Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 03

 Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato]  ยักษ์ : 03

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au

: Fujiwara Shu x Narumiya Minato

: Romance Dark Fantasy

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ      

          

 

“ด้วยพลังแห่งท้องฟ้าและพสุธา จงบีบบังคับผู้ที่เร้นแฝงกายาจงปรากฏกายออกมาณ.บัดนี้!

 

เปรี้ยง!

 

มีเพียงเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงๆเท่านั้นที่ตอบกลับมา ถึงแม้สภาพของลานพิธีอัญเชิญจะเละเทะไม่แพ้ครั้งแรกแต่คราวนี้มันกลับต่างกันตรงที่ยักษ์ตนนั้นไม่ยอมปรากฏตัวออกมา

 

“.........”    ใบหน้ามนได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น...ไม่ยอมออกมางั้นเหรอ...ได้!

 

เขาร่ายบทสวดอัญเชิญอีกรอบหนึ่งรวมทั้งอัดพลังทั้งหมดที่มีเข้าไป ไอสีขาวแผ่กระจายจากรอบกายก่อนจะระเบิดกลุ่มควันสีดำจนกลายเป็นวงกว้าง

 

“ด้วยพลังแห่งท้องฟ้าและพสุธา จงบีบบังคับผู้ที่เร้นแฝงกายาจงปรากฏกายออกมาณ.บัดนี้!

 

ควันสีดำที่เพิ่งถูกระเบิดไปกลับรวมตัวใหม่แล้วบีบล้อมไอสีขาวกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับมีใครควบคุมอยู่จากที่ที่มองไม่เห็น

 

มันม้วนรวมกันเป็นมือขนาดใหญ่แล้วพุ่งใส่หมายจะคว้าไปที่เด็กคนหนึ่งอย่างอาจหาญ

 

ทั้งๆที่มีเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้เนี่ยนะ?! คิดจะทำร้ายคนต่อหน้าเขาเลยเนี่ยนะ?! ใครมันจะไปยอม!

 

มือบางคว้าคันธนูที่วางอยู่บนแท่นขึ้นมาก่อนจะเล็งไปที่มือสีดำขนาดยักษ์นั้น สองขากางออกในท่ายิงธนูที่สวยงามก่อนจะอาบลูกธนูด้วยคาถาแล้วยิงออกไป!

 

ฟึ่บ!

 

ลูกธนูที่ห่อหุ้มด้วยพลังมหาศาลจนมองเห็นเป็นแสงสีขาวพุ่งตรงเข้าใส่มือข้างนั้น

 

เปรี้ยง!! เสียงของสายฟ้าฟาดดังสนั่นหวั่นไหว สายลมรุนแรงราวกับพายุก็พัดจนทุกอย่างรอบกายปลิวว่อน

 

มือข้างนั้นโดนธนูอาคมของเขาปัดเป่าจนสลายหายไป

 

แต่มันกลับรวมตัวกันใหม่แล้วพุ่งใส่เด็กอีกคนอย่างดื้อดึง!

 

เขาไม่ปล่อยให้ทำร้ายใครได้หรอก!

 

ฟึ่บ!

 

ร่างโปร่งบางยิงธนูอาคมเข้าสู้อย่างดุเดือด มือสีดำเดี๋ยวถูกปัดเป่าเดี๋ยวรวมตัวใหม่แล้วหลบหลีกธนูของเขาอย่างพลิ้วไหว ราวกับคนที่บังคับมันอยู่กำลังสนุกสนาน...มันน่าโมโหจริงๆ!

 

เจ้ายักษ์ใจร้ายตนนั้นยังไม่ทันได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีด้วยซ้ำเขารู้ดี แต่นี่ก็แทบจะตึงมือเขาแล้วนะ ดูจากเหงื่อกาฬที่เริ่มไหลลงมาจากขมับ

 

ปกติแล้วเขาแทบไม่ต้องใช้ไสยเวทย์ในการต่อสู้แบบนี้เลย เขาจะไม่ถนัดก็ไม่แปลก ภูตผีที่ผ่านมาแค่ทำพิธีปัดเป่าด้วยกิ่งซาคากิกับกระดาษชิเดะไม่นานก็ยอมไปแต่โดยดีแล้ว ไม่เคยเจอวิญญาณร้ายที่ทำให้คนใจดีใจเย็นอย่างเขาถึงกับโมโหได้แบบนี้มาก่อน เจ้ายักษ์ตนนั้นกำลังหยอกเย้าเขาอยู่สินะ! มันน่าหมั่นไส้นักเชียว!

