Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 12

  Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato]  ยักษ์ : 12

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au

: Fujiwara Shu x Narumiya Minato

: Romance Dark Fantasy

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ      

  

 

 

[Content Warning] อาจมีฉากที่ทำร้ายจิตใจ การใช้ความรุนแรงในครอบครัว การทำร้ายร่างกายเด็กและสตรี  โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและไม่ควรทำตามเป็นเยี่ยงอย่าง

 

 

เด็กสาวคนนั้นกลับไปแล้ว...

 

กลับไปพร้อมความคลางแคลงใจซึ่งถูกทิ้งไว้ที่นี่

 

ร่างโปร่งบางนั่งอยู่ที่ชานเรือนแต่กระจิตกระใจกลับไม่ได้อยู่ตรงนี้ มือบางลูบหัวเจ้าแมวปีศาจที่นอนอยู่บนตักพลางครุ่นคิดถึงรอยแผลตามเนื้อตัวของเด็กผู้หญิงคนนั้น

 

ครุ่นคิดถึงใบหน้าซูบเซียวที่เต็มไปด้วยความทรมาน ครุ่นคิดถึงความรู้สึกผิดที่พรั่งพรูออกมา มันบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ตัดสินใจเช่นนี้...

 

อะไรกันที่ทำให้เด็กสาวสุดจะทนจนกล้าเอ่ยปากขอเรื่องน่ากลัวพรรณนั้นต่อยักษ์...ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ

 

หงืดดด...

 

เสียงครางในลำคอไม่ได้ดังมาจากเจ้าเหมียวตัวโปร่งใส แต่มาจากเจ้าตัวที่เพิ่งมาใหม่และมันก็เรียกให้เขาหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเอง

 

“เจ้าดำ?”   เจ้าดำที่หายไปไหนมาหลายวันหอบแฮ่กๆเหมือนหมานั่งอยู่บนพื้นดินข้างหน้า สงสัยจะไปทำงานให้ชูซังมา?

 

ในปากของมันคาบอะไรบางอย่างอยู่และมันก็ตั้งใจเอามาให้เขาดู อยากให้เขาชมมันงั้นเหรอ?

 

แล้วพอเขาจ้องมองไปยังสิ่งของในปากที่มันระริกระรี้อยากจะเอามาให้เขานัก ร่างทั้งร่างก็ถึงกับผวายกแข้งยกขาหนีแทบไม่ทัน

 

“เหวอ?! ไปเอาแขนใครมาเนี่ย?!! เจ้าดำ! คายออกมา มันสกปรก!

 

แผละ...

 

แล้วมันก็คายออกมาให้จริงๆ โอยยยย ตายๆๆ ถึงเขาจะกลายเป็นยักษ์ไปแล้วแต่อย่าลืมสิว่าเมื่อเดือนก่อนเขายังเป็นมนุษย์อยู่นะ ไม่ใช่ว่าจะทำใจให้ชินกับภาพสยองขวัญแบบนี้ได้ทันทีเสียเมื่อไหร่...

 

“ฮึ...”    ดวงตากลมใสตวัดไปมองเจ้าของเสียงหัวเราะที่ยืนพิงเสาระเบียงอยู่ไม่ไกล

 

“ชูซัง หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้เลยนะครับ...คุณสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหมานี่มาแกล้งผมใช่ไหม?”    เขามองอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ

 

“เปล่าสักหน่อย เจ้าดำมันชอบเจ้า มันก็เลยพยายามเอาใจด้วยการหาของอร่อยๆมาให้เจ้ากิน”    ใบหน้าหล่อเหลายิ้มหยอกเย้าก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ

 

“ผมไม่กินแขนคนหรอกนะครับ บอกมันด้วย”   เขามองแขนชุ่มน้ำลายข้างนั้นอย่างหวาดๆ ก่อนจะต้องถอนหายใจเมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าราวกับหมาใหญ่ดีใจของเจ้าภูตผีนั่น

 

ให้ตายเถอะ...บรรยากาศของบ้านแสนสุขที่มีคู่รักหนึ่งคู่(ที่เป็นยักษ์) แมวหนึ่งตัว(ที่เป็นปีศาจ) กับหมาอีกหนึ่งตัว(ที่เป็นภูตผี)นี่มันอะไรกัน?

 

มือบางยื่นไปลูบหัวหยุกหยุยสีดำของมันเบาๆ เอาเถอะ ถึงจะดูแปลกประหลาดไปบ้างแต่บ้านแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน

 

จะว่าไปมือผอมแห้งข้างนั้นมันก็ดูคุ้นตาเขายังไงชอบกล? แหวนที่สวมอยู่บนนิ้วชี้นั่นก็เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน? ใบหน้ามนได้แต่เอียงคอมองอย่างสงสัย

 

ส่วนดวงตาสีม่วงกลับมองแขนข้างนั้นอย่างเฉยชา...มันคือแขนของเจ้าเด็กที่มาขโมยธนูของมินาโตะ เด็กอกตัญญูที่กล้าทำร้ายคนที่ยอมใช้ทั้งชีวิตของตัวเองช่วยมันมา

 

ข้าให้เจ้าดำตามหลอกหลอนมันร่วมสองอาทิตย์ เอาให้มันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป แล้วค่อยฆ่ามันอย่างโหดร้ายทารุณที่สุด

 

แต่เจ้า...ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่ามันตายยังไง

 

มือใหญ่ยกขึ้นกางไปข้างหน้า ชั่วพริบตาแขนข้างนั้นก็ค่อยๆสลายกลายเป็นเถ้าธุลีสีดำแล้วปลิวหายไปกับสายลม...

 

ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองใบหน้ามนด้วยสายตาอ่อนโยน

 

“เจ้ายังติดใจเรื่องของเด็กผู้หญิงที่มาขอพรจากยักษ์นั่นอยู่อีกรึ?”    เสียงทุ้มพูดออกไปหลังจากยืนมองใบหน้าที่ยุ่งเป็นปมไหมพรมของเจ้ามาพักใหญ่

 

“ครับ...เธอน่าจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายจนสุดจะทนแล้วไม่ใช่เหรอครับ ถึงได้เคียดแค้นและดูสิ้นหวังจนต้องมาขอร้องยักษ์อย่างพวกเรา...”

