Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 26 : END

 Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato]   หรือรักเรียกหา : 26 : END

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction 

: Fujiwara Shuu x Narumiya Minato

: Warmhearted

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ    

  

 


“มินาโตะ ลองเข้าไปเปิดไฟดูหน่อย”    เสียงทุ้มของฟูจิวาระ ชูเอ่ยบอกจากปลายบันไดเหล็กขั้นบนสุด

 

“อื้อ รอเดี๋ยวนะ”    และเสียงใสของนารุมิยะ มินาโตะก็ขานรับจากเบื้องล่างก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในบ้าน  ไม่กี่อึดใจดวงโคมไฟผนังที่อยู่ตรงหน้าก็กระพริบติดขึ้น

 

“ใช้ได้แล้วละมินาโตะ”    ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าชายแห่งคิริซากิตะโกนบอกคนที่อยู่ในบ้าน ตอนอยู่บ้านตัวเองเขาเป็นคุณชายที่แทบไม่ต้องหยิบจับอะไร แต่พออยู่บ้านแฟนก็ต้องเป็นฝ่ายทำให้แม้แต่การเปลี่ยนหลอดไฟ

 

“โอเค”    มินาโตะตะโกนกลับมาก่อนที่โคมไฟจะดับลง ร่างสูงสง่าจึงปีนลงจากบันไดเหล็ก

 

เพราะมินาโตะตัวเล็กและเตี้ยกว่าเขาทำให้แม้แต่บันไดตัวที่ยาวที่สุดในบ้าน มินาโตะก็ยังปีนขึ้นไปไม่ถึงหลอดไฟ เขาจึงต้องเป็นคนขึ้นไปเปลี่ยนให้ ถึงแม้ว่าภาพที่มินาโตะเกาะอยู่บนบันได ทั้งเขย่ง ทั้งเอื้อมสุดแขนนั่นจะน่ารักมากสำหรับเขาก็เถอะนะ แต่ก็ไม่ค่อยอยากให้อยู่ในที่ที่อันตรายแบบนั้นเท่าไหร่

 

“ขอบใจนะชู ช่วยได้เยอะเลย ไฟหน้าบ้านดวงนี้นี่อยู่สูงจริงๆ”    เขาก้มหน้ามองมินาโตะด้วยรอยยิ้ม มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย

 

“บันไดนี่ เอาไปเก็บไว้ที่ไหน?”   ไหล่กว้างสอดเข้าไปในบันไดเหล็กก่อนจะยกมันขึ้น

 

“โรงเก็บของหลังบ้าน ตามมาสิ”   มินาโตะเดินนำไปที่ห้องเก็บของซึ่งเป็นอาคารหลังเล็กๆแยกจากตัวบ้านออกมา

 

มันเอาไว้เก็บของที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่ก็พวกเครื่องมือช่าง ในนั้นจึงเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ขนาดมินาโตะจัดมันไว้ค่อนข้างจะเป็นระเบียบแล้วนะ เขายังต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเข้าไป

 

แต่ขนาดระวังแล้ว เจ้าบันไดที่ยาวเกินไปก็ยังเกี่ยวไปที่ของบางอย่างเข้าจนได้

 

“เอาพิงไว้ตรงนะ- อ๊ะ?! ชู ระวัง!!    ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงของมินาโตะดี ชั้นเหล็กที่มีกล่องลังอะไรมากมายก็เอนถล่มทับลงมาภายในชั่วพริบตา!

 

 

โครม!!!

 

 

เขาไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ปฏิกิริยาอัตโนมัติเพียงอย่างเดียวที่ทำได้ก็คือดึงตัวมินาโตะมาไว้ในอ้อมแขนแล้วใช้ทั้งตัวของเขาป้องกันมินาโตะจากอะไรก็แล้วแต่ที่กำลังร่วงลงมา

 

 

เคร้งๆๆ ตุ้บๆๆ!

 

 

ของหลายอย่างร่วงกราวใส่แผ่นหลังของเขาไม่ขาดสาย แต่อันที่หนักสุดน่าจะเป็นสิ่งที่เพิ่งฟาดลงมาที่ไหล่ในตอนนี้!

