Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 13
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
พ่อของเด็กสาวยังไม่ตาย…
แต่แค่หัวแตกและขาหักจนต้องนอนเข้าเฝือกอยู่ที่โรงพยาบาล
แม่ของเด็กสาวก็ให้การกับตำรวจว่าพ่อของเด็กสาวเมาและพลัดตกบันไดไปเอง
ส่วนเด็กสาวนั้นอยู่กับตนในห้องตลอดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เลย
สองแม่ลูกเป็นที่รู้จักกันดีกับตำรวจและเพื่อนบ้านในละแวกนั้น
ต่อให้ยังมีคนอื่นเห็นเหตุการณ์อีกแต่ทุกคนก็พร้อมช่วยเหลือเต็มที่และยอมให้คำให้การเป็นไปตามนั้น
เด็กสาวจึงหลุดจากข้อหาฆาตกรรมไปเป็นเพียงพยานในเหตุการณ์เท่านั้น
หลุดจากข้อหาในทางโลก
ทว่ากลับไม่อาจหลุดไปจากโซ่กรรมและเครื่องหมายของยักษ์ได้…
ปึ่ก!
ลูกธนูไม้ไผ่ที่ส่วนหางทำด้วยขนเหยี่ยวหิมะลงอาคมสีทองพุ่งออกจากคันธนูสีขาวแต่กลับพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย
ร่างที่อยู่ในชุดฮากามะสำหรับฝึกยิงธนูนั้นยืนอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่
สายลมรุนแรงส่งให้ใบเมเปิ้ลสีแดงนับพันนับหมื่นแตกกระจายก่อนจะโปรยปรายลงมาจนเกิดเป็นภาพที่งดงามตระการตา
ผืนป่าถูกย้อมไปด้วยสีเพลิงยิ่งส่งให้ร่างบอบบางโดดเด่นอยู่ท่ามกลางธรรมชาติและขุนเขาอันยิ่งใหญ่
มีใบไม้ใบหนึ่งพัดวนก่อนจะเคลียไล้ไปกับใบหน้ามน
มันค่อยๆร่วงหล่นสู่สายธารที่ไหลเอื่อยเซาะร่องของซอกหินแล้วลอยลับไปจากสายตา
ท่อนแขนบางค่อยๆลดคันธนูลงด้วยท่วงท่าสง่างาม
นอกจากโรงฝึกธนูตามแบบพิธีการแล้วเขายังมีพื้นที่สำหรับฝึกยิงธนูส่วนตัวอยู่ในป่าหลังศาลเจ้าด้วย
จะบอกว่าส่วนตัวก็คงไม่ผิดเพราะคงไม่มีใครคิดจะมาฝึกกับเขาที่นี่อีกแล้ว
ก็เขาไม่ได้ยิงธนูเพื่อใช้ในการแข่งขันหรือฝึกจิตใจเพียงเท่านั้น
แต่เขาใช้ธนูในการต่อสู้กับพวกภูตผีปีศาจด้วย จึงจำเป็นต้องฝึกเพื่อใช้ในการต่อสู้จริงเสียมากกว่า
ดวงตากลมโตทอดมองไปยังจุดที่ห่างออกไป28เมตร
เป้าที่ว่างโล่งกับลูกธนูนับสิบดอกที่ปักอยู่โดยรอบคงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่าสภาพจิตใจของเขาเป็นเช่นไร
ทั้งที่ปกติแล้วลูกธนูพวกนั้นมันจะต้องปักอยู่กลางเป้าตลอด
แต่อย่างน้อยการได้มายิงธนูที่นี่ก็ทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของเขาพอจะสงบลงได้บ้าง
อีกอย่าง...มันก็ทำให้เขาไม่ต้องเห็นหน้าของชูซังไปสักพัก
เขา…กำลังหลบหน้าอีกฝ่ายอยู่…
เขาก็รู้ว่าไม่ควรเอาความไม่พอใจนี้ไปลงกับชูซัง
อีกฝ่ายเป็นยักษ์ที่ชิงชังมนุษย์มาทั้งชีวิต เขาต้องรู้สิว่าความเย็นชาเป็นพื้นฐานนิสัยของชูซัง
ไม่ใช่จะเพิ่งมารู้เสียเมื่อไหร่ว่าผู้ชายคนนั้นเลือดเย็นขนาดไหน
ถ้าไม่ใช่เรื่องของเขาชูซังก็ไม่เคยสนใจอะไรอยู่แล้ว...
แล้วมันก็เป็นความอ่อนด้อยของเขาเองที่ไม่รู้
ที่คาดเดาไม่ได้ว่าเด็กสาวกำลังจะทำอะไร ทั้งๆที่เขาก็มีพลังในแบบที่ชูซังมีแต่เขากลับไม่ได้ใช้มันเพื่อขัดขวางเด็กสาวเช่นกัน
เขาเองก็ผิดเหมือนกัน
แต่พอคิดว่าทำไมชูซังถึงไม่เข้าใจเจตนาของเขาที่อยากจะช่วยเด็กสาว
ทำไมถึงเมินเฉย มันก็อดที่จะน้อยใจ อดที่จะงอแงไม่ได้
ทั้งๆที่เขาไม่เคยทำตัวไม่ดีแบบนี้มาก่อน
ไม่เคยทำตัวเอาแต่ใจกับใครแบบนี้มาก่อน ไม่เคยงอนใคร…แบบนี้มาก่อน...
เขาก็แค่อยากให้อีกฝ่ายตามใจ…ไม่สิ…หรือจะเป็นเพราะชูซังตามใจเขามากเกินไปจนเขาเสียคนไปแล้วหรือเปล่านะ?
ถึงได้ทำนิสัยไม่น่ารักแบบนี้กับอีกฝ่ายไป...
