Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 08
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
ตอนนี้นารุมิยะ
มินาโตะกำลังยืนอ้าปากค้างอยู่หน้าเศษซากหออาคมที่พังเละไม่เหลือชิ้นดี
มันทั้งถูกเป่าทั้งกลิ้งมาไกลขนาดนี้ทำให้อาคารทั้งหลังแทบจะหลอมรวมกันเป็นก้อนกลมๆเพียงก้อนเดียว
ตรงไหนเคยเป็นหลังคา ตรงไหนเคยเป็นผนังยังดูแทบไม่ออก
เรียกว่าเละยิ่งกว่าโดนพายุถล่มเสียอีก...
“......”
ใบหน้ามนยังพูดอะไรไม่ออกเพราะได้แต่อ้าปากหว๋อจนแมลงปอแทบจะบินเข้าไป
นี่มันอะไรกันเนี่ย~!
เป็นเพราะหลังจากวันที่เจ้ายักษ์สีแดงตัวนั้นโผล่มาเล่นงานเขา
ถึงชูซังจะช่วยรักษาบาดแผลภายนอกโดยการมอบไออสูรให้
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอาการข้างเคียงอย่างอื่น เขาแพ้ไออสูรอยู่บ้างจึงมีอาการไม่ค่อยดีจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ
จากนั้นก็เป็นฝ่ายชูซังที่คลายพันธนาการให้เขาจนบาดเจ็บสาหัส
เขาจึงต้องคอยดูแลอยู่ใกล้ๆจนแทบไม่ได้ออกจากห้องนอนของตัวเองเป็นอาทิตย์ๆ ไม่พอ
หลังจากตื่นขึ้นมาเจ้ายักษ์จอมเจ้าเล่ห์ก็ยังเนียนต่อว่ายังไม่หายแล้วคอยวอแวจนเขาแทบไม่ได้ไปไหนอีกหลายวัน
เขาจึงเพิ่งจะรู้นี่แหละ
ว่าหออาคมเก่าแก่และทรงคุณค่าที่มีอายุกว่าร้อยปีของเขากลายสภาพเป็นเศษซากเละเทะไปเสียแล้ว...
ดวงตากลมโตตวัดมองคนที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างคาดโทษ
นี่มันทำเกินกว่าเหตุไปไหม?
เขารู้นะว่าถ้าอีกฝ่ายตั้งใจจริงๆ จะเป่าแค่เจ้ายักษ์สีแดงนั่นอย่างเดียวก็ย่อมได้
ไม่ทำอาคารของเขาพังก็ย่อมได้~~!
ให้ตายเถอะ
คุณยักษ์จอมทำลายล้างนี่!
“เฮ้อ~” ใบหน้ามนหันกลับมาถอนหายใจ จะตำหนิหรือว่ากล่าวอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์
เพราะเขารู้ว่าชูซังทำไปเพราะช่วยเขา
แล้วที่โกรธจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่แบบนี้ก็เป็นเพราะเห็นเขาถูกทำร้าย ระดับความโกรธที่เห็นได้จากก้อนซากหออาคมนี้ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่าเขาสำคัญกับอีกฝ่ายขนาดไหน
จะยอม...ให้อภัยก็ได้...
ดวงตากลมใสมองไปยังเศษซากหออาคมนั้นอีกครั้ง...ยังไงก็ต้องเก็บกู้ซากอาคารขึ้นมา
เพราะว่าหออาคมเป็นที่เก็บอาวุธในทางไสยเวทย์ของศาลเจ้า ภายในยังมีอาวุธชิ้นอื่นๆอยู่อีกและตอนนี้มันก็คงจะอยู่ในกองไม้พวกนี้นี่แหละ...
“ชูซัง...”
“หืม?”
“ทำให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหมครับ?” เขาลองถามออกไป
เผื่อจะเป็นเหมือนในการ์ตูนไงที่พวกนักเวทย์สามารถเสกของที่ตัวเองทำพังให้กลับไปเป็นอย่างเดิมได้
“ข้าทำเป็นแต่ทำลาย
ข้าสร้างได้ที่ไหนกัน” แต่ใบหน้าตายก็ทำเอาความหวังของเขาพังทลาย...นั่นสินะ
ในความเป็นจริงกับในการ์ตูนจะไปเหมือนกันได้ยังไง
“ถ้างั้นก็มาช่วยผมหน่อยสิครับ
ผมต้องเก็บกู้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทับอยู่ใต้ซากอาคารพวกนี้
คงต้องย้ายไปไว้ในอาคารอื่นก่อน”
“เห๋?”
ดวงตาสีม่วงเหล่มองเขาอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมยักษ์พันปีอย่างตนจะต้องมาทำอะไรพวกนี้ด้วย?
หนอย....
“ในเมื่อคุณเป็นคนทำพัง
เพราะงั้นก็ต้องมาช่วยกันสิครับ” เขาทำหน้าดุใส่อย่างไม่ยอม
“......แต่ข้าเป็นยักษ์”
“ถ้างั้นก็ใช้พลังของยักษ์มาช่วยผมสิ
ยกคานนี่ขึ้นให้หน่อยสิครับ” นิ้วเรียวชี้ไปที่คานไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเคยใช้รับหลังคาของอาคาร บัดนี้มันนอนแอ้งแม้งทับอยู่บนเศษซากพวกนั้น
ถ้าไม่ยกมันออกก่อนก็คงเข้าไปหาของไม่ได้ แล้วดูจากขนาดที่ใหญ่กว่าตัวเขาหลายเท่า
เขาคงยกเองไม่ไหวแน่
เอาจริงเหรอ?
ใบหน้าหล่อเหลาส่งสายตาถาม
เอาจริงครับ...
แล้วใบหน้ามนก็ส่งสายตาดุดันกลับมา
เจ้าจะใช้ข้าทำงานเช่นนี้จริงๆเหรอ?
ใบหน้าหล่อเหลายังไม่ละความพยายามและส่งสายตากลับไปถามอีก
จริงครับ!
คราวนี้ใบหน้ามนถึงกับแยกเขี้ยวใส่อย่างน่ารัก?
