Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 11

  Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato]  ยักษ์ : 11

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au

: Fujiwara Shu x Narumiya Minato

: Romance Dark Fantasy

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ      

  

 

 

 

มวลอากาศสีดำลอยวนอยู่บนใบหน้ามนอย่างรวดเร็ว

 

หน้ากากยักษ์สีทองอันหนึ่งค่อยๆปรากฎขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่าก่อนจะบดบังใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตานั่นเอาไว้

 

นะ นั่นมันท่านนักบวชคนนั้น! ท่านนักบวชกลายเป็นยักษ์ไปแล้ว!”     เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆหมอผีร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนกเพราะยังจำหน้าของคนที่ช่วยชีวิตตนไว้ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ตอนนี้มันจะดูคล้ายกับไม่มีชีวิตหรือจิตใจไปแล้ว

 

“....!!”    หมอผีเอโนมะเองก็อ้าปากค้างไปเช่นกัน ถึงจะไม่คิดว่านักบวชที่ตนฝังกระสุนไว้ที่หัวถึงสามนัดจะมีชีวิตรอดมาได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันอีกในสภาพที่หลอนขนาดนี้

 

เสียงอื้ออึงดังหึ่งขึ้นมาจากฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่ทันที และก่อนที่เสียงเหล่านี้จะสิ้นสุดลง

 

ปึ้ง!

 

ประตูกรุกระดาษสาหน้าห้องก็ปิดเข้าหากันเสียงดังสนั่นทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ทุกคนต่างสะดุ้งโหยงและหันไปมองเป็นตาเดียว

 

ปึ้งๆๆ!

 

ก่อนจะตามมาด้วยหน้าต่างทุกบานของอาคารหลังนั้น มันถูกปิดตายด้วยมือที่มองไม่เห็น

 

จู่ๆความกดอากาศก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ความหนาวเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากอาคารหลังนั้นจนขนแขนของทุกคนลุกชัน

 

หวะ?!!”    ร่างในชุดสูทสีขาวถึงกับผงะล้มถอยหลัง แต่ไม่ใช่เพราะภาพอันน่าอัศจรรย์ของร่างโปร่งบางที่อยู่ในห้อง แต่เป็นเพราะกลุ่มก้อนมวลมหาศาลสีดำที่ปรากฏในพริบตาขึ้นมาขวางระหว่างหมอผีกับประตูบานนั้นต่างหาก

 

จู่ๆควันสีดำมากมายก็พวยพุ่งออกมาจากความว่างเปล่า มันก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นร่างกายที่ดูคล้ายมนุษย์อย่างรวดเร็ว!

 

หมอผีถึงกับถอยครูดไปบนพื้นด้วยปฏิกิริยาอัติโนมัติทำให้คนรอบๆก็ถอยแตกฮือตามไปด้วย ดวงตาที่เคยอวดเบ่งมองค้างอยู่ที่เงาร่างดำมืดตรงหน้า ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปตามสัญชาติญาณ  

 

ถึงจะไม่รู้ว่าเงาสีดำนั่นมันคืออะไร แต่สิ่งเดียวที่สัมผัสได้เลยก็คือเจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นน่ากลัวมาก น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเจอมา และมันกำลังโกรธ!

 

ฟึ่บ!

 

ชั่วพริบตากลุ่มควันอันหนักอึ้งนั้นก็เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดกิโมโนสีขาวมีฮาโอริลวดลายญี่ปุ่นงดงามสีม่วงครามคลุมไหล่อยู่  ใบหน้าที่ดูก็รู้ว่าน่าจะหล่อเหลามากมีหน้ากากยักษ์สีทองที่มือใหญ่ถือเอาไว้บดบังอยู่ 

 

แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง มือที่มีเล็บยาวแหลมคมอีกข้างก็ตวัดใส่กลุ่มผู้บุกรุก ลมที่รุนแรงราวกับพายุโจมตีจนคนกลุ่มนั้นจนล้มกลิ้งถอยห่างออกมาจากเรือนนอนหลังนั้นทันที เสื้อผ้าหน้าตาหัวเหอของทุกคนล้วนดูแทบไม่ได้จากการโจมตีเพียงครั้งเดียวนั่นเริ่มทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนไม่กล้าละสายตาจากร่างสง่างามนั่นเลย

 

นั่นคือยักษ์ที่ว่า?

 

ถึงจิตสังหารที่ร่างนั้นปล่อยออกมาจะทำให้หวาดกลัวจนแทบจะฉี่ราด แต่สิ่งที่ผิดคาดกลับเป็นรูปลักษณ์ที่ต่างไปจากยักษ์ในจินตนาการมาก เพราะชายหนุ่มตรงหน้าดูสูงส่ง ดูหล่อเหลา ดูเหมือนเจ้าชายหรือเชื้อสายของพวกตระกูลเก่าแก่เลยก็ว่าได้

 

ปึ้ง!

 

ประตูกันฝนปิดลงเสียงดังสนั่นราวกับจะบอกว่าอย่าได้คิดจะเข้าไปยุ่งกับคนข้างใน และทำให้คนที่เผลอตกอยู่ในภวังค์เพราะรูปโฉมอันน่าหลงใหลต้องสะดุ้งโหยงและถูกลากกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

 

 

เขาเป็นของข้า”   

 

 

เสียงที่ก้องกังวานดังทั่วฟ้าอย่างไม่รู้ว่าต้นตอของเสียงอยู่ที่ใด แต่ไม่ว่าใครที่ได้ยินต่างตัวก็สั่นงันงกกันเป็นแถบๆ

 

 

เขาเป็นยักษ์เช่นเดียวกับข้า

 

และหากพวกเจ้าสงสัยว่ายักษ์นั้นโหดเหี้ยมเช่นใด ก็จงดูเอาไว้ซะ

 

 

ร่างในฮาโอริสีม่วงครามก้าวขาตาม  ส่วนหมอผีกับเด็กหนุ่มก็ทั้งกระถดกระถอยหนีอย่างลนลานทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ทันทำอะไรด้วยซ้ำ  แต่ละย่างก้าวที่ฝ่าเท้าเปลือยเปล่านั่นเหยียบลงมาเล่นเอาแผ่นดินสะเทือนเหมือนกับจะบอกว่าหมดความอดทนแล้วและจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนในที่นี้มีชีวิตรอดไปได้

 

บรรดานักข่าวและคนที่มาสังเกตการณ์ต่างหวีดร้องและเตรียมจะวิ่งหนี ทว่า หมอผีที่กลัวเสียหน้าก็พยายามจะหยัดกายขึ้นมาเมื่อหนีมาจนถึงกลางลานศาลเจ้าได้

 

ทะ ทุกคนไม่ต้องกลัวครับ! ไม่ต้องวิ่งหนี ไม่มีอะไรน่ากลัวทั้งนั้น!”    ถึงจะพยายามประกาศกร้าวแต่มือไม้ที่ชี้ไปที่ยักษ์ตนนั้นกลับสั่นพั่บๆ

 

มะ ไม่แปลกที่ทุกคนจะกลัวนะครับ เพราะนี่คือยักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา ต้องเป็นคนที่มีพลังแก่กล้าเช่นผมเท่านั้นถึงจะสามารถกำราบมันได้!”    ใบหน้าเหงื่อแตกพลั่กยังอุตส่าห์หันมาพูดใส่กล้อง หมอผีพยายามเรียกความกล้าเพื่อรักษาหน้าตัวเองเอาไว้  

 

โธ่เว้ย~! ใครจะไปคิดวะ ว่ายักษ์นั่นจะมีจริงแถมยังโผล่ออกมาให้เห็นกันกลางวันแสกๆแบบนี้อีก! ปกติเรื่องผีเรื่องลี้ลับนี่มันก็ของหลอกตากันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง! เคยมีรายการที่ไหนถ่ายติดบ้างละเว้ย

 

ทั้งๆที่เขากะว่าจะมาแกล้งท้าพิสูจน์ไปงั้นเพื่อเรียกยอดไลค์เพิ่มชื่อเสียงให้ตัวเอง ไม่ได้คิดเลยว่าไอ้ของแบบนี้มันจะมีจริงๆ ก็ที่ผ่านมาเขาไปปราบผีที่ตึกร้างไหนๆก็ไม่เห็นหัวพวกมันสักตัว ได้แต่ปัดเป่าไปมั่วๆแบบนั้น

 

แล้วนี่มันอะไรกันฟ๊ะ?!

 

มันมีจริงได้ยังไงกันเนี่ย?!

