Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 06

 Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato]  ยักษ์ : 06

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au

: Fujiwara Shu x Narumiya Minato

: Romance Dark Fantasy

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ      

          

 

“ก็ได้...คราวนี้ข้าไม่ขังเจ้าไว้ในเขตอาคมแล้ว เพราะข้ารู้ว่าเจ้ายังมีแรงเหลือพอจะแก้มันได้”  

 

“...เอ่อ...ถ้างั้น...จะขังผมไว้ที่ไหนเหรอครับ? กรงจริงๆงั้นเหรอ? หรือว่าคุก...”  

 

 

“ก็ขังเจ้าไว้ในอ้อมแขนของข้านี่แหละ ดูซิว่าเจ้ายังจะหนีออกไปได้อีกไหม?”

 

 

ได้ฟังดังนั้นใบหน้ามนก็ถึงกับสตั๊นไปห้าวิ สองแก้มแดงก่ำเดี๋ยวก้มงุดเดี๋ยวช้อนสายตามองให้วุ่นวายไปหมด

 

ต่างจากคนที่ก้มมองลงมาซึ่งยังคงจ้องใบหน้ามนนิ่งๆ มีรอยยิ้มบางๆอย่างพึ่งพอใจปรากฏอยู่ที่ริมฝีปาก ข้าเพิ่งค้นพบความบันเทิงใจรูปแบบใหม่ นั่นก็คือการเย้าแหย่ให้ใบหน้าเล็กๆนี่มีสีหน้าที่หลากหลาย ทั้งเขินอาย ทั้งแง่งอน ทั้งโมโหโกรธา ข้าเพิ่งพบว่ามันน่ารักน่าเอ็นดูมากจนอดแกล้งไม่ได้เลย

 

ก่อนหน้านี้ข้าเฉยชากับทุกสิ่งนั่นก็เพราะสำหรับข้าแล้วโลกใบนี้มีเพียงสีขาวกับสีดำ ข้าไม่เคยสนุกกับการฆ่า ข้าชินชาและทำไปก็เพราะต้องทำเพียงเท่านั้น

 

แต่ตอนนี้...โลกของข้ากำลังค่อยๆมีสีสันขึ้น

 

เพราะรอยยิ้มของเจ้า เพราะคิ้วที่ขมวดของเจ้า เพราะริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันของเจ้า เพราะดวงตาใสๆของเจ้า เพราะแก้มที่แดงระเรื่อของเจ้า

 

 

เพราะเจ้า มินาโตะ

 

 

“ง่า...แต่แบบนี้...มัน...คือว่า...”    มือเล็กๆกระตุกแขนกิโมโนสีดำของข้าเบาๆ ใบหน้ายุ่งเหยิงนั่นคงกำลังหาคิดข้ออ้างเพื่อให้หลุดออกจากการกักขังนี้ให้ได้อยู่สินะ?

 

ไหนลองดูหน่อยสิว่านักบวชที่บริสุทธิ์ทั้งกายใจอย่างเจ้าจะเอาอะไรมาอ้างกับยักษ์ร้ายอย่างข้าได้

 

“ว่า?”    ข้าแกล้งเอ่ยด้วยใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้

 

“คือ...เอ่อ...แบบนี้มันก็นอนไม่ได้พอดีน่ะสิครับ...”     ข้าถึงกับหลุดขำอยู่ในใจกับข้ออ้างที่แสนน่าเอ็นดูนั่น

 

“นอน?”    ใบหน้ามนพยักรัวๆเพราะตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นการขุมหลุมฝังตัวเองซะงั้น

 

เพราะแทนที่จะถูกปล่อยตัวออกไป กลับกลายเป็นว่าถูกท่อนแขนแข็งแรงนั่นรวบเอวบางเข้าหาตัว...แล้วกอดแนบอกไว้...จากนั้นไหล่กว้างก็ค่อยๆดันลำตัวบาง...ให้ค่อยๆนอนลงช้าๆ...สองแขนขยับมากอดรัดแผ่นหลังบางแน่นจนใบหน้ามนแทบจะจมลงไปในแผงอก

 

กลายเป็นถูกนอนกอดเอาไว้เสียแบบนั้น...

 

“นอนแบบนี้ก็ได้นี่ ว่าไหม?”    เสียงทุ้มยังมีแววหยอกเย้าคนที่อ้าปากพะงาบๆอยู่ในอ้อมแขน

 

อ๊ากกก แบบนี้มันใกล้กว่าเดิมอีกไม่ใช่เหรอเนี่ย?!

 

“จะ จะนอนตรงนี้เหรอครับ...นี่มันบนชานเรือนนะครับ...เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า...”   เสียงอู้อี้ที่เอ่ยออกมาจากอ้อมอกยังพยายามหาข้ออ้างต่อไป

 

“เจ้าไม่รู้หรือไงว่าเรือนของเจ้าไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาตั้งนานแล้ว”

 

“...ก็จริง...”    ใบหน้ามนถอนหายใจอย่างจนใจที่จะหนีไปจากกรงขังนี้...เพราะจะว่าไปมันก็ทั้งนุ่มทั้งอุ่นดีทีเดียว

 

เป็นยักษ์แท้ๆ แต่ทำไมตัวหอมขนาดนี้กันนะ?