ก่อนที่ร่างโปร่งบางจะปีนลงไปยังกองเศษซากที่อยู่ก้นหลุมพวกนั้น
ทิ้งให้คุณยักษ์ที่ใช้ชีวิตดั่งคุณชายมาตลอดพันปียืนอึ้งอยู่ตามลำพัง
คงมีแต่เจ้านี่แหละที่กล้าใช้งานอสุราแห่งท้องนภาเช่นข้า
กล้าบังคับให้ข้ามาทำอะไรแบบนี้ทั้งๆที่ข้าไม่เคยทำมาก่อน
ต้องมาช่วยมนุษย์รื้อถอนซากอาคารที่ตนเป็นคนทำพังเองเนี่ยนะ?
ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจก่อนจะหงายฝ่ามือ
พลังที่มองไม่เห็นทำให้คานไม้ขนาดใหญ่ค่อยๆลอยขึ้นมาช้าๆ
“จะให้วางไว้ตรงไหน?” เสียงทุ้มราบเรียบเอ่ยถามออกไป
“เรียงไว้ตรงนั้นเลยครับ
เดี๋ยวผมเข้าไปเก็บอาวุธก่อน...จริงๆเลย...ไม่เห็นต้องพังอาคารทั้งหลังแบบนี้เลย
คราวหน้าห้ามทำลายข้าวของอีกนะครับ รู้ไหมว่าการสร้างบ้านหลังนึงเนี่ยมันใช้เงินเยอะแค่ไหน
บางคนต้องเก็บเงินทั้งชีวิตเลยนะ บลาๆๆ”
ใบหน้ามนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง...เจ้ากล้าบ่นข้าที่เป็นยักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้าเชียวรึ?
มันน่านัก
ฟึ่บๆๆ
แน่นอนว่าคุณยักษ์ได้แต่เอาความขุ่นเคืองใจที่โดนบ่นไปลงกับซากอาคาร
ข้าจะทำลายแล้วใครจะทำไม?
ถ้าอยากได้เงินสร้างใหม่ข้ามีให้เจ้าเป็นทองทั้งเหมืองเลยเอาไหม?
อสุราแห่งท้องนภาได้แต่บ่นในใจ
มือใหญ่ย้ายคานอันแล้วอันเล่า
ย้ายเสาต้นมหึมาพวกนั้นด้วย เอาไปเรียงอย่างสวยๆไว้ข้างๆ...อืม...ไว้ว่างๆข้าลองมานั่งต่อมันดูดีไหมนะ?
เผื่อจะกลายเป็นอาคารแบบเดิมก็ได้ เจ้าจะได้เลิกบ่นสักที
ใบหน้ามนลอบหันไปมองร่างสูงสง่าที่กำลังวาดแขนย้ายท่อนไม้ด้วยใบหน้ามุ่ยๆ
เขาถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอพร้อมกับอมยิ้ม
อันที่จริงก็ไม่ได้คิดหรอกว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วย
ดูจากท่าทางอันสง่างามและนิสัยที่เย่อหยิ่งเหมือนคุณชายแล้วก็พอจะรู้ว่าชูซังเป็นยักษ์ที่สูงส่งขนาดไหน
เขากำลังสงสัยอยู่ด้วยซ้ำว่าชูซังอาจจะเป็นยักษ์ประเภทที่เป็นเทพเจ้า แต่อีกฝ่ายกลับยอมช่วยเขาทำงานของปุถุชนคนธรรมดาแบบนี้
เขาจึงมองไปที่ร่างสูงด้วยความซาบซึ้ง...มองด้วยความรู้สึกดีๆที่มีให้
ก่อนจะหันกลับไปไต่ลงไปยังใต้กองซากอาคารต่อ
ดวงตากลมโตพยายามจะมองหาช่องที่พอจะเข้าไปได้ ทว่า
ประตูหน้าต่างก็ถูกอัดยับอยู่กับฝ้าเพดาน ระเบียงไม้ก็บี้แบนรวมอยู่กับโครงหลังคา
แยกแทบไม่ออกเลยว่าตรงนี้คือส่วนไหนของอาคารกันแน่
แคร้งๆ
แซกๆๆ
ดวงตาสีม่วงเหลือบมองร่างในชุดนักบวชเป็นระยะๆ
ตรงที่ที่ซากอาคารกองอยู่มันเป็นหลุมขนาดใหญ่
ร่างโปร่งบางนั่นจึงต้องปีนลงไปเพื่อไปค้นหาของที่น่าจะหล่นอยู่ข้างใต้
ข้อเท้าเล็กๆเหยียบลงไปบนเศษไม้ที่ดูไม่แข็งแรงน่าอันตรายจนข้าต้องมองอย่างลุ้นระทึกอยู่ในใจ
มันจะหักจะพังลงไปไหมนะ? หรือข้าควรสร้างทางลงให้เจ้าก่อนดี?
เอาเสาพวกนี้ไปเรียงเป็นสะพาน? หรือยกดินตรงนั้นมาถมเป็นทางให้ดี?
ทำไมท่าทางง๊อกๆแง๊กๆดูไม่มั่นคงของเจ้าถึงได้ทำให้ข้าเป็นกังวลจนละสายตาไม่ได้เลยแบบนี้~
ครึก?
ครื้นนนน!
นั่นไง! ที่คิดไว้นี่ผิดเสียที่ไหน!
“เหวอ?!” เสียงใสร้องออกมาอย่างตกใจ
ฝ่าเท้าในรองเท้าสานนั่นเหมือนจะเหยียบไม้ที่หักอยู่จึงลื่นล้มก่อนจะเซถลาแล้วกำลังจะกลิ้งตกลงไป
มือใหญ่จึงกางออกอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ!
สายลมที่มองไม่เห็นหอบร่างโปร่งบางในชุดนักบวชนั่นเอาไว้
ก่อนจะหิ้วลอยอยู่กลางอากาศ...
“เฮ้อ...” ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจ ก่อนจะใช้ลมดูดร่างเบาหวิวนั่นให้ลอยมาตกอยู่ในอ้อมแขนของข้า
ตุ้บ!
ข้าก้มมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยใบหน้าที่ยังเรียบเฉย
ใบหน้ามนจึงได้แต่หัวเราะแหะๆอย่างรู้ตัวว่าผิดที่ไม่ระวัง
“ขอบคุณนะครับ...” ตอนแรกก็ว่าจะดุเสียหน่อย
แต่ใบหน้าที่ก้มงุดน้อยๆอย่างเขินอายยามที่ถูกข้ากอดไว้นี่มันก็ดีมากเหมือนกัน
“ปล่อย...ผมลงได้แล้วครับ...”