 

“อึ้ก...”    ไหล่ขวาโดนกระแทกใส่อย่างรุนแรง มันเจ็บมากจนเขาต้องนิ่วหน้า ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร

 

แต่กระนั้นสองมือก็ยังกดหัวมินาโตะเอาไว้กับอกของตัวเอง พยายามใช้ความกว้างของไหล่ปกป้องร่างกายเล็กๆของมินาโตะเอาไว้

 

ขอแค่มินาโตะปลอดภัย ตัวเขาจะเป็นยังไงก็ช่าง...

 

 

เคร้ง! กลุกๆๆ...

 

 

กว่าเสียงทั้งหมดจะเงียบลงได้ กว่าของทุกสิ่งจะนิ่งอยู่กับที่ เขาก็ถึงกับต้องคุกเข่าแล้วกอดมินาโตะที่นั่งกระพริบตาปริบๆอยู่กับพื้น

 

“บาดเจ็บตรงไหนไหมมินาโตะ? อึก!...”    ในขณะที่ดันลำตัวบางออกจากอ้อมแขนเพื่อมองสำรวจ ที่ไหล่ขวาก็มีความเจ็บแปลบแล่นลิ่วขึ้นมาจนต้องปิดตาลงข้างหนึ่ง

 

“ฉันไม่เป็นไร นายนั่นแหละชู เป็นอะไรรึเปล่า? เจ็บไหล่เหรอ?”    มินาโตะพยายามจะจับไหล่เขาอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะจนถึงตอนนี้มันก็ยังใช้ค้ำยันชั้นเหล็กไม่ให้ล้มทับพวกเขาอยู่!

 

ในที่สุดก็รู้จนได้ว่าไหล่เขาโดนอะไรเล่นงานเอา!

 

“อึก...มินาโตะ ถอยออกไปก่อน มันอันตราย”   คิ้วสีชาขมวดเข้าหากัน เขากัดฟันแน่นอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะถ้าไม่ใช้ไหล่ยันไว้ ชั้นนั่นมันอาจจะล้มลงมาทับมินาโตะก็ได้

 

“แป๊บนึงนะ ฉันจะค่อยๆดันมันออกไป”    สีหน้าของมินาโตะดูตื่นตระหนกที่เห็นสภาพของเขา คนที่เคยใจเย็นอยู่เสมอกลับลุกขึ้นอย่างลนลาน

 

มือบางที่สั่นน้อยๆค่อยๆดันชั้นที่เบาลงมากเพราะของมันหล่นมากองอยู่ที่พื้นเกือบหมดแล้วให้ค่อยๆตั้งตรง ไหล่ของเขาจึงรู้สึกถูกกดทับน้อยลงได้บ้าง

 

“อึก...”    แต่กระนั้นมันก็ยังเจ็บมากอยู่ดี เข่าของเขาถึงกับทรุดลงข้างหนึ่ง เหงื่อกาฬไหลเต็มหน้า

 

“ชู ออกมาก่อนนะ ค่อยๆลุก”    มินาโตะเข้ามาช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้นช้าๆก่อนจะพากันออกมาจากโรงเก็บของ

 

“ไหน ให้ฉันดูหน่อย”    มินาโตะให้เขานั่งลงบนชานบ้านก่อนจะค่อยๆดึงคอเสื้อยืดเพื่อมองไปที่ไหล่เขา

 

“อ่ะ!!    มันเจ็บมากจนแค่ขยับหรือโดนมันนิดเดียวทั่วทั้งร่างก็สั่นสะท้านไปหมด เขาต้องพยายามผ่อนลมหายใจเพื่อรั้งสติเอาไว้

 

“เจ็บเหรอ? ขอโทษนะ”    มินาโตะผงะก่อนจะรีบปล่อยมือจากเสื้อเขา อาการไม่ใช่เล่นๆแล้วแหะที่ไหล่ เขาถึงได้เจ็บจนแทบทนไม่ไหวแบบนี้

 

“ไปโรงพยาบาลกันเถอะ ไหล่นายดูไม่ดีเลยชู โดนกระแทกหนักขนาดนี้ปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด”   มินาโตะขมวดคิ้วดูกังวลยิ่งกว่าคนบาดเจ็บอย่างเขาเสียอีก

 

“....ถ้าเป็นมากจนยิงธนูไม่ได้จะทำยังไง”    ใบหน้ามนเม้มปากแน่นเอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาหวิว

 

เป็นคนอื่นคงจะถามว่านั่นมันใช่เรื่องที่ควรคิดถึงในเวลาแบบนี้ไหม

 