 

หรือจะมีใครจัดฉากแกล้งกันเล่น? ไอ้เด็กเวรนั่นหรือเปล่า? แต่เท่าที่เขาเหลือบมองมัน มันก็ขาแข้งสั่นไปหมดไม่แพ้เขาเลย อีกทั้งรอบๆนี้ก็ดูจะไม่มีที่ให้ซ่อนพวกแอฟเฟคได้เลยด้วย

 

ของจริงแน่เหรอวะ...ยักษ์ของจริงใช่ไหมเนี่ย...

 

อะแฮ่มเอาละ เดี๋ยวผมจะเริ่มพิธีกำราบยักษ์แล้วนะครับ”    มือหยาบยกขึ้นมาในขณะกระแอมกระไอรักษามาดทั้งที่ขานี่สั่นไปหมดแล้ว 

 

ก่อนจะมาเป็นหมอผีเขาเคยเป็นนักเลงปลายแถวมาก่อน ขอบอกเลยว่าในขณะที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับยักษ์ตนนี้อยู่เขารู้สึกแทบไม่ต่างไปจากตอนที่กำลังก้มหัวหมอบกราบอยู่ต่อหน้าหัวหน้าแก๊งยากูซ่าเลย

 

ชิบหายแล้วๆๆ มีแค่คำนี้คำเดียวเลยที่ลอยอยู่เต็มหัว

 

แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ถอยไม่ได้ ชื่อเสียงที่อุตส่าห์ได้มาจากการไปหลอกลวงคนอื่นเอาไว้ได้หายในพริบตาแน่

 

เอาวะ เป็นไงเป็นกัน  ไม่แน่ ไอ้ตัวนี้ก็อาจจะแพ้กระสุนปืนเหมือนไอ้ตัวก่อนหน้านี้ก็ได้

 

มือหยาบจึงยกคันธนูสีขาวขึ้นมาอย่างเก้ๆกังๆ ร่างในสูทสีขาวพยายามแสดงการทำพิธีกรรมแบบอลังการ ทั้งท่าทางที่เล่นใหญ่เกินเบอร์ไปมาก ทั้งเสียงท่องบทสวดที่พยายามดัดแปลงให้ดูพิเศษและเฉพาะตัว

 

 

แต่มันกลับดูน่าขบขันในสายตาของผู้ที่อยู่บนโลกใบนี้มาพันกว่าปี

 

 

ฮ้า! จงหายไปซะเจ้ายักษ์ร้าย!”    แล้วลูกธนูธรรมดาๆก็ถูกยิงออกมา

 

มันไม่มีทั้งแรงทั้งพลังอาคมอะไรทั้งนั้น ขนาดเด็กมัธยมยังยิงได้ดีกว่าเจ้านี่เลย

 

ฟึ่บ!

 

มือใหญ่ปัดธนูลูกดอกนั้นราวกับปัดแมลงวัน แถมยังปัดมันทั้งที่ยังไม่ถึงตัวด้วยซ้ำ ปัดด้วยมือเปล่าๆเพียงข้างเดียวเพราะอีกข้างยังคงจับหน้ากากยักษ์สีทองเอาไว้

 

ฟึ่บ!

 

ลูกธนูยังคงยิงเข้าใส่แต่ร่างสง่างามก็เดินเข้าหาไปปัดลูกธนูพวกนั้นไป กลุ่มก้อนควันสีดำแผ่กระจายอยู่ด้านหลังเป็นเงาขนาดมหึมาดูน่ากลัวมาก มันบ่งบอกว่ายักษ์ตนนั้นกำลังโกรธขนาดไหน

 

ฟึ่บๆๆๆ!

 

หมอผียังคงยิงธนูใส่ยักษ์อย่างต่อเนื่องแต่ลูกธนูก็ถูกปัดออกจนหมด แถมลูกธนูที่ปักเต็มพื้นพวกนั้นยังหักครึ่งทั้งหมดอีกด้วย 

 

หมอผีก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆด้วยร่างกายที่เริ่มสั่นสะท้าน ส่วนชายผู้สวมหน้ากากยักษ์ก็ยังก้าวเข้าหาเรื่อยๆเหมือนความมืดมิดอันชั่วร้ายที่กำลังเข้าคุกคาม หมอผีเริ่มรู้แล้วว่าธนูไม่ได้ผลและบทสวดคาถาก็ทำอะไรยักษ์ตรงหน้าไม่ได้เลย 

 

มือหยาบจึงพยายามหยิบยันต์มาใช้ ทั้งสาดเกลือใส่ ทั้งใช้น้ำมนต์ไล่ แต่ก็ไม่มีอะไรได้ผลเลย ร่างในสูทสีขาวเริ่มกลัวจนตัวสั่น ริมฝีปากเริ่มสบถด่าทอ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วชักปืนออกมา

 

นะ นี่เป็นปืนอาคม! ถ้าแกไม่กลัวก็เข้ามา!”    ปืนไม่ใช่ของที่ถูกกฏหมายในญี่ปุ่น จอมหลอกลวงจึงต้องตะโกนก้องออกไปแบบนั้น

 

ทว่า  ต่อให้ขู่เข็ญขนาดไหนเจ้ายักษ์นั่นก็ยังเดินเข้ามาไม่หยุด จะปล่อยให้มันมาถึงตัวไม่ได้!

 

ปัง!

 

ปลายนิ้วจึงลั่นไกปืนออกไปทำเอารอบกายส่งเสียงกรี๊ดกันยกใหญ่ เป็นไงได้ผลไหมล่ะ

 

ใบหน้าชุ่มเหงื่อแสยะยิ้มได้บ้างเมื่อมองเห็นกระสุนทะลุผ่านหน้าผากของหน้ากากยักษ์สีทองอันนั้น

 

ทว่ามันกลับทะลุผ่านไปเฉยๆโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีแม้แต่เลือดสักหยดหรือเศษสมองที่ควรจะกระจายเลอะพื้น

 

เกร๊ง...

 

มีเพียงหัวกระสุนที่บุบบู้บี้เท่านั้นที่ร่วงอยู่บนพื้น สภาพของมันเหมือนถูกยิงใส่กำแพงเหล็กหนาสามเมตรมาก็ไม่ปาน...นะ นี่มันอะไรกัน?!

 

 

ปัง! ปัง! ปัง!

 

 

ด้วยอารามตกใจ มือหยาบจึงลั่นไกปืนไปอีกจนหมดแม็ก   

 

แฮ่กแฮ่ก…”    ในขณะที่หมอผีหอบหายใจแต่อีกฝ่ายกลับยังเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ไม่ได้สะทกสะท้านใดๆ กระสุนทำอะไรเจ้ายักษ์นั่นไม่ได้สักนิดเลย

 

ไม่เอาแล้วโว้ย!”    ชั่ววินาทีหมอผีก็ตัดสินใจทิ้งทั้งปืนทั้งธนูแล้ววิ่งหนีอย่างไม่สนใจหน้าตาหรืออะไรอีกแล้ว เพราะรู้ว่าหากยังอยู่ตรงนี้คงถูกฆ่าตายแน่! 

 

อ้าว? เฮ้ย?! ท่านหมอผีหนีไปแล้ว!”   และพอคนอื่นๆเห็นหมอผีวิ่งหนีหน้าตั้งก็เริ่มวิ่งแตกกระจายตามๆกัน เกิดเป็นความโกลาหลขนาดใหญ่

 

แต่ร่างสูงสง่าก็ไม่ปล่อยให้หมอผีหนีรอดไปได้

 

 

เพราะเจ้าป็นคนทำร้ายมินาโตะ 

 

 

หมอผีที่กำลังหันหลังวิ่งหนีถูกพลังอะไรบางอย่างดูดกลับไป เลือดสาดกระจายและร่างกายถูกเฉือนกลายเป็นชิ้นๆปลิวกระเด็นไปทั่ว 

 

อ๊ากกกกก!!”    หมอผีกรีดร้องอย่างโหยหวน

 

กรี๊ด?!!”   คนที่มองเห็นก็พากันกรี๊ดและรีบหลบกันจนวงแตก กล้องหลายตัวถูกทิ้งไว้ตามพื้นแต่กล้องอีกหลายตัวก็ยังจับภาพเอาไว้ได้และการถ่ายทอดสดก็ยังดำเนินต่อไป ภาพอันน่าสะพรึงกลัวจึงถูกเผยแพร่ไปทั่วญี่ปุ่นทันที ตอนนี้เหตุการณ์ที่มีแต่คนเคยหัวเราะเยาะว่าเป็นเรื่องไร้สาระกลับถูกพูดถึงในวงกว้างและผู้คนต่างเปิดดูการถ่ายทอดสดกันแทบจะทั้งประเทศแล้ว

 

แต่ภาพนั้นก็ยังสยดสยองไม่พอ หมอผียังไม่ตาย...