 

“แต่เข้าไปนอนในห้องไม่ดีกว่าเหรอครับ?”    เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะเขาสังเกตมานานแล้วว่าชูซังมักจะนั่งอยู่แค่ที่ชานเรือนเท่านั้น ไม่เคยกล้ำกรายเข้ามาในห้องนอนของเขาสักครั้ง

 

“ข้าไม่อยากเข้าไปในห้องนอนของเจ้า ที่นั่นเป็นใจกลางเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าไม่ใช่หรือไง ถ้าข้าเข้าไป...มันอาจจะพังทลายได้”    พวกเรานอนคุยกันอยู่แบบนั้น

 

“อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าคุณไม่เคยเข้าไปเลย”   

 

“ถ้าอย่างนั้น...ทำไมคุณถึงอยู่ในเขตศาลเจ้าได้ล่ะ? ทั้งๆที่ไม่ได้ทำลายอาณาเขตเข้ามาด้วย?”   เพราะถ้ายักษ์ระดับฟูจิวาระ ชูทำลายอาณาเขตเข้ามา โดมแก้วนั่นคงไม่จบแค่เป็นรูแน่ๆแต่อาจจะหายไปทั้งหมดเลยก็ได้

 

“เพราะพลังของข้าเหนือกว่าเจ้ามาก การจะแทรกซึมเข้ามาในอาณาเขตของศาลเจ้าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับข้า ส่วนอาณาเขต...ข้าก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำลายมัน ปล่อยมันไว้กันพวกภูตผีชั้นต่ำน่ารำคาญพวกนั้นดีกว่า”     ...พอคุณมาพูดเองแล้วมันดูน่าหมั่นไส้ยังไงไม่รู้นะครับ ใบหน้ามนได้แต่หรี่ตามอง

 

“อาณาเขตของศาลเจ้ากับอาณาเขตของตัวเจ้าซึ่งก็คือที่ห้องนอนนั่นมันต่างกัน ต่อให้อาณาเขตของศาลเจ้าพังทลายเจ้าก็ไม่เป็นอะไร แต่หากอาณาเขตของตัวเจ้าถูกทำลายเจ้าอาจจะบาดเจ็บก็ได้ ใช่ไหมล่ะ?”

 

“...ครับ”    ....เพราะไม่อยากให้เขาบาดเจ็บนี่เองเลยไม่เข้ามาในห้องนอนของเขา...สองแก้มจึงอดที่จะร้อนผ่าวกับความใส่ใจนี้ไม่ได้

 

“อีกอย่าง...บนตัวเจ้ามีเครื่องหมายของข้าอยู่...อาณาเขตของศาลเจ้าแห่งนี้จึงปนเปื้อนไปด้วยไออสูรของข้ามานานแล้ว ข้าจึงเข้าออกได้อย่างอิสระ”

 

“....อื้ม...”    เสียงนุ่มรับคำด้วยความง่วงงุนที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาครอบงำเปลือกตาให้ค่อยๆหรี่ลงช้าๆ ทั้งเสียงทุ้มน่าฟัง ทั้งอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นและปลอดภัย ทั้งหมดนี้ชวนให้เขาอยากจะหลับตาลงเสียจริงๆ

 

ใบหน้ามนจึงซุกลงไปบนกิโมโนสีดำราวกับลูกแมว

 

“ง่วงแล้วรึ?”    มือใหญ่ลูบหัวสีดำเบาๆราวกับกำลังกล่อมนอน

 

“เพราะผมอดนอนอยู่ตลอด ผมก็เลยง่วงนอนตลอด เพราะใครกันล่ะ?”    เสียงใสตอบงึมงำ

 

“.....”

 

“อื้อ...อยู่ใกล้แค่นี้ คุณไม่ต้องไปกัดกินผมในฝันได้ไหม ขอให้ผมนอน...”    เสียงงึมงำเงียบหายไปทั้งที่ยังพูดไม่จบประโยคทำเอาคนมองอยู่ถึงกับอมยิ้ม

 

ริมฝีปากขยับไปจุมพิตลงที่หน้าผากใสอย่างห้ามตัวเองไม่ไหว

 

ข้าเอง...ก็พอจะรู้แล้วว่าความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจนี้มันเรียกว่าอะไร

 

โชคดีนะที่ข้าเป็นยักษ์ที่ไม่แยแสสิ่งใด

 

 

ข้าจึงยอมรับได้ง่ายๆว่าข้าคงหลงรักมนุษย์เช่นเจ้าเข้าเสียแล้ว

 

 

เพราะเจ้าแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร เจ้าไม่เคยกลัวเกรงข้าที่เป็นยักษ์ แต่กลับมองที่ตัวตนของข้าผู้ที่มีนามว่าฟูจิวาระ ชู

 

และเจ้ายังเก่งกาจจนน่าหลงใหล เก่งกาจพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ เก่งกาจจนข้าไม่อาจละสายตาจากเจ้าได้

 

จิตใจของเจ้าก็ทั้งบริสุทธิ์และเข้มแข็ง ข้าไม่เคยพบคนอย่างเจ้ามาก่อนเลย

 

 

อ้อมแขนแข็งแรงกอดกระชับร่างโปร่งบาง คางเกยไว้บนเส้นผมสีดำสั้นที่นุ่มนิ่มราวกับขนแมว ก่อนจะเรียกเจ้าผีคอพับออกมาจากหัวสีดำ

 

“ไปซะ”    เจ้าก้อนขยุกขยุยนั่นกระดิกหางให้ก่อนจะวิ่งร่าจากไป

 

วันนี้...จึงเป็นวันที่นารุมิยะ มินาโตะได้นอนเต็มอิ่มเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

เพราะฟูจิวาระ ชูเป็นยักษ์ที่ไม่ชอบปรากฏตัวที่ไหนไม่ว่าจะในโลกมนุษย์หรือโลกแห่งวิญญาณ

 

ทำให้แม้แต่พวกภูตผีปีศาจก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก จึงแทบไม่มีใครรู้ว่ายักษ์ที่คุ้มครองนักบวชคนนี้อยู่มีพลังมหาศาลขนาดไหน 

 

เจ้าพวกภูตผีไม่เจียมตัวเลยชอบมาท้าทายด้วยการจะมาแย่งนักบวชที่มีพลังอันหอมหวานนั่นไปกิน

 

ศาลเจ้ายาตะจึงกลายเป็นพื้นที่อันตรายที่มีการต่อสู้กันของยักษ์กับพวกภูติผี...ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นลานประหารของพวกภูตผีมากกว่าเพราะว่าถูกยักษ์จัดการอยู่ฝ่ายเดียว...ในแต่ละคืนจะเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน เต็มไปด้วยเศษซากชิ้นส่วนสุดสยองของพวกปีศาจที่ร่วงหล่นลงมาและกองอยู่ทั่วไป เต็มไปด้วยวิญญาณร้ายที่วิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น...

