Tsurune. Au.Fic [Shu x Minato] ยักษ์ : 01
: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Fanfiction Au
:
Fujiwara Shu x Narumiya Minato
:
Romance Dark Fantasy
: NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: มีฉากสยดสยอง ฆาตกรรม ศพ เลือด
ใครไม่ชอบแนวนี้ข้ามไปนะคะ
ยักษ์...เป็นสิ่งที่เกิดมาพร้อมกับไอวิญญาณเข้มข้นอันชั่วร้าย
ไม่ว่าจะคาถาหรืออาคมใดๆล้วนไม่มีผลต่อยักษ์
เป็นสิ่งที่ขับไล่ไม่ได้
ปัดเป่าไม่ได้
และหากยักษ์ตนนั้นหมายหัวผู้ใดแล้ว...คนผู้นั้นย่อมไม่มีวันหลุดพ้นจากเงื้อมมือของมันไปได้
จงอย่าให้ยักษ์ทำเครื่องหมายบนร่างกายเด็ดขาด
.
.
.
.
.
.
“ชู่ว....ทุกคน...เบาๆครับ
อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป...รู้ไหมครับว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน...”
บนหน้าจอที่มืดสลัวของโทรศัพท์มือถือมีเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งยืนอยู่ในนั้น
ใบหน้าที่เจาะทั้งคิ้วและจมูกกำลังพูดใส่หน้าจอด้วยท่าทางชวนให้ติดตาม
“ดูสิครับ...รอบๆนี้วังเวงสุดๆ
ไม่มีใครอยู่สักคนได้ยังไงกันเนี่ย~”
กล้องจากมือถือถูกแพลนไปรอบๆเผยให้เห็นเพียงเงาตะคุ่มๆของกลุ่มอาคารที่อยู่ไกลออกไป
แต่สิ่งที่อยู่ใกล้จนประชิดติดหลังก็คือเสาโทริอิสูงทะมึน ยิ่งภาพถูกถ่ายเสยขึ้นไปก็ยิ่งหลอนราวกับจะมีใครนั่งมองลงมาจากบนคานใหญ่ๆนั่นยังไงอย่างงั้น
เสียงติ๊งๆจากคอมเม้นต์จึงยิ่งไหลมาเทมาให้กลุ่มคนที่หาญกล้ามาล่าท้าผีกระหยิ่มยิ้มย่องและคึกคะนองขึ้นไปอีก
“ใช่แล้วครับ
ที่นี่คือศาลเจ้าร้างในตำนานซึ่งใครๆก็ว่าเฮี้ยนนักเฮี้ยนหนา วันนี้ทีม The Nightmare
ของเราเลยจะมาไลฟ์สดพิสูจน์ให้เห็นจะๆกันไปเลยครับว่า มี!
หรือ ไม่มี!”
“ฝากกดไลค์ด้วยนะค้า~”
เด็กสาวย้อมผมทองที่เดินอยู่ด้วยกันโผล่หน้าเข้ามาในกล้องก่อนจะโบกมือทักทายแฟนๆรายการที่ดูผ่านไลฟ์สด
นอกจากคนดำเนินรายการที่กำลังไลฟ์ผ่านโทรศัพท์มือถือแล้วก็ยังมีตากล้องเดินตามเพื่อเก็บภาพบรรยากาศอีกต่างหาก
“แค่เหยียบเข้ามาในพื้นที่ศาลเจ้าก็รู้สึกเย็นไปถึงหลังคอเลยครับ
โห นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“ไม่ใช่ว่าตอนนี้มันฤดูหนาวเหรอวะ
ฮ่าๆๆ”
เสียงแซวส่งมาจากเด็กผู้ชายหัวเกรียนที่ดูเฮ้วๆหน่อย
“ไอ้ห่านี่
กูอุตส่าห์บิ๊วท์”
คนไลฟ์ก็หันไปด่ารับคำแซวอย่างคึกคัก
ดูก็รู้ว่าไม่ได้มีความกลัวเกรงหรือเคารพสถานที่แต่อย่างใด...ไม่ได้เชื่อในเรื่องลี้ลับ
ไม่ได้คิดว่าผีจะมีจริง
“ดูที่อาคารร้างตรงนั้นสิครับ
เหมือนจะเป็นที่ประกอบพิธีเลย เดี๋ยวเราลองเข้าไปดูกันนะครับ”
กล้องเคลื่อนที่เข้าไปใกล้อาคารรูปแบบญี่ปุ่นโบราณที่พบได้ในศาลเจ้าทั่วไปมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ความเก่าโทรมเหมือนไม่มีใครดูแลมานานก็ทำให้มันต่างจากที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด
“เห้ย
มันล็อคไว้ว่ะ”
มือของใครบางคนจับแม่กุญแจสนิมเขรอะที่ถูกคล้องเอาไว้พลิกดูไปมาผ่านกล้อง
“ไหนดูดิ๊?
โอ้โห กุญแจตั้งแต่สมัยสงครามโลกเลยไหมวะ เขย่าสองสามทีก็หลุดแล้ว” ไม่ว่าเปล่า
มือที่ยื่นเข้ามาใหม่กระแทกแม่กุญแจโบราณนั่นกับขอบประตูแรงๆสองสามที...แล้วมันก็หลุดออกมาจริงๆ
หลุดออกมา...ราวกับเป็นความตั้งใจของใครบางคนเสียมากกว่า...