แต่สำหรับเขากับมินาโตะแล้ว...นั่นคือเรื่องแรกที่คิดถึงเวลาที่แขนได้รับบาดเจ็บเลยละ นัยน์ตาสีม่วงจึงมองไปที่ไหล่ของตัวเองอย่างเป็นกังวล

 

ตอนนี้เขายกแขนไม่ขึ้นเลย คงแค่ปฐมพยาบาลไม่ได้แล้ว คงต้องไปโรงพยาบาล

 

“โทรหาโทโจซังที”    มือใหญ่ยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้มินาโตะ มือบางก็รีบรับไปอย่างร้อนลน

 

มินาโตะโทรบอกหัวหน้าพ่อบ้านของเขาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด มือบางจะแตะก็ไม่กล้าแตะไหล่เขาทำได้แค่มองด้วยสายตาเป็นห่วงมาก

 

“เจ็บมากไหมชู? รอหน่อยนะ โทโจซังกำลังมารับ”    ร่างโปร่งบางนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขาก่อนจะช้อนสายตามองไปที่แขนข้างที่บาดเจ็บ กลายเป็นมินาโตะที่มีน้ำตาคลอแทนที่จะเป็นเขาเสียอีก

 

“ยังพอทนได้ ไม่เป็นไรนะมินาโตะ”    มือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บยกขึ้นไปเกลี่ยไล้น้ำใสๆที่ปริ่มขึ้นมาที่หางตาอย่างเอ็นดู มินาโตะจะเป็นห่วงมากก็ไม่แปลกเพราะที่ที่เขาบาดเจ็บคือที่แขนซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการยิงธนู

 

“ขอโทษนะ เป็นเพราะนายช่วยฉันแท้ๆเลย”    มินาโตะทำหน้าหมองๆด้วยความรู้สึกผิด แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากให้มินาโตะโทษตัวเอง เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเพียงอุบัติเหตุ

 

“ก็ดีกว่าปล่อยให้มินาโตะบาดเจ็บนะ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงทนไม่ได้ ฉันยินดีที่จะเจ็บเองมากกว่า”    มือใหญ่ลูบแก้มใสของคนที่เงยหน้ามองเขาเบาๆ มินาโตะกำลังฮึบขนาดหนักจนปลายจมูกกับขอบตาแดงกล่ำ

 

“ฉันก็ไม่อยากให้ชูบาดเจ็บเหมือนกันนี่ ฉันเจ็บแทนนายดีกว่า”    ใบหน้ามนเม้มปากแน่นจนเขาต้องดึงหัวสีดำเข้ามากอดเบาๆ

 

“ยังไงซะเรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว เลิกโทษตัวเองนะมินาโตะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ไม่ใช่ความผิดของมินาโตะ”   เขาจูบกลุ่มผมสีดำอย่างปลอบโยน

 

“แล้วถ้าเกิดนายบาดเจ็บหนักถึงขั้นกลับมายิงธนูไม่ได้ล่ะ? ฉันที่เป็นคนทำให้นายเป็นแบบนั้นคงรู้สึกผิดไปจนวันตายเลย”   มินาโตะซุกหน้าเอาไว้กับหน้าท้องของเขา ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นแต่ตอนนี้คงต้องเชื่อว่าหมอจะรักษามันได้ไปก่อน

 

“แบบที่เห็นในมังงะตั้งหลายเรื่องไง”

 

“ที่พระเอกทำเพื่อนบาดเจ็บจนกลับมาเล่นกีฬาที่รักไม่ได้อีก แล้วทั้งสองคนก็ทะเลาะกัน มองหน้ากันไม่ติด ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้นกับนายอ่ะชู”    มินาโตะทำหน้ายุ่งอยู่ที่หน้าตักเขา แต่การคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายในมังงะนี่มันกลับน่ารักมากในสายตาเขายังไงก็ไม่รู้

 

แล้วมันก็ใช่ว่าจะต้องทะเลาะกัน มองหน้ากันไม่ติดเท่านั้นหรอกนะ เหมือนมังงะพวกนั้นจะยังมีรูปแบบอย่างอื่นด้วย?

 

 

อย่างเช่น... ใช้ความรู้สึกผิดให้รับผิดชอบไปทั้งชีวิต?...

 

ให้ยึดติดอยู่กับบาดแผลที่เราได้รับ จนคนทำทิ้งเราไปไหนไม่ได้อีก?