 

ฟึ่บๆๆ!

 

ธนูอาคมสามดอกติดถูกยิงเรียงเป็นแถวอยู่ที่พื้น

 

สุดท้ายแล้วหลังจากวนไปรอบวงเจ้ามือสีดำนั่นก็หันกลับมาพุ่งใส่เขา!

 

แต่สองขาบางก็ยังยืนหยัดที่จะสู้ไม่ถอย ดวงตากลมโตจ้องเขม็งไปที่มือสีดำที่เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่หวาดหวั่นหรือเสียสมาธิเลยแม้แต่น้อย

 

ฟึ่บ!

 

แล้วทันทีที่ลูกธนูยิงแหวกอากาศเข้าใส่ มือนั่นก็สลายหายไปเป็นเพียงกลุ่มควันทันที

 

“แฮ่ก...แฮ่ก...”    มือบางถึงกับต้องยันแท่นพิธีเอาไว้เพราะเขาใช้พลังสกัดกั้นอีกฝ่ายไปไม่น้อยเลย ดวงตากลมโตยังคงจ้องเขม็งอย่างแข็งกร้าวจนคนที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกถูกใจ

 

แล้วหลังจากที่กลุ่มควันค่อยๆจางหายไป...ร่างในกิโมโนสีดำก็ปรากฏกายอยู่บนหลังคาศาลเจ้า...

 

ชายฮาโอริสีม่วงครามกองระอยู่บนกระเบื้องเก่าแก่จนมีมอสขึ้น ร่างสูงสง่านั่งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่งด้วยท่าทางสบายๆ

 

คราวนี้บนใบหน้าเย็นชามีหน้ากากยักษ์สีทองสวมอยู่...ก่อนที่มือใหญ่จะค่อยๆหยิบหน้ากากออกไป มันสลายหายไปในอากาศราวกับถูกเรียกไปเก็บไว้ในที่ที่มองไม่เห็น

 

เขาเริ่มจับสังเกตได้ว่าเวลาที่ยักษ์ตนนั้นคิดจะลงมือฆ่าคน อีกฝ่ายมักจะสวมหน้ากากเอาไว้เสมอ

 

เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้อีกฝ่ายถึงถอดหน้ากากออก แต่การที่อีกฝ่ายยอมปรากฏกายออกมาแบบนี้ก็ดีเลย

 

ร่างโปร่งบางยืนหยัดขึ้นอย่างไม่รอช้า สองมือพนมไว้กลางอกอย่างสง่าผ่าเผย

 

 

แล้วคาถาต้องห้ามก็ถูกร่ายออกไป...

 

 

นักบวชลูกวัดต่างงงงวยเพราะไม่เคยได้ยินบทสวดบทนี้มาก่อน ไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังจะทำอะไร

 

แม้แต่ยักษ์ตนนั้นก็ก้มมองสองมือของตนเองอย่างประหลาดใจ เพราะมันถูกโซ่สีขาวที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาพันธนาการเอาไว้!

 

โซ่ใหญ่เส้นนั้นล่ามมือทั้งสองข้างของยักษ์ก่อนจะข้ามผ่านอากาศเชื่อมต่อมายังข้อมือบอบบางของคนที่ยังร่ายคาถาอยู่

 

 

 

 

ต่อให้สามารถสะบัดพันธนาการนี้ออกได้โดยง่ายแต่ข้ากลับไม่ทำเพราะข้าอยากรู้ว่าเจ้ามนุษย์นั่นจะทำอะไร

 

เป็นคนแรกที่สามารถผูกมัดข้าเอาไว้ได้...

 

ช่างน่าสนใจจริงๆ

 

พลังงานอันอ่อนนุ่มที่มัดข้อมือของข้าอยู่ทำให้รู้สึกแปลกประหลาด มันทำให้ไม่อยากจะคลาดสายตาไปจากร่างระหงนั่นแม้แต่วินาทีเดียว...

 

อยากรู้ว่าเจ้าจะทำอะไร?

