Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 07
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
หัวใจของยักษ์นั้นมีหน้าตาเป็นแบบไหนกันนะ?
ข้าเกิดมาพันกว่าปียังไม่เคยเห็นมันสักครั้งซ้ำยังไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน
มันใช่สิ่งที่ทำให้ข้าเจ็บแปลบอยู่ในเวลานี้หรือไม่?
มันใช่สิ่งที่ทำให้ข้าทนดูต่อไปไม่ได้อีกแล้วใช่หรือเปล่า?
"แค่กๆๆๆ" เสียงไอดังอย่างต่อเนื่องออกมาจากในห้องห้องนั้น…เงาที่ลุกขึ้นมานั่งกุมหน้าอกพลางหอบหายใจอย่างทรมานที่เห็นผ่านบานประตูกรุกระดาษสา…ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ถึงตาย
แต่เพราะข้ามีหัวใจใช่หรือไม่?…ถึงได้ทนเห็นเจ้าเจ็บแบบนั้นไม่ไหวอีก
ครืด!
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเหยียบย่างเข้ามาในห้องนอนของมนุษย์
ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าหันมามองข้าอย่างตกใจเพราะจู่ๆข้าก็บุกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เพราะข้าตัดสินใจแล้ว
ข้าจะหยุดความเจ็บปวดของเจ้า
ข้าจะเอามันมาไว้ที่ตัวข้าเอง
ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงไปบนพื้นเสื่อทาทามิ
แต่ละก้าวทั้งหนักอึ้งและทรงพลัง มีอะไรบางอย่างพังทลายไปเรื่อยๆในทุกๆก้าวของข้า…มันคือเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กางคลุมห้องนี้ไว้
แน่นอนว่าหากอสูรอย่างข้าก้าวเข้ามามันย่อมต้องต่อต้านเป็นธรรมดา
"อั่ก!" นารุมิยะ
มินาโตะถึงกับกระอักออกมาเพราะอาณาเขตที่ถูกข้าทำลายไป…ที่ผ่านมา…หากข้าจะเล่นงานเจ้าให้ปางตายมันง่ายนิดเดียว
แต่ข้ากลับไม่เคยคิดจะล่วงล้ำเข้ามาในเขตแดนนี้ด้วยตนเอง
ข้าไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเจ้าเลย
ไม่เคยเลย...
ข้าอาจจะเฝ้ามองเจ้าเพราะข้าสงสัย
ข้าไม่เคยเจอใครที่เป็นเหมือนเจ้ามาก่อน
เจ้าทนเจ็บสักหน่อยเถอะนะ แล้วทุกอย่างมันน่าจะดีขึ้นเอง
มือใหญ่กางออกตรงหน้าก่อนจะดึงกลุ่มควันแห่งฝันร้ายนั่นออกมาจากหัวสีดำ
เจ้าผีคอพับเหลวเป๋วไหลเข้าสู่ฝ่ามือข้า
ใบหน้ามนหอบหนักเงยมองข้าจากบนฟูกที่บัดนี้กลับลอยคว้างอยู่ในมิติที่เวิ้งว้างว่างเปล่า
เพราะทุกย่างก้าวของข้ากำลังเปลี่ยนห้องธรรมดาให้กลายเป็นมิติที่ข้าอาศัยอยู่
มันมืดมนยิ่งกว่าอนธการ
เหมือนทุกอย่างลอยอยู่บนบ่อที่ไร้ก้นบึ้ง
เรือนที่ปรากฏขึ้นมาก็อาบด้วยแสงจันทราหาใช่แสงอาทิตย์
มันอยู่ในความมืดมิดแบบนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์
ชึบ…ชึบ…
ข้าก้าวเข้าหาฟูกมากขึ้นเรื่อยๆ
ข้าจำเป็นต้องดึงเจ้าเข้ามาในอาณาเขตของข้า
เพราะหลังจากทำพิธีนี้เสร็จ...ข้าอาจจะบาดเจ็บจนไม่สามารถปกป้องตัวเองและเจ้าได้
จึงจำเป็นต้องใช้อาณาเขตที่แข็งแกร่งของข้าช่วยคุ้มภัย จะไม่มีใครล่วงล้ำเข้ามาในเขตแดนที่ซับซ้อนแห่งนี้ได้แม้แต่เทพเจ้า
ดวงตาสีม่วงจับจ้องไปที่วงหน้าเหนื่อยล้าไม่วางตา
ใจหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าในยามนี้ช่างงดงามมากจริงๆ
ข้าคุกเข่าข้างหนึ่งแตะลงบนฟูกก่อนจะมองใบหน้าที่มีแต่ความสงสัยให้เต็มตา
"ชูซัง...คุณ…แฮ่ก…พาผมมาที่ไหน…แฮ่ก…แล้วคุณ…คิดจะทำอะไรกันแน่?"
นารุมิยะ มินาโตะเอ่ยถามทั้งที่ยังหอบหายใจ
แม้แต่ในเวลาแบบนี้ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นกลับไม่มีแววหวาดกลัวข้าเลยแม้แต่น้อย
ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองข้า ไม่ได้กลัวจะถูกข้าทำร้าย ให้อภัย…กับสิ่งที่ข้าทำลงไป…
บางครั้งข้าก็สงสัย…ว่าเหตุใดหัวใจของข้าถึงมีใจให้กับสิ่งมีชีวิตที่ช่างตรงข้ามกับข้าเช่นนี้
เพราะหากมีใครมาทำให้ข้าต้องเจ็บปวด
ข้าคงขยี้มันให้แหลกคามือ
มือใหญ่เอื้อมไปประคองใบหน้ามนก่อนจะจ้องลึกลงไปในดวงตากลมโต
"ข้ากำลังจะทำในสิ่งที่ข้าเองก็ไม่เคยทำ
ข้าไม่เคยรู้ว่ามันทำได้หรือไม่หรือผลจะต่างไปจากที่ข้าคิดหรือเปล่า…"
"ข้าจะคลายพันธนาการให้เจ้า…อย่างน้อย…เจ้าจะได้ไม่ต้องโดนกัดกินพลังชีวิต" ข้าจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่กระตุกวูบด้วยแววอ่อนโยน
"แล้วคุณ…จะไม่เป็นไรเหรอครับ?" เวลานี้ยังจะมัวมาห่วงข้าอีก เชื่อเจ้าเลยจริงๆ
"ข้าแค่คลายไม่ได้ปลดออก สิ่งที่ต้องแลกข้าก็มี แต่เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก"
เพราะสิ่งที่ข้าต้องแลกมันจะจบแค่ตรงนี้
ไม่ได้ยืดเยื้อเหมือนที่เจ้าโดน
ร่างสูงสง่าค่อยๆลุกจากฟูกช้าๆก่อนจะถอยไปสองสามก้าว
ท่อนแขนแข็งแรงสอดเข้ามาในแขนเสื้อกิโมโนก่อนจะถอดท่อนบนออกเผยให้เห็นแผ่นอกกว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่สวยงามและแข็งแกร่งจนคนมองถึงกับหน้าแดง
หน้าท้องขึ้นเป็นลอนชัดแบบชายชาตรีที่มีร่างกายอันสมบูรณ์แบบ
ดวงตาสีม่วงหลุบต่ำและเพียงแค่ท่องคาถาในใจ
สายลมสีดำก็วนไล้ตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมาจนรอบตัวทันที
ฟึ่บ! เคร้ง!!
