Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 09

 Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato]  ยักษ์ : 09

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au

: Fujiwara Shu x Narumiya Minato

: Romance Dark Fantasy

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ      

   

 

ดวงตากลมโตเสมองพื้นเสื่อทาทามิในขณะที่ปลายนิ้วแตะลูบอยู่ที่ริมฝีปากของตนเอง

 

สัมผัสนุ่มหยุ่นที่บดเบียดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่ายังคงอยู่ ทำเอาสองแก้มของเขาไม่หายร้อนสักที ไม่สิ ตอนนี้เขาร้อนไปทั้งตัวแล้ว...

 

ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยดีกว่า สายตาเหลือบมองนาฬิกาก่อนจะพบว่าตอนนี้ตีสี่กว่าแล้ว

 

เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! ไม่สิ! อย่าบอกนะว่าเขาหลับไปตั้งแต่สองทุ่มจนถึงตีสี่?

 

แล้วก็อย่าบอกนะว่าเขาถูกจูบมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้!

 

บ้าไปแล้ว เจ้าคุณยักษ์นั่นจูบเขาสองทุ่มยันตีสี่เลยเนี่ยนะ~~! จะรู้สึกว่าปากมันบวมมาถึงโลกแห่งความเป็นจริงก็ไม่แปลกเลยแบบนี้!

 

ใบหน้ามนขมวดคิ้วยู่หน้าอย่างฟึดฟัดน้อยๆ ทำอะไรให้มันรู้จักพอดีเสียหน่อยสิชูซังนี่ละก็ โธ่~

 

มือบางเอื้อมไปกระตุกเปิดโคมไฟที่อยู่เหนือหัวเพื่อเตรียมจะลุกจากที่นอน

 

แก่กๆ แก่กๆ

 

“หื๋อ?”   แต่ดึงเท่าไหร่โคมไฟก็ไม่ติด? เอ๋? หรือจะเสียแล้วกันนะ? หลอดขาดงั้นเหรอ?

 

ร่างโปร่งลุกขึ้นก่อนจะพยายามแหงนหน้ามอง แต่ด้วยความที่มีเพียงแสงสลัวๆจากภายนอกทำให้เขาเห็นอะไรไม่ค่อยชัดนัก เอาไว้รอให้ฟ้าสว่างกว่านี้ค่อยดูอีกทีก็แล้วกัน

 

มือบางหันไปจุดไม้ขีดไฟแทน แสงสว่างวาบฉาบไล้ใบหน้ามนที่น่ารักราวกับตุ๊กตา ปลายนิ้วเรียวที่คีบก้านไม้ขีดอยู่ยื่นมันไปยังไส้ตะเกียง แล้วเปลวไฟจากไม้ขีดก็ทำให้ตะเกียงที่เย็นเฉียบค่อยๆอุ่นขึ้นมา ไส้ตะเกียงสว่างจ้าอยู่ในครอบแก้วให้ความรู้สึกคลาสสิคสมกับที่อยู่ในศาลเจ้าเก่าแก่มาก

 

ครืด!

 

ประตูเลื่อนเปิดและปิดลงอย่างรุนแรงตามอารมณ์เง้างอดของเจ้าของห้อง ดวงตากลมโตตวัดมองร่างสูงสง่าที่ยังนั่งอยู่บนต้นซากุระด้วยสายตาเคืองๆ ต่างจากใบหน้าหล่อเหลาที่หัวเราะน้อยๆอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของร่างบาง

 

ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาเอียงหัวซบเข่าที่ยกชันขึ้นมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มให้เขา...จากนั้นปลายลิ้นเล็กๆก็ค่อยๆแล่บออกมาด้วยสีหน้าเซ็กซี่...แน่นอนว่ามันยิ่งทำให้เขานึกถึงเรียวลิ้นที่ชอนไชซุกไซร้อยู่ในปากเมื่อคืนนี้

 

ใบหน้ามนที่เกือบจะสงบลงอยู่แล้วแดงแปร๊ดขึ้นมาอีกทันที

 

“อ๊า!   ฝ่าเท้าบางรีบจ้ำอ้าวหนีด้วยใบหน้าแดงเถือก แต่ก็สัมผัสได้ว่าร่างสูงสง่านั่นกำลังเดินตามเขามาเช่นกัน เครื่องยืนยันก็คือเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี

 

“แค่จูบเจ้ายังเอียงอายได้ถึงเพียงนี้ หากร่วมรักกับข้าจริงๆเจ้าจะทำอย่างไรเล่า?”    หน้าเขาแทบจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ เจ้าของขายาวๆที่ก้าวตามมาทันยังโน้มตัวเอียงหน้ามองเขาที่ยังจ้ำอ้าวไม่หยุดอย่างหยอกล้อ

 

“อ๊า!! อย่ามาพูดคำว่าร่วมรักกับผมสิ!    คุณไม่อายแต่ผมอายนะ!

 

“ไม่ให้พูดคำว่าร่วมรัก? อ้อ ยุคสมัยของเจ้ามันอาจจะฟังดูเก่าไปสินะ ถ้างั้นก็...มีเซ็กส์กับเจ้า?”

 

“อ๊ากกกกกก!! หยุดพูดนะ เจ้าคนหน้าไม่อาย!    เขาหันไปแหกปากใส่ด้วยใบหน้าแดงจนไม่รู้จะแดงยังไง เขารู้นะว่าชูซังรู้ถึงความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ แต่ก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ตีมึนพูดออกมาเพื่อที่จะหยอกเย้าเขาเล่น!

 

“เจ้าลืมแล้วรึ ว่าข้าไม่ใช่คนแต่ข้าเป็นยักษ์”    ใบหน้าหล่อเหลาทำเป็นยิ้มไม่รู้เรื่องรู้ราว  ร้ายนัก!

 

“ไม่รู้แหละ แล้วก็อย่าตามเข้ามานะ ผมจะเข้าห้องน้ำ!    เขาแยกเขี้ยวขู่ก่อนจะปิดประตูห้องน้ำใส่ดังปัง เสียงหัวเราะอย่างชอบใจจึงดังอยู่หน้าห้องน้ำ

 

ฮึ่ม...ให้ตายเถอะ เจ้ายักษ์ขี้แกล้ง!

 

เขายืนสงบจิตสงบใจให้ใบหน้าหายร้อนอยู่หลังบานประตู ปลายนิ้วเรียวพยายามกดเปิดไฟแต่ที่นี่ก็ยังมีปฏิกิริยาไม่ต่างไปจากดวงโคมไฟในห้องเขา

 

เปิดไม่ติดแหะ?

 

เอ๋? ทำไมกันนะ?

 

จะว่าไปตอนที่เดินผ่านระเบียงทางเดินมาที่นี่ เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทั่วทั้งศาลเจ้ามันมืดสนิท แสงสลัวๆที่ฉาบไล้ไปทั่วเป็นเพียงแค่แสงจันทร์เท่านั้น ไฟ...ในศาลเจ้าไม่ติดเลยสักดวง...

 

ฝ่ามือบางยกขึ้นมาพนมมือข้างเดียวอยู่ที่อกก่อนจะท่องคาถาในใจแล้วเพ่งจิตไปรอบๆ...

 

ไม่มีนะ? เขาสัมผัสถึงภูตผีปีศาจวิญญาณพยาบาทอะไรไม่ได้เลยนอกจากยักษ์เพียงตนเดียวที่กลับไปอยู่ที่ห้องนอนของเขาแล้ว

 

ถ้างั้น...สิ่งผิดปกติที่เกิดกับไฟทั้งศาลเจ้ามันคืออะไรกัน?

 

คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด ร่างโปร่งบางเดินไปยังเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าก่อนจะหมุนก๊อกน้ำตามความเคยชิน

 

เอี๊ยดๆๆ

 

“?”    เอ๊ะ? น้ำก็ไม่ไหลแหะ?

 

ริมฝีปากที่เผยอออกน้อยๆเริ่มอ้าค้าง...จะว่าไป...ตั้งแต่ที่คนอื่นๆในศาลเจ้าย้ายออกไปมันก็ผ่านมาเดือนกว่าๆแล้วนี่? หรือจะสองเดือนแล้วนะ?

 

หรือว่า....