“มินาโตะ…” แล้วก็เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาคิดจนหัวแทบระเบิดจึงไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าร่างสูงสง่ามายืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
ไหล่บางหันควับไปอีกทางทันที
ดูสิ ขนาดอีกฝ่ายมาง้อ เขาก็ยังเบือนหน้าหนีเฉยเลย
“เจ้าโกรธที่ข้าไม่ช่วยเด็กคนนั้นอย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงที่เคยเย็นชาฟังดูเซื่องซึมไปเล็กน้อย
“ก็คุณช่วยได้ แต่คุณไม่ทำ…” เสียงนุ่มเอ่ยออกไปอย่างแง่งอน
ได้ยินเสียงสวบสาบขยับมายืนอยู่ข้างๆ
ดวงตากลมใสจึงแอบเหลือบมองอีกฝ่าย
ร่างสง่าหันหน้ามองไปยังเป้า
มือใหญ่ยกขึ้นช้าๆก่อนที่คันธนูไม้ไผ่สีดำจะค่อยๆปรากฏไล่ออกมาจากฝ่ามือข้างนั้น
คันธนูญี่ปุ่นที่สูงท่วมหัวทำให้เขาลอบมองภาพนั้นด้วยสองแก้มที่แดงระเรื่อ
ถึงจะยังงอนอยู่แต่ชูซังก็งดงามมากจริงๆ
“ข้าเข้าไปยุ่งกับการตัดสินใจของมนุษย์ไม่ได้หรอก”
เสียงทุ้มดังพร้อมกับลูกธนูที่ค่อยๆปรากฏจากหัวลูกศรไล่มาเรื่อยๆเมื่อมือใหญ่อีกข้างง้างคันธนู
“นั่นเป็นกรรมของเด็กคนนั้น
เป็นผลของการกระทำที่เด็กคนนั้นตัดสินใจที่จะทำเอง ต่อให้ข้าเข้าไปขวาง
แต่ความคิดที่จะฆ่าพ่อของเด็กคนนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ได้รับเครื่องหมายของยักษ์
ข้ายังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงยังรอดไปได้...ตั้งแต่วันที่มาขอพรที่ศาลเจ้าแล้ว
เพราะความคิดก็ถือเป็นการกระทำในรูปแบบหนึ่ง”
ปึ่ก!
ลูกธนูหางอินทรีดำปักลงที่กลางเป้า
เสียงทุ้มพยายามอธิบายและเขาก็เข้าใจทุกอย่าง
ทว่า เมื่อนึกถึงบาดแผลที่เด็กสาวได้รับมาจากพ่อแท้ๆของเธอเอง เขาก็อดที่จะสงสาร
อดที่จะลองต่อรองกับชูซังไม่ได้
“แต่คุณก็เคยช่วยผมตั้งหลายครั้งไม่ใช่เหรอครับ?
คราวนี้ไม่มีทางช่วยได้จริงๆเหรอครับ...”
“เพราะเป็นเจ้าอย่างไรเล่าข้าถึงเข้าไปยุ่ง
แล้วสิ่งที่เจ้าทำก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียกโซ่กรรมของข้าเข้าไปหาเจ้าด้วย
เจ้าทำแต่เรื่องดีๆ คิดแต่เรื่องดีๆ ต่างจากเด็กคนนั้น”
“......” ต่างฝ่ายต่างเงียบไปพักใหญ่
“หรือเจ้า...จะให้ข้า...ลองคลายพันธนาการให้เด็กคนนั้นไหม?”
แล้วสิ่งที่เสียงทุ้มพูดออกมาก็ทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้าง
สภาพอันโชกเลือดของชูซังในวันนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ในหัว
แค่นึกถึงอีกฝ่ายที่สลบไสลไม่ยอมลืมตาเป็นอาทิตย์ๆมือไม้เขาก็สั่นไปหมด
“ถ้าเด็กคนนั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งพอก็คงจะทนต่อการตามรังควาญของโซ่กรรมของข้าได้
หากคลายพันธนาการอาจจะยังพอมีชีวิตต่อไปได้”
“ไม่ได้นะครับ!”
เสียงใสตวาดก้องจนร่างสูงถึงกับตกใจเพราะไม่เคยได้ยินมินาโตะขึ้นเสียงแบบนี้มาก่อน
ร่างโปร่งบางหันมาเผชิญหน้าจ้องเขม็งเข้ามาในดวงตาของข้าทันที
“เดี๋ยวคุณก็บาดเจ็บหรอก!
แบบนั้น...ไม่ได้เด็ดขาด...” แววตาแข็งกร้าวกลับอ่อนลงทันที
มือบางที่สั่นสะท้านจับขย๋ำอยู่ที่สาบเสื้อกิโมโนของข้าราวกับว่าภาพในวันนั้นกลายเป็นบาดแผลในใจของเจ้าไปแล้ว
เจ้า...เป็นห่วงข้าและไม่อยากให้ข้าบาดเจ็บแบบนั้นอีกสินะ
“....มัน...ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือไง” ใบหน้ามนเต็มไปด้วยแววเจ็บปวด
ข้าจึงตรงเข้าไปตระกองกอดร่างโปร่งบาง
สองแขนแข็งแกร่งกอดไหล่ที่แบกรับอะไรไว้มากมายของเจ้าหลวมๆ
“เจ้าก็รู้ว่าไม่มีทางปลดโซ่กรรมได้
ไม่มีทางลบเครื่องหมายของยักษ์ออกไปจากตัวมนุษย์ได้
ไม่เช่นนั้นข้าคงทำให้เจ้าไปแล้ว”
เสียงทุ้มพูดออกไปตรงๆ
“ผมสงสารเด็กคนนั้น...”
“มันเป็นกรรมของเธอ
ในเมื่อเธอเป็นคนตัดสินใจที่จะทำแบบนั้น เธอก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เธอทำ
หน้าที่ของเราทำได้เพียงเฝ้ามองเท่านั้น เจ้าค่อยๆทำใจเถิด หากยังอยู่ข้างกายข้า
เจ้าคงต้องพบเจอกับด้านมืดของมนุษย์อีกมาก นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น”
“ที่ผ่านมา
คุณต้องคอยเฝ้ามองเรื่องน่าหดหู่แบบนี้มาตลอดเลยเหรอครับ...” ใบหน้ามนเหม่อลอยอยู่กับสาบเสื้อกิโมโนสีดำ
“อืม”
“คุณถึงได้ด้านชานัก
ผมขอโทษนะครับที่ว่าคุณเป็นคนเลือดเย็น” หัวสีดำขยับซุกเข้าไปที่แผงอกกว้างอย่างอ้อนน้อยๆ
“ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก
เพราะข้าเลือดเย็นจริงๆ หากข้าไม่เย็นชา ข้าคงทำหน้าที่นี้ไม่ได้” ใบหน้าหล่อเหลาเพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“......”
ท่อนแขนบางเอื้อมมากอดแผ่นหลังกว้างก่อนจะตบปุๆราวกับจะปลอบโยน
“แต่ก็ใช่ว่าข้าจะเจอแต่เรื่องน่าหดหู่แบบนั้นอย่างเดียว
ข้าเองก็เคยเจอโลกที่สดใส เจอความสุขสงบและสบายใจ ...นั่นเพราะข้าได้เจอเจ้า” ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมายิ้มให้คนในอ้อมแขน
มันเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาทั้งแก้มร้อนผ่าว
“ข้ามีของมาให้เจ้าด้วย” แล้วจู่ๆร่างสูงสง่าก็ดันตัวเขาออกพร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อกิโมโน
มันเป็นแอปเปิ้ลในห่อพลาสติกลูกหนึ่ง...
