Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 10

 Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato]  ยักษ์ : 10

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au

: Fujiwara Shu x Narumiya Minato

: Romance Dark Fantasy

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ      

  

 

 

ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าก้าวไปบนพื้นไม้อายุนับพันปี สถานที่แห่งนี้ยังคงมืดมิดไร้แสงสว่าง ต้นไม้ในสวนจึงมองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆดูราวกับปีศาจร้าย

 

พอได้ไปใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ข้าจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าที่นี่มันช่างเงียบเหงาวังเวง และข้าก็อยู่กับความหดหู่นี้มาทั้งชีวิต ...อยู่กับมันโดยไม่รู้จักความรักมาก่อน ไม่เคยรู้เลยว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าความสุขจากการถูกรักและได้รักใครสักคนหนึ่งด้วย

 

แต่ตอนนี้ข้าได้ลิ้มรสความสุขนั้นไปแล้ว...

 

จะกลับไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกได้อย่างไร...

 

เป็นไปไม่ได้เลย

 

ร่างสูงสง่าเดินกอดอกซุกมือข้างหนึ่งไว้ในแขนเสื้อกิโมโน ดวงตาคมกล้าทอดมองระเบียงทางเดินยาวเหยียดที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นกรอบมิติวูบไหว อีกฟากถึงจะเป็นระเบียงทางเดินเหมือนกันแต่กลับฉาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น

 

สองสามวันข้าจะกลับมาที่มิติของข้าสักที เพราะข้ายังมีหน้าที่ที่ต้องจัดการกับโซ่กรรมบนแผ่นหลังหรือก็คือคนที่ถูกข้าทำเครื่องหมายของยักษ์เอาไว้

 

เพราะอาณาเขตของข้ากระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะญี่ปุ่น โซ่กรรมบนหลังข้าจึงเพิ่มขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวัน

 

ช่างขยันทำชั่วกันเสียจริงๆ...

 

ฝ่าเท้าก้าวออกมาจากกรอบมิติทิ้งเรือนรัตติกาลหลังนั้นไว้เบื้องหลัง แต่แทนที่จะได้เห็นใบหน้ามนหันมายิ้มให้จากบนชานไม้อย่างทุกที กลับมีเสียงแปลกแยกบางอย่างดังขึ้นมาแทน

 

 

ปัง ปัง ปัง!

 

 

เสียงอะไรน่ะ? เหมือนอาวุธของพวกมนุษย์เลย?

 

มินาโตะ?!

 

กลิ่นคาวของเลือดฉุนกึกแตะจมูกที่ไวต่อกลิ่นยิ่งกว่าจมูกมนุษย์มาก ร่างสูงสง่าก้าวขาออกไปทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ เพราะนี่มันคือกลิ่นเลือดของมินาโตะ

 

อสุราแห่งท้องนภาพุ่งด้วยความเร็วจนเหมือนหายตัวไปยังที่ที่จิตสัมผัสได้ถึงไออสูรของตน แล้วดวงตาสีม่วงก็มองเห็น...ร่างโปร่งบางแสนคุ้นตาที่ล้มจมกองเลือดอยู่ที่พื้น!

 

 

“มินาโตะ!

 

 

เสียงเรียกนั้นดังก้องไปทั่วทั้งศาลเจ้าจนคนที่นั่งกอดธนูอยู่บนรถถึงกับขนลุกเกรียว เด็กหนุ่มตาค้างเพราะทั่วทั้งร่างยังจำเสียงๆนี้ได้เป็นอย่างดี

 

ยักษ์...ตนนั้นยังอยู่ที่นี่จริงๆด้วย

 

ความกลัวสุดขั้วหัวใจยังฝังอยู่ในทุกอณูของร่างกาย สองขาได้แต่เขย่าอย่างกระสับกระส่ายเพื่อรอพี่หมอผีกลับมาที่รถ บ้าเอ้ย มัวทำอะไรอยู่เนี่ย!

 

 

 

ร่างในกิโมโนสีดำเดินโงนเงนไปยังแอ่งเลือดแดงฉานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

 

ไม่จริงใช่ไหม...

 

ข้าละสายตาไปจากเจ้าแค่ไม่ถึงชั่วโมงเองนะ...มันไม่จริงใช่ไหมบอกข้าทีมินาโตะ!

 

ฝ่าเท้าก้าวเหยียบลงไปบนเศษกระเบื้องที่แหลมคมอย่างไม่แยแส...มันเคยเป็นจานใบหนึ่ง...แต่ตอนนี้มันแตกเป็นชิ้นๆและแอปเปิ้ลที่เคยใส่อยู่นั้นก็หล่นอยู่บนพื้น

 

เลือดของเจ้า...ค่อยๆไหลซึมมายังผลไม้หวานฉ่ำชิ้นนั้นที่เจ้าปอกไว้ให้ข้า...

 

ติ๋ง...

 

น้ำใสๆหยดลงใส่แอ่งเลือดจนแตกกระเซ็น

 

มันเป็นน้ำ...ที่ออกมาจากดวงตาของข้าเอง...

 

ข้าสัมผัสไม่ได้...ถึงลมหายใจของเจ้า เสียงหัวใจของเจ้า จิตวิญญาณของเจ้า สัมผัสไม่ได้เลยว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่!

 

เพราะแบบนั้น...น้ำใสๆพวกนี้จึงหยดลงไปทั้งที่ข้าไม่ทันรู้ตัว ทั้งที่หัวใจของข้านั้นว่างเปล่า ทั้งที่ข้าไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าความโศกเศร้า แต่น้ำตาของข้ากลับไหลออกไป

 

ร่างสูงสง่าทรุดนั่งลงไปตรงหน้าร่างที่นอนแน่นิ่งอย่างไม่สนใจว่าชายกิโมโนจะจุ่มลงไปในกองเลือด มือที่สั่นเทาเอื้อมออกไปแตะแก้มใส ดวงตาของเจ้ายังเปิดอยู่แต่มันกลับไม่สะท้อนเงาของข้า ไม่สะท้อนสีของท้องฟ้า ไม่สะท้อนสิ่งใดเลย...

 

ไม่จริง...มันไม่จริง...

 

เมื่อกี้เจ้ายังยิ้มให้ข้า เจ้ายังไล่ให้ข้ารีบไป เพื่อที่ข้าจะได้รีบกลับมา...

 

แล้วทำไม...แค่ชั่วพริบตา...เจ้าถึงจากข้าไปง่ายดายเช่นนี้...

 

ฝ่ามือแข็งแกร่งเอื้อมออกไปโอบกอดใบหน้ามนก่อนจะดึงหัวสีดำเข้ามาแนบอก

 

 

“มินาโตะ...ปลุกให้ข้าตื่นจากความฝันนี้ที”

 

“บอกข้าสิว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย เจ้ายังไม่ตาย ยังไม่ไปไหน ยังยิ้มให้ข้าและรอข้าตื่นขึ้นมา...ฮึก...”