 

“ถ้างั้นก็ไปดูกันไหมล่ะ?”    แล้วสิ่งที่ข้าพูดออกไปก็ราวกับไปจุดประกายให้กับใบหน้าหม่นหมองของเจ้า

 

“เอ๋? ไปได้ด้วยเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าต้องให้ทางนั้นเข้ามาในอาณาเขตของชูซังเองหรอกเหรอ?”

 

“ข้าจะสร้างอาณาเขตที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ มาสิ แล้วข้าจะทำให้เจ้าดู”

 

“ครับ”    ใบหน้ามนยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายที่จะได้ช่วยมนุษย์

 

เพราะความใจดีของเจ้าทำให้ข้าค่อยๆเปลี่ยนไป  หากเป็นเมื่อก่อนข้าคงนิ่งเฉยดูดายไม่แยแสเรื่องพวกนี้ คงไม่คิดจะตามไปดู ไม่คิดจะอยากช่วยเหลือมนุษย์

 

แต่ก็นั่นแหละ ไม่เคยมีใครมาขอพรจากยักษ์อย่างข้าเสียด้วย

 

ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนก่อนจะแบมือเพื่อให้มือบางจับลงมา

 

“จะทำอะไรครับ?”    แต่เจ้ากลับถามอย่างสงสัย

 

“ก็จะหายตัวไปไง?”   ข้าก็มองกลับอย่างสงสัยเช่นกัน

 

“ไม่ได้สิครับ เราต้องรักษาวิถีของมนุษย์เอาไว้สิ เราจะไปแบบมนุษย์กันครับ!    ดวงตากลมใสเปล่งประกายวิบวับ...ดูสนุกนะเจ้าเนี่ย...

 

 

 

 

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ข้าสงสัย...ว่าวิถีแบบมนุษย์ยุคเฮอันที่ต้องเดินข้ามเขาเป็นลูกๆของเจ้านี่มันน่ารักษาเอาไว้ยังไง?

 

 

 

 

ร่างสูงสง่าเดินทอดน่องตามร่างโปร่งบางไปอย่างตามใจ เอาเถอะ สำหรับข้า...ขอแค่เจ้ามีความสุขก็พอแล้ว อยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถอะ ยังไงก็เป็นยักษ์ผู้ว่างงานกันทั้งคู่อยู่แล้ว

 

“บ้านของเด็กคนนั้นอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”   ร่างโปร่งในยูกาตะสีขาวมีลวดลายราวกับคลื่นน้ำสีครามพาดผ่านเอี้ยวตัวมาถามหลังจากที่เดินจนใกล้จะถึงถนนใหญ่ เขาคู่เล็กๆบนหน้าผากถูกอำพรางไว้ทำให้มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น

 

“ฟุคุอิ”   ดวงตาสีม่วงหลุบต่ำก่อนจะตอบออกไป ข้ารู้ได้จากไออสูรรุนแรงของข้าที่ติดตัวเด็กคนนั้นไป เพราะไออสูรที่ลอยคลุ้งอยู่ในศาลเจ้ายาตะตอนนี้เข้มข้นมากและมันจะติดตัวคนที่ผ่านเข้ามาไปอีกพักใหญ่เลยกว่าจะจางหาย

 

แต่การที่มีเพียงไออสูรเท่านั้นที่ติดตัวเด็กคนนั้นไปก็แสดงว่าเด็กนั่นไม่เคยทำความชั่วมาก่อน ไม่เช่นนั้นคงโดนเครื่องหมายของยักษ์ตีตราไปแล้ว

 

“แล้ว...เมืองฟุคุอินี่มันอยู่ตรงไหนในญี่ปุ่นกันนะครับ?”   ใบหน้าทั้งสองต่างหันมองกันโดยมิได้นัดหมาย สายตาที่ว่างเปล่าทั้งสองคู่นั้นบ่งบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี...ว่าไม่รู้เลยสักนิดว่าเมืองฟุคุอิที่ว่านั่น...มันต้องไปยังไง?

 

 

จนแล้วจนรอด... ร่างในยูกาตะทั้งสองร่างก็มายืนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อร้านเดิมที่เคยมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ที่นี่กลายเป็นที่พึ่งทางโลกของพวกเขาไปแล้ว...

 

 

“มีอะไรให้ช่วยดีครับวันนี้?”    พนักงานยิ้มขำอย่างจำได้เมื่อเห็นหน้าพวกเขาทั้งคู่ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะจดจำพวกเขาในฐานะคุณลูกค้าผู้เป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ที่ไม่เข้าใจการใช้ชีวิตแบบสามัญชน มากกว่าจะจำได้ว่าพวกเขาเป็นยักษ์ที่ออกทีวีมาแล้วทั่วโลกตนนั้น

 

“ขอโทษที่ต้องรบกวนนะครับ แต่คุณพอจะทราบไหมว่าถ้าจะไปเมืองฟุคุอิต้องไปยังไง?”    พนักงานอมยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะพยักหน้าให้

 

“ครับ เดี๋ยวผมดูให้นะครับ”   แล้วเด็กหนุ่มก็เดินกลับเข้าไปในห้องพักพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งออกมาเปิดหาให้

 

“คุณลูกค้านั่งรถบัสจากสถานีตรงนั้น แล้วค่อยไปต่อรถไฟจากในเมืองอีกทีนะครับ”     ด้วยความที่เป็นเมืองในป่าในเขาทำให้ที่นี่ยังไม่มีรถไฟเข้าถึงจึงต้องนั่งรถบัสออกไปต่อหนึ่งก่อน

 

“เดี๋ยวผมจดชื่อสถานีให้นะครับ”   คุณพนักงานใจดีจดวิธีการขึ้นรถบัสและรถไฟใส่กระดาษให้อย่างละเอียดยิบ คงจะกลัวว่าพวกเขาจะไปเดินหลงๆงงๆอยู่ที่ไหน ซึ่งเขาก็อยากจะบอกอีกฝ่ายให้วางใจไม่ต้องห่วง

 

เพราะหลงแน่ ...ฮะๆๆ

 

“ขอบคุณมากนะครับ ช่วยได้มากเลย”    มือบางรับกระดาษมาก่อนจะโค้งขอบคุณ

 