 

ร่างกายที่ขาดวิ่นเป็นชิ้นๆนั่นยังพยายามกระถดกระถอยหนีอย่างสิ้นหวังโดยมีชายที่สวมหน้ากากยักษ์ย่างสามขุมเข้าไปหา แม้แต่ปลายเท้าของชายผู้นั้นก็ไม่มีเลือดสาดไปโดนเลยสักหยด

 

ร่างในกิโมโนสีขาวราวกับเทพเจ้าก้มเหยียดมองคนที่เหมือนกองเลือดบนพื้น หน้ากากยักษ์ยังคงสวมทับอยู่บนใบหน้า มือที่ถือมันไว้ราวกับจงใจดูถูกดูแคลน เพราะชายผู้นั้นฆ่าคนโดยใช้เพียงมือข้างเดียวเท่านั้นแถมมันยังไม่เปื้อนเลือดเลยสักนิด

 

นี่คืออรุสาแห่งท้องนภา เป็นยักษ์ที่ก่อกำเนิดมาพร้อมกับโลกใบนี้

 

 

สิ่งที่อยู่บนฟ้าข้าควบคุมได้ทั้งหมด เจ้าอยากเห็นไหม?”

 

 

คำพูดนั้นเอ่ยออกมาราวกับกำลังเล่นสนุก แต่เปล่าเลย ข้าไม่เคยสนุกกับการฆ่า ทว่า ที่ข้าต้องทำให้พวกมันเห็นว่ายักษ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด พวกมันจะได้ไม่กล้าย่างกลายมาที่นี่อีก ไม่กล้ามายุ่งหรือทำร้ายมินาโตะของข้าอีก

 

ฝ่ามือสะอาดสะอ้านข้างนั้นชูขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะวาดไปมา  ถึงสายลมจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ฝุ่นควันที่มันหอบมานั้นก็ทำให้รู้ว่ากำลังมีลมบ้าคลั่งพัดมาทางนี้ มันพัดวนอยู่เหนือมือข้างนั้นก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่ร่างของหมอผี!

 

โครม! 

 

ร่างที่แทบจะแหลกเละนั่นลอยไปกระแทกกับผนังจนเลือดติดเป็นวงกว้างก่อนที่ร่างทั้งร่างจะร่วงลงมากองอยู่บนพื้นไม่ต่างจะผ้าขี้ริ้ว 

 

แต่ถึงกระนั้นหมอผีก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีเสียงร้องโหยหวนขอชีวิตอยู่...

 

ไม่ใช่เพราะยักษ์ตนนั้นไม่สามารถฆ่าหมอผีได้ แต่ยักษ์ตนนั้นจงใจไม่ฆ่าเขาง่ายๆต่างหาก

 

สภาพของหมอผีในตอนนี้ใครเห็นต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ตายๆไปเสียยังจะดีกว่า ทว่า ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทั้งคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ทั้งผู้ชมทางบ้านต่างอึ้งอ้าปากค้างกับภาพอันโหดร้ายนี้กันไปหมดแล้ว

 

แล้วจู่ๆมือใหญ่ที่ชูอยู่เหนือหัวก็เปลี่ยนมายืดไปข้างหน้า 

 

เปรี้ยง!!!

 

ชั่วพริบตาฟ้าก็ผ่าลงมาที่ขาข้างหนึ่งของหมอผีจนมันไหม้ดำเป็นตอตะโก กลิ่นเนื้อที่ถูกย่างสดคลุ้งไปทั่ว

 

อ๊ากกกกกกกกก”     แต่หมอผีก็ยังไม่ตาย

 

คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นตัวสั่นระริก หลายคนฉี่แตกไปแล้วเรียบร้อยกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าขยับตัวเพราะกลัวจะตกเป็นเป้าของยักษ์ตนนั้น

 

ดูก็รู้ว่าเจ้ายักษ์ชั่วช้านั่นจงใจจะเผาแค่ขาของหมอผี นอกจากนี้ยังควบคุมสายฟ้าได้เป็นอย่างดี ถึงสั่งให้มันผ่าแค่ขาข้างเดียวได้

 

ยังมันยังไม่จบเท่านี้

 

มือใหญ่ข้างนั้นยังกางออกเหมือนกำลังควบคุมอากาศที่ว่างเปล่า 

 

อั่ก!”    สองมือของหมอผีตะกายอยู่ที่ลำคอตัวเองตาเหลือกตาปลิ้นเหมือนมีใครกำลังบีบคออยู่ ร่างที่แทบไม่เหลือซากดิ้นรนไปมาอย่างน่าอนาถ

 

แค่ก!”   แต่ไม่นานหมอผีก็ไอจนตัวโยนก่อนจะรีบโกยอากาศเข้าปอด เจ้ายักษ์นั่นต้องการจะสื่อสารว่าแม้แต่อากาศที่เราหายใจมันก็ควบคุมได้

 

มือใหญ่ยังวาดไปมา คราวนี้เมฆดำมืดเคลื่อนมาครอบคลุมทั้งศาลเจ้าในชั่ววินาที แล้วห่าฝนที่ไม่รู้มาจากไหนก็ตกราวกับอั้นไว้เป็นปีๆ เป็นฝนเม็ดใหญ่และเย็นยะเยือก เป็นฝนที่เหมือนไปเอาน้ำทั้งเขื่อนมาสาดลงที่ตรงนี้

 

น้ำฝนชะร่างโชกเลือดให้เลือดยิ่งไหลออกจากร่างหมอผีเร็วยิ่งขึ้นจนบริเวณนั้นเจิงนองไปด้วยน้ำสีแดง

 

แต่แล้วเมฆฝนพวกนั้นก็หายไปเพียงแค่มือใหญ่โบกสะบัดไล่เบาๆ แดดอันแผดเผาฉายลงมาจนน้ำเมื่อกี้ระเหยกลายเป็นไอไปทั่วลานของศาลเจ้า สภาพอากาศวิปริตผิดแผกที่เกิดจากฝ่ามือเพียงข้างเดียวนั้นทำเอาคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ถึงกับเหม่ออย่างสิ้นหวัง บางคนก็ถึงกับทรุดลงนั่งกอดเข่าร้องไห้โฮเพราะคิดว่าตนคงไม่มีชีวิตรอดกลับออกไปอีกแล้ว

 

ยักษ์ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเทพเจ้าตนนี้ใครจะไปต่อกรได้

 

และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งตัวสั่นงันงกหลบอยู่ใต้แท่นพิธีรู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิตขึ้นมาทันทีเพราะคนที่จะสู้กับยักษ์ตนนี้ได้ที่จริงแล้วมี

 

แต่พวกเขาก็เพิ่งจะทำให้นักบวชคนนั้นต้องกลายเป็นยักษ์ไปนั่นเอง

 

ยกโทษให้ผมด้วย ฮือ ได้โปรด~ ให้ผมตาย ฆ่าผมซะเถอะ ได้โปรด”    เสียงอู้อี้นั้นยังดังมาจากใบหน้าจมดินที่เกรอะกรังไปด้วยขี้โคลน หมอผียังไม่ตาย

 

 

ข้าไม่มีโทษใดจะยกให้เจ้า  เจ้าไม่เคยทำอะไรให้ข้าแต่ทำไว้กับคนอื่น”   

 

 

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นแสนจะเย็นชาและไร้ซึ่งความปรานีใดๆ

 

ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมขอโทษที่ทำร้ายท่านนักบวชแล้วแย่งชิงธนูมา ฮึก ฮือๆๆ   หมอผีสารภาพออกมาอย่างหมดเปลือก

 

 

เจ้าจะทำหรือไม่ทำอีกแล้วมันก็เรื่องของเจ้า ข้าหาได้ต้องเข้าไปยุ่งเรื่องของเจ้าไม่ เพราะเรื่องของข้าก็คือฆ่าเจ้าเพียงเท่านั้น ข้าไม่สนเรื่องอื่นอยู่แล้ว

 

 

ถ้างั้นก็รีบๆฆ่าสิวะ! ฮือ เจ็บ! เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”    หมอผีตะโกนอย่างคุ้มคลั่ง สภาพเหมือนกับเสียสติไปแล้ว หมดมาดหมอผีที่ใครต่อใครนับถือไปจนสิ้น

 

 

ทำไมข้าต้องฟังคำสั่งเจ้า?”    