 

นักบวชคนอื่นๆในศาลเจ้าต่างก็ทนความหลอนและน่าสะพรึงกลัวนั้นไม่ไหว จนตอนนี้ต่างก็ขอย้ายออกไปจนหมดไม่มีเหลืออยู่เลยสักคน

 

“ท่านมินาโตะ...ท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีนะครับ...ผมก็อยากให้ท่านย้ายไปด้วยกัน...แต่ว่า...”    ต่อให้เขาไปที่ไหน ยักษ์ที่น่ากลัวตนนั้นก็จะตามเขาไปด้วยแล้วก็คงจะไปทำให้ที่อื่นเดือดร้อนเหมือนกัน...นั่นสินะสิ่งที่นักบวชผู้ช่วยตรงหน้าอยากจะพูดแต่ก็เกรงใจจนทำได้แค่อ้ำๆอึ้งๆ

 

“ไปเถอะครับ...ผมไม่เป็นไรหรอก...”    ใบหน้ามนยังคงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ถึงใครจะหวาดกลัวชูซังแค่ไหน แต่สำหรับเขาแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่ยักษ์ที่โหดเหี้ยมอย่างที่คิด และเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน เพราะคนที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนจริงๆกลับเป็นเขาที่ดึงดูดภูตผีพวกนั้นมามากกว่า

 

ชูซังเสียอีกที่เป็นฝ่ายไล่ให้ ไม่เช่นนั้นอาจจะมีคนถึงแก่ชีวิตไปบ้างแล้วก็ได้

 

“ถ้างั้น...ผมไปก่อนนะครับ...”    นักบวชผู้ช่วยคนสุดท้ายก้มหัวให้ก่อนจะเก็บข้าวของแล้วออกจากศาลเจ้าไป

 

สถานที่ที่เคยยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยผู้คนกลับเงียบเหงาลงถนัดตา...ศาลเจ้ายาตะกำลังจะล่มสลายลงไปเพราะเขาจริงๆด้วยสินะ

 

ใบหน้ามนของคนที่ยืนอยู่บนระเบียงทอดมองไปรอบๆอย่างเศร้าหมอง

 

บางครั้งเขาก็อยากจะตะโกนบอกทุกคนว่าชูซังไม่ใช่ยักษ์ใจร้ายไม่ใช่คนน่ากลัวอะไรเลย แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขาสักคน เพราะภาพครั้งแรกที่พบกันนั้นยังติดตา สภาพศพของเด็กทั้งห้าทำให้ทุกคนยังคงหวาดกลัวชูซังจากก้นบึ้งของหัวใจอยู่

 

“เฮ้อ...”    ใบหน้ามนถอนหายใจ

 

กายบางหมุนตัวกลับเข้ามาในหอบูชาอย่างตัดใจ มือถือตะเกียงไฟขึ้นเมื่อเห็นว่าภายนอกเริ่มเย็นแล้ว ยิ่งอยู่ในป่าเขาก็ยิ่งมืดไวกว่าในเมือง ฝ่าเท้าในถุงเท้าสีขาวจึงก้าวเดินออกไปเพื่อเปิดไฟตามทางเดินต่างๆในศาลเจ้า ถึงจะไม่มีใครอยู่ก็จะปล่อยสถานที่นี้ไว้มืดๆไม่ได้หรอก

 

 

ตึ้ง!!!

 

 

แล้วยังไม่ทันจะก้าวไปไหน แผ่นดินที่ไหวสะเทือนอย่างเลื่อนลั่นก็ทำให้ร่างโปร่งบางถึงกับถลาล้มลงกับพื้นทางเดิน

 

“?”    เกิดอะไรขึ้น?

 

ใบหน้ามนหันมองรอบกายแต่ทุกอย่างยังเงียบเชียบราวกับสภาวะก่อนที่พายุจะเข้า เพราะไม่กี่วินาทีถัดมา

 

ตึ้ง!

 

เสียงทุบดังสนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้งอยู่เหนือหัว

 

เพล้ง!!!

 

เขาไม่มีเวลาจะเงยหน้ามองด้วยซ้ำ เสียงแตกร้าวและเศษซากอาณาเขตที่ร่วงกราวลงมาก็ทำให้สองแขนบางต้องยกขึ้นมาปิดหน้าปิดหัวของตัวเองไว้

 

ไอชั่วร้ายอันหนักอึ้งพุ่งมาปะทะจนรู้สึกราวกับถูกกดทับอยู่ทันที...นี่ไม่ใช่ชูซัง...แต่พลังมหาศาลนี้ก็ทำให้ร่างกายรู้สึกสั่นสะท้านได้ทันที!

 

สัญชาตญาณบอกให้เขาต้องกลัว ใบหน้ามนจึงหันรีหันขวางอย่างรู้แล้วว่ากำลังจะเกินอันตรายขึ้นกับตัวเอง นั่นต้องเป็นปีศาจอะไรบางอย่างที่ต้องการจะจับเขาไปกินแน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะถึงระดับคำสาปหรือไม่ก็...ยักษ์...เลยก็ได้

 

คิ้วเรียวขมวดมุ้นก่อนจะคำนวณเส้นทางที่ใกล้ที่สุด...ถ้าคิดว่าเขาจะยืนตัวสั่นรอให้มาจับกินง่ายๆละก็ คิดผิดแล้ว!

 

ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตากลมโตแข็งกร้าวมองไปยังหออาคมซึ่งเป็นที่เก็บอาวุธในทางไสยเวทย์เพื่อตั้งไว้เป็นเป้าหมาย

 

“ฮึบ!    แล้วฝ่าเท้าบางก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว!

 

ขาเรียวเลี้ยวซ้ายไปตามระเบียงทางเดิน ถ้าคิดว่าการที่เขาใส่ฮากามะสีฟ้าของนักบวชแล้วจะทำให้เขาวิ่งช้าลงละก็ผิดแล้ว เพราะคู่ต่อสู้ของเขาไม่เคยเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ เขาจึงต้องฝึกฝนร่างกายควบคู่กับการร่ายคาถาไปด้วย ว่าก็ว่าเถอะ ถ้าเขาไม่ถูกชูซังกัดกินพลังชีวิตไป เขาน่าจะเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่นเลยก็ได้นะ!