 

 

 

 

 

 

ตึงๆๆๆ

 

เสียงวิ่งตึงตังดังลั่นทางเดินจนคนที่นั่งรออยู่ที่ชานเรือนถึงกับต้องหันไปมอง

 

“มินาโตะ?”    ดวงตาสีม่วงเห็นร่างโปร่งบางวิ่งกระหืดกระหอบมา กล้ามเนื้อทุกมัดก็ตื่นตัวทันทีเพราะคิดว่าเจ้าวิ่งหนีอะไรมา

 

"ชูซัง ผมว่าเรามีปัญหาแล้วละครับ!"   ยิ่งได้ยินเสียงที่ตะโกนออกมาจากใบหน้าชุ่มเหงื่อนั่นอาคมที่ครอบคลุมอยู่ทั่วอาณาเขตก็ขมวดมวนเป็นกลุ่มควันสีดำแล้วเร่งตรวจจับว่ามีศัตรูหรืออะไรเล็ดลอดเข้ามาตรงไหน เจ้าภูตผีไม่กลัวตายตนใดกันที่หาญกล้ามาท้าทายข้า!

 

"ปัญหา?"    สายลมที่เคยสงบเริ่มพัดกรรโชกขึ้นเรื่อยๆ หน้ากากยักษ์ขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏขึ้นมาในอากาศ เจ้าผีคอพับคำรามลั่นรับคำสั่งข้าก่อนจะทะยานอย่างบ้าคลั่งออกไปตามหาตัวคนร้าย

 

ก่อนที่เสียงใสจะตะโกนออกมาว่า...

 

"ศาลเจ้าของเรา! น่าจะโดนตัดน้ำตัดไฟไปแล้วละครับ!"    

 

ห๊ะ?

 

เจ้าดำถึงกับสะดุดล้มหัวทิ่มแล้วกลิ้งไปอีกสามตลบ...

 

“ผมลืมนึกไปเลย...ว่าเราต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟด้วย...ปกติเรื่องจุกจิกพวกนี้ผมไม่เคยทำซะด้วย ฮะๆๆ”    ใบหน้ามนหัวเราะแหะๆพลางเกาแก้ม

 

“อ่า...”    ข้าได้แต่เหม่อในขณะที่ตอบรับ ทั้งหน้ากากยักษ์ทั้งควันสีดำถูกเรียกกลับไม่ทั่วไม่ทัน อย่าทำให้ตกใจสิ!

 

“แล้วเจ้าจะทำยังไง? จุดเทียนแทนไฟฟ้างั้นรึ? ไปตักน้ำที่ลำธารมาใช้แทนประปางั้นรึ?”    ข้ากอดอกถามอย่างสงสัย เพราะข้าเป็นยักษ์จึงไม่เคยสนใจปัจจัยสี่ของมนุษย์อยู่แล้ว ข้าจึงไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง

 

“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่...ออกไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ...เท่านั้นก็น่าจะพอมั้งครับ?”    ใบหน้ามนเอียงคออย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก หื๋ม? ทำไมเจ้าถึงไม่แน่ใจล่ะ?

 

“......เจ้าเคยออกไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟที่ว่านั่นรึเปล่า?”

 

“.....ไม่เคยครับ ปกติจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการคอยจัดการ...แล้วก็...ผมไม่เคยออกจากศาลเจ้าคนเดียวด้วยซ้ำ...จะออกไปก็เฉพาะตอนไปปัดเป่าวิญญาณสิงสถิตตามสถานที่น่ะครับ”

 

“.....แล้วค่าน้ำค่าไฟที่ว่านี่ต้องไปจ่ายที่ไหน?”

 

“.....ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ...”    ข้ามองเจ้ามนุษย์ยุคหินตรงหน้าอย่างทึ่งๆ

 

“.....อืม...เราน่าจะมีปัญหาจริงๆแล้วละ”    ยักษ์อย่างข้าไม่รู้นี่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร แต่มนุษย์อย่างเจ้าไม่รู้นี่สิที่ข้าว่ามันน่าจะมีปัญหาแล้ว!

 

“แหะๆๆ”    ยิ่งได้เห็นใบหน้าหัวเราะแหะๆของเจ้า ข้าก็ทำได้แค่เอื้อมมือออกไป...ก่อนจะวางแหมะไว้บนหัวสีดำอย่างปลงๆระคนเอ็นดู

 

วันนี้...ก็คงมีอะไรให้ทำอีกแล้วสินะ...

 

 

 

 

 

 

ตลอดพันปีที่ผ่านมา ชีวิตส่วนใหญ่ของข้าก็คือการว่างงาน วันๆก็ได้แต่นั่งๆนอนๆให้หมดเวลาไป แต่เชื่อไหมว่าตั้งแต่ข้าได้พบกับเจ้า ทั้งเช้าสายบ่ายเย็นไปจนถึงกลางคืน...ข้าไม่เคยว่างเลยสักนาที

 

หลังจากรอจนฟ้าสว่าง มินาโตะก็ตัดสินใจจะเข้าไปในเมืองเพื่อจ่ายค่าน้ำค่าไฟ

 

ครืด

 

ข้าละสายตาจากดอกอะจิไซสีฟ้าไปยังร่างโปร่งบางที่อยู่ในชุดยูกาตะสีน้ำทะเลหม่นซึ่งเปิดประตูห้องออกมา ถึงข้าจะเคยชินกับการได้เห็นเจ้าในชุดฮากามะของนักบวช ชุดกิโมโนหรือยูกาตะแบบที่เจ้าใส่อยู่ในตอนนี้ แต่พอต้องเข้าไปในเมืองข้านึกว่าเจ้าจะใส่ชุดสากลแบบคนทั่วไปเสียอีก?

 

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”    ใบหน้ามนเอียงคอสงสัยเมื่อข้ามองไม่วางตา

 

“เปล่า ข้านึกว่าเจ้าจะใส่เสื้อผ้าแบบที่มนุษย์ทั่วไปใส่”    ร่างสูงสง่าสาวเท้าเข้าไปหา บนไหล่ข้าเปลี่ยนจากฮาโอริสีม่วงครามเด่นสะดุดตาเป็นฮาโอริสั้นสีดำเรียบหรูแทน

 

“ผมไม่เคยใส่เสื้อผ้าพวกนั้น ผมเลยไม่ค่อยมั่นใจว่าใส่ออกมาแล้วจะไม่ดูแปลกๆ”    แต่ข้ากลับคิดว่าเจ้าใส่อะไรก็น่าเอ็นดู

 

“เอาเถอะ ข้าก็ชอบเห็นเจ้าใส่ชุดญี่ปุ่นแบบนี้เหมือนกัน”    ร่างสองร่างในชุดยูกาตะจึงเดินทอดน่องไปตามระเบียงทางเดิน

 

พอมาดูแบบนี้แล้วก็เหมือนมนุษย์หลงยุคสองคนเดินอยู่ด้วยกันจริงๆ  ยังโชคดีที่การใส่ยูกาตะเดินไปเดินมาตามท้องถนนในญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกซะทีเดียว

 

 

ศาลเจ้ายาตะนั้นตั้งอยู่กลางป่ากลางเขา พอลงบันไดหินพ้นเขตโทริอิหน้าศาลเจ้ามาแล้วก็จะเป็นทางโรยกรวดชุ่มชื้นไปด้วยตะไคร่และหญ้ามอสเส้นเล็กๆทอดยาวออกไปไกลแสนไกล ต้นสนซีด้าห์สูงใหญ่ที่ขนาบสองข้างทางอยู่ทำให้ดูไม่รู้เลยว่ามันต้องไปอีกไกลแค่ไหน แต่เงาร่างสองร่างก็ยังคงเดินเคียงคู่กันไปท่ามกลางเงาไม้ร่มรื่นเหล่านั้น

 

“ไม่ใช้พาหนะ?”    ร่างในยูกาตะสีดำหันมาถาม

 

“รถเหรอครับ? ผมขับไม่เป็นหรอก”    ร่างโปร่งบางหันมาตอบด้วยใบหน้าไม่คิดอะไรมากกับการที่ต้องเดินผ่านป่าเขาหลายกิโลเมตรเพื่อเข้าไปในตัวเมือง

 

“ให้ข้าอุ้มเจ้าหายตัวไปไหม? พริบตาเดียวก็ถึงแล้ว”

 