เสียงเคร้งคร้างครืดคราดเหมือนโซ่เหล็กเสียดสีสอดประสานกันดังอยู่รอบทิศ
แล้วชั่วพริบตาโซ่สีดำมากมายก็พุ่งออกมาจากแผ่นหลังกว้างดูคล้ายกับปีกที่กำลังแผ่สยาย
มันแผ่ออกไปกว้างใหญ่จนมองไม่เห็นปลาย
ร่างสูงสง่าในยามนี้จึงดูคล้ายกับมีปีกของยมทูตกางอยู่บนหลัง!
เพียงแต่ปีกพวกนี้คือโซ่ตรวนที่มัดชีวิตของผู้คนมากมายเอาไว้
ใช่...ไม่ได้มีเพียงร่างโปร่งบางตรงหน้าหรอกที่ถูกยักษ์ทำเครื่องหมาย
ยังมีคนอีกนับร้อยนับพันที่หลงเข้ามาในอาณาเขตของข้าในแต่ละวัน
แต่คนที่ข้าให้ความสนใจกลับมีเพียงเจ้าคนเดียว
แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าโซ่เส้นไหนคือเครื่องหมายของเจ้างั้นรึ?
“อื้อ?...” ก็เส้นที่กำลังรัดคอเจ้าอยู่นั่นอย่างไรล่ะ!
“ชูซัง?...” มือบางยกขึ้นมาจับโซ่สีดำที่ลำคอของตัวเองอย่างงุนงง
ใบหน้ามนเงยขึ้นอย่างหายใจลำบากเพราะโซ่ที่รัดพันแน่น ซ้ำมันยังขยับเคลื่อนไหวไปมาได้เองจนเหมือนงู
และที่เจ้ายิ่งทรมานกว่าใครเพราะที่คอเจ้ามีโซ่รัดอยู่ถึงสามเส้น!
ดวงตาสีม่วงทอดมองโซ่สามเส้นที่พุ่งออกจากแผ่นหลังล่ามยาวไปยังลำคอระหงของคนที่นั่งอย่างอ่อนแรงอยู่บนฟูก
ดวงตากลมโตที่สั่นระริกนั่นมองมาที่ข้าอย่างให้อภัยและยินยอมไม่ว่าข้าจะทำอะไร
แต่เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก
เพราะคนที่จะต้องแบกรับผลกระทบของการคลายโซ่เส้นนี้คือข้า
ยักษ์ผู้บังอาจฝ่าฝืนบทบัญญัติของยักษ์
มือใหญ่เอื้อมออกไปจับโซ่เส้นหนึ่งในสามนั่นเอาไว้
ข้า…คงจะเป็นยักษ์ที่โง่เขลาที่สุดในใต้หล้า...ที่ทำเพื่อมนุษย์ขนาดนี้
พลังมหาศาลถูกอัดใส่ลงไปในโซ่สีดำนั่นทันที
ปึ้ง!
มันส่งผ่านไปจากมือข้า
บังคับทำให้โซ่คลายออกทีละข้อๆต่อๆไปอย่างรวดเร็ว
ปึ้งๆๆๆๆๆๆๆ!
จนกระทั่งมันคลายไปจนถึงลำคอบาง
ปลายที่เคยรัดแน่นก็คลายออกทันที
ถึงจะปลดออกไม่ได้แต่มันก็คลายออกแล้วจริงๆ
ค่อยยังชั่ว...
“อึ่ก!!” เสียงแห่งความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่เสียงที่ออกมาจากใบหน้ามน
แต่กลับเป็นเสียงของข้าเอง!
เปรี๊ยะ!
“แค่ก!” จู่ๆเลือดก็กระอักออกมาจากปาก
เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นตามโซ่นั่นมา ความเจ็บปวดทะลวงเข้าไปในกายข้าจนดวงตาถึงกับเบิกค้าง
ฉูด!!
เลือดพุ่งกระฉูดอยู่บนแผ่นหลังตรงรอยเชื่อมระหว่างโซ่
พุ่งออกไปจนสาดเลอะแดงฉานไปทั้งผนัง
แรงสั่นสะท้านที่ตีกลับมาจากโซ่นั้นรุนแรงมหาศาล
อวัยวะภายในของข้าถึงกับฉีกขาด มีบางอย่างถูกทำลายแหลกเละจนทำให้เลือดกระอักออกมาทางปากอย่างต่อเนื่อง
เพราะโซ่...มันถูกผูกไว้กับหัวใจหรือแก่นวิญญาณของข้าเอง
“อั่ก!!”
เข่าข้างหนึ่งทรุดลงจนสองมือต้องยันพื้นเอาไว้
ข้างในมันเจ็บมากอย่างที่ข้าไม่เคยเจ็บขนาดนี้มาก่อน เจ็บจนตาค้าง
เจ็บจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน
ไออสูรพวยพุ่งออกมาจากปากและรอบๆร่างกายโดยเฉพาะที่แผ่นหลังตรงรอยเชื่อมระหว่างโซ่
บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้พวกมันกำลังเร่งฟื้นฟูร่างกายของข้าขนาดไหน
“อึ้ก....”
