Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 06
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
“ก็ได้...คราวนี้ข้าไม่ขังเจ้าไว้ในเขตอาคมแล้ว
เพราะข้ารู้ว่าเจ้ายังมีแรงเหลือพอจะแก้มันได้”
“...เอ่อ...ถ้างั้น...จะขังผมไว้ที่ไหนเหรอครับ?
กรงจริงๆงั้นเหรอ? หรือว่าคุก...”
“ก็ขังเจ้าไว้ในอ้อมแขนของข้านี่แหละ
ดูซิว่าเจ้ายังจะหนีออกไปได้อีกไหม?”
ได้ฟังดังนั้นใบหน้ามนก็ถึงกับสตั๊นไปห้าวิ
สองแก้มแดงก่ำเดี๋ยวก้มงุดเดี๋ยวช้อนสายตามองให้วุ่นวายไปหมด
ต่างจากคนที่ก้มมองลงมาซึ่งยังคงจ้องใบหน้ามนนิ่งๆ
มีรอยยิ้มบางๆอย่างพึ่งพอใจปรากฏอยู่ที่ริมฝีปาก ข้าเพิ่งค้นพบความบันเทิงใจรูปแบบใหม่
นั่นก็คือการเย้าแหย่ให้ใบหน้าเล็กๆนี่มีสีหน้าที่หลากหลาย ทั้งเขินอาย ทั้งแง่งอน
ทั้งโมโหโกรธา ข้าเพิ่งพบว่ามันน่ารักน่าเอ็นดูมากจนอดแกล้งไม่ได้เลย
ก่อนหน้านี้ข้าเฉยชากับทุกสิ่งนั่นก็เพราะสำหรับข้าแล้วโลกใบนี้มีเพียงสีขาวกับสีดำ
ข้าไม่เคยสนุกกับการฆ่า ข้าชินชาและทำไปก็เพราะต้องทำเพียงเท่านั้น
แต่ตอนนี้...โลกของข้ากำลังค่อยๆมีสีสันขึ้น
เพราะรอยยิ้มของเจ้า
เพราะคิ้วที่ขมวดของเจ้า เพราะริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันของเจ้า
เพราะดวงตาใสๆของเจ้า เพราะแก้มที่แดงระเรื่อของเจ้า
เพราะเจ้า
มินาโตะ
“ง่า...แต่แบบนี้...มัน...คือว่า...” มือเล็กๆกระตุกแขนกิโมโนสีดำของข้าเบาๆ
ใบหน้ายุ่งเหยิงนั่นคงกำลังหาคิดข้ออ้างเพื่อให้หลุดออกจากการกักขังนี้ให้ได้อยู่สินะ?
ไหนลองดูหน่อยสิว่านักบวชที่บริสุทธิ์ทั้งกายใจอย่างเจ้าจะเอาอะไรมาอ้างกับยักษ์ร้ายอย่างข้าได้
“ว่า?” ข้าแกล้งเอ่ยด้วยใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“คือ...เอ่อ...แบบนี้มันก็นอนไม่ได้พอดีน่ะสิครับ...” ข้าถึงกับหลุดขำอยู่ในใจกับข้ออ้างที่แสนน่าเอ็นดูนั่น
“นอน?”
ใบหน้ามนพยักรัวๆเพราะตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ
นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นการขุมหลุมฝังตัวเองซะงั้น
เพราะแทนที่จะถูกปล่อยตัวออกไป
กลับกลายเป็นว่าถูกท่อนแขนแข็งแรงนั่นรวบเอวบางเข้าหาตัว...แล้วกอดแนบอกไว้...จากนั้นไหล่กว้างก็ค่อยๆดันลำตัวบาง...ให้ค่อยๆนอนลงช้าๆ...สองแขนขยับมากอดรัดแผ่นหลังบางแน่นจนใบหน้ามนแทบจะจมลงไปในแผงอก
กลายเป็นถูกนอนกอดเอาไว้เสียแบบนั้น...
“นอนแบบนี้ก็ได้นี่
ว่าไหม?”
เสียงทุ้มยังมีแววหยอกเย้าคนที่อ้าปากพะงาบๆอยู่ในอ้อมแขน
อ๊ากกก
แบบนี้มันใกล้กว่าเดิมอีกไม่ใช่เหรอเนี่ย?!
“จะ
จะนอนตรงนี้เหรอครับ...นี่มันบนชานเรือนนะครับ...เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า...”
เสียงอู้อี้ที่เอ่ยออกมาจากอ้อมอกยังพยายามหาข้ออ้างต่อไป
“เจ้าไม่รู้หรือไงว่าเรือนของเจ้าไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาตั้งนานแล้ว”
“...ก็จริง...” ใบหน้ามนถอนหายใจอย่างจนใจที่จะหนีไปจากกรงขังนี้...เพราะจะว่าไปมันก็ทั้งนุ่มทั้งอุ่นดีทีเดียว
เป็นยักษ์แท้ๆ
แต่ทำไมตัวหอมขนาดนี้กันนะ?
“แต่เข้าไปนอนในห้องไม่ดีกว่าเหรอครับ?” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย
เพราะเขาสังเกตมานานแล้วว่าชูซังมักจะนั่งอยู่แค่ที่ชานเรือนเท่านั้น ไม่เคยกล้ำกรายเข้ามาในห้องนอนของเขาสักครั้ง
“ข้าไม่อยากเข้าไปในห้องนอนของเจ้า
ที่นั่นเป็นใจกลางเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าไม่ใช่หรือไง
ถ้าข้าเข้าไป...มันอาจจะพังทลายได้”
พวกเรานอนคุยกันอยู่แบบนั้น
“อย่างนี้นี่เอง
ถึงว่าคุณไม่เคยเข้าไปเลย”
“ถ้าอย่างนั้น...ทำไมคุณถึงอยู่ในเขตศาลเจ้าได้ล่ะ?
