Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 05
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
ศาลเจ้ายาตะนั้นมีเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเหมือนอาณาเขตครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งภูเขา
มันเป็นเขตแดนที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถูกสร้างขึ้นมาโดยบรรดานักบวชชั้นสูงและยังคงถูกรักษาสืบต่อกันมาโดยนักบวชในแต่ละรุ่นของศาลเจ้า
เป็นเขตแดนที่มีไว้ปกปักษ์รักษาและป้องกันสิ่งไม่ดีและพวกภูติผีปีศาจไม่ให้กล้ำกรายเข้ามาทำร้ายคนที่อยู่ภายในได้
แต่นับวันนักบวชที่มีพลังก็จะยิ่งลดน้อยลงไปตามยุคสมัย
จนในปัจจุบันมีเพียงหัวหน้าหอพิธีกรรมเท่านั้นที่สามารถรักษาอาณาเขตนี้ได้
ความปลอดภัยของทุกคนในศาลเจ้าจึงอยู่ในกำมือของนารุมิยะ
มินาโตะเพียงคนเดียว
เพราะการรักษาเขตแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นงานที่ต้องใช้พลังมหาศาลเอาการ
แล้วยิ่งตอนนี้หัวหน้าหอพิธีกรรมเองนั่นแหละที่เป็นตัวการให้อาณาเขตถูกทำลายลงแทบทุกวัน
พวกภูตผีปีศาจล้วนอยากได้ตัวนักบวชผู้มีพลังอันบริสุทธิ์กันทั้งนั้น
เพราะการได้กินร่างกายที่มีพลังอันหอมหวานนี้เข้าไปจะช่วยให้พวกมันแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้พวกมันทำไม่ได้เพราะเขายังแข็งแรงและต่อสู้ได้อยู่
แต่ตอนนี้แม้แต่จะปัดเป่าภูตผีแมลงสักตัวก็ยังลำบาก...ร่างโปร่งบางจึงกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีในทันที
พวกมันอยากได้จนไม่กลัวเกรงที่จะทำลายเขตแดนเข้ามา...ยิ่งเห็นเขาอ่อนแอก็ยิ่งเหิมเกริมและสัญชาติญาณของพวกมันก็ราวกับแพร่กระจายติดต่อกันได้จนตอนนี้ศาลเจ้ายาตะกลายเป็นแหล่งชุมนุมของภูตผีปีศาจที่หิวโหยไปแล้ว
พวกภูตผีชั้นต่ำที่มีพลังไม่มากพอก็คอยตามติดพวกปีศาจที่มีพลังสูงกว่า
พลังใครมากก็ทำลายอาณาเขตได้เป็นวงกว้างก่อนจะพยายามทะลุทะลวงเข้ามา
พลังใครน้อยก็รวมตัวกันเป็นฝูงแล้วค่อยๆเจาะเกราะที่แสนเปราะบางในยามนี้เข้ามา
ทำให้อาณาเขตมีรูโหว่ตรงนู้นตรงนี้เต็มไปหมด
เพราะงั้น...ต่อให้งดรับงานปัดเป่าชั่วคราวไปแล้วแต่ร่างโปร่งบางก็ยังต้องคอยซ่อมแซมอาณาเขตของศาลเจ้าอยู่
มันวนเวียนต่อกันราวกับแชร์ลูกโซ่
เขาอ่อนแอลง...พวกผีร้ายจึงโจมตีเพราะอยากได้ร่างกายของเขา...อาณาเขตจึงถูกทำลายมากกว่าปกติ...เขาจึงยิ่งต้องใช้พลังในการซ่อมแซมมันมากกว่าเดิม...เขาจึงยิ่งอ่อนแอลงไปอีก...
“อึก...อื้อ...”
ดวงตาสีม่วงเย็นชาทอดมองเงาร่างที่นอนบิดกายอย่างทรมานผ่านเงาของประตูกรุกระดาษสา
ทั้งๆที่เจ้าเริ่มจะคุ้นชินกับการกัดกินของข้า ทั้งๆที่เริ่มจะคงพลังเอาไว้ได้แล้ว...ถ้าไม่ดื้อดึงใช้พลังที่เหลืออยู่น้อยนิดนั่นไปรักษาอาณาเขตพวกนั้นก็จะไม่ต้องเจ็บปวดแล้วแท้ๆ
แต่เจ้าก็ยังเลือกที่จะทำเพื่อคนอื่นอยู่อีก
“ก็บอกแล้วไงว่าเจ้าเป็นของข้า”
เสียงคำรามเอ่ยพร้อมใบหน้าที่หันควับกลับไปมองท้องฟ้า
ฝ่ามือซัดออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เปรี้ยง!!
แต่เสียงและพลังมหาศาลกลับไปเกิดอยู่ที่สุดปลายเขตแดนนั่น
ภูตผีชั้นต่ำที่พยายามเจาะเขตแดนเข้ามาถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในชั่วพริบตา
แรงระเบิดที่มองไม่เห็นแผ่กระจายครอบคลุมทั่วอาณาเขตในชั่ววินาทีทำให้ภูตผีไม่เจียมตัวหัวขาดไปตามๆกัน
พลังทำลายล้างที่สั่นสะเทือนท้องนภานั้นก่อให้เกิดไอสีแดงฉานและเสียงซ่าๆราวกับห่าฝนกำลังตกลงมา
ทว่า...มันไม่ใช่ฝนธรรมดา...
แต่เป็นฝนเลือด
ดวงตาเฉยชาเหลือบมองหยดเลือดที่ตกลงมาบนต้นซากุระที่ตนนั่งอยู่อย่างไม่รู้สึกรู้สา
มือใหญ่กางร่มไม้สีขาวก่อนจะหายจากกิ่งไม้ลงมายังชานเรือน
เสียงดังเปาะแปะๆบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกไม่นานร่มคันนี้คงจะถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง
ร่างที่คลุมด้วยฮาโอริสีม่วงครามนั่งลงที่ชานไม้เพื่อรอเวลาที่คนข้างในห้องจะตื่นขึ้นมา
ดวงตาสีม่วงทอดมองพิรุณโลหิตที่ตกเป็นสายอยู่ด้านนอกอย่างเฉยชา
ความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าช่างแปลกประหลาดนัก
ข้าเป็นยักษ์ส่วนเจ้าเป็นนักบวช โดยเนื้อแท้แล้วข้ากับเจ้าต้องเป็นศัตรูกันอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าต้องกัดกินเจ้าแต่ข้ากลับเริ่มไม่ชอบใจที่เห็นเจ้าทรมานมากขึ้นทุกทีๆ เจ้าต้องโกรธเกลียดข้าแต่เจ้ากลับยิ้มให้อย่างไม่ถือสา เราต้องห้ำหั่นกันจนตาย แต่ข้ากลับอยากอยู่ใกล้ๆ อยากมองดูเจ้า
อยากรอเจ้าตื่นนอนในทุกๆเช้า...