 

ค่าตอบแทนจากการพันธนาการข้าไว้มันไม่ใช่น้อยๆหรอกนะ

 

และแล้วดวงตาสีม่วงที่มักจะเฉยชาอยู่เสมอก็ค่อยๆเบิกกว้าง...เมื่อสิ่งที่ร่างโปร่งบางทำเริ่มค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

 

เครื่องหมาย...ที่อยู่บนใบหน้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพวกนั้นค่อยๆถูกพลังบางอย่างดูดออกมา...

 

ดอกฟูจินับพันลอยวนอยู่ในอากาศก่อนจะพุ่งไปกระแทกใส่ร่างโปร่งบางเข้าเต็มๆ

 

เครื่องหมายของข้า...ย้ายไปอยู่บนร่างระหงนั่นแทน...

 

นี่คือคนแรก...ที่สามารถต่อต้านพลังของข้าได้...

 

ถึงจะยังทำลายไม่ได้แต่ก็โยกย้ายได้...

 

และที่น่าสนใจกว่านั้นคือย้ายไปไว้ที่ตัวเอง?

 

 

จะมีมนุษย์คนไหนยอมรับความตายแทนคนอื่นด้วยเหรอ?

 

 

โซ่สีขาวค่อยๆสลายหายไปเมื่อริมฝีปากสีระเรื่อร่ายคาถาต้องห้ามจบและเครื่องหมายของยักษ์ก็ถูกย้ายออกจากร่างกายของเด็กทั้งสามคนแล้ว

 

“แฮ่ก...แฮ่ก...ต่อไปนี้...คนที่ท่านหมายเอาชีวิตคือผม...ไม่ใช่เด็กพวกนั้นแล้วใช่หรือไม่?...แฮ่ก...”   เสียงนุ่มถามออกมาจากใบหน้าที่เงยมองจากเบื้องล่าง

 

ขนาดจะพูดยังหอบหนักขนาดนี้ ช่างอวดดีเสียจริงๆ

 

ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองดวงตาสีเขียวแข็งกร้าวคู่นั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ

 

 

“ข้าไม่เคยคิดจะจดจำใบหน้าของคนที่จะถูกข้าสังหาร ...แต่ข้าจะจดจำใบหน้าของเจ้าเอาไว้”

 

 

แต่เจ้ามนุษย์นั่นกลับมีสีหน้าโล่งใจที่ข้าพูดออกไปเช่นนั้น เพราะนั่นหมายความว่าจากนี้ไปคนที่ตกเป็นเป้าหมายของยักษ์จะไม่ใช่เด็กสามคนนั่นอีกแล้ว

 

 

"เจ้าช่างเป็นมนุษย์ที่น่าสนใจจริงๆ"  

 

 

เสียงทุ้มกังวานทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะหายตัวไป

 

 

 

 

 

 

“อึ่ก!!      ร่างโปร่งบางแทบล้มทั้งยืนจนนักบวชคนอื่นๆต้องเข้ามาช่วยกันประคอง

 

เครื่องหมายของยักษ์ตนนั้นทรงพลังมาก ไม่เคยเจออะไรที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อนเลย...

 

เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครปัดเป่ามันได้ แค่เครื่องหมายเดียวก็หนักหนาสาหัสขนาดนี้แต่เขาต้องรับมาถึงสาม...

 

ไม่รู้เลยว่าเขาจะมีชีวิตรอดไปได้อีกกี่วัน แต่หากเทียบหนึ่งชีวิตแลกกับสามชีวิตแล้วก็คงนับได้ว่าคุ้ม...

 

“ท่านมินาโตะ ทำไมท่านถึงทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้...”    นักบวชชั้นผู้น้อยที่ดูแลเขามานานถึงกับกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ไหวเมื่อเห็นหมดทุกอย่าง เข้าใจถึงสิ่งที่เขาทำลงไปทุกอย่าง...รู้...ว่าอีกไม่นานคนที่อาจจะต้องตายแทนเด็กพวกนั้นก็คือเขา

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่างน้อยเราก็ช่วยได้ถึงสามคน แลกกับผมคนเดียวแล้วไม่เป็นไรเลย”    ดวงตาอ่อนระโหยโรยแรงเหลือบไปมองผู้ปกครองของเด็กๆที่กำลังร่ำไห้ด้วยความดีใจและกอดลูกของตัวเองเอาไว้ในอ้อมแขน

 

“แต่สำหรับพวกเราแล้ว ต่อให้ร้อยคนก็แลกกับท่านไม่ได้หรอก”    นักบวชคนนั้นกัดฟันพูดออกมา เขาจึงทำได้แค่ยิ้มให้อย่างต้องการจะปลอบใจ