 

“ลืมตา...ขึ้นมาพูดกับข้าสิ...มินาโตะ”

 

 

เสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดดังก้องไปทั่วภูเขาจนแม้แต่ท้องฟ้าก็ยังทอสีหม่นเศร้า เสียงสะอื้นที่ดังออกมานั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าหัวใจของยักษ์ผู้นี้กำลังแหลกสลายขนาดไหน

 

 

“อึก...เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ที่ตัวเล็กๆแค่นี้ บอบบางแค่นี้...แต่เจ้ากลับ...ทำให้ยักษ์อย่างข้า...ได้รู้จักกับความสูญเสีย...ความกลัว...ความทรมานแทบขาดใจ”

 

 

เสียงพูดนั้นแสนสั่นเครือและน้ำตาก็ยังหยดรดลงไปบนใบหน้าที่เริ่มจะซีดเผือด ร่างกายที่กอดไว้ค่อยๆเย็นขึ้นทุกทีๆ

 

หัวใจของข้าเหมือนถูกบีบ

 

มันเจ็บมาก มันโกรธแค้น มันเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

“ออกไป!!

 

 

ข้าไม่ได้ตะคอกบอกไล่เจ้าคนที่วิ่งหนีเห็นหลังไวๆนั่น แต่เสียงก้องกังวานกำลังคำรามไล่เงาสีดำที่กำลังปรากฏขึ้นที่ประตู

 

นั่น...คือยมทูต

 

 

“กลับไปซะ! ไม่ว่าหน้าไหนก็พาเขาไปจากข้าไม่ได้!

 

 

“ท่านจะกำจัดเขาเองใช่หรือไม่? แต่เขาไม่ใช่คนที่ท่านจะกำจัดได้นี่?”

 

 

“ข้าจะกำจัดเขาเอง เจ้าไสหัวไปซะ”

 

 

“ขอรับ นายท่าน”

 

 

“บอกนายของเจ้าด้วย ว่าอย่าเสนอหน้ามายุ่ง!

 

 

เงาสีดำก้มหัวให้ก่อนจะเลือนหายไป ไม่ว่าจะนรกหรือสวรรค์ก็ไม่มีวันพรากเจ้าไปจากข้าได้

 

เจ้าไม่หายใจแล้วอย่างไร หัวใจของเจ้าไม่เต้นแล้วอย่างไร เจ้าจะตายแล้วอย่างไร!

 

 

ข้าไม่ยอม

 

 

ข้าไม่ยอม!!

 

 

ใบหน้าหล่อเหลากัดฟันอย่างโกรธแค้นก่อนจะค่อยๆอุ้มร่างโปร่งบางขึ้นมา มือสีขาวตกห้อยลงไปยิ่งทำให้ดวงตาสีม่วงเย็นยะเยือก

 

พอกันทีกับร่างกายที่บอบบางราวกับกลีบดอกไม้ของเจ้า

 

ต่อให้ข้าจะทะนุถนอมเจ้าดีแค่ไหน แต่ใครต่อใครทำไมถึงชอบมาทำร้ายเจ้าอยู่เช่นนี้

 

ตึ้ง!

 

ก้าวแรกที่ฝ่าเท้าเหยียบลงไปก็ทำให้ทั้งมิติถึงกับสั่นสะเทือน

 

จากอาคารที่เปื้อนไปด้วยเลือดกลับกลายเป็นเรือนไม้ที่ฉาบไล้ไปด้วยแสงจันทร์ที่ข้าเพิ่งจะจากมา ข้าจะพาเจ้าไปที่มิติของข้า

 

 

 

 

ร่างโปร่งบางถูกวางลงกลางห้อง เสื่อทาทามิรองรับเลือดจนชุ่มโชก

 

ดวงตาสีม่วงทอดมองร่างที่ไม่ไหวติง ไออสูรที่ต้นขากับหน้าท้องหยุดทำงานแล้วเพราะหัวใจของเจ้าหยุดเต้นไปก่อนที่มันจะซ่อมแซมร่างกายของเจ้าเสร็จ

 

หากเจ้าเป็นยักษ์เช่นข้าและมีไออสูรเป็นของตัวเอง กระสุนแค่สามลูกนี้ไม่มีทางฆ่าเจ้าได้อย่างแน่นอน แต่ไออสูรที่อยู่ในตัวเจ้าตอนนี้มันไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น มันจึงช่วยเจ้าไว้ไม่ได้...

 

มือใหญ่แตะลูบลงไปที่รอยแผลสามรอยบนขมับ ดวงตาสีม่วงมองมันอย่างเหม่อลอย

 

สัญชาตญาณของภูตผีปีศาจทุกตนล้วนรู้ดีว่าการจะเพิ่มพลังให้แก่ตนเองได้จำต้องกัดกินอะไรบางอย่าง ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่มันกิน แต่ภูตผีปีศาจก็กินกันเองเช่นกัน ภูตผีที่อ่อนแอก็จะโดนปีศาจที่แข็งแรงกว่าจับกิน ปีศาจที่อ่อนแอก็จะโดนอสูรหรือเผ่าพันธุ์ของยักษ์ที่แข็งแรงกว่าจับกิน  ยักษ์ที่อ่อนแอก็ยังโดนยักษ์ที่แข็งแรงกว่าจับกิน

 

เพราะฉะนั้นพวกข้าจึงรู้ดี...ว่าร่างกายของตนนั้นพิเศษเช่นไร

 

มันถูกกินได้...

 

และหากได้กินร่างกายของยักษ์เข้าไป...วิญญาณที่ออกจากร่างของเจ้าก็จะไม่มีวันแตกสลาย

 

ปกติแล้วเจ้าคงจะกลายเป็นภูตผีหรือไม่ก็ปีศาจ

 

แต่ยักษ์ที่เจ้ากำลังจะกินนั้นคือข้า คืออสุราแห่งท้องนภา

 

เพราะฉะนั้นยามเมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง...เจ้าก็จะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

 

 

แต่เจ้าจะกลายเป็น “ยักษ์”

 

 

 

 

 

 

ติ๋ง

 

เพราะดินแดนแห่งนี้ไม่มีนกหนูหรือแม้แต่แมลงสักตัว เสียงของน้ำที่หยดลงไปในถ้วยชาจึงเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังอยู่ณ.ตอนนี้

 

ติ๋งติ๋ง

 