“?...”
ใบหน้าหล่อเหลาได้แต่เหม่อมองท้องฟ้าอย่างสงสัยต่อไป
ความรู้สึกที่ไม่เข้าใจเริ่มแผ่ขยายเป็นวงกว้างอยู่ข้างใน
กริ๊ง...กริ๊ง...
เสียงกรุ๊งกริ๊งก้องกังวานใสแว่วใกล้เข้ามา
ทำให้ข้าละจากความคิดของตัวเอง
นั่นคือเสียงกระพรวนไม่ผิดแน่
ใบหน้าเฉยชาจึงหันไปมองตามที่มาของเสียง
เจ้าแมวที่โปร่งใสราวกับแก้วตัวนั้นกำลังเดินมาตามระเบียงทางเดินไม้อย่างนวยนาดตามประสาแมว...ทำไมข้าจะจำมันไม่ได้
มันคือปีศาจแมวที่มินาโตะเพิ่งจะปัดเป่าออกจากตุ๊กตาญี่ปุ่นไปเมื่อไม่นานนี้
ไม่ยอมไปปรภพแต่เกาะติดของของข้าอยู่ที่นี่เองสินะ?
“ชิ่ว”
เสียงทุ้มออกปากไล่แต่มันกลับเดินมาถูไถออดอ้อนราวกับรู้ว่าใครเป็นใหญ่ในบ้านนี้
“คิก...” เสียงหัวเราะดังแทรกเข้ามาทำให้ข้าละใบหน้าจากแมวไปมองคนที่นั่งอยู่หลังบานประตูที่เพิ่งจะแง้มออก
ข้าขมวดคิ้วใส่แทนคำถามว่ากำลังหัวเราะอะไร?
“โธ่~
อย่าไปไล่มันสิครับ...ถ้ามันอยากอยู่แล้วไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ให้มันอยู่ไปเถอะ
ผมปัดเป่าไอชั่วร้ายออกให้หมดแล้ว” เจ้าแมวช่างรู้รีบเดินไปอ้อนมินาโตะ
มือบางลูบหัวที่แสนออเซาะนั่นไปมา
“อ๊ะ!
จริงสิ ผมมีของมาให้ด้วยนะ”
แล้วมือบางก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อกิโมโนก่อนจะหยิบผลไม้สีแดงลูกหนึ่งออกมา
แอปเปิ้ล...ถูกมือบางสองข้างประคองไว้แล้วยื่นมาตรงหน้าข้า
“?” ข้าได้แต่จ้องมองมันเพราะไม่เข้าใจ
“ของสักการะไงครับ
รับไปสิครับ” ดวงตาที่เฉยชาของข้ากระตุกก่อนจะเบิกขึ้นน้อยๆ
ของสักการะอย่างงั้นเหรอ?
ของแบบนั้น...ตั้งแต่ถือกำเนิดมาพันกว่าปีข้าไม่เคยได้รับมันสักครั้ง
ก็ใครจะมาสักการะยักษ์ที่โหดเหี้ยมและน่าเกลียดน่ากลัวกัน?
เจ้า...ชอบทำให้ข้าประหลาดใจและมันก็แปลกที่ว่าข้าได้มีสิ่งที่ทำเป็นครั้งแรก...กับเจ้า...มากมายขนาดไหน
"ข้าเป็นยักษ์ไม่ใช่เทพของพวกเจ้า" เสียงทุ้มตอบไปทั้งๆที่ดวงตายังมองผลไม้สีแดงนั่นอย่างทึ่งๆ
"ไม่ว่าจะเทพหรืออสูรก็น่าจะดีใจไม่ใช่เหรอครับที่มีคนมาสักการะ เพราะนั่นแปลว่ามีคนนับถือ
มีคนชื่นชอบ!" ใบหน้าใสยื่นหน้าเข้ามายิ้มให้ในระยะประชิด
แม้สองแก้มจะซีดเซียวมากแต่ดวงตากลมโตก็ยังสุกสกาวสดใสจนข้าแทบจะยอมใจอ่อนให้ทั้งหมดไม่ว่าเรื่องอะไร
"ไม่รู้สิ...ข้าไม่เคยมีใครสักการะ"
"นี่ไง ถือว่าผมเป็นคนแรกก็แล้วกัน"
"เจ้า….ชื่นชอบข้าอย่างนั้นหรือ?"
คนที่ทำร้ายเจ้าอยู่ทุกคืนนี่นะ?
"แปลกดีใช่ไหมล่ะครับ ฮะฮะ" ลึกๆในดวงตาของข้ากำลังหวั่นไหว
ข้าจึงยังไม่ได้ยื่นมือออกไปรับแอปเปิ้ลผลนั้นไว้
และเมื่อเห็นว่าข้าไม่ยอมรับมันสักที
มือบางจึงดึงมันกลับไป?
"รอเดี๋ยวนะครับ" ร่างโปร่งในกิโมโนสีขาวบางเบาลุกเดินโงนเงนแล้วหายเข้าไปในห้อง...ก่อนจะกลับมาพร้อมมีดปอกผลไม้?
มือบางค่อยๆหั่นแบ่งแอปเปิ้ลลูกนั้นออกเป็นส่วนๆอย่างตั้งอกตั้งใจ
ใบหน้ามนอมยิ้มน้อยๆตอนที่ค่อยๆปอกเปลือกสีแดงออกเป็นรูปหูกระต่าย...
แกรก...
แอปเปิ้ลกระต่ายตัวแล้วตัวเล่าถูกวางลงบนจานอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
ก่อนที่มือบางจะดันจานใบนั้นมาให้ข้า...
"แบบนี้เป็นไงครับ?" ข้าคลี่ยิ้มออกมาอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน
เพราะไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้
ความร้อนที่อยู่ใต้แผ่นอกซ้ายนี้คืออะไร?
ความร้อนที่อยู่บนแก้มของข้าล่ะ?
คืออะไร?