 

 

แต่แล้วจู่ๆมือใหญ่กลับลดลงก่อนที่ร่างในกิโมโนสีขาวจะสะบัดกายเดินกลับเข้าศาลเจ้าไปหน้าตาเฉย ทำเอาทุกคนต่างมองกันตาค้างอย่างงงงวย

 

ฆ่ากู! ฆ่ากูสิ!! อ๊ากกกก”    หมอผีตะโกนก้องอย่างเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะปล่อยตนไว้ให้ทรมานอยู่อย่างนี้ เพราะคงไม่มีใครกล้ากระดิกตัวเข้ามาช่วยแน่ ตอนนี้คนที่ยืนอยู่รอบๆต่างขาแข็งไปกันหมดแล้ว

 

 

จำไว้  ข้าหาได้เห็นใจเจ้าแม้แต่น้อย แต่มินาโตะของข้าจะตื่นขึ้นมาเห็นเศษสวะสกปรกรกเลอะเต็มศาลเจ้าไม่ได้

 

 

แล้วจู่ๆหน้ากากยักษ์สีทองขนาดมหึมาเท่าตึกสามชั้นก็ปรากฎขึ้นมาแทนที่แผ่นหลังที่เดินหายเข้าไปในศาลเจ้า ควันสีดำที่ออกมาจากปากของมันทำให้เกิดอะไรขึ้นบางอย่างบนท้องฟ้า

 

ฉึก!

 

แล้วดาบใสที่สะท้อนเงาของท้องนภาก็เสียบลงมาบนหัวของหมอผีจนทะลุลงไปถึงทรวงอก 

 

“อั่ก!   ใบหน้าเลอะเทอะยิ้มกว้างราวกับได้รับการปลดปล่อย ในที่สุดก็ได้ตายเสียที

 

เลือดที่กระอักออกมาจากปากสาดลงพื้นดินพากลิ่นน่าสะอิดสะเอียนออกมาจนคนที่มองอยู่รอบๆถึงกับอ้วกแตก บางคนล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีไปด้วยปิดปากอ้วกไปด้วย เป็นภาพที่น่าเอน็จอนาถซึ่งเผยแพร่ไปทั่วประเทศญี่ปุ่นกันแบบสดๆ

 

 

รีบไสหัวไปซะ อย่าให้มินาโตะของข้าต้องเห็นสิ่งสกปรกเช่นพวกเจ้า

 

 

แล้วเสียงที่ไม่คาดคิดก็ทำให้คนอื่นๆในที่นั้นถึงกับน้ำตาไหลหลังจากนิ่งอึ้งไปหลายนาที รอดแล้วใช่ไหม

 

โฮ~~”   หลายคนปล่อยโฮอย่างไม่เคยดีใจอะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ต่างก็รีบวิ่งหนีตายออกจากศาลเจ้ากันจ้าละหวั่น เพราะงั้นแค่ไม่ถึงสิบนาทีก็ไม่มีใครเหลืออยู่ที่นี่อีกเลย

 

ยังโชคดีที่ยักษ์ตนนั้นหมายหัวเพียงแค่คนที่เข้าไปก่อกวนอย่างหมอผีคนเดียว คนอื่นจึงรอดชีวิตกลับมาได้

 

หน้ากากยักษ์สีทองสลายหายไปในอากาศ สายลมสีดำพัดปัดเป่าจนทุกอย่างกลายเป็นผุยผง ศพของหมอผีค่อยๆกลายเป็นเถ้าธุลีและแตกกระจายหายไป..

 

ลานหน้าศาลเจ้ากลับมาสะอาดเอี่ยมอีกครั้งราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

 

 

 

 

 

ปึ้ง!

 

มือใหญ่เปิดประตูเลื่อนออกอย่างรีบร้อน ที่ข้าทิ้งการลงโทษเจ้ามนุษย์พวกนั้นมาก็เพราะข้าสัมผัสได้ว่าเจ้ากำลังจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

อันที่จริงก่อนหน้านี้ยังไม่ใช่การตื่นที่แท้จริงของเจ้าหรอกมินาโตะ เพราะเจ้าแค่ถูกรบกวนการนอนจึงตื่นขึ้นมาแบบครึ่งๆกลางๆเท่านั้น

 

เพราะหากเจ้าตื่นขึ้นมาในฐานะยักษ์เต็มตัวแล้วละก็

 

ดวงตาของเจ้าจะไม่ใช่สีทองบนพื้นสีดำ แต่จะเป็นสีเขียวมรกตบนพื้นสีขาวตามปกติ

 

ใบหน้าของเจ้าก็จะไม่ได้ขาวซีดไร้ชีวิตชีวาราวกับตุ๊กตา แต่จะมีสีเลือดฝาดอย่างที่เจ้าเคยมี

 

เจ้าจะแทบไม่ต่างจากตอนที่เป็นมนุษย์เลยยกเว้นเขาสีดำคู่เล็กๆบนหน้าผากของเจ้าเท่านั้น

 

ส่วนดวงตาสีทองบนพื้นสีดำ กับใบหน้าขาวราวกับตุ๊กตานั่น ส่วนใหญ่มันจะปรากฏตอนที่เราใช้พลังของยักษ์และมันก็มักจะอยู่ภายใต้หน้ากาก

 

 

ข้าเองก็เป็นแบบนั้น

 

 

ร่างสูงสง่ายืนอยู่ที่หน้าประตู สายลมพัดซู่แล้วกิโมโนสีขาวก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ จะปล่อยให้มีกลิ่นเลือดติดตัวข้าได้อย่างไร ข้าอยากให้เจ้าตื่นขึ้นมาในอากาศที่บริสุทธิ์สดชื่น

 

ฝ่าเท้าก้าวเข้าไปในห้องด้วยรอยยิ้มบางๆ ใบหน้ามนของคนที่นอนอยู่บนฟูกมีสีเลือดฝาดจางๆแล้วจริงๆ ข้าค่อยๆนั่งลงข้างๆก่อนจะลูบเส้นผมสีดำของเจ้าอย่างอ่อนโยน

 

อื้อ…”    เจ้าส่งเสียงงึมงำออกมาจากริมฝีปาก ข้าจึงเอื้อมมือไปจับมือของเจ้าเอาไว้ คอยเฝ้ามองดวงตากลมโตของเจ้าลืมขึ้นมาช้าๆ ช้าๆ

 

สีของมรกตที่สดใสฉายชัดอยู่ในดวงตาที่สวยงามคู่นั้นดวงตาของเจ้ายังใสสะอาดไม่เปลี่ยนไปเลย

 

ชูซัง…”    เสียงแรกที่เจ้าพูดกับข้าช่างแหบพร่านัก แต่กระนั้นมันก็ทำให้ข้าตื้นตันจนต้องดึงมือของเจ้ามาแนบไว้กับแก้มของข้า

 

น้ำตาเผลอไหลลงไปโดยไม่รู้ตัว

 

คุณร้องไห้…?”    เจ้ายังพูดอะไรไม่ถนัดนัก ข้าจึงเช็ดน้ำตาลวกๆก่อนจะยิ้มให้เจ้า

 

ข้าดีใจที่เจ้าตื่นขึ้นมาที่เจ้ายังอยู่กับข้า ไม่ทิ้งข้าไปข้าดีใจมาก มินาโตะ”    

 

น้ำใสๆเผลอไหลลงไปอีกอย่างห้ามไม่ได้ มือที่แนบอยู่กับแก้มของข้าจึงเกลี่ยไล้น้ำหยดนั้นด้วยปลายนิ้วให้  เจ้ายังอ่อนโยนกับข้าไม่เปลี่ยนไปเลย

 

ผมไม่ไปไหนหรอกครับ”    เจ้าพูดด้วยเสียงแหบแห้ง ข้าจึงยิ่งแนบใบหน้าของตัวเองไว้กับมือของเจ้า ข้าอยากจะดึงเจ้าขึ้นมากอดเหลือเกิน

 

และเมื่อเจ้าทำท่าอยากจะลุกขึ้น ข้าจึงช่วยพยุงร่างกายที่ดูผอมไปถนัดตาของเจ้าขึ้นนั่งช้าๆ

 

น้ำถูกรินจากกา กลิ่นชาหอมกรุ่นจึงฟุ้งไปทั่วห้อง ข้าค่อยๆจับมือน้อยๆของเจ้าให้รับถ้วยชาไว้ช้าๆ ข้าเฝ้ามองชาถ้วยนั้นถูกยกจรดริมฝีปากและรอจนกว่าเจ้าจะปรับตัวให้ชินกับการเพิ่งตื่นจากนิทราอันยาวนาน

 

เจ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่?”    เสียงทุ้มถามออกไปเมื่อมือบางวางถ้วยชาลงบนตัก ดวงตาของเจ้าทอดยาวไปไกล

