Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 10
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าก้าวไปบนพื้นไม้อายุนับพันปี
สถานที่แห่งนี้ยังคงมืดมิดไร้แสงสว่าง
ต้นไม้ในสวนจึงมองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆดูราวกับปีศาจร้าย
พอได้ไปใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ข้าจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าที่นี่มันช่างเงียบเหงาวังเวง
และข้าก็อยู่กับความหดหู่นี้มาทั้งชีวิต ...อยู่กับมันโดยไม่รู้จักความรักมาก่อน
ไม่เคยรู้เลยว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าความสุขจากการถูกรักและได้รักใครสักคนหนึ่งด้วย
แต่ตอนนี้ข้าได้ลิ้มรสความสุขนั้นไปแล้ว...
จะกลับไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกได้อย่างไร...
เป็นไปไม่ได้เลย
ร่างสูงสง่าเดินกอดอกซุกมือข้างหนึ่งไว้ในแขนเสื้อกิโมโน
ดวงตาคมกล้าทอดมองระเบียงทางเดินยาวเหยียดที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นกรอบมิติวูบไหว อีกฟากถึงจะเป็นระเบียงทางเดินเหมือนกันแต่กลับฉาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น
สองสามวันข้าจะกลับมาที่มิติของข้าสักที
เพราะข้ายังมีหน้าที่ที่ต้องจัดการกับโซ่กรรมบนแผ่นหลังหรือก็คือคนที่ถูกข้าทำเครื่องหมายของยักษ์เอาไว้
เพราะอาณาเขตของข้ากระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะญี่ปุ่น
โซ่กรรมบนหลังข้าจึงเพิ่มขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวัน
ช่างขยันทำชั่วกันเสียจริงๆ...
ฝ่าเท้าก้าวออกมาจากกรอบมิติทิ้งเรือนรัตติกาลหลังนั้นไว้เบื้องหลัง
แต่แทนที่จะได้เห็นใบหน้ามนหันมายิ้มให้จากบนชานไม้อย่างทุกที
กลับมีเสียงแปลกแยกบางอย่างดังขึ้นมาแทน
ปัง
ปัง ปัง!
เสียงอะไรน่ะ?
เหมือนอาวุธของพวกมนุษย์เลย?
มินาโตะ?!
กลิ่นคาวของเลือดฉุนกึกแตะจมูกที่ไวต่อกลิ่นยิ่งกว่าจมูกมนุษย์มาก
ร่างสูงสง่าก้าวขาออกไปทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ
เพราะนี่มันคือกลิ่นเลือดของมินาโตะ
อสุราแห่งท้องนภาพุ่งด้วยความเร็วจนเหมือนหายตัวไปยังที่ที่จิตสัมผัสได้ถึงไออสูรของตน
แล้วดวงตาสีม่วงก็มองเห็น...ร่างโปร่งบางแสนคุ้นตาที่ล้มจมกองเลือดอยู่ที่พื้น!
“มินาโตะ!”
เสียงเรียกนั้นดังก้องไปทั่วทั้งศาลเจ้าจนคนที่นั่งกอดธนูอยู่บนรถถึงกับขนลุกเกรียว
เด็กหนุ่มตาค้างเพราะทั่วทั้งร่างยังจำเสียงๆนี้ได้เป็นอย่างดี
ยักษ์...ตนนั้นยังอยู่ที่นี่จริงๆด้วย
ความกลัวสุดขั้วหัวใจยังฝังอยู่ในทุกอณูของร่างกาย
สองขาได้แต่เขย่าอย่างกระสับกระส่ายเพื่อรอพี่หมอผีกลับมาที่รถ บ้าเอ้ย
มัวทำอะไรอยู่เนี่ย!
ร่างในกิโมโนสีดำเดินโงนเงนไปยังแอ่งเลือดแดงฉานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ไม่จริงใช่ไหม...
ข้าละสายตาไปจากเจ้าแค่ไม่ถึงชั่วโมงเองนะ...มันไม่จริงใช่ไหมบอกข้าทีมินาโตะ!
ฝ่าเท้าก้าวเหยียบลงไปบนเศษกระเบื้องที่แหลมคมอย่างไม่แยแส...มันเคยเป็นจานใบหนึ่ง...แต่ตอนนี้มันแตกเป็นชิ้นๆและแอปเปิ้ลที่เคยใส่อยู่นั้นก็หล่นอยู่บนพื้น
เลือดของเจ้า...ค่อยๆไหลซึมมายังผลไม้หวานฉ่ำชิ้นนั้นที่เจ้าปอกไว้ให้ข้า...
ติ๋ง...
น้ำใสๆหยดลงใส่แอ่งเลือดจนแตกกระเซ็น
มันเป็นน้ำ...ที่ออกมาจากดวงตาของข้าเอง...
ข้าสัมผัสไม่ได้...ถึงลมหายใจของเจ้า
เสียงหัวใจของเจ้า จิตวิญญาณของเจ้า สัมผัสไม่ได้เลยว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่!
เพราะแบบนั้น...น้ำใสๆพวกนี้จึงหยดลงไปทั้งที่ข้าไม่ทันรู้ตัว
ทั้งที่หัวใจของข้านั้นว่างเปล่า ทั้งที่ข้าไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าความโศกเศร้า
แต่น้ำตาของข้ากลับไหลออกไป
ร่างสูงสง่าทรุดนั่งลงไปตรงหน้าร่างที่นอนแน่นิ่งอย่างไม่สนใจว่าชายกิโมโนจะจุ่มลงไปในกองเลือด
มือที่สั่นเทาเอื้อมออกไปแตะแก้มใส
ดวงตาของเจ้ายังเปิดอยู่แต่มันกลับไม่สะท้อนเงาของข้า ไม่สะท้อนสีของท้องฟ้า
ไม่สะท้อนสิ่งใดเลย...
ไม่จริง...มันไม่จริง...
เมื่อกี้เจ้ายังยิ้มให้ข้า
เจ้ายังไล่ให้ข้ารีบไป เพื่อที่ข้าจะได้รีบกลับมา...
แล้วทำไม...แค่ชั่วพริบตา...เจ้าถึงจากข้าไปง่ายดายเช่นนี้...
ฝ่ามือแข็งแกร่งเอื้อมออกไปโอบกอดใบหน้ามนก่อนจะดึงหัวสีดำเข้ามาแนบอก
“มินาโตะ...ปลุกให้ข้าตื่นจากความฝันนี้ที”
“บอกข้าสิว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย เจ้ายังไม่ตาย
ยังไม่ไปไหน ยังยิ้มให้ข้าและรอข้าตื่นขึ้นมา...ฮึก...”
