Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 05

 Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato]  ยักษ์ : 05

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au

: Fujiwara Shu x Narumiya Minato

: Romance Dark Fantasy

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ      

          

 

 

ศาลเจ้ายาตะนั้นมีเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเหมือนอาณาเขตครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งภูเขา มันเป็นเขตแดนที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถูกสร้างขึ้นมาโดยบรรดานักบวชชั้นสูงและยังคงถูกรักษาสืบต่อกันมาโดยนักบวชในแต่ละรุ่นของศาลเจ้า เป็นเขตแดนที่มีไว้ปกปักษ์รักษาและป้องกันสิ่งไม่ดีและพวกภูติผีปีศาจไม่ให้กล้ำกรายเข้ามาทำร้ายคนที่อยู่ภายในได้

 

แต่นับวันนักบวชที่มีพลังก็จะยิ่งลดน้อยลงไปตามยุคสมัย จนในปัจจุบันมีเพียงหัวหน้าหอพิธีกรรมเท่านั้นที่สามารถรักษาอาณาเขตนี้ได้

 

ความปลอดภัยของทุกคนในศาลเจ้าจึงอยู่ในกำมือของนารุมิยะ มินาโตะเพียงคนเดียว

 

เพราะการรักษาเขตแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นงานที่ต้องใช้พลังมหาศาลเอาการ แล้วยิ่งตอนนี้หัวหน้าหอพิธีกรรมเองนั่นแหละที่เป็นตัวการให้อาณาเขตถูกทำลายลงแทบทุกวัน

 

พวกภูตผีปีศาจล้วนอยากได้ตัวนักบวชผู้มีพลังอันบริสุทธิ์กันทั้งนั้น เพราะการได้กินร่างกายที่มีพลังอันหอมหวานนี้เข้าไปจะช่วยให้พวกมันแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

 

ก่อนหน้านี้พวกมันทำไม่ได้เพราะเขายังแข็งแรงและต่อสู้ได้อยู่ แต่ตอนนี้แม้แต่จะปัดเป่าภูตผีแมลงสักตัวก็ยังลำบาก...ร่างโปร่งบางจึงกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีในทันที

 

พวกมันอยากได้จนไม่กลัวเกรงที่จะทำลายเขตแดนเข้ามา...ยิ่งเห็นเขาอ่อนแอก็ยิ่งเหิมเกริมและสัญชาติญาณของพวกมันก็ราวกับแพร่กระจายติดต่อกันได้จนตอนนี้ศาลเจ้ายาตะกลายเป็นแหล่งชุมนุมของภูตผีปีศาจที่หิวโหยไปแล้ว

 

พวกภูตผีชั้นต่ำที่มีพลังไม่มากพอก็คอยตามติดพวกปีศาจที่มีพลังสูงกว่า พลังใครมากก็ทำลายอาณาเขตได้เป็นวงกว้างก่อนจะพยายามทะลุทะลวงเข้ามา พลังใครน้อยก็รวมตัวกันเป็นฝูงแล้วค่อยๆเจาะเกราะที่แสนเปราะบางในยามนี้เข้ามา ทำให้อาณาเขตมีรูโหว่ตรงนู้นตรงนี้เต็มไปหมด

 

เพราะงั้น...ต่อให้งดรับงานปัดเป่าชั่วคราวไปแล้วแต่ร่างโปร่งบางก็ยังต้องคอยซ่อมแซมอาณาเขตของศาลเจ้าอยู่

 

มันวนเวียนต่อกันราวกับแชร์ลูกโซ่ เขาอ่อนแอลง...พวกผีร้ายจึงโจมตีเพราะอยากได้ร่างกายของเขา...อาณาเขตจึงถูกทำลายมากกว่าปกติ...เขาจึงยิ่งต้องใช้พลังในการซ่อมแซมมันมากกว่าเดิม...เขาจึงยิ่งอ่อนแอลงไปอีก...

 

 

 

 

 

 

 

“อึก...อื้อ...”

 

ดวงตาสีม่วงเย็นชาทอดมองเงาร่างที่นอนบิดกายอย่างทรมานผ่านเงาของประตูกรุกระดาษสา ทั้งๆที่เจ้าเริ่มจะคุ้นชินกับการกัดกินของข้า ทั้งๆที่เริ่มจะคงพลังเอาไว้ได้แล้ว...ถ้าไม่ดื้อดึงใช้พลังที่เหลืออยู่น้อยนิดนั่นไปรักษาอาณาเขตพวกนั้นก็จะไม่ต้องเจ็บปวดแล้วแท้ๆ แต่เจ้าก็ยังเลือกที่จะทำเพื่อคนอื่นอยู่อีก

 

 

“ก็บอกแล้วไงว่าเจ้าเป็นของข้า”

 

 

เสียงคำรามเอ่ยพร้อมใบหน้าที่หันควับกลับไปมองท้องฟ้า ฝ่ามือซัดออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

เปรี้ยง!!

 

แต่เสียงและพลังมหาศาลกลับไปเกิดอยู่ที่สุดปลายเขตแดนนั่น ภูตผีชั้นต่ำที่พยายามเจาะเขตแดนเข้ามาถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในชั่วพริบตา แรงระเบิดที่มองไม่เห็นแผ่กระจายครอบคลุมทั่วอาณาเขตในชั่ววินาทีทำให้ภูตผีไม่เจียมตัวหัวขาดไปตามๆกัน พลังทำลายล้างที่สั่นสะเทือนท้องนภานั้นก่อให้เกิดไอสีแดงฉานและเสียงซ่าๆราวกับห่าฝนกำลังตกลงมา

 

ทว่า...มันไม่ใช่ฝนธรรมดา...

 

แต่เป็นฝนเลือด

 

ดวงตาเฉยชาเหลือบมองหยดเลือดที่ตกลงมาบนต้นซากุระที่ตนนั่งอยู่อย่างไม่รู้สึกรู้สา

 

มือใหญ่กางร่มไม้สีขาวก่อนจะหายจากกิ่งไม้ลงมายังชานเรือน เสียงดังเปาะแปะๆบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกไม่นานร่มคันนี้คงจะถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง

 

ร่างที่คลุมด้วยฮาโอริสีม่วงครามนั่งลงที่ชานไม้เพื่อรอเวลาที่คนข้างในห้องจะตื่นขึ้นมา ดวงตาสีม่วงทอดมองพิรุณโลหิตที่ตกเป็นสายอยู่ด้านนอกอย่างเฉยชา

 

ความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าช่างแปลกประหลาดนัก

 

ข้าเป็นยักษ์ส่วนเจ้าเป็นนักบวช  โดยเนื้อแท้แล้วข้ากับเจ้าต้องเป็นศัตรูกันอย่างไม่ต้องสงสัย  ข้าต้องกัดกินเจ้าแต่ข้ากลับเริ่มไม่ชอบใจที่เห็นเจ้าทรมานมากขึ้นทุกทีๆ  เจ้าต้องโกรธเกลียดข้าแต่เจ้ากลับยิ้มให้อย่างไม่ถือสา  เราต้องห้ำหั่นกันจนตาย  แต่ข้ากลับอยากอยู่ใกล้ๆ อยากมองดูเจ้า อยากรอเจ้าตื่นนอนในทุกๆเช้า...