 

เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าไม่ได้เป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว…”    การจะบอกเจ้าว่า เจ้ากลายเป็นยักษ์เหมือนข้าไปแล้วนั้นช่างเป็นคำพูดที่พูดออกไปได้ยากแสนยากจริงๆ

 

เจ้าจะต้องรู้สึกเช่นใดเล่า จากมนุษย์ จากนักบวชที่แสนบริสุทธิ์กลับต้องกลายเป็นยักษ์ที่ชั่วร้ายในสายตาของคนอื่นๆ เจ้าจะยอมรับได้ไหม เจ้าจะเสียใจหรือเปล่าที่ข้ายัดเยียดชีวิตใหม่ที่เจ้าอาจจะไม่ได้ต้องการให้

 

ข้ากังวลไปหมดและไม่กล้าสบตากับเจ้าเลยจริงๆ

 

ชูซัง มองผมสิ”    แต่กลับเป็นสองมือของเจ้าที่ตรงเข้าประคองสองแก้มของข้าก่อนจะบังคับให้ดวงตาสีม่วงสบกับดวงตากลมใสคู่นั้น

 

ผมรับรู้ทุกอย่างครับ”    แล้วสิ่งที่เจ้าพูดออกมาก็ทำให้ดวงตาของข้าถึงกับเบิกกว้าง

 

เจ้ารู้ทุกอย่าง?”

 

ครับผมรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว รู้ว่าชูซังพยายามมากมายขนาดไหนในการช่วยผมเอาไว้ ผมรู้ว่าคุณสละอะไรไปบ้าง เศร้าโศกเสียใจยังไงบ้าง แล้วก็รู้ด้วยว่าตอนนี้ผมตื่นขึ้นมาในฐานะยักษ์”    ร่างทั้งร่างของข้านิ่งค้างไป จะว่าสมกับที่เป็นเจ้าก็คงจะได้ ภายใต้ดวงวิญญาณบ้าคลั่งที่กำลังจะแตกสลายแต่ก็ยังมีดวงจิตที่แข็งแกร่งดวงหนึ่งเฝ้ามองทุกอย่างอยู่

 

ผมกลายเป็นยักษ์เหมือนชูซังไปแล้ว”    เจ้าไม่ได้ทำหน้าสลดหดหู่แต่กลับยิ้มให้ข้า

 

เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ข้าเบาใจและหายใจออก เพราะนับตั้งแต่วันที่ข้าตัดสินใจจะทำให้เจ้าเป็นยักษ์ ข้าก็ไม่เคยข่มตาหลับอย่างสบายใจได้เลยสักวัน ข้าเอาแต่กังวลว่าเจ้าจะเกลียดข้าที่ทำให้เจ้ากลายเป็นความชั่วร้ายเช่นนี้

 

มินาโตะข้าขอกอดเจ้าได้หรือไม่?”    ข้ามองใบหน้าที่ผงะน้อยๆของเจ้าอย่างเว้าวอน ก่อนที่เจ้าจะค่อยๆพยักหน้าเบาๆอย่างเขินอาย

 

มือใหญ่จึงค่อยๆดึงตัวเจ้าเข้ามากอดอย่างทะนุถนอมเพราะข้ากลัวเหลือเกินว่าเจ้าจะแตกสลายไป  กลายเป็นเจ้าเสียอีกที่หัวเราะเบาๆอยู่ในอ้อมแขนของข้า

 

ใบหน้ามนกดลงที่แผ่นอกของข้าก่อนจะตะแคงซบซุกไซร้ไปมาราวกับว่าคิดถึงพื้นที่ตรงนี้เสียมากมาย เจ้าขยับเกยคางไว้กับไหล่ของข้าก่อนจะเหม่อมองอากาศที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เจ้าทำราวกับได้กลับมายังที่ของเจ้า ที่ที่เจ้าจะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย

 

มือของข้าจับประคองอยู่ที่ต้นคอด้านหลังของเจ้า ข้าเองก็กอดเจ้าไว้ด้วยความอุ่นใจเช่นกัน ขอเพียงมีเจ้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะมอบทุกพื้นที่ของข้าให้เจ้าทั้งหมด ให้เจ้าคนเดียว

 

แล้วเจ้าไม่เสียใจรึที่ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”   เสียงทุ้มถามออกไปทั้งที่ยังสวมกอดกันไม่ปล่อย

 

ผมไม่เสียใจเลยครับ คุณรู้ไหมว่าผมเองก็พยายามที่จะมีชีวิตอยู่กับคุณขนาดหนักเลยเหมือนกัน”    เสียงของเจ้าอู้อี้เพราะตอนนี้ใบหน้ามนกลับมาซุกอยู่ที่อกของข้า ทว่า ข้ากลับได้ยินทุกคำพูดนั้นอย่างชัดเจน

 

มีหลายต่อหลายครั้งที่ดวงวิญญาณของผมเกือบจะแตกสลาย ผมเกือบจะต้องกลายเป็นปีศาจที่ไร้สติไปแล้ว แต่ผมก็พยายามตั้งมั่น พยายามต่อสู้กับจิตใจของตัวเองและคิดอยู่อย่างเดียวเท่านั้นก็คือผมอยากอยู่กับคุณ อยากอยู่กับคุณเท่านั้น ไม่ว่าจะต้องกลายเป็นยักษ์ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ได้อยู่กับคุณก็พอ”   เจ้าเงยหน้าขึ้นมามองข้าก่อนจะยิ้มให้

 

ข้า...ขอบใจเจ้าเหลือเกิน มินาโตะ”   สองมือประคองแก้มใสก่อนจะค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าหา

 

จุมพิตที่แสนคิดถึงถูกมอบให้กับเจ้าแผ่วเบา 

 

ขอบคุณเจ้าเหลือเกินที่พยายามต่อสู้เพื่อที่จะอยู่กับข้า ทั้งข้าทั้งเจ้า...พวกเราต่างก็ดิ้นรนที่จะอยู่ด้วยกัน

 

ข้าหลับตาลงและปล่อยให้ริมฝีปากแตะสัมผัสกันอยู่แบบนั้น

 

ความรัก...มันช่างน่าอัศจรรย์เสียจริงๆ

 

และถึงข้าจะละออกมา ข้าก็ยังสบประสานสายตากับเจ้าอยู่อย่างนั้นจมอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน

 

ผมก็ขอบคุณคุณเช่นกันคุณเจ็บมากไหมตอนที่ต้องกรีดเลือดให้ผมดื่ม เจ็บมากไหมตอนถูกผมกัดกิน ทั้งๆที่ผมรู้ทุกอย่างแต่ผมก็พูดหรือห้ามตัวเองไม่ได้เลย”   คิ้วของเจ้าขมวดเข้าหากันและมันก็ทำให้ข้ายิ้ม เพราะข้าชอบเวลาที่เจ้าเป็นห่วงข้า

 

ข้าไม่เจ็บเลยสักนิด แล้วข้าก็ไม่ได้คิดจะให้เลือดเจ้าฟรีๆด้วย ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง”    ปลายนิ้วยาวแตะปลายจมูกรั้นราวกับนั่นแทนคำสัญญา

 

เอ๊ะ? ดูไม่น่าไว้ใจเลยนะครับ ฮะๆๆ”    เจ้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

 

ใครใช้ให้เจ้าไว้ใจยักษ์ล่ะ?”

 

โธ่~ชูซังนี่ละก็

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ตาลีตาเหลือกวิ่งหนีตายออกมาจากศาลเจ้าและกระโดดขึ้นรถมาได้ เด็กหนุ่มก็ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าขับออกมาจนถึงนี่ได้ยังไง เล็บถูกกัดจนถลอกปอกเปิกในขณะที่มืออีกข้าก็กุมพวงมาลัยแน่น 

 

ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงที่แล้วทำยังไงก็สลัดให้หลุดออกจากหัวไปไม่ได้ ดวงตาแข็งเกร็งยังคงกวาดมองทุกอย่างที่จะวิ่งมาขวางหน้ารถอย่างหวาดระแวงไปหมด

 

บ้าเอ้ย มันจะตามมาอีกไหมวะ ไม่หรอก ออกมาตั้งไกลขนาดนี้แล้วนะ”    เด็กหนุ่มบ่นพึมพำเหมือนคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

คงไม่ตามมาแล้วมั้ง ถ้างั้นก็หมายความว่า รอดแล้วใช่ไหม? รอดแล้วสินะ?”    ใบหน้าที่เบิกค้างจู่ๆก็ดีใจขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าตนเอาชีวิตรอดจากไอ้ยักษ์นั่นได้เป็นครั้งที่สอง

 

เป็นครั้งที่สองอะไรล่ะ ต้องบอกว่ากูรอดจากไอ้ยักษ์นั่นถึงสองครั้งเลยนะเว้ย…”    ดวงตาเบิกโพลงเปล่งประกายระยิบระยับอย่างได้ใจ แล้วพอคิดเข้าข้างตัวเองได้แบบนั้น ทั้งความกลัวและความสำนึกเสียใจก็หายไปทันที

 

มือผอมแห้งรีบกดวีดีโอคอลหาเพื่อนในกลุ่มที่เหลือกันอยู่สามคนนั่นทันที

 

เฮ้ย มึงยังไม่ตายจริงๆด้วยว่ะ!”    เสียงแรกที่ทักออกมาก็ยิ่งทำให้เขาระเบิดหัวเราะราวกับผู้มีชัย

 

ฮึ ฮ่าๆๆๆ โคตรเจ๋งเลยว่ะ!