 

ฝ่าเท้าเล็กๆเหยียบลงไปบนราวกั้นไม้ก่อนจะเทคตัวกระโดดข้ามช่องว่างระหว่างอาคารไป ร่างโปร่งโดดขึ้นไปยังระเบียงของหอพิธีการที่อยู่สูงกว่าก่อนจะวิ่งหน้าตั้งต่อไปยังอาคารที่อยู่ด้านหลัง ขาเรียวก้าวขึ้นบันไดร้อยขั้นอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย ยังดีที่เมื่อคืนเขาได้นอนเต็มที่ประกอบกับหมู่นี้เขามักจะถูกชูซังจับไปขังไว้ไม่ยอมให้ทำอะไรอยู่บ่อยๆ วันนี้เลยพอจะมีแรงอยู่บ้าง

 

ตุบ!

 

ร่างโปร่งในชุดนักบวชกระโดดข้ามระเบียงมา เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกไล่ล่าอยู่ข้างหลัง เจ้าอะไรบางอย่างนั่นกำลังเลื้อยเหมือนงูเพื่อตามหาเขาไปทั่วและตอนนี้มันก็เจอตัวเขาแล้ว!

 

ปัง!

 

มือบางทั้งสองข้างเปิดประตูเลื่อนออกอย่างไม่มีเวลามาสนใจพิธีรีตอง เขาแทบจะต้องม้วนตัวกระโจนเข้าไปเพื่อให้มือบางคว้าคันธนูศักสิทธิ์อาวุธประจำตัวนักบวชมาได้!

 

ฟึ่บๆๆ!

 

ลูกธนูอาคมสว่างจ้าพุ่งออกไปอย่างไม่รอช้าเมื่อเขาเอี้ยวตัวกลับมาได้ ทั้งๆที่เขากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่เขายังไม่รู้เลยสักนิด

 

ปั่กๆๆ!!

 

ธนูสีขาวปักลงไปบนร่างกายสีแดงฉานที่สูงใหญ่จนหัวถึงเพดาน

 

“กรรรรรร!!     เสียงคำรามอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากใบหน้าสีแดงที่ทำเอาร่างทั้งร่างของเขาถึงกับชะงักงัน

 

ฝ่าเท้าถึงกับก้าวถอยหลังเมื่อสายตากำลังพินิจพิจารณาสิ่งที่อยู่ตรงหน้า...ทุกอย่างของมันทำให้ขนแขนลุกเกรียวเพราะเขารู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เขาจะสู้ได้...มันไม่ใช่ภูติผีวิญญาณร้าย ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่คำสาป...

 

ใบหน้านั้นนั่นปูดโปนโกรธขึ้งดูน่ากลัว ดวงตาแดงก่ำถลึงออกมายิ่งกว่าไข่ห่านนั่นวาวโรจน์น่าขนลุก เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสังคะตัง เขี้ยวยาวโง้งไร้ระเบียบดูน่าเกลียดจนไม่อยากจะมอง

 

นี่แหละ...ยักษ์...ในแบบที่ใครๆก็รู้จัก

 

นี่แหละ...ยักษ์...ตามตำราที่มีมา

 

นี่แหละ...ยักษ์...ที่ตรงข้ามกับฟูจิวาระ ชูทุกอย่าง

 

สิ่งเดียวที่มีเหมือนกันก็คือ...เขาทั้งสองข้างบนหน้าผากเท่านั้น

 

“มา...ให้...ข้า...กิน...ซะ...”    เสียงล่องลอยดังก้องอยู่ทั่วทิศ  ดวงตาของมันจ้องมองมาที่เขาอย่างเกรี้ยวกราด ร่างกายของเขาแทบจะถูกจิตสังหารนั่นตรึงเอาไว้ อย่าว่าแต่จะเจรจากันเลย พูดยังพูดไม่รู้เรื่องเลยมั้งนั่น...

 

ใบหน้ามนได้แต่แหงนมองร่างที่ดูสยดสยองนั่นอย่างตื่นตะลึง  มือได้แต่กำคันธนูแน่น...

 

จะทำยังไงดี...เวลานี้ชูซังไม่อยู่...

 

และเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาจะยันมันไว้ได้แค่ไหนกัน...

 

จู่ๆชีวิตก็มาฮ็อตอะไรกันตอนนี้ มียักษ์ถึงสองตัวจ้องจะกินเขาเชียวนะ ทั้งๆที่ยักษ์น่ะไม่ใช่สิ่งที่จะโผล่ออกมาง่ายๆเลย!

 

ใบหน้ามนมองหาทางออกอย่างเครียดขึง มือบางข้างที่ไม่ได้ถือธนูยกขึ้นมาพนมอยู่ตรงช่วงอกก่อนจะร่ายคาถาผนึกออกไป เขาต้องชิงลงมือก่อน!

 

ให้มันรู้ไปว่าจะจับเขากินได้น่ะไม่ใช่ง่ายๆนะ!

 

ปึ้ง!

 

ยันต์โปร่งใสขนาดใหญ่แปะปึงลงมาที่ด้านหนึ่งของตัวยักษ์

 

ปึ้งๆๆๆๆ!

 

ก่อนที่ยันต์อีกนับไม่ถ้วนจะถูกแปะตามลงมาจนกลายเป็นกรงคาถาครอบเจ้ายักษ์นั่นเอาไว้ การที่เขาล่อมันมาถึงนี่ก็เพื่อจะใช้อาคมนี้ขังมันไว้ก่อนนี่แหละ ในหออาคมมีอาวุธอยู่มากมาย และยันต์ผนึกก็คือหนึ่งในอาวุธพวกนั้น!