 

“?...”    ใบหน้าหล่อเหลาได้แต่เหม่อมองท้องฟ้าอย่างสงสัยต่อไป ความรู้สึกที่ไม่เข้าใจเริ่มแผ่ขยายเป็นวงกว้างอยู่ข้างใน

 

กริ๊ง...กริ๊ง...

 

เสียงกรุ๊งกริ๊งก้องกังวานใสแว่วใกล้เข้ามา ทำให้ข้าละจากความคิดของตัวเอง

 

นั่นคือเสียงกระพรวนไม่ผิดแน่ ใบหน้าเฉยชาจึงหันไปมองตามที่มาของเสียง

 

เจ้าแมวที่โปร่งใสราวกับแก้วตัวนั้นกำลังเดินมาตามระเบียงทางเดินไม้อย่างนวยนาดตามประสาแมว...ทำไมข้าจะจำมันไม่ได้ มันคือปีศาจแมวที่มินาโตะเพิ่งจะปัดเป่าออกจากตุ๊กตาญี่ปุ่นไปเมื่อไม่นานนี้

 

ไม่ยอมไปปรภพแต่เกาะติดของของข้าอยู่ที่นี่เองสินะ?

 

“ชิ่ว”    เสียงทุ้มออกปากไล่แต่มันกลับเดินมาถูไถออดอ้อนราวกับรู้ว่าใครเป็นใหญ่ในบ้านนี้

 

“คิก...”   เสียงหัวเราะดังแทรกเข้ามาทำให้ข้าละใบหน้าจากแมวไปมองคนที่นั่งอยู่หลังบานประตูที่เพิ่งจะแง้มออก ข้าขมวดคิ้วใส่แทนคำถามว่ากำลังหัวเราะอะไร?

 

“โธ่~ อย่าไปไล่มันสิครับ...ถ้ามันอยากอยู่แล้วไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ให้มันอยู่ไปเถอะ ผมปัดเป่าไอชั่วร้ายออกให้หมดแล้ว”    เจ้าแมวช่างรู้รีบเดินไปอ้อนมินาโตะ มือบางลูบหัวที่แสนออเซาะนั่นไปมา

 

“อ๊ะ! จริงสิ ผมมีของมาให้ด้วยนะ”    แล้วมือบางก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อกิโมโนก่อนจะหยิบผลไม้สีแดงลูกหนึ่งออกมา

 

แอปเปิ้ล...ถูกมือบางสองข้างประคองไว้แล้วยื่นมาตรงหน้าข้า

 

“?”    ข้าได้แต่จ้องมองมันเพราะไม่เข้าใจ

 

“ของสักการะไงครับ รับไปสิครับ”    ดวงตาที่เฉยชาของข้ากระตุกก่อนจะเบิกขึ้นน้อยๆ

 

ของสักการะอย่างงั้นเหรอ?

 

ของแบบนั้น...ตั้งแต่ถือกำเนิดมาพันกว่าปีข้าไม่เคยได้รับมันสักครั้ง ก็ใครจะมาสักการะยักษ์ที่โหดเหี้ยมและน่าเกลียดน่ากลัวกัน?

 

เจ้า...ชอบทำให้ข้าประหลาดใจและมันก็แปลกที่ว่าข้าได้มีสิ่งที่ทำเป็นครั้งแรก...กับเจ้า...มากมายขนาดไหน

 

"ข้าเป็นยักษ์ไม่ใช่เทพของพวกเจ้า"    เสียงทุ้มตอบไปทั้งๆที่ดวงตายังมองผลไม้สีแดงนั่นอย่างทึ่งๆ

 

"ไม่ว่าจะเทพหรืออสูรก็น่าจะดีใจไม่ใช่เหรอครับที่มีคนมาสักการะ เพราะนั่นแปลว่ามีคนนับถือ มีคนชื่นชอบ!"    ใบหน้าใสยื่นหน้าเข้ามายิ้มให้ในระยะประชิด แม้สองแก้มจะซีดเซียวมากแต่ดวงตากลมโตก็ยังสุกสกาวสดใสจนข้าแทบจะยอมใจอ่อนให้ทั้งหมดไม่ว่าเรื่องอะไร

 

"ไม่รู้สิ...ข้าไม่เคยมีใครสักการะ"

 

"นี่ไง ถือว่าผมเป็นคนแรกก็แล้วกัน"   

 

"เจ้า….ชื่นชอบข้าอย่างนั้นหรือ?"   คนที่ทำร้ายเจ้าอยู่ทุกคืนนี่นะ?

 

"แปลกดีใช่ไหมล่ะครับ ฮะฮะ"    ลึกๆในดวงตาของข้ากำลังหวั่นไหว ข้าจึงยังไม่ได้ยื่นมือออกไปรับแอปเปิ้ลผลนั้นไว้

 

และเมื่อเห็นว่าข้าไม่ยอมรับมันสักที มือบางจึงดึงมันกลับไป?

 

"รอเดี๋ยวนะครับ"    ร่างโปร่งในกิโมโนสีขาวบางเบาลุกเดินโงนเงนแล้วหายเข้าไปในห้อง...ก่อนจะกลับมาพร้อมมีดปอกผลไม้?

 

มือบางค่อยๆหั่นแบ่งแอปเปิ้ลลูกนั้นออกเป็นส่วนๆอย่างตั้งอกตั้งใจ ใบหน้ามนอมยิ้มน้อยๆตอนที่ค่อยๆปอกเปลือกสีแดงออกเป็นรูปหูกระต่าย...

 

แกรก...

 

แอปเปิ้ลกระต่ายตัวแล้วตัวเล่าถูกวางลงบนจานอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ก่อนที่มือบางจะดันจานใบนั้นมาให้ข้า...

 

"แบบนี้เป็นไงครับ?"    ข้าคลี่ยิ้มออกมาอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน เพราะไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้

 

ความร้อนที่อยู่ใต้แผ่นอกซ้ายนี้คืออะไร?

 

ความร้อนที่อยู่บนแก้มของข้าล่ะ? คืออะไร?