 

สุดว่ะ กูดูถ่ายทอดสดอยู่นี่นึกว่ามึงจะถูกลากไส้ออกมาแล้วแท้ๆนะ มึงเป็นคนพาหมอผีนั่นไปใช่ไหมวะ?”

 

เออ ไงล่ะ โคตรเจ๋งอ่ะกูเนี่ย กูรอดจากไอ้ยักษ์นั่นมาสองรอบแล้วนะโว้ย จากนี้ไปจะมีใครทำอะไรกูได้อีกวะ ฮ่าๆๆ”   เด็กหนุ่มตอบกลับไปอย่างคึกคะนอง

 

หรือว่ายักษ์มันจะทำเครื่องหมายซ้ำไม่ได้วะ? โหย รู้งี้กูไปกับมึงด้วยก็ดี น่าจะดังใหญ่แล้วไหมมึงนี่ จากนี้คงจะมีรายการมาขอสัมภาษณ์อีกตรึมแน่ ให้กูเป็นผู้จัดการให้มึงมะ?”

 

มาเลยๆ ฮ่าๆๆ”   เด็กหนุ่มตอบในขณะที่กำลังฝันหวานเรื่องเงินทองและชื่อเสียงที่กำลังจะมาอยู่ในมือ

 

ว่าแต่มึงพาใครกลับมาด้วยวะ? เฮ้ย อย่าบอกนะว่าพาสาวกลับมาด้วยเนี่ย?”    แล้วจู่ๆเพื่อนก็ทักออกมาแบบนั้น

 

สาวบ้าไรวะ กูก็อยู่ของกูคนเดียวเนี่ย ไอ้เชี่ย แค่ตัวกูคนเดียวก็แทบเอาไม่รอดแล้วยังจะไปห่วงพาใครมาได้อีกวะ มึงนี่ก็ไม่คิด”    เขายังคงมองตรงไปบนถนนอย่างรีบเร่งอยากกลับให้ถึงบ้านไวๆ อยากไปไลฟ์สดเล่าประสบการณ์ตรงให้ทุกคนได้ฟัง แค่คิดถึงยอดฟอลโล่ที่จะเพิ่มขึ้นอีกมโหฬารก็กระหยิ่มยิ้มย่องจนไม่ได้สนใจอะไรแล้ว

 

“......เดี๋ยวนะมึงเบาะหลังมึงอ่ะ มีคนนั่งมาด้วยตลอดเลยนะ แต่เค้าหันหน้าไปทางหน้าต่างกูเลยมองหน้าไม่เห็น….”    แต่แล้วสิ่งที่เพื่อนพูดออกมาก็ทำเอาร่างทั้งร่างแทบจะแข็งเป็นหิน

 

“........”    ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงคิดว่าเพื่อนอำเล่นแน่ๆ แต่หลังจากที่ไปประสบพบเจอกับความน่าสะพรึงกลัวนั้นมาด้วยกัน จึงไม่คิดว่าเพื่อนจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นอีก

 

“....มึงดูหน้ากูทีมันมีรอยอะไรไหมวะ?”    เรื่องเดียวที่คิดออกตอนนี้ก็คือต้องยืนยันว่ามีเครื่องหมายของไอ้ยักษ์นั่นบนหน้าเขาหรือเปล่า เพราะจากมุมมองของเขา เขากลับไม่เห็นใครอยู่ในรถเลย

 

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าแต่ละคนจะมองเห็นเครื่องหมายของยักษ์ในเวลาที่ไม่เท่ากัน บางคนมองเห็นไว บางคนก็ช้ามากกว่าจะมองเห็น...

 

“.......”    แล้วเพื่อนก็เงียบไป

 

มึงอย่าเงียบ มึงบอกกูมา อย่าอำด้วย กูไม่ขำ”   จากใบหน้าที่กำลังลั้ลลาเริ่มเครียดขึงขึ้นมาทันที

 

“....มันมีรอยเหมือนตอนนั้นเลยว่ะ เชี่ยแล้ว แล้วกูมีไหมเนี่ย”    แล้วเพื่อนก็วิ่งไปเช็คหน้าตัวเองก่อนจะตัดสายเอาดื้อๆ

 

เฮ้ย มึงอย่าเพิ่งวาง!”    ไม่ทันแล้ว หน้าจอดับมืดไปแล้ว

 

ความรู้สึกเสียวสันหลังแล่นขึ้นมาเกาะกุมหัวใจจนต้องจอดรถลงที่ข้างทาง

 

เด็กหนุ่มส่องกระจกหน้ารถ แล้วบนใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในนั้นก็มีรอยเหมือนดอกฟูจิอยู่จริงๆ!

 

เชี่ย! เชี่ยๆๆๆ ออกไปนะ! ออกไปสิวะ!”    มือผอมแห้งพยายามเช็ดรอยนั้นออกจากใบหน้า แต่ไม่ว่าจะเช็ดยังไงก็เช็ดไม่ออก ต่อให้ถูจนแดงถลอกไปหมดก็ไม่ออก

 

ความรู้สึกหลอนก่อเกิดขึ้นในใจทันที แล้วจากที่ไม่เห็นก็ได้เห็น

 

มีเงาสีดำนั่งอยู่บนเบาะหลังอย่างที่เพื่อนบอกจริงๆ

 

แล้วพอมันค่อยๆหันมาคอที่พับห้อยไปข้างหนึ่งก็แสยะยิ้มมาให้ ปากของมันฉีกไปถึงใบหู มีเลือดค่อยๆไหลย้อยลงมา

 

อ๊ากกกกกกก!!!

 

 

 

 

 

ดวงตากลมโตค่อยๆกระพริบเปิดขึ้นมา แล้วสิ่งแรกที่มองเห็นในเช้าวันนี้กลับเป็นใบหน้าหล่อเหลาที่เปล่งประกายราวกับเทพเจ้าซึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ข้างๆ

 

ใบหน้ามนแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที

 

พวกเราเผลอหลับไปด้วยกันหลังจากที่คุยกันกว่าค่อนคืน เผลอหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้กางฟูกด้วยซ้ำ เผลอหลับไปโดยใช้เพียงฮาโอริสีม่วงแทนผ้าห่ม เผลอหลับไปโดยใช้เพียงท่อนแขนแทนหมอน

 

ใบหน้าแดงระเรื่ออมยิ้มในขณะที่จ้องมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาที่ยังหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ...เขาไม่เคยเห็นหน้าตอนที่ชูซังหลับสนิทแบบนี้มาก่อน

 

เขาหมายถึงตอนที่หลับสบายโดยไม่ได้กำลังป่วยไข้เหมือนตอนที่เพิ่งคลายโซ่กรรมให้เขา

 

เพราะปกติแล้วตอนที่เขาหลับ ชูซังก็มักจะนั่งอยู่บนกิ่งซากุระแล้วเฝ้ามองความฝันของเขาจากที่นั่น เขายังเคยสงสัยว่าชูซังเคยหลับเคยนอนกับเค้าบ้างไหม? เขาตื่นทีไรก็เห็นอีกฝ่ายตื่นอยู่ตลอดเช่นกัน

 

แต่ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่ายักษ์ก็นอนหลับเหมือนกัน

 

แถมใบหน้าตอนหลับก็ยังระยิบระยับสุดๆ...

 

มือบางเอื้อมออกไปแตะเขาสีดำที่ยาวเป็นคืบบนหน้าผาก เขาของชูซังยาวกว่าเขาของเขามาก และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสมัน

 

มันแข็งและให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด แต่กระนั้นยามที่ปลายนิ้วลากผ่านมันก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจไปด้วย

 

ปลายนิ้วยังคงลากมาแตะบนเปลือกตาที่กำลังหลับอยู่ หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักยามเมื่อมองตามปลายนิ้วนั่นไปเรื่อยๆ มันค่อยๆแตะไปตามสันจมูกโด่งได้รูป ค่อยๆแตะไปตามกลีบปากที่จูบเขามาไม่รู้กี่ครั้ง

 

จุ๊บ!