นิ้วเรียวเกาแก้มตัวเองก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมามองข้าซึ่งยังทำหน้าตายแล้วตอบกลับไปว่า
“ไม่ปล่อย
เดี๋ยวเจ้าก็ไปทำให้ตัวเองหกล้มอีก”
สองแขนยิ่งกระชับกอดร่างโปร่งบางแน่นในท่าอุ้มเจ้าสาว
ใบหน้ามนจึงได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่กอยู่ในอ้อมแขนข้า
“แต่ว่าผมต้องลงไปหาของนะครับ...”
“เจ้าหาอะไร?” ข้าถามออกไปโดยยังไม่มีทีท่าว่าจะวางร่างโปร่งบางนั่นลง
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ครับ”
“หลับตา
แล้วนึกภาพของที่เจ้าจะหาซะสิ” ใบหน้ามนดูลังเลอยู่ไม่น้อยแต่ในที่สุดก็ยอมหลับตาลงจนได้
ฝ่ามือใหญ่จึงยกไปอังแนบไว้ที่หน้าผากใส
ภาพในหัวของเจ้าจึงหลั่งใหลเข้ามาในมือข้า...
“เจ้าดำ
ไปหามาซะ” เสียงทุ้มออกคำสั่ง
และชั่วพริบตาเจ้าผีคอพับก็ไหลวื้ดออกจากจากฝ่ามือของข้า
จนมานั่งแสยะยิ้มเลือดย้อยหอบแฮ่กๆอยู่ตรงหน้า
มันหมุนตัวก่อนจะวิ่งราวกับสายลมสีดำมุดหาของตามใต้กองซากอาคาร ช่องเล็กช่องน้อยแค่ไหนมันก็เข้าไปได้
ถึงอะไรจะพังครืนลงมาใส่มันก็ไม่เป็นอะไรเพราะมันเป็นภูติผีอยู่แล้ว
มันเป็น...หมา...จริงๆด้วยสินะ...
ใบหน้ามนคิดหลังจากที่ลืมตาขึ้นมามองดูเจ้าหมาสีดำตัวใหญ่ที่กำลังดมและคุ้ยหาของให้
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกคาบมาวางไว้ใกล้ๆ
ดูจากที่มันไม่ถูกอาคมของอาวุธทำร้ายเอาก็แสดงว่าเจ้าผีคอพับตนนี้น่าจะมีพลังแก่กล้ามากทีเดียว
ก็สมแล้วที่เป็นหมาของชูซัง
ร่างโปร่งบางถูกวางลงเมื่อเจ้าดำหาอาวุธชิ้นสุดท้ายมาได้
เขานั่งยองๆลงไป
มือบางแบออกให้ดาบสั้นที่ถูกคาบอยู่วางลง มันแสยะยิ้มอย่างดีใจให้เขา ท่าทางเหมือนกับหมาตัวใหญ่ไม่มีผิด
“ตกลง...มันเป็นหมาสินะครับ?” เขาหันหน้าไปถามผู้เป็นเจ้าของ
“ตอนแรกมันเป็นภูติรับใช้
แต่พอไม่มีอะไรให้ทำมันจึงกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า”
“สีแดงๆที่ย้อยออกมาจากปากของเจ้านี่คืออะไรน่ะ?” เวลาอยู่กับชูซังมันจะตัวเท่าหมาอากิตะ จะว่าน่าสยดสยองหรือน่ารักก็ยังงงอยู่
เพราะในขณะที่มันแสยะยิ้มมันก็เหมือนจะร้องหงิงๆไปด้วย ใบหน้าเริงร่าแบบสยองๆนั่นเหมือนกำลังส่ายหางดิกๆให้เขายังไงก็ไม่รู้
“น้ำของพวกผลเบอร์รี่ป่าน่ะ” ชูซังตอบกลับมา
“เห๋...ไม่ใช่เลือดแน่เหรอครับ?”
“ไม่ใช่หรอก
มันเป็นมังสวิรัติ”
“.....”
เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย
ว่าที่ผ่านมาเขาก็แค่โดนหมาตัวใหญ่เลียหน้าเอาก็เท่านั้น...
ร่างโปร่งบางหอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปทำพิธีชำระล้างที่อาคารหลังใหม่
ที่จริงในศาลเจ้ายาตะยังมีอาคารอยู่อีกมากมาย จึงน่าใจหายไม่น้อยที่ตอนนี้เหลือคนที่จะใช้มันอยู่แค่คนเดียว
ท่อนแขนบางถือคัมภีร์ก่อนจะท่องบทสวดเพื่อบูชาและกำราบอาวุธพวกนี้ไปพร้อมๆกัน
ถึงมันจะไม่มีผลอะไรต่อยักษ์ที่มีพลังมหาศาลอย่างชูซัง
แต่กับพวกภูตผีปีศาจตามปกติแล้ว แค่โดนฟันไปทีก็อาจจะโดนปัดเป่าได้เลย
ดวงตากลมใสมองไปยังแท่นบูชาที่เขาเพิ่งยกออกมาตั้งง่ายๆ
บนนั้นมีทั้งดาบคาตานะ ดาบสั้น ดาบขนาดใหญ่ ทวน หอก กระบองสามท่อน
มีดรูปร่างประหลาด ยันต์ ธนู และสารพัดอาวุธที่จะใช้ต่อสู้ได้
เขาส่งพลังของตัวเองออกไปเพื่อควบคุมให้พวกมันสงบลง
ที่จริงหออาคมเดิมทั้งตัวอาคารก็เป็นอาณาเขตชนิดหนึ่ง
มันไม่ใช่แค่สถานที่ที่ใช้เก็บอาวุธ
แต่ยังทำหน้าที่ชำระล้างและกำราบอาวุธที่มีพลังวิญญาณสิงสถิตย์อยู่พวกนี้ด้วย
เขาจึงต้องทำให้อาคารแห่งนี้กลายเป็นหออาคมแห่งใหม่
ยันต์ถูกแปะไว้รอบทิศ
เสียงท่องคาถาดังก้องกังวานจนรอบๆอาวุธทุกชิ้นล้วนมีแสงเรืองขึ้นมา
ใบหน้ามนท่องบทสวดจนถึงบทสุดท้ายอย่างราบรื่น