หัวคิ้วขมวดเข้าหากันก่อนดวงตาจะเพ่งมองไปในความพร่ามัว
เจ้ากำลังยื่นมือออกมา...ยื่นมือมาหาข้าด้วยสีหน้าตกใจที่เห็นข้าบาดเจ็บ
เจ้ากำลังร้องเรียกชื่อของข้าอย่างสุดเสียง
เจ้ากำลังตะเกียกตะกายทลายมิตินั้นเพื่อเข้ามาหาข้า
หึ...รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปากที่เลอะไปด้วยเลือด
ต้องอย่างนั้นสิ
มือใหญ่จับหมับไปที่โซ่เส้นต่อไปอย่างไม่ลังเล
พลังทบทวีถูกอัดเข้าไปในชั่วพริบตา
ปึ้ง! ปึ้งๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!
“อั้ก!!”
ความเจ็บเจียนตายแล่นเข้าทำลายร่างกายของข้าทันที คราวนี้เข่าถึงกับทรุดลงไปทั้งสองข้าง
“แค่กๆๆ!!” ควันสีดำจากไออสูรพลุ่งพล่านจนมืดฟ้ามัวดิน
ข้าไอออกไปเป็นเลือดจนมันสาดกระเซ็นเต็มพื้น สายตาของข้าพร่ามัวเพราะรั้งสติไว้แทบไม่อยู่
มันเจ็บจนแม้แต่ลมหายใจยังรั้งเอาไว้แทบไม่ได้
แต่ว่า...
ยังเหลืออีกเส้น...
ยังเหลือโซ่อีกเส้นที่ข้าต้องคลายให้เจ้า...
มือใหญ่ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเอื้อมออกไปยังโซ่เส้นที่เหลือด้วยหัวจิตหัวใจที่ยังไม่สั่นคลอนถึงแม้ร่างกายจะโงนเงนไปมา
ดวงตาของข้ายังคงจับจ้องไปที่เจ้าเพียงเท่านั้น...
ต่อให้เจ็บจนร่างแทบสลายข้าก็ทนเพื่อเจ้าได้
และก่อนที่มือข้าจะได้อัดพลังลงไปในโซ่เส้นนั้น...
กลับมีมือของเจ้าเข้ามาสอดประสานและขวางมันไว้เสียก่อน
“พอแล้วครับชูซัง! พอแล้ว!!” เจ้า......ร้องไห้ทำไมกัน?
วงหน้าที่ข้าเห็นท่ามกลางความพร่ามัวกำลังร้องไห้อย่างตกใจกลัว
กำลังกอดข้าพลางสะอึกสะอื้นด้วยเสียงที่เจ็บปวด กำลังพยายามหยุดข้าอย่างสุดกำลัง
ทั้งๆที่นี่คือสิ่งที่จะปลดฝันร้ายและการกัดกินพลังชีวิตออกจากตัวเจ้าแท้ๆ
แต่เจ้าเอง...ก็ทนไม่ได้ที่เห็นข้าเจ็บเจียนตายเหมือนกันสินะ?
เจ้าเอง...ก็รักข้าสินะ?
“พอแล้ว...พอแล้วครับ...ฮึก” เสียงสะอึกสะอื้นนั้นดังอยู่ข้างหู
ร่างกายของข้ากำลังถูกอ้อมแขนเล็กๆของเจ้ากอดเอาไว้
รั้งให้ข้าถอยห่างออกมาจากโซ่เส้นที่เหลือ
“แต่ว่า...ยังเหลืออีก
แค่ก!” ข้ากระอั่กออกมาเป็นเลือดซ้ำๆเพราะอวัยวะภายในถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
โซ่พวกนี้ต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง
มันก็เป็นเหมือนกับลูกๆของข้า การที่ข้าไปบังคับให้มันคลายออกมันจึงอาละวาดอย่างดื้อดึงอยู่ในร่างกายของข้าและจะไม่หยุดจนกว่าเกรียวคลื่นแห่งพายุบ้าคลั่งจะหมดไป
ความเจ็บปวดทำให้ดวงตาของข้าเริ่มเหม่อลอย
หากช้ากว่านี้ข้าจะรั้งสติไว้ไม่ได้แล้ว
มือจึงพยายามเอื้อมไปที่โซ่เส้นที่เหลือ
แต่เจ้าก็ยังคงเป็นเจ้าที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร
เพราะแทนที่จะปล่อยให้ข้าคลายพันธนาการให้ตนเองจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานทุกค่ำคืนเพราะข้าอีก
แต่เจ้ากลับจับมือข้างนั้นของข้าเอาไว้
ยื้อยุดไม่ให้ข้าคลายมัน
“ปล่อย...สิ...เจ้าอยากจะ...ถูกกัดกินต่อไป...หรือยังไง...ฮ้า...ฮ้า...” ข้าสะบัดใบหน้าเพื่อรั้งสติเอาไว้
“ผมทนได้! ถึงจะถูกกัดกินก็ไม่เป็นไร!”
มือบางยังคงฉุดรั้งมือโชกเลือดของข้าอย่างไม่ละความพยายาม
“แต่ข้าทนดูไม่ได้” ข้าโต้เถียง
สองมือของเจ้าจึงจับหมับมาที่สองแก้มของข้าอย่างหมดความอดทน
เจ้าจับใบหน้าของข้าประคองขึ้นไป
แล้วใช้ริมฝีปากที่นุ่มนิ่มของเจ้าปิดปากข้าที่พยายามจะเอื้อนเอ่ยคัดค้านอะไรออกมา...
เจ้าจูบข้าทั้งน้ำตา
จูบข้าทั้งเลือดที่ไหลทะลักออกมา จูบข้าจากหัวใจของเจ้าเอง...
อ่า...เจ้านี่มันดื้อจริงๆเลยนะ
มินาโตะ...
ข้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็นอนหนุนหัวอยู่บนตักของเจ้าแล้ว
ที่นี่...มีพื้นเสื่อทาทามิ
มีผนังสีขาว มีฝ้าเพดาน มีชานระเบียง มีต้นอะจิไซ มีใบหญ้า
มีพระอาทิตย์...เจ้า...พาข้ากลับสู่มิติของเจ้าแล้วสินะ
“ตื่นแล้วเหรอครับ...”
ดวงตากลมใสสั่นระริกราวกับจะร้องไห้ยามเมื่อก้มลงมามองข้า
อาการข้าน่าเป็นห่วงขนาดนั้นเชียวรึ?
ข้าหลับไปนานจนเจ้าต้องมองอย่างกังวลขนาดนั้นเชียวรึ?