ทั้งๆที่ไม่ได้ทำลายอาณาเขตเข้ามาด้วย?”
เพราะถ้ายักษ์ระดับฟูจิวาระ ชูทำลายอาณาเขตเข้ามา
โดมแก้วนั่นคงไม่จบแค่เป็นรูแน่ๆแต่อาจจะหายไปทั้งหมดเลยก็ได้
“เพราะพลังของข้าเหนือกว่าเจ้ามาก
การจะแทรกซึมเข้ามาในอาณาเขตของศาลเจ้าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับข้า ส่วนอาณาเขต...ข้าก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำลายมัน
ปล่อยมันไว้กันพวกภูตผีชั้นต่ำน่ารำคาญพวกนั้นดีกว่า”
...พอคุณมาพูดเองแล้วมันดูน่าหมั่นไส้ยังไงไม่รู้นะครับ
ใบหน้ามนได้แต่หรี่ตามอง
“อาณาเขตของศาลเจ้ากับอาณาเขตของตัวเจ้าซึ่งก็คือที่ห้องนอนนั่นมันต่างกัน
ต่อให้อาณาเขตของศาลเจ้าพังทลายเจ้าก็ไม่เป็นอะไร
แต่หากอาณาเขตของตัวเจ้าถูกทำลายเจ้าอาจจะบาดเจ็บก็ได้ ใช่ไหมล่ะ?”
“...ครับ” ....เพราะไม่อยากให้เขาบาดเจ็บนี่เองเลยไม่เข้ามาในห้องนอนของเขา...สองแก้มจึงอดที่จะร้อนผ่าวกับความใส่ใจนี้ไม่ได้
“อีกอย่าง...บนตัวเจ้ามีเครื่องหมายของข้าอยู่...อาณาเขตของศาลเจ้าแห่งนี้จึงปนเปื้อนไปด้วยไออสูรของข้ามานานแล้ว
ข้าจึงเข้าออกได้อย่างอิสระ”
“....อื้ม...” เสียงนุ่มรับคำด้วยความง่วงงุนที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาครอบงำเปลือกตาให้ค่อยๆหรี่ลงช้าๆ
ทั้งเสียงทุ้มน่าฟัง ทั้งอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นและปลอดภัย
ทั้งหมดนี้ชวนให้เขาอยากจะหลับตาลงเสียจริงๆ
ใบหน้ามนจึงซุกลงไปบนกิโมโนสีดำราวกับลูกแมว
“ง่วงแล้วรึ?” มือใหญ่ลูบหัวสีดำเบาๆราวกับกำลังกล่อมนอน
“เพราะผมอดนอนอยู่ตลอด
ผมก็เลยง่วงนอนตลอด เพราะใครกันล่ะ?”
เสียงใสตอบงึมงำ
“.....”
“อื้อ...อยู่ใกล้แค่นี้
คุณไม่ต้องไปกัดกินผมในฝันได้ไหม ขอให้ผมนอน...” เสียงงึมงำเงียบหายไปทั้งที่ยังพูดไม่จบประโยคทำเอาคนมองอยู่ถึงกับอมยิ้ม
ริมฝีปากขยับไปจุมพิตลงที่หน้าผากใสอย่างห้ามตัวเองไม่ไหว
ข้าเอง...ก็พอจะรู้แล้วว่าความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจนี้มันเรียกว่าอะไร
โชคดีนะที่ข้าเป็นยักษ์ที่ไม่แยแสสิ่งใด
ข้าจึงยอมรับได้ง่ายๆว่าข้าคงหลงรักมนุษย์เช่นเจ้าเข้าเสียแล้ว
เพราะเจ้าแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร
เจ้าไม่เคยกลัวเกรงข้าที่เป็นยักษ์ แต่กลับมองที่ตัวตนของข้าผู้ที่มีนามว่าฟูจิวาระ
ชู
และเจ้ายังเก่งกาจจนน่าหลงใหล
เก่งกาจพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ เก่งกาจจนข้าไม่อาจละสายตาจากเจ้าได้
จิตใจของเจ้าก็ทั้งบริสุทธิ์และเข้มแข็ง
ข้าไม่เคยพบคนอย่างเจ้ามาก่อนเลย
อ้อมแขนแข็งแรงกอดกระชับร่างโปร่งบาง
คางเกยไว้บนเส้นผมสีดำสั้นที่นุ่มนิ่มราวกับขนแมว
ก่อนจะเรียกเจ้าผีคอพับออกมาจากหัวสีดำ
“ไปซะ”
เจ้าก้อนขยุกขยุยนั่นกระดิกหางให้ก่อนจะวิ่งร่าจากไป
วันนี้...จึงเป็นวันที่นารุมิยะ
มินาโตะได้นอนเต็มอิ่มเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนเลยทีเดียว
เพราะฟูจิวาระ
ชูเป็นยักษ์ที่ไม่ชอบปรากฏตัวที่ไหนไม่ว่าจะในโลกมนุษย์หรือโลกแห่งวิญญาณ
ทำให้แม้แต่พวกภูตผีปีศาจก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก
จึงแทบไม่มีใครรู้ว่ายักษ์ที่คุ้มครองนักบวชคนนี้อยู่มีพลังมหาศาลขนาดไหน
เจ้าพวกภูตผีไม่เจียมตัวเลยชอบมาท้าทายด้วยการจะมาแย่งนักบวชที่มีพลังอันหอมหวานนั่นไปกิน
ศาลเจ้ายาตะจึงกลายเป็นพื้นที่อันตรายที่มีการต่อสู้กันของยักษ์กับพวกภูติผี...ไม่สิ
ต้องบอกว่าเป็นลานประหารของพวกภูตผีมากกว่าเพราะว่าถูกยักษ์จัดการอยู่ฝ่ายเดียว...ในแต่ละคืนจะเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
เต็มไปด้วยเศษซากชิ้นส่วนสุดสยองของพวกปีศาจที่ร่วงหล่นลงมาและกองอยู่ทั่วไป
เต็มไปด้วยวิญญาณร้ายที่วิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น...