 

เสียงใสร่ายบทสวดปิดผนึกต่อทันที แต่เพราะพลังที่มีไม่มากพอของเขาทำให้อีกฝ่ายต่อต้านได้จนห้องทั้งห้องสั่นสะเทือน ข้าวของล้มระเนระนาดไปหมด เสียงคำรามที่เปล่งออกมาก็พากระจกหน้าต่างแตกเพล้งๆๆไปตามๆกัน

 

“อึก...”    เขากัดฟันยืนฝ่าลมพายุที่โหมกระหน่ำ แค่คาถาผนึกคงเอาไม่อยู่ มือบางจึงหยิบลูกธนูของจริงขึ้นมาช่วย

 

ถ้ามีแกนอย่างน้อยอาคมก็จะรุนแรงขึ้น

 

ปั่ก!

 

ลูกธนูที่อาบด้วยอาคมสีขาวปักลงไปตามตัวของยักษ์ตนนั้น แต่มันก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลย มีเพียงความโกรธเกรี้ยวที่อยากจะพังผนึกออกมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

ครื้น...ครึ่ก...ครึ่กๆๆ....

 

และแล้วพลังของเขาก็ขังอีกฝ่ายเอาไว้ได้แค่นี้...ผนึกค่อยๆปริแตกกลายเป็นแสงสีแดงราวกับเลือดเปล่งออกมา

 

เพล้ง!!!

 

ยันต์โปร่งใสทั้งหมดแตกสลายไปในชั่วพริบตา

 

“อั่ก!    อาคมตีกลับมาที่คนร่ายคาถาอย่างเขาจนถึงกับกระอักเป็นเลือด!

 

เข่าข้างหนึ่งทรุดลงกับพื้น...ความเจ็บปวดแล่นลิ่วอยู่ในร่างกายจนต้องหายใจหอบหนัก

 

ดวงตากลมโตหรี่มองเงาร่างใหญ่ยักษ์ที่ย่างสามขุมเข้ามาช้าๆ ปากของมันเต็มไปด้วยไอดำทะมึนพ่นออกมา หน้าตาโกรธจัดและคงอยากจะจับเขากินไปให้รู้แล้วรู้รอด

 

“อ๊ะ?!    เขาอุทานเสียงหลงเมื่อจู่ๆข้อเท้าก็ถูกมือเละๆนั่นดึงเข้าไปอย่างรุนแรง

 

“ปล่อยนะ!    เขาฟาดมันด้วยคันธนูศักดิ์สิทธิ์แต่ควันสีดำนั่นก็ปัดธนูของเขากระเด็นไป เขายังไม่ยอมง่ายๆด้วยการร่ายคาถาใส่มันไปอีกหลายชุด

 

แต่การดิ้นรนของเขากลับไม่มีผลอะไรเลย

 

ข้อเท้าของเขาถูกมันหิ้วขึ้นไป ทั้งร่างกายจึงห้อยต่องแต่งอยู่ในอากาศ

 

มืออีกข้างของมันจับไหล่เขาไว้ แล้วในชั่วพริบตาปากที่อ้ากว้างนั่นก็งับลงมา

 

“อ๊ากกกกกกกกกกก!    เขาถูกกัดลงไปที่ไหล่ มันเจ็บจนรั้งสติไว้แทบไม่ได้...

 

เขากำลังจะโดนกิน...เขากำลังจะโดนยักษ์ตนอื่นกิน...

 

“ชูซัง...ช่วยผมด้วย...”   เสียงขาดๆหายๆเอ่ยออกไปอย่างสิ้นหวัง ฟันคมของมันกำลังกัดกินทะลุม่านพลังของเขาลงมาจนกิโมโนถูกดึงจนขาดวิ่น

 

เลือดที่หอมหวานไหล่ออกไปจากไหล่เขา และตอนนั้นทุกอย่างก็พลันดับวูบไป...

 

 

 

 

โครม!!!

 

 

ตู้ม!!!!!!!!!!!

 

 

 

 

“มินาโตะ!

 

หออาคมปลิวหายไปทั้งหลังในชั่วพริบตา เศษซากที่กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยของมันหยุดลงอีกครั้งที่ชายป่า

 

เจ้ายักษ์สีแดงถูกพลังมหาศาลปะทะจนปลิวไปด้วยกัน แขนของมันถูกสอยหายไปข้างหนึ่งอย่างไม่ทันรู้ตัว

 

แขนข้างที่ถือดีบังอาจมาทำร้ายของของข้า!

 

ฟูจิวาระ ชูยืนอยู่เหนือหน้ากากยักษ์สีทองขนาดมหึมาด้วยใบหน้าโกรธจัด ควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากหน้ากากยักษ์นั่นกำลังทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนและดำมืดไปหมด

 

ใบหน้าเย็นยะเยือกก้มมองร่างที่โชกไปด้วยเลือดในอ้อมแขน ใบหน้ามนไร้สติและกำลังหายใจรวยรินเต็มที

 

ข้าต้องช่วยเจ้าก่อน ส่วนเจ้าอสูรตนนั้นข้าจะมาจัดการมันทีหลัง!

 

เปรี้ยง!!

 

มือสีดำขนาดใหญ่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าเพื่อจิกหัวของยักษ์สีแดงเอาไว้ก่อนจะจับมันกระแทกลงกับพื้นดินจนยุบเป็นหลุม และมันยังคงจิกหัวกดเอาไว้อย่างนั้นแม้ว่ายักษ์สีแดงจะต่อต้านจนแผ่นดินไหวเลยก็ตาม

 

คนที่อาศัยอยู่รอบๆภูเขาลูกนี้ต่างก็วิ่งหนีกันจ้าละหวั่นเพราะคิดว่าเกิดอาเพศไม่ก็ภัยพิบัติ ถนนทุกสายจึงคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ต่างรีบอพยพออกไปให้ไกล

 

แต่ก็มีหลายคนที่เห็น...ว่ามันเป็นการต่อสู้ของอสูรสองตัวที่ต่างชั้นกันอย่างสิ้นเชิง

 

และการต่อสู้นั้นก็มีศูนย์กลางอยู่ที่ศาลเจ้ายาตะ ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นที่เคารพของผู้คนในละแวกนี้

 

 

 

 

 

 

“มินาโตะ”

 

เสียงทุ้มเอ่ยเรียกก่อนจะวางร่างโปร่งบางลงในอาคารที่อยู่ข้างๆ

 

รอยแผลที่ไหล่นั้นมีขนาดใหญ่มากทีเดียว ใบหน้าที่ซีดเซียวก็มีเหงื่อแตกออกมาเต็มไปหมด

 

ไม่ได้การแล้ว...