นั่นก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าพลังของเขาเริ่มจะกลับมาแล้ว ขนาดลงอาคมทั้งอาคารใหม่ก็ยังไม่เป็นไร
ถึงทุกคืนจะยังถูกกัดกินพลังชีวิตด้วยวิธี...แปลกๆ...อยู่บ้างแต่พลังที่ถูกเอาไปก็น้อยลงมาก
ร่างกายของเขาจึงไม่อ่อนแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่หน้ามืด ไม่วิงเวียนเหมือนจะเป็นลมล้มพับได้ตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
มือบางเก็บม้วนคัมภีร์เข้าที่หลังจากทำพิธีเสร็จ
เขาปิดประตูอาคารก่อนจะเดินออกมาตามระเบียงทางเดิน
ดวงตาทอดมองบริเวณศาลเจ้าที่เงียบสงบ
ไม่มีใครเหลืออยู่แล้วจริงๆด้วยแหะ
ใบหน้ามนเงยมองไปบนท้องฟ้า
คนทั่วไปอาจจะมองไม่เห็น
แต่เขากลับมองออกว่ามีอาณาเขตที่เต็มไปด้วยอักขระของยักษ์ครอบอยู่เหนือศาลเจ้าของเขา...นั่นน่าจะเป็นเขตแดนของชูซังไม่ผิดแน่
ถึงว่า...เขาถึงได้ไม่รู้สึกเลยว่ามีภูตผีปีศาจหรือวิญญาณร้ายใดๆอยู่ในรัศมีรอบๆนี้เลย
ที่แท้ชูซังก็สร้างอาณาเขตของยักษ์ครอบอาณาเขตของศาลเจ้าเอาไว้นี่เอง
และเขายังรู้อีกว่าภายในเขตแดนนี้เต็มไปด้วยไอพิษที่มนุษย์ธรรมดาคงจะอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน
เพราะฉะนั้นการที่เขาจะไปตามนักบวชที่เคยอยู่ที่นี่ให้กลับมาคงจะเป็นไปไม่ได้เลย
เอาเถอะ...เอาไว้ให้พลังของเขาฟื้นคืนกลับมามากกว่านี้
เขาค่อยตะล่อมให้ชูซังถอนอาณาเขตออกไป
แล้วใช้เพียงอาณาเขตของศาลเจ้าดังเดิมก็คงจะพอได้
ร่างโปร่งบางเลี้ยวไปอีกทางซึ่งตรงข้ามกับทางไปยังเรือนนอนของเขา
ใบหน้ามนอมยิ้มขณะก้าวเดินเพราะคิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันเพลินๆ
ก็ใครจะไปคิดล่ะว่ายักษ์ที่แสนเย่อหยิ่งอย่างชูซังจะยอมมาช่วยเขาเก็บซากอาคารแบบนั้นด้วย
แล้วนี่ไม่ใช่ว่าแค่หาอาวุธศักดิ์สิทธิ์เจอก็จะหยุดเพียงแค่นั้น
ร่างสูงสง่านั่นยังยอมใช้พลังของยักษ์เคลียร์พื้นที่ให้ตามที่เขาสั่งอีกต่างหาก
ตอนนี้ซากอาคารที่เคยเละรวมเป็นก้อนเดียวกันจึงถูกแยกชิ้นส่วนแล้วเรียงไว้อย่างสวยงาม
พื้นป่าที่เคยล้มระเนระนาดจากการต่อสู้ก็ถูกรื้อให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน
นึกถึงตอนที่เขาลื่นไถลจนเกือบจะตกลงไปในกองซากอาคารแต่ชูซังมาช่วยไว้ได้ทัน...นึกถึงอ้อมแขนที่อุ้มเขาไว้อย่างหวงแหน...
เขาคง...ต้องหาอะไรตอบแทนเสียหน่อยแล้ว...
ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปในครัว
การทำอาหารไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา เพราะถึงตอนนี้เขาจะเป็นนักบวชชั้นสูง
แต่เขาก็เคยเป็นนักบวชผู้ช่วยที่ต้องผลัดเวรกันทำอาหารมาก่อน
เพราะฉะนั้นถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีใครเหลือทำอาหารให้เขาทานแล้ว
เขาก็ยังพอจะหุงหาอาหารเองได้
ดวงตากลมใสเหลือบมองวัตถุดิบที่มีอยู่ในห้อง...ไม่เคยเห็นชูซังทานอาหารเลย?
หรือว่ายักษ์ไม่จำเป็นต้องกินข้าวกันนะ? เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชอบทานอะไร
ถ้างั้นทำเป็นขนมน่าจะดีกว่า?
มือบางสาวไปที่เมล็ดถั่วแดงพันธ์ดีก่อนจะอมยิ้ม...ทำถั่วแดงต้มน้ำตาลใส่โมจิก็แล้วกัน
และเพราะเมล็ดถั่วแดงมีความแข็งทำให้ต้องต้มอยู่หลายรอบ
ชูซังจึงรู้เข้าจนได้ว่าเขาแอบทำอะไรอยู่
ร่างสูงสง่าจึงมายืนกอดอกมองอยู่ใกล้ๆ
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าคนญี่ปุ่นใช้ถั่วในการไล่ยักษ์
เจ้าไม่ได้กำลังไล่ข้าทางอ้อมอยู่ใช่ไหม?”
ใบหน้าเฉยชาเหลือบมองถั่วแดงที่ต้มอยู่ในหม้อพลางนึกถึงมาเมะมากิหรือการปาถั่วไล่ยักษ์ในวันเซ็ตสึบุน
เพราะยักษ์ในความหมายของคนญี่ปุ่นจะหมายถึงสิ่งชั่วร้าย โรคระบาด ภัยพิบัติ
ความทุกข์ยาก จึงต้องไล่ไปให้ไกลๆ
“ยักษ์อย่างคุณกลัวถั่วด้วยเหรอครับ?