นักบวชคนอื่นๆในศาลเจ้าต่างก็ทนความหลอนและน่าสะพรึงกลัวนั้นไม่ไหว
จนตอนนี้ต่างก็ขอย้ายออกไปจนหมดไม่มีเหลืออยู่เลยสักคน
“ท่านมินาโตะ...ท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีนะครับ...ผมก็อยากให้ท่านย้ายไปด้วยกัน...แต่ว่า...” ต่อให้เขาไปที่ไหน
ยักษ์ที่น่ากลัวตนนั้นก็จะตามเขาไปด้วยแล้วก็คงจะไปทำให้ที่อื่นเดือดร้อนเหมือนกัน...นั่นสินะสิ่งที่นักบวชผู้ช่วยตรงหน้าอยากจะพูดแต่ก็เกรงใจจนทำได้แค่อ้ำๆอึ้งๆ
“ไปเถอะครับ...ผมไม่เป็นไรหรอก...” ใบหน้ามนยังคงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ถึงใครจะหวาดกลัวชูซังแค่ไหน
แต่สำหรับเขาแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่ยักษ์ที่โหดเหี้ยมอย่างที่คิด
และเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน
เพราะคนที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนจริงๆกลับเป็นเขาที่ดึงดูดภูตผีพวกนั้นมามากกว่า
ชูซังเสียอีกที่เป็นฝ่ายไล่ให้
ไม่เช่นนั้นอาจจะมีคนถึงแก่ชีวิตไปบ้างแล้วก็ได้
“ถ้างั้น...ผมไปก่อนนะครับ...” นักบวชผู้ช่วยคนสุดท้ายก้มหัวให้ก่อนจะเก็บข้าวของแล้วออกจากศาลเจ้าไป
สถานที่ที่เคยยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยผู้คนกลับเงียบเหงาลงถนัดตา...ศาลเจ้ายาตะกำลังจะล่มสลายลงไปเพราะเขาจริงๆด้วยสินะ
ใบหน้ามนของคนที่ยืนอยู่บนระเบียงทอดมองไปรอบๆอย่างเศร้าหมอง
บางครั้งเขาก็อยากจะตะโกนบอกทุกคนว่าชูซังไม่ใช่ยักษ์ใจร้ายไม่ใช่คนน่ากลัวอะไรเลย
แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขาสักคน เพราะภาพครั้งแรกที่พบกันนั้นยังติดตา
สภาพศพของเด็กทั้งห้าทำให้ทุกคนยังคงหวาดกลัวชูซังจากก้นบึ้งของหัวใจอยู่
“เฮ้อ...” ใบหน้ามนถอนหายใจ
กายบางหมุนตัวกลับเข้ามาในหอบูชาอย่างตัดใจ
มือถือตะเกียงไฟขึ้นเมื่อเห็นว่าภายนอกเริ่มเย็นแล้ว ยิ่งอยู่ในป่าเขาก็ยิ่งมืดไวกว่าในเมือง
ฝ่าเท้าในถุงเท้าสีขาวจึงก้าวเดินออกไปเพื่อเปิดไฟตามทางเดินต่างๆในศาลเจ้า
ถึงจะไม่มีใครอยู่ก็จะปล่อยสถานที่นี้ไว้มืดๆไม่ได้หรอก
ตึ้ง!!!
แล้วยังไม่ทันจะก้าวไปไหน
แผ่นดินที่ไหวสะเทือนอย่างเลื่อนลั่นก็ทำให้ร่างโปร่งบางถึงกับถลาล้มลงกับพื้นทางเดิน
“?” เกิดอะไรขึ้น?
ใบหน้ามนหันมองรอบกายแต่ทุกอย่างยังเงียบเชียบราวกับสภาวะก่อนที่พายุจะเข้า
เพราะไม่กี่วินาทีถัดมา
ตึ้ง!
เสียงทุบดังสนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้งอยู่เหนือหัว
เพล้ง!!!
เขาไม่มีเวลาจะเงยหน้ามองด้วยซ้ำ
เสียงแตกร้าวและเศษซากอาณาเขตที่ร่วงกราวลงมาก็ทำให้สองแขนบางต้องยกขึ้นมาปิดหน้าปิดหัวของตัวเองไว้
ไอชั่วร้ายอันหนักอึ้งพุ่งมาปะทะจนรู้สึกราวกับถูกกดทับอยู่ทันที...นี่ไม่ใช่ชูซัง...แต่พลังมหาศาลนี้ก็ทำให้ร่างกายรู้สึกสั่นสะท้านได้ทันที!
สัญชาตญาณบอกให้เขาต้องกลัว
ใบหน้ามนจึงหันรีหันขวางอย่างรู้แล้วว่ากำลังจะเกินอันตรายขึ้นกับตัวเอง
นั่นต้องเป็นปีศาจอะไรบางอย่างที่ต้องการจะจับเขาไปกินแน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะถึงระดับคำสาปหรือไม่ก็...ยักษ์...เลยก็ได้
คิ้วเรียวขมวดมุ้นก่อนจะคำนวณเส้นทางที่ใกล้ที่สุด...ถ้าคิดว่าเขาจะยืนตัวสั่นรอให้มาจับกินง่ายๆละก็
คิดผิดแล้ว!
ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ
ดวงตากลมโตแข็งกร้าวมองไปยังหออาคมซึ่งเป็นที่เก็บอาวุธในทางไสยเวทย์เพื่อตั้งไว้เป็นเป้าหมาย
“ฮึบ!” แล้วฝ่าเท้าบางก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว!