เสียงของมันก้องกังวานและสงบราวกับจะตอกย้ำถึงการตัดสินใจที่หาได้ยากเย็นนัก  และหากมองดูให้ดีก็จะเห็นว่าน้ำที่หยดลงมาจากข้อมือของข้านี้มันมีสีแดง

 

เลือดของยักษ์ก็มีสีไม่ต่างไปจากเลือดของมนุษย์เลย

 

ดวงตาคมกล้ายังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าซีดเซียว

 

เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องสยดสยองอย่างการกัดกินร่างกายของข้าสดๆ ทว่า เจ้าเพียงดื่มเลือดซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายข้าเช่นกันก็พอ

 

ข้าจะให้เจ้ากินจนกว่าเจ้าจะลืมตาขึ้นมา จะห้าวัน สิบวันหรือพันปี ข้าก็จะกรีดเลือดให้เจ้ากินอยู่แบบนี้

 

และแล้วใบหน้ามนที่ข้าจับจ้องมาตลอดก็เริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่าง ร่างกายของเจ้าเริ่มมีอีกเงาซ้อนทับไปมา

 

ได้เวลาแล้วสินะ?

 

เวลาที่วิญญาณของเจ้าจะออกจากร่าง

 

ตามปกติแล้ววิญญาณของเจ้าจะต้องออกจากร่างเร็วกว่านี้และถูกยมทูตรับตัวไปยังปรภพ ที่ที่วิญญาณจะได้พักผ่อนอย่างแท้จริง เพื่อรอชดใช้กรรมหรือรอไปเกิดใหม่ จะได้ไปนรกหรือสวรรค์ก็ตัดสินกันตอนนั้น

 

ทว่าข้ากลับไปลักพาดวงวิญญาณของเจ้ามา

 

ที่วิญญาณของเจ้าเพิ่งจะออกจากร่างเอาป่านนี้นั่นก็เพราะเจ้าอยู่ในมิติของข้าผู้ควบคุมกาลเวลาทั้งหมดในมิตินี้ด้วยตัวเอง

 

ข้าต้องเตรียมตัว และตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว

 

ถ้วยชาล้นปรี่ไปด้วยเลือดของข้าพอดี

 

ร่างที่เป็นเงาโปร่งใสของเจ้าค่อยๆลืมตาขึ้นมา เจ้ากระพริบตาช้าๆอย่างมึนงง สองแขนของเจ้าค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นนั่งและนั่นก็ทำให้วิญญาณของเจ้าแยกออกจากร่างที่นอนอยู่

 

“....?!”    เจ้าดูตกใจ แต่ว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไร

 

มือใหญ่ของข้าเอื้อมออกไปจับปลายคางมนของเจ้าก่อนจะบีบบังคับให้ริมฝีปากอ้าออก 

 

ถ้วยชายกจรดริมฝีปากของข้า เลือดของตัวเองหลั่งไหลเข้ามาในปากจนเกิดเป็นรสชาติที่แปลกประหลาด

 

ข้าประกบริมฝีปากคาวเลือดนั้นลงไปที่ปากของเจ้า ดุนดันกึ่งบังคับให้เจ้ารับของเหลวสีแดงนั้นเข้าไป

 

เจ้าต่อต้านเพราะเจ้าไม่เข้าใจ แต่ข้าก็ไม่มีเวลาอธิบายไปมากกว่านี้ ต้องรีบให้วิญญาณของเจ้ากินเลือดของข้าก่อนที่มันจะออกจากร่างจนหมด

 

อื้อ?!”    สองมือที่โปร่งใสของเจ้าพยายามผลักไสข้า ข้าจึงรวบทั้งตัวเจ้ามากอดเอาไว้ให้เจ้าดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน

 

ริมฝีปากละออกมาเพื่อดื่มเลือดจากถ้วยชาเข้าไปอีก  เจ้าไอจนตัวโยน แต่ข้ากลับไม่รอช้าและยังคงประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้งแล้วครั้งเล่า

 

กลุกๆๆ

 

จนถ้วยชาที่ว่างเปล่ากลิ้งกลุกๆอยู่บนพื้น

 

อึ้ก?!”    เลือดของข้าเป็นพิษ เจ้าเลยมีท่าทางทรมาน แต่ข้ากลับไม่มีเวลาปลอบโยนเจ้า

 

ฝ่ามือใหญ่กางลงไปบนใบหน้ามนก่อนจะกดวิญญาณโปร่งใสนั้นกลับลงไปในร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น

 

กลับไปซะ กลับเข้าร่างของเจ้าไป

 

ให้ร่างกายอันบริสุทธิ์ของเจ้าปกป้องเจ้าจากการเป็นยักษ์ไร้สติ เจ้าจะกลายเป็นยักษ์ที่มีปัญญาเฉกเช่นเดียวกับข้าต่อเมื่อเจ้ายังมีร่างกายเท่านั้น

 

วิญญาณโปร่งใสของเจ้าดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทรมาน ข้าได้แต่กัดฟันทนมองเห็นเจ้าเป็นแบบนั้น สองแขนแข็งแรงจึงรวบตัวเจ้าขึ้นมากอดแน่นเพื่อให้วิญญาณของเจ้าไม่หลุดออกไปจากร่าง ไม่ว่าเจ้าจะต่อต้านกัดข่วนข้าแค่ไหนข้าก็ยังกอดเจ้าไม่ปล่อย

 

 

เจ้าค่อยๆสงบลงหลังจากใช้เวลาไปไม่น้อย

 

 

วิญญาณของเจ้ากลับเข้าไปอยู่ในร่างที่เย็นชืด แต่ข้าก็ละสายตาไปจากเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ

 

ติ๋งติ๋ง

 

เลือดจากข้อมือข้ายังคงหยดลงไปในถ้วยชา

 

วิญญาณของเจ้าจะตื่นขึ้นมาและจะพยายามออกจากร่างอีก

 

นั่นสินะ การจะทำให้คนดีๆสักคนหนึ่งกลายเป็นยักษ์มันย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จในชั่วข้ามคืนอยู่แล้ว

 

แต่เจ้าไม่ต้องห่วงข้าจะไม่จากเจ้าไปไหนข้าจะรอเจ้าลืมตาขึ้นมามองข้าอีกครั้ง มินาโตะ



 

 

 

 

อึ้ก!! ฮื่อ!!”    ฟันบนกับฟันล่างของข้ากัดกันแน่น ความเจ็บปวดจากการถูกกัดถูกระบายเป็นเสียงคำรามอยู่ในลำคอ

 

ตอนนี้เจ้าไม่ดื่มเลือดที่ข้าป้อนให้แล้ว แต่กลับกัดกินจากท่อนแขนของข้า ฝ่ามือได้แต่กำแน่นยามเมื่อชิ้นเนื้อสดๆถูกฉีกกระชากออกไปข้าทนได้ แค่นี้ข้าทนเพื่อเจ้าได้