“ลืมตา...ขึ้นมาพูดกับข้าสิ...มินาโตะ”
เสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดดังก้องไปทั่วภูเขาจนแม้แต่ท้องฟ้าก็ยังทอสีหม่นเศร้า
เสียงสะอื้นที่ดังออกมานั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าหัวใจของยักษ์ผู้นี้กำลังแหลกสลายขนาดไหน
“อึก...เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ที่ตัวเล็กๆแค่นี้
บอบบางแค่นี้...แต่เจ้ากลับ...ทำให้ยักษ์อย่างข้า...ได้รู้จักกับความสูญเสีย...ความกลัว...ความทรมานแทบขาดใจ”
เสียงพูดนั้นแสนสั่นเครือและน้ำตาก็ยังหยดรดลงไปบนใบหน้าที่เริ่มจะซีดเผือด
ร่างกายที่กอดไว้ค่อยๆเย็นขึ้นทุกทีๆ
หัวใจของข้าเหมือนถูกบีบ
มันเจ็บมาก
มันโกรธแค้น มันเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“ออกไป!!”
ข้าไม่ได้ตะคอกบอกไล่เจ้าคนที่วิ่งหนีเห็นหลังไวๆนั่น
แต่เสียงก้องกังวานกำลังคำรามไล่เงาสีดำที่กำลังปรากฏขึ้นที่ประตู
นั่น...คือยมทูต
“กลับไปซะ!
ไม่ว่าหน้าไหนก็พาเขาไปจากข้าไม่ได้!”
“ท่านจะกำจัดเขาเองใช่หรือไม่?
แต่เขาไม่ใช่คนที่ท่านจะกำจัดได้นี่?”
“ข้าจะกำจัดเขาเอง เจ้าไสหัวไปซะ”
“ขอรับ
นายท่าน”
“บอกนายของเจ้าด้วย ว่าอย่าเสนอหน้ามายุ่ง!”
เงาสีดำก้มหัวให้ก่อนจะเลือนหายไป
ไม่ว่าจะนรกหรือสวรรค์ก็ไม่มีวันพรากเจ้าไปจากข้าได้
เจ้าไม่หายใจแล้วอย่างไร
หัวใจของเจ้าไม่เต้นแล้วอย่างไร เจ้าจะตายแล้วอย่างไร!
ข้าไม่ยอม
ข้าไม่ยอม!!
ใบหน้าหล่อเหลากัดฟันอย่างโกรธแค้นก่อนจะค่อยๆอุ้มร่างโปร่งบางขึ้นมา
มือสีขาวตกห้อยลงไปยิ่งทำให้ดวงตาสีม่วงเย็นยะเยือก
พอกันทีกับร่างกายที่บอบบางราวกับกลีบดอกไม้ของเจ้า
ต่อให้ข้าจะทะนุถนอมเจ้าดีแค่ไหน
แต่ใครต่อใครทำไมถึงชอบมาทำร้ายเจ้าอยู่เช่นนี้
ตึ้ง!
ก้าวแรกที่ฝ่าเท้าเหยียบลงไปก็ทำให้ทั้งมิติถึงกับสั่นสะเทือน
จากอาคารที่เปื้อนไปด้วยเลือดกลับกลายเป็นเรือนไม้ที่ฉาบไล้ไปด้วยแสงจันทร์ที่ข้าเพิ่งจะจากมา
ข้าจะพาเจ้าไปที่มิติของข้า
ร่างโปร่งบางถูกวางลงกลางห้อง
เสื่อทาทามิรองรับเลือดจนชุ่มโชก
ดวงตาสีม่วงทอดมองร่างที่ไม่ไหวติง
ไออสูรที่ต้นขากับหน้าท้องหยุดทำงานแล้วเพราะหัวใจของเจ้าหยุดเต้นไปก่อนที่มันจะซ่อมแซมร่างกายของเจ้าเสร็จ
หากเจ้าเป็นยักษ์เช่นข้าและมีไออสูรเป็นของตัวเอง
กระสุนแค่สามลูกนี้ไม่มีทางฆ่าเจ้าได้อย่างแน่นอน แต่ไออสูรที่อยู่ในตัวเจ้าตอนนี้มันไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น
มันจึงช่วยเจ้าไว้ไม่ได้...
มือใหญ่แตะลูบลงไปที่รอยแผลสามรอยบนขมับ
ดวงตาสีม่วงมองมันอย่างเหม่อลอย
สัญชาตญาณของภูตผีปีศาจทุกตนล้วนรู้ดีว่าการจะเพิ่มพลังให้แก่ตนเองได้จำต้องกัดกินอะไรบางอย่าง
ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่มันกิน แต่ภูตผีปีศาจก็กินกันเองเช่นกัน
ภูตผีที่อ่อนแอก็จะโดนปีศาจที่แข็งแรงกว่าจับกิน
ปีศาจที่อ่อนแอก็จะโดนอสูรหรือเผ่าพันธุ์ของยักษ์ที่แข็งแรงกว่าจับกิน ยักษ์ที่อ่อนแอก็ยังโดนยักษ์ที่แข็งแรงกว่าจับกิน
เพราะฉะนั้นพวกข้าจึงรู้ดี...ว่าร่างกายของตนนั้นพิเศษเช่นไร
มันถูกกินได้...
และหากได้กินร่างกายของยักษ์เข้าไป...วิญญาณที่ออกจากร่างของเจ้าก็จะไม่มีวันแตกสลาย
ปกติแล้วเจ้าคงจะกลายเป็นภูตผีหรือไม่ก็ปีศาจ
แต่ยักษ์ที่เจ้ากำลังจะกินนั้นคือข้า
คืออสุราแห่งท้องนภา
เพราะฉะนั้นยามเมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง...เจ้าก็จะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
แต่เจ้าจะกลายเป็น
“ยักษ์”
ติ๋ง…
เพราะดินแดนแห่งนี้ไม่มีนกหนูหรือแม้แต่แมลงสักตัว
เสียงของน้ำที่หยดลงไปในถ้วยชาจึงเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังอยู่ณ.ตอนนี้
ติ๋ง…ติ๋ง…
เสียงของมันก้องกังวานและสงบราวกับจะตอกย้ำถึงการตัดสินใจที่หาได้ยากเย็นนัก และหากมองดูให้ดีก็จะเห็นว่าน้ำที่หยดลงมาจากข้อมือของข้านี้มันมีสีแดง
เลือดของยักษ์ก็มีสีไม่ต่างไปจากเลือดของมนุษย์เลย…
ดวงตาคมกล้ายังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าซีดเซียว
เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องสยดสยองอย่างการกัดกินร่างกายของข้าสดๆ
ทว่า เจ้าเพียงดื่มเลือดซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายข้าเช่นกันก็พอ
ข้าจะให้เจ้ากินจนกว่าเจ้าจะลืมตาขึ้นมา
จะห้าวัน สิบวันหรือพันปี ข้าก็จะกรีดเลือดให้เจ้ากินอยู่แบบนี้
และแล้วใบหน้ามนที่ข้าจับจ้องมาตลอดก็เริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่าง
ร่างกายของเจ้าเริ่มมีอีกเงาซ้อนทับไปมา
ได้เวลาแล้วสินะ?