แต่เด็กที่กำลังคึกคะนองก็ไม่ได้สนใจ
ไม่มีใครเอะใจเลยด้วยซ้ำ
กลุ่มคนทั้งแปดยังคงเดินเข้าไปในอาคารประกอบพิธี...
โดยหารู้ไม่ว่าที่ศาลเจ้าแห่งนี้...แม้แต่เทพก็ยังอยู่ไม่ได้
เพราะมันโดนยึดไปโดยสิ่งที่มีพลังมหาศาลตนหนึ่ง
ภายในอาคารศาลเจ้าก็เก่าโทรมไม่แพ้ด้านนอก
ผ้าม่านที่เคยห้อยอยู่ระหว่างเสาขาดรุ่งริ่งยิ่งเสริมบรรยากาศชวนขนหัวลุกเข้าไปใหญ่
แทบไม่มีอะไรเหลืออยู่ยกเว้นบริเวณแท่นพิธีที่ยังคงหลงเหลือแจกันเก่าๆที่ล้มกลิ้งอยู่บนพื้น
เศษกระดาษฉีกขาดที่ไม่รู้ว่าเป็นตำราหรือยันต์กันแน่เพราะมันกรอบไปหมดแล้ว เศษอะไรแตกเกลื่อนพื้นไปหมด
หยากไย่ก็โยงใยจนแทบจะนึกเค้าของเดิมไม่ออก
แต่ท่ามกลางสิ่งของแตกๆหักๆที่ถูกทิ้งไว้พวกนั้น...กลับมีของชิ้นหนึ่งที่ยังดูมีสภาพดีอยู่...และมันก็สะดุดตากลุ่มคนทั้งแปดมาก
“เฮ้ย
นั่นอะไรน่ะ?” คนถือกล้องชี้ชวนเพื่อนๆให้หันไปมอง
“ไร?
ไหนวะ?”
“ที่วางอยู่บนแท่นบูชานั่นไง” ทั้งแปดคนขยับไปรุมล้อมแท่นบูชาก่อนจะจ้องมองไปที่จุดๆเดียว
“หื๋อ?....หน้ากาก?”
เป็นหน้ากากไม้ที่ถูกทำขึ้นมาตามอย่างวิธีโบราณ
ถึงสีจะลอกร่อนไปบ้างแต่ก็ไม่ง่ายที่จะทำให้มันผุสลาย
ใบหน้าสีทอง...
รอยยิ้มที่แสยะแยกเขี้ยวยาวโง้ง...
และเขาสีดำทั้งสองที่งอกออกมาบนหน้าผาก...
“เหวอ!
หน้ากากยักษ์ไม่ใช่เหรอเนี่ย? ทำไมมาอยู่ในศาลเจ้าวะ?!” เด็กสองสามคนถึงกับผงะถอยหลัง
แต่ในคนกลุ่มใหญ่ย่อมต้องมีสักคนแหละที่ขึ้นว่าหัวโจก
“ไหนดูซิ”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยื่นมือไปยกหน้ากากยักษ์อันนั้นขึ้นมาอย่างไร้ความยำเกรง
ไม่พอ มือหยาบกร้านยังพลิกมันไปมาเพื่อมองสำรวจจนทั่ว
“วางลงเหอะ
อย่าไปเอามาเล่น กูว่ามันไม่น่าจะดีนะ”
เพื่อนคนหนึ่งพยายามเตือน
แต่คนไม่เชื่อยังไงมันก็ไม่เชื่ออยู่ดีในเมื่อตรงนี้ไม่ได้มีอะไรมาพิสูจน์ได้ว่าหน้ากากอันนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์
“มึงก็เว่อร์ไป
ก็แค่หน้ากากเก่าๆเอง ใครอาจจะเอามาวางหลอกให้กลัวไว้ก็ได้” เด็กหนุ่มยักไหล่แล้วยังยกหน้ากากขึ้นมาสวมทาบลงบนใบหน้าของตัวเองอีกต่างหาก
“แฮ่~
น่ากลัวไหมครับทุกคน~” เด็กหนุ่มคนนั้นหันไปเล่นกับกล้องที่กำลังไลฟ์สด
เสียงติ๊งๆดังขึ้นรัวๆ
มีทั้งคนขำว่าน่ากลัวเสียไม่มีละ มีทั้งคนเตือนว่าอย่าไปลบหลู่
มีทั้งคนยี้ว่าสกปรก มีทั้งคนหลอนบอกว่าหน้ากากมันน่ากลัว แล้วก็มีทั้งคนชมว่าสวยอยากจะขอซื้อต่อ...
“เออ
กูก็ว่าสวยอยู่นะเนี่ย ดูเป็นของโบราณดีว่ะ กูเอากลับบ้านดีไหมวะ?”
