่ข้างๆแบบนี้ก็พอแล้ว
คอยจับมือ…แบบที่ชูกำลังจับมือเขาอยู่
แค่นี้ก็พอแล้วจริงๆ
ตอนเช้าชูยังชวนเขาออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆก่อนไปโรงเรียนอีกด้วย
ชูสอนเขาออกกำลังกายง่ายๆและมันก็ทำให้เขาค่อยๆเหนื่อยจากการซ้อมยิงธนูน้อยลง
ร่างกายของเขาดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นเลย
ทุกๆเช้า
ร่างสองร่างมักจะวิ่งเคียงข้างกันไปตามถนนที่ไร้ผู้คน
ถึงอากาศจะเย็นแต่มันก็ทำให้รู้สึกสดชื่นมากจริงๆ
ดีจริงๆที่ได้ออกมาวิ่งกับชู
ใบหน้ามนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อมือใหญ่ของคนที่วิ่งอยู่ข้างๆเอื้อมมาหยิบผ้าขนหนูที่พาดคอเขาอยู่ขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ข้างแก้มให้
เขาจึงทำแบบนั้นให้ชูบ้าง มือบางเอื้อมไปจับผ้าขนหนูของชูก่อนจะซับไปตามซอกคอให้
ชูจึงหัวเราะออกมาเบาๆ
บรรยากาศระหว่างเขากับชูนั้นต่างจากตอนที่เขาอยู่กับเซยะหรือเรียวเฮย์
แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันตรงไหน
เขาไม่ได้รีบเร่งที่จะหาคำตอบเสียด้วยจึงปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติแบบนี้ต่อไป
ก่อนสอบหนึ่งอาทิตย์ก็เป็นช่วงที่ชมรมทุกชมรมงดการทำกิจกรรม
แต่ถึงจะได้กลับบ้านไว เขาก็ยังคงฝึกซ้อมท่ายิงกับธนูยางอยู่ที่บ้านทุกวัน
และเหมือนชูจะรู้ว่าเขาแอบทำอะไรอยู่
จึงคอยส่งข้อความมาเตือนให้เขาอ่านหนังสืออยู่ตลอด
แชะ
[แก้โจทย์เสร็จแล้วครับ]
เขาส่งข้อความพร้อมรูปถ่ายหน้าสมุดที่แก้สมการคณิตศาสตร์ตามโจทย์ที่ชูให้มาเสร็จแล้วส่งไปให้ชูดูเป็นหลักฐานว่าเขาไม่ได้อู้นะ
อ่านหนังสืออยู่นะ
ติ๊ง
ชูส่งสติ๊กเกอร์ชมว่าดีมากกลับมาให้
กับเรื่องแค่นี้ก็ทำให้เขายิ้มไม่หุบ
แปลกจัง
ติ๊ง
ชูส่งรูปถ้วยชากลับมาพร้อมข้อความว่า
[พักสายตาด้วยนะ อย่าหักโหมเกินไป]
และความใส่ใจนั้นมันก็ทำให้เขาอมยิ้ม
ความรู้สึกที่มีให้ชูนั้นต่างจากที่มีให้เพื่อนคนอื่นจริงๆ
จะว่าเข้าใจกันก็คงจะได้ละมั้ง?
แล้วในที่สุดการสอบปลายภาควันสุดท้ายก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกว่าตัวเองทำข้อสอบได้และน่าจะผ่านอย่างไม่มีปัญหาอะไร
เขายิ้มให้ชูผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่างเมื่อต่างฝ่ายต่างเดินมาหากัน
“ทำข้อสอบได้ไหมมินาโตะ?” เสียงของชูยังคงอ่อนโยนเสมอ
เขาจึงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนอื่นถึงได้ชอบบอกว่าชูเย็นชาจะตายไป
“อื้ม มีที่ชูเก็งไว้ตั้งหลายข้อ ขอบใจนะ มานี่สิเดี๋ยวฉันเลี้ยงน้ำนายเอง”
ชูพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปด้วยกัน
คนอื่นๆมักจะมองชูที่อยู่กับเขาด้วยความสงสัย ซึ่งเขาไม่เข้าใจคนพวกนั้นเลย
ชูมีอะไรแปลกกว่าคนอื่นตรงไหน?