 

เลือดเลอะรอบปากลามไปถึงแก้มและคางของเจ้า จากนักบวชผู้บริสุทธิ์เจ้ากลับดูสยดสยองมากในตอนนี้

 

ดวงตากลมโตสีแดงฉานค่อยๆหรี่ปรือลง ก่อนที่ดวงวิญญาณของเจ้าจะหลับไปทั้งที่อาหารคาปาก

 

ฮ้าฮ้า…”    ข้าหอบหายใจก่อนจะประคองร่างโปร่งใสของเจ้าให้ค่อยๆนอนทับลงไปบนร่างกายที่ยังไม่มีสีเลือด ไม่ว่าโลหิตจะไหลย้อยเต็มแขนของข้าหรือแผลจะเหวอะหวะแค่ไหนข้าก็หาได้ใส่ใจ

 

ดวงตาของข้ายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเจ้าเท่านั้นนับวันเจ้าก็ยิ่งหิวกระหายจนข้าถึงกับขมวดคิ้ว

 

ตอนนี้เจ้าเหมือนวิญญาณร้ายที่ใกล้จะคลุ้มคลั่งเต็มทีจนทำเอาข้าเริ่มใจไม่ดี

 

หรือว่ามันจะเป็นไปไม่ได้กันนะ?

 

ข้าไม่ควรฝืนทำให้เจ้ากลายเป็นยักษ์หรือเปล่า

 

ความเห็นแก่ตัวของข้า ความยึดติดของข้า กำลังทำร้ายเจ้าอยู่หรือเปล่า

 

 

 

 

 

 

ไออสูรยังคงทำหน้าที่ของมันไม่ได้ขาด ควันสีดำลอยคลุ้งพวยพุ่งอยู่รอบๆแขนของข้าไม่รู้กี่วันกี่คืนมาแล้ว

 

หัวสีชาเอนซบเสาไม้ของชานเรือนในขณะที่ดวงตาสีม่วงก็ทอดมองไปไกล ถึงสิ่งที่มองเห็นจะเป็นเพียงสวนซึ่งอยู่ภายใต้แสงจันทร์ แต่จิตใจของข้านั้นก็หาได้ต้องการความรื่นรมย์ใดๆไม่

 

ยิ่งเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ข้ายิ่งสงสารจับใจ  มีหลายต่อหลายครั้งที่ข้าอยากจะอุ้มเจ้าพาดบ่าแล้วพาเจ้าไปส่งยังปรภพ

 

แต่ข้าก็ปล่อยมือจากเจ้าไม่ได้ตัดใจจากเจ้าไม่ได้

 

มือใหญ่ขย๋ำลงไปบนอกเสื้อข้างซ้าย  ข้างใต้นี้มันเจ็บเหลือเกิน

 

ข้าต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  เจ้าคงไม่อยากมีสภาพราวกับปีศาจเช่นนี้ และข้าก็แทบทนไม่ได้ยามเมื่อเจ้ากรีดร้องอย่างทุรนทุราย ข้าไม่รู้เลยจริงๆว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่ และผลลัพธ์สุดท้ายแล้วเจ้าจะกลายเป็นยักษ์เช่นข้าหรือว่าเจ้าจะทนไม่ไหวแล้วกลายเป็นปีศาจไปเสียก่อน

 

ตอนนี้มันเป็นราวกับเกมวัดใจ

 

ข้าหรือเจ้าที่จะทนไม่ไหวก่อนกัน

 

ได้โปรดอยู่กับข้าเถอะ

 

อยู่เคียงข้าอย่าทิ้งข้าไปเลย

 

ข้ารักเจ้าและชีวิตนี้ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก

 

ขอเพียงเจ้าอยู่กับข้า ไม่ว่าอะไรข้าก็มอบให้ได้ทั้งนั้น

 

ข้าจะอดทนต่อความเจ็บปวดในใจ จะทนรอเจ้าข้ามผ่านมันไปให้ได้ ข้าขอร้องเจ้า

 

 

“อยู่กับข้านะมินาโตะ”

 

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สองมือของข้ายกขึ้นมากอบกุมกันอยู่ที่หน้าอกราวกับกำลังอธิษฐานอย่างแรงกล้า

 

หิ่งห้อยสีม่วงครามนับร้อยลอยขึ้นมาจากในสวนทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อนข้าอยู่ที่นี่มาพันกว่าปีไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน...แสงกระพริบเล็กๆพวกนั้นชวนให้ข้านึกถึงเจ้า ราวกับเจ้ากำลังปลอบโยนข้าอย่างแผ่วเบา

 

ภาพตรงหน้านั้นแสนอ่อนโยนจนข้าเผลอเอนตัวนอนตะแคงลงกับพื้นไม้ด้วยความเหนื่อยล้า

 

เจ้ากำลังลูบหัวข้าอยู่ใช่ไหมเจ้ากำลังให้ข้านอนหนุนตักและบอกข้าว่าไม่เป็นไรอยู่ใช่ไหม

 

เจ้าตอบรับคำขอของข้าแล้วใช่หรือไม่?



 

 

 

 

ดูเหมือนเจ้าจะรับรู้ความรู้สึกของข้า

 

ความคิดที่คอยบั่นทอนจิตใจของข้าค่อยๆเบาบางลง นั่นก็เพราะวิญญาณกับร่างกายของเจ้าดูจะเสถียรมากขึ้น

 

ข้าเฝ้ามองร่างอันบอบบางที่นอนนิ่งของเจ้า นานๆทีก็จะมีเงาโปร่งใสของวิญญาณแว่บๆออกมาบ้าง แต่มันนานพอที่แผลบนข้อมือข้าจะถูกไออสูรรักษาจนหาย และหากเมื่อใดที่วิญญาณโปร่งใสนั้นติดๆดับๆจนมองเห็นชัดเป็นรูปเป็นร่าง ดาบสั้นในอกเสื้อของข้าก็จะกรีดลงไปบนข้อมือแข็งแรงข้างนี้ใหม่

 

ติ๋ง

 

ข้าไม่ได้หยดมันลงไปในถ้วยชา แต่ข้าหยดเลือดของข้าลงไปบนกลีบปากของเจ้าโดยตรง

 

วิญญาณโปร่งใสค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆทั้งที่ยังนอนซ้อนทับอยู่บนกายเนื้อ ลิ้นสีขาวจางๆค่อยๆแล่บเลียหยดเลือดที่เลอะอยู่บนริมฝีปาก

 

ดวงตาของเจ้าจ้องมองข้าส่วนลิ้นเล็กๆนั่นก็ค่อยๆแล่บเลียเลือดซึ่งไหลเป็นทางบนข้อมือที่ข้าขยับไปจ่อปากให้

 

กลีบปากนุ่มนิ่มครอบลงไปบนรอยแผลจนข้าต้องกลืนน้ำลาย เสียงดูดจุ๊บจ๊วบนั้นทำเอาข้าต้องตั้งสมาธิให้แน่วแน่

 

นี่หากเจ้าไม่อยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ข้าคงให้เจ้ากินส่วนอื่นของร่างกายข้าไปแล้ว

 

ก็น้ำที่ออกจากร่างกายของข้ามีแค่เลือดอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่?