 

เขาเตรียมใจยอมรับผลของมันมาตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจจะใช้คาถาต้องห้ามแล้ว และที่เขาไม่ยอมบอกใครก็เพราะรู้ว่าทางศาลเจ้าต้องคัดค้านแน่

 

มันอาจจะเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว...เพราะศาลเจ้ายาตะ...อาจจะต้องล่มสลายเพราะเขาก็เป็นได้

 

ไม่มีใครรู้...ว่าสถานที่ที่กักขังยักษ์ที่ทรงอานุภาพเช่นนั้นเอาไว้จะเป็นอย่างไร

 

เรียกว่ากักขังก็คงจะไม่ผิด เพราะทั้งเขาทั้งยักษ์ตนนั้นต่างคนต่างก็พันธนาการซึ่งกันและกัน

 

เครื่องหมายของยักษ์ตนนั้นอยู่บนตัวเขาแล้ว อีกฝ่ายย่อมต้องอยู่ไม่ไกลเพื่อคอยเอาชีวิตเขาให้ได้ และหากเขาไม่ตายอีกฝ่ายก็จะไม่ไปไหน

 

ถึงจะไม่รู้เลยว่าเขาจะต่อต้านอีกฝ่ายได้เกินพรุ่งนี้หรือไม่ก็ตาม...

 

 

 

 

 

ถึงจะคิดไว้แบบนั้น...

 

 

 

 

 

 

แต่หัวหน้าหอพิธีกรรมของศาลเจ้ายาตะก็ยังมีชีวิตอยู่ในเดือนถัดมา

 

เด็กที่ช่วยไว้ทั้งสามคนอาการดีขึ้นมากหลังจากที่พักรักษาตัวอยู่ที่ศาลเจ้าจนครบหนึ่งเดือน ในที่สุดทุกคนก็แข็งแรงพอทั้งสภาพจิตใจและร่างกายจนสามารถแยกย้ายกันกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้

 

ส่วนยักษ์ตนนั้นก็หายไปเลย ไม่มีใครได้เห็น ไม่ออกมาเล่นงานหรือเอาชีวิตใครอีก

 

 

ไม่สิ...แท้จริงแล้วไม่ได้หายไปไหน...

 

 

เพียงแต่ไปปรากฏกายอยู่แค่ในฝันของใครบางคนเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

มือบางเปิดประตูเข้าไปในห้องแบบญี่ปุ่นโบราณมืดทึมห้องหนึ่ง...กลิ่นไอแห่งความตายพวยพุ่งออกมาจนต้องปิดจมูก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าห้องๆนี้มันอยู่ที่ไหน นอกจากพื้นกับผนังทั้งสี่ด้านก็มีเพียงความมืดมิดที่ล้อมรอบอยู่

 

อีกแล้วอย่างงั้นเหรอ?

 

เขาก้าวขาเข้าไปยืนอยู่กลางห้องอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เสียงดังแกร๊งๆสลับกับเสียงก้าวเดินดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆเหมือนที่ได้ยินอยู่ทุกคืน ร่างกายเผลอสั่นสะท้านโดยอัตโนมัติเมื่อรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

 

ใช่...เขารู้ว่านี่เป็นความฝัน เขาจดจำมันได้ทุกอย่าง

 

แต่เขาก็ขัดขืนอะไรไม่ได้เลย

 

ครืด!!

 

ประตูเลื่อนเปิดออกพร้อมด้วยเงาร่างดำทะมึนเหมือนกลุ่มควันขยุกขยุย ร่างกายของเขาสะดุ้งโหยงทั้งๆที่พยายามจะทำใจสู้

 

เขาลองหาทางที่จะสู้แล้ว ลองหาทางที่จะวิ่งหนีหรือร่ายคาถาใส่แล้ว

 

สวบ!!