ชูก็คือชู
เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว
กึ้ง
ถุงเจลลี่ผสมวิตามินหล่นลงมาสองถุง
มือบางยื่นถุงหนึ่งให้ชู ก็มีแค่เรื่องต้องกินอาหารตามที่ที่บ้านเตรียมให้เท่านั้นนี่แหละที่ทำให้ชูต่างจากคนอื่น
ชูจึงไม่ค่อยดื่มน้ำอัดลมหรือนมอะไรที่อยู่นอกเหนือจากช่วงเวลาที่ต้องกินเลย
ดวงตากลมใสจ้องมองเจลลี่รสองุ่นในมือใหญ่ก่อนจะถามออกไป
“รสนั้นอร่อยไหม?” เขาไม่เคยกินเพราะยึดติดอยู่กับรสเลมอนที่กินเป็นประจำนี่แหละ
“ลองดูสิ” ชูยื่นเจลลี่มาให้
เขาก็ยื่นหน้าเข้าไป ริมฝีปากดูดปากถุงอย่างไม่คิดอะไร
“อื้อ อร่อยแหะ” เขาละออกมาก่อนจะมองที่ถุงสีม่วงนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะอร่อยขนาดนี้
“ใช่ไหมล่ะ” ชูตอบก่อนจะดูดเจลลี่ในมือต่อไปอย่างไม่สนใจว่าเขาจะดูดไปแล้ว
เหมือนจะเคยได้ยินมาจากเพื่อนในห้องว่าชูจะไม่กินน้ำแก้วเดียวหรือขวดเดียวกับใครเด็ดขาดเลยนี่นา
ไม่จริงสักหน่อย
ชูดื่มน้ำขวดเดียวกับเขาตอนไปวิ่งด้วยกันเป็นประจำ ทำไมคนอื่นถึงพูดแบบนั้นล่ะ?
ถึงจะเข้าสู่ช่วงปิดเทอมแล้ว
แต่ชมรมยิงธนูก็ยังเปิดให้ซ้อมสำหรับการแข่งขันของจังหวัดกันอยู่
ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่เขาชอบมาก เพราะจะได้ยิงธนูทั้งวัน ไม่ต้องไปเรียน
ไม่ต้องไปทำกิจกรรมอย่างอื่น
ดูเหมือนรุ่นพี่ปีสามที่คอยหาเรื่องเขาจะหลีกเลี่ยงเขาไปเสียแล้ว
อาจจะเบื่อแล้วก็ได้?
ถึงได้พอเจอหน้าเขาก็เดินห่างออกไปเป็นวาแบบนั้น?
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขาทักทายด้วยรอยยิ้ม
แต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาเบาๆ
“อรุณสวัสดิ์” ไม่มีคำแดกดันกระแทกกระทั้นอย่างที่เคยเป็นมา?
สงสัยจะเบื่อแล้วจริงๆ? แล้วก็ดูเหมือนรุ่นพี่เองก็ไม่อยากอยู่ใกล้เขาเท่าไหร่
อีกฝ่ายหันมองรอบกายราวกับหาใครอยู่ก่อนจะรีบเดินจากไป
แปลกคน? ระแวงอะไรอยู่หรือเปล่านะ?