แล้วถึงผมไล่ก็คงไม่ไปอยู่ดีใช่ไหมละครับ”
มือบางตักฟองที่ลอยอยู่ข้างบนออกก่อนจะอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ใช่
ต่อให้เจ้าไล่ ข้าก็ไม่ไปหรอก” ข้าไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลย
ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้นเพื่อเป็นการยืนยัน
“ใช่ไหมล่ะ
เพราะงั้นก็ทานให้หมดเถอะครับ ผมทำอร่อยนะ”
ใบหน้ามนหันมายิ้มให้ทำเอาหัวใจยักษ์กระตุกไปวูบหนึ่ง
ถั่วพวกนั้นอาจจะทำอะไรข้าไม่ได้ แต่ถั่วเม็ดเล็กๆอย่างเจ้าอาจจะฆ่าข้าได้เลยนะ
ดวงตาสีม่วงย้ายมามองเสี้ยวหน้ามน
ทั้งๆที่เป็นนักบวชที่ควรจะเคร่งเรื่องความเชื่อกับพิธีกรรม
แต่มินาโตะกลับใช้ชีวิตสบายๆกว่าที่คิดและไม่ยึดติดกับสิ่งใด
ก็แทนที่จะเก็บถั่วหนีห่างข้าให้ไกลกลับต้มถั่วให้ยักษ์กินซะงั้น
แล้วในระหว่างรอต้มถั่วแดง
ร่างโปร่งบางก็หันไปทำโมจิแทน
แป้งข้าวเหนียวถูกผสมเข้ากับน้ำก่อนที่มือบางจะเริ่มออกแรงนวดเพื่อให้มันเป็นก้อนโมจิขาวนุ่ม
เขาต้องนวดแป้งให้มันเข้ากันก่อนจะแบ่งมันเป็นก้อนเล็กๆขนาดพอดีคำ
แล้วนำไปต้มในน้ำเดือด ก็จะได้โมจิที่เหนียวหนึบนุ่มอร่อยไว้ใส่ในถั่วแดงต้มน้ำตาลแล้ว
ร่างโปร่งบางจึงนวดแป้งต่อไปด้วยสีหน้ามีความสุข
ดวงตาสีม่วงของคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ทอดมองมือขาวๆที่กำลังนวดแป้งจนกลายเป็นก้อนกลมนั่นอยู่เหมือนกัน
ขนมญี่ปุ่นที่มีมาแต่โบราณและเรียบง่ายแบบนี้ข้ารู้จัก
แต่ว่า...นี่เป็นครั้งแรก...ที่มีคนตั้งใจทำให้ข้าโดยเฉพาะ
แก้ม...จึงอดที่จะขึ้นสีนิดๆไม่ได้...
พูดถึงแก้ม...ผงขาวๆที่ติดอยู่บนใบหน้ามนนั่นกลับยิ่งทำให้น่าเอ็นดู
ทำอิท่าไหนถึงได้มีแป้งเลอะแก้มได้นะ?
มือใหญ่จึงยกหลังมือขึ้นไปเช็ดให้
“ครับ?”
ใบหน้ามนเงยขึ้นมามองก่อนจะหลับตาลงข้างหนึ่งเมื่อรู้ว่าข้ากำลังเช็ดหน้าที่เลอะให้
ดวงตากลมใสที่เปิดกระพริบปริบๆนั้นช่างน่ารักจนจากที่แค่ใช้หลังมือเช็ดให้
ตอนนี้ข้าก็พลิกฝ่ามือกลับมานวดแก้มใสที่นุ่มฟูไม่ต่างจากโมจินั่นอย่างเพลิดเพลิน
“อื้อ...อย่าสิครับ...”
เจ้าพยายามเบี่ยงหน้าหลบและมันก็ยิ่งทำให้ข้าอยากแกล้ง
ปลายนิ้วยาวจึงปาดแป้งที่หกอยู่บนโต๊ะมาแต้มที่ปลายจมูกโด่งรั้นนั่นจนเป็นรอยสีขาว
“อ้า~ โธ่~ ชูซังนี่ละก็~ เลอะหมดแล้วเนี่ย”
ใบหน้ามนแง้วๆใส่เขาราวกับแมว ดวงตากลมใสมองมาด้วยสายตาเคืองๆ แต่ยิ่งโมโห
ก็ยิ่งน่ารัก...
ข้าจ้องมองคนที่พยายามเอามือเช็ดปลายจมูก
แต่มือที่เปื้อนผงแป้งก็ยิ่งทำให้จมูกเปื้อนไปกันใหญ่
“ฮึ...ฮะๆๆๆ” ข้าจึงหลุดขำออกไปอย่างห้ามไม่อยู่
“ชูซังอ่า!” ใบหน้ามนจึงตวัดมาค้อนใส่เสียหนึ่งที
ก่อนที่จะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ รอยยิ้มของเจ้าช่างซุกซน จากนั้นหัวสีดำจึงพุ่งเข้าใส่ข้าทันที?
ตุ้บ...
ใบหน้ามนถูไถไปมาอยู่บนแผงอกของข้า
คงตั้งใจจะเอาคืนด้วยการใช้กิโมโนของข้าเช็ดจมูกของเจ้าสินะ
แต่ให้ตายเถอะ
ภาพของเจ้าในเวลานี้น่ารักจนแทบบ้า
น่ารักจนข้าอยากจะจับเจ้าจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลย
มือใหญ่จึงจับหมับไปที่ข้อมือเล็กทั้งสองข้างก่อนจะดึงลำตัวบางออกไปเล็กน้อย
จากคนที่คิดจะเอาคืนข้ากลับหันมองข้อมือตัวเองที่ถูกจับยึดไว้ด้วยใบหน้าเลิ่กลั่ก
และยิ่งหันกลับมาเจอสายตาที่จ้องหน้าอย่างไม่วางตาของข้า
ใบหน้ามนก็ยิ่งเลิ่กลั่กไปใหญ่
นัยน์ตาสีม่วงเหลือบมองริมฝีปากสีระเรื่อ...จ้องมองมันอย่างต้องการจะสื่อให้เจ้ารู้ว่าข้าต้องการอะไร...จากนั้นจึงเหลือบตาขึ้นมาสบประสานดวงตากลมใสอย่างขออนุญาติ
ไม่รู้ละ
ข้าจะคิดว่าแก้มที่ขึ้นสีแดงของเจ้าคือคำอนุญาติ
ใบหน้าหล่อเหลาจึงโน้มเอียงเข้าไปหาทันที
กลีบปากแตะลงไปบนริมฝีปากนุ่มนิ่ม
มันราวกับมีแรงดึงดูดที่ทรงอานุภาพทำให้กลีบปากที่ชื้นแฉะแนบเข้าหากันจนมันไม่มีช่องว่าง
เพียงลมหายใจที่คละเคล้าคลอเคลียก็ทำให้หัวใจเต้นกระหน่ำจนรู้สึกได้
ความรู้สึกดีที่ไม่รู้ว่าก่อเกิดมาจากไหนทำให้ใบหน้าของพวกเราเริ่มร้อนเป็นไฟ
ท่อนแขนแข็งแรงจึงกอดกระชับลำตัวบางเข้าหา ดึงให้ยิ่งเข้ามาชิดใกล้จนแทบจะจมหายลงไปในอก
กอด...และจูบเอาไว้...เพื่อแทนคำพูดที่อยู่ในใจทั้งหมดทั้งมวล
กว่าถั่วแดงต้มน้ำตาลจะเสร็จได้...ก็ผ่านไปอีกหลายชั่วโมง...
