Tsurune.
Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 02
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
ถึงจะอายุน้อยกว่านักบวชคนอื่นๆแต่นารุมิยะ
มินาโตะกลับมีพลังที่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์มากจนได้รับตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าหอพิธีกรรมด้วยวัยวุฒิเพียงยี่สิบสองปี
ไม่ว่าจะเป็นการปัดเป่าชำระล้างภูตผีวิญญาณร้ายหรือสิ่งไม่ดีทั้งหลายแหลล้วนไม่เคยพลาดหรือทำไม่ได้
ต่อให้คนที่ถูกส่งต่อมายังศาลเจ้ายาตะแห่งนี้จะมีอาการหนักมากแล้วก็ตาม
แต่คราวนี้...ฝ่ามือบางที่กางอยู่เหนือใบหน้าซีกขวาของเด็กทั้งสี่คนกลับชะงักค้าง
พลังที่สัมผัสได้นี้รุนแรงมาก
ซ้ำยังเป็นพลังที่แปลกประหลาดซึ่งเขาไม่เคยพบไม่เคยเจอมาก่อน
มันไม่ได้มีความรู้สึกแค้นเคืองแฝงอยู่
ไม่มีความโกรธเกรี้ยว ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีความยึดติด ไม่มีความสนุกสนาน ไม่มีความหิวโหย
ไม่มีความรู้สึกอะไรแบบที่มักจะปรากฏอยู่ในร่างของผู้ถูกรังควาญอย่างที่ผ่านๆมาเลย
ภูติผีตนนี้...ทำไปเพื่ออะไรกัน?
ใบหน้ามนครุ่นคิด
พอไม่รู้ถึงเป้าหมายของอีกฝ่ายมันจึงยากที่จะหาวิธีจัดการ
หากรู้ว่าโกรธก็จะได้หาวิธีที่ทำให้ความโกรธนั้นทุเลาลง
หากรู้ว่าเศร้าว่ายึดติดอะไรอยู่ก็จะได้หาวิธีให้อีกฝ่ายหลุดพ้น
หากรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือแบบไหนเขาจะได้หาทางช่วยเพื่อให้ไปสู่สุคติ
แต่นี่ไม่มีเลย...
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเมตตาทอดมองเด็กๆอย่างสงสาร
ทั้งสี่คนมีสภาพอ่อนระโหยโรยแรงผอมแห้งจนเห็นกระดูก
ดูทรุดโทรมเปลี่ยนไปจากเดิมมากทั้งๆที่เพิ่งเกิดเรื่องได้ไม่นาน นอกจากร่างกายสภาพจิตใจก็ย่ำแย่จนถึงขีดสุดแล้วเหมือนกัน
ทั้งสี่มีอาการวิตกจริตขั้นรุนแรงเห็นอะไรก็หวาดระแวงไปหมด
ต่อให้ไม่ถูกภูติผีทำร้ายก็อาจจะตายไปเองก็ได้
คงต้อง...ลองปัดเป่าดูก่อน
“พาไปที่แท่นพิธีเถอะครับ
ปล่อยไว้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
เสียงนุ่มพูดออกไป นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะปัดเป่าสำเร็จ
แต่ยังไงก็จะพยายามอย่างเต็มที่
อย่างน้อย...ก็ต้องรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นภูติผีประเภทไหน
แท่นพิธีถูกเตรียมไว้กลางแจ้งเพราะคาดการณ์ว่าภูติผีตนนี้น่าจะมีพลังมหาศาลมาก
เสียงนุ่มเริ่มร่ายบทสวดเมื่อถึงเวลาที่ฟ้าจะเปิด
แล้วสิ่งที่คิดก็ไม่ผิดเลยสักนิด
กระดิ่งที่ผูกไว้รอบๆเริ่มส่งเสียงกริ๊งๆจากสายลมที่เริ่มพัดโชย...ใบไม้เริ่มถูกพัดเป็นวงแล้วปลิวขึ้นฟ้ากระจัดกระจายหายไป...ฝุ่นผงมากมายเริ่มหมุนวนบ่งบอกถึงกระแสลมที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วยิ่งเสียงสวดก้องกังวานมากขึ้นเท่าไหร่
กลิ่นไออันหนักอึ้งก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เด็กทั้งสี่ตัวสั่นงันงกส่วนพ่อแม่ที่ประคองลูกของตนอยู่ก็ถึงกับทรุดคุกเข่าลงกับพื้นราวกับถูกอะไรบางอย่างกดทับเอาไว้
ต่อให้ผ่านพิธีปัดเป่ามาหลายครั้งแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะรับรู้ถึงการมีตัวตนของคนที่หมายจะเอาชีวิตได้มากขนาดนี้
ขนลุกเกรียวไปจนถึงหลังคอ...