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกังวล
เพราะตอนนี้แค่การฝึกซ้อมก็ทำให้ในหัวเขาไม่มีเรื่องอะไรจะมาอาศัยอยู่ได้แล้วนอกจากเรื่องธนู
เขายืนอยู่ข้างหน้า
ชูยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนจะยิงออกไปพร้อมๆกัน
มันเป็นความรู้สึกที่อุ่นใจจนกลายเป็นความเคยชิน
กับการมีชูยืนอยู่ข้างหลังแบบนี้ เขารู้สึกมาตั้งนานแล้ว
มือจึงง้างคันธนูต่อไปด้วยความมั่นใจ
ใบหน้ามนเหม่อมองฟ้าเมื่อถึงเวลาพัก
ปากยังคงคาบถุงเจลลี่วิตามินแต่คราวนี้ถุงมันเป็นสีม่วง
“มินาโตะ เอามือมาสิ” ชูนั่งลงข้างๆก่อนจะแบมือขอให้เขาวางมือลงไป
“อะไรเหรอ?” ถึงจะถามอย่างสงสัยแต่เขาก็วางมือของตัวเองลงไปบนมือที่ใหญ่กว่าเขาพอสมควร
แป่ก
ชูเปิดฝาหลอดอะไรบางอย่างก่อนจะเทครีมลงมาบนมือเขา
กลิ่นหอมของมันลอยมาแตะจมูกจนเขาเผลอก้มหน้าลงไปดมฟุดฟิดๆใกล้ๆ
“อะไรน่ะ? หอมจัง”
“ครีมทามือน่ะ” ไม่ทาเปล่า
ชูยังนวดมือของเขาไปมา
“ช่วงนี้ต้องฝึกทั้งวัน ต้องดูแลมือบ้างนะมินาโตะ
ถ้าแตกขึ้นมามันก็เจ็บใช่ไหมล่ะ” ปลายนิ้วยาวกดย้ำอยู่ที่รอยช้ำสีแดงๆซึ่งเกิดจากการเสียดสีกับธนูเป็นเวลานาน
เขาไม่เคยสังเกตและไม่เคยสนใจเลยจริงๆว่าบนฝ่ามือของตัวเองจะมีรอยแบบนี้ด้วย
แต่ชูกลับมองเห็นมันเสมอ เห็นมันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
รอยช้ำที่เกิดโดยไม่ได้ตั้งใจถูกชูดูแลให้อย่างดี
เหมือนหัวใจที่กลวงโบ๋จากการสูญเสียตัวตนของใครบางคนไป ก็ค่อยๆถูกชูที่ก้าวเข้ามาอยู่ใกล้ๆเติมเต็มให้โดยไม่รู้ตัว
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้
ว่าวันคืนที่เขาเอาแต่ร้องไห้อยู่ตามลำพังเพราะคิดถึงแม่มันค่อยๆน้อยลง
เพราะมีชูคอยอยู่ข้างๆ
คอยชวนเขาคุยเรื่องธนู
คอยชวนเขาอ่านหนังสือ คอยชวนเขาออกไปวิ่ง คอยชวนเขาทำนู่นทำนี่
บางทีก็คอยนั่งอยู่ข้างๆโดยไม่พูดอะไรเลยก็มี
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ไม่มีสักนาทีเลยที่เขาจะไม่รู้สึกว่าชูอยู่ตรงนี้
“ขอบใจนะ ชู” เขาเกยหน้าไว้บนหัวเข่าที่ยกชันขึ้นมาก่อนจะมองไปที่ชูด้วยรอยยิ้ม
“อื้ม ครีมนี่มินาโตะเก็บไว้นะ” ชูปิดฝาหลอดก่อนจะยื่นมาให้
“ไม่เอาหรอก” เสียงใสตอบไป
“?”
ชูทำหน้าสงสัย
“ชูเก็บไว้นั่นแหละ แล้วก็...ฝากมือของฉันด้วยนะ” ใบหน้ามนยิ้มกว้างท่ามกลางสีหน้าประหลาดใจของชู
“ถ้ามือฉันมีแผลเมื่อไหร่
ก็ฝากนายดูแลมันให้ที เพราะฉันคงไม่ทันจะมองเห็นมันเหมือนอย่างทุกทีนั่นแหละ”
“อื้ม เข้าใจแล้ว” ชูหัวเราะเบาๆก่อนจะเก็บครีมทามือลงกระเป๋า ใครที่ไหนกันที่บอกว่าชูเป็นคนหน้าตายและไม่เคยยิ้มเคยแย้ม ดูสิ
ชูยิ้มสวยออกขนาดนี้เลยนะ
“กลับไปซ้อมกันเถอะ” ชูลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือมาให้ เขาจึงเอื้อมมือออกไปให้ชูดึงเขาขึ้น
“อื้ม”
ในที่สุดวันแข่งก็มาถึง
เขาลงสนามด้วยหัวใจที่สงบนิ่งเพราะเบื้องหลังมีพลังที่แข็งแกร่งคอยผลักดันเขาอยู่
ธนูทุกดอกที่ยิงออกไปนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ
และมันก็เข้าเป้าทั้งหมด 4
ดอก
คันธนูถูกลดลงข้างตัวก่อนที่เขาจะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยใบหน้าเหม่อลอย
แม่…ดูอยู่ใช่ไหมครับ?