ขาเรียวเลี้ยวซ้ายไปตามระเบียงทางเดิน
ถ้าคิดว่าการที่เขาใส่ฮากามะสีฟ้าของนักบวชแล้วจะทำให้เขาวิ่งช้าลงละก็ผิดแล้ว
เพราะคู่ต่อสู้ของเขาไม่เคยเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ เขาจึงต้องฝึกฝนร่างกายควบคู่กับการร่ายคาถาไปด้วย
ว่าก็ว่าเถอะ ถ้าเขาไม่ถูกชูซังกัดกินพลังชีวิตไป
เขาน่าจะเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่นเลยก็ได้นะ!
ฝ่าเท้าเล็กๆเหยียบลงไปบนราวกั้นไม้ก่อนจะเทคตัวกระโดดข้ามช่องว่างระหว่างอาคารไป
ร่างโปร่งโดดขึ้นไปยังระเบียงของหอพิธีการที่อยู่สูงกว่าก่อนจะวิ่งหน้าตั้งต่อไปยังอาคารที่อยู่ด้านหลัง
ขาเรียวก้าวขึ้นบันไดร้อยขั้นอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย
ยังดีที่เมื่อคืนเขาได้นอนเต็มที่ประกอบกับหมู่นี้เขามักจะถูกชูซังจับไปขังไว้ไม่ยอมให้ทำอะไรอยู่บ่อยๆ
วันนี้เลยพอจะมีแรงอยู่บ้าง
ตุบ!
ร่างโปร่งในชุดนักบวชกระโดดข้ามระเบียงมา
เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกไล่ล่าอยู่ข้างหลัง
เจ้าอะไรบางอย่างนั่นกำลังเลื้อยเหมือนงูเพื่อตามหาเขาไปทั่วและตอนนี้มันก็เจอตัวเขาแล้ว!
ปัง!
มือบางทั้งสองข้างเปิดประตูเลื่อนออกอย่างไม่มีเวลามาสนใจพิธีรีตอง
เขาแทบจะต้องม้วนตัวกระโจนเข้าไปเพื่อให้มือบางคว้าคันธนูศักสิทธิ์อาวุธประจำตัวนักบวชมาได้!
ฟึ่บๆๆ!
ลูกธนูอาคมสว่างจ้าพุ่งออกไปอย่างไม่รอช้าเมื่อเขาเอี้ยวตัวกลับมาได้
ทั้งๆที่เขากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่เขายังไม่รู้เลยสักนิด
ปั่กๆๆ!!
ธนูสีขาวปักลงไปบนร่างกายสีแดงฉานที่สูงใหญ่จนหัวถึงเพดาน
“กรรรรรร!!”
เสียงคำรามอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากใบหน้าสีแดงที่ทำเอาร่างทั้งร่างของเขาถึงกับชะงักงัน
ฝ่าเท้าถึงกับก้าวถอยหลังเมื่อสายตากำลังพินิจพิจารณาสิ่งที่อยู่ตรงหน้า...ทุกอย่างของมันทำให้ขนแขนลุกเกรียวเพราะเขารู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เขาจะสู้ได้...มันไม่ใช่ภูติผีวิญญาณร้าย
ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่คำสาป...
ใบหน้านั้นนั่นปูดโปนโกรธขึ้งดูน่ากลัว
ดวงตาแดงก่ำถลึงออกมายิ่งกว่าไข่ห่านนั่นวาวโรจน์น่าขนลุก
เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสังคะตัง เขี้ยวยาวโง้งไร้ระเบียบดูน่าเกลียดจนไม่อยากจะมอง
นี่แหละ...ยักษ์...ในแบบที่ใครๆก็รู้จัก
นี่แหละ...ยักษ์...ตามตำราที่มีมา
นี่แหละ...ยักษ์...ที่ตรงข้ามกับฟูจิวาระ
ชูทุกอย่าง
สิ่งเดียวที่มีเหมือนกันก็คือ...เขาทั้งสองข้างบนหน้าผากเท่านั้น
“มา...ให้...ข้า...กิน...ซะ...” เสียงล่องลอยดังก้องอยู่ทั่วทิศ ดวงตาของมันจ้องมองมาที่เขาอย่างเกรี้ยวกราด ร่างกายของเขาแทบจะถูกจิตสังหารนั่นตรึงเอาไว้
อย่าว่าแต่จะเจรจากันเลย พูดยังพูดไม่รู้เรื่องเลยมั้งนั่น...
ใบหน้ามนได้แต่แหงนมองร่างที่ดูสยดสยองนั่นอย่างตื่นตะลึง
มือได้แต่กำคันธนูแน่น...
จะทำยังไงดี...เวลานี้ชูซังไม่อยู่...
และเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาจะยันมันไว้ได้แค่ไหนกัน...
จู่ๆชีวิตก็มาฮ็อตอะไรกันตอนนี้
มียักษ์ถึงสองตัวจ้องจะกินเขาเชียวนะ
ทั้งๆที่ยักษ์น่ะไม่ใช่สิ่งที่จะโผล่ออกมาง่ายๆเลย!
ใบหน้ามนมองหาทางออกอย่างเครียดขึง
มือบางข้างที่ไม่ได้ถือธนูยกขึ้นมาพนมอยู่ตรงช่วงอกก่อนจะร่ายคาถาผนึกออกไป
เขาต้องชิงลงมือก่อน!
ให้มันรู้ไปว่าจะจับเขากินได้น่ะไม่ใช่ง่ายๆนะ!
ปึ้ง!
ยันต์โปร่งใสขนาดใหญ่แปะปึงลงมาที่ด้านหนึ่งของตัวยักษ์
ปึ้งๆๆๆๆ!
ก่อนที่ยันต์อีกนับไม่ถ้วนจะถูกแปะตามลงมาจนกลายเป็นกรงคาถาครอบเจ้ายักษ์นั่นเอาไว้
การที่เขาล่อมันมาถึงนี่ก็เพื่อจะใช้อาคมนี้ขังมันไว้ก่อนนี่แหละ
ในหออาคมมีอาวุธอยู่มากมาย และยันต์ผนึกก็คือหนึ่งในอาวุธพวกนั้น!