"ปกติเจ้าสักการะเทพของเจ้าด้วยผลไม้รูปกระต่ายแบบนี้เหรอ?" ข้าเอ่ยหยอกเย้าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ใบหน้าราวกับตุ๊กตานั่นก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน
"ไม่หรอกครับ แต่นี่น่ะ คือสิ่งที่คนในครอบครัวหรือคนรักทำให้กัน" แล้วดวงหน้าที่ทอดสายตาอันอ่อนโยนมองกระต่ายพวกนั้นก็ทำให้ข้าเผลอมองอย่างหลงใหลจนเผลอเอ่ยออกไป
"แล้วข้า…เป็นคนในครอบครัวของเจ้า
หรือเป็นคนรักกันล่ะ?" มันเป็นคำถามที่ข้าอยากได้ยินคำตอบหรือแค่อยากหยอกเย้าข้าก็ชักจะไม่แน่ใจ?
"เอ๊ะ?….." แก้มใสถึงกับแดงแปร๊ดในพริบตา
ข้ามองคนที่กำลังเขินอย่างอารมณ์ดี
ในที่สุดข้าก็หยิบแอปเปิ้ลชิ้นหนึ่งใส่เข้าปาก
รสชาติหวานล้ำชุ่มฉ่ำแตกกระจายอยู่ข้างใน
ถ้าจะให้ข้าบอกว่ามันรสชาติเหมือนอะไร?...ก็คงคล้ายๆพลังชีวิตของเจ้าที่ข้ากัดกินกระมัง?
เจ้า...รสชาติเหมือนแอปเปิ้ลนี่เลย...หอมหวานแล้วก็
“อร่อยมาก” ข้าก้มหน้าลงไปกระซิบข้างใบหูที่แดงเถือกไปแล้วเช่นกัน
ริมฝีปากสีระเรื่ออ้าพะงาบๆต่อไปอยู่อย่างนั้น
มันช่างเป็นภาพที่เพลินตาเพลินใจจนอดมองต่อไปไม่ได้เลยจริงๆ
ทุกๆสิ่งที่เด็กคนนี้ทำ ทุกท่าทางทุกกิริยาล้วนน่าเอ็นดูไปหมด
“ถ้าชอบ...วันหลังผมจะเอามาให้อีกนะครับ...”
“อืม
ชอบ” ข้ายังคงจ้องหน้าไม่วางตาจนตีความไม่ได้เลยว่าชอบอะไรกันแน่
คน? หรือผลไม้?
“......” ใบหน้ามนจึงก้มงุดอย่างเขินอายต่อไป
ปกติแล้วอาณาเขตไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มนุษย์ทั่วไปจะเดินผ่านมันโดยไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้ว่ามีม่านพลังขวางอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่มองเห็นมันกลับเป็นพวกภูติผีปีศาจเสียมากกว่าเพราะมันคือสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นอยู่แล้ว
พวกภูตผีจึงมองเห็นมันเป็นดั่งโดมแก้วที่ครอบภูเขาลูกนี้เอาไว้
แต่ตอนนี้...ดวงตากลมโตกลับมองเห็นรูโหว่และรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน
มันเป็นรอยที่อยู่บนท้องฟ้า
ไม่รู้ว่าใกล้หรือไกลแค่ไหนรู้แค่ว่าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้
“ยามามูระซังไปไหนเสียล่ะครับ?”
เสียงนุ่มถามหานักบวชฝึกหัดที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในศาลเจ้าได้ไม่นาน
ช่วงนี้ร่างกายเขาไม่ค่อยดีจึงต้องมีผู้ช่วยคอยตามหยิบจับสิ่งต่างๆให้
ปกติแล้วจะเป็นยามามูระซังแต่วันนี้คนที่ช่วยพยุงเขาเดินไปตามระเบียงไม้ยาวเหยียดนี้กลับไม่ใช่เด็กคนนั้น
“เอ่อ...หนีเตลิดไปแล้วครับ...เมื่อคืนน่าจะถูกปีศาจเล่นงานเข้า
ตอนเช้ามาเห็นหน้าตาเลิ่กลั่กหอบข้าวหอบของออกจากศาลเจ้าไปเลย...ไม่รู้ว่าหมู่นี้มันเกิดอะไรขึ้นนะครับ
มีคนเห็นภูตผีหรือไม่จู่ๆก็รู้สึกไม่ดีไม่สบายในศาลเจ้าของเราบ่อยๆ...นี่ก็เป็นคนที่ห้าในรอบสัปดาห์แล้วนะครับที่มาขอลาขอย้ายไปอยู่ที่อื่นบ้าง
หนีไปบ้าง” นักบวชผู้ช่วยบอกเขาตรงๆ
เพราะแบบนั้นไงเขาถึงปล่อยอาณาเขตที่ถูกทำลายไว้แบบนั้นไม่ได้
สิ่งไม่ดีต่างๆคงจะหลั่งไหลเข้ามาทางรอยโหว่นี้ไม่หยุดหย่อนแน่ๆและคงจะทำให้คนทั้งศาลเจ้าเดือดร้อน
ก็สิ่งชั่วร้ายพวกนี้...หากเป็นคนธรรมดาแค่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ก็ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้แล้ว
ต่อให้พวกมันเข้ามาเพราะมีเขาเป็นเป้าหมายมากกว่าก็เถอะ
ดวงตากลมโตจ้องมองรอยโหว่ขนาดใหญ่พลางใช้ความคิดว่าจะซ่อมแซมมันยังไง...รอยมันใหญ่มากแต่เมื่อคืนเขากลับแทบไม่เจอภูตผีปีศาจเลยทั้งๆที่คนในศาลเจ้าถึงกับมีคนหนีเตลิดไป?
หรือจะเป็นฝีมือชูซังที่ช่วยกำจัดภูตผีปีศาจพวกนั้นให้?
เพราะรอยใหญ่ขนาดนี้ย่อมเป็นปีศาจที่น่าจะร้ายกาจพอตัว
มันไม่น่าจะหายไปเฉยๆโดยไม่บุกมาจู่โจมเขา?
