Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 04
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
กล่องไม้สีเข้มใบหนึ่งถูกนักบวชชั้นผู้น้อยหอบอย่างรีบเร่งเข้าไปยังส่วนลึกของศาลเจ้าที่อยู่ในป่า
ถุงเท้าสีขาวหลายคู่เหยียบย่างไปบนระเบียงทางเดินด้วยความรีบร้อนจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง
จนในที่สุดก็มาถึงเรือนไม้หลังหนึ่งซึ่งตั้งอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางป่า
ไอปีศาจรุนแรงมากในบริเวณนี้
ราวกับเป็นที่อยู่ไม่ก็สุสานของสิ่งชั่วร้ายก็ไม่ปาน
“มาแล้วเหรอครับ?
พาเข้ามาสิ” เสียงนุ่มดังออกมาจากข้างใน
บานประตูไม้ถูกเปิดไว้ทั้งหมดจนทั้งอาคารกลายเป็นศาลาโล่งๆ
มองเห็นร่างโปร่งบางในชุดฮากามะของนักบวชนั่งคุกเข่าอ่านคัมภีย์ต่อหน้ารูปเคารพเทพเจ้ารออยู่ข้างใน
วันนี้เป็นการปัดเป่าที่ทำเฉพาะคนในเขาจึงไม่ต้องแต่งชุดพิธีการเต็มยศ
ร่างโปร่งบางหันกลับมาเมื่อนักบวชชั้นผู้น้อยวางกล่องไม้ลงตรงหน้า
ฝ่ามือบางค่อยๆเลื่อนฝาเปิดออก
ตุ๊กตาญี่ปุ่นตัวหนึ่งวางอยู่ข้างใน...
มันถูกส่งต่อกันมาหลายวัดหลายศาลเจ้าแล้วเพราะไม่มีใครปัดเป่ามันได้
มือบางวางทาบลงบนใบหน้าน่ารักของมันอย่างเห็นใจ
ทว่า...มันกลับไม่ใช่ตุ๊กตาที่ถูกทิ้งขว้างจนกลายเป็นคำสาปเหมือนทุกที
...แต่มัน...เป็นแมวตัวหนึ่ง...
เขาละออกมามองมันให้แน่ใจ...มันเป็นวิญญาณแมวที่สิงสู่อยู่ในตุ๊กตาจริงๆ
เขารับรู้ได้ว่ามันไม่ได้ตายไปด้วยความเคียดแค้น
แต่ตายด้วยความรักและความผูกพัน
มันจึงไม่ยอมทิ้งเจ้าของของมันไปไหนและเข้าไปสิงอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้
จนเจ้าของมันสิ้นอายุขัยและตุ๊กตาตัวนี้คงจะถูกเปลี่ยนมือเปลี่ยนเจ้าของไปมากมาย
จากวิญญาณแมวน้อยผู้ซื่อสัตย์จึงกลายเป็นปีศาจเพราะไร้สิ่งยึดเหนี่ยว
แล้วพอมันเที่ยวออกอาละวาดจึงทำให้ไอชั่วร้ายแทรกซึมเข้าสู่แก่นวิญญาณของมัน
“ท่านมินาโตะ...ไหวไหมครับ?
หน้าท่านซีดมากเลยนะครับ”
นักบวชผู้ช่วยถึงกับถามออกมาเมื่อเห็นท่าทีอ่อนแรงของเขา
“ไม่เป็นไรครับ
ผมจะลองดูแล้วกันครับ เตรียมทำพิธีกันเถอะ”
ใบหน้าใสสะอาดตอบพร้อมรอยยิ้มเพื่อคลายกังวลให้กับคนรอบๆ
ดื้อ
ทำไมถึงดื้อดึงแบบนั้นกัน?
ใบหน้าเฉยชาเฝ้ามองลงมาจากบนกิ่งหนึ่งของต้นโมมิจิซึ่งขึ้นอยู่รอบๆอาคารไม้หลังนั้น
เข่ายกชันก่อนจะเกยคางลงไป...ข้าเฝ้ามองเด็กนั่นมาร่วมเดือน
ไม่มีวันไหนที่นารุมิยะ มินาโตะจะไม่ทำเพื่อคนอื่น
ขนาดร่างกายตัวเองก็ย่ำแย่ปานนั้น
ข้าเคยลองสูบพลังชีวิตของเด็กนั่นออกมาจนมั่นใจว่าจะลุกไปไหนไม่ได้แน่ๆ ทว่า
เจ้าเด็กตาสีเขียวก็ยังล้มลุกคลุกคลานเพื่อออกไปช่วยเหลือคนอื่นจนได้
ข้าเป็นยักษ์
ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำเพื่อคนอื่นขนาดนั้น
แล้วมีใคร...ทำเพื่อนารุมิยะ
มินาโตะบ้างหรือเปล่า?