 

"ปกติเจ้าสักการะเทพของเจ้าด้วยผลไม้รูปกระต่ายแบบนี้เหรอ?"    ข้าเอ่ยหยอกเย้าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ใบหน้าราวกับตุ๊กตานั่นก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน

 

"ไม่หรอกครับ แต่นี่น่ะ คือสิ่งที่คนในครอบครัวหรือคนรักทำให้กัน"    แล้วดวงหน้าที่ทอดสายตาอันอ่อนโยนมองกระต่ายพวกนั้นก็ทำให้ข้าเผลอมองอย่างหลงใหลจนเผลอเอ่ยออกไป

 

"แล้วข้าเป็นคนในครอบครัวของเจ้า หรือเป็นคนรักกันล่ะ?"    มันเป็นคำถามที่ข้าอยากได้ยินคำตอบหรือแค่อยากหยอกเย้าข้าก็ชักจะไม่แน่ใจ?

 

"เอ๊ะ?….."   แก้มใสถึงกับแดงแปร๊ดในพริบตา ข้ามองคนที่กำลังเขินอย่างอารมณ์ดี

 

ในที่สุดข้าก็หยิบแอปเปิ้ลชิ้นหนึ่งใส่เข้าปาก รสชาติหวานล้ำชุ่มฉ่ำแตกกระจายอยู่ข้างใน ถ้าจะให้ข้าบอกว่ามันรสชาติเหมือนอะไร?...ก็คงคล้ายๆพลังชีวิตของเจ้าที่ข้ากัดกินกระมัง?

 

เจ้า...รสชาติเหมือนแอปเปิ้ลนี่เลย...หอมหวานแล้วก็

 

“อร่อยมาก”    ข้าก้มหน้าลงไปกระซิบข้างใบหูที่แดงเถือกไปแล้วเช่นกัน ริมฝีปากสีระเรื่ออ้าพะงาบๆต่อไปอยู่อย่างนั้น

 

มันช่างเป็นภาพที่เพลินตาเพลินใจจนอดมองต่อไปไม่ได้เลยจริงๆ ทุกๆสิ่งที่เด็กคนนี้ทำ ทุกท่าทางทุกกิริยาล้วนน่าเอ็นดูไปหมด

 

“ถ้าชอบ...วันหลังผมจะเอามาให้อีกนะครับ...”   

 

“อืม ชอบ”     ข้ายังคงจ้องหน้าไม่วางตาจนตีความไม่ได้เลยว่าชอบอะไรกันแน่ คน? หรือผลไม้?

 

“......”    ใบหน้ามนจึงก้มงุดอย่างเขินอายต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ปกติแล้วอาณาเขตไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มนุษย์ทั่วไปจะเดินผ่านมันโดยไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้ว่ามีม่านพลังขวางอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ

 

แต่สิ่งที่มองเห็นมันกลับเป็นพวกภูติผีปีศาจเสียมากกว่าเพราะมันคือสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นอยู่แล้ว พวกภูตผีจึงมองเห็นมันเป็นดั่งโดมแก้วที่ครอบภูเขาลูกนี้เอาไว้

 

แต่ตอนนี้...ดวงตากลมโตกลับมองเห็นรูโหว่และรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน มันเป็นรอยที่อยู่บนท้องฟ้า ไม่รู้ว่าใกล้หรือไกลแค่ไหนรู้แค่ว่าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้

 

“ยามามูระซังไปไหนเสียล่ะครับ?”    เสียงนุ่มถามหานักบวชฝึกหัดที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในศาลเจ้าได้ไม่นาน ช่วงนี้ร่างกายเขาไม่ค่อยดีจึงต้องมีผู้ช่วยคอยตามหยิบจับสิ่งต่างๆให้ ปกติแล้วจะเป็นยามามูระซังแต่วันนี้คนที่ช่วยพยุงเขาเดินไปตามระเบียงไม้ยาวเหยียดนี้กลับไม่ใช่เด็กคนนั้น

 

“เอ่อ...หนีเตลิดไปแล้วครับ...เมื่อคืนน่าจะถูกปีศาจเล่นงานเข้า ตอนเช้ามาเห็นหน้าตาเลิ่กลั่กหอบข้าวหอบของออกจากศาลเจ้าไปเลย...ไม่รู้ว่าหมู่นี้มันเกิดอะไรขึ้นนะครับ มีคนเห็นภูตผีหรือไม่จู่ๆก็รู้สึกไม่ดีไม่สบายในศาลเจ้าของเราบ่อยๆ...นี่ก็เป็นคนที่ห้าในรอบสัปดาห์แล้วนะครับที่มาขอลาขอย้ายไปอยู่ที่อื่นบ้าง หนีไปบ้าง”   นักบวชผู้ช่วยบอกเขาตรงๆ

 

เพราะแบบนั้นไงเขาถึงปล่อยอาณาเขตที่ถูกทำลายไว้แบบนั้นไม่ได้ สิ่งไม่ดีต่างๆคงจะหลั่งไหลเข้ามาทางรอยโหว่นี้ไม่หยุดหย่อนแน่ๆและคงจะทำให้คนทั้งศาลเจ้าเดือดร้อน

 

ก็สิ่งชั่วร้ายพวกนี้...หากเป็นคนธรรมดาแค่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ก็ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้แล้ว ต่อให้พวกมันเข้ามาเพราะมีเขาเป็นเป้าหมายมากกว่าก็เถอะ

 

ดวงตากลมโตจ้องมองรอยโหว่ขนาดใหญ่พลางใช้ความคิดว่าจะซ่อมแซมมันยังไง...รอยมันใหญ่มากแต่เมื่อคืนเขากลับแทบไม่เจอภูตผีปีศาจเลยทั้งๆที่คนในศาลเจ้าถึงกับมีคนหนีเตลิดไป?

 

หรือจะเป็นฝีมือชูซังที่ช่วยกำจัดภูตผีปีศาจพวกนั้นให้? เพราะรอยใหญ่ขนาดนี้ย่อมเป็นปีศาจที่น่าจะร้ายกาจพอตัว มันไม่น่าจะหายไปเฉยๆโดยไม่บุกมาจู่โจมเขา?