 

คงรอใช้วิธีรักษาของมนุษย์อย่างการพาไปโรงพยาบาลผ่าตัดไม่ได้แล้ว

 

 

คงต้องใช้วีธีของข้า...วิธีของยักษ์...

 

 

ถ้าถามว่าข้ามีชีวิตอยู่มาถึงพันปีได้ยังไง ข้าเองก็เคยบาดเจ็บเจียนตายตอนเพิ่งถือกำเนิดใหม่ๆและพลังยังไม่มากมายเท่านี้เช่นกัน แต่ที่ข้ายังรอดมาได้ก็เพราะข้ามีไออสูร...

 

ไออสูรเปรียบเสมือนลมหายใจของยักษ์ ที่ยักษ์ทุกตัวแข็งแกร่งและฆ่าไม่ตายจนยืนอยู่เหนือภูตผีปีศาจจำพวกอื่นๆก็เพราะไออสูรนี่แหละ

 

มันจะรักษาร่างกายของยักษ์จนราวกับเป็นร่างกายที่คงกระพัน

 

ข้า...คงต้องมอบไออสูรให้กับมินาโตะเพื่อช่วยพยุงชีวิตไปก่อน...

 

แต่ไออสูรนั้นเป็นพลังที่อยู่เหนือธรรมชาติ เป็นพลังของโลกปีศาจที่เป็นพิษต่อมนุษย์

 

เจ้า...จะทนรับไหวไหมนะ?

 

มือใหญ่ดึงคอกิโมโนที่ขาดวิ่นออกไปให้พ้นไหล่บาง เลือดยังทะลักออกมาไม่หยุด แต่ถ้าเป็นไออสูรก็สามารถรักษาแผลแค่นี้ให้หายในชั่วพริบตา

 

ข้าคุกเข่าทั้งสองข้างก่อนจะประคองร่างบอบบางขึ้นมา

 

ไออสูรนั้นไม่ได้มอบให้กันด้วยฝ่ามือ

 

 

แต่มอบให้กันด้วยปาก...

 

 

ใบหน้าของข้าจึงโน้มลงไป...

 

ที่จริงแค่เข้าไปใกล้ๆพอให้ไอที่ออกจากปากลอยเข้าไปได้ก็พอ แต่ข้ากลับ...

 

แตะแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากสีระเรื่อที่เผยอออกน้อยๆอย่างนุ่มนวล...

 

ถึงจะรู้ว่าหาใช่เวลาคิดเรื่องนี้ แต่ความรู้สึกที่เอ่อล้นท่วมท้นออกมาก็คือสิ่งที่ข้าไม่อาจปฏิเสธได้

 

ว่าข้าชอบมันมากแค่ไหน

 

จูบ...ที่ข้ามีต่อเจ้า...

 

ดวงตาสีม่วงทอดมองสันจมูกที่อยู่ใกล้แสนใกล้ บดเบียดกลีบปากนุ่มนิ่มนั่นลงไป ลมหายใจและไออสูรที่ผสานด้วยหัวใจถูกส่งผ่านริมฝีปากเข้าไป

 

และข้าก็เพิ่งเคยได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเป็นครั้งแรก

 

มันเต้นตึกตักๆอย่างรุนแรงเลยละ

 

 

ข้าละใบหน้าออกมาเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองวงหน้าที่ค่อยๆกลับมามีสีเลือดฝาด

 

ไอสีดำลอยออกจากผิวหนังบริเวณที่เป็นแผล แล้วยิ่งมันลอยออกมามากเท่าไหร่ แผลก็ยิ่งสมานตัวได้ไวได้มากขึ้นเท่านั้น

 

ผิวหนังที่เปิดแยกค่อยๆกลับมาผสานเข้าด้วยกัน กระดูกที่หัก กล้ามเนื้อที่ฉีกขาดค่อยๆกลับไปมีสภาพเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ ขนาดเลือดที่ไหลเลอะยังค่อยๆระเหยกลายเป็นไอสีดำเลย

 

ไหล่บางหายเป็นปลิดทิ้งในชั่วพริบตา

 

คิ้วที่เคยนิ่งสนิทก็ค่อยๆขมวดเข้าหากันขยุกขยิก ข้าซับเหงื่อที่ไหลออกมาบนหน้าผากใสนั้นด้วยแขนเสื้อกิโมโนสีดำ ข้าจับจ้องทุกปฏิกิริยาบนใบหน้าราวกับตุ๊กตานั้นไม่ให้คลาดสายตา

 

เพราะไม่เคยมีมนุษย์คนไหนรับไอจากอสูรโดยตรงแบบนี้แล้วมีชีวิตรอดมาก่อน อาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าก็ได้

 

 

แต่ดวงตาใสกลับค่อยๆกระพริบเปิดขึ้นมาในไม่ช้า...

 

 

ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก...ที่ไออสูรของข้าไม่ได้ทำร้ายเจ้า...

 

“ชูซัง...กลับมาแล้วเหรอครับ...”    เสียงนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรงและมันก็ทำให้ดวงตาของข้าสั่นไหว

 

“อืม...ข้ากลับมาแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”   ข้าจุมพิตลงบนหน้าผาก จุมพิตลงบนปลายจมูก จุมพิตลงบนปาก...