สีแดงของมันวาววับไปด้วยน้ำตาลที่เคลือบเอาไว้
ไม้ที่เสียบอยู่ก็ทำให้มันดูไม่ต่างไปจากลูกกวาดเลย
“แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาล?” มือบางรับมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ ใต้แผ่นอกซ้ายอุ่นวาบอย่างดีใจ...ก็เดี๋ยวนี้คุณยักษ์ผู้เย็นชารู้จักไปหาของมาง้อเขาด้วย
"....ไปเอามาจากไหนครับเนี่ย?" แถวนี้ไม่น่าจะมีขายนะ
เพราะปกติแล้วแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลขายในงานเทศกาลมากกว่า แล้วช่วงนี้แถวนี้ก็ไม่มีศาลเจ้าไหนจัดงานเสียด้วย
"มิยาจิมะ" แล้วสิ่งที่เสียงทุ้มพูดออกมาก็ทำเอาเขาถึงกับตาโต
"เกาะมิยาจิมะน่ะเหรอครับ?" เกาะกลางทะเลเซโตะไนไกที่อยู่ในจังหวัดฮิโรชิม่าน่ะเหรอ?
"ใช่"
"นี่คุณไปถึงศาลเจ้าอิสึคุชิมะมาเลยเหรอครับ?" มันไกลจากที่นี่มากเลยนะ ศาลเจ้าที่มีเสาโทริอิสีแดงกลางน้ำนั่น
"ก็แถวนี้ไม่มีงานเทศกาลเลยนี่"
"....ขอบคุณนะครับ" เขาก้มมองแอปเปิ้ลสีแดงเคลือบน้ำเชื่อมแวววาวที่อยู่ในมือ
ยิ่งรู้ว่าชูซังตั้งใจไปเสาะหามันมาเพื่อง้อเขา ความรู้สึกอุ่นๆก็เอ่อล้นอยู่ในใจแล้ว
"กลับ…ห้องกันเถอะครับ…" ดวงตากลมโตช้อนขึ้นไปมองใบหน้าที่ยิ้มอย่างโล่งใจ
ร่างทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปผ่านอาคารต่างๆมากมายของศาลเจ้า
เสียงพูดคุยดังคละเคล้าไปกับเสียงหริ่งเรไรส่งให้บรรยากาศที่มึนตึงใส่กันมาพักใหญ่ค่อยๆจางหายไปกลายเป็นห้วงแห่งความรักเหมือนเดิม
"ทำไมถึงเป็นแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลล่ะครับ?"
"ก็เจ้าชอบแอปเปิ้ลไม่ใช่รึ?"
"เอ๋? ผมน่ะเหรอ?"
"ก็เจ้าปอกแต่แอปเปิ้ลให้ข้ากิน นึกว่าเจ้าชอบเสียอีก"
"ที่ปอกแต่แอปเปิ้ลให้กินก็เพราะชูซังชอบแอปเปิ้ลไม่ใช่เหรอครับ?"
"ข้าชอบเจ้าต่างหาก"
"เอ๊ะ?"
"เจ้ารสชาติเหมือนแอปเปิ้ล ข้าก็เลยชอบกินแอปเปิ้ล"
"หว๋า~ พูดอะไรเนี่ย~ น่าอายจะตาย
แล้วคุณเคยกินผมหรือไงถึงได้บอกว่าผมรสชาติเหมือนแอปเปิ้ลน่ะ!"
“เคยสิ”
“เอ๋?
เมื่อไหร่น่ะ? คุณกินผมตอนไหน? เอ๋?”
ข้าดึงวิญญาณออกจากร่างของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ก็จริง
แต่ข้าสามารถดึงดวงจิตของพวกเจ้าออกมาจากความฝันได้
และตอนนี้มือใหญ่ก็กำลังดึงดวงจิตของเด็กสาวออกมาจากร่างกายที่กำลังฝันร้าย
เงาโปร่งใสค่อยๆปรากฏขึ้นใกล้ๆร่างกายที่กำลังหลับใหล
ก่อนที่ในชั่วอึดใจมันจะถูกดูดให้ไปนั่งอยู่นอกหน้าต่างบานหนึ่งของโรงพยาบาล
“เอ๊ะ?
ฝันเหรอ?”
ใบหน้าของเด็กสาวก้มมองอากาศที่ว่างเปล่าใต้ฝ่าเท้าของเธออย่างตกใจ
เพราะการที่เธอมานั่งอยู่โดยที่ไม่มีอะไรรองรับเลยแบบนี้ถ้าไม่ใช่ฝันแล้วจะเป็นอะไรไปได้
ยิ่งสถานที่ที่อยู่ตรงหน้าเธอคือห้องพักผู้ป่วยของผู้ชายเลวๆที่ไม่น่าเรียกตัวเองว่าพ่อก็ยิ่งทำให้เธอคิดไปใหญ่ว่ามันเป็นได้แค่เพียงฝัน
ก็ในความเป็นจริงนั้นเธอคงไม่มีวันไปเหยียบโรงพยาบาลที่หมอนั่นพักอยู่แน่ๆ
“นี่ไม่ใช่ฝัน
แต่นี่คือสิ่งที่จะเกิดกับพ่อของเจ้าจริงๆ”
ดวงตาสีม่วงเหลือบมองเด็กสาวที่นั่งอย่างมึนงงอยู่บนอากาศ
และเมื่อเด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงที่พูดกับเธอ
ดวงตาที่เคยสับสนก็เบิกกว้างขึ้นทันที
“คุณคือ....” ริมฝีปากแห้งผากพูดต่อไม่ได้แต่เธอก็ค่อนข้างแน่ใจว่าผู้ชายที่ดูสูงส่งคนนี้เป็นใคร
ต่อให้ในโทรทัศน์ที่เธอเคยเห็นเขาจะสวมหน้ากากยักษ์เอาไว้
แต่รูปลักษณ์อย่างอื่นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านี่เป็นคนคนเดียวกัน
ยักษ์ที่ศาลเจ้ายาตะตนนั้นมีจริง
จริงๆด้วย...
“เจ้าเป็นคนไปขอร้องข้าเอง จำไม่ได้รึ?”
เด็กสาวพยักหน้ารัวๆทันที
คุณยักษ์...ยอมทำตามคำขอของเธอจริงๆเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่ไม่ใช่ความฝัน...