“เดี๋ยวผมสวดมนต์ขอพรให้เทพเจ้าคุ้มครองแทนคำขอบคุณให้นะครับ”    แล้วมือบางก็ยกขึ้นพนมพร้อมกับหลับตาสวดภาวนาให้มันตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย

 

พนักงานหนุ่มได้แต่ยกมือพนมรับอย่างงงๆเพราะเพิ่งเคยได้รับคำขอบคุณที่ไม่เหมือนใครขนาดนี้เป็นครั้งแรก แต่ด้วยความที่เป็นคนนอบน้อมจิตใจดีจึงไม่ดูแคลนและขบขันกับสิ่งที่ร่างโปร่งบางทำให้ เด็กหนุ่มก้มหน้ารับราวกับได้พรจากผู้ใหญ่จริงๆ

 

และนั่นก็ทำให้ร่างในยูกาตะสีดำไม่อยู่เฉย...ในเมื่อเจ้าทำดีกับมินาโตะ ข้าก็จะทำดีกับเจ้า

 

ดวงตาสีม่วงจับจ้องไปยังเบื้องหลังของเด็กหนุ่มพนักงานร้านสะดวกซื้อ ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับโดยไม่เปล่งเสียงออกมา

 

“ไสหัวไปซะ”   

 

แต่แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะไล่ภูตผีชั้นต่ำที่ตามเกาะติดเด็กหนุ่มอยู่ให้วิ่งแจ้นหนีไป ถึงในสายตาของมนุษย์ข้าจะดูเป็นคนธรรมดาๆ แต่ในสายตาของปีศาจแล้วก็ยังคงเห็นข้ามีเงาดำทะมึนของหน้ากากยักษ์อันอัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลลอยอยู่เบื้องหลัง

 

ไหล่ที่เคยหนักอึ้งของเด็กหนุ่มเบาลงในทันที

 

พรอันใสสะอาดจากปากของมินาโตะก็ตรงเข้าครอบคลุมไปทั่วร่างและมันจะช่วยปกป้องคุ้มครองเด็กหนุ่มจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายพวกนั้น

 

เด็กหนุ่มมองตามพวกข้าที่ก้าวขาออกจากร้านอย่างทึ่งๆ   “ขอบคุณมากนะครับ คราวหน้าเชิญใหม่นะครับ”   แล้วเสียงตะโกนก็ดังอยู่ข้างหลัง

 

 

 

 

 

การขึ้นรถบัสของมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าข้าและมินาโตะจะเข้าใจก็ต้องอาศัยคุณลุงคนขับยืนอธิบายอยู่นานสองนาน โชคดีที่สถานีที่ขึ้นนั้นเป็นต้นทางและรถบัสก็ว่างโล่ง ชายชราจึงมีเวลาถมเถที่จะพูดคุยกับพวกเรา

 

วิวทิวทัศน์ที่วิ่งผ่านสายตาอย่างสม่ำเสมอนั้นกลายเป็นยานอนหลับชั้นดีและตอนนี้ดวงตาสีเขียวที่เคยกลมโตก็ค่อยๆหรี่ปรือขึ้นเรื่อยๆ เจ้ายังคงเป็นยักษ์เด็กเล็กที่ทนต่อความง่วงไม่ได้เหมือนเคย เพราะฉะนั้นข้าจึงเพียงอมยิ้มยามที่เห็นเจ้าเริ่มสัปหงกและหัวสีดำก็เอนไปมา

 

แล้วก่อนที่มันจะโงนเงนเอนไปกระแทกกับกระจกหน้าต่าง มือของข้าก็เอื้อมไปขวางเอาไว้ได้พอดี...

 

เฮ้อ...แบบนี้มันอันตรายนะ

 

มือใหญ่จึงค่อยๆจับหัวสีดำอย่างแผ่วเบา ประคองให้มันเอนมาซบไหล่ของข้าแทน

 

ดวงตาสีม่วงเหลือบมองใบหน้าหลับปุ๋ยที่อยู่ใกล้แสนใกล้อย่างเอ็นดู...ค่อยๆไปแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน เพราะการได้ใช้ชีวิตธรรมดาๆอยู่กับเจ้าคือสิ่งเดียวที่ข้าปรารถนา ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจล้นฟ้า ไม่จำเป็นต้องมีใครมาก้มหัวคาราวะ

 

สำหรับข้า...ขอแค่มีเจ้าซบอยู่ที่ไหล่แบบนี้ตลอดไปก็พอ

 

 

 

 

หลังจากนั่งรถบัสมาได้ชั่วโมงกว่า หลังจากมายืนมึนงงอยู่ที่สถานีรถไฟ หลังจากไม้กั้นประตูร้องอยู่หลายที หลังจากที่พนักงานต้องวิ่งเอาตั๋วที่ลืมดึงออกมามาให้ หลังจากขึ้นผิดขบวนจนต้องวกกลับมาใหม่ หลังจากผ่านไปอีกสองชั่วโมงในรถไฟ...

 

ในที่สุด! ก็มาถึงเมืองฟุคุอิจนได้~~

 

ถ้าไม่ใช่ยักษ์ที่ว่างงานคงทำแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ใบหน้ามนยิ้มอย่างภาคภูมิใจในตัวเอง

 

ร่างทั้งสองเดินต่อไปโดยใช้ไออสูรนำทาง จากความพลุกพล่านของย่านร้านค้าค่อยๆสงบลงเมื่อเข้าสู่ย่านพักอาศัย ใบหน้าหล่อเหลาหันซ้ายแลขวาทำให้เสียงนุ่มถามออกไป

 

“เจอตัวแล้วเหรอครับ?”

 

“อยู่ใกล้ๆนี่แหละ”   แล้วทันใดนั้นประตูของร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกลก็เปิดออก เด็กสาวคุ้นหน้าคุ้นตาก้าวขาเดินออกมา นั่นมันคนที่พวกเขากำลังตามหานี่!

 

ร่างทั้งสองจึงเดินตามเด็กสาวไป ดูจากชุดนักเรียนที่สวมใส่อยู่เด็กสาวน่าจะเพิ่งกลับจากโรงเรียน

 

ท่าทางของเด็กสาวเหมือนคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ความทุกข์ระทมทำให้จมปลักอยู่กับตัวเองจนไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขาสองคนเลย สีหน้าของเด็กสาวก็อิดโรยเหมือนคนถูกผีร้ายตามรังควาญ แต่มันจะเป็นผีร้ายไปได้อย่างไรในเมื่อพวกเขาทั้งสองคนมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้เลยว่ามีภูตผีหรือวิญญาณอะไรตามเด็กสาวอยู่? ถ้ามีสิ่งลี้ลับพวกนั้นอย่างน้อยชูซังก็ต้องเห็นแล้ว

 

แต่นี่ไม่มี...ไม่มีอะไรเลย?