ขั้นตอนการทำหน้ากากโบราณแบบนี้ประณีตมาก
ต่อให้เก่าแล้วและคนที่ถืออยู่จะไม่ได้รู้คุณค่าของมันก็ยังมองออกว่ามันสวย
ต่อให้เป็นหน้ากากยักษ์ก็ตาม
“กูไม่เอาด้วยนะ
แม่งหลอนจะตาย” มีหลายคนก็ทำหน้าแหยงๆ
“พวกมึงมันตาไม่ถึง
หน้ากากแบบนี้พวกนักสะสมของเก่าอย่างชอบเลยเนี่ย กูเอากลับไปด้วยดีกว่า” แต่เด็กหนุ่มหัวโจกก็ยังดึงดันที่จะเอาหน้ากากนั่นกลับไป
“เรื่องของมึงแล้วกัน
กูไม่เกี่ยวด้วยนะ ท่านเทพคร้าบบบ ผมไม่เกี่ยวนะคร้าบบบ” คนพูดหันไปก้มกราบอากาศด้วยอารมณ์หยอกล้อ
คนที่เหลือก็เบื่อที่จะคัดค้าน ด้วยความที่คบกันมานานจึงรู้ว่ายังไงมันก็ไม่ฟังหรอก
เพื่อนๆจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มเอาหน้ากากยัดใส่กระเป๋าที่สะพายอยู่ไป
“นั่นแหละครับ
คาโมะซังผู้หาญกล้าจะเอาหน้ากากนั่นกลับไปด้วยครับ
มารอดูกันว่าคาโมะซังจะมีวิญญาณมิโกะสาวตามติดกลับไปด้วยไหม ฮ่าๆๆ”
กล้องยังคงถ่ายต่อไปราวกับเป็นเรื่องที่เอามาล้อเล่นได้
กลุ่มเด็กทั้งแปดเริ่มกระจายตัวออกไปสำรวจตามห้องตามอาคารต่างๆของศาลเจ้าเมื่อเห็นว่าเวลาเริ่มล่วงเลยมานานมากแล้ว
“ส่วนศาลเจ้าแห่งนี้
เท่าที่เดินดูก็ยังไม่เจออะไรนะครับ น่าจะมาเสียเที่ยวกันละ
ทางนู้นมีอะไรไหมวะ?”
“มีแต่อาคารเก่าๆ
สงสัยเป็นเรือนนอนของพวกนักบวชของศาลเจ้าละมั้ง ไม่มีไรเลยว่ะ”
“ก็นั่นแหละครับ
ใครที่ว่างจัดไม่มีอะไรทำจะมาตามรอยพวกเราก็ได้
แต่ถ้าใครว่างบ้างไม่ว่างบ้างก็อย่าตามมาเลยครับ เสียเวลา นอนอยู่บ้านดีกว่า ฮ่าๆๆ”
“โอเคครับทุกคน
เดี๋ยวพวกเราจะกลับกันแล้ว ไว้คราวหน้าเราจะพาไปที่ไหนอีกก็อย่าลืมติดตามกันนะครับ~ บาย~” ไลฟ์ถูกปิดลงแค่นั้นแต่กลุ่มวัยรุ่นยังโหวกเหวกไม่หยุด
บางคนก็ถ่ายฟุตเพื่อเอาไปใช้ตัดต่อ บางคนก็ถ่ายสตอรี่ของตัวเอง
“เซลฟี่กันหน่อยค่า~ ไหนๆก็มาแล้ว หว๋า~บรรยากาศอย่างได้”
เด็กสาวที่ย้อมผมสีทองกับสีส้มเอียงหัวเข้าหากันก่อนเสียงชัตเตอร์กล้องจะดังขึ้น
“คราวหน้ามาจัดปาร์ตี้ฮาโลวีนที่นี่ดีไหมวะ
ไกลผู้ไกลคนไม่มีใครมาบ่นดีฮ่าๆๆ” เด็กสาวหัวทองเดินไปหาเด็กหนุ่มหัวโจกที่เดินพูดด้วยเสียงไม่กลัวเกรงอะไรเข้ามา
ปล่อยให้เด็กสาวหัวส้มเปิดเช็ครูปจากในมือถืออยู่ตามลำพัง
“รอยอะไรวะเนี่ย?” มือที่ทำเล็บประดับกากเพชรวิบวับพยายามถูหน้าจอโทรศัพท์เมื่อพบความผิดปกติในรูปที่เพิ่งถ่ายเมื่อกี้
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นที่หน้าจอเด็กสาวจึงถ่างภาพขยายใหญ่ดูให้แน่ใจ
“เชี่ย
รอยอะไรวะ? มิกิ! มานี่ดิ๊”
เสียงห้าวตะโกนเรียกเด็กสาวหัวทองที่มีแขนของหัวโจกประจำกลุ่มพาดคอตามติดมาด้วย
“อะไรคะเพื่อน?”
เด็กสาวหัวทองเย้าแหย่ก่อนจะเอียงคอมองหน้าจอมือถือที่เพื่อนส่งให้ดู
“หื๋อ?”
นิ้วเรียวยกขึ้นถ่างรูปขยายโดยอัตโนมัติเมื่อมองเห็นรอยอะไรบางอย่างบนใบหน้าของพวกเธอในรูปรูปนั้น เด็กสาวทั้งสองหันมามองกันโดยไม่ได้นัดหมายทันที
“ก็ไม่มีนี่หว่า?”
แต่บนใบหน้าของพวกเธอก็ไม่มีรอยอย่างที่เห็นในรูปนั่น หรือจะเป็นเพราะแสง?
“ไหนมาถ่ายใหม่ดิ๊”
ทั้งสองคนเอียงหัวเข้าหากันอีกครั้งและคราวนี้ก็มีพ่อหนุ่มหัวโจกเพิ่มเข้าไปในรูปด้วยอีกคน
แชะ!
มือที่ทำเล็บวิววับสไลด์หน้าจอเพื่อเช็ครูปอีกครั้ง
แต่คราวนี้เด็กสาวถึงกับหนาวไปถึงไขสันหลัง
นี่มันอะไรกัน...