วันนั้น...เธอถูกพ่อทุบตีจนลุกไม่ไหว
เธอไม่ได้ไปสอบซ้ำยังถูกให้ออกจากงานพาร์ทไทม์เพราะขาดงาน เธอสิ้นหวัง
เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอจึงเดินทางไปยังศาลเจ้าที่เห็นในข่าวนั่นอย่างไร้สติ
ทั้งๆที่เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ายักษ์ที่เห็นในทีวีนั่นมีตัวตนจริงไหม
อาจจะเป็นแค่หนังที่สมจริงสักเรื่องก็ได้
แต่ตอนนั้นขอแค่มีที่พึ่งทางใจให้เธอบ้างเธอจึงไป การขอพรจากเทพเจ้าคงไม่อาจเยียวยาหัวใจที่เต็มไปด้วยความคับแค้นของเธอได้
คงต้องเป็นยักษ์...ที่เธอจะขอร้องได้
และเมื่อมองดูให้ดีเธอจึงเห็นว่ายังมีอีกร่างหนึ่งยืนยิ้มให้เธออยู่ข้างๆร่างสูงสง่าด้วย
ใบหน้าที่น่ารักราวกับตุ๊กตานั่นก็คุ้นตาเธอเหลือเกิน
นี่...น่าจะเป็นยักษ์อีกตนที่อยู่ในห้องๆนั้นใช่ไหม?
ถึงความดูมีชีวิตชีวาจะต่างจากที่เห็นในโทรทัศน์เลยก็เถอะ
วันนั้นเธอยังคิดว่าอาจจะเป็นตุ๊กตาอยู่เลย
ทว่า...นี่น่าจะเป็นยักษ์ที่มีตัวตนจริงๆ...มีคนที่เคยทำงานอยู่ในศาลเจ้านั้นออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อเพื่อแก้ต่างให้ว่าคนคนนี้เป็นนักบวชที่ยิ่งใหญ่ของศาลเจ้ายาตะมาก่อนจริงๆ
ดวงตาของเด็กสาวจ้องมองไปที่เขาบนหน้าผากของทั้งสองตน...เป็นยักษ์...จริงๆสินะ
“เจ้าจะดูต่อหรือไม่...จุดจบของชายผู้ให้กำเนิดเจ้า”
“....พ่อ...จะตายจริงๆเหรอคะ...”
เกิดความลังเลขึ้นมาเสี้ยวหนึ่งบนใบหน้าของเด็กสาว ต่อให้จะชั่วช้าขนาดไหนแต่ก็ยังพอจะมีความทรงจำดีๆที่เคยทำร่วมกันมาอยู่บ้าง
เด็กสาวจึงได้กัดริมฝีปากจนช้ำ
“เขาถูกยักษ์ทำเครื่องหมายไปแล้ว
ต้องตายด้วยมือข้าแน่นอน”
“......” เด็กสาวก้มมองพื้น
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีคงกำลังตีกันอยู่หัวใจที่ไม่ได้เข้มแข็งอะไรเลย
“เจ้าเองก็เช่นกัน”
“เอ๊ะ?” เด็กสาวเงยหน้ามองขึ้นมาอย่างตกใจ
“หนู...ก็ถูก...ทำเครื่องหมายด้วยเหรอคะ...” เด็กสาวพูดออกมาอย่างตื่นตะลึง
“ใช่...เจ้าคิดจะฆ่าพ่อของตัวเองไม่ใช่รึ
แล้วคิดว่าจะรอดไปได้อย่างไร?”
“.......” เด็กสาวก้มหน้าหัวคิ้วขมวดมุ่น ทั้งใบหน้าแสดงออกว่าทั้งเจ็บปวดทั้งหวาดกลัว
“...เข้าใจแล้วค่ะ...” แล้วเด็กสาวก็พูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
ไหล่เล็กๆทั้งสองข้างก็สั่นเทา น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหยดลงไปบนอากาศที่ว่างเปล่า
จะมีใครไม่กลัวความตายบ้าง
“....อย่างน้อย
แม่ก็จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป...แม่ของหนู...จะมีความสุขใช่ไหมคะ”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมายิ้มทั้งน้ำตาทำเอาร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ข้างๆสงสารจับใจ
ทั้งๆที่อีกนิดเดียวเธอก็จะถูกปลดปล่อยจากผู้ชายเลวๆคนนั้นและไปใช้ชีวิตที่สดใสกับแม่ของเธอแล้วแท้ๆ
“ข้าจะส่งเจ้ากลับไป ภาพต่อจากนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องดูหรอก
จงกลับไปใช้เวลาที่เหลือของเจ้าให้ดีเถิด”
“ขอบคุณนะคะ
คุณยักษ์” มือใหญ่ยื่นมือไปกางตรงหน้าเด็กสาว
“อีกสามวัน ข้าจะไปหาเจ้า”
แล้วดวงจิตของเด็กสาวก็หายวับไป
หายกลับเข้าสู่ร่างกายที่นอนหลับอยู่ในห้องของเธอ
โครก~~~
เสียงกดชักโครกดังก้องอยู่ในห้องน้ำรวมของตึกศัลยกรรมชาย
รถเข็นคันหนึ่งเคลื่อนออกจากห้องแรกสุดมาพร้อมกับเสียงบ่นของชายที่นั่งอยู่ในนั้น
“นังลูกไม่รักดี
จะมาดูแลพ่อมันหน่อยก็ไม่ได้”
มือที่เต็มไปด้วยรอยช้ำยกขึ้นถูไปมาเหนืออ่างล้างหน้า
บนหัวถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนา ขาข้างหนึ่งก็เข้าเฝือกเอาไว้ ไหล่อีกข้างก็ใส่เฝือกอ่อน
ชายหนุ่มได้แต่สบถอย่างหยาบคายก่อนจะบังคับรถเข็นกลับไปยังห้องพักผู้ป่วยรวม
ไฟที่โถงทางเดินกระพริบติดๆดับๆ
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราหลอมแหลมเงยมองอย่างแปลกใจ
เมื่อกี้ตอนมาก็ยังสว่างอยู่เลยนี่หว่า? ไหงตอนนี้จึงปิดไฟเกือบหมด
มีแค่ปลายทางเดินที่เปิดไว้สลัวๆ จะประหยัดไฟอะไรกันนักหนาวะเป็นโรงพยาบาลแท้ๆ
ชายหนุ่มสบถอย่างไม่ได้ดั่งใจ
แต่ทางเดินว่าแปลกแล้ว ในห้องพักยิ่งแปลกกว่า
เพราะตอนนี้กลับไม่มีใครอยู่สักคน...ทั้งๆที่เป็นห้องรวมแต่ทุกเตียงกลับว่างเปล่า...?
“อะไรวะ?
ไปไหนกันหมดเนี่ย? เมื่อกี้ยังนอนกันเต็มอยู่เลยนี่หว่า หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้น?