เสียงใสร่ายบทสวดปิดผนึกต่อทันที
แต่เพราะพลังที่มีไม่มากพอของเขาทำให้อีกฝ่ายต่อต้านได้จนห้องทั้งห้องสั่นสะเทือน
ข้าวของล้มระเนระนาดไปหมด
เสียงคำรามที่เปล่งออกมาก็พากระจกหน้าต่างแตกเพล้งๆๆไปตามๆกัน
“อึก...” เขากัดฟันยืนฝ่าลมพายุที่โหมกระหน่ำ
แค่คาถาผนึกคงเอาไม่อยู่ มือบางจึงหยิบลูกธนูของจริงขึ้นมาช่วย
ถ้ามีแกนอย่างน้อยอาคมก็จะรุนแรงขึ้น
ปั่ก!
ลูกธนูที่อาบด้วยอาคมสีขาวปักลงไปตามตัวของยักษ์ตนนั้น
แต่มันก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลย
มีเพียงความโกรธเกรี้ยวที่อยากจะพังผนึกออกมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ครื้น...ครึ่ก...ครึ่กๆๆ....
และแล้วพลังของเขาก็ขังอีกฝ่ายเอาไว้ได้แค่นี้...ผนึกค่อยๆปริแตกกลายเป็นแสงสีแดงราวกับเลือดเปล่งออกมา
เพล้ง!!!
ยันต์โปร่งใสทั้งหมดแตกสลายไปในชั่วพริบตา
“อั่ก!”
อาคมตีกลับมาที่คนร่ายคาถาอย่างเขาจนถึงกับกระอักเป็นเลือด!
เข่าข้างหนึ่งทรุดลงกับพื้น...ความเจ็บปวดแล่นลิ่วอยู่ในร่างกายจนต้องหายใจหอบหนัก
ดวงตากลมโตหรี่มองเงาร่างใหญ่ยักษ์ที่ย่างสามขุมเข้ามาช้าๆ
ปากของมันเต็มไปด้วยไอดำทะมึนพ่นออกมา
หน้าตาโกรธจัดและคงอยากจะจับเขากินไปให้รู้แล้วรู้รอด
“อ๊ะ?!”
เขาอุทานเสียงหลงเมื่อจู่ๆข้อเท้าก็ถูกมือเละๆนั่นดึงเข้าไปอย่างรุนแรง
“ปล่อยนะ!” เขาฟาดมันด้วยคันธนูศักดิ์สิทธิ์แต่ควันสีดำนั่นก็ปัดธนูของเขากระเด็นไป
เขายังไม่ยอมง่ายๆด้วยการร่ายคาถาใส่มันไปอีกหลายชุด
แต่การดิ้นรนของเขากลับไม่มีผลอะไรเลย
ข้อเท้าของเขาถูกมันหิ้วขึ้นไป
ทั้งร่างกายจึงห้อยต่องแต่งอยู่ในอากาศ
มืออีกข้างของมันจับไหล่เขาไว้
แล้วในชั่วพริบตาปากที่อ้ากว้างนั่นก็งับลงมา
“อ๊ากกกกกกกกกกก!” เขาถูกกัดลงไปที่ไหล่
มันเจ็บจนรั้งสติไว้แทบไม่ได้...
เขากำลังจะโดนกิน...เขากำลังจะโดนยักษ์ตนอื่นกิน...
“ชูซัง...ช่วยผมด้วย...” เสียงขาดๆหายๆเอ่ยออกไปอย่างสิ้นหวัง
ฟันคมของมันกำลังกัดกินทะลุม่านพลังของเขาลงมาจนกิโมโนถูกดึงจนขาดวิ่น
เลือดที่หอมหวานไหล่ออกไปจากไหล่เขา
และตอนนั้นทุกอย่างก็พลันดับวูบไป...
โครม!!!
ตู้ม!!!!!!!!!!!
“มินาโตะ!”
หออาคมปลิวหายไปทั้งหลังในชั่วพริบตา
เศษซากที่กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยของมันหยุดลงอีกครั้งที่ชายป่า
เจ้ายักษ์สีแดงถูกพลังมหาศาลปะทะจนปลิวไปด้วยกัน
แขนของมันถูกสอยหายไปข้างหนึ่งอย่างไม่ทันรู้ตัว
แขนข้างที่ถือดีบังอาจมาทำร้ายของของข้า!
ฟูจิวาระ
ชูยืนอยู่เหนือหน้ากากยักษ์สีทองขนาดมหึมาด้วยใบหน้าโกรธจัด
ควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากหน้ากากยักษ์นั่นกำลังทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนและดำมืดไปหมด
ใบหน้าเย็นยะเยือกก้มมองร่างที่โชกไปด้วยเลือดในอ้อมแขน
ใบหน้ามนไร้สติและกำลังหายใจรวยรินเต็มที
ข้าต้องช่วยเจ้าก่อน
ส่วนเจ้าอสูรตนนั้นข้าจะมาจัดการมันทีหลัง!
เปรี้ยง!!
มือสีดำขนาดใหญ่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าเพื่อจิกหัวของยักษ์สีแดงเอาไว้ก่อนจะจับมันกระแทกลงกับพื้นดินจนยุบเป็นหลุม
และมันยังคงจิกหัวกดเอาไว้อย่างนั้นแม้ว่ายักษ์สีแดงจะต่อต้านจนแผ่นดินไหวเลยก็ตาม
คนที่อาศัยอยู่รอบๆภูเขาลูกนี้ต่างก็วิ่งหนีกันจ้าละหวั่นเพราะคิดว่าเกิดอาเพศไม่ก็ภัยพิบัติ
ถนนทุกสายจึงคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ต่างรีบอพยพออกไปให้ไกล
แต่ก็มีหลายคนที่เห็น...ว่ามันเป็นการต่อสู้ของอสูรสองตัวที่ต่างชั้นกันอย่างสิ้นเชิง
และการต่อสู้นั้นก็มีศูนย์กลางอยู่ที่ศาลเจ้ายาตะ
ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นที่เคารพของผู้คนในละแวกนี้
“มินาโตะ”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกก่อนจะวางร่างโปร่งบางลงในอาคารที่อยู่ข้างๆ
รอยแผลที่ไหล่นั้นมีขนาดใหญ่มากทีเดียว
ใบหน้าที่ซีดเซียวก็มีเหงื่อแตกออกมาเต็มไปหมด
ไม่ได้การแล้ว...