ทำไมรอยเหมือนเดิมกลับยังอยู่บนใบหน้าของพวกเธอรวมไปถึงบนหน้าของหัวโจกประจำกลุ่มด้วย
มันเป็นรอย...เหมือนดอกฟูจิที่ห้อยลงมาเป็นพวง
เป็นรอย...เหมือนปานสีแดงจางๆ เป็นรอย...ที่พาดอยู่บนใบหน้าซีกขวาเหมือนๆกัน
เด็กสาวถึงกับดวงตาเบิกโพลงก่อนจะรีบสไลด์กลับไปดูรูปก่อนๆ
แล้วก็พบว่า...
ทุกรูปที่ถ่ายในศาลเจ้าร้างแห่งนี้...ใบหน้าของพวกเขาทุกคน...ล้วนมีรอยแบบนั้นติดอยู่...
“กรี๊ด!!” เธอถึงกับโยนมือถือทิ้งอย่างหวาดกลัว เพื่อนสาวหัวทองของเธอก็เริ่มรู้แล้วว่าสถานการณ์มันไม่ปกติเพราะรูปในมือถือของเธอเองก็เป็นเหมือนกัน
“ฉะ
ฉันว่าเรารีบกลับกันเถอะ”
เธอหันไปเขย่าแขนเพื่อนที่เป็นหัวโจก
แม้แต่เด็กหนุ่มผู้ไม่ยำเกรงต่อสิ่งใดก็ยังปฏิเสธไม่ได้
“เฮ้ย!! กลับกันได้แล้ว!!” เด็กหนุ่มหันไปตะโกนเรียกเพื่อนที่เหลือ
“อะไรวะ?” คนที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เดินมารวมตัวกันด้วยท่าทางมึนงง
“กลับเร็ว
ขึ้นรถ ไปเดี๋ยวนี้เลย”
หนุ่มหัวโจกดันหลังเพื่อนๆให้ขึ้นรถโดยที่ยังไม่ได้อธิบายอะไร
คนอื่นก็คิดว่าเป็นแค่การแกล้งอำกันเล่นจึงต่างขึ้นรถอย่างขำๆแล้วขับออกไป
“เจ้าพวกมนุษย์โง่เขลา”
เสียงหนึ่งก้องกังวานอยู่ทั่วศาลเจ้าโดยไม่มีใครได้ยิน...
แต่กลิ่นไอของความตายนั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
เรื่องรอยอะไรบางอย่างบนใบหน้าถูกบอกให้ทุกคนที่ไปในวันนั้นรับรู้
และไม่ว่าจะเป็นในกล้องตัวไหนที่ถ่ายไว้ก็จะเห็นรอยที่เป็นเหมือนเครื่องหมายอะไรบางอย่างบนใบหน้าของพวกเขาทั้งสิ้น
ทั้งๆที่พวกเขามั่นใจว่าในวันนั้นบนใบหน้าของพวกเขาไม่ได้มีรอยแบบนี้อยู่
มันเป็นรอยที่พาดผ่านยุบยับไปครึ่งหน้า
ถ้ามีพวกเขาก็ต้องเห็นสิ
มีหลายคนเอาเรื่องนี้ไปโพสลงโซเชียลด้วยความตื่นเต้นและเห็นเป็นเรื่องสนุกที่จะช่วยสร้างกระแสในโลกออนไลน์ได้
แต่อีกหลายคนก็มีอาการหวาดผวาเพราะคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ...
พวกเขาดำเนินชีวิตต่อไปอีกหลายสัปดาห์...จนกระทั่งมีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมาในไลน์กลุ่มของพวกเขา
“มึง...มิกิตายแล้วว่ะ” มิกิคือเด็กสาวผมทองที่ไปด้วยกันในวันนั้น
และคนที่ส่งไลน์มาบอกก็คือเด็กสาวหัวส้มนั่นเอง
“ห๊ะ?
เกิดอะไรขึ้น?”
ไลน์เด้งเป็นคำประมาณนี้อีกหกครั้งต่อกันทันที
“รถชน...ตายคาที่เลย...”
“รถอะไรชน?
ที่ไหน? เมื่อไหร่? ยังไงวะ? เล่ามาให้ละเอียดดิ๊”
“เมื่อเช้ามืดนี่เอง...มิกิมันเพิ่งกลับจากผับ
แล้วตอนที่ยืนเมาๆรอรถที่เสาไฟข้างถนน จู่ๆรถบรรทุกก็ยางแตกแล้วชนมัน...”
“นี่กูรู้มาจากพี่สาวมันนะ...ว่ารถบรรทุกลากมันไปไกลเป็นกิโลเลย...เลือดนี่ลากยาวเป็นทางเต็มถนนเลยมึง
ใครเห็นก็บอกว่าสยดสยองมาก...กูยังไม่กล้าเปิดโลงดูหน้ามันเลย”
“มึงไปงานศพมาเหรอ”
จากคำพูดที่เคยคึกคะนองก็ดูเหมือนจะสลดลงไปทั้งกลุ่ม
“ตอนนี้กูก็ยังอยู่ในงานศพ...”
“แล้วพวกมึงรู้อะไรไหม...พี่สาวมันบอกว่า...บนหน้ามิกิมีรอยเต็มไปหมดเลย...ไม่รู้ว่าเป็นรอยครูดจากถนนหรือรอยอะไรกันแน่...แต่รอยมันแปลกมาก”
“มันเป็นรอยเหมือนพวงดอกฟูจิ...เหมือนในรูปที่พวกเราถ่ายที่ศาลเจ้าร้างนั่นเลย...”