เวลาที่วิญญาณของเจ้าจะออกจากร่าง…
ตามปกติแล้ววิญญาณของเจ้าจะต้องออกจากร่างเร็วกว่านี้และถูกยมทูตรับตัวไปยังปรภพ
ที่ที่วิญญาณจะได้พักผ่อนอย่างแท้จริง เพื่อรอชดใช้กรรมหรือรอไปเกิดใหม่
จะได้ไปนรกหรือสวรรค์ก็ตัดสินกันตอนนั้น
ทว่า…ข้ากลับไปลักพาดวงวิญญาณของเจ้ามา
ที่วิญญาณของเจ้าเพิ่งจะออกจากร่างเอาป่านนี้นั่นก็เพราะเจ้าอยู่ในมิติของข้าผู้ควบคุมกาลเวลาทั้งหมดในมิตินี้ด้วยตัวเอง
ข้าต้องเตรียมตัว
และตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว
ถ้วยชาล้นปรี่ไปด้วยเลือดของข้าพอดี…
ร่างที่เป็นเงาโปร่งใสของเจ้าค่อยๆลืมตาขึ้นมา
เจ้ากระพริบตาช้าๆอย่างมึนงง
สองแขนของเจ้าค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นนั่งและนั่นก็ทำให้วิญญาณของเจ้าแยกออกจากร่างที่นอนอยู่
“....?!”
เจ้าดูตกใจ แต่ว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไร
มือใหญ่ของข้าเอื้อมออกไปจับปลายคางมนของเจ้าก่อนจะบีบบังคับให้ริมฝีปากอ้าออก
ถ้วยชายกจรดริมฝีปากของข้า
เลือดของตัวเองหลั่งไหลเข้ามาในปากจนเกิดเป็นรสชาติที่แปลกประหลาด
ข้าประกบริมฝีปากคาวเลือดนั้นลงไปที่ปากของเจ้า
ดุนดันกึ่งบังคับให้เจ้ารับของเหลวสีแดงนั้นเข้าไป
เจ้าต่อต้านเพราะเจ้าไม่เข้าใจ
แต่ข้าก็ไม่มีเวลาอธิบายไปมากกว่านี้
ต้องรีบให้วิญญาณของเจ้ากินเลือดของข้าก่อนที่มันจะออกจากร่างจนหมด
“อื้อ?!” สองมือที่โปร่งใสของเจ้าพยายามผลักไสข้า
ข้าจึงรวบทั้งตัวเจ้ามากอดเอาไว้ให้เจ้าดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน
ริมฝีปากละออกมาเพื่อดื่มเลือดจากถ้วยชาเข้าไปอีก เจ้าไอจนตัวโยน
แต่ข้ากลับไม่รอช้าและยังคงประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
กลุกๆๆ…
จนถ้วยชาที่ว่างเปล่ากลิ้งกลุกๆอยู่บนพื้น
“อึ้ก?!” เลือดของข้าเป็นพิษ
เจ้าเลยมีท่าทางทรมาน แต่ข้ากลับไม่มีเวลาปลอบโยนเจ้า
ฝ่ามือใหญ่กางลงไปบนใบหน้ามนก่อนจะกดวิญญาณโปร่งใสนั้นกลับลงไปในร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น
กลับไปซะ
กลับเข้าร่างของเจ้าไป
ให้ร่างกายอันบริสุทธิ์ของเจ้าปกป้องเจ้าจากการเป็นยักษ์ไร้สติ
เจ้าจะกลายเป็นยักษ์ที่มีปัญญาเฉกเช่นเดียวกับข้าต่อเมื่อเจ้ายังมีร่างกายเท่านั้น
วิญญาณโปร่งใสของเจ้าดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทรมาน
ข้าได้แต่กัดฟันทนมองเห็นเจ้าเป็นแบบนั้น
สองแขนแข็งแรงจึงรวบตัวเจ้าขึ้นมากอดแน่นเพื่อให้วิญญาณของเจ้าไม่หลุดออกไปจากร่าง
ไม่ว่าเจ้าจะต่อต้านกัดข่วนข้าแค่ไหนข้าก็ยังกอดเจ้าไม่ปล่อย
เจ้าค่อยๆสงบลงหลังจากใช้เวลาไปไม่น้อย
วิญญาณของเจ้ากลับเข้าไปอยู่ในร่างที่เย็นชืด
แต่ข้าก็ละสายตาไปจากเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ
ติ๋ง…ติ๋ง…
เลือดจากข้อมือข้ายังคงหยดลงไปในถ้วยชา
วิญญาณของเจ้าจะตื่นขึ้นมาและจะพยายามออกจากร่างอีก
นั่นสินะ
การจะทำให้คนดีๆสักคนหนึ่งกลายเป็นยักษ์มันย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จในชั่วข้ามคืนอยู่แล้ว
แต่เจ้าไม่ต้องห่วง…ข้าจะไม่จากเจ้าไปไหน…ข้าจะรอเจ้าลืมตาขึ้นมามองข้าอีกครั้ง มินาโตะ
“อึ้ก!! ฮื่อ!!” ฟันบนกับฟันล่างของข้ากัดกันแน่น
ความเจ็บปวดจากการถูกกัดถูกระบายเป็นเสียงคำรามอยู่ในลำคอ
ตอนนี้เจ้าไม่ดื่มเลือดที่ข้าป้อนให้แล้ว
แต่กลับกัดกินจากท่อนแขนของข้า
ฝ่ามือได้แต่กำแน่นยามเมื่อชิ้นเนื้อสดๆถูกฉีกกระชากออกไป…ข้าทนได้
แค่นี้ข้าทนเพื่อเจ้าได้
เลือดเลอะรอบปากลามไปถึงแก้มและคางของเจ้า
จากนักบวชผู้บริสุทธิ์เจ้ากลับดูสยดสยองมากในตอนนี้
ดวงตากลมโตสีแดงฉานค่อยๆหรี่ปรือลง
ก่อนที่ดวงวิญญาณของเจ้าจะหลับไปทั้งที่อาหารคาปาก
“ฮ้า…ฮ้า…” ข้าหอบหายใจก่อนจะประคองร่างโปร่งใสของเจ้าให้ค่อยๆนอนทับลงไปบนร่างกายที่ยังไม่มีสีเลือด
ไม่ว่าโลหิตจะไหลย้อยเต็มแขนของข้าหรือแผลจะเหวอะหวะแค่ไหนข้าก็หาได้ใส่ใจ
ดวงตาของข้ายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเจ้าเท่านั้น…นับวันเจ้าก็ยิ่งหิวกระหายจนข้าถึงกับขมวดคิ้ว
ตอนนี้เจ้าเหมือนวิญญาณร้ายที่ใกล้จะคลุ้มคลั่งเต็มทีจนทำเอาข้าเริ่มใจไม่ดี
หรือว่ามันจะเป็นไปไม่ได้กันนะ?