“ไม่เอาสิครับ เราต้องใช้ชีวิตตามวิถีของมนุษย์สิ”    มนุษย์ยุคเฮอันที่คิดจะเดินข้ามเขาเป็นลูกๆอย่างเจ้าเนี่ยนะ? ใบหน้าหล่อเหลาหลุดขำ ถึงแม้หากเทียบกันแล้วข้าดูน่าจะหลงยุคกว่า ทว่า ข้าก็เฝ้ามองมนุษย์จวบจนถึงปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงของพวกมนุษย์ยุคใหม่ข้าก็พอจะรู้จะเห็นอยู่บ้าง แต่เจ้านี่สิ วันๆนอกจากสวดมนต์ดูแลเทพเจ้าของเจ้า ดูแลศาลเจ้า รบรากับพวกภูตผีแล้ว ข้าก็ไม่เห็นเจ้าดูโทรทัศน์หรือติดต่ออะไรกับใครทางโทรศัพท์เลย โลกภายนอกศาลเจ้าของเจ้าเป็นอย่างไรไม่เห็นเจ้าจะสนใจเลย

 

“อีกอย่าง...เดินไปด้วยกันแบบนี้ก็ดีไม่ใช่เหรอครับ ยิ่งใช้เวลานานเท่าไหร่...ก็ยิ่งดี...”    จะได้อยู่กับข้านานๆงั้นสินะ? เสียงใสที่พูดออกมาทำให้ข้าหยุดคิดเรื่องอื่นในทันที

 

ข้าหันกลับมามองทางด้วยรอยแดงจางๆบนแก้ม ค่อยๆไปแบบไม่รีบร้อนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้มองดูก้อนกรวดบนพื้นร่วมกับเจ้า ได้มองเงาไม้วูบไหวไปมาพร้อมกับเจ้า ได้ชมวิวทิวทัศน์อันตระการตาของผืนป่าไปพร้อมกับเจ้า การค่อยๆเดินไปพร้อมกับเจ้าแบบนี้...ก็ไม่เลวอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ

 

พรึ่บ!

 

มือบางกางร่มไม้สีขาวคันใหญ่ขึ้นเหนือหัวเมื่อแสงแดดเริ่มทะลุผ่านเงาของใบไม้ลงมารำไร ข้าจึงยื่นมือออกไปดึงด้ามจับร่มมาถือเอาไว้เอง

 

“อ๊ะ ไม่ต้องหรอกครับ ให้ผมถือเองเถอะ”     เจ้าหันมาทำท่าเลิ่กลั่ก แต่เพราะข้าสูงกว่ามากจึงชูแขนหนีมือที่หมายจะแย่งร่มคืนของเจ้าได้สบายๆ ท่าทางเหมือนแมวดำตัวน้อยกำลังยืดสุดแขนเพื่อแย่งร่มในมือข้านั้นช่างน่าเอ็นดูจนข้าเผลอแกล้งขยับร่มหนีไปมา

 

ตุบ...

 

จนตัวเจ้าเซถลาหล่นลงมาบนอกข้า ท่อนแขนแข็งแรงอีกข้างจึงกอดรับเอวบางเอาไว้

 

สายตา...สบประสานกันโดยบังเอิญ...

 

และความรู้สึกบางอย่างก็ส่งผ่านออกมา...จนหัวใจ...เต้นโครมคราม

 

“.....”    เจ้าดันตัวเองออกไปจากออกข้าด้วยท่าทางเอียงอาย

 

“ข้าถือเอง”    ข้าพูดหน้าตายเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำอยู่ในตอนนี้

 

“แต่คุณเป็นยักษ์ คุณสูงส่งกว่าผมมาก”    ใบหน้ามนดูเกรงใจในขณะที่ช้อนสายตามองข้า ใบหน้าหล่อเหลาจึงยกยิ้มมุมปากในขณะที่โน้มลงไปพูดที่ใบหูบาง

 

 

“เจ้าก็คิดเสียว่า...ต่อหน้าเจ้า...ข้าก็เป็นเพียงผู้ชายที่มอบหัวใจให้เจ้าคนหนึ่งก็พอ”

 

 

“อะ...”    ใบหน้ามนอ้าปากพะงาบๆหน้าแดงแล้วแดงอีก ทั้งน่าขำทั้งน่าเอ็นดู

 

“เช่นนั้นข้าก็ต้องดูแลเจ้า ถูกต้องแล้ว”    มือใหญ่ลดคันร่มลงมาถือในระดับปกติเมื่อคนที่สตั๊นไปไม่มีทีท่าว่าจะมาแย่งร่มไปถือเองแล้ว

 

“เจ้าร้อนรึ? หน้าแดงไปหมดแล้ว”    เสียงทุ้มเอ่ยหยอกล้อในขณะที่สองขาเริ่มก้าวเดิน

 

“ผมเขินครับ...รู้แล้วยังจะแกล้งถามอีก เจ้ายักษ์นิสัยไม่ดี”    ใบหน้ามนยู่หน้าใส่อย่างน่ารัก ก่อนจะบ่นงึมงำท้ายประโยค

 

“ก็ข้าเป็นยักษ์ ก็ต้องนิสัยไม่ดีสิ”

 

“อื้อ~    สองมือบางยกขึ้นมาปิดหน้าแดงๆด้วยความสู้ไม่ได้ทั้งๆที่สองขายังเดินอยู่

 

“เดี๋ยวก็ล้มหรอก”

 

มือบางจึงเปลี่ยนมาปิดหน้าไว้ข้างหนึ่ง จับชายแขนเสื้อยูกาตะของข้าไว้อีกข้างหนึ่ง ท่าทางอันน่าเอ็นดูนั้นทำให้ใบหน้าของยักษ์เผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว

 

ร่างในชุดยูกาตะทั้งสองเดินต่อไปท่ามกลางบรรยากาศที่แสนเย็นสบายของถนนเส้นเล็กๆที่โอบล้อมไปด้วยป่า ร่มไม้สีขาวหนึ่งคันที่กางกั้นลำของแสงแดดที่สาดส่องลงมาทำให้ดูสวยงามราวกับภาพวาด เสียงพูดคุยหยอกเย้าดังคละเคล้าไปกับเสียงหริ่งเรไร เสียงใบไม้ เสียงสายลม

 

เป็นการเดินหลายกิโลเมตรที่มีแต่ความสุขใจจนอยากจะให้ทางเดินนี้ไม่มีวันสิ้นสุดเลยจริงๆ

 

 

 

 

 

 

เส้นทางร่มรื่นที่ทอดยาวลงมาจากภูเขาสิ้นสุดลงเมื่อถึงทางแยกซึ่งตัดกับถนนที่ใหญ่ขึ้น

 

ถึงจะบอกว่าใหญ่ขึ้นแต่มันก็เป็นแค่ถนนชนบทสองเลนแสนจะเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวที่ไม่มีรถผ่านเลยสักคัน ยังดีที่เดินไม่นานก็เริ่มจะเห็นบ้านคนประปรายให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

 

พวกเขาน่าจะใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมงในการเดินจากศาลเจ้ามาถึงตัวเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด

 

พื้นปูกระเบื้องและป้ายลดราคาหน้าร้านทำให้ร่างโปร่งตื่นตาตื่นใจ ลังใส่ผลไม้นานาชนิดที่วางสลับทับซ้อนก็ดูสับสนวุ่นวายต่างจากข้าวของในศาลเจ้าที่มักจะเป็นระเบียบ เสียงกุ๊กกูรๆกุ๊กกูรๆของสัญญาณไฟจราจรทำให้ไหล่บางสะดุ้งโหยงจนเซถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

 

ตุ้บ

 

ยังดีที่มีแผ่นอกแข็งแกร่งคอยรับเอาไว้ ใบหน้าเฉยชาก้มลงมาถามเขาด้วยสายตาว่าเป็นอะไรไหม? เขาจึงยิ้มพลางส่ายหน้าตอบว่าไม่เป็นอะไร

 

ยังดีที่มีชูซังมาด้วย เพราะความหนักแน่นของอีกฝ่าย เพราะความไม่แยแสอะไรนั้นกลับทำให้เขาอุ่นใจ

 

เขาก็ไม่นึกว่าการต้องมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย มาอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย มันจะทำให้ตื่นเต้นได้ขนาดนี้  ชูซังเสียอีกที่ดูจะไม่ได้ตระหนกกับความแปลกใหม่รอบกายเลย

 

“ชูซัง...”    เสียงนุ่มเอ่ยเรียกออกไปอย่างลังเล

 

“หื๋ม?”