 

ก็เป็นไปได้นะที่จะเป็นฝีมือชูซัง...ถ้าเป็นเจ้ายักษ์ขี้หวงตนนั้น...คงจะไม่ชอบใจอยู่แล้วละถ้ามีใครคิดจะแย่งเหยื่ออย่างเขาไป ใบหน้ามนหัวเราะเบาๆก่อนจะอมยิ้มด้วยสายตาอ่อนโยนจนนักบวชผู้ช่วยทำหน้างงว่าเขายิ้มอะไร

 

“ไปกันเถอะครับ”    เขาหันไปบอกคนที่ช่วยพยุงแขนอย่างอารมณ์ดี ถึงร่างกายของเขาจะย่ำแย่แค่ไหนแต่จิตใจกลับไม่ขุ่นมัวเลย และนั่นมันก็ทำให้เขายังยืนหยัดอยู่ได้

 

ภาพที่เขากับชูซังนั่งอยู่ที่ชานเรือนด้วยกันในทุกๆคืนลอยเข้ามาในหัว

 

สิ่งนั้นสินะ...ที่ปกป้องจิตใจของเขาเอาไว้...

 

ในหนึ่งคืน...ถึงจะถูกกัดกินพลังชีวิตไป...แต่มันก็เหมือนได้รับการเยียวยาทางจิตใจกลับมา...จากการพูดคุยที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่กลับทำให้หัวใจของเขาแข็งแรงถึงเพียงนี้

 

ขาเรียวก้าวไปตามระเบียงไม้ซึ่งมีหลังคาคลุมไปเรื่อยๆ ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางภูเขาเท่าไหร่พื้นระเบียงไม้ยิ่งลอยห่างจากพื้นดินมากขึ้นเท่านั้น เสาไม้สูงหลายสิบเมตรนับพันต้นปักเป็นแถวอย่างสวยงามเพื่อรับตัวระเบียงที่ลอยอยู่ท่ามกลางป่าสนสูงเสียดฟ้า เป็นงานก่อสร้างสุดอัศจรรย์และเต็มไปด้วยศรัทธาอย่างแท้จริง

 

“ตรงนี้ก็พอครับ ช่วยถอยออกไปด้วยนะครับ เดี๋ยวจะโดนคลื่นกระแทกเอา”    ใบหน้ามนหันไปบอกนักบวชผู้ช่วยที่ถอยห่างออกไปแต่โดยดี

 

เสียงนุ่มเริ่มร่ายบทสวดเพื่อรักษาอาณาเขต พลังสะอาดและบริสุทธิ์เริ่มหลั่งไหลออกจากร่างกายแปลเปลี่ยนเป็นเกราะเข้าไปเคลือบรอยแตกของเขตแดนให้ค่อยๆสมานเข้าหากัน

 

พอเริ่มแล้วเขาก็จะหยุดกลางคันไม่ได้เป็นอันขาด เสียงร่ายคาถาจึงดังต่อเนื่องก้องไปทั่วป่า

 

เหงื่อที่เกาะทั่วใบหน้ามนทำให้ร่างโปร่งบางพราวระยับราวกับหยดน้ำจากสรวงสวรรค์...ยามที่ลำของแสงแดดสาดส่องลงมากระทบ ถึงจะเป็นภาพที่สวยงามแต่ก็เป็นที่น่าหวั่นใจสำหรับคนที่เฝ้าดูอยู่ใกล้ๆเช่นกัน

 

บนยอดสนซีด้าห์ที่สูงเสียดฟ้าซึ่งอยู่ไม่ไกล...มีร่างในกิโมโนสีดำร่างหนึ่งยืนมองอยู่...ชายฮาโอริสีม่วงครามพลิ้วไหวไปตามสายลม เส้นผมสีชาโบกสะบัดไปโดนเขาทั้งสองข้างที่อยู่บนหน้าผาก

 

ดวงตาสีม่วงทอดมองไปยังร่างระหงที่อยู่ในชุดนักบวชสีขาว ฮากามะสีฟ้าเน้นให้เห็นเอวคอดน่าปรารถนา

 

เพราะเป็นของของข้าสินะถึงละสายตาไปไม่ได้เลยเช่นนี้...

 

 

รอยร้าวค่อยๆผสานกันจนแทบไม่เหลือร่องรอย รูโหว่ก็ค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้นอาณาเขตบริเวณนี้ก็จะกลับมาใช้การได้ดีดังเดิม...ใบหน้ามนจึงกัดฟันอดทนท่องคาถาต่อไปต่อให้สายตาจะพร่ามัวเต็มที

 

ดวงตาสีมรกตมองแทบไม่เห็นอะไรแล้วตอนนี้...รอบตัวราวกับมีม่านน้ำตกไหลลงมาเต็มไปหมด ร่างทั้งร่างก็ซวนเซจะล้มลงเสียให้ได้ เขาแทบไม่มีแรงเหลือแล้วแต่จะหยุดตอนนี้ก็ไม่ได้ จึงได้แต่งัดแรงเฮือกสุดท้ายออกมาอัดใส่คาถาในชั่วพริบตา

 

แว่บ...

 

แสงสีทองผสานรูโหว่จนแนบสนิทในเสี้ยววินาที และมันก็เป็นเสี้ยววินาทีที่สติเขาดับวูบไป

 

ร่างกายเอนไปทางราวกั้นของระเบียงราวกับภาพสโลโมชั่น...และไม่ว่ามือใครที่ยืนอยู่แถวนั้นก็คว้าไว้ไม่ทัน...

 

ร่างโปร่งบางร่วงลงไปจากระเบียงไม้ที่สูงเท่าตึกห้าชั้น...

 

“ท่านมินาโตะ!!

 

เสียงตะโกนอย่างตกใจดังอยู่เบื้องบน

 

ดวงตาที่เหนื่อยล้าลืมขึ้นมาเพื่อมองเห็นภาพกิ่งไม้ที่ผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว...อ้า...เขากำลังร่วงลงมาจากระเบียงนี่เอง...

 

แต่ว่า...เขาไม่มีแรงเลย...

 

เขาทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากปล่อยให้ตัวเองร่วงลงไป...

 

เป็นอย่างนี้นี่เอง...เขาไม่ได้ตายด้วยฝีมือของยักษ์แต่จะตายเพราะตกระเบียงนี่เอง...รู้สึก...เสียดายยังไงชอบกล...

 

เขา...ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากทำร่วมกับชูซัง...อยากพูดคุยกันมากกว่านี้ อยากออกไปเดินเล่นในสวนอะจิไซด้วยกัน อยากปอกลูกพลับลูกพีชให้กิน อยากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าชายผู้นั้นนั่งมองเขาอยู่ที่นอกชานเรือน...อยากอยู่...อยากมีชีวิตอยู่กับชูซังให้มากกว่านี้...

 

น่าแปลกใจเหลือเกินที่ช่วงเวลาสุดท้ายของเขากลับนึกถึงแต่ชายผู้นั้น...