“ฮึก...ผมนึกว่าคุณจะไม่ตื่นขึ้นมาซะแล้ว
ฮึก...นี่อาทิตย์นึงแล้วนะครับที่คุณเอาแต่นอนอยู่อย่างนี้ ฮึก ฮึก...” หยดน้ำตาร่วงกราวลงมาบนใบหน้าข้าจนดวงตาสีม่วงถึงกับเบิกกว้าง
ข้าหลับไปเป็นอาทิตย์เชียวรึ?
ข้าไม่เคยบาดเจ็บหนักขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
เพราะไออสูรของข้านั้นแข็งแกร่งมาก
ข้าสามารถรักษาแผลของตัวเองได้ภายในชั่ววินาที
แสดงว่าโซ่กรรมนั้นกัดกินพลังและร่างกายของข้าไปไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องแลก...หากต้องการจะช่วยเจ้า
และข้าไม่เสียใจเลยที่ทำมันลงไป
มือใหญ่ยกขึ้นไปเกลี่ยไล้น้ำตาออกจากแก้มใส
ใบหน้ามนดูเหมือนจะมีสีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ได้ซีดเซียวเหมือนแต่ก่อน
“เจ้าเป็นห่วงข้ารึ?” ข้าแกล้งถามหยอกเย้า
แต่คนที่ให้ข้าหนุนอยู่บนตักกลับทำหน้าแง่งอนก่อนจะขมวดคิ้วใส่
“ก็ต้องเป็นห่วงสิครับ
คุณทำแบบนั้นได้ยังไง? ทำไมไม่ปรึกษาผมก่อน? รู้ไหมว่าตอนที่คุณนอนนิ่งหมดสติแล้วมีควันสีดำพุ่งออกมาโอบล้อมรอบตัวคุณไว้ตลอดเวลามันน่ากลัวขนาดไหน
ผมกังวลไปหมดว่าคุณอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ได้ ผมจะรักษาคุณได้ยังไง?
คุณเป็นยักษ์จะพาคุณไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็ไม่น่าจะได้?
ผมได้แต่รออย่างทำอะไรไม่ได้เลย คุณห้ามทำร้ายตัวเองเพื่อผมอีกเด็ดขาดเลยนะครับ
ถึงคุณจะเป็นยักษ์แต่คุณก็ตายได้ใช่ไหม? คุณทำเรื่องอันตรายแบบนั้นได้ยังไง อ๊า
ผมอยากจะฟาดคุณด้วยไม้เรียวจริงๆเลยให้ตายเถอะ!”
เสียงใสบ่นเป็นหางว่าวจนข้าถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“ฟุ
ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยหัวเราะแบบนี้เลยจริงๆ
ข้าหัวเราะงอหายจนต้องพลิกตะแคงตัว หัวเราะจนเจ้าทำตาดุใส่
หัวเราะจนต้องซุกหน้าลงไปกับหน้าท้องของเจ้าเพื่อให้หยุดหัวเราะ
อ่า...สิ่งที่อยู่ในใจข้าตอนนี้คือสิ่งที่เรียกว่าความสุขสินะ
ในที่สุดข้าก็ได้รู้จักมันเพราะเจ้าอีกแล้ว
มินาโตะ
“คุณไม่เป็นไรแล้วจริงๆใช่ไหมครับ?
ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?” ใบหน้ามนพยายามก้มๆมองๆสำรวจไปทั่วตัวข้า
ท่อนแขนแข็งแรงจึงโอบรอบเอวบางก่อนจะกอดเอาไว้
ซบหน้าลงไปกับหน้าท้องของเจ้า สูดเอาความสุขใจเข้าไปให้เต็มปอด
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
ดูเหมือนการที่ข้าหลับไปจะเป็นเพราะไออสูรที่ทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและพลังของข้าให้กลับคืนมา
เพราะฉะนั้นตอนนี้ข้าจึงรู้สึกปกติดีสุดๆ
ข้าค่อยๆยันกายลุกขึ้นช้าๆ...จ้องมองใบหน้าที่มองมาอย่างห่วงใย...มือยกขึ้นประคองแก้มใสทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากกัน
ก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าเอียงหัวเข้าไปหาช้าๆ...
แล้วแตะริมฝีปากลงไปบนกลีบปากหอมหวานของเจ้า
นี่คือครั้งแรก...ที่เราจูบกันในขณะที่ต่างฝ่ายต่างมีสติ
เป็นจูบแรกที่เกิดจากความรักอันบริสุทธิ์
เป็นจูบแรกที่แสนนุ่มนวลและอ่อนหวาน
เป็นจูบแรกที่ไม่มีการล่วงล้ำแต่จะคงอยู่ตลอดกาล
เป็นจูบแรก...ที่ทำให้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีใจให้กันเพียงแต่ไม่ได้พูดมันออกมา
ใบหน้าหล่อเหลาละออกมาจากใบหน้าที่แดงระเรื่อ
“ข้าขอดูหลังเจ้าหน่อย” เสียงทุ้มเอ่ยออกไป
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชายังดูอ่อนแรงอยู่บ้างเพราะหลับมานาน
“ครับ...” ใบหน้ามนก้มหน้างุดก่อนจะค่อยๆหันหลังให้
มือบางปลดคอกิโมโนลงให้ด้วยตนเองทั้งที่สีแดงลามไปจนถึงใบหู
ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มกับปฏิกิริยาเขินอายนั้นก่อนสายตาจะเหลือบมองไปทั่วแผ่นหลังบอบบาง
อักขระทั้งหมดยังคงอยู่...แต่มีสีที่ซีดจางลง...
ยกเว้นอันตรงกลาง
ปลายนิ้วยาวแตะลูบลงไปบนตัวอักษรสีเข้มพวกนั้น...