คงรอใช้วิธีรักษาของมนุษย์อย่างการพาไปโรงพยาบาลผ่าตัดไม่ได้แล้ว
คงต้องใช้วีธีของข้า...วิธีของยักษ์...
ถ้าถามว่าข้ามีชีวิตอยู่มาถึงพันปีได้ยังไง
ข้าเองก็เคยบาดเจ็บเจียนตายตอนเพิ่งถือกำเนิดใหม่ๆและพลังยังไม่มากมายเท่านี้เช่นกัน
แต่ที่ข้ายังรอดมาได้ก็เพราะข้ามีไออสูร...
ไออสูรเปรียบเสมือนลมหายใจของยักษ์
ที่ยักษ์ทุกตัวแข็งแกร่งและฆ่าไม่ตายจนยืนอยู่เหนือภูตผีปีศาจจำพวกอื่นๆก็เพราะไออสูรนี่แหละ
มันจะรักษาร่างกายของยักษ์จนราวกับเป็นร่างกายที่คงกระพัน
ข้า...คงต้องมอบไออสูรให้กับมินาโตะเพื่อช่วยพยุงชีวิตไปก่อน...
แต่ไออสูรนั้นเป็นพลังที่อยู่เหนือธรรมชาติ
เป็นพลังของโลกปีศาจที่เป็นพิษต่อมนุษย์
เจ้า...จะทนรับไหวไหมนะ?
มือใหญ่ดึงคอกิโมโนที่ขาดวิ่นออกไปให้พ้นไหล่บาง
เลือดยังทะลักออกมาไม่หยุด
แต่ถ้าเป็นไออสูรก็สามารถรักษาแผลแค่นี้ให้หายในชั่วพริบตา
ข้าคุกเข่าทั้งสองข้างก่อนจะประคองร่างบอบบางขึ้นมา
ไออสูรนั้นไม่ได้มอบให้กันด้วยฝ่ามือ
แต่มอบให้กันด้วยปาก...
ใบหน้าของข้าจึงโน้มลงไป...
ที่จริงแค่เข้าไปใกล้ๆพอให้ไอที่ออกจากปากลอยเข้าไปได้ก็พอ
แต่ข้ากลับ...
แตะแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากสีระเรื่อที่เผยอออกน้อยๆอย่างนุ่มนวล...
ถึงจะรู้ว่าหาใช่เวลาคิดเรื่องนี้
แต่ความรู้สึกที่เอ่อล้นท่วมท้นออกมาก็คือสิ่งที่ข้าไม่อาจปฏิเสธได้
ว่าข้าชอบมันมากแค่ไหน
จูบ...ที่ข้ามีต่อเจ้า...
ดวงตาสีม่วงทอดมองสันจมูกที่อยู่ใกล้แสนใกล้
บดเบียดกลีบปากนุ่มนิ่มนั่นลงไป ลมหายใจและไออสูรที่ผสานด้วยหัวใจถูกส่งผ่านริมฝีปากเข้าไป
และข้าก็เพิ่งเคยได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเป็นครั้งแรก
มันเต้นตึกตักๆอย่างรุนแรงเลยละ
ข้าละใบหน้าออกมาเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองวงหน้าที่ค่อยๆกลับมามีสีเลือดฝาด
ไอสีดำลอยออกจากผิวหนังบริเวณที่เป็นแผล
แล้วยิ่งมันลอยออกมามากเท่าไหร่ แผลก็ยิ่งสมานตัวได้ไวได้มากขึ้นเท่านั้น
ผิวหนังที่เปิดแยกค่อยๆกลับมาผสานเข้าด้วยกัน
กระดูกที่หัก กล้ามเนื้อที่ฉีกขาดค่อยๆกลับไปมีสภาพเดิมอย่างน่าอัศจรรย์
ขนาดเลือดที่ไหลเลอะยังค่อยๆระเหยกลายเป็นไอสีดำเลย
ไหล่บางหายเป็นปลิดทิ้งในชั่วพริบตา
คิ้วที่เคยนิ่งสนิทก็ค่อยๆขมวดเข้าหากันขยุกขยิก
ข้าซับเหงื่อที่ไหลออกมาบนหน้าผากใสนั้นด้วยแขนเสื้อกิโมโนสีดำ
ข้าจับจ้องทุกปฏิกิริยาบนใบหน้าราวกับตุ๊กตานั้นไม่ให้คลาดสายตา
เพราะไม่เคยมีมนุษย์คนไหนรับไอจากอสูรโดยตรงแบบนี้แล้วมีชีวิตรอดมาก่อน
อาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าก็ได้
แต่ดวงตาใสกลับค่อยๆกระพริบเปิดขึ้นมาในไม่ช้า...
ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก...ที่ไออสูรของข้าไม่ได้ทำร้ายเจ้า...
“ชูซัง...กลับมาแล้วเหรอครับ...”
เสียงนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรงและมันก็ทำให้ดวงตาของข้าสั่นไหว
“อืม...ข้ากลับมาแล้ว
เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”
ข้าจุมพิตลงบนหน้าผาก จุมพิตลงบนปลายจมูก จุมพิตลงบนปาก...