 

“เอ๊ะ?”   ไม่ใช่เขานะ เขาไม่ได้จูบลักหลับชูซังนะ

 

แต่กลับเป็นมือใหญ่ที่คว้าหมับมาที่มือเขาก่อนจะดึงปลายนิ้วซุกซนพวกนั้นไปจูบเบาๆ  ดวงตาสีม่วงเจ้าเล่ห์เปิดขึ้นมาและมันก็สดใสเกินกว่าจะเป็นดวงตาของคนที่เพิ่งตื่นนอน

 

“อ่ะ! คุณตื่นนานแล้วใช่ไหมเนี่ย?”    เจ้ายักษ์ขี้แกล้งยิ้มให้ มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ละมุนละไมและทำให้โลกนี้สว่างไสวดีเหลือเกิน

 

“ข้าตื่นตั้งแต่ตอนที่เจ้าจ้องข้าเอาๆอย่างหลงใหลแล้วละ ข้าขอโทษที่ขโมยหัวใจของเจ้ามานะ”    อ๊า~~! เจ้ายักษ์นี่พูดอะไรเนี่ย! ไม่อายบ้างเลยหรือไง!

 

เขาอ้าปากพะงาบๆอย่างเถียงไม่ออก แก้มใสแดงฉ่ำ ร่างโปร่งทำได้แค่ลุกหนีสายตาเจ้าเล่ห์นั่นก่อนจะวิ่งตึงตังเข้าห้องน้ำไป

 

ร่างสูงสง่าจึงลุกขึ้นมาจากพื้นเสื่อทาทามิแล้วมองตามแผ่นหลังขี้อายนั่นด้วยรอยยิ้ม จะว่าไปก็นานแล้วนะที่ข้าไม่ได้หลับอย่างสบายใจเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะข้ารู้สึกถึงความสงบสุขที่ดำเนินอยู่รอบกายของพวกเราก็เป็นได้

 

ก็ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องขึ้นมาก็ผ่านมากว่าสองสัปดาห์แล้ว...ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาในเขตศาลเจ้าแห่งนี้อย่างที่ข้าตั้งใจไว้จริงๆ 

 

ถึงเหตุการณ์ของเจ้าหมอผีนั่นจะเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก คลิปต่างๆถูกฉายรีรันซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีการพิสูจน์มากมายว่าเป็นเรื่องจริงหรือมีใครสร้างขึ้นมาหรือเปล่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาท้าทายในที่แห่งนี้ตรงๆ อาจจะมีนักข่าวพยายามมาทำข่าวบ้างแต่ก็อยู่แค่รอบๆภูเขาเท่านั้น

 

 

 

 

 

ร่างโปร่งบางนั่งมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในบ่อน้ำ มือบางแตะๆไปที่เขาเล็กๆบนหน้าผากของตัวเอง ถ้าขนาดของเขาคู่นี้แทนอายุของยักษ์แล้วละก็ เขาก็คงจะเป็นแค่ยักษ์เด็กอนุบาลเป็นแน่

 

แล้วก็ดูเหมือนตอนนี้อาการของเขาจะดีขึ้นมาก เขาไม่ฝันอีกต่อไป ไม่ได้ถูกกัดกินพลังชีวิตแล้วและพลังก็กำลังค่อยๆฟื้นกลับคืนมา แถมนอกจากพลังของตัวเองที่เคยมี เขากลับยังรู้สึกถึงพลังอันแปลกประหลาดที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเขายักษ์คู่นี้ด้วย

 

อย่างเช่น...

 

มือบางกางออกไปในอากาศก่อนจะเพ่งจิตไปยังโคมไฟหินที่หนักเป็นร้อยกิโล แล้วแค่เขาสั่งให้มันลอยขึ้นในใจ เจ้าโคมหินอันนั้นมันก็ลอยขึ้นมาจริงๆ!

 

เขา...สามารถควบคุมลมฟ้าอากาศได้ไม่ต่างจากชูซังเลย...

 

ถึงจะยังรุนแรงไม่เท่า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์จะทำได้แน่ๆ

 

นี่เขา...กลายเป็นยักษ์จริงๆไปแล้วใช่ไหม? บางครั้งก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเอง

 

เสียงฝีเท้าทำให้เขาวางโคมไฟหินลง

 

“กลับมาแล้วเหรอครับ?”    ชูซังมักจะหายไปจัดการกับโซ่กรรมบนแผ่นหลังสองสามวันครั้งอยู่เสมอ ใบหน้าหล่อเหลาพยักให้ก่อนจะนั่งลงข้างๆ

 

“เจ้าทำอะไรอยู่รึ?”

 

“เปล่าครับ ผมแค่ลองย้ายโคมไฟหินเล่น”    เขาหัวเราะแหะๆ ส่วนใบหน้าหล่อเหลาก็เพียงเอียงหัวอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร

 

ใบหน้ามนเหม่อมองท้องฟ้าก่อนจะพูดลอยๆออกมา

 

“ผมเคยเห็นแต่ในนิยายที่เขียนเกี่ยวกับแวมไพร์ ว่าแวมไพร์สามารถทำให้มนุษย์ธรรมดากลายเป็นแวมไพร์ได้โดยการกัดหรือการให้ดื่มเลือดของตน ไม่คิดว่ายักษ์ก็จะทำแบบนั้นได้ด้วย...”

 

“ปกติแล้วทำไม่ได้หรอก แต่เพราะเป็นข้ากับเจ้า ถึงทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้”   บทสนทนาที่แค่พูดไปเรื่อยกลับได้รับคำตอบที่น่าประหลาดใจจนใบหน้ามนหันกลับมามองอย่างสนใจ

 

“ชูซัง...กับผม?”

 

“ข้าไม่ใช่ยักษ์ทั่วไปที่ก่อกำเนิดมาจากความชั่วร้าย หากเป็นยักษ์พวกนั้นย่อมต้องเกิดมาจากกลุ่มก้อนของความเลวทรามเท่านั้น ไม่อาจสืบทอดต่อหรือมอบให้แก่กันได้ แต่ข้า...เป็นเหมือนกับสีดำที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับสีขาว หากโลกใบนี้เป็นที่อยู่ของคนดีที่เทพเจ้าคุ้มครอง คนชั่วช้าที่สมควรถูกกำจัดก็จำเป็นต้องมีเทพคอยจัดการเช่นกัน...นั่นก็คือข้า”   เขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจึงทำให้ตื่นเต้นไม่น้อย ที่แท้ชูซังก็น่าจะเป็นยักษ์ประเภทที่เป็นเทพเจ้าอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ

 

“คุณ...แท้จริงแล้วเป็นเหมือนพวก...ยมทูตที่คอยรับวิญญาณร้ายลงไปที่ขุมนรกแบบนั้นใช่ไหมครับ?”

 

“ประมาณนั้นแหละ”

 

“แต่ข้า ไม่ได้พาใครไปที่ไหน หน้าที่ของข้าคือกำจัดมันให้หายไปตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ...ถ้าให้อธิบายง่ายๆข้าก็เป็นเหมือนเครื่องกำจัดขยะ ไม่ใช่เครื่องรีไซเคิล ส่วนหน้าที่รีไซเคิลมนุษย์ให้ไปชดใช้กรรมแล้วส่งไปเวียนว่ายตายเกิดจะเป็นของพวกยมทูตและปรภพ”    ใบหน้ามนฟังอย่างตื่นตาตื่นใจ เพราะตั้งแต่รู้จักชูซังมานี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายยอมเล่าถึงหน้าที่และเรื่องของตัวเองให้ฟัง

 

“ถึงจะดูเหมือนทำหน้าที่ซ้อนทับกันแต่มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก โลกของเจ้ามีมนุษย์ที่ชั่วร้ายมากกว่าที่เจ้าคิดมากมายนัก และข้าก็เหมือนเครื่องสุ่มตรวจและกำจัดพวกมันไปบางส่วนก่อน”   เพราะฉะนั้นข้าจึงรู้จักกับราชาแห่งปรภพเป็นอย่างดี

 

 

เขา...คือยักษ์ที่เป็นฝาแฝดของข้าเอง

 

อสุราแห่งพสุธาตนนั้น...