 

ยักษ์ตนนั้นคือสิ่งเดียวที่ตกค้างอยู่ในหัวใจซึ่งละทิ้งได้ทุกสิ่งแล้วของเขา...ฟูจิวาระ ชูทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบด้วยความเสียดายที่ต้องจากกันไปทั้งแบบนี้จนห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาไม่ได้...

 

“ชูซัง...”    หยดน้ำลอยขึ้นไปบนฟ้าเป็นสายท่ามกลางร่างกายที่ร่วงหล่นลงไป

 

ดวงตากลมโตปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า

 

ไม่อยากไป...

 

ไม่อยากจากท่านไปเลย...

 

 

 

 

หมับ!!!

 

 

 

 

แล้วจู่ๆไหล่บางก็ถูกมือใหญ่ของใครบางคนจับเอาไว้แน่น ร่างกายที่เคยจมดิ่งไปกับสายลมถูกท่อนแขนแข็งแรงของใครบางคนโอบอุ้มเอาไว้

 

ดวงตากลมโตค่อยๆเปิดขึ้นมามองช้าๆ แล้วพอเห็นว่าเป็นใคร...น้ำตาที่ใกล้จะเหือดแห้งไปแล้วก็เอ่อล้นขึ้นมาใหม่...

 

ด้วยความดีใจ...

 

“ชูซัง...”    เสียงนุ่มเอ่ยออกมาได้แค่นั้นก่อนจะสลบไปในอ้อมแขนแข็งแกร่ง สติล่องลอยออกจากร่างกายเพราะความโล่งใจ หากเขาอยู่ในอ้อมแขนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป จะเป็นนรกหรือสวรรค์ก็พร้อมจะไปด้วยทั้งนั้น

 

 

“เจ้าเป็นของข้า  เจ้าจะตายโดยที่ข้าไม่อนุญาตไม่ได้”

 

 

และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก็ยิ่งทำให้ใบหน้ามนสลบไปด้วยรอยยิ้ม

 

ต่างจากคนที่อุ้มร่างโปร่งบางแล้วค่อยๆลอยลงมากลางอากาศ 

 

ดวงตาสีม่วงที่เคยเฉยชามาตลอดกลับมีแววขุ่นมัวเป็นครั้งแรก ข้าจ้องมองใบหน้าที่สลบไสลอย่างไม่พอใจ กล้าดีอย่างไรถึงปล่อยให้ตัวเองร่วงลงมาจากระเบียงได้

 

แค่คิดใต้แผ่นอกข้างซ้ายของข้าก็เจ็บอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

วินาทีที่เห็นเจ้าร่วงลงมาเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าร้อนลนเพียงใด...กับยักษ์ที่ไม่เคยใส่ใจสิ่งใดแม้โลกจะถล่มดินจะทลายเช่นข้าคนนี้ กลับพุ่งเข้าหาเจ้าอย่างไม่มีลังเล

 

“เจ้าจะตายไม่ได้สิ ข้าไม่อนุญาต”

 

แก้มที่เย็นเฉียบแนบลงไปบนแก้มใสของคนที่อยู่ในอ้อมแขน ร่างแข็งแกร่งค่อยๆลอยลงไปจนถึงพื้นดินอย่างนุ่มนวล ท่ามกลางใบไม้ที่ปลิวกระจายราวกับผีเสื้อแสนสวย

 

คนที่เหลืออยู่บนระเบียงต่างชะโงกมองลงมาด้วยความโล่งใจ แน่นอนว่าทุกคนจำยักษ์ที่มีรูปลักษณ์แสนพิเศษตนนี้ได้ จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้และลอบมองอยู่ห่างๆไม่ว่าร่างสูงสง่าจะอุ้มร่างโปร่งบางไปที่ใด

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตากลมโตค่อยๆเปิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ เขาค่อยๆกวาดตามองไปรอบๆก่อนจะพบฝ้าเพดานและห้องที่คุ้นตา

 

เขานอนอยู่ในห้องของตัวเองไม่ได้อยู่ในนรกอย่างที่คิด...เขายังไม่ตายและภาพสุดท้ายที่เห็นคือเรื่องจริง

 

ชูซัง...มาช่วยเขาไว้จริงๆ...

 

“ตื่นแล้วรึ?”    ใบหน้ามนหันไปตามเสียงเรียกจึงเพิ่งเห็นว่าประตูเลื่อนฝั่งที่ติดกับสวนถูกเปิดคาไว้ ร่างสูงสง่าในกิโมโนสีดำนั่งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่งอยู่ตรงนั้น

 

หื๋ม?...แล้วฮาโอริสีม่วงครามตัวนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะ? มันไม่ได้คลุมอยู่บนไหล่กว้างนั่น?

 

“ตื่นแล้วครับ...”    เขาพยายามจะลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะเรี่ยวแรงยังไม่กลับคืนมา

 

“นอนลงไป”    แล้วไม่ว่าเปล่า เขารู้สึกเหมือนมีนิ้วแตะมาที่หน้าผากจนเขาหงายหลังลงไปกับฟูก

 

ฟุ่บ

 

อากัปกิริยาที่สนิทชิดเชื้อแบบนี้ทำให้เขานอนเบิกตาโพลงเพราะไม่ชิน ก็เขาเป็นนักบวชชั้นสูงมาตั้งแต่อายุยังน้อยจึงไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาราวกับเด็กคนหนึ่งแบบนี้เลย

 

“ฮึๆๆ”    ใบหน้ามนหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ แก้มใสแดงระเรื่อน้อยๆชวนมอง

 

“ชอบให้ข้าดีดหน้าผากเจ้ารึ? แปลกคน”   ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคอมอง เขาจึงหันไปยิ้มให้ จังหวะนั้นมือบางก็ลูบไปที่หน้าท้องของตัวเองอย่างเคยชินก่อนจะพบว่าฮาโอริที่หายไปจากไหล่กว้างนั่นมันมาอยู่ตรงนี้นี่เอง...

 

ฟูจิวาระ ชูคลุมมันไว้บนตัวเขานี่เอง...

 

ความร้อนพุ่งขึ้นมาที่สองแก้มของเขาอย่างช่วยไม่ได้ ความเอาใจใส่ที่ไม่ได้มาจากใครที่ไหน แต่นี่คือยักษ์ที่ไร้หัวใจคนนั้นเชียวนะ...