“เป็นไงบ้างครับ?
พอทานได้ไหม?”
ดวงตาสีเขียวใสจ้องอย่างลุ้นระทึกเมื่อมือใหญ่ตักถั่วแดงต้มน้ำตาลเข้าปาก
ตอนแรกข้านึกว่ามันจะหวานแสบลิ้นแต่รสชาติมันกลับกลมกล่อมและไม่หวานมากจนเกินไป
ยิ่งความเหนียวนุ่มของโมจิที่เข้ากันดีก็ทำให้ดวงตาของข้าจ้องมองขนมในถ้วยอย่างทึ่งๆ
“อืม
อร่อยดี” ข้ามองถ้วยขนมในมือด้วยสายตาอบอุ่น
ส่วนคนที่ทำมันขึ้นมาก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอีกแล้ว...
ข้านั้นมีชีวิตอยู่มานานแสนนาน...มันนานพอที่ข้าจะทำใจได้แล้วว่าคงไม่มีวันได้มานั่งเคียงข้างกับใครบางคนเพื่อทำเรื่องแสนธรรมดาอย่างการกินขนมด้วยกันแบบนี้
ดวงตาสีม่วงทอดมองลงไปยังเงาสองเงาที่ตกกระทบอยู่บนผืนน้ำ
รอบๆขอบบ่อเต็มไปด้วยกออะจิไซสีชมพู ม่วง ฟ้าไล่เรียงอย่างสวยงาม ผืนป่าที่โอบล้อมแผ่เงาอันร่มรื่นจนแสงแดดทะลุลงมาไม่ถึง
ไอหมอกที่ชุ่มชื้นช่วยสร้างบรรยากาศที่ดูลักลึบเต็มไปด้วยมนต์ขลัง
มันช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะกับข้าและเจ้ามาก
เจ้ายกชาขึ้นจิบ
ส่วนข้าตักขนมเข้าปาก...ถึงจะไม่มีอะไรต้องคุยกันมากนักแต่แค่ได้อยู่ข้างๆกันก็กลายเป็นความสุขใจได้แล้ว
“ขอบคุณมากนะครับ
ที่ช่วยเหลือผมหลายต่อหลายอย่าง...ทั้งเรื่องวันนี้...แล้วก็ที่แล้วๆมาด้วย...” เสียงนุ่มเปิดบทสนทนาก่อน
ถ้วยชาร้อนๆโชยไอกรุ่นอยู่ในมือบางที่วางอยู่บนหน้าตัก
“เพราะเป็นเจ้า
ข้าถึงช่วย หากเป็นคนอื่น ข้าคงมองดูอย่างไม่แยแส” ข้าตอบออกไปตามความเป็นจริง
แต่เจ้ากลับขำพรืดอย่างไม่ถือสายักษ์ที่ไร้สัมพันธไมตรีเช่นข้า
“คุณนี่ต้องไม่มีใครคบแน่ๆเลย
ฮะๆๆ”
“ข้าไม่คบใครเองต่างหาก” ข้าเป็นยักษ์ที่มีพร้อมทุกอย่างเชียวนะ
ทั้งพลังอำนาจ ความโหดเหี้ยมอำมหิตเลือดเย็น
ถ้าข้าอยากจะมีพวกภูตผีปีศาจเป็นลูกสมุนละก็...ย่อมทำได้ง่ายๆอยู่แล้ว
“คิก”
ใบหน้ามนยังยิ้มสดใสและหัวเราะอย่างชอบใจที่แหย่ข้าได้
ตุบ...
น้ำหนักที่พิงมาที่ไหล่ทำให้ดวงตาสีม่วงเบิกขึ้นชั่ววูบ
ก่อนจะค่อยๆหรี่ลงเพราะข้าเริ่มอมยิ้ม
เจ้าเหมียวสีดำกำลังอ้อนข้า...ด้วยการนั่งเอาหัวเอนซบลงมาที่ไหล่
“ไฮเดรนเยียสวยจัง...”
“อืม”
“บ่อน้ำตรงนี้ก็สวยนะครับ...”
“อืม”
“ดีจังที่ผมได้มานั่งดูกับคุณ...”
“อืม”
“ตรงนี้น่ะ
ตอนใบเมเปิลเปลี่ยนเป็นสีแดงจะสวยมาก”
“อืม”
“ตอนดอกสึบากิบานท่ามกลางหิมะก็สวย”
“อืม”
“ตอนกลีบซากุระโปรยปรายลงในสระก็สวย”
“อืม”
“เรา...จะอยู่ด้วยกันไปจนถึงตอนนั้นเลยใช่ไหมครับ?” ใบหน้ามนหันมามองข้า
ข้าจึงสอดประสานสายตากลับไป
“ใช่
ข้าจะอยู่กับเจ้า...ไปจนกว่าซากุระต้นนั้นจะหยุดออกดอกและแห้งตายไปแล้วนั่นแหละ”
คำสัญญาแรกที่ข้าให้ไว้กับเจ้าทั้งมั่นคงและหนักแน่น
เพราะข้ารู้ว่าข้าทำได้
ต่อให้ซากุระต้นนี้จะอยู่ไปอีกเป็นพันปีก็ตาม
“ฮะฮะ” เจ้าหัวเราะและเอนหัวลงมาซบไหล่ข้าอย่างเก่า
เจ้าคงนึกว่าข้าล้อเล่น
เอาเถอะ...สักวันเจ้าก็จะรู้เอง...