ดูผมยิงธนูอยู่ใช่ไหม? ตามมาเชียร์อย่างที่บอกไว้ใช่ไหม?
ดูสิ ผมยิงเข้าเป้าทั้งหมดเลยนะ
และเมื่อเสียงทสึรุเนะหนักแน่นที่คุ้นเคยยิงออกไป
เป้าสุดท้ายก็ถูกเติมเต็มด้วยลูกธนูดอกที่ 4 เช่นกัน
แม่ครับดูสิ
ทีมของผมชนะแล้วนะ แม่ดีใจไหม?
ส่วนผมน่ะ
ดีใจมาก มากๆเลย
หลังจากนั้นเขาเดินออกมาได้ยังไง
ออกมาทางไหน มีพิธีการอะไรต่อบ้าง เขาแทบจะจำไม่ได้เลย
รู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่ในห้องพักตามลำพังเพราะคนอื่นคงออกไปถ่ายรูปกันหมด
ชึ่บ
ชายกางเกงฮากามะสีดำตัวหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
ถึงแม้จะไม่เงยมองเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ชู…” จู่ๆทำนบที่เคยกักเก็บทุกสิ่งทุกอย่างในใจเอาไว้ก็พังทลาย
เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเศร้าเหล่านั้นได้ฉุดรั้งเขาเอาไว้
ไม่อาจยิ้มออกมาจากใจเหมือนเมื่อก่อนได้
แต่มือที่ค่อยๆดึงเขาออกมาจากเงามืดนั้นก็คือมือข้างนี้
เขาเอื้อมออกไปจับมือของชูพร้อมกับยืนขึ้น
“ชู…ขอบใจนะ” เขาเงยมองหน้าชูทั้งรอยยิ้ม
มองทั้งน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตา
“ขอบใจที่อยู่ข้างๆฉันมาตลอด”
แล้วชั่ววินาทีที่ไม่ทันตั้งตัว
มือใหญ่ที่เขาเคยจับเอาไว้มันก็ย้ายมาประคองสองแก้มของเขาแล้วดึงหน้าเขาเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
ริมฝีปากของชู…แตะจรดลงมา…ที่ริมฝีปากของเขา…
เอ๊ะ?
เขาได้แต่ยืนนิ่งค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก
นี่มัน….
ชูละใบหน้าออกไปเล็กน้อย
สีหน้าของชูในเวลานี้คือสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนไว้มานาน
ดวงตาสีม่วงนั่นจ้องมองมาที่ปากของเขา
ก่อนจะขยับเข้ามากดจูบมันอีกรอบ
ฝ่ามือที่ประคองสองแก้มของเขาร้อนจนรู้สึกได้
ต้นคอของเขาก็ร้อนจนรู้สึกได้
หัวใจของเขาก็เต้นดังมากจนรู้สึกได้
นะ
นี่มัน…อะไรกัน?
หมับ!