 

ในที่สุดขาทั้งสามคู่ก็มาหยุดลงที่หน้าอพาทเม้นต์เก่าโทรมแห่งหนึ่ง มันเป็นตึกสองชั้นง่ายๆที่มีระเบียงทางเดินอยู่หน้าห้อง ทุกอย่างดูเก่าไปหมดไม่ว่าจะเป็นประตูเหล็กที่เต็มไปด้วยริ้วรอยขูดขีด ผนังก็สีลอกและมีรอยคล้ำจากการใช้งานมาอย่างยาวนาน กระจกของหน้าต่างบานเกล็ดก็ขุ่นมัวจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร พื้นก็เก่ามากและเป็นเพียงแค่ปูนเปลือยเท่านั้นเพราะกระเบื้องยางต่างลอกร่อนไปหมด เห็นสภาพความเป็นอยู่ของเด็กสาวแล้วก็อดที่จะรู้สึกอดสูไม่ได้

 

แล้วพวกเขาก็แทบไม่ต้องหาเลยว่าเด็กสาวคนนั้นอาศัยอยู่ในห้องไหน ใบหน้าอิดโรยเงยมองไปที่ห้องๆหนึ่งบนชั้นสองก่อนที่จู่ๆดวงตาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นชายคนหนึ่งเปิดประตูโครมแล้วเดินโซเซเข้าไป

 

จากที่ยืนถอนหายใจอยู่ดีๆเด็กสาวกลับมีท่าทีตื่นตระหนกแล้วรีบวิ่งพรวดพราดขึ้นบันไดเหล็กสนิมเขรอะของอพาทเม้นต์ไป ดูเหมือนกำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลย?

 

แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ มีเสียงทะเลาะด่าทอดังลั่นออกมาจากห้องๆนั้น ใบหน้ามนจึงหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มมาพยักหน้าให้เขา

 

มือใหญ่โอบรอบเอวบางแล้วจากร่างของมนุษย์ธรรมดาก็หายแวบไปในพริบตา พวกเขามายืนอยู่กลางอากาศด้วยร่างที่อำพรางไว้ ยืนอยู่นอกหน้าต่างห้องของเด็กสาวคนนั้น

 

แล้วภาพที่เกิดขึ้นในห้องก็ทำให้ดวงตากลมโตถึงกับตื่นตะลึง

 

 

 

“หยุดนะ! จะทำอะไร?!    หญิงสาวคนหนึ่งกำลังพยายามดึงรั้งแขนของผู้ชายคนเมื่อกี้ ก่อนที่มือซึ่งกำลังคุ้ยหาอะไรบางอย่างในลิ้นชักจะหันกลับมาคว้ากระชากเส้นผมยาวของหญิงสาวแทน

 

“มึงเอาเงินไปซ่อนไว้ไหน?! เอามาให้กูเดี๋ยวนี้!    ผู้ชายที่ดูเมามายคนนั้นจิกหัวของหญิงสาวก่อนจะตะคอกใส่ ข้าวของในบ้านรกรุงรังอย่างไม่ใช่ว่าเจ้าของบ้านจะเป็นคนไร้ระเบียบ แต่น่าจะเป็นเพราะมันเพิ่งถูกรื้อค้นจนกระจุยกระจายมากกว่า

 

“ไม่มีแล้ว! ปล่อย!    ผู้หญิงที่ผอมแห้งคนนั้นพยายามแกะมือที่กระชากเส้นผมของตัวเองออก บนใบหน้าของเธอมีรอยฟกช้ำอยู่หลายจุด

 

“กูรู้ว่ามึงไปทำงานที่ร้านอาหารนั่นมา เอาเงินมาซะถ้าไม่อยากเจ็บตัว!   แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังใช้กำลังและขู่กรรโชกเสียงดัง

 

“แค่จ่ายค่าเช่าบ้านก็หมดแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ!    ทั้งสองคนยื้อยุดกันไปมาจนเสียงดังตึงตัง ข้าวของถูกชนล้มโครมคราม

 

“อย่ามาตอแหล! เอามา!   ผลั๊วะ!

 

“โอ๊ย!   ผู้ชายคนนั้นตบหน้าหญิงสาวด้วยความโมโหจนร่างผอมแห้งถึงกับปลิวตามแรงไปกองอยู่ที่พื้น แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังตามไปกระทืบซ้ำจนหญิงสาวต้องคุดคู้ตัวงอ

 

“หยุดนะ! อย่าตีแม่นะ!   เสียงตะโกนดังมาจากเด็กสาวที่รีบวิ่งถลาเข้ามาปกป้องผู้หญิงคนนั้น หรือว่านั่นจะเป็นพ่อกับแม่ของเธอ?

 

“ยูโกะ อย่าเข้ามา!   หญิงสาวพยายามผลักไสก่อนจะรีบดันเด็กสาวให้หลบไป ส่วนผู้ชายคนนั้นก็ยังทั้งเตะทั้งทุบไม่ยั้ง แล้วพอหันมาเห็นเด็กสาว มือหยาบก็ตรงเข้าไปกระชากแขนจนร่างในชุดนักเรียนถึงกับเซ

 

“แกมาก็ดี แกเองก็ไปทำงานที่ร้านหน้าสถานีมาใช่ไหม? ก็ควรจะให้เงินพ่อบังเกิดเกล้าบ้างสิวะ”   มือหยาบบีบไหล่บางแน่นก่อนจะหันมารีดไถเงินจากลูกสาวแทน

 

“นั่นมันเงินค่าเทอมของหนู! ถ้าไม่มีปัญญาหามาจ่ายให้ก็อย่ามาเอาของหนูกับแม่สิ!   เด็กสาวตะโกนใส่หน้าอย่าเหลืออดทำให้คนที่ได้ชื่อว่าพ่อยิ่งโมโหเดือดดาลเข้าไปใหญ่