เพราะถ้าเป็นข้า
ข้าจะไม่ทำเพื่อคนทั้งโลก แต่จะทำเพื่อคนเพียงคนเดียวเท่านั้น
คนที่สำคัญต่อข้าเพียงคนเดียวก็พอ
ดวงตาสีม่วงทอดมองร่างโปร่งบางที่กำลังร่ายบทสวดลงไปบนตุ๊กตา...คนดีน่ะข้าเคยเจอ
แต่คนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไปจนถึงจิตวิญญาณเช่นเจ้า ข้าไม่เคยพบพานมาก่อน
“แง๊วววว”
ปีศาจแมวกระโจนออกมาจากตุ๊กตาญี่ปุ่นตัวนั้น
ขนทั้งตัวชูชันและหางฟูของมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าไม่เต็มใจจะจากไปและคิดจะต่อสู้จนถึงที่สุด
มันขู่ใส่ร่างโปร่งบางเสียงดัง
ใบหน้ามนยังร่ายคาถาหวังปลดปล่อยมันจากโซ่ที่ตรึงไว้ในชาตินี้ให้
แต่เจ้าแมวปีศาจก็ยังกระโจนใส่อย่างดื้อดึง
มือบางเรียกกระพรวนเทพออกมา
มันโปร่งใสเห็นเป็นเงาวูบไหวของปลอกคอเพียงเท่านั้น มินาโตะคงคิดจะใส่มันเพื่อนำทางเจ้าแมวนั่นไปยังปรโลก
ทว่า
ร่างกายที่ซวนเซก็ทำให้พิธีไม่ได้ราบรื่นดังใจ
แมวปีศาจสบโอกาสที่ร่างโปร่งบางหน้ามืดไปวูบหนึ่งพุ่งเข้าใส่หมายจะโจมตี
มือใหญ่ของคนที่นั่งมองอยู่บนต้นไม้จึงยกขึ้นมา
...ควันสีดำลอยอยู่เหนือฝ่ามือ...ก่อนจะพุ่งออกไป!
“แง๊วววว!!”
เสียงแมวปีศาจร้องลั่นอย่างตกใจก่อนจะรีบกระโดดหลบไปอยู่หลังแท่นพิธีด้วยตัวสั่นงันงก...
ไม่มีใครรู้ว่าจู่ๆทำไมมันเป็นแบบนั้น...
เพราะไม่มีใครทันมองเห็นควันดำทะมึนที่ปรากฏกายอย่างรวดเร็วก่อนจะสลายหายไป
มีเพียงปีศาจแมวที่มองเห็นและรับรู้ได้อย่างชัดเจน...ถึงดวงตาถมึงทึงและรอยยิ้มแสยะของหน้ากากยักษ์ขนาดใหญ่ซึ่งลอยอยู่เบื้องหลังนักบวชร่างบาง
ซ้ำพลังดำมืดอันมหาศาลกับจิตสังหารก็ต่างชั้นกันจนน่าจะสามารถบดขยี้ตนให้แหลกเละได้ง่ายๆ
มันจึงรีบหนีไป
“เจ้าแมวโง่ ข้าทำร้ายเขาได้คนเดียวเท่านั้น
เจ้าไม่มีสิทธิ์”
เสียงนี้ทำให้เจ้าแมวปีศาจหูลู่หางตกตัวหดจนเท่าแมวบ้านทั่วไป
นารุมิยะ มินาโตะจึงใส่ปลอกคอเทพให้มันได้ง่ายๆ การปัดเป่าจึงเป็นอันเสร็จสิ้น
เขายังเฝ้ามองร่างโปร่งบางที่นำตุ๊กตาตัวนั้นไปฝัง
ที่แห่งนี้คือสุสานของสิ่งของที่ปีศาจและวิญญาณเคยสิงสู่อยู่จริงๆ
เพราะหลังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายซึ่งถูกฝังอยู่ในดิน
ดวงตาสีม่วงจับจ้องไปที่ใบหน้ามนซึ่งน่ารักไม่ต่างจากตุ๊กตาที่ตัวเองกำลังฝัง
ความรู้สึกหวงแหนและยึดติดแบบนี้มันคืออะไรกันนะ?
ต่อให้ข้าจะอยู่มาเป็นพันปีแล้วแต่ข้ากลับไม่เคยรู้จักกับความรู้สึกแบบนี้มาก่อน
ข้าต้องชิงชังมนุษย์เพราะหน้าที่ของข้าคือกำจัดพวกมัน
ข้าไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมข้าต้องทำแบบนั้น
จนกระทั่งได้เจอเจ้า...
ข้าเริ่มสงสัย...
ข้าจะหยุดความตายของเจ้าได้หรือไม่?
ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าได้หรือเปล่า?
ข้าเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองที่เป็นยักษ์
เพราะเจ้า...
คืนนี้
ฟูจิวาระ ชู สวมกิโมโนสีขาวที่ปักรูปรวงข้าวสีทอง...
ถึงฮาโอริที่คลุมไหล่จะยังเป็นสีม่วงครามตัวเดิมแต่ภาพลักษณ์กลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ผู้ชายคนนี้สง่างามราวกับมาจากชนชั้นสูงเลยก็ว่าได้
ถ้าไม่มีเขาสีดำบนหน้าผากทั้งสองข้างก็คงจะดูไม่รู้เลยสักนิดว่าเป็นยักษ์
“สวัสดีครับ...”