เฮ้ย! อยู่ไหนกันหมดเนี่ย~ ตอบหน่อยสิวะ” ชายหนุ่มตะโกนโวยวาย
มือหยาบหมุนล้อเหล็กให้รถเข็นเคลื่อนไปตามเตียงต่างๆเพื่อมองหาคนไข้คนอื่น
เข็นวนไปยังเคานต์เตอร์พยาบาลแล้วก็วนกลับมาใหม่
ภาพทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของสองคนที่เฝ้ามองอยู่จากเบื้องนอก...
“ข้าจะปล่อยให้โซ่กรรมเส้นนั้นจัดการของมันเอง” เสียงทุ้มพูดออกมาจากใบหน้าเย็นชา
โซ่สีดำเส้นหนึ่งค่อยๆปรากฏออกมาพร้อมกับไอเย็นยะเยือก
“ครับ...” ใบหน้ามนเอ่ยด้วยสีหน้าราวกับกำลังยืนแผ่เมตตาให้
“โชคร้ายหน่อย
ที่เจ้าเด็กนี่คือลูกชายที่ซาดิสที่สุดของข้า”
“เอะ...” ใบหน้ามนหันมามองอย่างสงสัย
โซ่กรรมก็มีนิสัยเป็นของตัวเองด้วยเหรอ?
แล้วจากความว่างเปล่าก็ค่อยๆมีกลุ่มก้อนสีดำไหลออกมาจากโซ่ราวกับน้ำมันหยดใหญ่
มันค่อยๆย้อยลงมาจนกลายเป็นผู้ชายในชุดทหารรูปร่างสูงใหญ่
และถึงแม้เงาร่างในชุดทหารนั่นจะก้าวเดินไปตามทางเดิน
แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงเคร้งคร้างของโซ่ที่เสียดสีกันไปมายิ่งน่าขนพองสยองเกล้ามากกว่าเก่าหลายเท่า
ชายในรถเข็นหันมาเห็นเงาร่างนั้นเข้าจนได้
“คะ
ใคร?! กูถามว่ามึงเป็นใครวะ?!” ชายในรถเข็นตะโกนถาม
ถึงจะพยายามทำเสียงห้าวแต่ไออันตรายที่แผ่ออกมาจากเงาในชุดทหารนั่นก็ทำให้มือหยาบต้องบังคับล้อเหล็กให้ถอยหลังช้าๆ
เงานั้นไม่ตอบ
แต่สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามใหญ่โตกลับยกขึ้นมา สนับมือถูกสวมลงไปที่นิ้วทั้งห้า
ในเมื่อผู้ชายคนนี้ชอบซ้อมลูกเมียของตัวเองนัก ก็ต้องให้มันได้ลองถูกซ้อมดูบ้าง
“ยะ
อย่าเข้ามานะโว้ย!” ชายคนนั้นพยายามเข็นรถหนีแต่ในชั่ววินาทีก็โดนจิกหัวลากกลับมาจนได้
“จะ
จะทำอะไร? ยะอย่านะ!”
ชายคนนั้นกรีดร้องอย่างหวาดกลัวเมื่อร่างในชุดทหารนั่นฉีกยิ้มกว้างทั้งๆที่มีหัวเป็นแค่เงาสีดำ
ประกายวิ้งวับของสนับมือเหล็กทำให้ร่างในรถเข็นตัวสั่นพั่บๆด้วยความกลัวสุดขีด
ผลั่ก!
“อ๊ากกกกกกก!!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดกรีดก้องไปทั่ว
มันไม่ได้ดังอยู่แค่เดี๋ยวเดียว แต่เสียงของคนที่อยากจะหนีก็หนีไม่ได้นั้นยังคงดังอยู่ทั้งคืน
ทั้งเลือดทั้งรอยฟกช้ำเกิดเป็นจ้ำๆอยู่ตามตัวเต็มไปหมด
แต่เงาที่ยิ้มร้ายนั่นก็เหมือนจะรู้ดีว่าซ้อมยังไงให้อีกฝ่ายไม่ตายแต่ได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
มันยังคงต่อยลงไปอย่างโหดเหี้ยม
ยังคงเตะลงไปอย่างไม่ปรานี แล้วรอยยิ้มที่ดูจะชอบใจนั่นก็ทำให้ร่างโปร่งบางถึงกับหันมาถามร่างสูงสง่าอย่างหวาดผวา
“ชูซัง...เอ่อคือ...โซ่...เส้นที่เชื่อมกับตัวผมอยู่นี่...เค้ามีลักษณะนิสัยแบบไหนเหรอครับ...” คงไม่ได้ซาดิสแบบเจ้าเงาในชุดทหารนั่นใช่ไหมครับ...
“ฮึ...เจ้าพวกนั้นดูจะรักแม่ของพวกมันมากอยู่นะ” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มอย่างอารมณ์ดี
เจ้าเด็กเอาแต่ใจสามเส้นนั่นเลิกอาละวาดและก่อกวนข้าตั้งแต่ที่พวกมันได้ไปอยู่กับมินาโตะ
“ห๊ะ?
แม่? หมายถึงผมเหรอ? ไม่สิ เด็กพวกนั้นจะไม่ซ้อมผมแบบนั้นใช่ไหมครับ?”
“ไม่หรอก
พวกมันรักเจ้าออกนะ” เรียกกลับยังไม่ยอมกลับเลย
เพราะเจ้าเอาของอร่อยให้พวกมันกิน พลังชีวิตของเจ้าทั้งหอมหวานทั้งอร่อย
ไม่เหมือนพลังชีวิตของคนถ่อยพวกนั้นที่รสชาติไม่ต่างจากขยะเน่า
“จริงน่ะ?
จริงๆนะครับ?” ดวงตากลมใสจ้องข้าอย่างต้องการความมั่นใจ
ใบหน้าหล่อเหลาจึงพยักรับเบาๆ
“อื้ม”
แสงแดดยามเช้าทำให้ดวงตาของเด็กสาวค่อยๆกระพริบเปิดช้าๆ
เมื่อคืน...เธอฝันประหลาดมาก...
ฝันว่าคุณยักษ์ที่ศาลเจ้ายาตะมาหาเธอ
บอกว่ากำลังจะฆ่าพ่อของเธอ...
กริ๊ง.....กริ๊ง....
เสียงโทรศัพท์ของแม่ทำให้ใบหน้าที่ยังงัวเงียหันไปมอง
เธอเห็นแผ่นหลังที่คุ้นตารับโทรศัพท์ ก่อนจะมีท่าทีตกใจ?
“ค่ะ...ค่ะ...เข้าใจแล้วค่ะ...” แม่พยักหน้าให้กับปลายสายด้วยท่าทางเรียบร้อย
แล้วหลังจากที่วางสายไป แม่ก็หันมาบอกกับเธอด้วยสีหน้าที่ไม่รู้จะทำหน้ายังไงว่า
“ยูโกะ...พ่อของลูก...ตายแล้ว...” เอ๊ะ?