“ผม...นึกว่าจะไม่ได้เจอคุณอีกเสียแล้ว...” ใบหน้ามนยิ้มให้อย่างอ่อนแรงทำให้ข้าแนบหน้าผากตนเองลงไปคลอเคลียกับหน้าผากใส
“ข้าบอกเจ้าแล้วไง...ว่าเจ้าจะตายไม่ได้ถ้าข้าไม่อนุญาต” ใบหน้ามนหัวเราะคิกคักเบาๆ
“ไม่ว่าใคร...ก็พรากเจ้าไปจากข้าไม่ได้
แม้แต่มัจจุราช” แน่นอนว่าไอ้ตัวที่ไม่ใช่แม้แต่มัจจุราชย่อมต้องถูกข้าจัดการอย่างสาสม!
“เจ้านอนพักตรงนี้ก่อนนะ
ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ”
ท่อนแขนแข็งแรงตวัดฮาโอริสีม่วงครามของตนมาคลุมร่างโปร่งบางไว้ มือเล็กๆขาวๆที่ยกขึ้นมาจับขอบคอเสื้อขึ้นมาจรดปลายคางของตนไว้นั้นช่างน่าเอ็นดู
ยิ่งประกอบกับดวงตาใสๆที่มองมาที่ข้า ใบหน้าจึงอดที่จะโน้มลงไปจูบกลางกระหม่อมนั่นไม่ได้
ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืน
มือใหญ่ยกขึ้นกางไปตรงหน้า
อักขระนับพันแถวปรากฏขึ้นก่อนจะค่อยๆขยายใหญ่วนรอบครอบห้องทั้งห้องเอาไว้
มันคือผนึกของยักษ์ บางครั้งข้าก็ใช้มันแทนอาณาเขตคุ้มภัย
แน่นอนว่าข้าไม่เคยทำมันเพื่อปกป้องใครแบบนี้มาก่อน
ถ้าไม่ใช่ข้าก็ไม่มีใครสามารถทลายผนึกนี้ได้
ข้ามองดวงตากลมโตที่ค่อยๆปิดลง
รอจนเสียงลมหายใจนั้นสม่ำเสมอ ขายาวจึงค่อยเดินจากมา
ข้าไม่รีบร้อน
เพราะข้ายังมีเวลาหั่นเจ้ายักษ์ไม่รักชีวิตนั่นเป็นชิ้นๆอีกมากโข
จากใบหน้าและแววตาที่อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกและโหดเหี้ยมทันที
ร่างสูงสง่าหายแว่บกลับไปยืนอยู่เหนือหน้ากากยักษ์สีทองขนาดเท่าตึกสิบชั้นนั่นอีกครั้ง
ดวงตาสีม่วงเลือดเย็นเหยียดมองเจ้ายักษ์ชะตาขาดที่ถูกกดหัวอยู่ที่ชายป่า
มันตะเกียกตะกายเพื่อที่จะหลุดออกมาให้ได้จนต้นไม้แถวนั้นพังราบ มันพยายามต่อสู้ด้วยการเรียกสายฟ้าออกมา
ทว่าความระคายเคืองกลับไม่ต่างไปจากไม้จิ้มฟัน มันพยายามสู้ทุกวิถีทางแล้วแต่ข้ากลับไม่สะทกสะท้านใดๆเลย
“เจ้าคงไม่รู้สินะว่าพลังของข้ากับเจ้าต่างกันขนาดไหน
มือที่ใช้กดหัวเจ้าอยู่นั่นยังไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของข้าหรอก”
แล้วทันทีที่นิ้วยาวดีดดังเป๊าะ
ตึ้ง!!!
มือข้างนั้นก็ขยายใหญ่จนแทบจะเท่าภูเขาทั้งลูก
หัวที่ถูกกดไว้แทบจะแหลกเละ หลุมที่ว่าใหญ่แล้วก็ยิ่งใหญ่ขึ้นจนมีขนาดพอๆกับหลุมอุกาบาต
“กรร
รรรรรร!!”
เจ้ายักษ์แดงนั่นคำรามอย่างโหยหวน
จากที่โดนกดไว้แค่หัวตอนนี้ก็แทบจะเละไปทั้งตัว
ไออสูรสีแดงพวยพุ่งเพื่อรักษาชีวิตของมันไว้อย่างสุดความสามารถ
ข้าปล่อยมันไป...
มือสีดำขนาดใหญ่แตกกระจายกลายเป็นควันวิ่งวนอยู่รอบๆราวกับเมฆดำทะมึน
จะให้มันตายง่ายๆได้ยังไง
มันทำร้ายของของข้า และข้าจะใช้มันนี่แหละป่าวประกาศให้รู้ทั่วกันว่า
อย่ามายุ่งกับศาลเจ้าแห่งนี้อีกถ้าไม่อยากทรมานจนต้องร้องขอความตายด้วยตนเอง!
“เจ้ารู้ไหม
ว่าทำไมข้าถึงไม่ปรากฏกายออกมาทั้งตัวเช่นเจ้า แต่มาทีละส่วน?”
“นั่นก็เพราะหากข้าปรากฏกายออกมาทั้งตัว เกาะญี่ปุ่นอาจจะจมมหาสมุทรได้เลยน่ะสิ”
ตึ้ง!
คราวนี้เป็นฝ่าเท้าที่เหยียบลงมากลางตัวเจ้ายักษ์สีแดง
เสียงดังแพร่ดทำให้รู้ว่าเจ้ายักษ์นั่นคงแหลกเละไม่ต่างไปจากหนอนแมลงที่ถูกรถเหยียบอยู่กลางถนน
ไออสูรสีแดงยังคงทำงานอย่างหนักแต่ก็ดูเหมือนมันจะฟื้นฟูร่างกายให้เจ้ายักษ์นั่นไม่ทันเพราะฝ่าเท้ายังคงขยี้ลงไปด้วยพลังมหาศาล
ขาข้างนั้นมันยกขึ้นกระทืบซ้ำไปซ้ำมาจนแผ่นดินแผ่นฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น
เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วท้องนภาจนฝูงนกต่างพากันบินหนีแตกกระเจิง เกิดเป็นภาพที่วิปริตแปรปรวนและโกลาหลอยู่เหนือศาลเจ้าจนคนมองจากที่ไกลๆยังเห็นยังรับรู้ได้
แต่แค่นี้มันยังสยดสยองไม่พอที่จะทำให้ปีศาจทุกตัวหวาดกลัวต่อสถานที่แห่งนี้...