ใบหน้ามนเอ่ยทักทายและร่างสูงสง่าก็หายจากกิ่งซากุระลงมานั่งบนชานไม้ข้างๆเขาโดยไม่ต้องเชื้อเชิญกันแล้ว
เพราะเป็นเวลาอาทิตย์กว่าๆที่เขารับรู้ถึงการมีตัวตนของอีกฝ่าย
พอสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเขาก็หอบร่างกายอันอ่อนล้าออกมานั่งอยู่ตรงนี้จนเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตากันดี
“ผมควรจะไปยกชามาให้แท้ๆ...แต่ผมไม่มีแรงเลย...ขอโทษด้วยนะครับ” เขาเอ่ยขอโทษอย่างคนมารยาทดี
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ไม่ถือโทษโกรธเคืองไม่เกลียดเจ้ายักษ์ที่ฆ่าคนเป็นผักปลาตนนี้
แถมคนที่ต้องขอโทษก็ควรจะเป็นอีกฝ่ายที่ทำให้เรี่ยวแรงของเขาหายไปหมด
แต่ร่างสูงสง่าก็นั่งทำหน้าเฉยๆราวกับไม่ได้ใส่ใจพิธีรีตองของพวกมนุษย์
ไม่ได้สนใจว่าเขาจะต้องไปยกน้ำชามาให้หรือไม่
ไม่รู้ไม่ชี้ว่าตนนั่นแหละที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ใบหน้ามนจึงหรี่ตามอง...ส่ายหน้า...ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง
เคืองไปก็คงไม่มีประโยชน์สินะ
ในเมื่ออีกฝ่ายน่าจะเป็นยักษ์ที่มีอายุนับพันปี ดูจากความไม่สนใจไยดีกับโลกใบนี้
อันที่จริง...รอบตัวเขาตั้งแต่เด็กจนโตก็มีแต่ภูติผีปีศาจวิญญาณคำสาปเพียงแค่นั้น
มีทั้งที่มาร้ายและมาดี เขาจึงคลุกคลีอยู่กับพวกมันจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวไปแล้ว
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กลัวฟูจิวาระ
ชูเลย
ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นคนทำร้ายเขาจนอ่อนแอลงขนาดนี้ก็ตาม
ไม่รู้ว่าเพราะเป็นคนใจอ่อนใจดีมาแต่ไหนแต่ไรหรือยังไง
แต่เขากลับคิดว่าสิ่งที่ยักษ์ตนนี้ทำไปมันอาจจะมีเหตุผลอะไรแฝงอยู่
ไม่เช่นนั้นฟูจิวาระ
ชูคงไม่สวมหน้ากากยักษ์ตอนที่ทำร้ายเขา ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั่นกำลังทำสีหน้ายังไงอยู่?
ทำไมต้องปิดบังไว้? หากโกรธเกรี้ยวสาแก่ใจอยู่แล้วก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใส่หน้ากากแสดงอารมณ์แทนเลย
“ผมขอถามได้ไหมครับ...สิ่งที่อยู่บนหลังของผมคือเครื่องหมายของท่านใช่ไหม?” หลังจากนั่งเงียบกันมานานสองนาน
เสียงนุ่มก็ถามออกไป
ใบหน้าหล่อเหลาหันมาปรายตามอง...แล้วจู่ๆนิ้วยาวก็เกี่ยวด้านหลังคอเสื้อกิโมโนของเขา...ก่อนจะดึงลงมา!
ใบหน้ามนแดงแปร๊ดเพราะไม่ทันตั้งตัว
หัวใจดวงน้อยก็เต้นโครมครามอย่างห้ามไม่ทัน เขาเป็นนักบวชชั้นสูงและร่างกายของเขาก็ถือเป็นเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ใครก็ไม่อาจล่วงล้ำสัมผัสหรือแม้กระทั่งเคยเห็น
ขนาดจะอาบน้ำแต่ละวันยังต้องมีพิธีชำระล้างเลย แต่เจ้ายักษ์นี่กลับ...
ดวงตาเฉยชาทอดมองแผ่นหลังบอบบางที่มีรอยอักขระสีดำสนิทอยู่เต็มแผ่นหลัง
ไม่รู้ว่าเพราะพลังอันบริสุทธิ์หรือเพราะใบหูที่แดงระเรื่อ
ไม่รู้ว่าเพราะแผ่นหลังเล็กบางที่ถูกตีตราด้วยเครื่องหมายของข้าหรือเพราะใบหน้าที่ไม่กล้าสบตา...จู่ๆก็รู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาในหัวใจที่ไม่น่าจะมีของข้า...
ปลายนิ้วยาวจึงเผลอแตะสัมผัสลงไปบนอักขระก่อนจะลูบลงมาตามแถวของมันเบาๆ
“ชั่วนิจนิรันดร์...มิอาจปลดพันธนาการได้...” เสียงทุ้มเอ่ยคำอ่านของอักขระตามที่ปลายนิ้วลากผ่าน
“มิใช่ของท้องฟ้า
มิใช่ของพสุธา...แต่เป็นของข้า...”
ดวงตาสีม่วงทอดมองใบหน้ามนที่ก้มงุดอย่างรอดูปฏิกิริยาที่น่าพึงพอใจ
อักขระพวกนี้เขียนด้วยคันจิและภาษาญี่ปุ่นโบราณซึ่งในปัจจุบันมีน้อยคนที่จะอ่านได้
แต่กับคนที่ศึกษาทางด้านนี้มาจนแม้แต่คาถาต้องห้ามก็ยังร่ายได้...อักขระที่อยู่บนหลังของตัวเอง
นารุมิยะ มินาโตะย่อมต้องอ่านมันมาเองบ้างแล้ว
แต่ตอนที่อ่านเองกับตอนที่ได้ยินจากปากของเจ้าของอักขระกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ยามเมื่อเสียงทุ้มพูดออกมา...มันกลับทรงพลังกว่ามาก
ทั่วทั้งร่างเหมือนถูกรัดพันด้วยเชือกในมือใหญ่ซ้ำไปซ้ำมา...