 

แต่สุดท้ายเขาก็โดนฆ่าตายอยู่ดี

 

มือบางสั่นระริกเอื้อมไปจับมีดสั้นที่ปักคาอยู่ที่หน้าท้อง เลือดไหลนองออกมาเลอะสองมือเต็มไปหมด...แต่เขาก็ไม่ได้ตายง่ายๆแค่นี้

 

เจ้ากลุ่มก้อนสีดำนั่นมันมีหัว...และหัวของมันก็เอียงพับลงไปด้านหนึ่ง ริมฝีปากแสยะยิ้มจนถึงใบหู มีเลือดหยดย้อยออกมาทั้งน่าเกลียดและน่ากลัว

 

ลิ้นยาวของมันแลบเลียมาที่ใบหน้าของเขาทำเอาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ทั้งขยะแขยงทั้งสะอิดสะเอียนจนแทบจะอาเจียน

 

และก่อนที่จะได้รับรู้อะไร เขาก็ถูกปากกว้างใหญ่นั่นอ้างับลงมาที่หัว

 

ภาพตัดฉับกลายเป็นสีดำ

 

 

 

 

 

 

 

“เฮือก!    ดวงตากลมโตเบิกโพลงท่ามกลางความมืด เหงื่อไหลไคลย้อยจนแผ่นหลังเปียกชุ่มไปหมด

 

ฝัน...เขาฝันแบบนั้นอีกแล้วเหรอ...

 

ร่างโปร่งบางในกิโมโนตัวในสีขาวที่ใส่เป็นชุดนอนค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนฟูก มือยังสั่นน้อยๆราวกับความกลัวจากฝันร้ายนั้นยังหลงเหลืออยู่

 

ตั้งแต่วันนั้น...เขาก็ฝันแบบเดิมมาตลอด ฝันว่าถูกฆ่าซ้ำไปซ้ำมา หากเขาไม่ลืมตาตื่น ความฝันมันก็จะวนกลับมาไปเริ่มต้นใหม่เสมอ

 

ต้องเป็นฝีมือของยักษ์ตนนั้นไม่ผิดแน่...

 

อีกฝ่ายไม่ได้มาตามไล่ล่าเขาในโลกแห่งความเป็นจริงแต่กลับไปฆ่าเขาในฝัน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเพราะเขาเป็นนักบวชที่มีพลังของเทพเจ้าคุ้มครอง วิธีฆ่าของเจ้ายักษ์นั่นถึงเปลี่ยนไป?

 

ใบหน้ามนเหลือบมองนาฬิกา...เพิ่งจะตีหนึ่งกว่าๆเท่านั้นเอง...

 

แต่เขาไม่อยากล้มตัวลงนอนแล้ว ไม่อยากฝันอีกแล้ว เขารู้ว่ามันไม่ใช่ฝันธรรมดา แต่ทุกครั้งที่ฝันเขาก็ถูกกัดกินพลังชีวิตไปด้วย ร่างกายของเขาถึงได้อ่อนแอลงเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงจะค่อยๆถดถอยลง

 

“เฮ้อ...”    ขนาดสวดมนต์ท่องคาถาคุ้มภัยก่อนนอนก็แทบไม่ช่วยอะไร สมเป็นยักษ์แล้วจริงๆ เล่นงานเขาได้ขนาดนี้

 

มือบางเลิกผ้าห่มให้พ้นกาย เหงื่อไหลจนชุ่มโชกไปหมด ลุกไปอาบน้ำเสียหน่อยดีกว่าไหนๆก็ไม่อยากนอนแล้ว

 

ร่างโปร่งวูบไหวน้อยๆเมื่อลุกขึ้นยืน เพราะแทบไม่ได้นอนเขาจึงหน้ามืดบ่อยๆ

 

มือบางเกาะผนังก่อนจะเดินโซเซออกไปยังห้องน้ำที่อยู่ข้างๆ มันเป็นบ่อน้ำกลางแจ้งที่เอาไว้ชำระล้างจิตใจหลังจากทำพิธีปัดเป่าเสร็จ

 

ร่างโปร่งบางเดินลงบ่อทั้งอย่างนั้นเลย กิโมโนตัวในไม่ได้หนามากอยู่แล้ว เมื่อโดนน้ำมันจึงแนบจนเห็นผิวกายรำไร

 

เขานั่งแช่ลงไป...ความเย็นของสายน้ำทำให้พอจะสดชื่นขึ้นมาบ้าง

 

ใบหน้ามนเงยมองต้นไฮเดรนเยียที่ปลูกไว้รอบๆบ่อ มันกำลังออกดอกชูช่อหลากสีเต็มไปหมด มีทั้งชมพู ม่วง ฟ้า สลับกันเกิดเป็นภาพที่สวยหวานตรึงใจ เหนือขึ้นไปก็เป็นต้นไม้สูงใหญ่ที่ขึ้นอย่างสลับซับซ้อนสมกับที่ศาลเจ้าแห่งนี้อยู่กลางป่ากลางเขา

 

มือบางวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า หยาดหยดที่กระเด็นไปโดนไหล่ไหลลงไปด้านหลัง ผ้าสีขาวของกิโมโนจึงแนบเนื้อจนมองเห็นรอยอะไรบางอย่าง

 

ดวงตากลมโตทอดมองอย่างเลื่อนลอยก่อนจะค่อยๆปลดคอกิโมโนออกจากไหล่...