ก็เป็นไปได้นะที่จะเป็นฝีมือชูซัง...ถ้าเป็นเจ้ายักษ์ขี้หวงตนนั้น...คงจะไม่ชอบใจอยู่แล้วละถ้ามีใครคิดจะแย่งเหยื่ออย่างเขาไป
ใบหน้ามนหัวเราะเบาๆก่อนจะอมยิ้มด้วยสายตาอ่อนโยนจนนักบวชผู้ช่วยทำหน้างงว่าเขายิ้มอะไร
“ไปกันเถอะครับ” เขาหันไปบอกคนที่ช่วยพยุงแขนอย่างอารมณ์ดี
ถึงร่างกายของเขาจะย่ำแย่แค่ไหนแต่จิตใจกลับไม่ขุ่นมัวเลย
และนั่นมันก็ทำให้เขายังยืนหยัดอยู่ได้
ภาพที่เขากับชูซังนั่งอยู่ที่ชานเรือนด้วยกันในทุกๆคืนลอยเข้ามาในหัว
สิ่งนั้นสินะ...ที่ปกป้องจิตใจของเขาเอาไว้...
ในหนึ่งคืน...ถึงจะถูกกัดกินพลังชีวิตไป...แต่มันก็เหมือนได้รับการเยียวยาทางจิตใจกลับมา...จากการพูดคุยที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
แต่กลับทำให้หัวใจของเขาแข็งแรงถึงเพียงนี้
ขาเรียวก้าวไปตามระเบียงไม้ซึ่งมีหลังคาคลุมไปเรื่อยๆ
ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางภูเขาเท่าไหร่พื้นระเบียงไม้ยิ่งลอยห่างจากพื้นดินมากขึ้นเท่านั้น
เสาไม้สูงหลายสิบเมตรนับพันต้นปักเป็นแถวอย่างสวยงามเพื่อรับตัวระเบียงที่ลอยอยู่ท่ามกลางป่าสนสูงเสียดฟ้า
เป็นงานก่อสร้างสุดอัศจรรย์และเต็มไปด้วยศรัทธาอย่างแท้จริง
“ตรงนี้ก็พอครับ
ช่วยถอยออกไปด้วยนะครับ เดี๋ยวจะโดนคลื่นกระแทกเอา”
ใบหน้ามนหันไปบอกนักบวชผู้ช่วยที่ถอยห่างออกไปแต่โดยดี
เสียงนุ่มเริ่มร่ายบทสวดเพื่อรักษาอาณาเขต
พลังสะอาดและบริสุทธิ์เริ่มหลั่งไหลออกจากร่างกายแปลเปลี่ยนเป็นเกราะเข้าไปเคลือบรอยแตกของเขตแดนให้ค่อยๆสมานเข้าหากัน
พอเริ่มแล้วเขาก็จะหยุดกลางคันไม่ได้เป็นอันขาด
เสียงร่ายคาถาจึงดังต่อเนื่องก้องไปทั่วป่า
เหงื่อที่เกาะทั่วใบหน้ามนทำให้ร่างโปร่งบางพราวระยับราวกับหยดน้ำจากสรวงสวรรค์...ยามที่ลำของแสงแดดสาดส่องลงมากระทบ
ถึงจะเป็นภาพที่สวยงามแต่ก็เป็นที่น่าหวั่นใจสำหรับคนที่เฝ้าดูอยู่ใกล้ๆเช่นกัน
บนยอดสนซีด้าห์ที่สูงเสียดฟ้าซึ่งอยู่ไม่ไกล...มีร่างในกิโมโนสีดำร่างหนึ่งยืนมองอยู่...ชายฮาโอริสีม่วงครามพลิ้วไหวไปตามสายลม
เส้นผมสีชาโบกสะบัดไปโดนเขาทั้งสองข้างที่อยู่บนหน้าผาก
ดวงตาสีม่วงทอดมองไปยังร่างระหงที่อยู่ในชุดนักบวชสีขาว
ฮากามะสีฟ้าเน้นให้เห็นเอวคอดน่าปรารถนา
เพราะเป็นของของข้าสินะถึงละสายตาไปไม่ได้เลยเช่นนี้...
รอยร้าวค่อยๆผสานกันจนแทบไม่เหลือร่องรอย
รูโหว่ก็ค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้นอาณาเขตบริเวณนี้ก็จะกลับมาใช้การได้ดีดังเดิม...ใบหน้ามนจึงกัดฟันอดทนท่องคาถาต่อไปต่อให้สายตาจะพร่ามัวเต็มที
ดวงตาสีมรกตมองแทบไม่เห็นอะไรแล้วตอนนี้...รอบตัวราวกับมีม่านน้ำตกไหลลงมาเต็มไปหมด
ร่างทั้งร่างก็ซวนเซจะล้มลงเสียให้ได้
เขาแทบไม่มีแรงเหลือแล้วแต่จะหยุดตอนนี้ก็ไม่ได้
จึงได้แต่งัดแรงเฮือกสุดท้ายออกมาอัดใส่คาถาในชั่วพริบตา
แว่บ...
แสงสีทองผสานรูโหว่จนแนบสนิทในเสี้ยววินาที
และมันก็เป็นเสี้ยววินาทีที่สติเขาดับวูบไป
ร่างกายเอนไปทางราวกั้นของระเบียงราวกับภาพสโลโมชั่น...และไม่ว่ามือใครที่ยืนอยู่แถวนั้นก็คว้าไว้ไม่ทัน...
ร่างโปร่งบางร่วงลงไปจากระเบียงไม้ที่สูงเท่าตึกห้าชั้น...
“ท่านมินาโตะ!!”
เสียงตะโกนอย่างตกใจดังอยู่เบื้องบน
ดวงตาที่เหนื่อยล้าลืมขึ้นมาเพื่อมองเห็นภาพกิ่งไม้ที่ผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว...อ้า...เขากำลังร่วงลงมาจากระเบียงนี่เอง...
แต่ว่า...เขาไม่มีแรงเลย...
เขาทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากปล่อยให้ตัวเองร่วงลงไป...
เป็นอย่างนี้นี่เอง...เขาไม่ได้ตายด้วยฝีมือของยักษ์แต่จะตายเพราะตกระเบียงนี่เอง...รู้สึก...เสียดายยังไงชอบกล...
เขา...ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากทำร่วมกับชูซัง...อยากพูดคุยกันมากกว่านี้
อยากออกไปเดินเล่นในสวนอะจิไซด้วยกัน อยากปอกลูกพลับลูกพีชให้กิน
อยากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าชายผู้นั้นนั่งมองเขาอยู่ที่นอกชานเรือน...อยากอยู่...อยากมีชีวิตอยู่กับชูซังให้มากกว่านี้...
น่าแปลกใจเหลือเกินที่ช่วงเวลาสุดท้ายของเขากลับนึกถึงแต่ชายผู้นั้น...