ข้า…ไม่ควรฝืนทำให้เจ้ากลายเป็นยักษ์หรือเปล่า…
ความเห็นแก่ตัวของข้า
ความยึดติดของข้า กำลังทำร้ายเจ้าอยู่หรือเปล่า…
ไออสูรยังคงทำหน้าที่ของมันไม่ได้ขาด
ควันสีดำลอยคลุ้งพวยพุ่งอยู่รอบๆแขนของข้าไม่รู้กี่วันกี่คืนมาแล้ว
หัวสีชาเอนซบเสาไม้ของชานเรือนในขณะที่ดวงตาสีม่วงก็ทอดมองไปไกล
ถึงสิ่งที่มองเห็นจะเป็นเพียงสวนซึ่งอยู่ภายใต้แสงจันทร์
แต่จิตใจของข้านั้นก็หาได้ต้องการความรื่นรมย์ใดๆไม่
ยิ่งเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ข้ายิ่งสงสารจับใจ มีหลายต่อหลายครั้งที่ข้าอยากจะอุ้มเจ้าพาดบ่าแล้วพาเจ้าไปส่งยังปรภพ
แต่ข้า…ก็ปล่อยมือจากเจ้าไม่ได้…ตัดใจจากเจ้าไม่ได้
มือใหญ่ขย๋ำลงไปบนอกเสื้อข้างซ้าย ข้างใต้นี้มันเจ็บเหลือเกิน…
ข้าต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เจ้าคงไม่อยากมีสภาพราวกับปีศาจเช่นนี้
และข้าก็แทบทนไม่ได้ยามเมื่อเจ้ากรีดร้องอย่างทุรนทุราย
ข้าไม่รู้เลยจริงๆว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่ และผลลัพธ์สุดท้ายแล้วเจ้าจะกลายเป็นยักษ์เช่นข้าหรือว่าเจ้าจะทนไม่ไหวแล้วกลายเป็นปีศาจไปเสียก่อน…
ตอนนี้มันเป็นราวกับเกมวัดใจ
ข้าหรือเจ้าที่จะทนไม่ไหวก่อนกัน
ได้โปรด…อยู่กับข้าเถอะ…
อยู่เคียงข้า…อย่าทิ้งข้าไปเลย…
ข้ารักเจ้าและชีวิตนี้ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก
ขอเพียงเจ้าอยู่กับข้า
ไม่ว่าอะไรข้าก็มอบให้ได้ทั้งนั้น
ข้าจะอดทนต่อความเจ็บปวดในใจ
จะทนรอเจ้าข้ามผ่านมันไปให้ได้ ข้าขอร้องเจ้า
“อยู่กับข้านะ…มินาโตะ”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สองมือของข้ายกขึ้นมากอบกุมกันอยู่ที่หน้าอกราวกับกำลังอธิษฐานอย่างแรงกล้า
หิ่งห้อยสีม่วงครามนับร้อยลอยขึ้นมาจากในสวนทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน…ข้าอยู่ที่นี่มาพันกว่าปีไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน...แสงกระพริบเล็กๆพวกนั้นชวนให้ข้านึกถึงเจ้า
ราวกับเจ้ากำลังปลอบโยนข้าอย่างแผ่วเบา
ภาพตรงหน้านั้นแสนอ่อนโยนจนข้าเผลอเอนตัวนอนตะแคงลงกับพื้นไม้ด้วยความเหนื่อยล้า
เจ้ากำลังลูบหัวข้าอยู่ใช่ไหม…เจ้ากำลังให้ข้านอนหนุนตักและบอกข้าว่าไม่เป็นไรอยู่ใช่ไหม…
เจ้า…ตอบรับคำขอของข้าแล้วใช่หรือไม่?
ดูเหมือนเจ้าจะรับรู้ความรู้สึกของข้า
ความคิดที่คอยบั่นทอนจิตใจของข้าค่อยๆเบาบางลง
นั่นก็เพราะวิญญาณกับร่างกายของเจ้าดูจะเสถียรมากขึ้น
ข้าเฝ้ามองร่างอันบอบบางที่นอนนิ่งของเจ้า
นานๆทีก็จะมีเงาโปร่งใสของวิญญาณแว่บๆออกมาบ้าง แต่มันนานพอที่แผลบนข้อมือข้าจะถูกไออสูรรักษาจนหาย
และหากเมื่อใดที่วิญญาณโปร่งใสนั้นติดๆดับๆจนมองเห็นชัดเป็นรูปเป็นร่าง
ดาบสั้นในอกเสื้อของข้าก็จะกรีดลงไปบนข้อมือแข็งแรงข้างนี้ใหม่
ติ๋ง…
ข้าไม่ได้หยดมันลงไปในถ้วยชา
แต่ข้าหยดเลือดของข้าลงไปบนกลีบปากของเจ้าโดยตรง
วิญญาณโปร่งใสค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆทั้งที่ยังนอนซ้อนทับอยู่บนกายเนื้อ
ลิ้นสีขาวจางๆค่อยๆแล่บเลียหยดเลือดที่เลอะอยู่บนริมฝีปาก
ดวงตาของเจ้าจ้องมองข้า…ส่วนลิ้นเล็กๆนั่นก็ค่อยๆแล่บเลียเลือดซึ่งไหลเป็นทางบนข้อมือที่ข้าขยับไปจ่อปากให้
กลีบปากนุ่มนิ่มครอบลงไปบนรอยแผลจนข้าต้องกลืนน้ำลาย
เสียงดูดจุ๊บจ๊วบนั้นทำเอาข้าต้องตั้งสมาธิให้แน่วแน่
นี่หากเจ้าไม่อยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย
ข้าคงให้เจ้ากินส่วนอื่นของร่างกายข้าไปแล้ว
ก็น้ำ…ที่ออกจากร่างกายของข้ามีแค่เลือดอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่?