 

“ผม...ขอจับมือได้ไหมครับ?”    ดวงตากลมโตเสมองพื้นอย่างเขินๆ แต่ตอนนี้จิตใจเขาไม่สงบเลย จึงได้แต่หวังว่าฝ่ามือที่คุ้นเคยนั้นจะทำให้เขาหยุดตื่นเต้นได้บ้าง

 

แต่ใบหน้าเฉยชาที่ยังคงมองไปข้างหน้ากลับไม่ตอบอะไร...หรือว่าการเดินจับมือกันมันจะแปลกเหรอ? จริงด้วย เพราะเราต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน อ่า...เขาก็ลืมนึกไป

 

แล้วในขณะที่กำลังก้มหน้าอย่างใจเสีย ฝ่ามือใหญ่ก็เอื้อมมากอบกุมมือของเขาเอาไว้

 

ดวงตากลมโตเบิกขึ้นเล็กน้อย มือที่อบอุ่นและแข็งแรงนั้นไม่ได้จับมือเขาไว้เฉยๆ แต่นิ้วทั้งห้ายังสอดประสานเข้ามากับร่องนิ้วของเขา...ความมั่นคงของมันทำให้ริมฝีปากสีระเรื่อคลี่ยิ้มน้อยๆ

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องถามหรอก ถ้าเจ้าอยากจับก็จับเลย ถ้าเป็นเจ้า ข้าอนุญาตทุกอย่าง”    ยิ่งคำพูดที่ใบหน้านิ่งๆนั่นพูดออกมาก็ยิ่งทำให้รอยยิ้มเบ่งบานอยู่บนใบหน้าเขา

 

ดีจริงๆที่เขามีอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ถึงจะเป็นยักษ์ที่ใครต่อใครตราหน้าว่าโหดเหี้ยมขนาดไหน แต่กลับเป็นคนเดียวที่ไม่ทิ้งเขาไป และอยู่ข้างๆเขามาตลอดไม่ว่าวันนั้นจะยากลำบากเพียงใด

 

 

ร่างสองร่างเดินเข้าไปในย่านที่หมู่ตึกที่เริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งฟ้าสว่างมากขึ้นเท่าไหร่ผู้คนต่างก็ออกมาใช้ชีวิตกันมากขึ้นเท่านั้น และดูเหมือนการที่พวกเขาทั้งคู่ใส่ชุดยูกาตะออกมาตั้งแต่เช้าแถมยังเดินท่ามกลางมนุษย์เงินเดือนที่สวมสูทสีดำกับเด็กๆในชุดนักเรียน พวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนได้ไม่ยาก

 

 

“ดูนั่นสิ”

 

“วันนี้มีงานเทศกาลที่ไหนเหรอ?”

 

“คนตัวสูงอย่างหล่ออ่ะ ดารารึเปล่า?”

 

“คนที่ตัวเล็กกว่าก็น่ารักนะ”

 

“หรือจะมาถ่ายแบบเสื้อผ้าร้านกิโมโน?”

 

“ถ่ายรายการโทรทัศน์รึเปล่า?”

 

 

สารพัดเสียงพูดคุยที่ดังอยู่รอบกาย แต่ใบหน้ามนก็ดูจะไม่ได้ติดใจอะไรนอกจากเรื่องที่ว่า

 

“คนอื่นๆมองเห็นชูซังด้วยเหรอครับ?”   เขาสีดำทั้งสองข้างบนหน้าผากก็ไม่มีแล้วด้วย? ชูซังในเวลานี้ไม่ต่างจากมนุษย์เลยแม้แต่น้อย แล้วก็เป็นมนุษย์ที่หล่อสุดๆ

 

“ข้าทำให้พวกเขาเห็น เพราะเจ้าพูดคนเดียวคงดูไม่ดีเท่าไหร่”   คุณยักษ์ตอบหน้าตายแต่หัวใจของเขากลับอุ่นน้อยๆ

 

“...ขอบคุณที่ใส่ใจครับ”   เพราะมันเป็นอย่างที่ชูซังว่าจริงๆ เขาถูกมองด้วยสายตาแปลกๆมาตั้งแต่เด็กแล้วแม้แต่คนในศาลเจ้าเอง เพราะเขาเป็นนักบวชเพียงไม่กี่คนของศาลเจ้าที่มองเห็นภูตผีวิญญาณแม้แต่ตอนที่ไม่ได้ประกอบพิธีกรรม บางครั้งที่พวกมันตามมารังควาญ เขาก็เผลอตวาดเผลอไล่พวกมันไปทั้งที่คนอื่นมองไม่เห็นและไม่รับรู้ถึงตัวตนของพวกมันด้วยซ้ำ

 

“ว่าแต่เจ้ากำลังจะไปไหน?”    เสียงทุ้มพูดออกมาหลังจากที่สังเกตได้ว่าเดินเข้ามาในเมืองก็พักใหญ่แล้วแต่ร่างบางก็ดูเหมือนจะเดินไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมายปลายทางมากกว่า...

 

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ?”     อ้าว? ข้านึกว่าเจ้ารู้เสียอีกถึงปล่อยให้เดินนำ...

 

“ลองถาม...ผู้หญิงคนนั้นดูไหม?”    ใบหน้าหล่อเหลาพยักพะเยิดไปที่คุณป้าคนหนึ่งซึ่งยืนเลือกซื้อของอยู่แถวนั้น

 

“ครับ”   ดวงตากลมใสมองข้าด้วยประกายระยิบระยับจนข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าโตมาจนป่านนี้ได้ยังไง คนที่เลี้ยงเจ้ามานี่ตั้งใจจะเก็บเจ้าเอาไว้ในป่าในเขาอย่างเดียวเลยหรือไงกันนะ?

 

“คุณป้าครับ ขอสอบถามหน่อยครับ ค่าน้ำค่าไฟนี่...ต้องไปจ่ายที่ไหนเหรอครับ?”    ร่างโปร่งบางเดินไปถามหญิงสูงวัยผู้นั้น และคำถามก็ทำให้ใบหน้าเหี่ยวย่นถึงกับอึ้งไป ก่อนจะมองพวกเราตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

“........คงจะเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ที่ไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองสินะพ่อหนุ่ม”   คุณป้ายิ้มร่าอย่างเข้าใจ

 

“เอ่อ...ครับ แหะแหะ”   จะตอบว่าไม่ใช่คุณชายแต่เป็นยักษ์กับนักบวชก็ดูจะยุ่งยาก ใบหน้ามนจึงเออออไปแบบนั้น นิ้วเหี่ยวย่นจึงชี้ไปที่ตู้ๆหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงทางเข้าร้าน

 

“จ่ายที่ตู้อัตโนมัติตรงนี้ก็ได้”

 

“ตู้อัตโนมัติ? จ่ายตรงนี้ได้เลยเหรอครับ?”   ดวงตากลมโตเป็นประกายเพราะไม่คิดว่าจะเจอที่จ่ายค่าน้ำค่าไฟง่ายๆแบบนี้ นึกว่าต้องไปเดินหาอีกนานเสียอีก

 

“ก็กดสแกนบิลที่หน้าจอ แล้วก็ใส่เงินสดเข้าไปในช่องรับเงิน หรือจ่ายด้วยบัตรเครดิตก็ได้พ่อหนุ่ม”   คุณป้าช่วยอธิบายคร่าวๆก่อนจะหันไปซื้อของต่อเพราะนึกว่าพวกเขาจะเข้าใจ ทว่า สภาพของหนึ่งยักษ์กับหนึ่งนักบวชก็ต่างจากคำว่า “เข้าใจ” ไปมาก...

 

ร่างในชุดยูกาตะทั้งสองยืนรุมสุมหัวกันอยู่ที่หน้าตู้ที่ว่านั่น

 

แต่บางที...มีสองหัวก็ใช่ว่าจะดีกว่าหัวเดียว...

 

“กดหน้าจอ? จอคือตรงนี้เหรอครับ?”    ร่างโปร่งบางละล้าละลังนิ้วกางๆหุบๆจะจิ้มก็ไม่กล้าเพราะกลัวว่าหากกดมั่วๆไปเกิดทำของเค้าเสียหายจะแย่เอา ต่างจากอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

 

“ไม่รู้ก็ลองกดดูสิ”   พูดจบนิ้วยาวก็จิ้มจึ้กลงไปทันทีโดยที่ร่างโปร่งยังไม่ทันได้ห้าม หน้าจอที่เต็มไปด้วยรูปโฆษณาเปลี่ยนเป็นกรอบสี่เหลี่ยมสำหรับให้เลือกทำรายการทันที

 

“เหวอ? ตัวหนังสือขึ้นมาเต็มเลยครับ กดแล้วมันจะจ่ายค่าน้ำยังไงนะครับ? หรือจะมีพนักงานออกมา?”    ใบหน้ามนหันมาถามอย่างตื่นตาตื่นใจ

 

“ข้าก็ไม่รู้”   ไม่รู้แต่ก็ยังจิ้มต่อไปเรื่อยสมกับเป็นยักษ์ที่ไม่แยแสอะไร เห็นเขียนอะไรค่าน้ำๆก็ลองจิ้มๆไปก่อน

 

“กรุณาสแกนบาร์โค้ด...กรุณาสแกนบาร์โค้ด...”