 

ใบหน้ามนเผลอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หัวใจพองฟูอย่างบอกไม่ถูก

 

“......”    ดวงตากลมโตจ้องมองฮาโอริลายโบราณที่คลุมอยู่บนตัวเขา มันนุ่มลื่นผิดคาดมาก มือบางดึงมันขึ้นมาคลอเคลียใบหน้าของตนอย่างไม่สนว่าเจ้าของมันจะมองอยู่

 

“มีกลิ่นหอมด้วย กลิ่นอะไรนะ? ดอกไม้?”    เสียงนั้นเหมือนกับพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะถามคุณยักษ์ซึ่งทำหน้าอ้าปากน้อยๆค้างอยู่ที่ชานเรือน

 

ปกติแล้วมนุษย์เขาเอาเสื้อคนอื่นไปดมกันแบบนี้รึ? แล้วดมต่อหน้าเจ้าของอย่างข้าเลยด้วยนะ? ดวงตาสีม่วงจ้องมองภาพนั้นไปก็หน้าร้อนไป

 

“ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมเอาไว้”    ใบหน้ามนหันมาเอ่ยขอบคุณทั้งที่ยังนอนอยู่

 

“ข้ากำลังหาทางอยู่”    แล้วสิ่งที่ใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยออกไปก็ทำให้คนที่นอนอยู่บนฟูกถึงกับงงงวย

 

“หื๋ม?”

 

“วิธีที่ข้าจะไม่ต้องกัดกินพลังชีวิตของเจ้า”

 

“เอ๊ะ?”    ร่างโปร่งแทบจะลุกพรวดขึ้นมาเพราะไม่อยากจะเชื่อหู

 

...นั่นมันเท่ากับเอาเครื่องหมายของยักษ์ออกเลยไม่ใช่หรือไง? มันจะมีวิธีด้วยเหรอ? ขนาดเขาเป็นนักบวชที่อ่านตำราโบราณมามากยังไม่เคยเจอเลย ไม่เช่นนั้นเขาคงทำให้เด็กสามคนนั้นไปแล้ว

 

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าคิดอะไรตอนที่เห็นเจ้าร่วงลงมา?”    ใบหน้าหล่อเหลาเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีเมื่อพูดประโยคนี้

 

“ข้าไม่ชอบ ข้าไม่ชอบใจอย่างที่สุด ตรงไหนสักที่ในตัวข้ามันเจ็บปวดมาก”    ใบหน้ามนถึงกับชะงักค้างไป เขาเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายก็คิดเรื่องของเขาเช่นกัน ไม่ได้มีแต่เขาที่นึกถึงเพียงฝ่ายเดียว

 

“ชูซัง...”    เขาทอดสายตามองร่างสง่างามนั่นด้วยความรู้สึกอุ่นอยู่ในใจ

 

“ข้าไม่เคย...ฝ่าฝืนวิถีของยักษ์มาก่อนตลอดพันกว่าปีที่ข้าถือกำเนิดขึ้นมา เพราะข้าไม่เคยมีเหตุผลให้ทำมัน...แต่เจ้า...จะเป็นเหตุผลนั้นของข้า เป็นมนุษย์คนแรกและคนเดียวที่ทำให้ข้ายอมฝืนชะตาของตัวเอง”    ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาหันกลับมามองเขาตรงๆ

 

หัวใจของเขา...เต้นจนแทบจะทะลุหน้าอกออกมา

 

 

เจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่าง...

 

ท่านคือทุกสิ่งทุกอย่าง...

 

 

นั่นคือคำอธิบายที่ดังก้องอยู่ในใจของเขาตอนนี้

 

อ้า...เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร

 

 

นี่คือความรักไม่ใช่หรือไง?

 

 

พวกเรา...ต่างก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกันไม่ใช่หรือไง?

 

 

“ตอนที่ร่วงลงมา...ตอนที่กำลังจะตาย...ในหัวของผมก็นึกถึงแต่เรื่องของคุณ”    เสียงนุ่มพูดออกไปตรงๆเช่นกัน เขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเก็บซ่อนสิ่งที่อยู่ในใจเอาไว้

 

ความรักมันไม่มีเหตุผล แต่เวลาของแต่ละคนนั้นมีจำกัด...

 

“ผมน่ะ...เรียกได้ว่าแทบจะละทางโลกมาตั้งแต่เด็กๆ ผมยอมรับการเวียนว่ายตายเกิดและไม่ยึดติดกับสิ่งใด ผมสามารถจากไปโดยไม่เสียดายอะไรอีกแล้วในชีวิต...แต่ผมกลับเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสอยู่กับคุณให้นานกว่านี้อีกนิด”    ดวงตาสีมรกตทอดมองสบประสานเข้าไปในดวงตาสีม่วงลึกซึ้ง

 

พวกเรา...ต่างก็เป็นเหตุผลของกันและกัน

 

“จากนี้ไปก็ไม่ต้องเสียดายแล้ว เพราะข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายจากข้าไปเด็ดขาด”    ใบหน้าหล่อเหลาพูดด้วยแววเฉยชาจนเขาอดขำไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้ดีว่ายักษ์ตนนี้จะทำอย่างที่พูดจริงๆ

 

“ฮะฮะฮะ ทำไมล่ะครับ? เพราะผมเป็นของคุณงั้นเหรอ?”

 

“ใช่ เพราะเจ้าเป็นของข้า”

 

หว๋า...ต่อให้จะพูดกี่ครั้งเวลาฟังก็ยังจั๊กจี้หัวใจแปลกๆแหะ มือบางดึงฮาโอริสีม่วงครามขึ้นมาปิดหน้าจนเหลือแต่ลูกกะตา

 

“เจ้านอนเสียเถอะ ตื่นมาก็ไม่ต้องทำอะไร ภูตผีชั้นต่ำพวกนั้นข้าจะจัดการให้เอง”   เสียงครื้นๆเปรี้ยงๆที่ดังอยู่เหนือศาลเจ้าในเวลานี้ก็คงจะเป็นฝีมือชูซังเองสินะ...

 

ข้างนอก...มีฝนตกเป็นสีแดงด้วยละ...

 

“ครับ...ขอบคุณครับ...”    เขาปิดดวงตาที่เหนื่อยล้าลงก่อนจะเข้าสู่นิทราโดยง่าย กลิ่นหอมจากฮาโอริสีม่วงครามยิ่งทำให้เขาหลับสบาย

 

 

 

 

 

 

 

แล้วขนาดบอกว่าไม่ต้องทำอะไร แต่เจ้าเด็กดื้อนั่นเคยเชื่อฟังเสียที่ไหน!

 

ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าก้าวไปตามระเบียงที่เชื่อมต่ออาคารต่างๆของศาลเจ้า

 

ตึ้ง!  ตึ้ง!