 

ข้าถอนหายใจเมื่อเจ้าหลับตาเข้าสู่นิทราอีกครั้งคิดอกุศลกับเจ้าได้แบบนี้คงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่าอาการของเจ้าดีขึ้นมาก  ดีจนข้าแทบคลายกังวลแล้ว

 

เจ้าไม่หิวกระหายเหมือนตอนแรกแล้ว และดูเหมือนเจ้าจะพูดรู้ภาษามากกว่าเดิม ความถี่ที่วิญญาณของเจ้าจะออกมาจากร่างก็น้อยลงกว่าเดิม

 

ร่างกายของเจ้า...กำลังดึงดูดและจับดวงวิญญาณของเจ้าฝังเอาไว้

 

เพราะไม่ได้มีแค่ดวงวิญญาณที่เปลี่ยนไป ร่างกายของเจ้าเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน



 

 

 

 

เสียงร่ายคาถาสะกดวิญญาณดังด้วยเสียงทุ้มต่ำติดต่อกันเป็นเวลาหลายคืนมาแล้ว ตอนเจ้ายังเป็นนักบวชอยู่เจ้าก็มีพลังมหาศาล พอเจ้าตาย จิตวิญญาณยิ่งใกล้ชิดกับธรรมชาติ อาคมของเจ้าก็ยิ่งกล้าแกร่งทบทวีคูณ

 

หากข้าไม่ลักพาตัวเจ้ามาวิญญาณของเจ้าอาจจะกลายเป็นเทพเจ้าก็ได้

 

แต่ก็นั่นแหละ มันไม่มีอะไรมารับประกันว่าเราจะได้เจอกันอีกในโลกหลังความตาย  วิญญาณของเจ้าอาจจะถูกเลือกให้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อชดใช้กรรมอีกแล้วและสูญสลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไปก็ได้

 

อีกอย่าง...พอเจ้าก้าวเข้าไปยังปรภพ เจ้าก็จะลืมข้าไปจนหมดสิ้น

 

 

"อึ้ก!"    โซ่สีดำที่บ้าคลั่งเส้นหนึ่งพุ่งเฉียดแก้มของข้าจนเลือดซิบเรียกให้ข้าหันมามีสมาธิกับพิธีกรรมที่อยู่ตรงหน้า พวกมันไม่ใช่โซ่กรรมของข้าเพราะมันมีขนาดเล็กและบางกว่า 

 

แต่โซ่ที่กำลังรวมตัวกันชูคอราวกับอสรพิษแผ่แม่เบี้ยพวกนี้เป็นโซ่ของเจ้า มันพุ่งเข้าใส่ข้าอย่างดุร้ายและควบคุมไม่ได้

 

สมแล้วที่มันเป็นโซ่ของเจ้า มันมีพลังมหาศาลจริงๆ

 

เกรียวโซ่ที่ม้วนรวมราวกับงูใหญ่แตกกระจายก่อนจะพุ่งวนราวกับพายุไปรอบห้อง มันตั้งใจจะทำให้ข้าสับสนเพื่อกลับเข้ามาเล่นงานข้าอีกครั้ง แถมโซ่ยังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ

 

ฮึ ดื้อเสียจริง

 

ข้ากลับยิ้มได้ในสถานการณ์เช่นนี้ มือใหญ่หงายขึ้นก่อนจะยื่นไปข้างหน้า เวทย์กำราบที่ข้าแทบไม่เคยใช้ถูกร่ายออกมา

 

ตึ้ง!

 

แล้วโซ่ทุกเส้นก็ถูกอักขระของข้าล็อคคอตรึงไว้กับผนังในชั่ววินาที

 

เฮ้อข้าถึงกับถอนหายใจจากนี้ไปข้าไม่ควรทำให้เจ้าโกรธสินะถ้าเจ้าปล่อยเด็กพวกนี้มาอาละวาดใส่ข้าคงปวดหัวน่าดู

 

แกร๊ง

 

มีบางเส้นยังขู่ฟ่อใส่ข้าอยู่เลย

 

ข้าจับเจ้าลุกขึ้นนั่งทั้งที่ดวงตาของเจ้ายังปิดสนิท

 

สองแขนวาดไปในอากาศที่ว่างเปล่า แล้วข้าก็ปลดอักขระในชั่วพริบตา 

 

ครื้นนน แกร๊กๆๆๆๆ

 

โซ่สีดำหมุนวนไปตามมือข้า ก่อนที่ทั้งหมดจะพุ่งไปยังจุดๆเดียว

 

แผ่นหลังบอบบางของเจ้า!

 

"อึก…"   คิ้วของเจ้าขมวดยามเมื่อโซ่ทุกเส้นพุ่งเข้าไปในกายเจ้า แต่คอเจ้าก็พับลงไปอีกครั้งเมื่อปลายสุดท้ายวิ่งผ่านเข้าไป

 

ข้าค่อยๆจับเจ้านอนราบลงพลางใช้แขนกิโมโนเช็ดเหงื่อตามไรผมให้

 

ไม่ต้องกังวลไป ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีต่อให้ข้าจะไม่เคยทำให้ใครกลายเป็นยักษ์มาก่อนเช่นนี้

 

หลักฐานก็คือโซ่กรรมที่ออกมาจากตัวเจ้าอย่างที่เห็น และโซ่พวกนี้ก็จะมีเฉพาะในยักษ์ที่เป็นเทพเจ้าเช่นข้าเท่านั้น ยักษ์ที่เกิดจากวิญญาณอาฆาตชั่วร้ายทั่วๆไปจะไม่มี

 

 

อีกไม่นาน...เจ้าก็จะลืมตาตื่นขึ้นมา...ในฐานะยักษ์เช่นเดียวกับข้า

 

 

 

 

แล้วก็เป็นเพราะว่าข้าไม่ได้กลับมาที่ศาลเจ้าเสียนาน จึงไม่รู้เลยว่าทางนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง



 

 

กรอบมิติเปิดออกเมื่อฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่างออกมา ห้องของข้ากับห้องของเจ้าเชื่อมต่อกันทันที ไม่นานจากโลกที่มืดมิดก็กลับสู่โลกที่สว่างไสวอีกครั้ง