 

“เหวอ?! เสียงใครครับ? ไม่เห็นมีใครเลย? หรือว่าวิญญาณคำสาป?!   ร่างทั้งสองถอยพรวดออกจากตู้ในท่าเตรียมพร้อมตั้งรับ มือบางตั้งท่าเตรียมร่ายคาถาส่วนมือหนาก็เตรียมจะเรียกหน้ากากยักษ์ออกมาแล้ว...

 

“กรุณาสแกนบาร์โค้ด...กรุณาสแกนบาร์โค้ด...”

 

“......”

 

“....น่าจะเป็นเสียงตู้น่ะ...”

 

“สะ เสียงตู้สินะครับ...”    คนเดินผ่านไปผ่านมาถึงกับหัวเราะคิกคักอย่างเอ็นดู มนุษย์กับยักษ์ผู้หลงยุคจึงกระแอมแก้เขินเล็กน้อยก่อนจะกลับไปยืนหน้าตู้ใหม่

 

“ว่าแต่สแกนคืออะไรนะครับ?”    ใบหน้ามนยังเต็มไปด้วยคำถาม

 

“ข้าก็ไม่รู้”    ไม่รู้แต่ก็ยังจิ้มที่หน้าจอต่อไป...

 

“กรุณาสแกนบาร์โค้ด...กรุณาสแกนบาร์โค้ด...”    วันนี้จะได้จ่ายไหมค่าน้ำค่าไฟเนี่ย?

 

“.........เอ่อ...พ่อหนุ่ม...”    คุณป้าคนเดิมเดินมาสะกิดอย่างทนดูต่อไปไม่ไหว

 

“ไปให้พนักงานที่ร้านสะดวกซื้อทำให้ดีกว่านะ ตรงนั้นจ้ะ”    คุณป้าชี้ไปที่ร้านค้าฝั่งตรงข้ามถนนด้วยรอยยิ้มใจดี

 

“แหะแหะ ขอบคุณนะครับ”    ใบหน้ามนหันไปก้มหัวให้ก่อนจะลากอีกตนที่ยืนกดตู้แทบพังออกมา

 

“การใช้ชีวิตแบบมนุษย์นี่ยากจริงๆ”    ร่างสูงสง่าบ่นหน้าตาย

 

“ใช่ไหมล่ะครับ...การจ่ายค่าน้ำค่าไฟทีมันยากเย็นขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ผมเพิ่งรู้เลยนะครับ ต้องขอบคุณพี่ฝ่ายธุรการให้มากๆเสียแล้ว ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมานะครับ~    ร่างโปร่งไหว้อากาศในท่าทางสำนึกบุญคุณอันล้นพ้นต่อพี่ฝ่ายธุรการที่คอยจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ศาลเจ้าเรื่อยมา

 

“ยินดีต้อนรับครับ~    พนักงานร้านสะดวกซื้อเอ่ยทักทายทันทีที่ก้าวขาเข้าไป

 

“ผม...มาจ่ายค่าน้ำค่าไฟครับ”    ใบหน้ามนเอ่ยอย่างกล้าๆกลัวๆ คงไม่ต้องไปกดตู้ที่ไหนอีกใช่ไหม?

 

“ทางนี้เลยครับ ขอบิลด้วยครับ”    ใบหน้ามนถึงกับถอนหายใจก่อนจะยื่นบิลค่าน้ำค่าไฟให้ เอาละ มีคนทำให้แบบนี้ก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วไหม?

 

“ทั้งหมด 10,500 เยนครับ”    มือบางยื่นเงินให้พร้อมกับโล่งใจได้แล้ว ในที่สุดภาระกิจจ่ายค่าน้ำค่าไฟก็สำเร็จแล้ว~ เย้~

 

“ขออนุญาติแนะนำนะครับ คราวหน้าจ่ายในแอพพลิเคชั่นไหมครับ จะได้ไม่ต้องออกมาจ่ายเงินด้วยตัวเอง”    ด้วยความใจดีและเป็นมิตรของคุณพนักงานก็ยังอุตส่าห์ช่วยแนะนำให้หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย

 

“แอพพลิเคชั่นคืออะไรครับ?”    แต่คนไม่รู้จักก็ถามกลับตาใสเล่นเอาพนักงานผงะไป

 

“เอ่อ...ถ้างั้นเอาโทรศัพท์มาสิครับ เดี๋ยวผมทำให้ จ่ายผ่านแอพมันดีนะครับ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วย”   คุณพนักงานก็ยังใจดีจะช่วยทำให้ ทว่า

 

“โทรศัพท์ก็ต้องตั้งอยู่ที่ศาลเจ้าสิครับ? ยกมาไม่ได้หรอก”

 

“เอ่อ...ผมถามได้ไหมครับว่าใช้โทรศัพท์รุ่นไหน? เผื่อผมรู้จะได้บอกคร่าวๆให้”   คุณพนักงานยังใจดีสู้เสือและคิดในแง่ดีว่าคงจะลืมเอามือถือมา แต่ว่า

 

“รุ่นไหน? รุ่นที่ใช้นิ้วหมุนๆเอาน่ะครับ ผมก็ไม่รู้ชื่อรุ่นเหมือนกัน?”    นี่มันไม่ใช่โทรศัพท์มือถือแล้ว!

 

“เอ่อ...งั้นก็...เดือนหน้าเอาบิลมาจ่ายที่นี่ก็ได้ครับ...”    พนักงานเกาหัวยิ้มอย่างจนปัญญา ที่ร่างโปร่งบางพูดถึงน่าจะเป็นโทรศัพท์บ้านเสียมากกว่าเพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือรุ่นไหนใช้มือหมุนอย่างที่ว่าหรอก...

 

 

 

“กลับกันเลยไหมครับ?”    เสียงนุ่มพูดกับคนที่ยืนกอดอกรออยู่หน้าร้าน ที่แขนบางคล้องถุงพลาสติกใส่อะไรบางอย่างมาด้วย

 

“อื้ม”    ใบหน้าเฉยชาพยักรับก่อนจะเดินออกไปพร้อมกัน

 

ขากลับนั้นเร็วกว่าที่คิด เพราะไม่นานพวกเขาก็มาถึงถนนที่เป็นทางแยกเข้าศาลเจ้าแล้ว

 

“ชูซัง นี่ครับ”    มือบางหยิบของที่อยู่ในถุงพลาสติกออกมา มันเป็นไอติมแท่งหนึ่ง? แต่แทนที่เจ้าจะยื่นให้ข้าทั้งอย่างนั้น กลับแกะถุงห่อไอติมออก ก่อนจะแบ่งมันออกเป็นสองอันแล้วยื่นอันหนึ่งมาให้ข้า

 

“ผมเคยกินเมื่อตอนเด็กๆ จำได้ว่าอร่อยมาก แต่จะซื้อมาคนละอันก็กลัวจะกินไม่หมด...”    เจ้าอาจจะไม่รู้ตัว แต่เวลาที่เจ้ากำลังเขินอายเจ้ามักจะลุกลี้ลุกลนเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ข้าจึงลอบยิ้มก่อนจะเดินกินไอติมแท่งนั้นไปเงียบๆ เพราะข้ารู้ว่าเจ้าอยากแบ่งปันสิ่งของกับข้า ได้ทำอะไรที่เป็นคู่กัน

 

มัน...เป็นสัญชาตญาณของคู่รัก

 

 

ไอติมนมแท่งนี้อร่อยดีทีเดียว พวกเราต่างเดินกินไปเงียบๆท่ามกลางความร่มรื่นของเงาไม้

 

“ผมน่ะ...ถูกพามาที่ศาลเจ้าตั้งแต่ยังจำความไม่ได้”    แล้วก็เป็นใบหน้ามนที่ทำลายความเงียบ

 

“พ่อแม่เป็นใครก็ไม่รู้ ตั้งแต่เด็กจนโตผมก็ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในศาลเจ้าแห่งนี้มาโดยตลอด ไม่เคยออกไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ไม่เคยออกไปไหนด้วยตัวเองเลย ทุกครั้งที่ต้องออกไปทำงานปัดเป่าหรือทำพิธีกรรมข้างนอกซึ่งน้อยมากก็จะมีรถมารับมีคนพาไป”    ร่างโปร่งบางเล่าเรื่องในวัยเด็กของตัวเองให้ฟัง