ยักษ์ตนนั้นคือสิ่งเดียวที่ตกค้างอยู่ในหัวใจซึ่งละทิ้งได้ทุกสิ่งแล้วของเขา...ฟูจิวาระ
ชูทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบด้วยความเสียดายที่ต้องจากกันไปทั้งแบบนี้จนห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาไม่ได้...
“ชูซัง...”
หยดน้ำลอยขึ้นไปบนฟ้าเป็นสายท่ามกลางร่างกายที่ร่วงหล่นลงไป
ดวงตากลมโตปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า
ไม่อยากไป...
ไม่อยากจากท่านไปเลย...
หมับ!!!
แล้วจู่ๆไหล่บางก็ถูกมือใหญ่ของใครบางคนจับเอาไว้แน่น
ร่างกายที่เคยจมดิ่งไปกับสายลมถูกท่อนแขนแข็งแรงของใครบางคนโอบอุ้มเอาไว้
ดวงตากลมโตค่อยๆเปิดขึ้นมามองช้าๆ
แล้วพอเห็นว่าเป็นใคร...น้ำตาที่ใกล้จะเหือดแห้งไปแล้วก็เอ่อล้นขึ้นมาใหม่...
ด้วยความดีใจ...
“ชูซัง...” เสียงนุ่มเอ่ยออกมาได้แค่นั้นก่อนจะสลบไปในอ้อมแขนแข็งแกร่ง
สติล่องลอยออกจากร่างกายเพราะความโล่งใจ
หากเขาอยู่ในอ้อมแขนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป
จะเป็นนรกหรือสวรรค์ก็พร้อมจะไปด้วยทั้งนั้น
“เจ้าเป็นของข้า เจ้าจะตายโดยที่ข้าไม่อนุญาตไม่ได้”
และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก็ยิ่งทำให้ใบหน้ามนสลบไปด้วยรอยยิ้ม
ต่างจากคนที่อุ้มร่างโปร่งบางแล้วค่อยๆลอยลงมากลางอากาศ
ดวงตาสีม่วงที่เคยเฉยชามาตลอดกลับมีแววขุ่นมัวเป็นครั้งแรก
ข้าจ้องมองใบหน้าที่สลบไสลอย่างไม่พอใจ
กล้าดีอย่างไรถึงปล่อยให้ตัวเองร่วงลงมาจากระเบียงได้
แค่คิดใต้แผ่นอกข้างซ้ายของข้าก็เจ็บอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
วินาทีที่เห็นเจ้าร่วงลงมาเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าร้อนลนเพียงใด...กับยักษ์ที่ไม่เคยใส่ใจสิ่งใดแม้โลกจะถล่มดินจะทลายเช่นข้าคนนี้
กลับพุ่งเข้าหาเจ้าอย่างไม่มีลังเล
“เจ้าจะตายไม่ได้สิ
ข้าไม่อนุญาต”
แก้มที่เย็นเฉียบแนบลงไปบนแก้มใสของคนที่อยู่ในอ้อมแขน
ร่างแข็งแกร่งค่อยๆลอยลงไปจนถึงพื้นดินอย่างนุ่มนวล ท่ามกลางใบไม้ที่ปลิวกระจายราวกับผีเสื้อแสนสวย
คนที่เหลืออยู่บนระเบียงต่างชะโงกมองลงมาด้วยความโล่งใจ
แน่นอนว่าทุกคนจำยักษ์ที่มีรูปลักษณ์แสนพิเศษตนนี้ได้
จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้และลอบมองอยู่ห่างๆไม่ว่าร่างสูงสง่าจะอุ้มร่างโปร่งบางไปที่ใด
ดวงตากลมโตค่อยๆเปิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ
เขาค่อยๆกวาดตามองไปรอบๆก่อนจะพบฝ้าเพดานและห้องที่คุ้นตา
เขานอนอยู่ในห้องของตัวเองไม่ได้อยู่ในนรกอย่างที่คิด...เขายังไม่ตายและภาพสุดท้ายที่เห็นคือเรื่องจริง
ชูซัง...มาช่วยเขาไว้จริงๆ...
“ตื่นแล้วรึ?”
ใบหน้ามนหันไปตามเสียงเรียกจึงเพิ่งเห็นว่าประตูเลื่อนฝั่งที่ติดกับสวนถูกเปิดคาไว้
ร่างสูงสง่าในกิโมโนสีดำนั่งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่งอยู่ตรงนั้น
หื๋ม?...แล้วฮาโอริสีม่วงครามตัวนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะ?
มันไม่ได้คลุมอยู่บนไหล่กว้างนั่น?
“ตื่นแล้วครับ...”
เขาพยายามจะลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะเรี่ยวแรงยังไม่กลับคืนมา
“นอนลงไป” แล้วไม่ว่าเปล่า
เขารู้สึกเหมือนมีนิ้วแตะมาที่หน้าผากจนเขาหงายหลังลงไปกับฟูก
ฟุ่บ
อากัปกิริยาที่สนิทชิดเชื้อแบบนี้ทำให้เขานอนเบิกตาโพลงเพราะไม่ชิน
ก็เขาเป็นนักบวชชั้นสูงมาตั้งแต่อายุยังน้อยจึงไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาราวกับเด็กคนหนึ่งแบบนี้เลย
“ฮึๆๆ” ใบหน้ามนหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ
แก้มใสแดงระเรื่อน้อยๆชวนมอง
“ชอบให้ข้าดีดหน้าผากเจ้ารึ?
แปลกคน” ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคอมอง
เขาจึงหันไปยิ้มให้
จังหวะนั้นมือบางก็ลูบไปที่หน้าท้องของตัวเองอย่างเคยชินก่อนจะพบว่าฮาโอริที่หายไปจากไหล่กว้างนั่นมันมาอยู่ตรงนี้นี่เอง...
ฟูจิวาระ
ชูคลุมมันไว้บนตัวเขานี่เอง...
ความร้อนพุ่งขึ้นมาที่สองแก้มของเขาอย่างช่วยไม่ได้
ความเอาใจใส่ที่ไม่ได้มาจากใครที่ไหน แต่นี่คือยักษ์ที่ไร้หัวใจคนนั้นเชียวนะ...
ใบหน้ามนเผลอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
หัวใจพองฟูอย่างบอกไม่ถูก
“......” ดวงตากลมโตจ้องมองฮาโอริลายโบราณที่คลุมอยู่บนตัวเขา
มันนุ่มลื่นผิดคาดมาก
มือบางดึงมันขึ้นมาคลอเคลียใบหน้าของตนอย่างไม่สนว่าเจ้าของมันจะมองอยู่
“มีกลิ่นหอมด้วย
กลิ่นอะไรนะ? ดอกไม้?”