ข้าถอนหายใจเมื่อเจ้าหลับตาเข้าสู่นิทราอีกครั้ง…คิดอกุศลกับเจ้าได้แบบนี้คงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่าอาการของเจ้าดีขึ้นมาก
ดีจนข้าแทบคลายกังวลแล้ว
เจ้าไม่หิวกระหายเหมือนตอนแรกแล้ว
และดูเหมือนเจ้าจะพูดรู้ภาษามากกว่าเดิม
ความถี่ที่วิญญาณของเจ้าจะออกมาจากร่างก็น้อยลงกว่าเดิม
ร่างกายของเจ้า...กำลังดึงดูดและจับดวงวิญญาณของเจ้าฝังเอาไว้
เพราะไม่ได้มีแค่ดวงวิญญาณที่เปลี่ยนไป
ร่างกายของเจ้าเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
เสียงร่ายคาถาสะกดวิญญาณดังด้วยเสียงทุ้มต่ำติดต่อกันเป็นเวลาหลายคืนมาแล้ว
ตอนเจ้ายังเป็นนักบวชอยู่เจ้าก็มีพลังมหาศาล พอเจ้าตาย
จิตวิญญาณยิ่งใกล้ชิดกับธรรมชาติ อาคมของเจ้าก็ยิ่งกล้าแกร่งทบทวีคูณ
หากข้าไม่ลักพาตัวเจ้ามา… วิญญาณของเจ้าอาจจะกลายเป็นเทพเจ้าก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ
มันไม่มีอะไรมารับประกันว่าเราจะได้เจอกันอีกในโลกหลังความตาย
วิญญาณของเจ้าอาจจะถูกเลือกให้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อชดใช้กรรมอีกแล้วและสูญสลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไปก็ได้
อีกอย่าง...พอเจ้าก้าวเข้าไปยังปรภพ
เจ้าก็จะลืมข้าไปจนหมดสิ้น
"อึ้ก!" โซ่สีดำที่บ้าคลั่งเส้นหนึ่งพุ่งเฉียดแก้มของข้าจนเลือดซิบเรียกให้ข้าหันมามีสมาธิกับพิธีกรรมที่อยู่ตรงหน้า
พวกมันไม่ใช่โซ่กรรมของข้าเพราะมันมีขนาดเล็กและบางกว่า
แต่โซ่ที่กำลังรวมตัวกันชูคอราวกับอสรพิษแผ่แม่เบี้ยพวกนี้เป็นโซ่ของเจ้า
มันพุ่งเข้าใส่ข้าอย่างดุร้ายและควบคุมไม่ได้
สมแล้วที่มันเป็นโซ่ของเจ้า
มันมีพลังมหาศาลจริงๆ
เกรียวโซ่ที่ม้วนรวมราวกับงูใหญ่แตกกระจายก่อนจะพุ่งวนราวกับพายุไปรอบห้อง
มันตั้งใจจะทำให้ข้าสับสนเพื่อกลับเข้ามาเล่นงานข้าอีกครั้ง
แถมโซ่ยังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ
ฮึ
ดื้อเสียจริง
ข้ากลับยิ้มได้ในสถานการณ์เช่นนี้
มือใหญ่หงายขึ้นก่อนจะยื่นไปข้างหน้า เวทย์กำราบที่ข้าแทบไม่เคยใช้ถูกร่ายออกมา
ตึ้ง!
แล้วโซ่ทุกเส้นก็ถูกอักขระของข้าล็อคคอตรึงไว้กับผนังในชั่ววินาที
เฮ้อ…ข้าถึงกับถอนหายใจ…จากนี้ไปข้าไม่ควรทำให้เจ้าโกรธสินะ…ถ้าเจ้าปล่อยเด็กพวกนี้มาอาละวาดใส่ข้าคงปวดหัวน่าดู
แกร๊ง
มีบางเส้นยังขู่ฟ่อใส่ข้าอยู่เลย…
ข้าจับเจ้าลุกขึ้นนั่งทั้งที่ดวงตาของเจ้ายังปิดสนิท
สองแขนวาดไปในอากาศที่ว่างเปล่า
แล้วข้าก็ปลดอักขระในชั่วพริบตา
ครื้นนน
แกร๊กๆๆๆๆ
โซ่สีดำหมุนวนไปตามมือข้า
ก่อนที่ทั้งหมดจะพุ่งไปยังจุดๆเดียว
แผ่นหลังบอบบางของเจ้า!
"อึก…" คิ้วของเจ้าขมวดยามเมื่อโซ่ทุกเส้นพุ่งเข้าไปในกายเจ้า
แต่คอเจ้าก็พับลงไปอีกครั้งเมื่อปลายสุดท้ายวิ่งผ่านเข้าไป
ข้าค่อยๆจับเจ้านอนราบลงพลางใช้แขนกิโมโนเช็ดเหงื่อตามไรผมให้
ไม่ต้องกังวลไป
ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีต่อให้ข้าจะไม่เคยทำให้ใครกลายเป็นยักษ์มาก่อนเช่นนี้
หลักฐานก็คือโซ่กรรมที่ออกมาจากตัวเจ้าอย่างที่เห็น
และโซ่พวกนี้ก็จะมีเฉพาะในยักษ์ที่เป็นเทพเจ้าเช่นข้าเท่านั้น
ยักษ์ที่เกิดจากวิญญาณอาฆาตชั่วร้ายทั่วๆไปจะไม่มี
อีกไม่นาน...เจ้าก็จะลืมตาตื่นขึ้นมา...ในฐานะยักษ์เช่นเดียวกับข้า
แล้วก็เป็นเพราะว่าข้าไม่ได้กลับมาที่ศาลเจ้าเสียนาน
จึงไม่รู้เลยว่าทางนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
กรอบมิติเปิดออกเมื่อฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่างออกมา
ห้องของข้ากับห้องของเจ้าเชื่อมต่อกันทันที ไม่นานจากโลกที่มืดมิดก็กลับสู่โลกที่สว่างไสวอีกครั้ง
นานเลยที่เจ้าไม่ได้กลับบ้าน
ข้าใช้เวลารักษาเจ้าโดยไม่ได้ไปไหนเป็นแรมเดือน
แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
เจ้าจะไม่มีวันตาย
เจ้าจะไม่หายไปจากข้างกายของข้าอีก
ท่อนแขนแข็งแรงวางร่างโปร่งบางลงบนฟูกสีขาว
ตอนนี้ทั้งร่างกายและวิญญาณของเจ้าเสถียรมากแล้ว
แต่เจ้ายังต้องนอนหลับอีกหน่อยเพื่อฟื้นฟูพลัง
ข้าลูบหัวสีดำด้วยความอ่อนโยนก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้
เจ้าตื่นมาในที่ที่มีท้องฟ้าและอากาศสดใสแบบนี้น่าจะดีกว่า
แต่ฝ่ามือของข้าก็ชะงักไปเมื่อหูได้ยินเสียงอะไรดังมาจากที่ไกลๆ
เหมือนจะเป็นเสียงพูดคุยของมนุษย์?