เท้าข้างนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นมือสีดำสองข้าง
ข้างหนึ่งคว้าร่าง ข้างหนึ่งคว้าหัว
ก่อนจะดึงออกจากกัน
แคว่ก!!
เลือดสีแดงพุ่งกระฉูดยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลากรดเลอะลงมาบนหลังคาศาลเจ้า
ทุกๆที่ล้วนเจิงนองไปด้วยเลือด
ภูตผีปีศาจที่แอบดูอยู่เผื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะเพลี่ยงพล้ำตนจะได้มาขโมยเหยื่ออย่างนักบวชแสนอร่อยนั่นไปกินเอง
ต่างก็รีบหนีเตลิดเมื่อเห็นภาพอันเหี้ยมโหดตรงหน้า
หัวยักษ์สีแดงถูกบีบจนเละก่อนจะถูกขว้างออกไป
เลือดพุ่งเป็นสายคล้ายฝนตกตามเป็นทาง
ส่วนร่างกายก็ถูกตัดออกเป็นชิ้นๆแล้วเหวี่ยงกระจายไปรอบๆ
แม้แต่ภูตผีก็ยังหวาดกลัวต่อภาพที่เห็น สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงต่างเผ่นกันป่าราบ
ในรัศมีพันกิโลเมตรนี้ไม่มีเหลืออยู่สักตัว
ไออสูรสีแดงถูกมือที่อยู่ในร่างมนุษย์ดูดเข้ามาจนเป็นก้อนกลมอยู่ตรงหน้า
ก่อนที่สายลมสีดำจะบดขยี้มันจนแตกสลายหายเป็นผุยผง...
“นักบวชคนนั้นเป็นของข้า
ใครกล้ามายุ่งอีกข้าจะไม่ให้มันตายดี ข้าจะฉีกกระชากทำลายไปจนถึงแก่นของวิญญาณ
จำไว้”
เสียงคำรามดังกู่ก้องไปทั่วฟ้า
ตั้งแต่นั้นมาชื่อของฟูจิวาระ ชูก็เป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลกแห่งวิญญาณ
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมองท้องฟ้า...ข้าทนรำคาญใจมามากพอแล้ว
กลุ่มควันสีดำที่เคยเป็นมือขนาดใหญ่จึงค่อยๆแตกกระจายก่อนจะกลายเป็นโทริอิสีดำขนาดมหึมา
ปึ้ง!!
มันปักลงครอบทับกับโทริอิสีแดงอันเดิมของศาลเจ้า
มนุษย์คงจะมองไม่เห็นโทริอิสีดำที่ใหญ่เท่าเครื่องบินโบว์อิ้งอันนี้เพราะมันถูกสร้างมาให้กระแทกตาพวกภูตผีปีศาจต่างหาก
มือใหญ่ยังคงวาดอยู่ในอากาศ
อักขระพันแถวถูกเรียกมาจากห้องที่มินาโตะนอนอยู่
มันขยายใหญ่โอบล้อมภูเขาทั้งลูกไว้ในชั่วพริบตา มันครอบทับอาณาเขตของศาลเจ้าไปจนหมด
จากนี้ไปใครกล้าล่วงล้ำอาณาเขตของยักษ์ก็จงเข้ามา!
แน่นอนว่าภายใต้อาณาเขตของยักษ์นั้นย่อมเต็มไปด้วยไอพิษ
มนุษย์ทั่วไปจะอยู่ภายใต้เขตแดนพวกนี้ได้ไม่เกินสองวัน
ที่ข้าไม่เคยคิดจะใช้มันนั่นก็เป็นเพราะกลัวว่าเจ้าจะเป็นอันตราย
แต่ตอนนี้เจ้ามีไออสูรของข้าอยู่ในร่างกาย
มันจึงต่างออกไป...
ท่อนแขนแข็งแรงอุ้มร่างโปร่งบางที่ยังสลบไสลเดินไปตามระเบียงทางเดิน
ทั้งศาลเจ้านั้นว่างเปล่าจนเหมือนกับที่นี่เป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีเราอยู่กันแค่สองคน
ดวงตาสีม่วงทอดมองวงหน้าที่ยังมีเหงื่อซึมของคนที่อยู่ในอ้อมแขน
ข้า...คงต้องรีบหาทางคลายพันธนาการให้เจ้า
ต่อให้มันจะเป็นวิธีที่อันตรายต่อข้าขนาดไหนก็ตาม
เจ้าจะได้ไม่ต้องบาดเจ็บอีก
หรืออย่างน้อยตอนที่ข้าไม่อยู่
เจ้าก็ยังมีพลังพอที่จะปกป้องตัวเองได้
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์
หัวใจ การติดตาม โดเนทสำหรับตอนที่แล้วๆมามากๆนะคะ
ดีใจมากค่ะที่รู้ว่ามีคนชอบและมีคนรออ่านอยู่
ฟิคแนวไสยเวทย์นี่ก็น่าจะเป็นเรื่องแรกเลยค่ะที่แต่ง 555 ในหัวนี่คือฉากต่อสู้จะสวยงามอลังการมาก
แต่ไม่รู้จะบรรยายออกมาได้เหมือนที่คิดไหมนะ555 สู้กันต่อไป
เป็นกะลังใจให้พ่อยักษ์ผู้คลั่งรักของเราด้วยนาคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น