เสียงนั้นเหมือนกับพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะถามคุณยักษ์ซึ่งทำหน้าอ้าปากน้อยๆค้างอยู่ที่ชานเรือน
ปกติแล้วมนุษย์เขาเอาเสื้อคนอื่นไปดมกันแบบนี้รึ?
แล้วดมต่อหน้าเจ้าของอย่างข้าเลยด้วยนะ? ดวงตาสีม่วงจ้องมองภาพนั้นไปก็หน้าร้อนไป
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมเอาไว้” ใบหน้ามนหันมาเอ่ยขอบคุณทั้งที่ยังนอนอยู่
“ข้ากำลังหาทางอยู่” แล้วสิ่งที่ใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยออกไปก็ทำให้คนที่นอนอยู่บนฟูกถึงกับงงงวย
“หื๋ม?”
“วิธีที่ข้าจะไม่ต้องกัดกินพลังชีวิตของเจ้า”
“เอ๊ะ?” ร่างโปร่งแทบจะลุกพรวดขึ้นมาเพราะไม่อยากจะเชื่อหู
...นั่นมันเท่ากับเอาเครื่องหมายของยักษ์ออกเลยไม่ใช่หรือไง?
มันจะมีวิธีด้วยเหรอ? ขนาดเขาเป็นนักบวชที่อ่านตำราโบราณมามากยังไม่เคยเจอเลย
ไม่เช่นนั้นเขาคงทำให้เด็กสามคนนั้นไปแล้ว
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าคิดอะไรตอนที่เห็นเจ้าร่วงลงมา?”
ใบหน้าหล่อเหลาเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีเมื่อพูดประโยคนี้
“ข้าไม่ชอบ
ข้าไม่ชอบใจอย่างที่สุด ตรงไหนสักที่ในตัวข้ามันเจ็บปวดมาก” ใบหน้ามนถึงกับชะงักค้างไป
เขาเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายก็คิดเรื่องของเขาเช่นกัน
ไม่ได้มีแต่เขาที่นึกถึงเพียงฝ่ายเดียว
“ชูซัง...” เขาทอดสายตามองร่างสง่างามนั่นด้วยความรู้สึกอุ่นอยู่ในใจ
“ข้าไม่เคย...ฝ่าฝืนวิถีของยักษ์มาก่อนตลอดพันกว่าปีที่ข้าถือกำเนิดขึ้นมา
เพราะข้าไม่เคยมีเหตุผลให้ทำมัน...แต่เจ้า...จะเป็นเหตุผลนั้นของข้า
เป็นมนุษย์คนแรกและคนเดียวที่ทำให้ข้ายอมฝืนชะตาของตัวเอง” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาหันกลับมามองเขาตรงๆ
หัวใจของเขา...เต้นจนแทบจะทะลุหน้าอกออกมา
เจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่าง...
ท่านคือทุกสิ่งทุกอย่าง...
นั่นคือคำอธิบายที่ดังก้องอยู่ในใจของเขาตอนนี้
อ้า...เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร
นี่คือความรักไม่ใช่หรือไง?
พวกเรา...ต่างก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกันไม่ใช่หรือไง?
“ตอนที่ร่วงลงมา...ตอนที่กำลังจะตาย...ในหัวของผมก็นึกถึงแต่เรื่องของคุณ” เสียงนุ่มพูดออกไปตรงๆเช่นกัน
เขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเก็บซ่อนสิ่งที่อยู่ในใจเอาไว้
ความรักมันไม่มีเหตุผล
แต่เวลาของแต่ละคนนั้นมีจำกัด...
“ผมน่ะ...เรียกได้ว่าแทบจะละทางโลกมาตั้งแต่เด็กๆ
ผมยอมรับการเวียนว่ายตายเกิดและไม่ยึดติดกับสิ่งใด ผมสามารถจากไปโดยไม่เสียดายอะไรอีกแล้วในชีวิต...แต่ผมกลับเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสอยู่กับคุณให้นานกว่านี้อีกนิด” ดวงตาสีมรกตทอดมองสบประสานเข้าไปในดวงตาสีม่วงลึกซึ้ง
พวกเรา...ต่างก็เป็นเหตุผลของกันและกัน
“จากนี้ไปก็ไม่ต้องเสียดายแล้ว
เพราะข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายจากข้าไปเด็ดขาด”
ใบหน้าหล่อเหลาพูดด้วยแววเฉยชาจนเขาอดขำไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้ดีว่ายักษ์ตนนี้จะทำอย่างที่พูดจริงๆ
“ฮะฮะฮะ
ทำไมล่ะครับ? เพราะผมเป็นของคุณงั้นเหรอ?”
“ใช่
เพราะเจ้าเป็นของข้า”
หว๋า...ต่อให้จะพูดกี่ครั้งเวลาฟังก็ยังจั๊กจี้หัวใจแปลกๆแหะ
มือบางดึงฮาโอริสีม่วงครามขึ้นมาปิดหน้าจนเหลือแต่ลูกกะตา
“เจ้านอนเสียเถอะ
ตื่นมาก็ไม่ต้องทำอะไร ภูตผีชั้นต่ำพวกนั้นข้าจะจัดการให้เอง” เสียงครื้นๆเปรี้ยงๆที่ดังอยู่เหนือศาลเจ้าในเวลานี้ก็คงจะเป็นฝีมือชูซังเองสินะ...
ข้างนอก...มีฝนตกเป็นสีแดงด้วยละ...
“ครับ...ขอบคุณครับ...” เขาปิดดวงตาที่เหนื่อยล้าลงก่อนจะเข้าสู่นิทราโดยง่าย
กลิ่นหอมจากฮาโอริสีม่วงครามยิ่งทำให้เขาหลับสบาย
แล้วขนาดบอกว่าไม่ต้องทำอะไร
แต่เจ้าเด็กดื้อนั่นเคยเชื่อฟังเสียที่ไหน!
ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าก้าวไปตามระเบียงที่เชื่อมต่ออาคารต่างๆของศาลเจ้า
ตึ้ง! ตึ้ง!