 

“นังเด็กอกตัญญู! แกเองก็อยากโดนเหมือนแม่แกใช่ไหม? กูบอกให้เอาเงินมา!   มือหยาบกระชากคอเสื้อเด็กสาวก่อนจะเหวี่ยงไปชนโต๊ะจนเด็กสาวถึงกับต้องกุมสีข้าง ผู้ชายคนนั้นตรงเข้าไปคว้ากระเป๋านักเรียนของเด็กสาวก่อนจะเอามาเทพรวดจนของข้างในหล่นลงมากองกับพื้น หนังสือเรียน สมุด ปากกาเกลื่อนกระจายเต็มไปหมด

 

“ไม่นะ!   เด็กสาวเองก็เข้าไปยื้อแย่งกระเป๋าของตัวเองคืนจึงยิ่งทำให้โทสะเพิ่มเป็นเท่าตัว หลังมือหยาบจึงซัดเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กสาวจนล้มลง

 

“อุก...โอย...”   เด็กสาวได้แต่มองคนที่กำลังรื้อค้นกระเป๋าของตัวเองอย่างแค้นเคือง

 

“อยู่ไหนวะ?! กูบอกให้เอามาไง!    เสียงขู่กรรโชกยังดังโวยวายเมื่อหาไม่เจอ กลิ่นเหล้าที่หึ่งมาถึงตรงนี้ก็ทำให้พอจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้จะเอาเงินที่สองแม่ลูกหามาอย่างยากลำบากนั้นไปทำอะไร ทั้งสองคนจึงไม่ยอม

 

แล้วยิ่งไม่ยอมผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งโมโห ยิ่งโมโหก็ยิ่งลงไม้ลงมือทุบตีผู้หญิงทั้งสองคน

 

“หยุดนะ! อย่าทำลูก! ยูโกะหลบไปสิ!   ถึงหญิงสาวจะช่วยกันแต่เรี่ยวแรงจะไปสู้ผู้ชายได้ยังไง ยิ่งอีกฝ่ายเมามายไม่มีสติแบบนี้ก็ยิ่งมีแต่จะโดนทำร้าย

 

“แม่!   เด็กสาวพยายามดึงรั้งแขนผู้ชายคนนั้นเอาไว้ไม่ให้ทุบตีแม่ของตัวเอง แต่ก็กลายเป็นฝ่ายถูกตบตีเสียเอง

 

“หยุดนะ! ยูโกะมานี่!   หญิงสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักชายคนนั้นออกไปก่อนจะรีบดึงลูกสาวเข้าไปในห้องนอนแล้วรีบล็อคประตู

 

“ออกมานะโว้ย! มึงคิดว่าจะหลบอยู่ในนั้นได้เหรอวะ?! นังสารเลวพวกนี้!   ทั้งฝ่ามือฝ่าเท้าประเคนลงไปบนบานไม้ที่ดูไม่ได้แข็งแรงอะไรเลย คนข้างในได้แต่ยืนกอดกันตัวสั่น น้ำหูน้ำตาไหลลงมา ร่างกายก็เต็มไปด้วยรอยแผลที่ถูกทำร้าย

 

“ออกมา! กูบอกให้ออกมา!   มือหยาบยังคงทุบประตูปังๆไม่หยุด

 

“โธ่โว้ย! มึงอยู่ในนั้นได้ก็อยู่ไป กูจะคอยดู!   ผู้ชายคนนั้นตะโกนใส่ประตูอยู่นานจนในที่สุดก็หมดความอดทนแล้วหันไปนั่งลงที่โต๊ะเตี้ยซึ่งอยู่กลางห้อง

 

 

 

ภาพการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ร่างโปร่งบางถึงกับตกตะลึง

 

เพราะไม่คิดว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัว เป็นพ่อ...จะทำเรื่องแบบนี้กับลูกและภรรยาของตนได้...

 

ทั้งชีวิตนี้เขาเคยปัดเป่าภูตผีปีศาจวิญญาณแค้นวิญญาณพยาบาทมาก็มาก แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเจอสิ่งที่ยิ่งกว่าความชั่วร้ายแบบนั้นอยู่ในร่างของมนุษย์แบบนี้ นี่มันเลวทรามกว่าพวกภูตผีเสียอีก

 

มือบางที่ยกขึ้นมาปิดปากนั้นสั่นเทาน้อยๆ ดวงตากลมโตก็นิ่งค้าง ร่างทั้งร่างแทบจะแข็งเป็นหินไปแล้ว...นี่มันอะไรกัน...

 

แล้วดูผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้สำนึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเลย ร่างที่เมามายนั่นเอนตัวลงนอนที่พื้นก่อนจะหลับไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น...

 

 

“มนุษย์น่ะ เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดแล้ว เพราะภูตผีปีศาจวิญญาณคำสาปหรือแม้แต่ยักษ์เอง...ก็ล้วนเกิดจากจิตใจของมนุษย์ทั้งสิ้น”

 

 

เสียงทุ้มพูดออกมาในขณะที่ทอดสายตามองกองขยะที่นอนหลับอยู่กลางห้อง มันยังหลับได้ทั้งที่เพิ่งทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นเอาไว้

 

แล้วในขณะที่ร่างโปร่งบางกำลังคิดจนหัวแทบระเบิดว่าจะทำยังไงถึงจะช่วยสองแม่ลูกคู่นั้นได้ เสียงทุ้มก็ดังให้ได้ยิน

 

“เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน”   ใบหน้าหล่อเหลาหันมาบอก เขาสีดำงอกขึ้นมาบนหน้าผากก่อนที่ร่างสูงสง่าจะค่อยๆก้าวเดินช้าๆ

 

ทุกก้าวที่เหยียบย่างไปบนอากาศนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย มันทั้งเย็นยะเยือกทั้งมืดมนจนรู้สึกราวกับมิติกำลังแตกเปรี๊ยะเหมือนน้ำแข็ง

 

ร่างสูงสง่าเดินทะลุผ่านผนังเข้าไป ก่อนจะหยุดยืนอยู่ข้างๆร่างเมามายที่หลับไม่รู้เรื่อง มือใหญ่เรียกสิ่งของบางอย่างออกมาจากความว่างเปล่า

 

 

แล้วหน้ากากยักษ์สีทองก็ถูกวางไว้บนโต๊ะ...