แล้วทั้งห้องแชทก็ถึงกับนิ่งค้างไป
ไม่มีใครส่งข้อความอะไรอยู่หลายนาที
“ไม่หรอกน่า...คงเป็นรอยครูดของถนนนั่นแหละ”
หนึ่งในเจ็ดคนที่เหลือพยายามส่งข้อความปลอบใจตัวเอง พยายามคิดว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุ
ทั้งที่เสี้ยวหนึ่งในใจก็ยังกระวนกระวายว่ามันอาจจะเกี่ยวกับการที่พวกเขาไปที่ศาลเจ้าร้างนั่นแล้วมีอะไรบางอย่างติดกลับมาจริงๆ
อะไรบางอย่าง...ที่ตั้งใจจะเอาให้ถึงตายกันไปข้าง
เด็กหนุ่มผู้เป็นตากล้องของทีม
The
Nightmare ดึงปีกหมวกแก๊ปลงเพื่อปิดบังใบหน้าก่อนจะกวาดสายตามองรอบกายอย่างหวาดระแวง
หลังจากวันที่มิกิตายก็ผ่านมาได้หนึ่งเดือนพอดี
แล้วก็เป็นหนึ่งเดือนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
เพราะเขาเชื่อ...ว่าการตายของมิกินั้นไม่ปกติ
มันไม่ใช่อุบัติเหตุ...
และที่สำคัญ...เขารู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนจับจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
“เชี่ยเอ้ย...ไม่เอานะ...”
เสียงสบถอย่างกดดันดังงึมงำอยู่ภายใต้ริมฝีปากที่กำลังกัดเล็บ
สองขาก้าวเดินอย่างรีบเร่ง สายตาก็มองไปรอบๆอย่างร้อนลน
ต้องรีบกลับบ้าน...ต้องรีบกลับให้ถึงบ้านให้ไวที่สุด
เพราะดูจากสถานการณ์ของมิกิแล้ว...บางที...การอยู่แต่ในบ้านน่าจะปลอดภัยกว่า
ต่อให้ในกลุ่มจะยังคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่สำหรับตากล้องอย่างเขาแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่กล้องสิบกว่าตัวจะเมครูปที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมา
นอกเสียจากว่าตอนนี้บนตัวพวกเขาจะมีเครื่องหมายพวกนั้นอยู่บนใบหน้า...แต่เรามองไม่เห็น...
มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าอย่างหวาดหวั่นก่อนจะกำเครื่องรางที่เพิ่งได้มาจากศาลเจ้าเมื่อกี้เพื่อให้อุ่นใจขึ้น
จะโดนเพื่อนล้อก็ช่างแต่ตอนนี้เขาวิตกจริตไปหมดแล้ว
ที่ศาลเจ้าเองก็บอกว่ามันอาจจะเป็นพวกคำสาปซึ่งมักจะทิ้งเครื่องหมายไว้ในตัวเหยื่อที่พวกมันกำลังสาปแช่งอยู่
ติ๊ด
“ฮู่ว...”
ใบหน้าซีดเซียวถึงกับถอนหายใจเมื่อผ่านเข้าประตูของอพาทเม้นต์ที่อาศัยอยู่เข้ามาได้
เขาเดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปกดลิฟท์ด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ...ไม่รู้ทำไมกัน...ตั้งแต่ได้เครื่องรางมากลับยิ่งหวาดวิตกมากกว่าเดิม
เหมือนดวงตาที่จ้องมองอยู่มันขยับเข้ามาใกล้มากๆ
มันเหมือนกับว่า...เขาได้ไปท้าทายอำนาจของอะไรบางอย่างที่รุนแรงอยู่...
ช่างเถอะ
รีบเดินให้ถึงห้องไวๆดีกว่า เขาตั้งใจเอาไว้แบบนั้นในขณะที่รอให้ประตูลิฟท์เปิดออก
เขาก้าวเข้าไปในลิฟท์...ยืนรอมันเคลื่อนที่ขึ้นอย่างเชื่องช้า
ปลายเท้ากระดิกอย่างคนกระสับกระส่าย เหงื่อกาฬทำไมแตกพลั่กขนาดนี้ก็ไม่รู้
ติ๊ง!
เสียงลิฟท์ดังขึ้นก่อนประตูจะค่อยๆเปิดออก...
ขาที่เตรียมจะก้าวออกไปถึงกับชะงักงัน
ดวงตาถึงกับเบิกกว้าง...เงาอะไรบางอย่างแผ่กระจายอยู่หน้าประตูห้องเขา!
มันหันมายิ้มให้...คอของมันเอียงพับลงมาข้างหนึ่งทำให้รอยยิ้มที่ฉีกถึงใบหูนั่นยิ่งดูน่าสยดสยอง
แถมยังมีเลือดไหลย้อยออกมาจากปาก...
แกร่กๆๆๆ
นิ้วจิ้มรัวๆไปที่ประตูลิฟท์
ปิดเร็วๆสิวะ!
หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก
ความหวาดกลัวพุ่งถึงสุดขีด เพราะจู่ๆเจ้าสิ่งนั้นมันก็พุ่งตรงมาทางนี้ทันทีที่รับรู้ถึงตัวตนของเขา!
“อ๊ากกกกก”
เขาหลับหูหลับตาจิ้มไปที่ลิฟท์อย่างไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะพาเขาไปที่ไหน
แต่สัญชาติญาณบอกแค่ว่าต้องหนีไปจากตรงนี้ก่อน!