ว่าข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปจริงๆ
รัตติกาลมาเยือนเหมือนทุกๆวัน
มือบางดึงสวิตซ์ไฟที่ห้อยอยู่กลางห้อง
แสงทั้งหมดจึงมืดดับลง
มีเพียงเงาสลัวๆที่ลอดผ่านกระดาษสาที่กรุประตูเข้ามาเพียงเท่านั้น
และเงาร่างที่คุ้นตาก็ยังคงนั่งอยู่บนกิ่งต้นซากุระไม่ไปไหน...
แก้มใสแดงระเรื่อเมื่อรู้ว่าหากหลับตาลงจะต้องเจอกับอะไร...แต่เขาจะไม่นอนก็ไม่ได้นี่นา...
ร่างโปร่งบางในกิโมโนตัวในจึงค่อยล้มตัวลงนอนอย่างเอียงอาย
มือบางดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดกาย ใบหน้าซบลงไปบนหมอนด้วยลมหายใจที่ร้อนผ่าว
“อ๊ะ?” ดวงตากลมโตเปิดขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เดี๋ยวสิ เขาไม่น่าจะหลับไวขนาดนั้นนี่?
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเจอร่างในกิโมโนสีดำที่กางขาคร่อมลำตัวเขาอยู่ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในฝัน!
ดวงตากลมโตเหลือบมองต้นขาแข็งแกร่งที่โผล่พ้นรอยแหวกของกิโมโนออกมา
มันแนบอยู่กับสีข้างของเขา ความแตกต่างระหว่างเอวบางกับกล้ามเนื้อต้นขาของอีกฝ่ายทำเอาใจเต้นตึกตัก
จะตื่นเต้นอะไรกันเนี่ย เขาควรจะต่อต้านสิ!
ใบหน้ามนหันกลับไปมองคนที่อยู่เหนือร่างตน
บนใบหน้าหล่อเหลายังคงสวมหน้ากากยักษ์สีทองเอาไว้
“คืนพรุ่งนี้...ทำไมเจ้าไม่ลองถอดหน้ากากเขาดูล่ะ”
เสียงทุ้มที่เคยพูดประโยคนี้กับเขาเอาไว้ในคืนก่อนลอยก้องอยู่ในหัว
และนั่นก็ทำให้ท่อนแขนเล็กค่อยๆยกขึ้น
มือเรียวยาวสีขาวค่อยๆเอื้อมออกไปหาใบหน้าที่กำลังโน้มตัวลงมา...
ปลายนิ้วแตะลงบนหน้ากากสีทองนั่นอย่างแช่มช้า...ตรงจุดที่สัมผัสกันราวกับจะมีประกายสีขาวระยิบระยับลอยออกมา
เขาลูบไล้มันราวกับคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์
ลูบจากแก้ม...ขึ้นไปยังเขาสีดำ...
ความรู้สึกโหยหาที่ท่วมท้นอยู่ในใจพาให้นัยน์ตาอ่อนแสงลง
สองมือค่อยๆดึงใบหน้าที่สวมหน้ากากนั่นลงมาหาช้าๆ...
แผ่นหลังบางดันตัวเองขึ้นเล็กน้อย...พอให้ใบหน้าเอียงเข้าหาหน้ากากสีทองที่กำลังโน้มลงมา...พอให้กลีบปากสีระเรื่อแตะลงไปบนริมฝีปากที่ทำจากไม้ของหน้ากากยักษ์ด้วยความนุ่มละมุน
เขาจูบอีกฝ่ายทั้งหน้ากาก...
แต่น่าแปลกที่การทำแบบนี้กลับทำให้หัวใจยิ่งเต้นแรง
ยิ่งเรียกร้องหากันมากยิ่งขึ้น
เขาละออกมาอย่างเชื่องช้าแล้วช้อนสายตามองหน้ากากยักษ์ที่มองลงมาอย่างมั่นคง
มือบางทั้งสองข้างจึงค่อยๆเอื้อมออกไปอีกครั้ง
แตะที่สองแก้มสีทองก่อนจะลากไล้ไปยังใบหู...
แล้วค่อยๆถอด...หน้ากากนั่นออกมา...
เป็นดวงตาสีม่วงที่จ้องมองเขาอยู่จริงๆ
เป็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักและมีเขาของยักษ์อยู่บนหน้าผากจริงๆ
เป็นฟูจิวาระ
ชู...จริงๆ
“ชูซัง”
เขายิ้มให้ก่อนจะดึงใบหน้าภายใต้หน้ากากนั่นมาจูบเบาๆอีกครั้ง
จูบที่เขาเริ่มก่อนนั้นอ่อนหวานและบริสุทธิ์
แต่จูบที่คุณยักษ์ตอบโต้กลับมากลับร้อนแรงและเต็มไปด้วยราคะ
“อื้อ?!”
เขาสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆก็มีอะไรบางอย่างสอดเข้ามาในปาก
ดวงตาที่เคยปิดรับจูบอ่อนหวานจึงลืมตาพรวดพราดเพื่อมองดูว่าเจ้าสิ่งที่เปียกลื่นชื้นแฉะนั้นมันคืออะไร
ลิ้น?
ทำไมถึงสอดลิ้นเข้ามาล่ะ?
หรือเวลาจูบเขาต้องทำกันแบบนี้?
ตอนนี้ในหัวของนักบวชผู้อ่อนต่อโลกกำลังหมุนติ้วๆ
เปิดโอกาสให้ยักษ์ร้ายที่ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ยิ่งได้ใจ
ลิ้นที่สอดเข้าไปจึงเกี่ยวกระหวัดรัดพันลิ้นที่ไร้เดียงสา
แล้วค่อยๆพาให้จิตใจเตลิดเปิดเปิงไปไกล
“อื้ม...” ลิ้นร้อนที่กวาดต้อนไปทั่วเพดานปากทำเอาคนไม่เคยไม่รู้จะตอบโต้ยังไง
ขนาดจะหายใจทางไหนก็ยังสับสนไปหมด
เพราะริมฝีปากสีสดถูกบดเบียดด้วยกลีบปากร้อนจนไม่มีแม้แต่ช่องว่าง
ร่างโปร่งบางจึงเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจจนต้องทุบเบาๆไปที่แผ่นอกกว้าง
“อื้อ!