 

 

ใบหน้าหล่อเหลายิ้มบางๆ ถ้าเป็นเขาละก็ต้องเลือกทางนั้นแน่ๆ

 

เขาจะให้มินาโตะรับผิดชอบไปทั้งชีวิตแน่ๆ

 

 

ถึงจะไม่รู้เหมือนกันว่าแขนเขามันจะเป็นยังไงต่อไป แต่เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือไม่พอใจอะไรมินาโตะเลย

 

ธนูสำคัญต่อเขามากก็จริงแต่มินาโตะสำคัญกว่า

 

เขาไม่ยิงธนูก็ได้ขอแค่มินาโตะยังปลอดภัยอยู่ข้างๆเขาก็พอ

 

 

เพราะฉะนั้น...

 

 

“เราจะไม่ทะเลาะกันแบบนั้นหรอกมินาโตะ...แต่ถ้าฉันกลับมายิงธนูไม่ได้จริงๆ มินาโตะก็ต้องรับผิดชอบ มินาโตะต้องดูแลฉัน ต้องอยู่ข้างๆฉันตลอดไป ตกลงไหม?”

 

“แน่นอนสิ!    มินาโตะลุกขึ้นมาทำหน้าขึงขัง

 

“ฉันจะดูแลนายเอง! ในช่วงที่แขนนายยังใช้ไม่ได้ฉันก็จะคอยช่วยนายเอง ชูต้องการอะไรก็บอกฉันได้เลยนะ อยากได้อะไร จะให้หยิบจับอะไร ฉันจะทำให้ทุกอย่างเลย”    เขายิ้มให้กับใบหน้าที่จริงจังของมินาโตะก่อนจะเอ่ยหยอกเย้า

 

“อันนี้ทำเพราะรับผิดชอบที่ทำให้ฉันบาดเจ็บเท่านั้นเหรอ?”

 

“เท่านั้นที่ไหนล่ะ...ฉันทำเพราะเป็นห่วงนาย ทำเพราะนายเป็นคนรักของฉันต่างหาก”    ใบหน้ามนตอบงึมงำก่อนจะเสหน้าหันไปมองอย่างอื่น เขารู้อยู่แล้วละว่ามินาโตะจะตอบแบบนี้เขาจึงยิงคำถามไป ก็ใบหน้าของมินาโตะเวลาเขินอายมันน่ารักมากเลยนี่นา

 

 

 

 

 

 

ดูเหมือนแขนของเขาจะไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าที่คิด หลังจากถูกพาตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉินและหมอก็ทำอะไรบางอย่างกับไหล่ของเขา ความเจ็บปวดมันก็ทุเลาลงมาก

 

ตัวเขาเองค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะไม่กระทบต่อการยิงธนู  อาจจะต้องพักสักอาทิตย์สองอาทิตย์แต่ไม่น่าจะมีปัญหาถ้าต้องกลับมายิงอีกครั้ง

 

แต่มินาโตะนี่สิดูจะแพนิคมากกว่าเขาเยอะ

 

“ชู ยังเจ็บมากไหม? หมอว่ายังไงบ้าง? แขนนายจะกลับมาเป็นปกติไหม? จะยิงธนูได้หรือเปล่า?”    มินาโตะถามเป็นชุดหลังจากที่เขาถูกบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินเพื่อรอแอดมิทเข้าห้องพิเศษต่อไป

 

“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้หรอกมินาโตะ ต้องรอเอ็กซ์เรย์ก่อน แต่ไม่เจ็บเท่าก่อนหน้านี้แล้วละ”    มินาโตะเม้มปากมองเขาด้วยแววตาสั่นสะท้าน เห็นแล้วก็ทั้งสงสารทั้งดีใจที่มินาโตะห่วงเขาขนาดนี้

 

ร่างโปร่งบางเดินเคียงข้างรถเข็นของเขาไม่ห่าง ไม่ว่าจะถูกพาไปตรวจห้องไหน ต้องนั่งรออยู่ตรงไหน มินาโตะก็ไม่ละสายตาไปจากเขาเลย

 

ป่วยแบบนี้ก็ดีเหมือนกันแหะ?