 

นานเลยที่เจ้าไม่ได้กลับบ้าน

 

ข้าใช้เวลารักษาเจ้าโดยไม่ได้ไปไหนเป็นแรมเดือน แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว 

 

เจ้าจะไม่มีวันตาย เจ้าจะไม่หายไปจากข้างกายของข้าอีก

 

ท่อนแขนแข็งแรงวางร่างโปร่งบางลงบนฟูกสีขาว ตอนนี้ทั้งร่างกายและวิญญาณของเจ้าเสถียรมากแล้ว แต่เจ้ายังต้องนอนหลับอีกหน่อยเพื่อฟื้นฟูพลัง

 

ข้าลูบหัวสีดำด้วยความอ่อนโยนก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ เจ้าตื่นมาในที่ที่มีท้องฟ้าและอากาศสดใสแบบนี้น่าจะดีกว่า

 

แต่ฝ่ามือของข้าก็ชะงักไปเมื่อหูได้ยินเสียงอะไรดังมาจากที่ไกลๆ เหมือนจะเป็นเสียงพูดคุยของมนุษย์?

 

ใบหน้าหล่อเหลาหันควับไปยังทิศที่มาของเสียงทันที เหมือนจะดังมาจากบริเวณด้านหน้าศาลเจ้า?

 

ร่างสูงสง่าจึงหายวับไปจากตรงนั้นในชั่วพริบตาก่อนจะมายืนอยู่บนเสาโทริอิสีแดงตรงหอสักการะที่อยู่ด้านหน้าศาลเจ้า

 

รถที่มีจานสัญญาณแปลกๆจอดอยู่รอบๆหลายคันและข้าก็ไม่เคยเห็นศาลเจ้าแห่งนี้มีคนมากมายขนาดนี้มานานแล้ว เจ้ามนุษย์พวกนั้นมาทำอะไรกัน?

 

ดวงตาคมกล้าเหยียดมองลงไป ข้าเห็นกลุ่มคนที่ถือกล้องและไมค์ยืนล้อมโต๊ะตัวหนึ่งเอาไว้และชายสองคนที่นั่งพูดอยู่หลังโต๊ะตัวนั้นก็ทำให้ไอเย็นยะเยือกแผ่ออกไปจากตัวข้า

 

เจ้าพวกนั้นคนที่มาขโมยธนูและทำให้มินาโตะต้องตาย!

 

แกรก!

 

มือใหญ่กำโซ่สองเส้นที่เชื่อมต่อจากแผ่นหลังของข้าไปยังสองคนนั้นเพื่อตอกย้ำให้มั่นใจ เป็นพวกมันไม่ผิดแน่

 

ใบหน้าทะมึนจ้องเขม็งไปที่สองคนนั้น  ต้องขอบคุณเวลากว่าเดือนที่ข้าใช้รักษามินาโตะ มันทำให้หัวใจที่โกรธแค้นจนแทบจะมอดไหม้ของข้าค่อยๆเย็นลง หากเป็นตอนที่เพิ่งเกิดเรื่องข้าคงใช้มือบดขยี้พวกมันให้ตายเสียตรงนี้ทันที แต่เพราะตอนนี้ข้าใจเย็นลงแล้ว พวกเจ้าจะไม่ได้ตายง่ายๆ ไม่ได้ตายทันที ไม่ได้ตายดี! 

 

ข้าจะใช้ความโหดเหี้ยมอำมหิตทั้งหมดที่ข้ามีส่งพวกเจ้าลงนรกอย่างทรมานที่สุดให้เอง

 

นี่เป็นการถ่ายทอดสดจากศาลเจ้ายาตะค่ะ หลังจากที่คุณเอโนมะ หมอผีชื่อดังในโลกโซเชียลได้ทำการป่าวประกาศว่าจะมาทำพิธีปราบยักษ์ในวันนี้ และได้เชิญสื่อหลายแขนงเข้าร่วมชมพิธีแบบใกล้ชิดติดขอบสนามกันด้วยค่ะ    นักข่าวภาคสนามยืนรายงานอยู่รอบๆโต๊ะแถลงข่าวเพื่อเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบ

 

ศาลเจ้ายาตะนั้นเป็นที่เลื่องลือและรู้กันดีในวงการเรื่องลี้ลับว่าเป็นศาลเจ้าใหญ่ที่เป็นดั่งจุดศูนย์กลางของการปัดเป่าภูตผีปีศาจและสิ่งไม่ดีทั้งหลายมาช้านาน  แต่จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาศาลเจ้ายาตะกลับเหมือนโดนคำสาปเสียเอง ขนาดนักบวชของศาลเจ้ายังอยู่กันไม่ได้ ต่างพากันย้ายหนีไปหมด แม้แต่ชาวบ้านที่อยู่บริเวณตีนเขารอบๆนี้ก็ยังทยอยย้ายออกจนแทบไม่มีใครเหลือ เมื่อหลายเดือนก่อนก็มีภัยพิบัติอย่างแผ่นดินไหวและอาคารหลังหนึ่งก็ได้ปลิวหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เป็นเหตุการณ์ลี้ลับที่ทำให้ประชาชนในละแวกนี้เดือดร้อน และเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น หมอผีเอโนมะก็กล่าวอ้างว่ามันเป็นเพราะที่นี่มียักษ์สิงสู่อยู่ค่ะ    นักข่าวสาวยังคงรายงานต่อไป

 

“หลายท่านอาจจะงงว่ามียักษ์อยู่แล้วมันร้ายแรงยังไง? ถ้าพูดกันตามลำดับขั้นของพวกสิ่งลี้ลับแล้วจะเป็นดังนี้ค่ะ วิญญาณทั่วไปจะอยู่ต่ำสุด มีพลังและความร้ายกาจต่ำสุด ต่อไปก็คือภูตผี วิญญาณแค้น ปีศาจ คำสาป และที่อยู่สูงที่สุดก็คืออสูรหรือก็คือยักษ์นั่นเองค่ะ”

 

และเด็กหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่ยักษ์ปรากฏตัวและยืนยันได้ว่าที่นี่มียักษ์ถูกกักขังอยู่จริงๆก็คือเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆคุณเอโนมะนั่นเองค่ะ เรามาฟังแถลงการจากเด็กหนุ่มกันดีกว่านะคะ   แล้วภาพจากกล้องตัวนี้ก็ตัดไปยังกล้องตัวที่อยู่ที่โต๊ะแถลงข่าว ภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฎเต็มหน้าจอแทนหน้าของนักข่าวสาว

 