“......” ริมฝีปากสีสดเม้มแน่นเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสที่อยู่บนแผ่นหลัง
ความร้อนจากทั้งร่างกายกำลังพุ่งมาอยู่บนใบหน้าเขาไม่หยุดหย่อน ตอนนี้จึงแดงไปถึงลำคอแล้ว...
ความรู้สึกปั่นป่วนจนหายใจไม่ทั่วท้องนี้มันคืออะไรกัน?
มันไม่ใช่ความหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาทำร้าย แล้วมันคืออะไรกันนะ?
ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงขนาดนี้?
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
ปลายนิ้วยังคงลากลงไปถึงบั้นเอวก่อนจะหยุดลงเพราะร่างโปร่งบางสั่นสะท้านจนรู้สึกได้
“อ๊ะ?” เสียงอุทานแปลกๆที่ดังออกมาทำให้ต่างฝ่ายต่างผละออกจากกัน
เหมือนต่างก็หลุดออกมาจากภวังค์
มือบางรีบรวบคอเสื้อกิโมโนขึ้นก่อนจะสวมใส่ให้เรียบร้อยอย่างเขินๆ ใบหน้าหล่อเหลาก็เมินไปพูดถึงอักขระอะไรไป
“ไม่เคยมีใครมีชีวิตรอดจนมันกลายเป็นอักขระสีดำแบบนี้ได้
ส่วนใหญ่ก็จะตายตั้งแต่มันผลิบานเป็นดอกฟูจิ”
“เป็นดอกฟูจิจริงๆด้วยสินะ
ฮะฮะ” ใบหน้ามนหัวเราะเบาๆ
“มันคือเครื่องหมายของยักษ์
ส่วนดอกฟูจิคือเครื่องหมายของข้า”
เสียงทุ้มพูดต่อไปและเขาก็ตั้งใจฟัง
เพราะหาไม่ง่ายที่จะมีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกับยักษ์ที่นับเป็นปลายยอดพีระมิดของอสูรทั้งหมด
ขนาดในตำรายักษ์ยังเป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่ค่อยมีคนล่วงรู้ข้อมูลของมัน
การเผชิญหน้าจนได้รู้เรื่องของมันนั้นยากมากจนกล่าวกันได้ว่าในหนึ่งชีวิตนักบวชจะเจอยักษ์แค่ครั้งเดียวเท่านั้น...และนั่นคือวันตายของพวกเขา
"หากยักษ์ทำเครื่องหมายแล้ว…จะไม่สามารถเอาออกมาจากตัวคนคนนั้นได้"
"และเครื่องหมายก็มักจะติดตัวคนที่ก้าวล้ำเข้ามาในอาณาเขตของข้าอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้"
"ข้า…ไม่ได้คิดจะฆ่าเด็กพวกนั้น...แต่เจ้าต้องรู้ว่าเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับอสุราแห่งท้องนภา
ข้าคือยักษ์ที่แม้แต่ในหมู่ยักษ์ยังกลัวเกรง
มนุษย์ตัวจ้อยเช่นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพวกนั้น
แม้แต่การตวัดนิ้วเพียงครั้งเดียวของข้าพวกมันก็หาได้รั้งลมหายใจไว้ได้ไม่" ดวงตากลมโตถึงกับเบิกกว้างกับสิ่งที่เพิ่งเคยได้ยิน
อีกฝ่าย...ไม่ได้อยากจะฆ่าคนอย่างงั้นเหรอ? งั้นที่เขาเดาว่าอาจจะทำเพราะเป็นหน้าที่ก็อาจจะถูกก็ได้?
แล้วกับเขาล่ะ?
ที่คอยกัดกินพลังชีวิตของเขาอยู่ทุกคืนนี้เป็นหน้าที่ด้วยรึเปล่า?
ทำเพราะมันเป็นหน้าที่ของยักษ์? แล้วมีทางไหนที่จะขัดขืนต่อหน้าที่นั้นได้บ้างไหม?
"แต่เจ้าไม่เหมือนกับเด็กพวกนั้น พลังอันบริสุทธิ์ของเจ้าได้ปกป้องตัวเจ้าเอาไว้" เขาเอียงหน้าอย่างฉงนกับสิ่งที่เสียงทุ้มพูดออกมา...พลังอันบริสุทธิ์งั้นเหรอ?
ในสายตาของพวกอสูรมองเห็นพลังของเขาเป็นแบบนั้นเหรอ? เขาไม่เคยรู้เลย
ที่ผ่านมาเขาเข้าใจว่าเป็นพลังของเทพเจ้าที่ประทานให้เขาหยิบยืมมาใช้มาโดยตลอด
"เครื่องหมายของข้าจะอยู่บนตัวเจ้าไปจนกว่าเจ้าจะตาย
แต่เจ้าจะไม่ได้ตายด้วยฝีมือข้าแน่นอน"
“เอ๊ะ?” ก็ไม่แปลกที่เขาจะทำหน้าสงสัยออกไป
อีกฝ่ายจึงอธิบายต่อไปอย่างใจเย็น
“ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้
เจ้ามีพลังของตัวเองปกป้องอยู่ แต่เจ้าจะอ่อนแอลงเรื่อยๆเพราะโดนข้ากัดกิน” หมายความว่าเขาจะไม่ตาย
แต่เรี่ยวแรงของเขาจะถดถอยลงเรื่อยๆเพราะเครื่องหมายของอีกฝ่าย
เพราะฉะนั้นถ้าเขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและหาวิธีเพิ่มพลังงานให้กับตัวเองได้
เขาอาจจะกลับมาแข็งแรงดังเดิมก็ได้?