“ยังเหลือเครื่องหมายของยักษ์ที่ยังไม่ได้คลายอยู่อีกหนึ่ง...เพราะฉะนั้นเจ้าจะยังโดนข้ากัดกินอยู่แต่ก็จะน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก”
เสียงทุ้มพูดออกไปเพื่อบอกให้ร่างโปร่งรับรู้ถึงสิ่งที่ตัวเองจะต้องเผชิญ
“และก่อนหน้านี้
เพื่อช่วยชีวิตเจ้าไว้จากแผลที่ถูกยักษ์ชั้นต่ำนั่นกัดเอา
ข้าจึงได้มอบไออสูรของข้าให้แก่เจ้า”
“ตอนนี้...ในร่างกายของเจ้ามีไออสูรของข้าอยู่...วิธีกัดกิน...มันอาจจะเปลี่ยนไป…” ข้าบอกออกไปอย่างไม่แน่ใจนักว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
ก็อย่างที่บอกว่าข้าไม่เคยคลายพันธนาการให้ใคร ไม่เคยมอบไออสูรของตัวเองให้ใครด้วย
ข้าจึงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
“ครับ...ไม่เป็นไรครับ...” ใบหน้ามนยิ้มรับ ก่อนจะดึงคอกิโมโนขึ้นช้าๆ
จัดมันให้เข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย แล้วค่อยๆหันกลับมาเผชิญหน้ากับข้าอีกครั้ง
“เจ้าช่างโง่เขลาจริงๆ
แทนที่จะปล่อยให้ข้าคลายโซ่ทั้งหมด ข้าเป็นอสุราแห่งท้องนภา ข้าไม่เป็นไรหรอก” มือใหญ่ยกขึ้นไปลูบหัวสีดำอย่างเอ็นดู
“คุณไม่อยากเห็นผมเจ็บปวดทรมานถึงได้คิดจะคลายโซ่พวกนั้นให้ผมใช่ไหมล่ะ?
ผมเอง...ก็ไม่อยากเห็นคุณทรมานเช่นกัน...ตัวคุณอาจจะคิดว่ายังไหวและไม่เป็นไร...แต่ในสายตาของผม
ผมรับไม่ได้หรอกนะครับ ภาพแบบนั้น...”
ใบหน้ามนเศร้าหมอง
ข้าจึงทำได้แค่เชยคางมนขึ้นมาแล้วจูบหน้าผากอย่างปลอบโยน
“เจ้าช่างแปลกคน
มีมนุษย์ที่ไหนสงสารยักษ์กันบ้าง”
“ไม่มีมนุษย์ที่ไหนเป็นคนรักของยักษ์เหมือนกันนั่นแหละครับ”
“งั้นเจ้าก็เป็นคนรักของข้างั้นสินะ?”
“เอ๊ะ?
ง่ะ! ทำไมชอบหลอกล่อให้ผมหลงกลอยู่เรื่อยเลยเนี่ย~”
“ฮึ
ก็ข้าเป็นยักษ์ เป็นอสูรร้ายจอมทำลายและเจ้าเล่ห์นี่”
“งืม....”
“แต่เจ้าจงดีใจเสียเถอะ
เพราะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ยักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้าอย่างข้าบาดเจ็บได้”
“มีอะไรน่าดีใจตรงไหนกัน...ผมไม่อยากเห็นคุณบาดเจ็บเสียหน่อย...”
เสียงพูดคุยหยอกเย้ายังคงดังอยู่ภายใต้แสงเทียนสลัวๆ
ข้าเพิ่งสังเกตว่าตัวข้านอนอยู่ในห้องนอนของเจ้าโดยที่ตัวเจ้าไม่ได้เป็นอะไรเลย
บางที...อาณาเขตของเราอาจจะหลอมรวมกันไปแล้วก็ได้
ต่างฝ่ายจึงสามารถเข้าไปในอาณาเขตของกันและกันได้โดยไม่ทำร้ายอีกฝ่าย
นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเหมือนกัน...
เพราะไม่เคยมีมนุษย์สามารถหลอมรวมเข้ากับอาณาเขตของยักษ์ได้มาก่อน
“เอ๊ะ?” เสียงใสอุทานขึ้นเบาๆเมื่อข้าล้มตัวลงนอนหนุนลงไปบนตักนิ่ม
“ข้ายังไม่หายดีและข้าอยากจะนอนพักอีกสักหน่อย” ใบหน้าหล่อเหลาตอบหน้าตาย
“....แล้วทำไมต้องมานอนตรงนี้ด้วยละครับ?
ผมต้องลุกออกไปเปิดไฟในศาลเจ้านะ”
ใบหน้ามนก้มลงมามอง
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มือบางก็ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมของข้าที่ปรกละใบหน้าออกไปอย่างอ่อนโยน
“เปิดไฟ?” ข้าหันหน้าไปมองด้านนอกห้องที่มืดสลัว
มือใหญ่ยกขึ้นมาหงายขึ้น...แล้วดวงไฟก็ค่อยๆติดขึ้นทีละดวง...ทีละดวง...แผ่ขยายออกไปจากห้องๆนี้จนทั่วทั้งศาลเจ้าสว่างไสว
“ยังมีอะไรต้องทำอีกไหม?” เสียงทุ้มถามออกไป ใบหน้ามนจึงทำท่านึก
“อืม...ผมยังต้องไปปิดประตูกันฝนที่หอพิธีกรรม
เปลี่ยนแจกันที่อาคารบวงสรวง รวบผ้าม่านที่ลานประกอบพิธี”
“งานเจ้านี่เยอะเหลือเกินนะ
แต่คืนนี้เจ้าต้องเป็นหมอนให้ข้า ห้ามไปไหนทั้งนั้น” แล้วฝ่ามือใหญ่ก็ตวัดไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
สายลมสีดำพุ่งออกไปก่อนที่เสียง ปึ้งๆๆ จะดังมาให้ได้ยิน
...ประตูกันฝน...น่าจะถูกปิดไปหมดแล้ว
ผ้าม่านและแจกันเองก็คงจะถูกจัดการโดยลมสีดำพวกนั้นแล้วเช่นกัน
“ข้านอนได้แล้วใช่ไหม?”
ใบหน้าตายด้านเอ่ยอย่างเอาแต่ใจก่อนจะพลิกกายหันใบหน้าเข้าหาหน้าท้องแบนเรียบแล้วซุกเข้าไป
“ครับ...” ใบหน้ามนอมยิ้ม
ไม่รู้ว่าชูซังจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่เขามองว่านี่คือการอ้อนรูปแบบหนึ่ง
ยักษ์...ก็ทำตัวน่ารักเป็นเหมือนกันนะ
แล้วก็เป็นอย่างที่ชูซังบอกเอาไว้จริงๆ
ตั้งแต่วันนั้น...ความฝันของเขาก็เปลี่ยนไป...
จากที่เคยฝันว่าโดนฆ่าตาย...กลับกลายเป็นถูกล่วงล้ำเข้ามาในร่างกาย...โดยชายผู้สวมหน้ากากยักษ์แทน...
บานประตูบานเดิมตั้งอยู่ตรงหน้า...