 

ถึงว่า...ตัวเจ้าถึงมีพลังที่บริสุทธิ์มาก เป็นเพราะไม่เคยออกไปแปดเปื้อนกับโลกภายนอกเลยนี่เอง ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว

 

“เพราะงั้นเจ้าถึงเป็นคนหลงยุคสินะ?”    เสียงทุ้มเอ่ยออกไปอย่างหยอกเย้า

 

“โธ่~ ชูซังเองก็ไม่ต่างกันหรอกครับ~

 

“อย่างน้อยข้าก็รู้จักโทรทัศน์นะ”

 

“นั่นผมก็รู้จัก เพียงแต่ไม่ค่อยได้มีเวลาดูเท่านั้นเอง วันๆแค่ต้องคอยปัดเป่าสิ่งลี้ลับอย่างคุณเนี่ยก็หมดเวลาแล้ว”    ใบหน้าเง้างอดเถียงกลับแต่ข้านั้นชอบใบหน้าเช่นนี้ของเจ้ามาก เจ้าน่ารัก เจ้าน่าแกล้งมากๆ

 

“เช่นนั้นคืนนี้ก็รบกวนปัดเป่าสิ่งลี้ลับอย่างข้าในฝันเจ้าด้วยก็แล้วกัน”

 

“ง่ะ”

 

เสียงหยอกเย้าพูดคุยยังคงดังไปตลอดทางจนเวลาสองชั่วโมงกว่าๆนั้นไม่น่าเบื่อหรือน่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย พันกว่าปีที่ข้าไม่เคยพูดจากับใครข้าเอามันมาใช้กับเจ้าหมดแล้ว

 

ทุกสิ่งทุกอย่างดูสงบสุขและเป็นไปด้วยดีจนข้านึกไม่ออกเลยจริงๆว่ากำลังมีเรื่องเลวร้ายใดรออยู่

 

 

 

 

 

 

เงาร่างทั้งสองเดินมาจนถึงทางขึ้นศาลเจ้า แต่ร่างโปร่งบางกลับไม่ยอมก้าวขาขึ้นบันไดหินเพราะใบหน้ามนเอาแต่จ้องมองไปที่โทริอิสีดำที่ตั้งทับโทริอิสีแดงของศาลเจ้าเอาไว้ โทริอิที่ซ้อนทับกันอยู่สองอันนั้นดูเป็นไปไม่ได้เลยในโลกแห่งความเป็นจริง

 

“โทริอิสีดำนี่ฝีมือของคุณใช่ไหมครับ?”

 

“อื้ม”

 

“พอมาดูใกล้ๆแบบนี้แล้วมันใหญ่มาก สุดยอดเลย”    ใบหน้าหล่อเหลาลอบยิ้มบางๆ ข้าก็ไม่คิดหรอกว่าเจ้าจะมองไม่เห็นเพราะเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาๆ

 

“น่าเสียดายที่มันเอาไว้กันเฉพาะภูตผีวิญญาณ”     มันกันมนุษย์ไม่ได้

 

“ยังไงที่นี่ก็เป็นศาลเจ้านะครับ...ก็ต้องให้คนเข้าไปขอพรได้สิ”    ใบหน้ามนถอนหายใจก่อนจะหรี่ตามองความเกินกว่าเหตุของข้า

 

“เจ้าไม่รู้รึไงว่ายักษ์ที่ว่าน่ากลัวที่สุดในบรรดาสิ่งลี้ลับนั้นส่วนใหญ่ก็ก่อเกิดมาจากวิญญาณที่เลวทรามของมนุษย์แทบทั้งสิ้น”    มนุษย์...คือความชั่วร้ายที่สุดแล้ว

 

“ครับๆ”    เจ้าพยักหน้ารับก่อนจะก้าวขาเดินฝ่าอาณาเขตใสๆที่วูบไหวน้อยๆเข้าไป

 

ไม่เป็นไร...ถึงจะกันไม่ได้ แต่หากมนุษย์ก้าวผ่านโทริอิสีดำนี้เข้าไปก็จะเป็นการก้าวล้ำอาณาเขตของข้า...และเครื่องหมายของยักษ์ก็จะติดตัวพวกมันไปอยู่ดี ข้าค่อยตามไปจัดการมันทีหลังก็ย่อมได้

 

ข้าคิดเช่นนั้น...

 

จึงได้ประมาท จึงได้ผิดพลาด จนทำให้เจ้า...

 

 

 

 

 

 

มือบางเปิดก๊อกอ่างล้างจานเพื่อเช็คดู แล้วน้ำก็ไหลซู่ลงมาเพื่อบ่งบอกว่าการออกไปจ่ายค่าน้ำนั้นสำเร็จไปด้วยดี

 

แอปเปิ้ลพันธ์พิ้งค์เลดี้ถูกยื่นเข้าไปในสายน้ำเย็นฉ่ำเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกที่อาจจะติดมา ดวงตากลมใสมองแอปเปิ้ลขนาดพอดีมือนั้นด้วยความสุขใจ ดูเหมือนชูซังจะชอบแอปเปิ้ลมากกว่าผลไม้อย่างอื่น เพราะไม่ว่าเขาจะเอาอะไรไปให้กินก็มีเพียงแอปเปิ้ลเท่านั้นที่ทานจนหมด ทำไมกันนะ? ชอบรสชาติแบบนี้งั้นเหรอ?

 

มือบางปอกแอปเปิ้ลอย่างตั้งอกตั้งใจก่อนจะหั่นมันเป็นชิ้นๆวางไว้ในจานอย่างสวยงาม

 

ร่างโปร่งบางที่เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดฮากามะของนักบวชแล้วเดินถือจานออกจากห้องครัวอย่างตั้งใจเดินกลับไปที่เรือนนอนของตน แต่เสียงอะไรบางอย่างที่แววมาตามสายลมก็ทำให้สองขาถึงกับหยุดชะงัก

 

“มันเคยอยู่ตรงนี้จริงๆนะครับ! จู่ๆหายไปได้ยังไงเนี่ย อาคารทั้งหลังเลยนะ?”

 

“ช่วยไม่ได้ งั้นก็ลองไปหาในอาคารอื่นดูก็แล้วกัน บ้าชิบ ทำไมอาคารมันเยอะอย่างงี้เนี่ย ทางนั้นนายค้นหมดรึยัง?”

 

“ทางนั้นค้นแล้วครับ ไม่เจอเลย”

 

ใคร?

 

นั่นเสียงของใครกัน?

 

วิธีการพูดคุยนั้นเป็นของมนุษย์ไม่ผิดแน่ หรือจะมีใครเข้ามาที่ศาลเจ้าตอนที่เขาไม่อยู่? มาสักการะเทพเจ้าเหรอ? อาจจะเป็นนักแสวงบุญหรือนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ได้ เขาควรจะไปดูเสียหน่อย อย่างน้อยก็อยากให้ออกไปก่อนที่จะค่ำมืดเพราะไอพิษจากอาณาเขตของยักษ์ เขาคงให้คนธรรมดานอนค้างที่นี่ไม่ได้

 

แอ๊ด....

 

แล้วเสียงเปิดประตูหนาหนักบานที่เขาคุ้นหูดีก็ทำให้ดวงตากลมโตเบิกค้าง...นั่นมันเสียงประตูอาคารที่เขาเพิ่งจะย้ายอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไปเก็บไว้นี่ ไม่ได้นะ ห้ามเข้าไปในนั้น!

 

ใบหน้าที่อ้าปากค้างเล็กน้อยรีบสะบัดไปมาก่อนจะเร่งก้าวขาไปทางที่อาคารนั้นตั้งอยู่

 

“อ๊ะ! เจอแล้วครับ! มันอยู่นั่น! ธนูอันนั้น!   เสียงตะโกนดีใจดังลั่นจนได้ยินมาถึงนี่ทำให้เขาอดแปลกใจไม่ได้ นี่ไม่กลัวเจ้าของบ้านจะมาเจอเข้าบ้างเลยหรือไง? พูดกันดังขนาดนี้ หรือจะคิดว่าไม่มีใครอยู่?

 

“ไหน?!

 

“อันสีขาวที่วางอยู่บนแท่นวางธนูนั่นไงครับ!