 

“ผม...นึกว่าจะไม่ได้เจอคุณอีกเสียแล้ว...”    ใบหน้ามนยิ้มให้อย่างอ่อนแรงทำให้ข้าแนบหน้าผากตนเองลงไปคลอเคลียกับหน้าผากใส

 

“ข้าบอกเจ้าแล้วไง...ว่าเจ้าจะตายไม่ได้ถ้าข้าไม่อนุญาต”    ใบหน้ามนหัวเราะคิกคักเบาๆ

 

“ไม่ว่าใคร...ก็พรากเจ้าไปจากข้าไม่ได้ แม้แต่มัจจุราช”    แน่นอนว่าไอ้ตัวที่ไม่ใช่แม้แต่มัจจุราชย่อมต้องถูกข้าจัดการอย่างสาสม!

 

“เจ้านอนพักตรงนี้ก่อนนะ ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ”    ท่อนแขนแข็งแรงตวัดฮาโอริสีม่วงครามของตนมาคลุมร่างโปร่งบางไว้ มือเล็กๆขาวๆที่ยกขึ้นมาจับขอบคอเสื้อขึ้นมาจรดปลายคางของตนไว้นั้นช่างน่าเอ็นดู ยิ่งประกอบกับดวงตาใสๆที่มองมาที่ข้า ใบหน้าจึงอดที่จะโน้มลงไปจูบกลางกระหม่อมนั่นไม่ได้

 

ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืน มือใหญ่ยกขึ้นกางไปตรงหน้า อักขระนับพันแถวปรากฏขึ้นก่อนจะค่อยๆขยายใหญ่วนรอบครอบห้องทั้งห้องเอาไว้ มันคือผนึกของยักษ์ บางครั้งข้าก็ใช้มันแทนอาณาเขตคุ้มภัย แน่นอนว่าข้าไม่เคยทำมันเพื่อปกป้องใครแบบนี้มาก่อน

 

ถ้าไม่ใช่ข้าก็ไม่มีใครสามารถทลายผนึกนี้ได้

 

ข้ามองดวงตากลมโตที่ค่อยๆปิดลง รอจนเสียงลมหายใจนั้นสม่ำเสมอ ขายาวจึงค่อยเดินจากมา

 

ข้าไม่รีบร้อน เพราะข้ายังมีเวลาหั่นเจ้ายักษ์ไม่รักชีวิตนั่นเป็นชิ้นๆอีกมากโข จากใบหน้าและแววตาที่อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกและโหดเหี้ยมทันที

 

ร่างสูงสง่าหายแว่บกลับไปยืนอยู่เหนือหน้ากากยักษ์สีทองขนาดเท่าตึกสิบชั้นนั่นอีกครั้ง ดวงตาสีม่วงเลือดเย็นเหยียดมองเจ้ายักษ์ชะตาขาดที่ถูกกดหัวอยู่ที่ชายป่า มันตะเกียกตะกายเพื่อที่จะหลุดออกมาให้ได้จนต้นไม้แถวนั้นพังราบ มันพยายามต่อสู้ด้วยการเรียกสายฟ้าออกมา ทว่าความระคายเคืองกลับไม่ต่างไปจากไม้จิ้มฟัน มันพยายามสู้ทุกวิถีทางแล้วแต่ข้ากลับไม่สะทกสะท้านใดๆเลย

 

 

“เจ้าคงไม่รู้สินะว่าพลังของข้ากับเจ้าต่างกันขนาดไหน มือที่ใช้กดหัวเจ้าอยู่นั่นยังไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของข้าหรอก”   

 

 

แล้วทันทีที่นิ้วยาวดีดดังเป๊าะ

 

ตึ้ง!!!

 

มือข้างนั้นก็ขยายใหญ่จนแทบจะเท่าภูเขาทั้งลูก หัวที่ถูกกดไว้แทบจะแหลกเละ หลุมที่ว่าใหญ่แล้วก็ยิ่งใหญ่ขึ้นจนมีขนาดพอๆกับหลุมอุกาบาต

 

“กรร รรรรรร!!    เจ้ายักษ์แดงนั่นคำรามอย่างโหยหวน จากที่โดนกดไว้แค่หัวตอนนี้ก็แทบจะเละไปทั้งตัว ไออสูรสีแดงพวยพุ่งเพื่อรักษาชีวิตของมันไว้อย่างสุดความสามารถ

 

ข้าปล่อยมันไป...

 

มือสีดำขนาดใหญ่แตกกระจายกลายเป็นควันวิ่งวนอยู่รอบๆราวกับเมฆดำทะมึน

 

จะให้มันตายง่ายๆได้ยังไง มันทำร้ายของของข้า และข้าจะใช้มันนี่แหละป่าวประกาศให้รู้ทั่วกันว่า อย่ามายุ่งกับศาลเจ้าแห่งนี้อีกถ้าไม่อยากทรมานจนต้องร้องขอความตายด้วยตนเอง!

 

 

“เจ้ารู้ไหม ว่าทำไมข้าถึงไม่ปรากฏกายออกมาทั้งตัวเช่นเจ้า แต่มาทีละส่วน?”

 

“นั่นก็เพราะหากข้าปรากฏกายออกมาทั้งตัว เกาะญี่ปุ่นอาจจะจมมหาสมุทรได้เลยน่ะสิ”

 

 

ตึ้ง!

 

คราวนี้เป็นฝ่าเท้าที่เหยียบลงมากลางตัวเจ้ายักษ์สีแดง เสียงดังแพร่ดทำให้รู้ว่าเจ้ายักษ์นั่นคงแหลกเละไม่ต่างไปจากหนอนแมลงที่ถูกรถเหยียบอยู่กลางถนน

 

ไออสูรสีแดงยังคงทำงานอย่างหนักแต่ก็ดูเหมือนมันจะฟื้นฟูร่างกายให้เจ้ายักษ์นั่นไม่ทันเพราะฝ่าเท้ายังคงขยี้ลงไปด้วยพลังมหาศาล

 

ขาข้างนั้นมันยกขึ้นกระทืบซ้ำไปซ้ำมาจนแผ่นดินแผ่นฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วท้องนภาจนฝูงนกต่างพากันบินหนีแตกกระเจิง เกิดเป็นภาพที่วิปริตแปรปรวนและโกลาหลอยู่เหนือศาลเจ้าจนคนมองจากที่ไกลๆยังเห็นยังรับรู้ได้

 

แต่แค่นี้มันยังสยดสยองไม่พอที่จะทำให้ปีศาจทุกตัวหวาดกลัวต่อสถานที่แห่งนี้...