ก้าวทีก็สั่นสะเทือนไปทั่วปฐพีที
เพราะตอนนี้คุณยักษ์แกกำลังอารมณ์ไม่ดีมากๆ
ข้าบอกให้นอนพักแท้ๆแต่นารุมิยะ
มินาโตะก็ยังดื้อแอบออกไปซ่อมแซมอาณาเขตอยู่เรื่อยๆ ถึงมันจะเป็นแค่รูเล็กๆที่ใช้พลังไม่มากแต่ถ้าเกิดหน้ามืดพลัดตกลงมาอีกจะทำยังไง
ต่อให้สูงแค่เมตรสองเมตรมันก็ตายได้นะ!
ดวงตาเย็นยะเยือกเหลือบมองหาร่างโปร่งบางอย่างไม่สนใจสายตาหวาดหวั่นที่แอบมองมาจากรูประตูรูหน้าต่างของห้องต่างๆ
พวกนักบวชคนอื่นๆไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ข้า
แค่ได้ยินเสียงพื้นสั่นแผ่นดินสะเทือนจากฝีเท้าข้าก็รีบหลบลี้หนีหน้าเข้าห้องหับกันหมดแล้ว
ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะได้เห็นยักษ์เช่นข้า
ปกติแล้วข้าแทบจะไม่ปรากฏกายในโลกเบื้องหน้าให้ใครเห็น โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ใส่หน้ากากแบบนี้
แต่คนในศาลเจ้าก็ยังกลัวข้า
บางคนแค่รู้ว่าข้ายังวนเวียนอยู่ข้างกายมินาโตะ
ก็ถึงกับขอลาไปอยู่ที่อื่นแล้ว
ชายฮาโอริสีม่วงครามปลิวเคลียราวกันตกเตี้ยๆของชานเรือนที่ทำล้อมรอบตัวอาคารไว้
ข้าสัมผัสได้ว่ามินาโตะอยู่แถวๆนี้
แล้วในที่สุดดวงตาคมกล้าก็มองเห็นคนที่ตามหาสักที
ร่างโปร่งบางในชุดนักบวชยืนหอบหายใจโดยใช้มือข้างหนึ่งยันผนังเอาไว้อยู่ที่สุดตัวอาคารอีกด้านหนึ่ง
สงสัยว่าเพิ่งจะซ่อมอาณาเขตเสร็จเพราะแถวนี้ไม่เหลือรูโหว่แล้ว
ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมากางไว้ตรงหน้า
แล้วแค่ข้าบิดมันไปทางซ้ายเล็กน้อย ร่างที่อยู่ห่างไกลนั่นก็ถูกลมรุนแรงดูดเข้ามาหาในชั่วพริบตา!
“เหวอ?!!”
ใบหน้ามนร้องเสียงหลงเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จู่ๆร่างทั้งร่างของตนก็เซถลาเพราะถูกดึงถูกหอบไปอย่างแรงด้วยลมที่มองไม่เห็น
ตุบ!
จนกระทั่งมันปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งและอ้อมแขนแข็งแรงก็กอดหมับไปรอบเอวบางอย่างไม่มีพื้นที่ให้หนีได้
ใบหน้ามนเงยมองคนที่ใช้ความรุนแรงจับเขาเอาไว้ด้วยใบหน้าเหวอๆ
โกรธ...อยู่เหรอ?
เพราะใบหน้าที่ก้มลงมามองเขาในยามนี้เย็นยะเยือกจนน่ากลัวเลย...
“แหะๆๆ” ใบหน้ามนพยายามยิ้มสู้
แต่ใบหน้านิ่งๆก็ทำให้รู้ว่ามันไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
“ข้าบอกเจ้าไว้ว่าอย่างไร?
ให้เจ้าพักผ่อนไม่ใช่หรือ แล้วออกมาทำไม?”
ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาพูดทั้งๆที่ยังไม่ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมแขน
“ผมแค่ออกมาซ่อมอาณาเขตแถวๆนี้เอง...” ดวงตาใสจ้องกลับไปด้วยแววอ้อนน้อยๆ
สองมือที่วางทาบอยู่บนแผงอกกว้างกำกิโมโนสีดำเบาๆ
“ข้าก็บอกแล้วไงว่าจะกำจัดพวกภูตผีปีศาจให้” แต่ใบหน้าเย็นชาก็ตอบเสียงแข็งกลับมาอย่างเอาแต่ใจ
“แต่ถ้าอาณาเขตยังมีรูอยู่แบบนี้
ภูตผีอาจจะเข้ามาอีกก็ได้นี่ครับ”
เพราะข้าฆ่าภูตผีได้ แต่ซ่อมแซมอาณาเขตพวกนี้แทนไม่ได้ เขตแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จำเป็นที่จะต้องใช้พลังที่บริสุทธิ์ของนักบวชเท่านั้นในการรักษาซ่อมแซม
“ก็ให้มันโผล่หัวเข้ามาสิ
ข้าจะฆ่ามันเอง”
“คุณไม่ได้อยู่ตลอดเสียหน่อย
ถ้าภูตผีเข้ามา คนในศาลเจ้าอาจจะเป็นอันตรายได้หากไม่มีเขตแดนศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง” ถึงตอนนี้จะมีคนเหลืออยู่ไม่ถึงสิบคนแล้วก็เถอะนะ
“ก็ไล่คนพวกนั้นออกไปให้หมดสิ”
คุณยักษ์ยังไม่ยอม
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงละครับ”
ใบหน้ามนได้แต่หัวเราะเบาๆให้กับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย
ฝ่ามือใหญ่ๆที่กอดแผ่นหลังของเขาอย่างหวงแหนนี้ทำให้รู้สึกดีมากทีเดียว
“ข้าไม่สน
คนพวกนั้นไม่ใช่ของของข้า ข้าสนใจแค่เจ้า
แค่เจ้าเพียงเท่านั้น เพราะเจ้าเป็นของข้า” ความร้อนผ่าวลุกลามขึ้นใบหน้า
ตั้งแต่เกิดมาเขาเพียรเสียสละเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่นมาโดยตลอด
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนทำเพื่อเขา
สนใจแต่เขาเพียงคนเดียว
แล้วมันผิดตรงไหนหากเขาจะมอบหัวใจให้
ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นยักษ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันก็ตาม
“ฮะฮะ
ทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ย...” เสียงนุ่มเอ่ยหยอกเย้า
“ข้าไม่ใช่คน
แต่ข้าเป็นยักษ์” และอีกฝ่ายก็ตอบหน้าตาย
“กลับไปนอนได้แล้ว”
ไม่ว่าเปล่าท่อนแขนแข็งแรงยังยกลำตัวบางขึ้นพาดบ่าแล้วก้าวเดินหน้าตาเฉย
“อ๊ะ?