ท้องนภาที่เคยใสกระจ่างกลับมืดฟ้ามัวดินในชั่วพริบตา
เมฆทะมึนไม่รู้ที่มาขมวดมวนเป็นก้อนราวกับมังกรสีดำพวยพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
ครื้นนนน
เปรี้ยง!!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาพร้อมกับกระแสลมรุนแรงราวกับพายุจนนักบวชผู้ช่วยและคนที่มาเฝ้าดูอยู่ด้วยถึงกับทรงตัวไม่ไหว
ข้าวของต้นไม้ล้มระเนระนาด สองแขนของทุกคนยกขึ้นป้องใบหน้าอย่างที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
มีเพียงร่างในชุดพิธีการแบบเฮอันสีขาวที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ ใบหน้ามนยังคงท่องบทสวดอย่างต่อเนื่องมีเพียงคิ้วเรียวที่เริ่มขมวดขึ้นเรื่อยๆ
นี่มันอะไรกัน...
การจะปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือภูตผีได้นั้นก่อนอื่นก็ต้องอันเชิญตัวตนของพวกมันออกมาก่อน
...บทสวดเชิญวิญญาณมีทั้งหมดเก้าบทและพลังของภูตผีแต่ละตนจะสามารถวัดได้ด้วยจำนวนบทที่สวดจนอีกฝ่ายปรากฏกายออกมา
ยิ่งบทที่สวดน้อยพลังก็ยิ่งอ่อนด้อย
แต่นี่...เขาสวดมาจนถึงบทที่เก้าแล้ว...แต่วิญญาณตนนี้กลับยังไม่ปรากฏตัว...
บนใบหน้ามนเริ่มมีเหงื่อเกาะพราวตามไรผม
ที่ผ่านมา...เจออย่างมากที่สุดก็หกบท
เขาเคยคิดด้วยซ้ำว่าในโลกนี้จะมีปีศาจที่ต้องใช้ถึงเก้าบทด้วยหรือ?
จำเป็นต้องท่องให้ได้จริงๆหรือ? ไม่คิดเลยว่าจะได้นำมาใช้จริงๆ
สันกรามเริ่มขยับได้ยากขึ้นทุกๆที่เอ่ยท้ายบทสวดนี้ออกไป
เหมือนอีกฝ่ายก็กำลังต้านทานพลังของเขาอยู่ พวกเราทั้งคู่ต่างต่อสู้ยื้อยุดด้วยพลังที่มองไม่เห็นอย่างไม่มีใครยอมใคร
เปรี้ยง!
ช่างเป็นวิญญาณร้ายที่กว่าจะบังคับให้ปรากฏกายได้ก็ต้องสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์
ฟากฟ้าเวลานี้วิปริตแปรปรวนไปด้วยกลุ่มเมฆและควันสีดำ สายลมโหมกระหน่ำรุนแรงจนแทบจะพังได้ทั้งศาลเจ้า
“ด้วยพลังแห่งท้องฟ้าและพสุธา
จงบีบบังคับผู้ที่เร้นแฝงกายาจงปรากฏกายออกมาณ.บัดนี้!” เสียงใสตะโกนก้องออกไปเมื่อสวดครบทั้งเก้าบท
ทันใดมวลเมฆสีดำก็พวยพุ่งเข้าหาร่างสีขาวของผู้อันเชิญ
แรงจากการปะทะทำเอาร่างโปร่งบางเกือบจะยันไว้ไม่อยู่ ชายผ้าสีขาวปลิวไสวลู่ไปด้านหลัง
หากเป็นภาพวาดด้วยพู่กันกับหมึกสีดำก็คงจะเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการน่าดู
“อึ่ก!”
และเมื่อสายลมสุดท้ายพัดผ่านร่างของเขาไป
เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏกายอยู่ฝั่งตรงข้ามปะรำพิธี!
นานแค่ไหนกันแล้วนะที่ข้าไม่ได้เหยียบเท้าออกมาในโลกเบื้องหน้า...