 

เผยให้เห็นรอยอักขระเต็มแผ่นหลังที่ขาวกระจ่าง

 

หลังจากวันนั้น...มันก็ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละเล็กละน้อย

 

จากตอนแรกที่ยังเป็นแค่รอยจางๆเหมือนรอยช้ำ...นานวันเข้ามันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

 

จากตอนแรกที่เป็นรูปดอกฟูจิห้อยลงมาเป็นสาย ...ก็ค่อยๆกลายเป็นแถวของอักขระ

 

จากตอนแรกที่เป็นสีชมพูเหมือนปาน...ก็ค่อยๆเข้มขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสีดำ

 

มันเป็นเหมือนยันต์ที่ถูกสลักสักไว้บนตัวเขา

 

นี่คือเครื่องหมายของยักษ์ตนนั้นไม่ผิดแน่

 

ของเด็กคนที่หนึ่งอยู่บนไหล่ซ้าย ของเด็กคนที่สองอยู่บนไหล่ขวา ของเด็กคนที่สามอยู่กลางหลัง...ตัวอักษรไล่เรียงกันจนเกิดเป็นอักขระของบทสวดอะไรบางอย่าง...

 

มือบางดึงคอเสื้อขึ้นก่อนจะปล่อยกายให้จมหายลงไปในน้ำ

 

เพราะทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าเจ้าของอักขระพวกนี้ร่างกายก็จะร้อนวูบวาบแปลกๆจนต้องให้สายน้ำเย็นๆช่วยบรรเทา

 

ยิ่งเครื่องหมายถูกสลักไว้ใกล้ด้านหลังของหัวใจแบบนี้ก็ยิ่งนึกถึง

 

แปลกคนจริงๆ...

 

 

 

 

 

 

 

ศาลเจ้าแห่งนี้แทบจะตัดขาดจากผู้คน หากไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนถึงชีวิตก็คงไม่มีใครเหยียบย่างมาที่ที่ไกลแสนไกลแถมยังลึกลับซับซ้อนแห่งนี้

 

รอบๆมีแต่ป่าสนสูงเสียดฟ้า ทั้งดูน่าเกรงขามและวังเวงไปพร้อมๆกัน...เพราะฉะนั้นจึงไม่บ่อยนักที่เขาจะได้พบเจอกับผู้คน

 

และตอนนี้คนที่เพิ่งได้พบเมื่อไม่นานก็กำลังจะจากไปอีกคน

 

“ขอบคุณท่านนักบวชมากๆเลยนะคะ ดิฉันและลูกจะสำนึกในบุญคุณที่ช่วยชีวิตอยู่เสมอเลยค่ะ”   หญิงวัยกลางคนก้มหัวให้พร้อมกับเด็กหนุ่มเจ้าของรอยอักขระรอยหนึ่งบนแผ่นหลังของเขา

 

เด็กคนสุดท้ายกำลังจะกลับบ้านแล้ว เขาจึงออกมายืนส่ง

 

“ไปเถอะครับ ขอให้โชคดี”    เสียงใสอวยพรให้จากใจจริง ทั้งสองจึงขึ้นรถที่มารออยู่แล้วก่อนจะขับออกไป

 

เสียงฝนดังเปาะแปะเมื่อมันตกกระทบร่มไม้สีขาวคันใหญ่ที่เขาถือไว้ สายตาทอดมองจนรถคันนั้นลับหายไป จะถือว่าเสร็จสิ้นภาระกิจที่หินที่สุดเท่าที่เคยทำมาก็คงจะได้

 

ร่างในชุดฮากามะสีขาวเดินกางร่มกลับเข้าไปในศาลเจ้า สายฝนทำให้ทุกอย่างดูชุ่มฉ่ำไปหมด เขาชอบบรรยากาศอันสงบแบบนี้จริงๆ