ผมกับเพื่อนๆเคยโดนยักษ์นั่นทำเครื่องหมายเอาครับ มันเป็นยักษ์ที่โหดเหี้ยมร้ายกาจมาก พวกผมแค่เข้าไปในศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่งยังไม่ทันได้ทำอะไร มันก็ตามมาฆ่าเพื่อนๆของผมไปถึงห้าคนเลยครับ

 

แต่นักบวชคนหนึ่งของที่นี่ก็ช่วยผมไว้ โดยการสะกดวิญญาณของยักษ์นั่นเอาไว้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ มันยังถูกขังอยู่ที่นี่ครับ”    เสียงฮือฮาดังมาจากรอบๆโต๊ะเพราะเรื่องของเด็กหนุ่มนั้นถูกพิสูจน์มาระดับหนึ่งแล้วว่าเป็นความจริง ข่าวทุกสำนักเคยออกเรื่องราวการตายอย่างโหดร้ายทารุณของเพื่อนๆในกลุ่มกันมาแล้ว

 

คุณเอโนมะ ในฐานะที่คุณเป็นหมอผีที่ชื่อดังที่สุดในตอนนี้ เก่งที่สุดในตอนนี้ คุณมีแนวทางที่จะจัดการยักษ์ตนนั้นยังไงบ้างคะ? ถ้าปล่อยไว้คงสร้างความหวาดกลัวไปทั่วแน่ๆเลยค่ะ   นักข่าวคนหนึ่งยกมือถามหมอผีหนุ่มที่วันนี้ก็ยังคงใส่สูทสีขาว ไว้ผมยาว และสวมหมวกมีปีกสีขาว

 

ไม่ต้องห่วงนะครับ เท่าที่ผมคาดเดา  คงจะเป็นเพราะนักบวชคนนั้นมีพลังไม่แข็งกล้าเท่าไหร่ จึงทำได้แค่สะกดยักษ์นั่นเอาไว้ ซึ่งผมที่มีพลังเหนือกว่ามาก จะเป็นคนปัดเป่าเจ้ายักษ์นั่นให้เองครับ”    สีหน้ามั่นใจพูดออกมาอย่างอวดดี แต่กลับเรียกเสียงถอนหายใจออกมาจากกลุ่มคนที่อยู่รอบๆได้

 

คุณเอโนะมคิดจะใช้อาวุธหรืออะไรจัดการกับยักษ์ตนนั้นเหรอคะ? บอกได้ไหมคะ?”

 

ผมมีธนูศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลผมอยู่ครับ เจ้านี่มีพลังมหาศาล บวกกับพลังของผมเข้าไป ยังไงเจ้ายักษ์ร้ายก็ต้องถูกปัดเป่าในวันนี้แน่นอนครับ”    มือหยาบผายไปยังแท่นพิธีที่มีธนูสีขาวที่คุ้นตาวางอยู่อย่างหรูหรา  แท่นวางธนูอันนั้นประดับประดาอะไรมากมายเสียจนดูน่าขัน

 

 

เจ้าคนโกหก 

 

 

นั่นมันเป็นธนูที่เจ้าไปแย่งมาจากมินาโตะต่างหาก 

 

แล้วข้าจะบอกเจ้าให้ว่าธนูนั่นไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรเลย ไม่มีพลังเลยแม้แต่น้อย มันก็เป็นแค่ธนูธรรมดาๆ  ทว่า  ที่ก่อนหน้านี้มันมีพลังแฝงอยู่ ล้วนเป็นพลังที่ออกมาจากตัวของมินาโตะทั้งสิ้น

 

การปราบยักษ์ให้ดูกันสดๆแบบนี้จะทำให้ชื่อเสียงของหมอผีเอโนมะโด่งดังเป็นพลุแตกแน่นอนค่ะ ดูจากยอดวิวไลฟ์สดของแอคเค้าต์ของเจ้าตัวก็ได้ ตอนนี้ยอดวิวพุ่งไปหลายล้านแล้วค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนสนใจมากขนาดนี้

 

เสียงรายงานของนักข่าวสาวทำให้ดวงตาสีม่วงเหยียดมองด้วยสายตาเย้ยหยัน

 

 

ดูเหมือนเจ้าชอบทำอะไรให้มันเอิกเกริกสินะ? ได้สิ ข้าจะฆ่าเจ้าอย่างอลังการจนทั้งคนโลกได้รับรู้ให้เอง

 

 

 

 

 

ชายที่เรียกตัวเองว่าหมอผีนั่นยืนอยู่หลังปะรำพิธีที่มีอุปกรณ์ปราบผีวางอยู่มากมายราวกับต้องการเพิ่มค่าให้กับตัวเอง

 

ทว่า ร่างสูงสง่าที่นั่งชันเข่ามองลงมาจากบนหลังคากลับมีสีหน้าหยามเหยียด ข้าจะรอดูอย่างใจเย็น...ว่าเจ้าจะเล่นตลกอะไรให้ข้าดู

 

หน้ากากยักษ์สีทองถูกเรียกมาบดบังใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ก่อนจะนั่งฟังบทสวดพื้นๆนั่นด้วยท่าทางเฉยชา ถึงแม้ว่าเบื้องล่างนั้นจะพากันตื่นตาตื่นใจเพราะการแสดงที่เว่อร์วังของเจ้าหมอผีเก๊นั่นก็ตาม

 

“เจ้ายักษ์ร้ายจงออกมา~!

 

อ่อ...เรียกข้าสินะ?

 

คาถาที่ร่ายออกมานั้นฟังไม่ออกถึงขนาดที่ข้าไม่รู้เลยสักนิดว่าเจ้านั่นกำลังสื่อสารอะไร

 

ฟึ่บ!

 

แล้วก็ขนาดข้าหายแว่บมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าขนาดนี้ เจ้ายังมองไม่เห็นแถมไม่รู้ตัวเลยสักนิด

 

ต่างจากตอนที่มินาโตะเรียกข้าให้ปรากฏตัวในตอนนั้น ข้าถูกพลังของมินาโตะบีบบังคับให้ปรากฏกายออกมาต่อหน้าทุกคน ถึงข้าจะไม่ยินยอมแต่ก็ขัดขืนต่อบทสวดบทที่เก้าของมินาโตะไม่ได้

 

แต่ดูท่าคราวนี้...หากข้าไม่ปรากฏกายออกไปเอง เจ้านี่ก็คงเรียกข้าออกไปไม่ได้เป็นแน่

 

ช่างน่าสมเพช

 

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นไปตรงหน้า เล็บทั้งห้าค่อยๆแหลมยาวขึ้นมาตามที่เล็บของอสูรควรจะเป็นทันที

 

หึ...ในเมื่อเจ้าเรียกข้าออกไปไม่ได้ มันก็ไม่ใช่หน้าที่ข้าที่จะต้องปรากฏตัวให้เจ้าเห็น

 

ดูซิว่า เจ้าจะทำยังไงในเมื่อเจ้ามองไม่เห็นศัตรูอย่างข้า

 

รอยยิ้มมืดมนเคลือบอยู่ที่มุมปาก ปลายนิ้วแหลมคมค่อยๆกรีดลงไปที่ลำคอของเจ้าหมอผีอวดดีตรงหน้าช้าๆ...ช้าๆ...