ดวงตาสีม่วงที่แสนเย็นชาปรายมองคนตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึก
ทั้งที่ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่ความประสงค์ของข้าก็หามีใครบีบบังคับเรียกให้ข้าออกมาได้
เจ้ามนุษย์ผู้นี้...ช่างโอหังและน่าประหลาดใจยิ่งนัก
พลังอันบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายผอมบางนั่นทำให้แม้แต่ข้าก็ยังต้องกลืนน้ำลาย
มันเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ใช้สยบวิญญาณร้ายได้
แต่กระนั้นมันก็กระตุ้นให้อสูรหิวกระหายได้เช่นกัน
ในเมื่อเจ้าเรียกข้าออกมา...เจ้าก็ต้องรับผิดชอบ...
เจ้าเตรียมใจไว้แล้วใช่หรือไม่?
และหากเจ้าจะถามว่าข้าเป็นใคร?
มือใหญ่เรียกหน้ากากยักษ์ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าก่อนจะสวมมันลงบนใบหน้า
แล้วการบ่งบอกตัวตนของวิญญาณที่เพิ่งถูกเรียกออกมาก็ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงจนตาค้างไม่เว้นแม้แต่ร่างโปร่งบางเอง
เพราะนี่จะเป็นการปัดเป่าวิญญาณที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
นักบวชที่ยืนอยู่รอบๆและได้ศึกษาเกี่ยวกับชินโตมาบ้างต่างก็ส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ไม่แปลกใจที่โหดเหี้ยมขนาดนี้
ไม่แปลกใจว่าที่ผ่านมาทำไมถึงไม่เคยมีใครเรียกออกมาได้
มันไม่ใช่ภูติผี
ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่วิญญาณร้าย ไม่ใช่คำสาป...
แต่นี่คือประเภทของอสูรที่แข็งแกร่งและอันตรายที่สุด
“ยักษ์...”
เสียงนุ่มเอ่ยออกไปอย่างเลื่อนลอย...
ใช่...เขาค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นยักษ์...
ร่างโปร่งบางหอบน้อยๆในขณะที่พินิจพิจารณาคนที่ยืนอยู่บนอากาศตรงหน้า
ถึงจะแน่ใจว่าเป็นยักษ์แต่รูปลักษณ์ของอสูรตนนี้กลับไม่เหมือนยักษ์เลย
ใบหน้าภายใต้หน้ากากที่เห็นเมื่อกี้นี้หล่อเหลาราวกับรูปสลัก
ถึงจะดูเย็นชามากแต่ก็เป็นใบหน้าของมนุษย์ไม่ผิดแน่
ร่างกายก็เป็นมนุษย์เพศชายที่สูงสง่าอยู่ในกิโมโนสีดำและมีฮาโอริลวดลายโบราณสีม่วงครามคลุมไหล่
บอกว่าเป็นเทพก็ยังเชื่อ
หรือบอกว่าเป็นคุณชายจากตระกูลสูงส่งสักตระกูลก็ยังเชื่อ...
แต่อีกฝ่ายก็มีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นยักษ์อยู่บนใบหน้า
...นั่นก็คือเขาสีดำสองข้างที่งอกออกมาบนหน้าผาก...
เหงื่อเม็ดเล็กไหลลงมาจากขมับ...
เขารู้ได้ทันทีว่าไม่สามารถจะปัดเป่ายักษ์ตนนี้ได้แน่ๆเพราะอีกฝ่ายมีพลังแก่กล้ามาก
หากเด็กพวกนี้ไม่ตายไปจนหมดคงไม่ยอมรามือแน่ๆ
คงต้อง...ลองเจรจาดู
"ท่าน...เอาตัวเด็กพวกนี้ไปทำไมกันหรือ? เอาไปกินหรือทำเพื่อความสนุก?" เท่าที่เขารู้มา
เด็กๆน่าจะก้าวเข้าไปในอาณาเขตของยักษ์ตนนี้โดยบังเอิญและไปทำเรื่องให้อีกฝ่ายไม่พอใจ
ต่อให้มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับยักษ์ที่มีพลังเทียบเท่าเทพเจ้าตนนี้อาจจะถือเป็นการหยามเกียรติ
การที่อีกฝ่ายมีรูปลักษณ์แบบนี้ได้น่าจะเป็นยักษ์ที่อยู่มานานมาก
ไม่แปลกที่จะหยิ่งทระนง
"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า และข้าไม่ทำสิ่งสกปรกเช่นนั้น" เสียงทุ้มตอบกลับมา แม้แต่เสียงก็ยังน่าฟัง
ช่างแตกต่างจากยักษ์ที่มีภาพลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวทั่วไปเลยจริงๆ
ใบหน้ามนครุ่นคิด...แปลว่าไม่ได้จับเด็กๆมากินและไม่ได้ทำเพื่อเล่นสนุกด้วย
แบบนั้นคงจะยิ่งยากไปกันใหญ่
“พวกเขาลบหลู่ท่านใช่หรือไม่?