“ทั้งๆที่หากเจ้ายอมตาย
มันอาจจะง่ายกว่านี้แท้ๆ” ฟูจิวาระ ชูหยอกเย้าเขาหน้าตาย
“เสียใจด้วยนะครับ...ผม...ยังมีอะไรต้องทำอีกมากมาย
ผมไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆหรอก”
เขายักไหล่และไม่กลัวที่จะหยอกล้อกับอีกฝ่าย
“เจ้าช่างแปลกคน” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มบางๆ
ก็คงจะแปลกจริงๆนั่นแหละที่เขายังมานั่งคุยอย่างสบายใจกับคนที่กัดกินเขาอยู่ได้แบบนี้
ต่อให้มีนักบวชอยู่หลายสิบคนแต่คนที่จะปัดเป่าได้ก็มีไม่มากนัก
แล้วยิ่งเป็นกรณียากๆอย่างการโดนวิญญาณแค้นตามรังควาญยิ่งเหลือเพียงหัวหน้าหอพิธีกรรมเท่านั้นที่ทำได้
เพราะฉะนั้นต่อให้ยืนยังแทบจะไม่ไหว
ร่างโปร่งบางก็ยังจำต้องสวมใส่ชุดเฮอันแบบพิธีการสีขาวแล้วมายังห้องปัดเป่าต่อไป
มือบางกางสัมผัสกับพลังงานชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากใบหน้าของชายหนุ่มวัยทำงานคนหนึ่งซึ่งตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้
เขาสัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นชิงชังที่หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย
ความมุ่งร้ายดูเหมือนจะพุ่งไปที่ชายคนนี้เสียมากกว่าจะเป็นแค่คนที่บังเอิญผ่านมาเจอเฉยๆ
เขาสัมผัสได้...ว่าวิญญาณแค้นตนนี้เป็นผู้หญิง
“คุณ...เคยได้ไปทำให้ผู้หญิงสักคนโกรธแค้นจนแม้แต่ตายไปแล้วก็ยังแค้นคุณไม่เลิกบ้างไหมครับ?” เสียงนุ่มถามออกไปอย่างต้องการจะขอข้อมูล เพราะการปัดเป่าขับไล่จะยากหรือง่ายก็ขึ้นอยู่กับว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับวิญญาณตนนั้นมากน้อยแค่ไหนด้วย
ถ้าไปทำให้โกรธมากกว่าเดิมเรื่องก็อาจจะบานปลาย ในทางตรงกันข้าม
ถ้าทำให้อีกฝ่ายพอใจอาจจะยอมจากไปง่ายๆเลยก็ได้
“....ไม่นี่ครับ
ผมจะไปรู้ได้ไงว่าไปทำให้ผู้หญิงที่ไหนไม่พอใจ วันๆผมก็ทำแต่งาน ไม่ได้สนใจผู้หญิงพวกนั้นเลย” ใบหน้ามนมองอีกฝ่ายอย่างนิ่งคิด
ผู้ชายคนนี้นับเป็นคนหน้าตาดี อาจจะเป็นเรื่องเชิงชู้สาวก็เป็นได้
ถึงปากจะบอกว่าไม่รู้แต่สายตากับหลุกหลิกอย่างมีพิรุธ
หรือจะไปหักอกใครเข้า?
แล้วผีสาวที่ตายด้วยความโกรธแค้นคนนี้จึงตามติดไม่ไปไหน เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยๆกับวิญญาณแค้นพวกนี้เพราะเขาก็เคยปัดเป่ามานับครั้งไม่ถ้วน
ร่างโปร่งบางยันตัวเองลุกขึ้นก่อนจะเซน้อยๆจนนักบวชผู้ช่วยต้องเข้ามาช่วยพยุง...รู้สึกหน้ามืดจนต้องยืนสูดหายใจอยู่พักใหญ่
เขาก็รู้ว่ามันฝืนเกินไปที่จะทำพิธีปัดเป่าให้กับวิญญาณแค้นระดับนี้
แต่เป็นเพราะศาลเจ้าและวัดที่อื่นต่างก็ทำไม่ได้จึงส่งมาที่นี่
ถ้าเขายังปฏิเสธอีกผู้ชายคนนี้คงตายแน่
ดวงตากลมโตเหลือบมองเฝือกที่แขน
ขา และลำคอซึ่งชายคนนั้นใส่อยู่...วิญญาณแค้นตนนี้ต้องการจะเอาชีวิตอีกฝ่ายเป็นแน่
แต่ก็เอาเถอะ...หากเทียบกับยักษ์ของเขา
เจ้าผีตนนี้ก็นับว่าเด็กน้อยแล้ว
ดวงตาสีมรกตปิดลงพลางตั้งสมาธิ
ริมฝีปากเริ่มท่องบทสวดอัญเชิญเพื่อเชิญวิญญาณหญิงสาวออกมา
บทแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น...บทที่สองเริ่มมีเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาน...บทที่สามเสียงเริ่มเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งเคียดแค้น...และพอเริ่มขึ้นบทที่สี่
“ชั้นจะฆ่าแก...ชั้นจะฆ่าแก...ชั้นจะฆ่าแก!!!!”
เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของหญิงสาวคนหนึ่ง
ร่างที่สูงยาวผิดรูปนั้นอยู่ในชุดสีขาวขาดวิ่นซึ่งถูกย้อมไปด้วยเลือดเกรอะกรัง
ผมสีดำยาวนั้นรุงรังแต่ก็ปิดสภาพหัวที่เละไปครึ่งซีกไม่ได้
ใบหน้าที่เหลือกตาถลึงดูน่าสยดสยองจนคนรอบๆที่ต่างก็มองเห็นถึงกับรีบหันหน้าหนี
มือของหญิงสาวบีบอยู่ที่ลำคอของชายหนุ่มอย่างที่ดูก็รู้ว่าการเจรจาคงไม่เป็นผลแน่ๆ
“เคโกะ?
นั่นเคโกะเหรอ?”
แต่แล้วก็มีเสียงเรียกเสียงหนึ่งแว่วออกมาจนแม้แต่ผีสาวยังต้องหันไปมอง
เป็นเสียงของผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
ชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่พาผู้ถูกรังควาญมาที่นี่และอยู่เป็นเพื่อนมาตลอด ตอนแรกเขาเข้าใจว่าเป็นญาติหรือไม่ก็เพื่อนร่วมงาน
“อะ
อะ อะ...กรี๊ดดดดดด”
วิญญาณสาวเมื่อมองเห็นผู้ชายคนนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป จากดีใจกลับค่อยๆบูดเบี้ยวแล้วกลายเป็นกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
พลังอาฆาตยิ่งรุนแรงเป็นเท่าทวีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
จากที่ตอนแรกเขาคิดว่าคงปัดเป่าได้ไม่ยากแต่ตอนนี้เริ่มเกินจะควบคุมแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
หรือผู้ชายที่อยู่ข้างๆคนนั้นจะเป็นชนวนของเรื่องนี้? เพราะวิญญาณสาวยิ่งเห็นก็ยิ่งคลั่ง
“เคโกะ!
ขอร้องละ ไปสู่สุคติเถอะนะ อย่ามาทำร้ายพวกเราเลย
ยังไงเรื่องระหว่างฉันกับเธอก็จบไปแล้ว เธอให้อภัยพวกเราเถอะนะ ฉันขอร้อง”
ชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนถลาเข้าไปขวางกั้นระหว่างวิญญาณสาวกับผู้ถูกรังควาญอย่างไม่กลัวเกรง
ทั้งสีหน้าและแววตากำลังอ้อนวอนขอร้องอย่างสุดกำลัง
“กรี๊ดดด
ชั้นจะฆ่ามัน! ชั้นจะฆ่ามัน! มันต้องไปกับชั้น” แต่มือของผีสาวยิ่งกำลำคอของผู้ถูกรังควาญแน่อย่างโกรธแค้น
ไม่ได้การแล้ว
ขืนปล่อยไว้ผู้ถูกรังควาญต้องตายก่อนแน่ๆ
สองมือจึงพนมเข้าหากัน
ริมฝีปากสีระเรื่อเริ่มท่องบทสวดเพื่ออัญเชิญวิญญาณสู่ปรภพโดยการบังคับเพราะวิญญาณสาวคุ้มคลั่งเกินจะควบคุมได้และคงไม่อาจพูดคุยกันด้วยดี
“ชั้นไม่ไป!
ชั้นจะฆ่ามัน! แกอย่ามายุ่ง!” วิญญาณสาวหันควับกลับมาที่เขา
ดวงตาแดงก่ำแทบจะทะลุจากเบ้า ริมฝีปากก็พ่นคำด่าทอสาปแช่งออกมามากมาย
แล้วคำสาปแช่งพวกนั้นก็มีผลโดยตรงต่อคาถาของเขา
หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่เขายังมีพลังเต็มเปี่ยม
คำสาปพวกนี้ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ แต่ตอนนี้ร่างกายเขาไม่พร้อม
พลังอันบริสุทธิ์ที่ค่อยปกป้องคาถาก็เสื่อมถอยอย่างรวดเร็วจนเขาถึงกับกระอักเป็นเลือด!
“แค่ก!” เข่าข้างหนึ่งถึงกับทรุดลงไป
กลิ่นคาวคลุ้งอยู่เต็มปาก เขาเริ่มรู้สึกหน้ามืดแต่ก็ยังฝืนท่องคาถาต่อไป
“แค่กๆๆ”
ริมฝีปากสีระเรื่อยังไอออกมาเป็นเลือดอีกสองสามที
ตอนนี้แม้แต่จะทรงตัวยังทำไม่ได้ สองมือถึงกับต้องยันพื้นเอาไว้
วิญญาณสาวเห็นท่าทีที่ทรุดลงอย่างรวดเร็วของเขาก็ยิ่งได้ใจ
ร่างกายผิดรูปนั่นเตรียมจะพุ่งใส่หมายทำร้ายเขาก่อน
มือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดพุ่งตรงมาที่ลำคอของเขาทันที!
“กรี๊ดดดดด!” แต่แล้วจู่ๆเธอก็กรีดร้องออกมาไม่เป็นภาษา
ตุ้บ...