ปล่อยผมลงเถอะครับ ผมเดินเองได้”
คนบนบ่าดิ้นเบาๆ
“ให้เจ้าเดินเองกว่าจะได้นอนคงพรุ่งนี้เช้า” ร่างสูงใหญ่ยังคงเดินต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้านต่อแรงต้านที่เบาหวิวนั่น
“แล้วมันเป็นเพราะใครกันเล่า...”
“เพราะข้าไง”
คงจะเป็นภาพที่แสนแปลกประหลาดเมื่อยักษ์อุ้มนักบวชเดินอยู่ในศาลเจ้าทั้งแบบนั้น
แต่ศาลเจ้าที่เคยคึกคักกลับร้างไร้ผู้คนจนเป็นเรื่องยากเสียแล้วที่ใครจะได้มาเห็นภาพแบบนี้
จากเคยเป็นสถานที่ที่มีแต่นักบวชเดินกันขวั่กไขว่
ในยามนี้กลับไม่มีใครสวนมาสักคน ทั้งระเบียงทางเดินทั้งลานกว้างต่างว่างโล่งไปหมด...
และเมื่อร่างโปร่งบางถูกส่งเข้าไปในห้องนอนได้
กรงสีดำขนาดใหญ่ก็ถูกสร้างมาครอบรอบๆฟูกนอนเอาไว้ทันที!
“เอ๊ะ?
นี่มันอะไรกันครับ?”
มือบางกำลูกกรงซึ่งสร้างมาจากควันม่านพลังสีดำก่อนจะทำหน้าเหรอหรามองออกมาเหมือนกระรอกตัวน้อยๆที่เพิ่งถูกจับได้
“ข้าจะขังเจ้าไว้
นอนซะ” แต่ร่างสูงสง่ากลับยืนกอดอกอยู่ที่หน้าประตูห้องอย่างไม่ยี่หระกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
ใบหน้ามนหรี่ตามองอย่างดื้อดึง
ยังมีรูโหว่บนอาณาเขตอีกหลายจุดที่ยังไม่ได้ซ่อมเลยนะ
แต่ก็ยอมกลับไปล้มตัวลงนอนห่มผ้าทั้งหน้ามุ่ยๆแบบนั้น
ดูทำเข้าสิ
ข้าทำเพื่อตัวเองเสียที่ไหน ทั้งหมดก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น
เพราะข้าไม่อาจนั่งเฝ้าเจ้าอยู่ตรงนี้ทั้งวันได้...ข้าเอง...ก็มีเรื่องที่ต้องไปทำเช่นกัน...
ฝ่าเท้าเหยียบย่างไปบนพื้นระเบียงทางเดินที่เดิม...แต่บรรยากาศมันค่อยๆเปลี่ยนไป
จากที่เคยรายล้อมด้วยต้นไม้สีเขียวสดใสก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นระเบียงไม้ที่ลอยอยู่ในความมืด...
ราวกับมิติมันได้เปลี่ยนไป...
เพราะวิธีปลดพันธนาการของยักษ์...ย่อมต้องไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์อยู่แล้ว...
และเมื่ออสุราที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้ากลับมาอีกที...
ฟูจิวาระ
ชูถึงได้รู้ว่านารุมิยะ มินาโตะนั้นดื้อกว่าที่คิด!
กรงสีดำถูกตัดเป็นช่องพอให้ตัวเล็กๆนั่นรอดออกไปได้...เจ้าเด็กนั่นคงใช้พลังของตนปลดผนึกกรงอาคมของข้าออกจนได้สินะ
ก็สมกับที่เป็นนักบวชที่เก่งกาจที่สุดในยุคนี้แล้วละ
แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชม!
ดวงตาสีม่วงตวัดมองไปรอบๆก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก
จะหนีออกไปอีกกี่รอบข้าก็จะจับเจ้ากลับมาขังไว้ดังเดิมจนได้นั่นแหละ
และคราวนี้ข้าไม่มัวตามหาให้เสียเวลา
เพราะเพียงแค่หงายยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา
สายลมก็โหมกระหน่ำไปทั่วทั้งศาลเจ้าทันที!
“เอ๊ะ?
เอ๋??!!”
ร่างโปร่งบางถูกลมหิ้วลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า
ก่อนที่จะถูกลมจากฝ่ามืออีกข้างของข้าดูดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
ปึง!
แขนบางถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้
ลำตัวโปร่งถูกเหวี่ยงจนแผ่นหลังชนกับผนัง!
ปัง!
ลมที่พัดซู่ราวกับพายุเข้าหยุดลงในชั่วพริบตา
สองมือตบลงบนกำแพงเสียงดังสนั่น สองแขนแข็งแกร่งกางกั้นกักขังร่างโปร่งบางเอาไว้ข้างใน
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ใบหน้ามนได้แต่เงยมองอย่างตกใจ
ต่างจากใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มมองลงมา...จ้องมองใบหน้าเลิ่กลั่กนั่นไม่วางตา
“เจ้าช่างดื้อดึงนัก” คราวนี้คำพูดนั้นกลับไม่ได้เจือความโกรธเอาไว้
แต่กลับดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ?
“ก็ได้...คราวนี้ข้าไม่ขังเจ้าไว้ในเขตอาคมแล้ว
เพราะข้ารู้ว่าเจ้ายังมีแรงเหลือพอจะแก้มันได้”
“...เอ่อ...ถ้างั้น...จะขังผมไว้ที่ไหนเหรอครับ?
กรงจริงๆงั้นเหรอ? หรือว่าคุก...”
ดวงตากลมโตเหลือบมองสองแขนที่กางกั้นตัวเองอยู่ก่อนจะเริ่มเลิ่กลั่ก...ไม่น่า...ไม่น่าใช่น่า...
“ก็ขังเจ้าไว้ในอ้อมแขนของข้านี่แหละ
ดูซิว่าเจ้ายังจะหนีออกไปได้อีกไหม?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
ลงไปดิ้นแป๊บ
แอร๊ยยย คุมยักษ์แกไม่อ่อนโยนเลยจริงๆ >////<
อห.
รู้เลยว่าไม่ได้แต่งฟิคยาวมานาน กว่าจะสับโครงเรื่องให้พอใจตัวเองได้นี่ใช้เวลานานมาก555 ถ้ามันเร็วไปมึนงงยังไงก็ขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ แง๊
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทเช่นเคยนะค้า แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น