ปึง
ประตูลิฟท์ปิดใส่หน้ากลุ่มก้อนสีดำพวกนั้น
ส่วนที่เล็ดรอดเข้ามาได้ก็สลายหายไปเป็นควัน
“แฮ่ก...แฮ่ก...” สองมือหยิบเครื่องรางยื่นออกไปข้างหน้าด้วยหน้าตาเลิ่กลั่ก
เนื้อตัวสั่นงันงกไปหมดแล้ว เมื่อกี้...เมื่อกี้...
มันไม่ใช่แค่เงาสีดำธรรมดา
นอกจากไอ้ตัวที่หัวพับแสยะยิ้มเลือดย้อย มันยังมีหน้ากากยักษ์ที่กำลังอ้าปากแยกเขี้ยวกรีดร้องเป็นควันสีดำพวยพุ่งออกมานับร้อยหน้า!
“โอ๊ย...” เขาสั่นขาพลางกัดฟัน
และเมื่อประตูลิฟท์เปิดเขาก็พุ่งออกไปอย่างไม่ต้องใช้เวลาคิด
ก่อนจะเห็นว่าเงาสีดำพวกนั้นก็พุ่งตามเขามาจากบันไดข้างลิฟท์เช่นกัน!!
สองขาวิ่งหนีด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
ทั้งล้มลุกคลุกคลานแต่เขาก็ยังตะเกียกตะกายที่จะเอาชีวิตรอด
เพราะเขารู้ได้เลยว่าถ้าเขาไม่หนี...เขาตายแน่...
ในใจได้แต่ถามซ้ำๆว่าเขาไปทำอะไรให้
เขาไม่ได้ลบหลู่ด้วยซ้ำมีแต่เพื่อนของเขาทั้งนั้นที่ทำ เขาพยายามสวดมนต์ในใจ
พยายามอ้อนวอน แต่ก็ดูเหมือนความชั่วร้ายที่รู้สึกได้นี้จะไม่ลดละเลย
และแล้ว...เขาก็ถูกต้อนให้จนมุม...
เพราะลิฟท์ไม่ได้เปิดที่ชั้นหนึ่ง...แต่มาเปิดที่ชั้นสิบห้าซึ่งเป็นดาดฟ้า...
เขายืนตัวสั่นหลังพิงราวกั้นอย่างกลัวสุดขีด
ปัสสาวะถึงกับไหลลงไปตามขา
เขากำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มก้อนสีดำพวกนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามันเป็นอะไร เขาปาเครื่องรางใส่แต่มันก็กลืนหายเข้าไปในความมืดมิดโดยไม่เกิดอะไรขึ้น
ไม่ได้ผลเลยสักนิด
“กะ
แกเป็นใคร! ต้องการอะไร!”
เขาตะโกนออกไปอย่างคนเสียสติ ใบหน้าที่กำลังแสยะยิ้มนั้นจ้องมองเขาในระยะที่แทบจะหายใจรด
“ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้าว่าข้าเป็นใคร...แต่ถ้าถามว่าข้าต้องการอะไรคำตอบก็ง่ายนิดเดียว” เสียงเย็นยะเยือกตอบออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆไม่ได้มาจากใบหน้าแสยะยิ้มที่กำลังจ้องเขาอยู่
ความเย็นชาที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงทำให้ขนลุกไปทั้งตัว...คนที่พูดนั่นน่ากลัวกว่าไอ้ตัวเลือดย้อยตรงหน้านี่หลายเท่า
“สิ่งที่ข้าต้องการก็คือ...ชีวิตเจ้า”
และเขายังไม่ทันได้อุทธรณ์ใดๆ
มือที่เกิดจากควันสีดำพวกนั้นก็พวยพุ่งตรงมายังใบหน้าของเขา
ถึงแม้จะเห็นเป็นแค่กลุ่มควันแต่มันกลับมีพลังงานมหาศาล
ร่างทั้งร่างถูกยันให้ร่วงหล่นลงมาจากดาดฟ้าอย่างที่ไม่อาจต้านทานได้
ความทรงจำทุกอย่างแล่นเข้ามาในหัวทั้งเรื่องดีเรื่องชั่วที่เคยไปทำไว้
“อั่ก!
อ๊ากกกกกกกกก”
ความเจ็บปวดมากมายเทกระหน่ำลงมาบนร่างกาย
เพราะเขาไม่ได้ถูกผลักให้ตกลงมาตายง่ายๆ...แต่มือสีดำนั่นกำหัวของเขาไว้ก่อนจะจับมันกดไถลงมากับผนัง!!!
กว่าจะถึงพื้นด้านล่าง...ร่างกายของเขาก็แหลกเละพอดี
และสีแดงของเลือด...ก็ทาทับผนังเป็นทางยาวลงมาจากดาดฟ้าจนถึงพื้นด้านล่าง
สร้างความสยดสยองให้แก่คนที่ได้พบเห็น...
“พวกนาย...รู้เรื่องของเคตะกันรึยังวะ...” ข้อความเด้งขึ้นในไลน์กลุ่มอีกรอบ
“จะไม่รู้ได้ไงวะ
เป็นข่าวไปทั่วเมืองเลย ขนาดเซ็นเซอร์แล้วภาพแม่งก็อย่างน่ากลัวอ่ะ...”
ตอนนี้ในห้องแชทไม่มีความเฮฮาปาร์ตี้เหลืออยู่อีกแล้ว
“คนรู้จักกูที่เป็นกู้ภัยเค้าบอกว่าที่หน้าของเคตะก็มีรอยเหมือนดอกฟูจินั่นด้วยว่ะ....”