เรื่องเมื่อคืน...ไม่ใช่ความฝันหรอกเหรอ? คุณยักษ์มาหาเธอและมาช่วยเธอจริงๆด้วย
“เมื่อกี้ที่โรงพยาบาลโทรมา...เค้าบอกว่าพ่อพลัดตกลงไปในปล่องทิ้งขยะ
สภาพเละเทะไม่น่าดูแต่ยังไงก็ให้พวกเราช่วยไปยืนยันศพให้หน่อย” สีหน้าของแม่ทั้งโล่งใจทั้งเศร้าหมอง
ทั้งเคว้งคว้างทั้งมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป
ช่างเป็นสีหน้าที่สับสนแต่ก็ทำให้เธอรู้สึกเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมานานมากแล้ว
ทั้งๆที่เมื่อก่อนเราสามคน...เคยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแท้ๆ...แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มันเริ่มกลายเป็นแบบนี้
“ถ้างั้นก็...ไปโรงพยาบาลกันไหมคะ?” เด็กสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ
จากนี้...ก็คงถึงตาของเธอแล้ว...
อีกสามวัน
เธอจะทำให้แม่มีความสุขได้แค่ไหนกันนะ เธอจะพยายาม เธอจะทำให้เต็มที่
เธอจะจากโลกนี้ไปอย่างไม่รู้สึกค้างคาอะไร
จะทำให้แม่ของเธอยิ้มให้ได้สักครั้งก่อนที่เธอจะไป
นั่นคือความตั้งใจ...ที่ทำให้คนที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกสงสารจับใจ
แล้วเวลาแห่งความสุขสามวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
เด็กสาวมองใบหน้าที่หลับใหลของแม่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะย่องออกจากห้องมา
เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องตายที่ไหน
อย่างน้อยเธอก็ไม่อยากตายอยู่ในที่ที่แม่ของเธอจะมองเห็น
เธอจึงเลือกออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่บนท้องถนนที่เงียบสงบยามค่ำคืน
“ไปจัดการให้จบในครั้งเดียว”
เสียงทุ้มเอ่ยสั่งเจ้าดำ นี่คือความปรานีที่ข้ามีต่อเด็กคนนี้แล้ว
ข้าจะให้เจ้าตายโดยไม่ทรมาน
ดวงตากลมโตทอดมองเจ้าดำที่ไหลราวกับสายน้ำวูบไหวเข้าไปหาเด็กสาวที่ยืนนิ่งเหมือนรอรับชะตากรรมที่ตนได้ก่อไว้แต่โดยดี
ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่น
ทำอย่างไรเขาก็ทำใจยอมรับภาพแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
เขายังคงครุ่นคิดอยู่ตลอด
ครุ่นคิดมาเสมอตั้งแต่วันที่โซ่สีดำพุ่งเข้าไปในแผ่นหลังของเด็กสาวแล้ว
ต่อให้ชูซังจะบอกว่าเครื่องหมายของยักษ์นั้นไม่สามารถจะลบได้ ไม่สามารถทำให้หายไปได้...
"แต่ถึงอย่างงั้น…มันก็ย้ายได้ใช่ไหมล่ะ!”
แล้วจู่ๆเสียงที่ออกมาจากปากของร่างบางก็ทำให้ดวงตาสีม่วงถึงกับเบิกกว้าง
“เจ้าดำ! กลับมาเดี๋ยวนี้!"
เสียงใสตะโกนเรียกเจ้าหมาภูตผีที่กำลังพุ่งตรงเข้าไปเล่นงานเด็กสาว
และพอมันได้ยินเสียงของร่างบาง มันก็วิ่งกลับมาหาทันที
“มินาโตะ! เจ้าจะทำอะไร?
หยุดนะ!”
เสียงทุ้มตะโกนก้องและมือใหญ่ก็พยายามจะใช้พลังเข้าขัดขวาง
แต่คนที่วางแผนนี้ในใจมานานกลับใช้สายลมสีดำเช่นเดียวกันเข้ามาต่อต้าน
สายลมนั้นโอบล้อมร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ตรงกลางราวกับอาณาเขตที่ใช้ปกป้อง
แล้วมันก็มีพลังมหาศาลจนสามารถผลักพลังของร่างสูงออกมาได้
ให้ตายเถอะ...ข้าถึงได้เคยบอกว่าไม่ควรทำให้เจ้าโกรธ
เพราะยักษ์แรกเกิดอย่างเจ้ากลับมีพลังเทียบเท่าตอนที่ข้ามีอายุร้อยกว่าปีได้เลยนะ
ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หน้ากากยักษ์ถอนหายใจก่อนจะค่อยๆคลายพลังลง
ไม่ทันแล้วละ...
หน้ากากยักษ์สีทองที่มีขนาดเล็กกว่าค่อยๆก่อรูปร่างจากซ้ายไปขวาแล้วบดบังอยู่บนใบหน้ามน...
แต่ถึงจะมีหน้ากากของยักษ์อยู่บนใบหน้า
ทว่า บทสวดที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากที่ไม่ขยับนั้นกลับเป็นอาคมของนักบวช
คาถาต้องห้ามถูกร่ายออกมาทันที
ถูกร่ายออกมาด้วยความหนักแน่นและตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะช่วยเด็กสาว
รอยรูปดอกฟูจิที่อยู่บนใบหน้าของเด็กสาวค่อยๆถูกพลังบางอย่างดึงออกมา
มันหมุนวนเหมือนลมพายุที่กำลังบ้าคลั่ง
แถวของดอกฟูจิค่อยๆเบ่งบานก่อนจะกลายเป็นอักขระสีดำให้เห็นกลางอากาศ ก่อนที่มันจะพุ่งมาปะทะเข้าที่หน้าอกของร่างโปร่งบางผู้ร่ายคาถานั้น!
ปึ้ง!