 

เท้าข้างนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นมือสีดำสองข้าง ข้างหนึ่งคว้าร่าง ข้างหนึ่งคว้าหัว

 

ก่อนจะดึงออกจากกัน

 

แคว่ก!!

 

เลือดสีแดงพุ่งกระฉูดยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลากรดเลอะลงมาบนหลังคาศาลเจ้า ทุกๆที่ล้วนเจิงนองไปด้วยเลือด ภูตผีปีศาจที่แอบดูอยู่เผื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะเพลี่ยงพล้ำตนจะได้มาขโมยเหยื่ออย่างนักบวชแสนอร่อยนั่นไปกินเอง ต่างก็รีบหนีเตลิดเมื่อเห็นภาพอันเหี้ยมโหดตรงหน้า

 

หัวยักษ์สีแดงถูกบีบจนเละก่อนจะถูกขว้างออกไป เลือดพุ่งเป็นสายคล้ายฝนตกตามเป็นทาง

 

ส่วนร่างกายก็ถูกตัดออกเป็นชิ้นๆแล้วเหวี่ยงกระจายไปรอบๆ แม้แต่ภูตผีก็ยังหวาดกลัวต่อภาพที่เห็น สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงต่างเผ่นกันป่าราบ ในรัศมีพันกิโลเมตรนี้ไม่มีเหลืออยู่สักตัว

 

ไออสูรสีแดงถูกมือที่อยู่ในร่างมนุษย์ดูดเข้ามาจนเป็นก้อนกลมอยู่ตรงหน้า ก่อนที่สายลมสีดำจะบดขยี้มันจนแตกสลายหายเป็นผุยผง...

 

 

“นักบวชคนนั้นเป็นของข้า ใครกล้ามายุ่งอีกข้าจะไม่ให้มันตายดี ข้าจะฉีกกระชากทำลายไปจนถึงแก่นของวิญญาณ จำไว้”

 

 

เสียงคำรามดังกู่ก้องไปทั่วฟ้า ตั้งแต่นั้นมาชื่อของฟูจิวาระ ชูก็เป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลกแห่งวิญญาณ

 

ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมองท้องฟ้า...ข้าทนรำคาญใจมามากพอแล้ว

 

กลุ่มควันสีดำที่เคยเป็นมือขนาดใหญ่จึงค่อยๆแตกกระจายก่อนจะกลายเป็นโทริอิสีดำขนาดมหึมา

 

ปึ้ง!!

 

มันปักลงครอบทับกับโทริอิสีแดงอันเดิมของศาลเจ้า มนุษย์คงจะมองไม่เห็นโทริอิสีดำที่ใหญ่เท่าเครื่องบินโบว์อิ้งอันนี้เพราะมันถูกสร้างมาให้กระแทกตาพวกภูตผีปีศาจต่างหาก

 

มือใหญ่ยังคงวาดอยู่ในอากาศ อักขระพันแถวถูกเรียกมาจากห้องที่มินาโตะนอนอยู่ มันขยายใหญ่โอบล้อมภูเขาทั้งลูกไว้ในชั่วพริบตา มันครอบทับอาณาเขตของศาลเจ้าไปจนหมด

 

จากนี้ไปใครกล้าล่วงล้ำอาณาเขตของยักษ์ก็จงเข้ามา!

 

แน่นอนว่าภายใต้อาณาเขตของยักษ์นั้นย่อมเต็มไปด้วยไอพิษ มนุษย์ทั่วไปจะอยู่ภายใต้เขตแดนพวกนี้ได้ไม่เกินสองวัน ที่ข้าไม่เคยคิดจะใช้มันนั่นก็เป็นเพราะกลัวว่าเจ้าจะเป็นอันตราย

 

แต่ตอนนี้เจ้ามีไออสูรของข้าอยู่ในร่างกาย มันจึงต่างออกไป...

 

 

 

 

 

ท่อนแขนแข็งแรงอุ้มร่างโปร่งบางที่ยังสลบไสลเดินไปตามระเบียงทางเดิน ทั้งศาลเจ้านั้นว่างเปล่าจนเหมือนกับที่นี่เป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีเราอยู่กันแค่สองคน

 

ดวงตาสีม่วงทอดมองวงหน้าที่ยังมีเหงื่อซึมของคนที่อยู่ในอ้อมแขน

 

ข้า...คงต้องรีบหาทางคลายพันธนาการให้เจ้า ต่อให้มันจะเป็นวิธีที่อันตรายต่อข้าขนาดไหนก็ตาม

 

เจ้าจะได้ไม่ต้องบาดเจ็บอีก

 

หรืออย่างน้อยตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็ยังมีพลังพอที่จะปกป้องตัวเองได้

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be Con.

 

 ใครนึกภาพศาลเจ้าในภูเขา นักบวชชินโต พิธีกรรม บรรยากาศขลังๆไม่ออก เรามีตัวอย่างให้ดูค่ะ เป็นไอจีของศาลเจ้าคิฟุเนะที่เกียวโต สวยทรงพลังสุดๆมากที่นี่ >////<

 

https://www.instagram.com/kifunejinja/

 

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ หัวใจ การติดตาม โดเนทสำหรับตอนที่แล้วๆมามากๆนะคะ ดีใจมากค่ะที่รู้ว่ามีคนชอบและมีคนรออ่านอยู่ ฟิคแนวไสยเวทย์นี่ก็น่าจะเป็นเรื่องแรกเลยค่ะที่แต่ง 555 ในหัวนี่คือฉากต่อสู้จะสวยงามอลังการมาก แต่ไม่รู้จะบรรยายออกมาได้เหมือนที่คิดไหมนะ555 สู้กันต่อไป เป็นกะลังใจให้พ่อยักษ์ผู้คลั่งรักของเราด้วยนาคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น