 

 

ก่อนที่ร่างสง่าจะกลับมายืนอยู่ข้างๆร่างโปร่งบาง...เพื่อรอดู...ยามที่ชายคนนั้นตื่นขึ้นมา...

 

ยามที่ร่างยับๆนั่นลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางงัวเงีย

 

ยามที่ดวงตาขุ่นมัวมองเห็นหน้ากากโบราณที่ดูมีค่ามีราคาวางอยู่บนโต๊ะ

 

ยามที่มือหยาบหยิบมันขึ้นมาด้วยความละโมบ

 

 

ยามที่อาณาเขตของยักษ์...เริ่มทำงาน

 

 

ฟึ่บ!

 

แถวของอักขระพุ่งออกไปจากแผ่นหลังกว้างพร้อมกับโซ่กรรมเส้นหนึ่ง

 

ในขณะที่แถวของอักขระหยุดแล้วเรียงตัวกันอย่างรวดเร็ว โซ่กรรมก็พุ่งเข้าใส่ร่างของผู้ชายคนนั้นทันที!

 

ปึ้ง!

 

แถวของอักขระประทับเข้าไปที่แผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นก่อนจะไปปรากฏเป็นรอยจางๆเหมือนดอกฟูจิอยู่บนใบหน้าซีกขวา

 

ผู้ชายที่เลวทรามคนนั้นถูกยักษ์ทำเครื่องหมายเป็นที่เรียบร้อย

 

 

 

“หน้ากากนั่น...คืออาณาเขตเหรอครับ?”    เสียงนุ่มถามออกไปหลังจากที่เห็นทุกอย่าง

 

“ใช่ มันเป็นเหมือนประตูของอาณาเขต หากชายผู้นั้นไม่ละโมบ ไม่หยิบมันขึ้นมา อาณาเขตก็จะยังไม่ทำงาน มันเป็นเหมือนกับด่านสุดท้ายที่เอาไว้วัดใจ แต่ส่วนใหญ่แล้ว มนุษย์ที่มีความชั่วอยู่ในตัวก็ล้วนแต่ไม่ลังเลที่จะหยิบหน้ากากนั่นขึ้นมา ไม่ลังเลที่จะเปิดประตูสู่นรกด้วยตัวเอง”    เสียงทุ้มพูดออกไปอย่างไม่แปลกใจนัก

 

“ผมเอง...ก็ทำแบบนั้นได้ใช่ไหมครับ?”    เขาถามออกไปอย่างเลื่อนลอย ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตด้วยการตั้งมั่นในความดี ต่อให้คนที่ถูกภูตผีตามรังควาญมาจะเป็นคนไม่ดียังไงเขาก็ยังจะช่วย แต่พอมาเห็นสิ่งที่ชายคนนั้นทำกับลูกเมียของตัวเองแล้ว...เสี้ยวหนึ่งในใจเขาก็คิดว่ามันไม่ควรให้อภัยเลยจริงๆ...สงสัยว่าเขาจะกลายเป็นยักษ์ไปเสียแล้ว

 

“ใช่...แต่ว่าเจ้า...ไม่ต้องทำหรอก ขอเพียงเจ้าบอกข้า ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง ปล่อยให้แผ่นหลังของเจ้าว่างเปล่าอยู่แบบนี้เถิด โซ่กรรมพวกนั้นให้มันอยู่แค่บนแผ่นหลังของข้าก็พอ”    สิ่งที่ชูซังพูดมามีแต่จะทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นอย่างซาบซึ้ง จากดวงตาที่มืดมนค่อยๆเปลี่ยนกลับมาเป็นดวงตาที่อบอุ่นอีกครั้ง

 

“ขอบคุณนะครับ...”    ใบหน้ามนหันไปยิ้มให้

 

“กลับกันเลยไหม?”   ท่อนแขนแข็งแรงกอดกระชับเอวบาง ใกล้จะมืดแล้ว ไม่กลับตามวิถีของมนุษย์ก็คงไม่เป็นไร

 

“ครับ”    แล้วแค่ใบหน้ามนพยักให้ ร่างทั้งสองก็หายแว่บไปในทันที

 

ไม่ถึงห้าวิทั้งคู่ก็กลับมายืนอยู่หน้าศาลเจ้ายาตะเรียบร้อย...

 

 

 

 

ถึงจะผ่านมาหลายวันแล้วแต่เรื่องของเด็กสาวก็ยังรบกวนจิตใจของเขาอยู่ เสียงใสจึงเอ่ยลอยๆขึ้นมาในขณะที่นั่งเล่นอยู่ริมบ่อน้ำ

 

“อาจจะดีแล้วหรือเปล่านะ...ที่ผมไม่มีพ่อแม่...เพราะถ้ามีพ่อแบบนั้น ผมคง...”    ดวงตากลมใสทอดมองใบเมเปิลที่เปลี่ยนเป็นสีแดงใบแรกซึ่งร่วงหล่นลงมายังผืนน้ำ

 

“ไม่รู้สิ ข้าเองก็ไม่เคยมีพ่อแม่เหมือนกัน”   เสียงทุ้มเอ่ยออกมาจากร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ

 

“แต่ถ้าผมมีลูก ผมจะไม่ทำกับลูกของผมแบบนั้นเด็ดขาดเลย! จะเลี้ยงด้วยความรัก!    ร่างโปร่งทำหน้าจริงจังอย่างคับแค้นว่าทำไมเด็กสาวที่ควรจะมีชีวิตที่สดใสต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนั้นด้วย

 

“เจ้าอยากมีลูกกับข้ารึ?”

 

“เอ๊ะ?”    มันเปลี่ยนไปเป็นเรื่องนั้นได้ยังไงครับ? เขาอ้าปากค้าง

 

แล้วก็ไอ้หน้าตาประมาณว่า ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วเจ้าจะไปมีลูกกับใครได้? แบบนั้นมันน่าหมั่นไส้มากเลยนะครับ...

 

“ผมจะไปมีลูกกับคุณได้ยังไงกันละครับ ผมเป็นผู้ชายนะ”    ถึงเขาจะไม่เคยไปโรงเรียน ไม่เคยเรียนวิชาพวกสุขศึกษาอะไรแบบนั้น แต่เรื่องพื้นฐานของมนุษย์แค่นี้เขาก็รู้น่า!