“.....กูว่ามัน...ไม่ใช่อุบัติเหตุแล้วไหมวะ...สองคนแล้วนะ...”
“หรือว่ามันจะเกี่ยวกับศาลเจ้าร้างนั่นจริงๆ?”
“คาโมะ...กูว่ามึงเอาหน้ากากยักษ์นั่นไปคืนดีกว่าว่ะ
กูว่าตอนนี้มันมีอะไรแปลกๆ...”
“........กูก็อยากจะทำอยู่หรอกนะ...แต่หน้ากาก...มันหายไปแล้วว่ะ...”
“หมายความว่าไงวะ?”
“มึงจำคนในไลฟ์ที่คอมเม้นต์ว่าอยากซื้อหน้ากากต่อได้ไหมวะ
หลังจากเรากลับกันมา เค้าก็หลังไมค์มาถามกูว่าจะขายไหม แล้วแม่งให้ราคาอย่างงามอ่ะ
กูเลยจะขาย”
“แต่ว่า...พอกูไปเปิดกระเป๋าดู...หน้ากากมันไม่อยู่แล้วว่ะ...”
“ทั้งๆที่กูมั่นใจว่ากูใส่ใว้ในกระเป๋านี่ตลอด
ไม่ได้เอาออกไปไหนเลย”
“มึงแน่ใจนะว่ามึงไม่ได้โกหกพวกกูแล้วขายหน้ากากนั่นเอาเงินไปแดกคนเดียวแล้วเนี่ย?”
“ไม่ได้โกหกโว้ย
ไม่เชื่อมึงไปตรวจสอบบัญชีกูได้เลย พี่คนนั้นจะซื้อตั้งล้านเยนเลยนะ”
“โห...”
“แล้วมันหายไปไหนวะ
มึงไม่ได้เอาไปวางไว้ไหนแน่นะ?”
“ไม่มีทางอ่ะ
แม่งหลอนสัสขนาดนั้น กูไม่เอามาตั้งประดับบ้านแน่ กูเกือบลืมไปแล้วด้วยเนี่ยถ้าพี่คนนั้นเค้าไม่หลังไมค์มา”
พูดถึงตรงนี้หลังคอของทุกคนต่างเสียววาบเพราะเริ่มรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
มัน...ไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้...
[ตายปริศนาในป่าหลังวัดใหญ่...ด้วยร่างกายที่ราวกับถูกฉีกกระชากจากฝูงสัตว์ร้าย
ชิ้นส่วนศพกระจัดกระจายไปทั่วจนตอนนี้ก็ยังตามเก็บมาไม่หมด]
[พบยูทูบเบอร์ชื่อดังดับสยองคาห้องพัก
ตอนนี้ตำรวจยังไม่สามารถสรุปผลการตายได้เพราะเลือดเปรอะยิ่งกว่าสีทาบ้าน
ร่างกายก็แหลกเละเหมือนถูกบดขยี้แล้วขว้างใส่ผนังไปเรื่อยๆ]
เด็กหนุ่มที่เคยเป็นหัวโจกของกลุ่มนั่งหอบหายใจถลึงตาเบิกกว้างอยู่บนเบาะหลังของรถ
ร่างกายที่คุดคู้นั่นสั่นเทาราวกับเป็นคนละคน
จากเด็กหนุ่มเฮ้วๆที่ไม่เคยกลัวเกรงอะไรตอนนี้กลับหวาดผวาต่อสิ่งรอบกายไปเสียหมด
นั่นก็เพราะข่าวหน้าหนึ่งในช่วงนี้ล้วนเกี่ยวพันกับพวกเขา...สี่ในแปด...ตายไปแล้ว...
แล้วก็เป็นการตายที่เอนจอนาถน่าสยดสยองมาก
ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเป็นการตายที่ทรมานขนาดไหนและเพื่อนของเขาจะต้องหวาดกลัวสุดขีดขนาดไหนสภาพศพถึงได้โหดร้ายทารุณขนาดนั้น
มันไม่ใช่อุบัติเหตุ...มันไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ๆ
การตายของเพื่อนเขาแต่ละคนไม่ใช่ฝีมือมนุษย์แน่ๆ
ตอนนี้สี่คนที่เหลือต่างก็รู้ตัวแล้วว่าตนจะต้องเป็นรายต่อไปหากยังไม่หาทางแก้ไขหรือป้องกันไว้ก่อน
เพราะถึงแม้แต่ละคนจะมีวิธีการตายที่ต่างกันออกไป...แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้นก็คือ...บนใบหน้าของพวกเขา...ล้วนมีรอยเหมือนพวงดอกฟูจิเต็มซีกหน้าด้านขวาเหมือนกันไม่มีผิด
ราวกับรอยประทับตีตรา...ว่าจะมาเอาชีวิตคนที่มีเครื่องหมายนี้อยู่บนตัวยังไงอย่างงั้น
กึด...กึด...