ฮ้า แฮ่ก...แฮ่ก...”
และเมื่อคนด้านบนยอมปล่อย หัวสีดำจึงทิ้งลงไปบนหมอนพลางกอบโกยอากาศเข้าปอดด้วยลมหายใจที่หอบหนัก
สองแก้มแดงจัดจนเหมือนลูกเชอร์รี่
จูบ...มันทำให้รู้สึกดีขนาดนี้เชียวเหรอ...
“อื้อ?” แล้วในขณะที่คิดว่ามันน่าจะจบแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลากลับโน้มลงมาจู่โจมอย่างรวดเร็ว
ริมฝีปากร้อนประกบปิดลงมาอีกครั้งในมุมที่ต่างไปจากเดิม
เรียวลิ้นไล่ต้อนลิ้นมึนงงจนทำให้ต้องตอบรับไปอย่างงูๆปลาๆ
ทุกที่ในโพรงปากที่ลิ้นร้อนลากผ่านความรู้สึกทั้งหวานทั้งวูบวาบก็แล่นลงสู่หน้าท้องอย่างน่าพิศวง
เสียงจุ๊บจ๊วบที่ดังออกมาทำเอาความร้อนผ่าวยิ่งวิ่งขึ้นบนใบหน้า
เป็นเสียงที่ฟังดูลามกและน่าอายจนเขาไม่กล้ามองอีกฝ่ายตรงๆเลยทีเดียว
“อืม
อื้อ~”
มือบางทุบลงไปบนแผงอกเบาๆเมื่อรู้สึกจะขาดอากาศหายใจ
“ฮ้า~ ฮ้า~” อีกฝ่ายยอมปล่อยแต่ก็เปลี่ยนมุมแล้วประกบจูบลงมาภายในห้าวินาที
มือใหญ่จับยึดปลายคางเขาไว้ไม่ให้หนีไปไหน น้ำลายไหลเชื่อมผสมปนเปกันไปหมด
เหมือนหิวโหย
เหมือนเสพติด เหมือนหลงใหลในรสจูบที่หอมหวานนี้
ชูซังจูบเขาไม่ปล่อย
ไม่ว่าจะละออกไปกี่สิบกี่ร้อยรอบ ไม่ว่าจะเบื้อนหน้าหนี ไม่ว่าจะพยายามดันตัวออกไป
แต่ใบหน้าหล่อเหลาเอาแต่ใจก็ยังตามมาจูบเขาจนแทบจะจมหมอน
จูบที่แสนเร่าร้อนนั้นดุเดือดจนวิญญาณเขาแทบจะออกจากร่าง
นี่แค่จูบอย่างเดียว
จูบจนเขาสะดุ้งตื่น!
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....”
ร่างโปร่งบางลุกนั่งขึ้นบนฟูกก่อนจะหอบหายใจโกยอากาศเข้าปอด
หน้าเน้อแดงไปหมด แดงไปจนถึงลำคอ
"ข้าไม่รีบร้อนหรอก…ข้ามีเวลาอีกสองหมื่นราตรีที่จะกอดเจ้า เรา...ค่อยๆเรียนรู้กันไปเถิด"
นั่นคือเสียงที่ก้องอยู่ในหัวก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา
ดวงตากลมโตตวัดไปมองเงาของคนที่ยังนั่งอยู่บนต้นซากุระอย่างคาดโทษ
ค่อยๆเรียนรู้อะไรกันล่ะ!
จูบจนปากเขาบวมเจ่อนี่เรียกว่าค่อยๆได้เหรอครับ!
ฮึ่ม!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
พูดถึงวันเซ็ตสึบุนแล้วก็จะนึกถึงตอนต้นไลท์โนเวลเล่มสาม
ตอนนั้นสามทหารเสือเค้ายังเป็นเด็กม.ต้นกันอยู่ แล้วคุณชายชูเค้าชวนน้องมิออกไปเดต
เอ้ย ไปดูพิธีเกี่ยวกับวันนี้แหละที่ศาลเจ้า คือตั้งใจชวนน้องคนเดียว
อยากจะไปกันสองคน แต่เซยะดันตามมาด้วย55555
แล้วเซยะก็เล่าให้ฟังว่าได้ยินเสียงมินาโตะปาถั่วอยู่หน้าบ้าน
ตะโกนดังจนได้ยินมาถึงในบ้านเซยะว่า “ยักษ์จงออกไป สิ่งดีๆจงเข้ามา” พอได้ฟัง
ชายชูแกก็พึมพำๆว่า “ยักษ์จงออกไปๆ” เซยะก็หันมาจิกทันทีว่า ยักษ์ที่ว่านี่หมายถึงผมหรือเปล่า
เพราะตามมินาโตะมาโดยที่ชายชูแกไม่ได้ชวนอ่ะ โอ๊ย55555 มันศีลเสมอกันแท้ๆสองคนนี้
มีคนเคยแปลลงทวิตอยู่ค่ะ ลองหาดูน้า
คุณกวางไม่มีทวิตแต่เคยเห็นพี่ที่รู้จักเซฟมาให้ดูอ่ะ น่ารักมาก เซยะยังมีการบอกว่า
ต้องตามมาสิเดี๋ยวมินาโตะไปทำอะไรที่เป็นการรบกวนลูกชายคนโตของตระกูลฟูจิวาระเข้าคงไม่ดี ชูก็ตอกกลับทันทีว่า ไม่ต้องให้ลูกชายคนรองของบ้านทาเคฮายะมากังวลหรอก
โอ๊ย 555555+ ปากแต่ละคนนี่นะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม และทุกๆโดเนทมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ทอล์คมาน้อยๆงี้แสดงว่ากำลังปั่นหูดับตับไหม้อินไม่ไหวอยู่ค่ะ5555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น