พวกเขาทำให้ท่านโกรธเคืองรำคาญใจใช่หรือเปล่า?
หรือว่าพวกเขาเอาของของท่านไป?”
เสียงนุ่มพยายามถามหาเหตุผลที่ต้องเอาชีวิตเด็กพวกนั้น
“ไม่ใช่
เหตุผลอยู่ที่ตัวของพวกเจ้าเอง”
เขาถึงกับงงงวย
"ถ้าเช่นนั้น…มีทางใดที่ท่านจะยอมปล่อยเด็กพวกนี้ไปบ้างหรือไม่"
"ไม่มี" แล้วร่างสูงสง่าตรงหน้าก็กลายเป็นควันสีดำสูญสลายหายไปทันที
ราวกับต้องการตัดบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้
มีเพียงคำพูดทิ้งท้ายที่ดังก้องไปทั่วศาลเจ้า...
“เด็กพวกนั้นต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เจ้าเอง...ก็ต้องรับผิดชอบที่เรียกข้าออกมาเช่นกัน”
“ข้าจะเอาชีวิตพวกมัน และเจ้าเองก็ไม่มีทางช่วยได้”
มือบางได้แต่ยกค้างเพราะยังไม่พบหนทางแก้ไขแต่อย่างใด
แถมสิ่งที่อีกฝ่ายบอกก็มีแต่จะทำให้มีคำถามมากยิ่งขึ้น
ไม่ใช่แค่เรื่องที่เกิดขึ้นที่ศาลเจ้าร้างนั่นหรือยังไง?
หรือกลุ่มเด็กพวกนี้เคยไปทำอะไรที่ร้ายแรงเอาไว้?
“โฮ~”
เสียงร้องไห้โฮของเด็กๆและพ่อแม่ที่นั่งฟังอยู่ดังระงมอยู่รอบกาย
บางคนก็กรีดร้องหวาดกลัวราวกับคนเสียสติ
เขารู้สึกสงสารเด็กพวกนั้นมากแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อยักษ์ตนนั้นได้บอกเองว่าเขาไม่มีทางช่วยอะไรได้...
มือของใครบางคนจับลงมาที่ไหล่เขา "ท่านนักบวชทำดีที่สุดแล้ว
ที่ผ่านมาเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นเป็นยักษ์ ไม่เคยมีใครเรียกวิญญาณร้ายตนนั้นออกมาได้มาก่อนเลย
นี่คงเป็นโชคชะตาของเด็กพวกนี้แล้ว ท่านก็รู้ว่ายักษ์เป็นสิ่งที่คาถาอาคมใช้การด้วยไม่ได้
เป็นสิ่งที่ปัดเป่าไม่ได้ มีแต่ต้องทำตามความพอใจของมัน" นักบวชของศาลเจ้าก่อนหน้าคนที่พาเด็กๆพวกนี้มาหาเขาพูดปลอบใจและมีสีหน้าปลงตก
ดวงตาสีเขียวมรกตทอดมองเด็กๆอย่างเห็นใจ
พวกเขายังเด็กกันอยู่เลยแท้ๆ
จะไม่มีทางช่วยได้เลยจริงๆเหรอ...
ร่างโปร่งบางกลับเรือนของตัวเองซึ่งอยู่ลึกที่สุดในหมู่อาคารของศาลเจ้า
เขาเปลี่ยนจากชุดทำพิธีมาเป็นกิโมโนสีขาวกับกางเกงฮากามะสีฟ้าในแบบที่นักบวชชินโตทั่วไปสวมใส่กัน
ข้างๆห้องนอนของเขามันเป็นหอพิธีกรรมซึ่งมีตำราโบราณอยู่มากมายและเขาเองก็ใช้เวลาตั้งแต่เด็กเพื่อศึกษาตำราพวกนี้
ถึงจะรู้ว่ามันไม่น่าจะมีแต่เขาก็ยังเฝ้าภาวนาขอให้มันมีเล่มที่หลุดรอดสายตาของเขาไป...ตำราที่จะช่วยเด็กพวกนั้นได้
มือบางรื้อค้นตำราเหลืองกรอบออกมาอย่างพยายามจะหาทางช่วย
เขายังไม่ยอมถอดใจง่ายๆ เพราะหากเขาซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายถอดใจแล้วเด็กพวกนั้นจะทำยังไง
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแต่ก็ยังไม่เจอวิธีอะไรเลย...