ชูกอดเขาจนทั้งตัวแทบจะจมลงไปในอ้อมแขน
เส้นผมสีชาละอยู่ที่ใบหูและต้นคอ เขาได้แต่เกยคางของตัวเองเอาไว้กับไหล่กว้างของชู
ถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่เขากับไม่รู้สึกรังเกียจเลย
กลับกัน
เขารู้สึกอุ่นใจจนดวงตาค่อยๆปิดลงแล้วปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในอ้อมแขนนั้นต่อไป
ฝ่ามือ...ยกขึ้นไปดึงรั้งหลังเสื้อของชูเอาไว้
ปล่อยให้เสียงของหัวใจเต้นสอดประสานกันไปอยู่อย่างนั้น
นั่นสิ
นั่นน่าจะเป็นจูบแรกของเขาที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นความรู้สึกที่พูดออกมาไม่ถูก
อ้อมกอดนั้น จูบนั้น มันเยียวยาหัวใจที่กำลังร้องไห้ของเขา
มันดึงเขาออกจากวังวนของความเศร้าที่คอยแต่จะคิดว่าตัวเองคือสาเหตุที่ทำให้เสียแม่ไป
มันเป็นจูบ…ที่ทำให้เขาก้าวเดินต่อไปได้สักทีหลังจากที่หยุดยืนนิ่งมานาน
“มินาโตะ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกทำให้เขาหันหน้าไปมอง
ชูเดินออกมาจากที่เรียนพิเศษและตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“รอนานไหม?” มือใหญ่ปัดเกล็ดหิมะบนหน้าเขาออกให้
ชูยังคงใส่ใจเขาไม่เคยเปลี่ยน
“อื้อ” ใบหน้ามนส่ายน้อยๆก่อนจะลุกขึ้น
“กลับกันเลยไหม?” ชูพยักหน้ารับก่อนจะก้าวขามาเดินเคียงข้าง
“อยากกินอะไรไหมชู? เดี๋ยวฉันทำให้” เขาหันไปถาม จู่ๆก็อยากจะเอาใจขึ้นมา
“ทาโกะยากิ” ชูตอบด้วยรอยยิ้ม
“โธ่~ นั่นไม่นับว่าเป็นข้าวเย็นนะ บอกมาเร็วๆว่าอยากกินอะไร”
“งั้น…กินมินาโตะได้ไหม?”
“ชู...”
“ฮะฮะฮะ”
เสียงหัวเราะดังคละเคล้าไปกับร่างของเราสองคนที่ยังคงเดินไปด้วยกัน
ถึงไม่รู้ว่าปลายถนนเส้นนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน
แต่สิ่งเดียวที่มั่นใจก็คือมือข้างนี้จะไม่ปล่อยออกจากกันแน่นอน
แม่ครับ…นี่คือชู…
ฟูจิวาระ
ชู…
คนรักของผมเองครับ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
ไม่ได้กลับมาเขียนเรื่องนี้ซะนาน
มีใครคิดถึงเราบ้างไหมมม //รีดบอก ไม่คิดถึงแกหรอก คิดถึงชูมินาโตะต่างหาก 5555
อะฮื้อออ
ชอบตอนนี้มากเลยค่ะ มันอุ่นๆในใจ มันน้ำตาไหลกับความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ค่อยๆถักทอขึ้นมา
จากเพื่อนในวัยเด็กค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนรัก แง๊~ มันดีย์ >////<
ข้างล่างเป็นสปอยด์นะคะ
ในโนเวลเล่มสามมีเฉลยเอาไว้แล้วว่าคุณแม่ของน้องมิรู้อยู่ตลอดเลยค่ะว่าน้องมิแอบไปฝึกกับอ.ไซออนจิ
เพราะอ.ติดต่อกับแม่น้องอยู่ตลอดโดยไม่บอกน้องเช่นกัน
แล้วอ.ก็เป็นคนถ่ายวีดีโอตอนน้องแข่งกับชูที่โรงฝึกส่งไปให้คุณแม่ดูด้วย สรุปคือ
คุณแม่เคยเห็นน้องตอนยิงธนูแล้วและรู้จักชูอยู่แล้วด้วย~~
>////<
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า
-
วันหนึ่ง ชูกับน้องไปหาอ.ไซออนจิที่บ้าน แต่พลตามอย่างเซยะกับแฝดก็ตามไปด้วย5555