 

ก้าวทีก็สั่นสะเทือนไปทั่วปฐพีที เพราะตอนนี้คุณยักษ์แกกำลังอารมณ์ไม่ดีมากๆ

 

ข้าบอกให้นอนพักแท้ๆแต่นารุมิยะ มินาโตะก็ยังดื้อแอบออกไปซ่อมแซมอาณาเขตอยู่เรื่อยๆ ถึงมันจะเป็นแค่รูเล็กๆที่ใช้พลังไม่มากแต่ถ้าเกิดหน้ามืดพลัดตกลงมาอีกจะทำยังไง ต่อให้สูงแค่เมตรสองเมตรมันก็ตายได้นะ!

 

ดวงตาเย็นยะเยือกเหลือบมองหาร่างโปร่งบางอย่างไม่สนใจสายตาหวาดหวั่นที่แอบมองมาจากรูประตูรูหน้าต่างของห้องต่างๆ พวกนักบวชคนอื่นๆไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ข้า แค่ได้ยินเสียงพื้นสั่นแผ่นดินสะเทือนจากฝีเท้าข้าก็รีบหลบลี้หนีหน้าเข้าห้องหับกันหมดแล้ว

 

ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะได้เห็นยักษ์เช่นข้า ปกติแล้วข้าแทบจะไม่ปรากฏกายในโลกเบื้องหน้าให้ใครเห็น โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ใส่หน้ากากแบบนี้ แต่คนในศาลเจ้าก็ยังกลัวข้า

 

บางคนแค่รู้ว่าข้ายังวนเวียนอยู่ข้างกายมินาโตะ ก็ถึงกับขอลาไปอยู่ที่อื่นแล้ว

 

ชายฮาโอริสีม่วงครามปลิวเคลียราวกันตกเตี้ยๆของชานเรือนที่ทำล้อมรอบตัวอาคารไว้ ข้าสัมผัสได้ว่ามินาโตะอยู่แถวๆนี้ แล้วในที่สุดดวงตาคมกล้าก็มองเห็นคนที่ตามหาสักที

 

ร่างโปร่งบางในชุดนักบวชยืนหอบหายใจโดยใช้มือข้างหนึ่งยันผนังเอาไว้อยู่ที่สุดตัวอาคารอีกด้านหนึ่ง สงสัยว่าเพิ่งจะซ่อมอาณาเขตเสร็จเพราะแถวนี้ไม่เหลือรูโหว่แล้ว

 

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมากางไว้ตรงหน้า แล้วแค่ข้าบิดมันไปทางซ้ายเล็กน้อย ร่างที่อยู่ห่างไกลนั่นก็ถูกลมรุนแรงดูดเข้ามาหาในชั่วพริบตา!

 

“เหวอ?!!    ใบหน้ามนร้องเสียงหลงเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆร่างทั้งร่างของตนก็เซถลาเพราะถูกดึงถูกหอบไปอย่างแรงด้วยลมที่มองไม่เห็น

 

ตุบ!

 

จนกระทั่งมันปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งและอ้อมแขนแข็งแรงก็กอดหมับไปรอบเอวบางอย่างไม่มีพื้นที่ให้หนีได้ ใบหน้ามนเงยมองคนที่ใช้ความรุนแรงจับเขาเอาไว้ด้วยใบหน้าเหวอๆ

 

โกรธ...อยู่เหรอ?

 

เพราะใบหน้าที่ก้มลงมามองเขาในยามนี้เย็นยะเยือกจนน่ากลัวเลย...

 

“แหะๆๆ”    ใบหน้ามนพยายามยิ้มสู้ แต่ใบหน้านิ่งๆก็ทำให้รู้ว่ามันไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่

 

“ข้าบอกเจ้าไว้ว่าอย่างไร? ให้เจ้าพักผ่อนไม่ใช่หรือ แล้วออกมาทำไม?”    ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาพูดทั้งๆที่ยังไม่ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมแขน

 

“ผมแค่ออกมาซ่อมอาณาเขตแถวๆนี้เอง...”    ดวงตาใสจ้องกลับไปด้วยแววอ้อนน้อยๆ สองมือที่วางทาบอยู่บนแผงอกกว้างกำกิโมโนสีดำเบาๆ

 

“ข้าก็บอกแล้วไงว่าจะกำจัดพวกภูตผีปีศาจให้”   แต่ใบหน้าเย็นชาก็ตอบเสียงแข็งกลับมาอย่างเอาแต่ใจ

 

“แต่ถ้าอาณาเขตยังมีรูอยู่แบบนี้ ภูตผีอาจจะเข้ามาอีกก็ได้นี่ครับ”    เพราะข้าฆ่าภูตผีได้ แต่ซ่อมแซมอาณาเขตพวกนี้แทนไม่ได้ เขตแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จำเป็นที่จะต้องใช้พลังที่บริสุทธิ์ของนักบวชเท่านั้นในการรักษาซ่อมแซม

 

“ก็ให้มันโผล่หัวเข้ามาสิ ข้าจะฆ่ามันเอง”

 

“คุณไม่ได้อยู่ตลอดเสียหน่อย ถ้าภูตผีเข้ามา คนในศาลเจ้าอาจจะเป็นอันตรายได้หากไม่มีเขตแดนศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง”    ถึงตอนนี้จะมีคนเหลืออยู่ไม่ถึงสิบคนแล้วก็เถอะนะ

 

“ก็ไล่คนพวกนั้นออกไปให้หมดสิ”    คุณยักษ์ยังไม่ยอม

 

“จะทำแบบนั้นได้ยังไงละครับ”    ใบหน้ามนได้แต่หัวเราะเบาๆให้กับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย ฝ่ามือใหญ่ๆที่กอดแผ่นหลังของเขาอย่างหวงแหนนี้ทำให้รู้สึกดีมากทีเดียว

 

“ข้าไม่สน คนพวกนั้นไม่ใช่ของของข้า ข้าสนใจแค่เจ้า  แค่เจ้าเพียงเท่านั้น  เพราะเจ้าเป็นของข้า”   ความร้อนผ่าวลุกลามขึ้นใบหน้า ตั้งแต่เกิดมาเขาเพียรเสียสละเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่นมาโดยตลอด

 

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนทำเพื่อเขา สนใจแต่เขาเพียงคนเดียว

 

แล้วมันผิดตรงไหนหากเขาจะมอบหัวใจให้ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นยักษ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันก็ตาม

 

“ฮะฮะ ทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ย...”   เสียงนุ่มเอ่ยหยอกเย้า

 

“ข้าไม่ใช่คน แต่ข้าเป็นยักษ์”   และอีกฝ่ายก็ตอบหน้าตาย

 

“กลับไปนอนได้แล้ว”     ไม่ว่าเปล่าท่อนแขนแข็งแรงยังยกลำตัวบางขึ้นพาดบ่าแล้วก้าวเดินหน้าตาเฉย

 

“อ๊ะ? ปล่อยผมลงเถอะครับ ผมเดินเองได้”   คนบนบ่าดิ้นเบาๆ

 

“ให้เจ้าเดินเองกว่าจะได้นอนคงพรุ่งนี้เช้า”    ร่างสูงใหญ่ยังคงเดินต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้านต่อแรงต้านที่เบาหวิวนั่น

 

“แล้วมันเป็นเพราะใครกันเล่า...”