เด็กหนุ่มกัดเล็บด้วยความเครียดจัด
เขาแทบจะพลิกทั้งบ้านเพื่อหาหน้ากากยักษ์อันนั้นเพราะคนที่เหลือคิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับมัน
แต่หายังไงก็หาไม่เจอ
พวกเขาต่างก็เล่าให้ผู้ปกครองฟัง
และในสถานการณ์แบบนี้การหันไปพึ่งพาพระ วัด ศาลเจ้า
ให้ช่วยปัดเป่าให้ก็น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ในเมื่อพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครที่กำลังจ้องจะเอาชีวิตของพวกเขาอยู่
ภูตผีปีศาจหรือวิญญาณร้ายอะไรที่ตามเขามาจากศาลเจ้านั่น
พยายามค้นหาประวัติว่ามีใครโดนฆ่าตายที่นั่นหรือเปล่าเพื่อหาทางแก้หรืออย่างน้อยก็สื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นให้ได้
แต่ก็ไม่พบอะไรเลย จู่ๆศาลเจ้านั่นก็ถูกทิ้งร้างไปเฉยๆ
แล้วก็ไม่เคยมีประวัติทางอาชญากรรมอะไรทั้งนั้น...
เขาจนปัญญาแล้ว
เช่นเดียวกับบรรดาวัดและศาลเจ้าหลายแห่งที่เขากับเพื่อนไปพึ่งพา...แต่ก็ยังมีคนตายอย่างต่อเนื่อง...
พระและนักบวชต่างส่ายหน้าและคาดเดาว่านี่อาจจะไม่ใช่วิญญาณร้ายหรือคำสาปธรรมดา
แต่น่าจะเป็นยักษ์...
คาถาอาคมถึงทำอะไรมันไม่ได้
พวกท่านหมดหนทางจะช่วยแล้วจริงๆ ก็เลยแนะนำให้พวกเขาไปที่ศาลเจ้ายาตะซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องการปัดเป่าภูตผีวิญญาณร้ายที่สุดในญี่ปุ่นแทน
และนี่เขาก็กำลังเดินทางไป
“ทางนี้เลยครับๆ”
นักบวชที่เคยช่วยทำพิธีให้และแนะนำให้เขามาที่ศาลเจ้าใหญ่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเมื่อเขากับแม่ลงจากรถ
เด็กหนุ่มถูกเชิญเข้าไปในห้องห้องหนึ่งซึ่งพบว่าเพื่อนๆอีกสามคนที่เหลือต่างก็มาพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
แต่ละคนดูเปลี่ยนไปมาก หน้าตาซีดเซียวขอบตาดำคล้ำเหมือนคนไม่ได้หลับได้นอนมานาน
ร่างกายก็ผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
ไม่มีแม้แต่คำทักทายใดๆ
ทุกคนดูอิดโรยและนั่งอย่างเงียบๆอยู่ในมุมของตนเท่านั้น
อีกด้านหนึ่งของศาลเจ้า...
ระเบียงทางเดินไม้เก่าแก่ที่มีหลังคาคลุมนั้นทอดยาวเข้าไปในป่าลึกนับสิบกิโล
มันกำลังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดๆตามจังหวะการก้าวย่างของใครบางคน
ร่างที่อยู่ในชุดพิธีการแบบเฮอันนั้นดูบอบบางราวกับมวลบุปผาของเทพเจ้า
สีขาวของชุดกับชายผ้าที่โบกสะพัดพลิ้วไหวยิ่งส่งให้ร่างระหงดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ใบหน้ามนอมยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับทุกสรรพสิ่งรอบกาย
จมูกเล็กๆเป็นสันนั้นช่างรับกับริมฝีปากสีระเรื่อราวกับใบหน้าของตุ๊กตาดินปั้น
ถึงแม้ดวงตากลมโตสีเขียวคู่นั้นจะมีแววดื้อรั้นอยู่บ้าง
ทว่าความใสกระจ่างของมันกลับเป็นสิ่งที่หากได้จ้องมองแล้ว
ต่อให้เป็นเทพหรือปีศาจก็คงไม่อาจปฏิเสธคำขอของเขาได้
เส้นผมสีดำสั้นเหมือนขนแมวพลิ้วไหวไปตามสายลม
ร่างที่ดูน่าทะนุถนอมเดินไปตามระเบียงไม้เหยียดยาวโดยมีแบคกราวเป็นป่าสนซีด้าห์สูงเสียดฟ้าอยู่เบื้องหลัง
ภาพที่ดูลึกลับน่าค้นหานั้นกลับงดงามตระการตาอย่างหาชมได้ยากเต็มที
"ท่านมินาโตะ กลับมาแล้วเหรอครับ เด็กที่จะเข้ารับการปัดเป่ามาถึงแล้วครับ"
นักบวชชั้นผู้น้อยซึ่งยืนรอร่างโปร่งบางอยู่ต้นทางเอ่ยบอก
ใบหน้ามนของคนที่เพิ่งกลับจากการไปเคารพเทพเจ้าประจำวันพยักหน้ารับ
"มาถึงแล้วสินะครับ คงต้องไปพบเสียหน่อยแล้ว"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
ต้อนรับ Jujutsu kaisen ซีซั่นใหม่ที่กำลังจะฉายด้วยฟิคแนวภูติผีวิญญาณคำสาปกันบ้างเนอะ5555 //ไปแต่งฟิค จจส.เซ่
คาอยู่เรื่องนึงน่ะคุณกวางทำเป็นลืมมมม
ก็นั่นแหละ
ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างเนอะสำหรับคู่ชูมิ
จะคลั่งรักอย่างเดียวไม่ดั้ยนะคะคุณชายชู~~
จริงๆก็ไม่ได้ขึ้นเรื่องใหม่มาซะนาน
ขอฝากฟิคน้อยๆเรื่องนี้ไว้อีกเรื่องนะคะ >/////< ขอบคุณทุกๆการติดตามเช่นเคยค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น