เซยะกับแฝดยังคงพยายามขอฝากตัวเป็นสาวกอ.แต่อ.บอกไม่รับลูกศิษย์แล้วแต่จะยิงธนูให้ดูแล้วกัน
-
อ.ก็ยิงแบบเทพๆไปเลยจย้า คือยิงกลางเป้ามันง่ายไปง่ะ
อ.แกก็เลยยิง4ดอกเข้า4มุมตามเข็มนาฬิกาไปเลย555
-
แฝดก็ มีแต่อ.ของชูนี่แหละที่น่านับถือสุด แบบทึ่งไปเลย
-
จากนั้นอ.ให้ทุกคนยิงแบบตะโกนแล้วก็ดูให้
-
ชูกับมินาโตะคุ้นเคยอยู่แล้วก็เลยตะโกนเต็มเสียงเหมือนสิงโตคำราม
ส่วนคนอื่นๆก็น้อยกว่า
-
พอซ้อมเสร็จ มินาโตะก็หยิบกล่องข้าวกลางวันขึ้นมา ในนั้นมีทาโกะยากิจย้าาาา
น้องบอกกลัวจะไม่พอเพราะทำมาเผื่อแค่สามคน น้องน่าจะไม่รู้ว่าแฝดจะมาด้วย555
-
หลังจากแฝดหยิบไปกินก็ การได้กินทาโกะในชุดฝึกนี่มันสดชื่นจริงๆ , นี่
กินสิๆ นี่มันอร่อยมากเลยนะ , ต้องมีส่วนผสมของตระกูลนารุมิยะอยู่แน่ๆถึงอร่อยขนาดนี้
, ไม่แปลกใจเลยที่ชูจะชอบทาโกะยากิ แอร๊ยยยยย
น้องน่าจะทำอร่อยมากอ่ะะะะ ชายชูถึงได้ติดใจขนาดนี้ยยยย
-
แฝดก็กินอย่างรวดเร็ว ส่วนชูที่ค่อยๆกินอย่างละเมียดละไมเพื่อให้ซึมซับทุกรสชาติ
หันมาอีกที กล่องเปล่าไปแล้ว55555
-
พอถึงเวลาต้องกลับ อ.ไซออนจิก็โทรมาเรียกให้น้องกับชูอยู่ก่อน
ส่วนอีกสามคนให้กลับไปก่อน
-
แล้วอ.ก็เรียกไปคุย บอกว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่ต้องบอกน้อง
ว่าจริงๆแล้วอ.ได้แจ้งคุณแม่ของน้องไปแล้วว่าน้องกำลังฝึกอยู่กับตน
ตอนเกิดอุบัติเหตุก็รู้อยู่แล้วแต่ไม่ได้บอกชู ขอโทษด้วยจริงๆ
-
ชูก็บอกว่าไม่เป็นไร ตนคิดอยู่แล้วว่าน่าจะมีเหตุร้ายแรงอะไรบางอย่าง
คิดว่ามินาโตะไม่น่าจะเลิกชอบธนูจนหยุดยิง
-
จากนั้นอ.ก็บอกกับน้องว่า
ที่จริงคุณแม่เคยเห็นวีดีโอตอนน้องยิงธนูแข่งกับชูตอนฝึกที่นี่แล้ว
น้องทำให้ความฝันของคุณแม่ที่จะได้เห็นน้องยิงธนูเป็นจริงไปแล้วนะ
ไม่ต้องเสียใจเรื่องนี้แล้ว
-
ชูก็เอามือจับไหล่น้อง น้องก็ งั้นเหรอครับ
-
จากนั้นน้องก็ขอโทษชูที่ขาดการติดต่อไปทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ห่างหายไปจากสนามธนูเลย(น่าจะหมายถึงที่ฝึกยิงที่บ้านคนเดียว) ชูก็บอกว่าไม่เป็นไร เข้าใจ
-
น้องเอามือแตะมือชูที่อยู่บนไหล่ ดีใจที่แม่เคยได้ดูตนยิงธนูแล้ว
แล้วน้องก็ร้องไห้ออกมา
โอ๊ยยยยยย
สองคนนี้ก็คือออออ อยู่ในกันและกันมากอ่ะ แง๊~~~ แล้วอ.ไซออนจิก็คือชงไม่ไหว
ชงแก้วแตกมาก ฮืออออ เลิฟอ.นะคะ >/////< คือแบบ
ถ้าจับแต่งได้อ.คงจัดให้แล้วมั้งคะะะ 5555
ปล.แปลผิดแปลถูกยังไงก็ไปโทษกูเกิลทรานเอานาคะ
คุณกวางก็ดำน้ำตามมันไปนี่แหละค่ะ5555 คือมันไม่ได้แปลเป๊ะๆอ่ะนะ
บางทีเราก็ต้องมาตีความเองอีกว่ามันหมายความว่าไงวะเฮ้ย
ขอบคุณสำหรับทุกๆความคิดถึง
ทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทมากๆๆเลยนะคะ พักNCเรื่องยักษ์มาอู้อยู่นี่แป๊บ
555 แต่ตอนต่อไปของยักษ์ก็ชอบมากๆเหมือนกันค่ะ ไว้เจอกันน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น