 

“เพราะข้าไง”

 

คงจะเป็นภาพที่แสนแปลกประหลาดเมื่อยักษ์อุ้มนักบวชเดินอยู่ในศาลเจ้าทั้งแบบนั้น 

 

แต่ศาลเจ้าที่เคยคึกคักกลับร้างไร้ผู้คนจนเป็นเรื่องยากเสียแล้วที่ใครจะได้มาเห็นภาพแบบนี้  จากเคยเป็นสถานที่ที่มีแต่นักบวชเดินกันขวั่กไขว่ ในยามนี้กลับไม่มีใครสวนมาสักคน ทั้งระเบียงทางเดินทั้งลานกว้างต่างว่างโล่งไปหมด...

 

 

และเมื่อร่างโปร่งบางถูกส่งเข้าไปในห้องนอนได้ กรงสีดำขนาดใหญ่ก็ถูกสร้างมาครอบรอบๆฟูกนอนเอาไว้ทันที!

 

“เอ๊ะ? นี่มันอะไรกันครับ?”   มือบางกำลูกกรงซึ่งสร้างมาจากควันม่านพลังสีดำก่อนจะทำหน้าเหรอหรามองออกมาเหมือนกระรอกตัวน้อยๆที่เพิ่งถูกจับได้

 

“ข้าจะขังเจ้าไว้ นอนซะ”    แต่ร่างสูงสง่ากลับยืนกอดอกอยู่ที่หน้าประตูห้องอย่างไม่ยี่หระกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

 

ใบหน้ามนหรี่ตามองอย่างดื้อดึง ยังมีรูโหว่บนอาณาเขตอีกหลายจุดที่ยังไม่ได้ซ่อมเลยนะ แต่ก็ยอมกลับไปล้มตัวลงนอนห่มผ้าทั้งหน้ามุ่ยๆแบบนั้น

 

ดูทำเข้าสิ ข้าทำเพื่อตัวเองเสียที่ไหน ทั้งหมดก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น

 

เพราะข้าไม่อาจนั่งเฝ้าเจ้าอยู่ตรงนี้ทั้งวันได้...ข้าเอง...ก็มีเรื่องที่ต้องไปทำเช่นกัน...

 

ฝ่าเท้าเหยียบย่างไปบนพื้นระเบียงทางเดินที่เดิม...แต่บรรยากาศมันค่อยๆเปลี่ยนไป จากที่เคยรายล้อมด้วยต้นไม้สีเขียวสดใสก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นระเบียงไม้ที่ลอยอยู่ในความมืด...

 

ราวกับมิติมันได้เปลี่ยนไป...

 

เพราะวิธีปลดพันธนาการของยักษ์...ย่อมต้องไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์อยู่แล้ว...

 

 

 

 

 

 

 

และเมื่ออสุราที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้ากลับมาอีกที...

 

ฟูจิวาระ ชูถึงได้รู้ว่านารุมิยะ มินาโตะนั้นดื้อกว่าที่คิด!

 

กรงสีดำถูกตัดเป็นช่องพอให้ตัวเล็กๆนั่นรอดออกไปได้...เจ้าเด็กนั่นคงใช้พลังของตนปลดผนึกกรงอาคมของข้าออกจนได้สินะ ก็สมกับที่เป็นนักบวชที่เก่งกาจที่สุดในยุคนี้แล้วละ

 

แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชม!

 

ดวงตาสีม่วงตวัดมองไปรอบๆก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก จะหนีออกไปอีกกี่รอบข้าก็จะจับเจ้ากลับมาขังไว้ดังเดิมจนได้นั่นแหละ

 

และคราวนี้ข้าไม่มัวตามหาให้เสียเวลา เพราะเพียงแค่หงายยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา

 

สายลมก็โหมกระหน่ำไปทั่วทั้งศาลเจ้าทันที!

 

“เอ๊ะ? เอ๋??!!    ร่างโปร่งบางถูกลมหิ้วลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า ก่อนที่จะถูกลมจากฝ่ามืออีกข้างของข้าดูดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

 

ปึง!

 

แขนบางถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ ลำตัวโปร่งถูกเหวี่ยงจนแผ่นหลังชนกับผนัง!

 

ปัง!

 

ลมที่พัดซู่ราวกับพายุเข้าหยุดลงในชั่วพริบตา สองมือตบลงบนกำแพงเสียงดังสนั่น สองแขนแข็งแกร่งกางกั้นกักขังร่างโปร่งบางเอาไว้ข้างใน ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีเท่านั้น

 

ใบหน้ามนได้แต่เงยมองอย่างตกใจ ต่างจากใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มมองลงมา...จ้องมองใบหน้าเลิ่กลั่กนั่นไม่วางตา

 

“เจ้าช่างดื้อดึงนัก”    คราวนี้คำพูดนั้นกลับไม่ได้เจือความโกรธเอาไว้ แต่กลับดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ?

 

“ก็ได้...คราวนี้ข้าไม่ขังเจ้าไว้ในเขตอาคมแล้ว เพราะข้ารู้ว่าเจ้ายังมีแรงเหลือพอจะแก้มันได้”  

 

“...เอ่อ...ถ้างั้น...จะขังผมไว้ที่ไหนเหรอครับ? กรงจริงๆงั้นเหรอ? หรือว่าคุก...”   ดวงตากลมโตเหลือบมองสองแขนที่กางกั้นตัวเองอยู่ก่อนจะเริ่มเลิ่กลั่ก...ไม่น่า...ไม่น่าใช่น่า...

 

 

“ก็ขังเจ้าไว้ในอ้อมแขนของข้านี่แหละ ดูซิว่าเจ้ายังจะหนีออกไปได้อีกไหม?”

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be Con.

 

ลงไปดิ้นแป๊บ แอร๊ยยย คุมยักษ์แกไม่อ่อนโยนเลยจริงๆ >////<

 

อห. รู้เลยว่าไม่ได้แต่งฟิคยาวมานาน กว่าจะสับโครงเรื่องให้พอใจตัวเองได้นี่ใช้เวลานานมาก555 ถ้ามันเร็วไปมึนงงยังไงก็ขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ แง๊

 

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทเช่นเคยนะค้า แล้วเจอกันตอนหน้าน้า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น