มือเปื้อนเลือดสองข้างนั้นร่วงลงต่อหน้าต่อตาเขาอย่างไม่รู้ที่มา
วิญญาณสาวถอยร่นด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด
สายตาที่มองตรงไปยังเบื้องหลังของเขานั้นเหมือนกับเหยื่อที่มองเห็นผู้ล่าที่น่าเกรงขามที่สุดยังไงอย่างงั้น
อย่าบอกนะว่า....
ใบหน้ามนค่อยๆหันกลับไปมองที่ด้านหลังของตน
หน้ากากยักษ์ขนาดใหญ่เท่าอาคารหลังหนึ่งได้ลอยอยู่ตรงนั้น
มันแผ่ไออันตรายสีดำออกมารอบๆอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ต่อให้สิ้นคิดแค่ไหนก็รู้ได้ว่านี่คือสิ่งที่ไม่ควรจะแตะต้องเด็ดขาด
“เป็นแค่วิญญาณชั้นต่ำ อย่าริมาแตะต้องของของข้า”
เสียงทรงพลังดังก้องอยู่ทั่วศาลเจ้า
ทั้งคนทั้งผีในที่นี้ต่างตัวแข็งอย่างมิอาจขยับเขยื้อนไปไหนได้
ต่อให้ร่างกายจะสั่นสะท้านด้วยความกลัวก็ตาม
“ชูซัง...”
ใบหน้าอ่อนระโหยโรยแรงมองหน้ากากยักษ์นั่นอย่างรู้สึกอุ่นใจยังไงก็ไม่รู้
ที่ผ่านมาเป็นเพราะว่าเขาเป็นนักบวชที่มีพลังสูงมากจนไม่มีใครเทียบได้
ส่วนใหญ่จึงต้องทำงานคนเดียวเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อคนอื่น
ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆเพียงลำพัง บางครั้งก็แทบเอาชีวิตไม่รอด
เขาไม่เคยได้พึ่งพาใคร
ไม่มีใครคอยช่วยเหลือเพราะไม่มีใครที่มีพลังทัดเทียมพอจะช่วยเขาได้
เขาจึงรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวมาตลอด แต่ตอนนี้...มันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว
“อย่าเข้ามา
อย่าเข้ามา!!” วิญญาณสาวกรีดร้องพร้อมตั้งใจหนีหาย
ปั่กๆๆ!
แต่ลูกธนูอาคมสีดำสามดอกก็ปักตรึงวิญญาณนั้นเอาไว้กับผนังในพริบตา
ควันสีดำพุ่งออกมาจากปากของหน้ากากยักษ์
เจ้าผีคอพับที่ตัวสูงเท่าต้นไม้พุ่งเข้าใส่วิญญาณสาวด้วยรอยยิ้มแสยะถึงหูของมันจนไม่รู้ว่าใครน่าเกลียดน่ากลัวกว่ากัน
“กรี๊ดดดดดดด”
วิญญาณสาวตนนั้นกรีดร้องโหยหวนจนคนรอบๆถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดหู
เสียงกัดกินกร้วมๆฉีกทึ้งวิญญาณที่ถูกตรึงอยู่ทำเอาแม้แต่เขาก็ยังยืนตัวชา
ไม่นานเสียงก็เงียบลงพร้อมกับเลือดที่สาดกระจาย
เศษวิญญาณหล่นเกลื่อนกลาดเละเทะก่อนจะค่อยๆสลายกลายเป็นผุยผง
มันไม่ได้ปัดเป่าแต่มันทำลาย...
เจ้าผีคอพับที่เขาเห็นในฝันทุกคืนนั่นมันโหดเหี้ยมขนาดนี้เลยเหรอ?
อย่างน้อยมันก็ไม่เคยฉีกกระชากร่างกายเขาออกเป็นชิ้นๆแบบนี้
จะมีก็แต่เลียหน้าเลียตา...
พอพูดถึง
เจ้าผีคอพับนั่นก็ตรงดิ่งมาหาเขาทันที ขนาดตัวมันลดลงกว่าครึ่งค่อน
แล้วก่อนที่มันจะหายไป ลิ้นยาวก็แล่บเลียแก้มใสไปหนึ่งที...
ทำไมเขาถึงเริ่มรู้สึกว่ามันเหมือนหมา...
ใบหน้ามนหันไปมองที่ด้านหลัง
หน้ากากยักษ์หายไปแล้วเขาจึงทำได้แค่ยิ้มบางๆ...เอาไว้คืนนี้ค่อยขอบคุณก็แล้วกัน
“ท่านมินาโตะ
เป็นไรไหมครับ?!” นักบวชผู้ช่วยรีบตรงเข้ามาช่วยประคองร่างโปร่งบางที่นั่งกองอยู่กับพื้น
เขาส่ายหน้าเบาๆก่อนจะหันไปมองความเละเทะของลานพิธี
ถึงตอนนี้เศษซากวิญญาณของหญิงสาวคนนั้นจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว
แต่ข้าวของก็ล้มระเนระนาดสมกับความเล่นใหญ่ของยักษ์ของเขาเสียจริงๆ
ดวงตากลมโตเหลือบไปมองผู้ร่วมพิธีที่ยังมีท่าทางหวาดกลัว
น่าจะกลัวยักษ์ของเขามากกว่าวิญญาณแค้นผีสาวอีกก็เป็นได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือสีหน้าเศร้าหมองของผู้ชายที่มาเป็นเพื่อนผู้ถูกรังควาญคนนั้นมากกว่า
เขาดูเสียใจกับสิ่งที่วิญญาณสาวต้องเผชิญมากกว่าผู้ถูกรังควาญเสียอีก?