บานที่เขามักจะเห็นทุกคืนหลังจากที่หลับตาลง
เดี๋ยวนี้เขาถึงกับปลงและมือบางก็เปิดเข้าไปอย่างไม่คิดจะต่อต้านใดๆแล้ว
ทว่า
แทนที่จะมีเจ้าผีคอพับยืนแสยะยิ้มรออยู่...เขากลับเจอชายผู้สวมหน้ากากยักษ์นั่งทับส้นอย่างสง่างามอยู่บนฟูก...
เอ๋?
“ชูซัง?”
เสียงนุ่มเรียกออกไปเพราะดูยังไงนี่ก็คือฟูจิวาระ ชูชัดๆ
แต่ร่างสูงสง่าตรงหน้ากลับไม่ตอบอะไร
มือใหญ่กางออกมาในอากาศก่อนจะใช้ลมดึงเขาเข้าไปหา
“อ๊ะ!” ร่างโปร่งเซถลาล้มคร่อมลงไปบนตักแข็งแกร่ง
ทำไมถึงชอบใช้ความรุนแรงกับเขานักนะ!
ริมฝีปากสีระเรื่อจึงแตะโดนมุมปาก...ของหน้ากากยักษ์อย่างไม่ตั้งใจ
ใบหน้ามนผงะถอยก่อนจะจ้องมองใบหน้านั้นด้วยความมึนงง
ขนาดกลิ่น...ยังเป็นกลิ่นของฟูจิวาระ
ชูเลย...
แต่ที่มันแปลกคือชูซังไม่เคยเข้ามาอยู่ในฝันร้ายของเขาเลยสักครั้ง
แล้วทำไมจู่ๆคราวนี้ถึงเข้ามาได้? หรือว่าจะเป็นเจ้าผีคอพับแปลงร่างมา?
“เจ้าผีคอพับ?”
เสียงใสจึงเอ่ยเรียกออกไปแต่ดันทำให้คิ้วเรียวภายใต้หน้ากากกระตุกตึง
มือใหญ่จับหมับลงมาที่ลำคอระหงก่อนจะออกแรงกดเขาลงกับฟูก
“อื้อ?” กลายเป็นร่างกายสูงใหญ่นั่นที่คร่อมเขาไว้แทน...
“มันชื่อเจ้าดำ
และข้าก็ไม่ใช่เจ้าดำ”
นี่มันเสียงชูซังชัดๆ! ว่าแต่เจ้าผีคอพับนั่นมีชื่อด้วยเหรอ?
เจ้าดำนี่มันชื่อหมาไม่ใช่เหรอ? สรุปแล้วมันเป็นหมาหรอกเหรอ? ไม่สิ
นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้น!
“ชูซัง?
อื้อ? เดี๋ยวก่อน?” เพราะตอนนี้เขากำลังถูกล่วงล้ำโดยยักษ์ตรงหน้า
มือใหญ่สอดเข้ามาใต้ชายกิโมโนก่อนจะลูบขาของเขาเบาๆ
ลูบ...ตั้งแต่ข้อเท้า...มาจนถึงหัวเข่า...ลูบแผ่วเบาขึ้นมาเรื่อยๆ
เรื่อยๆ...มันรู้สึกวาบหวิวจนหัวใจเต้นตึกตัก...เพราะตอนนี้ฝ่ามือร้อนๆนั่นกำลังวนไล้อยู่บนต้นขา
อา...นี่มันอะไรกัน?
ความรู้สึกที่ทำให้หายใจติดขัดแบบนี้มันคืออะไรกัน
แค่อีกฝ่ายลูบขาเท่านั้นก็ทำให้เป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?
“ชูซัง
อย่า...”
มือบางพยายามเอื้อมไปจับมือใหญ่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายลูบต่อก่อนที่สติเขาจะกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้
ทว่า
ข้อมือทั้งสองข้างกลับถูกรวบเข้าหากันก่อนที่มันจะถูกดึงไปไว้เหนือหัว?!
“เอ๊ะ?” ควันสีดำลอยละล่องออกมาจากร่างสูงสง่าก่อนจะเปลี่ยนสภาพเป็นเชือกแล้วมัดมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้
ใบหน้ามนได้แต่แหงนมองอย่างลนลาน
“จะ
จะทำอะไรครับเนี่ย?”
ใบหน้าภายใต้หน้ากากยักษ์นั่นยังไม่ยอมตอบแต่กลับจับขาของเขาแยกออกกว้างแล้วดึงร่างทั้งร่างของเขาไปแนบชิดกับโคนขาของตนเองที่คุกเข่าอยู่บนฟูก
อะ
เอ๋? ทะ ท่าทางล่อแหลมแบบนี้มัน....
ถึงเขาจะไม่ได้ฝักใฝ่ในเรื่องทางโลกและเขาก็ไม่มีเพื่อนผู้ชายในวัยเดียวกันให้เรียนรู้เรื่องแบบนี้ได้
แต่ในตำรานับพันนับหมื่นเล่มที่เขาเคยอ่านมันก็ต้องมีซักเล่มนึงแหละที่เคยพูดถึงเรื่องอย่างว่าระหว่างชายหญิงเอาไว้
แล้วท่าทางมันก็ใช่แบบที่เขาเคยเห็นในหนังสือเลย....
ยะ
อย่าบอกนะว่า...วิธีการกัดกินที่เปลี่ยนไปน่ะ...จะ “กิน” เขาด้วยการทำแบบนี้แทน?!
ไม่ได้จะหยิบมีดสั้นขึ้นมาแทงเขาเหมือนทุกที?
ไม่ได้จะมาฆ่าเขาด้วยมือของตัวเองหรอกเหรอ?...???
“เจ้าถามว่าจะทำอะไร?...ข้าจะตอบให้ก็ได้...” หน้ากากยักษ์สีทองขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ว่าดวงตาคู่นั้นกำลังสบประสานมาที่ดวงตาของเขา
แล้วคำพูดที่ถูกเอ่ยตามออกมานั้นก็ทำเอาเขานิ่งค้างจนเหมือนวิญญาณออกจากร่าง
“ข้า...จะร่วมรักกับเจ้าในความฝันทุกราตรีจากนี้ไป...”
“เพราะนี่ก็คืออีกหนึ่งวิธีในการกัดกินพลังชีวิต...ที่จะทำให้เจ้าไม่เจ็บปวด...”