 

“ไม่รู้สิ อาจจะมีได้ก็ได้นะ ต้องลองทำดูก่อน”    แต่เจ้ายักษ์เอาแต่ใจตนนี้ก็ยังตอบหน้าตาย

 

“อ่า! ลองทำดูก่อนอะไรเล่า เจ้ายักษ์หน้าไม่อาย”

 

“เจ้าก็เป็นยักษ์นะ”

 

“ไม่พูดด้วยแล้ว!   เขาเป่าลมเข้าไปในแก้มพร้อมกับหันหน้าแดงๆหนี ให้ตายเถอะ ทำไมถึงชอบหยอกเย้าเขาด้วยเรื่องน่าอายแบบนี้กันนะ! เขาเป็นนักบวชผู้บริสุทธิ์มาทั้งชีวิตนะ มีภูมิต้านทานเรื่องแบบนี้เสียที่ไหน

 

“แล้วนี่...พ่อของเด็กคนนั้นจะโดนจัดการเมื่อไหร่เหรอครับ? หรือว่าตอนนี้คุณฆ่าเขาไปแล้ว?”   แล้วไม่ถึงห้านาที คนที่บอกดิบดีว่าไม่อยากคุยด้วยแล้วก็หันกลับมาใหม่

 

“ยังหรอก เห็นแบบนี้แต่การจัดการกับมนุษย์ที่มีเครื่องหมายของข้าก็ต้องมีลำดับก่อนหลัง”   ใบหน้าเฉยชาอธิบาย

 

“ต้องมีคิวด้วยเหรอครับ?”

 

“ใช่ เพราะบนหลังข้ามีโซ่กรรมอยู่เป็นพันเส้น นี่ขนาดว่าอาณาเขตของข้าตั้งอยู่เฉยๆ แต่คนที่ผ่านเข้ามากลับเป็นคนชั่วช้าเสียตั้งมากมายขนาดนี้”

 

“เจ้าก็รู้สึกได้ใช่ไหม? ว่าโซ่กรรมบนแผ่นหลังของเจ้ามันมีชีวิตเป็นของตัวเอง”    ใบหน้ามนพยักรับเบาๆ ตั้งแต่ที่ลืมตาขึ้นมาในฐานะยักษ์ เขาก็เหมือนจะสื่อสารกับอะไรบางอย่างได้ และพวกมัน...อยู่ในตัวเขา

 

“นั่นคือกองทัพของเจ้า คือนักรบของเจ้า คือลูกๆของเจ้า”   ใบหน้าหล่อเหลายิ้มบางๆ

 

“ยิ่งยักษ์ตนนั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่โซ่กรรมก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และบอกเลยว่ามันรับมือยากมาก”

 

“...ก็เหมือน...ลูกชายคนโตที่ยิ่งโตมันก็ยิ่งดื้อกับเจ้า ยิ่งต่อรองกับเจ้ามากกว่าลูกคนอื่น  เหมือน...แม่ทัพที่ยิ่งมีอำนาจก็จะยิ่งคิดก่อกบฎ”

 

“เพราะฉะนั้นจึงต้องเฉลี่ยและกระจายพลังให้ทั้งหมดมีเท่าๆกัน ไม่ให้มีเส้นใดเส้นหนึ่งมีพลังมากกว่า พวกมันถึงจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ”

 

“และการเรียงลำดับในการใช้งานก็เป็นการทำเพื่อการณ์นั้น เพื่อไม่ให้มีเส้นใดเส้นหนึ่งถูกใช้งานมากกว่าเส้นอื่น”

 

“แต่ละเส้นก็มีความชอบและวิธีจัดการกับเหยื่อไม่เหมือนกัน และในท้ายที่สุดมันก็จะกินพลังชีวิตของเหยื่อที่มันจัดการได้ พลังชีวิตพวกนั้นจะทำให้มันแข็งแกร่ง”

 

“แบบนี้นี่เอง”    ใบหน้ามนพยักรับอย่างตื่นตาตื่นใจ

 

“ถึงจะบอกว่าพวกมันจัดการเหยื่อเอง แต่ยังไงเสีย เจ้าก็จะต้องรับรู้ในทุกสิ่งที่พวกมันทำ และเจ้าก็สามารถจัดการเหยื่อแทนพวกมันได้เช่นกัน”

 

“ที่จริงแล้ว...โซ่กรรมพวกนี้คืออาวุธของยักษ์ แต่มันไม่ได้มีไว้ต่อสู้กับสิ่งลี้ลับประเภทอื่น เพราะพวกนั้นอ่อนแอจนไม่จำเป็นต้องใช้มัน”

 

“แต่โซ่กรรมมีเอาไว้สู้กับยักษ์ด้วยกันเองต่างหาก”  

 

 

ยักษ์...ที่เป็นเทพเจ้าแบบข้ากับเจ้า

 

 

“แล้วนี่...ใกล้จะถึงคิวของพ่อเด็กคนนั้นหรือยังครับ เธอจะถูกทำร้ายอีกนานแค่ไหน...”    ใบหน้ามนดูจะเป็นห่วงเด็กสาวคนนั้นมาก

 

“อีกไม่นานหรอก ถ้าเจ้าเป็นห่วงก็ลองไปดูไหม?”   ใบหน้ามนพยักอย่างขอบคุณก่อนจะยื่นมือมาวางบนมือใหญ่

 

ชั่วพริบตาร่างทั้งสองก็มาอยู่ที่หน้าอพาทเม้นต์เก่าโทรมของเด็กสาวจนได้

 

 

 

 

แล้วภาพที่ทั้งสองคนเห็นก็ทำเอาเครียดขมึงขึ้นมาทันที

 

ในห้องๆนั้นยังมีสภาพเละเทะไม่ได้ต่างไปจากวันที่พวกเขาจากไป ไม่สิ มันดูจะเละเทะกว่าเดิมมาก เหมือนข้าวของที่กระจัดกระจายพวกนั้นถูกทุบทำลายด้วย แล้วตอนนี้ก็ยังมีเสียงกรีดร้องดังออกมาไม่ขาด

 

“อย่าเอาไปนะ! ขอร้องละ นี่เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่มีแล้ว ถ้าพี่เอาไปฉันกับลูกก็ไม่มีอะไรจะกินแล้ว!     หญิงสาวผู้เป็นแม่กอดขาของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าพ่อนั่นเอาไว้ เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงจนดูแทบไม่ได้ นี่ถูกทำร้ายหนักถึงขั้นไหนกันในไม่กี่วันที่ผ่านมา?