เครื่องหมายของยักษ์ถูกย้ายมาอยู่บนแผ่นหลังบาง
เครื่องหมายที่สี่ร่ายเรียงยาวลงไปจนถึงสะโพกและก้นกบ
“อึ้ก!” มือบางถึงกับต้องยันอากาศไว้
เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดพรายอยู่ตามไรผม
ร่างโปร่งหอบหนักท่ามกลางใบหน้าตื่นตะลึงของเด็กสาวที่นั่งแผละทำอะไรไม่ถูกอยู่บนพื้น
“มินาโตะ”
ยักษ์ผู้สูงสง่าพุ่งเข้ามารับร่างโปร่งบางเอาไว้
หน้ากากยักษ์สีทองบนใบหน้าของทั้งคู่ค่อยๆสลายหายไป
“เขาช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้
เขายอมย้ายความตายของเจ้าไปไว้บนตัวเขา ฉะนั้น
เจ้าจงใช้ชีวิตอย่างสำนึกในบุญคุณของเขาด้วย เจ้ามนุษย์”
ใบหน้าหล่อเหลาหันมาบอกเด็กสาวที่ทำได้แค่นั่งอ้าปากพะงาบๆ
“เดี๋ยวเถอะ
อย่าไปขู่เขาสิครับ...จากนี้ไป...ใช้ชีวิตให้มีความสุขและไม่เบียดเบียนใครก็พอ”
กลับเป็นใบหน้ามนที่หันมายิ้มให้ทั้งๆที่เหงื่อเต็มหน้า
“ค่ะ....หนูจะจดจำไว้
ขอบคุณมากๆนะคะ คุณยักษ์”
“ขอบคุณมากจริงๆ...” เธอนั่งน้ำตาไหลด้วยรอยยิ้ม ชีวิตนี้เธอเป็นหนี้บุญคุณยักษ์ที่ใครๆต่างก็กล่าวหาว่าร้ายกาจพวกนี้
ในขณะที่คนซึ่งเรียกตัวเองว่าคนดีต่างก็เพิกเฉยไม่เคยมีใครช่วยเหลือเธออย่างจริงจังสักคน
ถึงเงาร่างของทั้งคู่จะค่อยๆเลือนหายไป...แต่กลับเด่นชัดอยู่ในใจของเธอนับแต่นั้นเสมอมา
ร่างโปร่งบางในชุดนักบวชหลบอยู่หลังมุมอาคาร
ในขณะที่กำลังทำตัวลับๆล่อๆก็ยื่นหน้าออกไปเอี้ยงๆมองๆร่างสง่าที่นั่งอยู่ที่ชานเรือนไปด้วย
ง่า...ทำยังไงดี...ตั้งแต่กลับมาเมื่อคืนเขาก็ยังไม่ได้คุยกับชูซังเลย
ไม่สิ เรียกว่าไม่กล้าเผชิญหน้าเลยมากกว่า
ก็ไม่รู้ว่าชูซังจะโกรธเขาหรือเปล่าที่เขาใช้คาถาต้องห้ามย้ายอักขระของเด็กสาวมาไว้ที่ตัวเองแบบนั้น
ไม่สิ ถ้ามองในมุมของชูซังก็ต้องโกรธอยู่แล้วละ
ตัวเองอุตส่าห์บาดเจ็บปางตายเพื่อคลายโซ่กรรมให้เขาเลยนะ
แต่เขาก็ยังจะไปสรรหามาเพิ่มอีก...
เพราะกลัวชูซังจะโกรธ
กลัวชูซังจะไม่พูดด้วย เขาเลยไม่กล้าเข้าใกล้
อ่า...หรือว่าเขาต้องไปมิยาจิมะเพื่อซื้อแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมาง้อบ้าง?
แต่ว่าเขาก็ยังหายตัวไม่เป็นนี่นา แถมให้นั่งรถไฟไปคนเดียวดูแล้วก็ไม่น่าจะรอดอีก
ทำไงดี...
ถึงดวงตาสีม่วงจะหลุบต่ำมองอยู่ที่หญ้ามอสในสวนเบื้องหน้า
ทว่า เจ้าแมวดำผลุบๆโผล่ๆที่ตามแอบดูข้ามาตั้งแต่เช้านี่มันก็กวนใจใช่เล่นเลยแหะ
ใบหน้าหล่อเหลาหันควับไปมองตรงมุมทางเดินแล้วเห็นหัวสีดำแว่บหลบหนีไป
ข้าก็ได้แต่ถอนหายใจ
มือใหญ่กางออกเล็กน้อยก่อนจะใช้สายลมดึงวูบเดียว
ลำตัวบางๆนั่นก็มาหล่นตุ้บอยู่บนตักข้าอย่างง่ายดาย
“เหวอ?!”
เจ้าเหมียวทำท่าจะลุกหนีแต่สองแขนแข็งแรงก็ตะครุบกอดเอวหมับเอาไว้ได้ทัน
“คิดจะแอบมองข้าไปจนถึงเมื่อไหร่
หื๋ม?”
ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้าไปใกล้แก้มใสจนมือบางต้องยันเอาไว้
“เอ่อ...คือว่า...ผม....” ใบหน้ามนเลิ่กลั่กจนน่าเอ็นดู
แน่นอนว่าข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าทำไมเจ้าถึงทำตัวน่าสงสัยเช่นนี้
คงจะกลัวว่าข้าจะโกรธเรื่องเมื่อคืนนี้ล่ะสิ?
ข้าถอนหายใจก่อนจะพูดออกไป
“เอาเถอะ...ข้าจะไม่ว่าเจ้าก็แล้วกัน
หากเจ้าอยากจะย้ายเครื่องหมายของข้ามาไว้บนตัวเจ้า” นิ้วยาวเกี่ยวคอกิโมโนที่ร่างโปร่งสวมอยู่เพื่อดูรอยอักขระบนแผ่นหลังขาว
“มันยาวลงไปถึงก้นเจ้าแบบนี้ก็เซ็กซี่ดี” ข้ายิ้มเจ้าเล่ห์ทำเอาเจ้าผงะไป
“แต่ว่า...ผมไม่รู้สึกเลยนะว่ามันดูดกลืนพลังชีวิตของผม?”
เจ้าทำหน้าแปลกใจที่พลังของเจ้ายังอยู่ครบเหมือนเดิม
แหงสิ
เพราะตอนนี้เจ้าเป็นยักษ์แล้ว เราไม่ดูดกลืนพลังชีวิตกันเองหรอกนะ
อีกอย่าง
โซ่กรรมหรืออักขระพวกนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรกับเจ้าแล้ว ยามเมื่อเจ้าลืมตาตื่นขึ้นมาในฐานะยักษ์
เด็กพวกนั้นก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว
แต่ที่ข้ายังทิ้งมันไว้บนแผ่นหลังเจ้า
ก็เพราะมันเป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของของข้าต่างหาก
ข้าไม่บอกเจ้าหรอก
ไม่เช่นนั้นเจ้าคงเที่ยวไปรับเครื่องหมายของยักษ์จากไหนต่อไหนมาแบบไม่คิดให้ถี่ถ้วนอีกแน่ๆ
และหากบังเอิญว่าถ้ามันไม่ใช่เครื่องหมายของข้า เจ้าก็จะเป็นอันตราย
ให้เจ้าคิดว่ามันลบออกได้ยากแบบนี้จะดีกว่า
“มันมีวิธีทำให้เครื่องหมายบนตัวเจ้าหายไปอยู่นะ
เจ้าจะได้รับอันใหม่แทนใครๆได้ตามใจเจ้าไง”
ข้าแตะปลายนิ้วไปบนตัวอักษรสีดำนั่นเบาๆ
“จริงเหรอครับ?