“เฮ้อ...” ในขณะที่กางตำราไว้บนหน้าตักแล้วทอดถอนใจ เขาก็นึกถึงใบหน้าของยักษ์ตนนั้นขึ้นมา
ไม่เหมือนยักษ์จริงๆนั่นแหละ...
หน้ากากที่ใช้ก็ดูงดงามแปลกตาและประณีตมาก
มันเป็นหน้ากากสีทองอันหาได้ยากในหมู่หน้ากากยักษ์ ทั้งเขาและการตัดเส้นก็ใช้เพียงสีดำเท่านั้น
เป็นหน้ากากที่ให้ความรู้สึกราวกับชนชั้นสูงมากกว่าจะเป็นยักษ์เสียอีก
และยักษ์ตนนั้นไม่ได้ดูเกรี้ยวกราดดุร้าย
ไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดน่ากลัวสยดสยองเหมือนที่ในตำราเขียนเอาไว้
แต่กลับดูเย็นชาไร้ความเห็นใจ
อีกความรู้สึกหนึ่งที่รับรู้ได้ก็คือ
ยักษ์ผู้นั้นชิงชังมนุษย์...
“ท่านนักบวช!
แย่แล้วครับท่านนักบวช!!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายที่ใกล้เข้ามาทำให้ใบหน้ามนหลุดจากภวังค์
มือบางวางตำราลงก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง
นักบวชชั้นผู้น้อยก็วิ่งมาถึงพอดี
“เกิดเรื่องแล้วครับ
แฮ่ก...แฮ่ก...”
นักบวชคนนั้นพูดไปก็หอบหายใจไป คงจะวิ่งมาเต็มที่
“เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“มี...มีเด็กคนนึง...ถูกฆ่าตายแล้วครับ!”
“ว่าไงนะ?!”
เขาแทบจะนิ่งค้างไปทั้งร่างเมื่อได้ฟังแบบนั้น
“เชิญทางนี้เถอะครับ” ใบหน้ามนพยักรับก่อนจะรีบวิ่งตามนักบวชคนนั้นไป
เป็นไปได้ยังไง?
นี่มันเพิ่งจะผ่านไปไม่นานเองนะ
จากพิธีเชิญวิญญาณยังผ่านไปไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย
“หลบหน่อยครับ
ขอทางให้ท่านมินาโตะเข้าไปดูหน่อย”
นักบวชแหวกผู้คนที่มายืนออกันอยู่ที่หน้าประตูเพื่อให้เขาเข้าไปในห้องที่เด็กคนนั้นพักอยู่
แล้วแค่ก้าวขาเข้ามาเพียงก้าวเดียว
กลิ่นคาวเลือดก็ตีขึ้นจมูกฉุนกึก มือบางต้องยกขึ้นมาปิดปากด้วยความสะอิดสะเอียน
ศีรษะ...ของเด็กคนนั้นกลิ้งอยู่บนพื้นแถวปลายเตียง
ดวงตาเหลือกโพลงอย่างคงจะตายตอนที่หวาดกลัวสุดขีด
ห้องทั้งห้องชะโลมไปด้วยเลือดจนเหมือนร่างกายของเด็กคนนั้นโดนตัดด้วยใบพัดลมที่คมกริบ
เพียงแต่ในห้องนี้ไม่มีพัดลม
ชิ้นส่วนร่างกายกระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง
แขนที่มีรอยสักหล่นอยู่ไม่ไกลจากปลายเท้าของเขา
เขา...เพิ่งจะปลอบโยนเจ้าของแขนข้างนี้ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง...