ปลายประโยคนั้นกระซิบอยู่ที่หูด้วยเสียงทุ้มแสนเซ็กซี่
ฝ่ามือร้อนลากไล้มาสัมผัสอยู่ที่ต้นขาด้านในที่ทำเอาใจไม่ดีเลย
“แต่จะทรมาน...แทบขาดใจ”
ทั้งๆที่ไม่ได้แตะต้องแต่ลมหายใจอุ่นร้อนจากหน้ากากยักษ์ที่ส่งมาคลอเคลียซอกคอระหงก็ทำให้ไหล่บางถึงกับสั่นสะท้าน
ความรู้สึกที่แปลกใหม่ชักชวนให้อยากจะลิ้มลอง สองมือจึงไม่ได้ต่อต้านอย่างที่ควรจะเป็น
แล้วยิ่งอีกฝ่ายเป็นชูซัง...เป็นคนที่เขา...รัก...
ฟึ่บ!
มือใหญ่แหวกดึงสาบเสื้อกิโมโนของเขาออกจากกัน
แผ่นอกบางจึงเผยออกไปต้องแสงเทียน
ใบหน้ามนแดงระเรื่ออย่างเขินอาย
แล้วมันก็ยิ่งแดงมากขึ้นไปอีกเมื่อเหลือบขึ้นไปเห็นสายตาภายใต้หน้ากากยักษ์ที่กำลังจ้องมองเรือนร่างของเขาไม่วางตา
และคนที่คร่อมอยู่เหนือร่างก็ไม่ได้มองเปล่า
ฝ่ามืออุ่นร้อนยังค่อยๆจับลงไปที่เอวบอบบางราวกับจะหักได้ก่อนจะลูบไล้มันไปมา
จากนั้นก็ขยับมาทางหน้าท้องช้าๆ...
ปลายนิ้วชี้วนไล้อยู่เหนือสะดือ...
ทำให้เขาเสียววาบจนต้องขยับเอวถอยหนี
ความรู้สึกที่ไม่รู้จักกำลังประท้วงไปที่หัวใจจนสิ่งที่อยู่ใต้แผ่นอกซ้ายเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมา
แล้วยามที่ฝ่ามือใหญ่กางออกมันก็แทบจะกว้างเท่าลำตัวเขา
ยิ่งมันเคลื่อนขึ้นมามากเท่าไหร่...ลมหายใจ...ก็ยิ่งติดขัดอย่างน่าพิศวง
ความร้อน...ค่อยๆผ่านหน้าท้องแบนเรียบขึ้นมายังแผ่นอกอย่างอ้อยอิ่ง
“อื้อ!” เสียงที่เผลอเปล่งออกไปทำให้ริมฝีปากสีระเรื่อจำต้องเม้มแน่น...เมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ?
ดวงตาที่เผลอปิดลงค่อยๆแอบแง้มขึ้นมามอง
จู่ๆก็รู้สึกแปลกๆ?...เพราะว่าฝ่ามือข้างนั้นมันจับหน้าอกของเขาอยู่เหรอ?
เพราะปลายนิ้วโป้งนั่นกำลังคลึงเม็ดเชอร์รี่ที่ยอดอกของเขาอยู่เหรอ?
“อื้อ~”
เขาถึงกับต้องดึงมือที่ถูกมัดอยู่ด้วยกันขึ้นมาปิดปาก เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหน้าอกของผู้ชายก็จะมีความรู้สึกอะไรแบบนี้ด้วย
และคนที่แปลกใจก็ไม่ได้มีแต่เขาเช่นกัน
ชายที่อยู่เหนือร่างเขาตอนนี้ก็มีท่าทีแปลกใจ อีกฝ่ายจึงใช้มือสัมผัสไปตามร่างกายของเขาราวกับกำลังสำรวจ...เรียนรู้...และจดจำ
“เจ้าจะได้ไม่ต้องกรีดร้องอย่างทุรนทุราย...”
มืออีกข้างยังคงลูบไล้อยู่ที่ต้นขา...ปลายนิ้วค่อยๆไต่จากโคนขาด้านในมายังส่วนที่อยู่สูงขึ้นไป
และแค่มันแตะโดนแกนกลางของร่างกายซึ่งบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่เคยถูกใครแตะต้อง...
“อึ้ก?!” ร่างทั้งร่างของเขาก็บิดเร่าอย่างทนไม่ไหว
ปลายเท้าได้แต่จิกลงไปบนฟูกอย่างหาที่ระบายเมื่อมือใหญ่ข้างนั้นยังคงกอบกุมส่วนที่อ่อนไหวแล้วสัมผัสลูบไล้จนมันไม่อาจหลีกหนีจากราคะและความต้องการของมนุษย์ไปได้
“แต่จะมีเพียงเสียงครางอย่างสุขสม”
“อ้า...” เขาร้องออกไปอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ
เป็นเสียง...ที่เขาไม่เคยเปล่งออกมามาก่อน
เขาถูกไล่ต้อนด้วยมือใหญ่ข้างนั้น
มันกำของของเขาเอาไว้ในฝ่ามือ มันบีบคลึงจนเขาไม่รู้จะบิดหนีไปทางไหน
มันขยับขึ้นลงตามแต่ใจจนเขาต้องเงยหน้าหอบถี่
“น้ำตาที่รินไหลก็จะไม่ใช่น้ำตาแห่งความกลัวอีกต่อไป”
“อื้อ” เขาเหลือบมองร่างที่นั่งอยู่กลางหว่างขาของเขาผ่านม่านน้ำตาอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ
และเขาก็ไม่ได้กลัว...แต่เขากำลังตื่นเต้น?
ริมฝีปากเผยอออกเพื่อช่วยหอบหายใจ
ข้างในท้องมันวูบโหวงไปหมดแล้ว
ฝ่ามือที่ชักนำเขาอยู่นั่นทำให้ในหัวขาวโล่งจนแทบไม่มีสติ
“ฮ้า” มันชักเร็วขึ้นอีก และเขาก็หอบหนักขึ้นอีก
“อ๊ะ
อ้า~” มันชักเร็วขึ้นอีก
เขาก็ขยี้ขย๋ำผ้าปูฟูกจนยับยู่ยี่ด้วยมือทั้งสองข้าง
“อื้อ~” มันเร็วขึ้นอีก เร็วขึ้นอีก ถี่ขึ้นอีก
จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว
“อ๊า~~!” ความต้องการแสนทรมานถูกปลดปล่อยออกไปราวกับเขื่อนแตก น้ำสีขาวขุ่นฉีดพุ่งออกมาเลอะเต็มฝ่ามือใหญ่
“แต่จะเป็นน้ำตาแห่งตัณหาที่จะหลั่งไหลออกมา”
มือใหญ่อีกข้างยกนิ้วโป้งขึ้นมาเกลี่ยไล้หยดน้ำตาที่ไหลลงไปตามแก้มของเขาให้
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”
เขาทิ้งกายนอนหอบอยู่บนฟูกด้วยดวงตาเบิกค้าง...ความรู้สึกที่อบอวลอยู่ในร่างกายและจิตใจคือความสุขสมอย่างปฏิเสธไม่ได้เลย
มัน...ดีมาก...