ใบหน้าหล่อเหลาหันควับไปยังทิศที่มาของเสียงทันที
เหมือนจะดังมาจากบริเวณด้านหน้าศาลเจ้า?
ร่างสูงสง่าจึงหายวับไปจากตรงนั้นในชั่วพริบตา…ก่อนจะมายืนอยู่บนเสาโทริอิสีแดงตรงหอสักการะที่อยู่ด้านหน้าศาลเจ้า
รถที่มีจานสัญญาณแปลกๆจอดอยู่รอบๆหลายคันและข้าก็ไม่เคยเห็นศาลเจ้าแห่งนี้มีคนมากมายขนาดนี้มานานแล้ว
เจ้ามนุษย์พวกนั้นมาทำอะไรกัน?
ดวงตาคมกล้าเหยียดมองลงไป
ข้าเห็นกลุ่มคนที่ถือกล้องและไมค์ยืนล้อมโต๊ะตัวหนึ่งเอาไว้…และชายสองคนที่นั่งพูดอยู่หลังโต๊ะตัวนั้นก็ทำให้ไอเย็นยะเยือกแผ่ออกไปจากตัวข้า
เจ้าพวกนั้น…คนที่มาขโมยธนูและทำให้มินาโตะต้องตาย!
แกรก!
มือใหญ่กำโซ่สองเส้นที่เชื่อมต่อจากแผ่นหลังของข้าไปยังสองคนนั้นเพื่อตอกย้ำให้มั่นใจ
เป็นพวกมันไม่ผิดแน่
ใบหน้าทะมึนจ้องเขม็งไปที่สองคนนั้น ต้องขอบคุณเวลากว่าเดือนที่ข้าใช้รักษามินาโตะ
มันทำให้หัวใจที่โกรธแค้นจนแทบจะมอดไหม้ของข้าค่อยๆเย็นลง
หากเป็นตอนที่เพิ่งเกิดเรื่องข้าคงใช้มือบดขยี้พวกมันให้ตายเสียตรงนี้ทันที
แต่เพราะตอนนี้ข้าใจเย็นลงแล้ว พวกเจ้า…จะไม่ได้ตายง่ายๆ
ไม่ได้ตายทันที ไม่ได้ตายดี!
ข้าจะใช้ความโหดเหี้ยมอำมหิตทั้งหมดที่ข้ามี…ส่งพวกเจ้าลงนรกอย่างทรมานที่สุดให้เอง
“นี่เป็นการถ่ายทอดสดจากศาลเจ้ายาตะค่ะ หลังจากที่คุณเอโนมะ
หมอผีชื่อดังในโลกโซเชียลได้ทำการป่าวประกาศว่าจะมาทำพิธีปราบยักษ์ในวันนี้
และได้เชิญสื่อหลายแขนงเข้าร่วมชมพิธีแบบใกล้ชิดติดขอบสนามกันด้วยค่ะ” นักข่าวภาคสนามยืนรายงานอยู่รอบๆโต๊ะแถลงข่าวเพื่อเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบ
“ศาลเจ้ายาตะนั้นเป็นที่เลื่องลือและรู้กันดีในวงการเรื่องลี้ลับว่าเป็นศาลเจ้าใหญ่ที่เป็นดั่งจุดศูนย์กลางของการปัดเป่าภูตผีปีศาจและสิ่งไม่ดีทั้งหลายมาช้านาน
แต่จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาศาลเจ้ายาตะกลับเหมือนโดนคำสาปเสียเอง
ขนาดนักบวชของศาลเจ้ายังอยู่กันไม่ได้ ต่างพากันย้ายหนีไปหมด
แม้แต่ชาวบ้านที่อยู่บริเวณตีนเขารอบๆนี้ก็ยังทยอยย้ายออกจนแทบไม่มีใครเหลือ
เมื่อหลายเดือนก่อนก็มีภัยพิบัติอย่างแผ่นดินไหวและอาคารหลังหนึ่งก็ได้ปลิวหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เป็นเหตุการณ์ลี้ลับที่ทำให้ประชาชนในละแวกนี้เดือดร้อน และเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น
หมอผีเอโนมะก็กล่าวอ้างว่ามันเป็นเพราะที่นี่มียักษ์สิงสู่อยู่ค่ะ” นักข่าวสาวยังคงรายงานต่อไป
“หลายท่านอาจจะงงว่ามียักษ์อยู่แล้วมันร้ายแรงยังไง?