 

“ก็ไปหาใหม่สิวะ! ถอยไป!   ฝ่าเท้าเตะเข้าที่ชายโครงส่งให้ร่างของหญิงสาวกลิ้งไปกระแทกกับตู้จนแทบสิ้นสติ

 

“แม่!    เด็กสาวที่หน้าตาช้ำเลือดตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาทั้งที่น่าจะเพิ่งโดนซ้อมจนน่วม สองแขนผอมแห้งกอดแม่ของเธอก่อนจะพยายามประคองขึ้นมา น้ำหูน้ำตาไหลเลอะไปหมด เป็นภาพที่ยังไงก็ทำใจดูไม่ได้เลยจริงๆ

 

ขนาดพวกเขาเป็นคนอื่นยังสงสารเด็กสาวขนาดนี้ แต่คนเป็นพ่อกลับทำได้ลงคอแถมยังยัดเงินทั้งหมดลงกระเป๋าแล้วเดินออกไปด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ

 

“.....”    เด็กสาวตวัดสายตามองตามผู้ชายคนนั้นด้วยแววเคียดแค้น

 

เหมือนฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลงไปแล้ว ร่างบอบช้ำไปทั้งตัวลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซด้วยแรงใจจากไฟแค้น มือบวมเป่งเปิดประตูห้องก่อนจะเดินตามผู้ชายคนนั้นออกไป

 

เดินตามพร้อมด้วยสายตาที่จ้องเขม็ง

 

ท่าทางของเด็กสาวทำเอาเขารู้สึกใจไม่ดีเลย จะทำอะไรน่ะ? ไม่ได้นะ จะทำเรื่องไม่ดีไม่ได้นะ รออีกนิดเดียวชูซังก็จะจัดการให้แล้ว จะทำอะไรตอนนี้ไม่ได้นะ!

 

แต่เสียงที่ตะโกนก้องอยู่ในใจเขาก็ส่งไปไม่ถึงเด็กสาว สองขาที่มีแต่รอยถลอกออกวิ่งอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นพ่อของเธอกำลังก้าวขาลงบันได

 

“ตายซะ ไอ้สารเลว!   มือเล็กผลักผู้ชายคนนั้นเต็มแรง!

 

 

“อย่า!!   

 

 

เสียงของมินาโตะตะโกนก้อง แต่ก็ไม่ทันแล้ว

 

โครม!!

 

ร่างของผู้ชายคนนั้นล้มกลิ้งตกลงมาตามขั้นบันไดราวกับลูกโบลลิ่ง

 

มันกระแทกราวฝั่งนู้นทีฝั่งนี้ที กระแทกขั้นบันไดตั้งแต่ขั้นที่14ลงมาจนถึงขั้นล่างสุด ก่อนที่ร่างนั้นจะหยุดแน่นิ่งอยู่บนพื้น...

 

เลือด...ค่อยๆไหลนองออกมาจากหัวที่กระแทกเข้าไปเต็มๆ ท่อนขาก็บิดงอจนกระดูกทิ่มออกมา

 

 

ฟึ่บ!!!

 

 

โซ่กรรมที่วิ่งออกไปพร้อมกับอักขระพุ่งเฉียดใบหน้ามนจนรู้สึกได้...

 

มันวิ่งออกไปจากแผ่นหลังกว้างแล้วพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังเล็กบางของเด็กสาวทันที!

 

ไม่นะ! ไม่ๆๆๆ

 

 

“ไม่!!!

 

 

เสียงใสตะโกนก้องท่ามกลางความตื่นตะลึง ขนาดจะห้ามก็ยังทำไม่ทัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วไปหมด!

 

เด็กสาวที่ลงมือฆ่าพ่อนั้นมีความผิดมหันต์ และมันก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดเครื่องหมายของยักษ์ได้

 

เพราะหน้ากากยักษ์ที่ทิ้งไว้...ยังอยู่ในกระเป๋าที่ผู้ชายคนนั้นสะพายเอาไว้

 

ตรงนี้...ยังมีอาณาเขตของฟูจิวาระ ชูอยู่

 

ปึ้ง!

 

อักขระกระแทกใส่หลังของเด็กสาวก่อนจะหายแวบกลายเป็นดอกฟูจิบนใบหน้า

 

ท่ามกลางดวงตาสีเขียวที่เบิกค้างอย่างทำอะไรไม่ได้เลย...

 

 

เด็กสาวคนนั้น...ก็จะโดนชูซังฆ่างั้นเหรอ...

 

เด็กสาวที่น่าสงสาร เด็กสาวที่ถูกทำร้ายก็กำลังจะต้องตายเพราะเครื่องหมายของยักษ์เช่นเดียวกันงั้นเหรอ...

 

เขา...จะทำยังไงดี...

 

จะช่วยเด็กคนนั้นยังไงดี...

 

 

 

ดวงตากลมโตเหลือบมองใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างๆช้าๆ...

 

ใบหน้าหล่อเหลายังคงมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา และทั้งๆที่ทำได้แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะช่วยเด็กสาวเลยสักนิด อย่างชูซังที่เห็นด้านมืดของมนุษย์มามากกว่าเขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเด็กสาวคิดจะทำอะไร หากเพียงแค่มือใหญ่ข้างนั้นยกขึ้นแล้วบันดาลลมฟ้าห่าฝนหรืออะไรก็ได้เข้าไปขวาง...

 

เด็กสาวก็คงไม่ถูกทำเครื่องหมายแล้ว...

 

 

“คุณนี่มัน...เลือดเย็นจริงๆ”

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be Con.

 

 เอาละสิ...หนูค่อยๆคุยกับพี่ชูเค้าดีๆนาลูก อย่าเพิ่งทะเลาะกัลลล ^ ^a

 

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทมากๆๆนะคะ  เด่วรีบปั่นตอนต่อไปมาให้ค่ะ อย่าปาอะไรใส่ไรท์นะคะ555  แล้วเจอกันตอนหน้าน้า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น