 

เขาได้แต่คิดว่า เพราะเขาไม่ค่อยได้เจอผู้คนนั่นแหละ ถึงได้ยังนึกถึงใบหน้าของยักษ์ตนนั้นอยู่

 

เขาศึกษาเรื่องภูตผีปีศาจวิญญาณคำสาปมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าวันๆอยู่กับสิ่งเหล่านั้นมากกว่าคนเป็นๆเสียอีก แล้วพวกมันก็ไม่ได้น่าดูเลยสักนิด นิสัยก็ชั่วร้ายเลวทรามเจ้าเล่ห์ เขาจะติดใจรูปลักษณ์ที่ดูสูงส่งของยักษ์ตนนั้นก็คงไม่แปลก...ละมั้ง?

 

ไม่สิ...เขาอาจจะแปลกคนจริงๆก็ได้

 

เพราะบางครั้งเขาก็นึกอยากจะพูดคุยกับยักษ์ตนนั้น...คนที่ฆ่าเขาในฝันอยู่ทุกๆคืน

 

อยากถามว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ดูจะมีความโกรธแค้นหรือมีความรู้สึกใดๆกับเด็กพวกนั้นเลย

 

เหมือนทำเพราะมันเป็นหน้าที่?

 

ถ้าเขาแปลก ยักษ์ตนนั้นก็แปลกเหมือนกัน ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือนิสัยใจคอก็ไม่เหมือนยักษ์เลยสักนิด

 

 

 

 

 

 

คืนนี้เจ้าภูตผีนั่นพับคอไปอีกข้าง...

 

แต่ลิ้นยาวและเลือดสีแดงที่ไหลย้อยลงมาก็ยังน่าสยดสยองไม่เปลี่ยน

 

เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ยักษ์ตนนั้น แต่อาจจะเป็นแค่ลูกสมุนที่ส่งมารังควาญเขาก็เป็นได้

 

คืนนี้เขาถูกตัดคอด้วยมีดดาบสั้นเล่มนั้นก่อนที่ทั้งร่างจะถูกกลืนกินเข้าไปในปากสีแดงสดของมัน ภาพที่เห็นในฝันน่ากลัวขึ้นทุกวันๆ

 

 

“เฮือก!    เขาสะดุ้งตื่นก่อนจะเบิกตาโพลง ร่างทั้งร่างหอบหายใจทั้งที่ยังนอนอยู่

 

พรึ่บ!

 

ร่างในกิโมโนตัวในสีขาวลุกพรวดขึ้นจากฟูกนอนเหมือนไม่อยากจะอยู่ตรงนี้ต่อแม้แต่วินาทีเดียว เขาเดินโซซัดโซเซออกไปนั่งรับลมอยู่ที่สวนเพราะไม่อยากนอนต่อ

 

ลำตัวบางเอนแนบพิงเสาไม้ของชานเรือนไว้อย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ความฝันพวกนั้นสูบพลังชีวิตของเขาไปไม่ใช่น้อย จนตอนนี้...แม้แต่งานปัดเป่าง่ายๆบางทีเขาก็ยังรับไม่ไหว

 

ดวงตาสีเขียวทอดมองหญ้ามอสที่ขึ้นหนาราวกับพรมบ่งบอกว่าที่แห่งนี้ชุ่มชื้นขนาดไหน แต่เขตแดนที่เคยศักดิ์สิทธิ์กลับถูกรุกล้ำโดยผู้มาเยือนยามรัตติกาลที่มิได้เชื้อเชิญ

 

“อ๊ะ?!    ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัวจนสองแขนต้องยันพื้นเอาไว้เมื่อเหลือบไปเห็นว่ามีใครบางคนนั่งอยู่บนกิ่งต้นซากุระที่บัดนี้มีแต่ใบสีเขียว

 

ใบหน้าหล่อเหลานั่นสวมหน้ากากยักษ์สีทองที่คุ้นตาเอาไว้...

 

ร่างในกิโมโนสีดำเอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ราวกับไร้น้ำหนัก ฮาโอริสีม่วงครามที่คลุมไหล่กว้างห้อยสยายลงมา ทั้งหมดตรงหน้าล้วนเป็นภาพที่งามตาจนอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้

 

อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? อย่าบอกนะว่าแอบดูเขาอยู่ตลอด?