ท่ามกลางความโศกเศร้าและเสียงร้องไห้ระงมของคนเป็นพ่อแม่
เขากัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ...หากเขาหาวิธีปัดเป่ายักษ์ตนนั้นได้ก็อาจจะช่วยเด็กคนนี้ไว้ได้ก็ได้
มือบางถึงกับกำแน่น
ยิ่งหันไปเห็นเด็กและผู้ปกครองที่เหลือที่มองมาตาลอยตัวสั่นงันงกแล้วเขาก็ยิ่งเจ็บใจ
จะรอให้เด็กพวกนั้นตายก่อนไม่ได้
จะรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว!
ร่างโปร่งปลีกกายออกจากห้องก่อนจะก้าวขาฉับๆกลับไปยังห้องพักของตน
นี่ขนาดอยู่ในศาลเจ้าของเขา
ขนาดเพิ่งเจรจากันไป เจ้ายักษ์ใจร้ายตนนั้นกลับไม่มีความปรานีบ้างเลย
“เจ้าเอง...ก็ต้องรับผิดชอบที่เรียกข้าออกมาเช่นกัน”
คำคำนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเขาต้องรับผิดชอบยังไง
เพราะการที่เขาเรียกอีกฝ่ายออกมามันเหมือนเป็นการกระตุ้นให้ลงมือไวขึ้นกว่าเดิม
สังเกตได้จากระยะเวลาในการฆ่าเด็กแต่ละคนมันถี่ขึ้นเรื่อยๆ
เพราะคนแรกยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
ส่วนคนต่อมาที่ตายก็เพราะเริ่มหันไปพึ่งพาเครื่องรางและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งคนหลังๆยิ่งเข้าวัดทำพิธีปัดเป่า
มันเลยเหมือนยิ่งกระตุ้นเร้าให้ตายไวมากกว่าเดิม
ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว...จะช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว...
ครืด!
มือบางเปิดประตูเลื่อนของหอพิธีกรรมก่อนจะเดินเข้าไปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น...
ใช่ว่าจะไม่มีทาง
เพียงแต่เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะใช้มันเท่าที่เป็นไปได้...
ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปยังส่วนที่อยู่ลึกสุดของหอพิธีกรรม
ไฟถูกจุดขึ้นทีละดวง ทีละดวง
แสงที่ส่องสลัวๆทำให้เกิดเป็นพื้นที่แสนศักดิ์สิทธิ์...ที่ใต้ชินเคียวหรือกระจกเทพ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำศาลเจ้าชินโตที่ถูกวางไว้บนแท่นบูชาในฐานะรูปเคารพของเทพเจ้า
มีกล่องไม้โบราณกล่องหนึ่งวางอยู่
มันคือกล่องตำราต้องห้ามที่ตกทอดในหมู่ผู้นำศาลเจ้าจากรุ่นสู่รุ่น
นอกจากหัวหน้าหอพิธีกรรมแล้วก็ไม่มีใครรู้การมีอยู่ของมันอีก
มือบางหยิบม้วนคัมภีร์ที่จารึกอยู่บนม้วนไม้ไผ่นั่นขึ้นมา
ถ้าเขายอมใช้มันตั้งแต่แรก...เด็กคนนั้นก็คงจะไม่ตาย...
จริงอยู่ที่ไม่มีวิธีปัดเป่าหรือขับไล่ยักษ์ตนนั้นออกไป
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีอื่น...
ดวงตาใสสะอาดจ้องมองม้วนคัมภีร์ในมืออย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
ถึงจะไม่เคยมีบันทึกมาก่อนว่ามีใครเคยทำสำเร็จบ้างหรือไม่เพราะผลที่ต้องแบกรับมันมากมายเกินไป
จึงไม่เคยมีใครยอมเอาตัวเข้าไปเสี่ยงในการทำพิธีนี้
จะให้อธิบายง่ายๆมันก็เป็นพิธีตัวตายตัวแทนนั่นแหละ
ที่มันต้องห้ามก็เพราะว่ามันอันตราย
เขา...จะต้องแลกชีวิตกับเด็กพวกนั้น
สิ่งที่เด็กๆได้รับมาจากยักษ์ตนนั้นเขาก็จะต้องเป็นคนรับแทน
เขาจะย้ายเครื่องหมายของยักษ์ที่สลักอยู่บนตัวเด็กๆมาไว้ที่เขาแทน!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
เอาละสิลูกน้อยหอยสังข์ของมัมหมี
โดนยักษ์จับกินไม่เหลือไว้ให้ใครได้กลิ่นแน่ย์ อิ๊ๆๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น