 

“ทะ ท่านหมอผี! คอ! คอท่าน!    เสียงร้องอย่างตกใจทำให้วงผู้คนที่อยู่ชิดใกล้แตกฮือในทันทีเมื่อผู้ติดตามคนหนึ่งชี้ให้ดูที่คอของหมอผีที่จู่ๆก็มีรอยแผลปรากฏขึ้นมาพร้อมทั้งเลือดไหลเป็นทาง

 

“เฮ้ย?!   เจ้าหมอผีเก๊นั่นตกใจกระโดดเหยงพร้อมกับถอยหนีด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ใบหน้ารกรุงรังนั่นหันมองซ้ายทีขวาทีอย่างที่ไม่รู้เลยว่าคนทำก็ยืนอยู่ตรงหน้านั่นแหละ

 

น่าสมเพช น่าสมเพชสิ้นดี ข้าควรจะลดตัวไปฆ่าคนแบบนี้หรือ? แม้แต่เจ้าดำยังมากไปเลย

 

“มะ ไม่ต้องกลัวนะครับทุกคน! โปรดอยู่ในความสงบ! เมื่อกี้ผมก็แค่โดนลมอาคมบาดน่ะครับ!    ยังจะแถต่อไปได้

 

“ดะ ดูสิ! สงสัยเจ้ายักษ์นั่นจะกลัวจนหัวหดเลยไม่ยอมปรากฏตัวออกมา!    ข้ายืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเจ้าเลยต่างหาก

 

“ถะ ถ้างั้น! เราลองไปตามหาในอาคารต่างๆดูกันเถอะครับ! บางทีนักบวชคนนั้นอาจจะขังยักษ์ไว้ที่ไหนสักที่ในศาลเจ้าแห่งนี้ก็เป็นได้!    เจ้าหมอผีนั่นพยายามปลุกปั่นผู้คนให้ลุกเดินตามไป ทั้งนักข่าวทั้งกล้องต่างเดินตามเป็นขบวน

 

และที่ระเบียงทางเดินที่คู่ขนานกันไป ก็มีร่างสูงสง่าในกิโมโนสีขาวคลุมทับด้วยฮาโอริสีม่วงครามเดินคู่ไปด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าไม่มีใครมองเห็นชายผู้สวมหน้ากากยักษ์สีทองผู้นั้นเลยสักคน

 

 

 

ประตูอาคารแล้วอาคารเล่าถูกเปิดออกอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ และในเมื่อตามหอพิธีกรรมต่างๆต่างก็ไม่พบเจอยักษ์ที่ถูกขังเอาไว้ เหล่าผู้บุกรุกจึงคืบคลานไปจนถึงอาคารด้านหลังซึ่งเป็นส่วนของเรือนนอน

 

ประตูห้องแล้วห้องเล่าถูกเปิดออกก่อนจะพบแต่ความว่างเปล่าให้น่าผิดหวัง

 

เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครคิดว่า...เมื่อประตูห้องห้องหนึ่งเปิดออก จะได้พบเจอกับสิ่งที่ทำให้ทุกสายตาต้องตื่นตะลึง

 

 

ครืด!!

 

 

ห้องห้องนี้ไม่ได้ว่างเปล่า...แต่ห้องห้องนี้มีร่างในกิโมโนสีขาวร่างหนึ่งนั่งอยู่บนฟูก...

 

ผ้าห่มที่ยับย่นกองอยู่บนหน้าตักบ่งบอกได้ว่าร่างบอบบางร่างนั้นเพิ่งจะลุกขึ้นมาจากการนอน บรรยากาศแปลกประหลาดที่ห้อมล้อมร่างสะโอดสะองอยู่นั้นทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจละสายตาไปได้

 

แล้วใบหน้ามนก็ค่อยๆหันมาช้าๆ...ช้าๆ...

 

ภาพตรงหน้าเป็นภาพที่ทั้งงดงามสะกดสายตาทั้งน่าสะพรึง เพราะดวงตากลมโตที่เคยเป็นสีเขียวได้เปลี่ยนเป็นสีทอง ขีดตรงกลางตั้งตรงไม่ใช่อย่างดวงตาของมนุษย์ ตาขาวเองก็เปลี่ยนเป็นสีดำ

 

ใบหน้ามนขาวราวกระดาษและดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่นมากกว่าจะเป็นใบหน้าของมนุษย์

 

สิ่งที่สะดุดตาอีกอย่างก็คือเขาสีดำคู่เล็กๆที่งอกอยู่บนหน้าผากทั้งสองข้าง 

 

 

เจ้า...ตื่นแล้วสินะ?

 

 

“อรุณสวัสดิ์ มินาโตะ”

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be Con.

 

 

คุณกวางผู้รับรู้ถึงรังสีอำมหิตที่นักอ่านส่งมาให้ ก็เลยรีบปั่นตอนนี้มาให้ก่อนเลยค่ะ5555

 

จริงล่วย เกี๊ยวนางไปคอลแลปกับค่ายที่ทำน้ำหอมด้วยค่ะ แปะรูปแล้วก็กลิ่นของแต่ละคนก่อน

 


















ดอกไม้ประจำตัวของชูคือทิวลิปขาว ภาษาดอกไม้คือการรอคอย >////< ตายแร้ววว ก็รอเค้ามาตลอดจริงๆอ่ะเนอะ รอมาทั้งชีวิตตต >////< น้ำหอมเลยมีกลิ่นแบบหอมหวานน่าหลงใหล มีความสง่างามสูงส่ง  ส่วนของน้องมิ พุดสามสีภาษาดอกไม้คือความสุขในวัยเยาว์ กลิ่นก็จะแบบสดชื่น หอมเย็นๆแต่หวานเล็กน้อย >////< ของมาสะซังก็ออกแนวผู้ใหญ่ๆ ใครอยากรู้ก็กูเกิลทรานเอานะคะ555 //อินี่  แต่ของเซยะนี่พีคสุดแล้ว5555 คือตูพีคมาตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าดอกไม้ประจำตัวของฮีคือดอกเดซี่ละ เพราะภาษาดอกไม้ของเดซี่คือความไร้เดียงสา 55555+ เกี๊ยววว คนที่เอามีปักหลังชูซังนี่ไร้เดียงสายังไงนะคะ555555+

 

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม และทุกๆโดเนทมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น