 

ใบหน้ามนเงยมองคนที่อยู่บนต้นไม้...คนที่อยู่บนต้นไม้ก็มองลงมาเช่นกัน

 

สายตาที่สบประสานทำให้เขาเผลอพูดออกไป

 

"ทำไมท่านไม่ลงมานั่งข้างๆผมล่ะ"   เสียงนุ่มเอ่ยอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง และเมื่อยักษ์ตนนั้นได้รับคำท้า ร่างสูงสง่าในฮาโอริสีม่วงก็มาปรากฎกายอยู่ตรงหน้าร่างโปร่งบางทันที

 

ฝ่าเท้ายังลอยอยู่กลางอากาศแต่ฝ่ามือกลับบีบคางมนจนเจ้าของมันได้แต่หลับตาแน่น ใบหน้าภายใต้หน้ากากโน้มลงมาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน

 

แต่ยักษ์ตนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร...

 

เพียงแต่จ้องมองใบหน้ามนอยู่แบบนั้น...

 

ร่างโปร่งบางเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างนิ่งค้างไป เขาไม่รับรู้ถึงอันตรายแล้วจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมา

 

หลังจากดวงตาสบประสานกันอยู่เนิ่นนาน มือบางจึงค่อยๆเอื้อมออกไป...ปลายนิ้วแตะลงบนหน้ากากของยักษ์ตรงหน้าราวกับตกอยู่ในภวังค์

 

แล้วค่อยๆถอดมันออกมา...

 

 

ดวงตาสีม่วงยังคงจ้องมองลงมาที่ใบหน้าของเขา มันลึกล้ำและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่สามารถจะอธิบายได้

 

ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับรูปสลักนั่นยังคงเฉยชา...ไม่มีรอยยิ้มแต่ก็ไม่ได้โกรธเกรี้ยวรำคาญใจ

 

 

"หากเป็นคนอื่น เจ้าคงตายไปแล้ว"  

 

เสียงทุ้มทิ้งคำพูดเอาไว้แค่นั้นก่อนจะหายตัวไป...เหลือไว้เพียงควันสีดำจางๆ

 

 

เขายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม...

 

หัวใจเต้นกระหน่ำแต่เป็นจังหวะที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน มันไม่ใช่ทั้งความหวาดกลัวและความกังวล ไม่ใช่ทั้งความตื่นตระหนกหรือตกใจ

 

แล้วความรู้สึกแบบไหนกันล่ะที่จะทำให้หัวใจของคนเราเต้นแรงได้ขนาดนี้?

 

 

"นารุมิยะ มินาโตะ! ชื่อของผมคือนารุมิยะ มินาโตะครับ!"   เสียงนุ่มตะโกนใส่ความว่างเปล่ารอบกาย แต่เขารู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นยังอยู่ตรงนี้

 

 

"ฟูจิวาระชู..."   

 

 

นั่นไงมีเสียงตอบกลับมาจริงๆด้วย

 

ชื่อของยักษ์ตนนั้นคือ ฟูจิวาระ ชู สินะ

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

To be Con.

 

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตามและทุกๆโดเนทมากๆๆนะคะ  Jujutsu kaisen ss2เมื่อคืนตอนแรกคือดีมากกกก ภาพแบบวิญญาณคำสาปเอย ฉากการใช้คุณไสยเอย การปัดเป่าเอยนี่แบบสร้างแรงบันดาลใจในการเขียนฟิคเรื่องนี้มากเบย โดยเฉพาะซาโตรุซัง อุงื้อออออ เป็นต้าวเด็กเกรียนเด็กแสบแต่หล่อไม่ไหว จะล้มตาย >////<

 

จริงๆมีเพลงที่ฟังตอนแต่งเรื่องนี้อยู่ด้วยค่ะ เพลง Reload Dead ของวง Wagakki band ฟังไปด้วยอ่านไปด้วยอาจจะช่วยเพิ่มบรรยากาศ555 โดยเฉพาะพวกฉากต่อสู้ คือชอบเสียงกลองมากกก ดีไซน์ยังไงให้กลองชุดกับกลองญี่ปุ่นมันไม่ตีกันเนี่ย เก่งอ่ะ

 

Wagakki Band - Reload Dead / Japan Tour 2020 TOKYO SINGING


แล้วเจอกันใหม่ตอนน้าหน้า

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น