“คงต้อง...ประชุมเรื่องการรับงานปัดเป่ากันแล้วละครับ” เขาหันไปบอกนักบวชผู้ช่วย
ถึงชูซังจะออกมาช่วยเขาก็ตาม แต่วิญญาณตนนั้นก็ไม่ได้รับการปัดเป่าแต่ถูกทำลายไป
เป็นไปได้เขาก็อยากให้วิญญาณพวกนั้นได้ไปสู่สุคติมากกว่า
เขา...อาจจะต้องของดเว้นงานปัดเป่าชั่วคราว
จนกว่าเขาจะกลับมาแข็งแรงดังเดิม
อาจจะต้องให้วัดหรือศาลเจ้าอื่นทำแทนไปก่อน
“ที่จริงแล้ว...ผู้ชายคนที่ถูกรังควาญไปแย่งแฟนหนุ่มของวิญญาณสาวตนนั้นมาครับ” เสียงนุ่มเล่าให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆฟัง
พวกเขาต่างนั่งมองสวนยามราตรีกันอยู่สองคน ดอกไฮเดรนเยียสีฟ้านับร้อยนับพันส่งบรรยากาศให้ดูลึกลับชวนค้นหาสมเป็นสเน่ห์แห่งต้นฤดูฝนจริงๆ
“ในคืนที่เธอจะไปตามแฟนหนุ่มกลับบ้าน
ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น เธอถูกรถชนตายท่ามกลางความแค้นที่ถูกแย่งคนรักไป
เธอจึงไม่อาจจะไปไหนได้และกลายเป็นวิญญาณแค้นคอยตามรังควาญผู้ชายที่แย่งแฟนเธอ” ทีนี้ก็เข้าใจได้แล้วว่าทำไมเธอถึงได้มีท่าทีอ่อนลงตอนที่เห็นแฟนหนุ่มและคุ้มคลั่งจนควบคุมไม่ได้ตอนที่รู้ว่าเขามากับผู้ชายที่แย่งคนรักของเธอไปและยังอยู่ด้วยกันตลอดแม้กระทั่งเธอตายไปแล้ว
เข้าใจได้ว่าทำไมแฟนหนุ่มของเธอถึงดูเศร้าดูรู้สึกผิดนักตอนที่เธอถูกทำร้ายจนวิญญาณแตกสลาย
“ผิดคาดเลยใช่ไหมครับ?
ตอนแรกผมนึกว่าคนรักของเธอคือผู้ชายที่ถูกรังควาญเสียอีก โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” เขาเพิ่งได้รู้จักคู่รักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
เป็นความแปลกใหม่ที่ในตำราไม่เคยเขียนเอาไว้
“แล้วก็...ขอบคุณนะครับ
ที่ออกมาช่วย...” ดวงตากลมใสช้อนมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงมองตรงไปข้างหน้า
"ถึงข้าจะเอาเครื่องหมายออกจากตัวเจ้าไม่ได้
แต่ข้าก็จะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องของของข้าเช่นกัน"
แล้วจู่ๆใบหน้าราวกับรูปสลักนั่นก็หันมาสบประสานสายตากับเขา
มือใหญ่เอื้อมมาบีบปลายคางมนจนปากจู๋ ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองกลับไป
คำพูดที่ทำเอาหัวใจเต้นแรงจึงถูกเอ่ยตามออกมา...
"เจ้า…มีเครื่องหมายของข้าอยู่บนตัว เพราะฉะนั้น เจ้าเป็นของข้า"
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งได้ยินเรื่องราวความรักระหว่างผู้ชายมาหรืออย่างไรหัวใจของเขาจึงเต้นกระหน่ำอย่างไรการควบคุมขนาดนี้
คำว่า
“เจ้าเป็นของข้า” ทำให้ใบหน้ามนมองอีกฝ่ายนิ่งค้างไปเนิ่นนาน
“ข้าไม่มีวันปล่อยให้ใครมาแตะต้องเจ้าได้
ไม่มีวัน” มือใหญ่เปลี่ยนเป็นประคองแก้มใสก่อนจะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไล้เบาๆ
ดวงตาของเขายังคงถูกดวงตาสีม่วงคู่นั้นตรึงเอาไว้จนไม่อาจละไปไหน
“ท่าน...เป็นยักษ์ที่ขี้หวงมากจริงๆ” เขาหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดีในขณะที่ยิ้มให้อีกฝ่าย
ทำอย่างกับว่าจะมีใครมาแย่งเขาไปอีกอย่างงั้นแหละ
แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ
คาดไม่ถึง...ว่าร่างกายที่อ่อนแอของเขาจะดึงดูดภูตผีปีศาจร้ายให้เข้ามามากกว่าเดิม!
พวกมัน...ต้องการจะจับเขากินเพราะอยากได้พลังอันบริสุทธิ์จากตัวเขา
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทมากๆๆๆนะคะ
ดีใจที่มีคนเข้ามาอ่านฟิคแปลกๆเรื่องนี้ด้วย5555 แล้วเจอกันตอนหน้าน้า >/////<
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น