รู้สึก...ดีมากๆ...
“เจ้าคงไม่คิดว่ามันจะจบเพียงเท่านี้หรอกใช่ไหม?”
ใบหน้าภายใต้หน้ากากขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ
เขารู้สึกได้ถึงปลายนิ้วที่วนไล้อยู่ที่ปากช่องทางด้านหลัง
มันชุ่มโชกไปด้วยของที่เขาเพิ่งจะปลดปล่อยออกมา
“อ้า~~” แล้วเขาก็สะดุ้งตื่น...ตอนที่รู้สึกว่าร่างกายถูกรุกล้ำเข้ามา....ด้วยปลายนิ้ว...
“แฮ่ก...แฮ่ก....”
ร่างโปร่งบางนั่งเบิกตาโพลงท่ามกลางแสงสลัวๆภายในห้องนอน
เขาตื่นจากความฝันด้วยสภาพเหนื่อยล้า
ทว่า สีหน้ากลับมีเลือดฝาด...
ทะ
ทำไมถึงกลายเป็นฝันแบบนั้นไปได้...นี่มันเป็นวิธีการกัดกินพลังชีวิตที่เปลี่ยนไปหรือเป็นจิตใต้สำนึกลึกๆในใจของเขาเองกันแน่?
พรึ่บ!
ใบหน้ามนหันควับไปมองยังบานประตูที่ปิดอยู่ เงาของร่างสูงสง่าที่เห็นผ่านกระดาษสายังคงอยู่บนต้นซากุระเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ร่างโปร่งบางจึงลุกโงนเงนขึ้นจากที่นอนก่อนจะค่อยๆเปิดประตูออกไป
และภาพแรกที่เขามองเห็นก็คือ...
ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักมองตรงมาที่เขาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์...ปลายลิ้นแล่บเลียริมฝีปากอยู่บนต้นซากุระ!
ใบหน้ามนแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที
มือไม้ยกขึ้นมาดึงคอกิโมโนเข้าหากันให้วุ่นวายไปหมด
มันเป็นวิธีการกัดกินพลังชีวิตที่เปลี่ยนไปจริงๆด๊วย~ อ๊า~~!
ตุ้บ...
รู้ตัวอีกทีร่างในฮาโอริสีม่วงครามก็กระโดดลงมายืนอยู่ตรงหน้า
ร่างสูงสง่าโน้มตัวลงมาแล้วกระซิบที่ข้างหูว่า
"ขอบคุณสำหรับอาหารครับ"
ปุ้ง!!
เป็นเสียงระเบิดที่ดังออกมาจากใบหน้าของเขาเอง...
อ๊า~
อย่าบอกนะว่าต่อไปนี้...ทุกๆคืน...เขาจะต้อง...ทำแบบนั้น...ในความฝัน...กับชูซัง....
ปุ้งๆๆ!!
“ฮึ....” ใบหน้าหล่อเหลาขำในลำคออย่างชอบใจ
ร่างสูงใหญ่นั่งนำลงที่ชานเรือนด้วยท่าทางสบายๆและอิ่มอกอิ่มใจ
“ผะ
ผู้ชาย...ที่สวมหน้ากากยักษ์...ในฝันของผม...คือคุณ...ใช่ไหม...ครับ...” ร่างโปร่งบางนั่งทับส้นก้มหน้างุดถามงึมงำออกไป
สีแดงลุกลามไปจนถึงใบหู ถึงต้นคอจนแทบจะกลายเป็นดอกท้อแล้วใบหน้ามน
“คืนพรุ่งนี้...ทำไมเจ้าไม่ลองถอดหน้ากากเขาดูล่ะ” ฟูจิวาระ ชูยิ้มเจ้าเล่ห์
“ยะ
ยังจะต้องฝันแบบนั้น...อีกเหรอครับ...”
ใบหน้าแดงเถือกถามออกไปทั้งๆที่รู้ดีอยู่แก่ใจ
“ก็ใช่น่ะสิ
ในเมื่อเจ้ายังเหลือเครื่องหมายของยักษ์ที่ยังไม่ได้คลายพันธนาการอีกหนึ่งอัน
เจ้าก็ยังจะต้องโดนข้า ‘กัดกิน’ ทุกคืนเหมือนเดิมนั่นแหละ” แต่ใบหน้ามั่นๆของคนที่ตอบออกมานี่สิ
มันน่าหมั่นไส้ยังไงก็ไม่รู้
“อ๊า~~~!!!” เขาทำได้แค่ยกฝ่ามือขึ้นมาปิดหน้าที่แดงก่ำของตัวเอง...
ย้อนกลับไปได้ไหม...ขอย้อนกลับไปตอนคลายโซ่นั่นอีกทีได้ไหม...เขาจะไม่ห้ามไม่ปรามไม่ให้คลายโซ่เส้นที่สามเลยคราวนี้~~
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
ยั๊งงง
พี่ชูแกยังใช้อักขระบนแผ่นหลังน้องมาหาผลประโยชน์(?)ใส่ตัวได้อีกเย้อออ
ที่ผ่านมาแค่โมเมว่าเค้าเป็นของตัวเองเพราะอักขระนี่มันยังน้อยไปย์ อิๆๆ
อุแง๊
ขอบคุณคอมเม้นต์จากตอนที่แล้วมากๆเลยนะคะ ขอบคุณที่แวะเวียนมาพูดคุยกันค่ะ เพิ่งรู้เลยค่ะว่าใบคำทำนายของศาลเจ้าคิฟุเนะเค้าเท่ห์ขนาดนี้
ไว้ต้องไปบ้างแล้ววว >/////<
ขอบคุณทุกๆหัวใจ
ทุกๆการติดตามและทุกๆโดเนทด้วยนะคะ
หยุดยาวจะเดินทางไปไหนก็ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น