ถ้าพูดกันตามลำดับขั้นของพวกสิ่งลี้ลับแล้วจะเป็นดังนี้ค่ะ
วิญญาณทั่วไปจะอยู่ต่ำสุด มีพลังและความร้ายกาจต่ำสุด ต่อไปก็คือภูตผี วิญญาณแค้น
ปีศาจ คำสาป และที่อยู่สูงที่สุดก็คืออสูรหรือก็คือยักษ์นั่นเองค่ะ”
“และเด็กหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่ยักษ์ปรากฏตัวและยืนยันได้ว่าที่นี่มียักษ์ถูกกักขังอยู่จริงๆก็คือเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆคุณเอโนมะนั่นเองค่ะ
เรามาฟังแถลงการจากเด็กหนุ่มกันดีกว่านะคะ” แล้วภาพจากกล้องตัวนี้ก็ตัดไปยังกล้องตัวที่อยู่ที่โต๊ะแถลงข่าว
ภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฎเต็มหน้าจอแทนหน้าของนักข่าวสาว
“ผมกับเพื่อนๆ…เคยโดนยักษ์นั่นทำเครื่องหมายเอาครับ
มันเป็นยักษ์ที่โหดเหี้ยมร้ายกาจมาก
พวกผมแค่เข้าไปในศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่งยังไม่ทันได้ทำอะไร
มันก็ตามมาฆ่าเพื่อนๆของผมไปถึงห้าคนเลยครับ”
“แต่นักบวชคนหนึ่งของที่นี่ก็ช่วยผมไว้
โดยการสะกดวิญญาณของยักษ์นั่นเอาไว้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ มันยังถูกขังอยู่ที่นี่ครับ”
เสียงฮือฮาดังมาจากรอบๆโต๊ะเพราะเรื่องของเด็กหนุ่มนั้นถูกพิสูจน์มาระดับหนึ่งแล้วว่าเป็นความจริง
ข่าวทุกสำนักเคยออกเรื่องราวการตายอย่างโหดร้ายทารุณของเพื่อนๆในกลุ่มกันมาแล้ว
“คุณเอโนมะ ในฐานะที่คุณเป็นหมอผีที่ชื่อดังที่สุดในตอนนี้
เก่งที่สุดในตอนนี้ คุณมีแนวทางที่จะจัดการยักษ์ตนนั้นยังไงบ้างคะ? ถ้าปล่อยไว้คงสร้างความหวาดกลัวไปทั่วแน่ๆเลยค่ะ” นักข่าวคนหนึ่งยกมือถามหมอผีหนุ่มที่วันนี้ก็ยังคงใส่สูทสีขาว
ไว้ผมยาว และสวมหมวกมีปีกสีขาว
“ไม่ต้องห่วงนะครับ เท่าที่ผมคาดเดา คงจะเป็นเพราะนักบวชคนนั้นมีพลังไม่แข็งกล้าเท่าไหร่
จึงทำได้แค่สะกดยักษ์นั่นเอาไว้ ซึ่งผมที่มีพลังเหนือกว่ามาก
จะเป็นคนปัดเป่าเจ้ายักษ์นั่นให้เองครับ” สีหน้ามั่นใจพูดออกมาอย่างอวดดี
แต่กลับเรียกเสียงถอนหายใจออกมาจากกลุ่มคนที่อยู่รอบๆได้
“คุณเอโนะมคิดจะใช้อาวุธหรืออะไรจัดการกับยักษ์ตนนั้นเหรอคะ? บอกได้ไหมคะ?”
“ผมมีธนูศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลผมอยู่ครับ
เจ้านี่มีพลังมหาศาล บวกกับพลังของผมเข้าไป
ยังไงเจ้ายักษ์ร้ายก็ต้องถูกปัดเป่าในวันนี้แน่นอนครับ” มือหยาบผายไปยังแท่นพิธีที่มีธนูสีขาวที่คุ้นตาวางอยู่อย่างหรูหรา
แท่นวางธนูอันนั้นประดับประดาอะไรมากมายเสียจนดูน่าขัน
เจ้าคนโกหก
นั่นมันเป็นธนูที่เจ้าไปแย่งมาจากมินาโตะต่างหาก
แล้วข้าจะบอกเจ้าให้…ว่าธนูนั่นไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรเลย
ไม่มีพลังเลยแม้แต่น้อย มันก็เป็นแค่ธนูธรรมดาๆ ทว่า
ที่ก่อนหน้านี้มันมีพลังแฝงอยู่
ล้วนเป็นพลังที่ออกมาจากตัวของมินาโตะทั้งสิ้น
“การปราบยักษ์ให้ดูกันสดๆแบบนี้จะทำให้ชื่อเสียงของหมอผีเอโนมะโด่งดังเป็นพลุแตกแน่นอนค่ะ
ดูจากยอดวิวไลฟ์สดของแอคเค้าต์ของเจ้าตัวก็ได้ ตอนนี้ยอดวิวพุ่งไปหลายล้านแล้วค่ะ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนสนใจมากขนาดนี้”
เสียงรายงานของนักข่าวสาวทำให้ดวงตาสีม่วงเหยียดมองด้วยสายตาเย้ยหยัน
ดูเหมือนเจ้าชอบทำอะไรให้มันเอิกเกริกสินะ? ได้สิ
ข้าจะฆ่าเจ้าอย่างอลังการจนทั้งคนโลกได้รับรู้ให้เอง
ชายที่เรียกตัวเองว่าหมอผีนั่นยืนอยู่หลังปะรำพิธีที่มีอุปกรณ์ปราบผีวางอยู่มากมายราวกับต้องการเพิ่มค่าให้กับตัวเอง
ทว่า
ร่างสูงสง่าที่นั่งชันเข่ามองลงมาจากบนหลังคากลับมีสีหน้าหยามเหยียด ข้าจะรอดูอย่างใจเย็น...ว่าเจ้าจะเล่นตลกอะไรให้ข้าดู
หน้ากากยักษ์สีทองถูกเรียกมาบดบังใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ก่อนจะนั่งฟังบทสวดพื้นๆนั่นด้วยท่าทางเฉยชา
ถึงแม้ว่าเบื้องล่างนั้นจะพากันตื่นตาตื่นใจเพราะการแสดงที่เว่อร์วังของเจ้าหมอผีเก๊นั่นก็ตาม
“เจ้ายักษ์ร้ายจงออกมา~!”
อ่อ...เรียกข้าสินะ?
คาถาที่ร่ายออกมานั้นฟังไม่ออกถึงขนาดที่ข้าไม่รู้เลยสักนิดว่าเจ้านั่นกำลังสื่อสารอะไร
ฟึ่บ!
แล้วก็ขนาดข้าหายแว่บมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าขนาดนี้
เจ้ายังมองไม่เห็นแถมไม่รู้ตัวเลยสักนิด
ต่างจากตอนที่มินาโตะเรียกข้าให้ปรากฏตัวในตอนนั้น
ข้าถูกพลังของมินาโตะบีบบังคับให้ปรากฏกายออกมาต่อหน้าทุกคน
ถึงข้าจะไม่ยินยอมแต่ก็ขัดขืนต่อบทสวดบทที่เก้าของมินาโตะไม่ได้
แต่ดูท่าคราวนี้...หากข้าไม่ปรากฏกายออกไปเอง
เจ้านี่ก็คงเรียกข้าออกไปไม่ได้เป็นแน่
ช่างน่าสมเพช
ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นไปตรงหน้า
เล็บทั้งห้าค่อยๆแหลมยาวขึ้นมาตามที่เล็บของอสูรควรจะเป็นทันที
หึ...ในเมื่อเจ้าเรียกข้าออกไปไม่ได้
มันก็ไม่ใช่หน้าที่ข้าที่จะต้องปรากฏตัวให้เจ้าเห็น
ดูซิว่า
เจ้าจะทำยังไงในเมื่อเจ้ามองไม่เห็นศัตรูอย่างข้า
รอยยิ้มมืดมนเคลือบอยู่ที่มุมปาก
ปลายนิ้วแหลมคมค่อยๆกรีดลงไปที่ลำคอของเจ้าหมอผีอวดดีตรงหน้าช้าๆ...ช้าๆ...