วิธีอะไรครับ? แล้วมันจะทำให้คุณเจ็บปางตายเหมือนตอนคลายพันธนาการหรือเปล่า?
ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ไม่เอาด้วยหรอก”
เจ้าหันมามองอย่างตื่นเต้น
“ตอนนี้เจ้าเป็นยักษ์เหมือนข้าแล้ว
ใดๆจะไม่ยุ่งยากเหมือนตอนเจ้าเป็นมนุษย์หรอก ข้าปลดโซ่กรรมจากมนุษย์ไม่ได้ก็จริง
แต่ข้าปลดโซ่นั่นจากยักษ์ด้วยกันได้”
ยักษ์ฝาแฝดนั้นเกิดมาพร้อมกับโซ่กรรมที่เชื่อมต่อกัน
ข้าเคยสะบั้นมันจากราชาแห่งนรกตนนั้นมาแล้ว ข้าจึงรู้ว่ามันทำได้
“ครับ...” เจ้าฟังอย่างตั้งใจ
“เจ้ายังจำความฝันตอนที่เจ้ายังไม่ได้กลายเป็นยักษ์ได้ไหม?
นั่นแหละ...วิธีการทำให้อักขระหายไป” เจ้าทำท่านึก...ความฝันช่วงแรกๆก็คือโดนข้าฆ่าตายทุกวัน
ส่วนความฝันช่วงต่อมาก็โดนข้า...ทุกวัน
ใบหน้าของเจ้าถึงกับแดงแปร๊ด
“หึ...เข้าใจแล้วสินะ?” ข้าเอ่ยออกไปอย่างหยอกเย้า
“หนึ่งก็คือให้ข้ากินเจ้า
สองก็ยังเป็นให้ข้า”กิน”เจ้า” ข้ายื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหู
“เลือกเอาสิ
ว่าจะให้ข้ากินแบบไหน?”
“วะ
วิธีแบบนั้นมันอะไรกันครับ!...” หูเหอแดงไปหมดแล้ว น่ารักจริงๆ
“เครื่องหมายพวกนี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเจ้าเป็นของข้า
และหากเจ้าร่วมรักกับข้า หลงเหลือน้ำรักของข้าไว้ในกายเจ้า
มันก็หมายความว่าเจ้าเป็นของข้าเหมือนกัน เครื่องหมายจึงไม่จำเป็นอีก
มันจะค่อยๆจางหายไปเท่ากับจำนวนครั้งที่เจ้านอนกับข้า” ข้าพูดด้วยสีหน้าจริงจังจนดูไม่ออกเลยว่ากำลังหลอกลวงเจ้าอยู่
แน่นอนว่าข้าไม่ได้ใช้วิธีเหล่านี้กับพี่ชายฝาแฝดของข้า
“หะ
หายไปครั้งละกี่ตัวครับ...”
“คืนละหนึ่งตัว”
“แต่คืนหนึ่งอาจจะยาวนานแค่ไหนก็ได้”
“ง่ะ!
แล้วเต็มหลังผมนี่ต้องทำแบบนั้นกี่คืนเนี่ย? คุณขี้โกงนี่ อักขระพวกนี้มาทีก็เป็นแผงเลยนะ! แต่หายไปแค่ทีละตัวเนี่ยนะ? ให้หายไปทีละแถวไม่ได้เหรอครับ~” เจ้าพยายามต่อรองด้วยการกอดแขนข้าแล้วทำหน้าอ้อน
“ทีละตัวก็คือทีละตัว
นี่มันเครื่องหมายของยักษ์เชียวนะ จะให้หายไปง่ายๆได้ยังไง” เรื่องนี้ข้าจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาดเลย
“ฮึ่ม
เจ้าคนใจยักษ์”
“ก็ข้าเป็นยักษ์”
“เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยก็แล้วกัน” ข้าอุ้มคนที่อยู่ในอ้อมแขนขึ้นพาดบ่าก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องนอน
“เอ๊ะ?” เจ้ายังทำหน้างงถึงแม้ว่าแผ่นหลังจะถูกวางลงไปบนฟูกแล้วก็ตาม
“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดีไม่ใช่รึ?” สองแขนกางคร่อมอยู่ด้านบนก่อนจะจ้องมองใบหน้าที่เลิ่กลั่กลนลาน
“ห๊ะ?
เอ๋? เดี๋ยวก่อน? ผมขอคิดก่อน~~”
เสียงใสร้องโวยวาย ร่างบางก็ตะเกียกตะกายจะออกไปจากใต้ร่างข้า
ร่างสูงสง่าจึงกดตัวเองลงไป...
แล้วยิ่งใกล้ตัวเจ้าก็ยิ่งแข็งทื่อ
ข้าจึงถือโอกาสกระซิบถามเจ้าด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน
“เจ้า...ไม่อยากหลับนอนกับข้ารึ?” ดวงตากลมใสของเจ้าช้อนมองมาที่ข้าด้วยแววตาเอียงอาย
“.......ไม่ใช่ว่าไม่อยาก...แต่ว่า!
ผม...ไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นแค่เพียงเพราะจะลบรอยอักขระบนหลังออกไปเท่านั้นหรอกนะครับ...”
“ข้ารู้...ว่าเจ้าทำเพราะรักข้า”
“อ๊ะ...” เจ้าอุทานเบาๆ
จริงสิ
ถึงหัวใจจะล่วงรู้ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร แต่ข้ากับเจ้าก็ยังไม่เคยเอ่ยคำนี้ออกมาให้อีกฝ่ายได้ยินเลยสักครั้ง
ถ้าเช่นนั้น...
“ข้าเอง...ก็ทำเพราะรักเจ้าเช่นกัน”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
อห.
อย่าหาว่าไรท์ใจร้ายเลยนาคะที่ตัดจบแบบนี้ ตอนหน้านี่ต้องขอเวลาเบยยยยย
อยากให้มันนัว กร๊ากๆๆๆ // น้องมิ หนีไปยยยย
วันก่อนบังเอิญเปิดเจอเพลง
Kizuna เวอร์ชั่นของ ANCHOR มาค่ะ อุแง๊
เวอร์นี้ก็เพราะแหะ แปะลิ้งค์แนะนำ
หรือใครอยากลองฟังเวอร์ออริจินัลของ
Orange
Range ก็ตามลิ้งค์นี้ค่ะ ต้นฉบับนี่คือที่สุดแระเพลงนี้
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น