 

 

“เพราะแบบนั้น...คนที่จะถูกชูซังทำเครื่องหมาย...จึงเป็นคนที่ทำเรื่องผิดบาปมาใช่ไหมครับ?”  

 

“ใช่...หากคนพวกนั้นก้าวล้ำอาณาเขตของข้าเข้ามา พวกมันก็จะถูกเครื่องหมายของข้าตีตราโดยอัตโนมัติ แต่หากเป็นคนที่ไม่เคยทำความชั่วก็จะผ่านอาณาเขตของข้าไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น”   นี่เป็นเงื่อนไขของอาณาเขตของชูซังสินะ...ทำเครื่องหมายเฉพาะคนที่เคยทำชั่วมาเพียงเท่านั้น

 

“ไม่มีการให้อภัย ไม่มีทางให้เริ่มต้นใหม่...นี่คือความร้ายแรงของความผิดที่มนุษย์พวกนั้นก่อขึ้นมา บางคนอาจจะทำเพียงความผิดเล็กน้อย แต่เจ้าต้องรู้ว่า ถึงจะเป็นความผิดเล็กๆแต่บางครั้งมันก็ไม่มีหนทางให้เจ้าได้แก้ไขอีก”

 

“ควรยึดมั่นในความดีตั้งแต่ต้น...แบบนั้นใช่ไหมครับ สโลแกนของคุณ”   ใบหน้ามนยิ้ม

 

“ฮึ...ใช่”   ใบหน้าหล่อเหลาจึงหลุดหัวเราะไปด้วย

 

“แล้วทำไมถึงเป็นผมล่ะ? ที่กลายเป็นยักษ์ได้”

 

“เพราะเจ้าเป็นคนดีและมีพลังอันบริสุทธิ์  ร่างกายอันบริสุทธิ์ของเจ้าทำให้เจ้าไม่เป็นอะไรยามเมื่อได้รับเลือดของข้าเข้าไป เลือดของยักษ์นั้นมีพิษเจ้าก็รู้”

 

“ปกติแล้ว...แม้แต่ไออสูร...หากได้รับในปริมาณที่เจ้าได้รับจากข้า มันต้องเสียสติไปแล้ว”

 

“ผมก็อาจจะเสียสติไปแล้วก็ได้...”    ใบหน้ามนบ่นงุบงิบเมื่อนึกถึงความฝันที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับไออสูร และนั่นก็ทำให้คนรู้ทันยิ้มตาม

 

“แล้วจากนี้...ผมจะเป็นยังไงต่อไปเหรอครับ?”    ร่างโปร่งบางถามอย่างสนใจ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้เขารู้สึกคาดเดาชะตากรรมของตัวเองไม่ได้เล็กน้อย

 

“เจ้าก็จะเป็นยักษ์ เหมือนกับข้า”

 

“ผม...ต้องฆ่าคนด้วยหรือเปล่าครับ...”   เรื่องนี้ทำให้เขากังวล ถึงคนพวกนั้นจะเป็นคนไม่ดี แต่ยังไงเสียเขาก็เคยเป็นนักบวชที่เคยช่วยเหลือมวลมนุษย์มาก่อน...จะให้ลงมือสังหารนั้นก็ออกจะเป็นเรื่องยากเกินไป...

 

“มันไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่ต้องทำก็ได้”   แต่แล้วคำตอบของชูซังก็ทำให้เขาเบิกตากว้างอย่างดีใจ เหมือนอีกฝ่ายก็รู้ว่าเขาไม่อยากฆ่าใครจึงไม่คิดจะบีบบังคับให้เขาต้องลงมือ

 

“หมายความว่า ผมแค่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้งั้นเหรอครับ?”

 

“ใช่”

 

“เจ้า...แค่อยู่ข้างๆข้าก็พอ...”     สิ่งที่ใบหน้าหล่อเหลาพูดมีแต่จะทำให้เขาซาบซึ้งใจ แต่พอประโยคถัดไปถูกพูดออกมาเท่านั้นแหละ ความซึ้งแทบจะเบรกจนหัวทิ่ม

 

“เพราะเจ้า...ยังเป็นของข้าอยู่”    ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกริ่มก่อนที่ปลายนิ้วจะดึงคอเสื้อกิโมโนของเขาลง เผยให้เห็นรอยอักขระที่ยังฝังอยู่บนแผ่นหลังของเขาเหมือนเดิม

 

จงใจทิ้งเอาไว้หรือเปล่าเนี่ย?

 

ใบหน้ามนยู่หน้าใส่เจ้ายักษ์ร้ายที่คอยแต่จะหาผลประโยชน์จากเขาอยู่ร่ำไปตนนั้น

 

 

 

 

 

แอ๊ด...

 

ประตูไม้หนาหนักถูกเปิดออกเช่นทุกวัน ต่อให้กลายเป็นยักษ์ไปแล้วแต่คนที่เคยเป็นนักบวชของศาลเจ้าแห่งนี้ก็ยังคงทำตัวเช่นนักบวชไม่เคยเปลี่ยน เขายังคงทำหน้าที่ของตัวเอง ทั้งคอยปัดกวาดทำความสะอาดดูแลรักษาศาลเจ้าให้มีสภาพน่าศรัทธาอยู่เสมอ

 

ต่อให้เทพเจ้าคงจะหนีหายไม่อยู่ที่นี่แล้วและศาลเจ้าก็กลายเป็นที่สถิตของยักษ์ทั้งสองตนไปแล้วก็ตาม

 

ไม่สิ...จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้...เพราะยังไงเสีย ชูซังก็ถือเป็นเทพเจ้าได้อยู่?

 

ถึงแม้จะเป็นเทพแห่งความตายก็เถอะนะ?

 

ใบหน้ามนอมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ แต่ในขณะที่กำลังเปิดประตูหอสักการะอยู่นั้น เงาร่างของใครบางคนก็ทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบหายตัวอย่างตกอกตกใจ

 

ไม่สิ เข้าจะหายตัวทำไมเนี่ย? ทำตัวเป็นยักษ์ไปได้?!

 

ก็นะ...นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นคนตัวเป็นๆ ไม่ได้เห็นใครสักคนที่กำลังยืนพนมมือขอพรต่อหน้ารางใส่เหรียญอยู่เช่นนี้...

 

ร่างโปร่งใสลอบมองเด็กสาวอยู่ในเงาอำพราง

 

เด็กผู้หญิงตรงหน้ามีท่าทางอิดโรยเล็กน้อย เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ดูเหมือนจะเป็นชุดนักเรียนมัธยมปลาย? และมันมีสภาพซอมซ่อนิดหน่อย ตามเนื้อตัวของเด็กสาวก็มีร่องรอยฟกช้ำดำเขียวประปราย มีทั้งรอยเก่ารอยใหม่กระจายอยู่ทั่วไปหมด

 

เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้กันนะ?

 

แล้วไม่รู้หรือไงว่าดั้นด้นมาผิดที่แล้ว...ที่นี่...ไม่ใช่ที่ที่จะมาขอพรได้อีกแล้ว...

 

ทว่า...

 

คำขอที่ออกมาจากปากของเด็กสาวก็ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่า...เด็กสาวไม่ได้มาผิดที่ เด็กสาวรู้อยู่แล้วว่าที่นี่มียักษ์สิงสถิตย์อยู่แทนที่จะเป็นเทพเจ้า

 

เพราะคำขอนั้นไม่ใช่คำขอที่จะขอต่อเทพเจ้า แต่เป็นคำขอที่มีต่อยักษ์เท่านั้น

 

 

“ช่วย...ไปกินพ่อของหนูให้หน่อยได้ไหมคะ ท่านยักษ์...ช่วย...ทำให้ผู้ชายคนนั้นหายไปที”

 

 

กริ๊ง...

 

เสียงก้องกังวานของเหรียญห้าเยนที่ถูกโยนใส่กล่องทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง...เกิดอะไร...ขึ้นกับเด็กคนนี้กัน?

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be Con.

 

แต่งไปก็จะเป็นไบโพล่าไป เดี๋ยวสยดสยองเดี๋ยวหวานน้ำตาลร่วง555 >////< ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงนี่จริงๆๆนะคะ

 

แอบแปะเพลง Akatsuki no ito เวอร์ชั่นคอนปี2021 ของวง Wagakki Band อย่างกับนั่งฟังบทสวดดูพิธีกรรมอยู่อ่ะแม่เจ้า เล่นสดดีมว๊ากกกก

 

Wagakki Band - 暁ノ糸 (Akatsuki no ito) / Dai Shinnenkai 2021 Nippon Budokan ~ Amanoiwato ~


ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกหัวใจ ทุกการติดตาม ทุกโดเนทมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น