“ทะ
ท่านหมอผี!
คอ! คอท่าน!”
เสียงร้องอย่างตกใจทำให้วงผู้คนที่อยู่ชิดใกล้แตกฮือในทันทีเมื่อผู้ติดตามคนหนึ่งชี้ให้ดูที่คอของหมอผีที่จู่ๆก็มีรอยแผลปรากฏขึ้นมาพร้อมทั้งเลือดไหลเป็นทาง
“เฮ้ย?!”
เจ้าหมอผีเก๊นั่นตกใจกระโดดเหยงพร้อมกับถอยหนีด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก
ใบหน้ารกรุงรังนั่นหันมองซ้ายทีขวาทีอย่างที่ไม่รู้เลยว่าคนทำก็ยืนอยู่ตรงหน้านั่นแหละ
น่าสมเพช
น่าสมเพชสิ้นดี ข้าควรจะลดตัวไปฆ่าคนแบบนี้หรือ? แม้แต่เจ้าดำยังมากไปเลย
“มะ
ไม่ต้องกลัวนะครับทุกคน! โปรดอยู่ในความสงบ!
เมื่อกี้ผมก็แค่โดนลมอาคมบาดน่ะครับ!” ยังจะแถต่อไปได้
“ดะ
ดูสิ!
สงสัยเจ้ายักษ์นั่นจะกลัวจนหัวหดเลยไม่ยอมปรากฏตัวออกมา!”
ข้ายืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเจ้าเลยต่างหาก
“ถะ
ถ้างั้น! เราลองไปตามหาในอาคารต่างๆดูกันเถอะครับ! บางทีนักบวชคนนั้นอาจจะขังยักษ์ไว้ที่ไหนสักที่ในศาลเจ้าแห่งนี้ก็เป็นได้!”
เจ้าหมอผีนั่นพยายามปลุกปั่นผู้คนให้ลุกเดินตามไป
ทั้งนักข่าวทั้งกล้องต่างเดินตามเป็นขบวน
และที่ระเบียงทางเดินที่คู่ขนานกันไป
ก็มีร่างสูงสง่าในกิโมโนสีขาวคลุมทับด้วยฮาโอริสีม่วงครามเดินคู่ไปด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าไม่มีใครมองเห็นชายผู้สวมหน้ากากยักษ์สีทองผู้นั้นเลยสักคน
ประตูอาคารแล้วอาคารเล่าถูกเปิดออกอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ
และในเมื่อตามหอพิธีกรรมต่างๆต่างก็ไม่พบเจอยักษ์ที่ถูกขังเอาไว้
เหล่าผู้บุกรุกจึงคืบคลานไปจนถึงอาคารด้านหลังซึ่งเป็นส่วนของเรือนนอน
ประตูห้องแล้วห้องเล่าถูกเปิดออกก่อนจะพบแต่ความว่างเปล่าให้น่าผิดหวัง
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครคิดว่า...เมื่อประตูห้องห้องหนึ่งเปิดออก
จะได้พบเจอกับสิ่งที่ทำให้ทุกสายตาต้องตื่นตะลึง
ครืด!!
ห้องห้องนี้ไม่ได้ว่างเปล่า...แต่ห้องห้องนี้มีร่างในกิโมโนสีขาวร่างหนึ่งนั่งอยู่บนฟูก...
ผ้าห่มที่ยับย่นกองอยู่บนหน้าตักบ่งบอกได้ว่าร่างบอบบางร่างนั้นเพิ่งจะลุกขึ้นมาจากการนอน
บรรยากาศแปลกประหลาดที่ห้อมล้อมร่างสะโอดสะองอยู่นั้นทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจละสายตาไปได้
แล้วใบหน้ามนก็ค่อยๆหันมาช้าๆ...ช้าๆ...
ภาพตรงหน้าเป็นภาพที่ทั้งงดงามสะกดสายตาทั้งน่าสะพรึง
เพราะดวงตากลมโตที่เคยเป็นสีเขียวได้เปลี่ยนเป็นสีทอง
ขีดตรงกลางตั้งตรงไม่ใช่อย่างดวงตาของมนุษย์ ตาขาวเองก็เปลี่ยนเป็นสีดำ
ใบหน้ามนขาวราวกระดาษและดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่นมากกว่าจะเป็นใบหน้าของมนุษย์
สิ่งที่สะดุดตาอีกอย่างก็คือเขาสีดำคู่เล็กๆที่งอกอยู่บนหน้าผากทั้งสองข้าง
เจ้า...ตื่นแล้วสินะ?
“อรุณสวัสดิ์ มินาโตะ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
คุณกวางผู้รับรู้ถึงรังสีอำมหิตที่นักอ่านส่งมาให้
ก็เลยรีบปั่นตอนนี้มาให้ก่อนเลยค่ะ5555
จริงล่วย
เกี๊ยวนางไปคอลแลปกับค่ายที่ทำน้ำหอมด้วยค่ะ แปะรูปแล้วก็กลิ่นของแต่ละคนก่อน
ดอกไม้ประจำตัวของชูคือทิวลิปขาว ภาษาดอกไม้คือการรอคอย >////< ตายแร้ววว ก็รอเค้ามาตลอดจริงๆอ่ะเนอะ รอมาทั้งชีวิตตต >////< น้ำหอมเลยมีกลิ่นแบบหอมหวานน่าหลงใหล มีความสง่างามสูงส่ง ส่วนของน้องมิ พุดสามสีภาษาดอกไม้คือความสุขในวัยเยาว์ กลิ่นก็จะแบบสดชื่น หอมเย็นๆแต่หวานเล็กน้อย >////< ของมาสะซังก็ออกแนวผู้ใหญ่ๆ ใครอยากรู้ก็กูเกิลทรานเอานะคะ555 //อินี่ แต่ของเซยะนี่พีคสุดแล้ว5555 คือตูพีคมาตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าดอกไม้ประจำตัวของฮีคือดอกเดซี่ละ เพราะภาษาดอกไม้ของเดซี่คือความไร้เดียงสา 55555+ เกี๊ยววว คนที่เอามีปักหลังชูซังนี่ไร้เดียงสายังไงนะคะ555555+
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม และทุกๆโดเนทมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น