 

“ดี ไปหยิบมาเลย”

 

“ครับ!

 

เอ๊ะ? หรือว่าจะเป็นโจรขโมยของ? เพราะดูเหมือนพวกนั้นกำลังตามหาธนูศักดิ์สิทธิ์ของเขาอยู่?

 

ฝ่าเท้าเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งในทันที ร่างโปร่งบางในชุดนักบวชวิ่งผ่านหน้าต่างนับสิบที่เปิดไว้ ช่องเปิดกับผนังทึบที่สลับกันไปทำให้ทางเดินนี้ดูยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

 

แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขามองเห็น...คนสองคนที่ยืนอยู่ข้างใน...

 

คนที่ใส่สูทขาวไว้ผมยาวราวกับพวกหมอผีนั้นเขาไม่รู้จัก แต่เด็กหนุ่มที่กำลังเดินไปหยิบธนูศักดิ์สิทธิ์คนนั้นเขาจำได้ดี

 

แน่นอนสิ ...เขาจะลืมหน้าของคนที่ฝากรอยอักขระของยักษ์ไว้บนแผ่นหลังของเขาได้ยังไง

 

นั่น...คือเด็กหนึ่งในสามคนที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้...

 

ช่วยให้อีกฝ่ายรอดพ้นจากเงื้อมมือของชูซังไปได้...

 

 

แล้วทำไม...ถึงตอบแทนกันแบบนี้?

 

 

“หยุดนะครับ! แล้วก็วางธนูลงเดี๋ยวนี้!    ร่างโปร่งบางยืนเอามือยันประตูไว้พลางหอบแฮ่ก แต่กระนั้นสายตาที่แข็งกร้าวก็จ้องไปที่เด็กหนุ่มเขม็ง

 

“วะ เหวอ?! คะ คุณนักบวช?!!    เด็กหนุ่มแทบจะทำธนูร่วงแต่ก็รีบตะครุบเอาไว้ ใบหน้าตกใจราวกับกำลังเห็นผี ดวงตาเบิกกว้างและสีหน้าก็ค่อยๆซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ

 

“นักบวช? นักบวชคนนั้นน่ะเหรอ?”   คนที่มาด้วยกันหันไปถามเด็กหนุ่ม ใบหน้ากร้านแดดนั่นสวมแว่นตาดำและหมวกมีปีกดูเหมือนพวกหมอผีสมัยใหม่จริงๆ

 

“ใช่...”

 

“ไหนว่าตายไปแล้วไง?”

 

“ปกติมันก็ต้องเป็นแบบนั้นสิ! ใครจะรอดจากเครื่องหมายของยักษ์ไปได้ล่ะ! ดูที่ไม่มีใครเหลืออยู่ที่นี่สักคนก็น่าจะรู้แล้ว! หรือว่านี่จะเป็นผี?! ใช่! ต้องเป็นผีนักบวชแน่ๆ!    เด็กหนุ่มหันไปตะโกนบอกอีกฝ่ายอย่างลนลาน

 

“บ้าเอ้ย รีบเอาธนูมาสิ!   มือสีแทนกวักเรียกเร่งให้เด็กหนุ่มรีบเอาธนูออกมา

 

“จะเอาไปไม่ได้นะครับ! นี่เป็นของของศาลเจ้า”   ร่างโปร่งจึงรีบวิ่งไปขวาง มือบางจับคันธนูสีขาวมั่น

 

“ปล่อยสิ! ยังไงคุณก็ตายไปแล้ว ใช้ไม่ได้แล้วจะหวงไว้ทำไมฟ๊ะ!   แต่เด็กหนุ่มก็ยังดึงดันจะขโมยกันซึ่งๆหน้า มือผอมแห้งพยายามยื้อแย่งคันธนูให้หลุดพ้นไปจากมือบาง

 

“ผมยังไม่ตาย! เธอนั่นแหละปล่อยธนูซะ! แล้วเข้ามาในเขตแดนของยักษ์อีกทำไม เธอจะโดนทำเครื่องหมายอีกจนได้นะ!    เสียงใสตะโกนใส่ด้วยความหวังดีทั้งๆที่อีกฝ่ายหักหลังกันขนาดนี้ เขายังไม่เคยได้ถามว่าเงื่อนไขของชูซังคืออะไรแต่มันก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากว่าหากเคยโดนทำเครื่องหมายไปแล้วก็อาจจะโดนซ้ำได้อีก แล้วยิ่งอาณาเขตในตอนนี้เป็นอาณาเขตที่เข้มข้นมากเพราะเป็นที่อยู่ของชูซังเอง ดีไม่ดีอาจจะโดนทำเครื่องหมายไปแล้วก็ได้

 

เด็กคนนี้...ช่างไม่รักตัวเองเอาเสียเลย!

 

“เรื่องของผม! แค่ได้ยอดวิวเยอะๆ ได้เงินเยอะๆก็พอแล้ว!    ห๊ะ? เรื่องของเธอ? แต่ตอนกำลังจะเป็นจะตายก็มาให้ผมช่วยเนี่ยนะ?

 

ต่อให้เขาจะเป็นคนใจดีแต่ก็ไม่ได้โง่งมก้มหน้าก้มตายอมให้กับคนแบบนี้หรอก มือบางจึงยิ่งจับคันธนูแน่น ดวงตาแข็งแกร้าวจ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่มไม่ลดละ

 

“โธ่โว้ย รีบๆแย่งมาสิวะ?!   อีกเสียงก็ตะโกนเร่งดังอยู่ข้างหลังอย่างรีบร้อน

 

“พี่ก็มาช่วยด้วยสิ! นักบวชนี่แรงเยอะกว่าที่เห็นนะโว้ย! ปัดเป่ามันหน่อยสิพี่เป็นหมอผีไม่ใช่เร๊อะ?!   เด็กหนุ่มตรงหน้าตะโกนกลับไปพร้อมกับออกแรงยื้อยุดคันธนูอย่างไม่ยอมแพ้ เสียงโหวกเหวกโวยวายทำให้ทุกอย่างดูชุลมุนไปหมด และมันก็ยังชุลมุนไม่พอ หมอผีสูทขาวจึงกระโดดเข้าร่วมการยื้อแย่งเพิ่มมาอีกคน 

 

“ฮึ่ย ปล่อยสิวะ!    มือสีแทนนั่นพยายามดึงลำตัวบางออกจากธนู ทั้งแกะมือทั้งกระชากแขนจนคุณนักบวชต้องสู้แบบปากกัดตีนถีบ!

 

“ปล่อยธนูนะครับ! จะเอาไปไม่ได้!   แขนบางข้างที่ถูกดึงสะบัดออกก่อนจะหยุมไปที่หัวของอีกฝ่ายจนหมวกหลุด ผมยาวก็โดนจิกไปมาจนฝีปากกล้าแหกปากร้องดังลั่น

 

“โอ๊ยๆๆ! ปล่อยหัวชั้น ปล่อยธนูด้วย!    มือข้างหนึ่งแกะผมตัวเองออกจากมือบาง ส่วนมืออีกข้างก็กระชากคอกิโมโนเพื่อให้ปล่อยคันธนู

 

“ไม่!   แต่ร่างโปร่งก็ยังรั้งไว้เต็มกำลัง ฝ่าเท้ายกขึ้นยันร่างในสูทสีขาวในขณะที่ฝ่ามือก็พยายามดึงธนูออกจากมือเด็กหนุ่ม

 

“ปล่อยสิวะ!   การตะลุมบอนตรงหน้านี้เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน มีทั้งเสียงตะโกนขู่กรรโชกและเสียงร้องโอดโอย

 

“ไม่!!    ต่างฝ่ายต่างยื้อกันไปมาจนเสื้อผ้าหน้าตาหัวเหอยุ่งเหยิงไปหมด และเหมือนยิ่งนานเข้าอารมณ์ของหมอผีก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นทุกทีๆ

 

“ไม่ปล่อยใช่ไหม? ไม่ปล่อยใช่ไหม?!    จนในที่สุดผู้บุกรุกก็ทนต่อโทสะนั้นไม่ไหว มือหยาบกร้านหยิบมีดหมออาคมของตนขึ้นมาก่อนจะปักลงไปที่ต้นขาบาง

 

 

ฉึ่ก!

 

 

“อ๊ะ?!   ความเจ็บที่แล่นลิ่วขึ้นมาทำให้ร่างโปร่งบางผงะอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าจะถูกทำร้ายด้วยอาวุธแบบนี้ ดวงตากลมโตเหลือบลงไปมองขากางเกงฮากามะที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดอย่างตื่นตระหนก รอยขาดของผ้าสีฟ้าทำให้เห็นรอยแผลที่ใหญ่พอสมควรและเลือดก็กำลังทะลักออกมาจากปากแผลไม่หยุด

 

“เฮ้ยพี่! ถึงกับต้องแทงกันเลยเหรอ?!   เด็กหนุ่มก็ตะโกนออกมาอย่างตกใจเช่นกันเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมาก่อน

 

“ก็แกบอกมันตายไปแล้วไง! งั้นนี่ก็เป็นแค่ผีที่โดนฉันปัดเป่าไง! รีบเอาธนูไปที่รถซะ!    หมอผีออกคำสั่งกร้าวด้วยใบหน้าที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

 

“คะครับ!   เพราะร่างโปร่งกำลังตกใจจึงเผลอปล่อยคันธนูง่ายๆ เด็กหนุ่มจึงรีบกอดมันไว้กับอกแล้วหอบมันวิ่งหนีออกไปทางประตู

 

“อึก...จะเอาไปไม่ได้นะครับ...”   มือบางยังพยายามเอื้อมออกไปห้าม

 

“อยู่เงียบๆเถอะแกน่ะ”   ทว่า มีดก็ปักมาที่หน้าท้องของเขาอีกครั้ง

 

 

สวบ!

 

 

“อึ้ก!   ความเจ็บปวดทำให้ร่างทั้งร่างถึงกับทรุดลงไปที่พื้น เหงื่อกาฬไหลเต็มหน้าไปหมด เลือดแดงขึ้นมาอีกจุดบนร่างกายซ้ำยังไหลโจกลงไปนองพื้น

 

“บ้าเอ้ย! โดนมีดแทงได้แบบนี้ ไม่ใช่ผีนี่หว่า ไอ้เด็กเวรมาโกหกกันซะได้!    หมอผีสบถอย่างฉุนเฉียวก่อนจะสะบัดมีดของตนจนเลือดที่ติดอยู่สาดกระเซ็นไปทั่ว มือหยาบยังอุตส่าห์เอื้อมไปหยิบหมวกของตนอย่างใจเย็นและไม่สะทกสะท้านว่าทำร้ายคนอยู่

 

“อึก...เอาธนูคืนมาครับ...แฮ่ก...แฮ่ก...”    ร่างโปร่งบางก็ยังขอร้องอย่างไม่ลดละ ฝ่ามือที่กดลงไปบนปากแผลนั้นเลอะเลือดเต็มไปหมด

 

แล้วในขณะที่ผู้กระทำยืนเหยียดมองลงมาอย่างย่ามใจ ดวงตาของหมอผีก็ต้องค่อยๆเบิกกว้างเมื่อเห็นควันสีดำอะไรบางอย่างลอยคลุ้งอยู่บนบริเวณที่มีปากแผล

 

“เฮ้ย?! นั่นอะไรน่ะ?! ทะ ทำไมแผลมัน....”    ปากแผลที่เคยเป็นรอยแยกขนาดใหญ่กลับค่อยๆยืดชิ้นส่วนผสานเข้าหากัน ทั้งควันสีดำทั้งฟองเลือดปุดผุดออกมาจากรอยแผลนั้นจนดูไม่เหมือนบาดแผลของมนุษย์

 

มันขยับหยุบหยับไปมา...

 

อย่างพยายามจะรักษาและสมานแผลให้ติดกัน

 

“ระ หรือว่าแกตายแล้วจริงๆ?! อ๊าก! ผี! แกเป็นผี!!   จากที่ยืนปัดหมวกอย่างใจเย็นกลับตื่นตระหนกและถอยหนีจนหกล้มหกลุก ร่างในสูทขาวพยายามจะหนีออกไปแต่ความตกใจก็ทำให้ขาแข้งพันกันไปหมด

 

“ผม... อึก!    ร่างโปร่งบางพยายามจะอธิบายว่านี่เป็นแค่ไออสูร แต่อีกฝ่ายก็ดูจะสติแตกเกินกว่าจะรับฟังอะไรอีก

 

“อย่าเข้ามานะไอ้ผีบ้า!    ร่างที่ล้มก้นจ้ำเบ้ากระถดกระถอยหนีไปจนหลังชนฝา

 

“ไม่ ผมยังไม่”   แล้วในขณะร่างโปร่งบางพยายามจะคลานเข้าไปใกล้ๆเพื่ออธิบาย

 

เสียง...ที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินก็ดังสนั่นจนแม้แต่ฝูงนกที่อยู่รอบๆก็กระพือปีกหนีกันกระจาย

 

 

ปัง ปัง ปัง!

 

 

ภาพที่ดวงตากลมโตมองเห็นกลายเป็นภาพสโลโมชั่นของแท่นพิธีที่ค่อยๆเอียงกลับหัว...กางเกงขายาวสีขาวที่มีรอยเลือดสาดกระเซ็น...ปืนในมือหยาบที่ค่อยๆร่วงหล่นลงมา

 

พลั่ก!

 

ภาพสุดท้ายที่มองเห็นคือพื้นไม้สีเข้มที่แสนคุ้นตา...

 

 

กระสุน...ทะลุผ่านหัวของเขาไปถึงสามนัด...

 

ต่อให้เป็นไออสูรของชูซังก็คงจะเร่งรักษาสมองที่เป็นรูเหวอะก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจไม่ได้...

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be Con.

  

เอากะละมังครอบหัวไว้จะได้ไม่โดนรีดเอาอะไรปาใส่555 มันเป็นส่วนหนึ่งของอุปสรรคแห่งฟามรักที่คุณยักษ์ต้องก้าวผ่านไปค่ะะะะ เป็นด่านเคราะห์ด่านสวรรค์อะไรเทือกๆนั้นเอ๊งงง

 

รีบเปลี่ยนเรื่อง ทุกคนคะ เห็นอาร์ตใหม่ของทสึรุเนะกันรึยังคะ ที่ทำสำหรับงานอีเว้นท์นักพากย์ในเดือนกันยานี้น่ะค่ะ อ๊ากกกก มันสวยมว๊ากกกก สวยแบบสุดๆ สวยตะโกนเลยจริงๆอ่ะ แล้วสวยทุกคนเลยด้วย เห็นแล้วแทบลงไปดิ้น >/////< โดยเฉพาะรูปของคุณชายชูกับน้องมินาโตะเรือเมนของเรา โฮกกกก คุณชายหล่อมว๊ากกกกกก น้องมิก็น่ารักมากกกก ตาใสมองมาแบบ ขออุ้มกลับบ้านได้ไหมคะลูกกกก // โดนธนูปักหัว แล้วชุดของแต่ละคนก็จะมีลายดอกไม้ประจำตัวด้วยอ่ะ ของชูเป็นดอกทิวลิปขาว ของน้องมิเป็นดอกพุดสามสี(ที่เราจะเห็นในไตเติ้ลเพลงเปิดเพลงปิดบ่อยๆนั่นแหละค่ะ ดอกไม้สีขาวที่เคยเหี่ยวที่ค่อยๆกลับมาบานอีกครั้งจนกระทั่งถูกย้อมด้วยสีต่างๆของเพื่อนๆ จริงๆดอกพุดสามสีมันมีสามสีตามชื่อจริงๆค่ะ ขาว ม่วงอ่อน ม่วง!! ม่วงด้วยอ่ะแกรรร >/////<) ส่วนของเซยะจะเป็นดอกเดซี่ ของมาสะซังกับคนอื่นๆนี่ดอกไรไม่รู้ขี้เกียจกูเกิลทราน5555 แต่มักจะอยู่ตามอาร์ตต่างๆของเกียวอนินั่นแหละค่ะ

 

แปะรูป แอร๊ยยยย สวยมากกกก >/////<

 







แล้วนอกจากอาร์ตใหม่นี้แล้วยังมีปกแฟนบุ๊คจากอฟช.เล่มใหม่ด้วยค่ะ โอยยย ดูเอาเถอะ

 

เค้าจับมื๊อออ น้องเค้าจับมือจับแขนกันด๊วยยยย แล้วความค่อยๆจับของน้องมิอ่ะแม่ มันแบบ ยุบยับในใจมากฮือออ แล้วสายตาสามกัปตันของเราก็คือจ้องมาที่น้องเป็นตาเดียว มันเห็นแล้วอยากจะลงไปดิ้นมาก งื้อออ

 

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม และทุกๆโดเนทมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น