 

ใบหน้าหล่อเหลาลอบยิ้มอยู่ในใจ

 

 

 

 

 

 

แล้วก็สมกับที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะตรวจจะทำอะไรก็ว่องไวไม่ต้องรอนาน หรืออาจจะเป็นเพราะตระกูลฟูจิวาระมีหุ้นอยู่ที่นี่ค่อนข้างมากก็ได้มั้งที่ทำให้เขาได้รับการดูแลดั่งเจ้าชาย

 

รถเข็นถูกเข็นไปยังตึกพิเศษของคนไข้ในและห้องพักคนไข้ของเขาก็อยู่ชั้นบนสุด เป็นห้องวีวีไอพีและทั้งชั้นนี้ก็มีอยู่เพียงห้องเดียวเท่านั้น

 

มินาโตะถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเปิดประตูเข้ามา ก็ถ้าไม่มีเตียงคนไข้พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องก็คงจะคิดว่านี่เป็นห้องสวีทในโรงแรมมากกว่า

 

เพราะมันมีทั้งชุดโซฟาหนังตัวใหญ่ มีเตียงนอนสำหรับคนเฝ้าไข้ มีแพนทรีกรุหินสีดำสำหรับวางอาหาร มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นวิวได้รอบด้าน การตกแต่งก็ดูไม่เหมือนอยู่ในโรงพยาบาลเลยสักนิด แถมในห้องน้ำยังกว้างขวางขนาดมีอ่างอาบน้ำเลยด้วย

 

“ขออนุญาตินะคะ อีกสิบนาทีคุณหมอจะขึ้นมาพบนะคะ เปลี่ยนชุดเลยไหมคะเดี๋ยวฉันเปลี่ยนให้?”    พยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าห้องโผล่หน้ามาบอกพร้อมกับชุดคนไข้ในในมือ

 

“ไม่ต้องครับ ผมมีคนเปลี่ยนให้แล้ว”   แต่นายน้อยของตระกูลฟูจิวาระกลับปฏิเสธเสียงแข็ง มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะแตะต้องร่างกายของเขาได้ นั่นก็คือมินาโตะ

 

“เอ่อ...ค่ะ ถ้างั้น...นี่ชุดค่ะ ต้องการอะไรก็เรียกนะคะ”   คุณพยาบาลยิ้มแหยๆก่อนจะเดินออกไป

 

“มินาโตะ...”    เขาหันไปมองมินาโตะอย่างอ้อนๆ ความเย่อหยิ่งเย็นชาเมื่อครู่นี้หายไปหมด

 

“อื้อ มาสิ”    มินาโตะหยิบชุดก่อนจะเดินเข้ามาหาเขา 

 

มินาโตะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาอย่างเบามือ ใบหน้ามนที่ดูตั้งอกตั้งใจนั้นมันดึงดูดสายตาของเขาให้มองตามราวกับต้องมนต์ได้ไม่ยาก เพราะเขาชอบ...เวลาที่มินาโตะตั้งใจทำอะไรให้เขา เขาชอบ...เวลาที่มินาโตะคิดถึงแต่เรื่องของเขา

 

“ยังเจ็บไหมชู?”    มือบางแตะแขนข้างที่บาดเจ็บของเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ เขาเผลอมองตามริมฝีปากสีระเรื่อนั่นจนลืมไปเลยว่า

 

“เจ็บ...”    ต่อหน้ามินาโตะเขายังต้องเจ็บอยู่... ทั้งๆที่จริงแล้วมันเหลือแค่อาการเคล็ดขัดยอกแล้วก็เจ็บนิดๆเพราะรอยช้ำมากกว่า

 

“ค่อยๆสอดแขนเข้ามานะ”    เขาอมยิ้มบางๆ รู้สึกถึงความร้อนที่วิ่งวนอยู่บนสองแก้ม ความรู้สึกแบบนี้มันดีเหลือเกิน

 

การที่มีใครสักคนคอยรัก คอยดูแล คอยเอาใจใส่เวลาที่เราเจ็บไข้ไม่สบาย

 

ใครสักคนที่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้

 

แต่สำหรับเขาแล้วต้องเป็นมินาโตะเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

นานๆทีห้องวีวีไอพีที่ชั้นบนสุดนี้ถึงจะได้ใช้งานสักที เพราะฉะนั้นทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุด เก่งที่สุด ในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้องจึงแวะเวียนมาดูแลแทบจะทันทีที่คนไข้อย่างฟูจิวาระ ชูถูกส่งตัวมาถึง

 

เพราะถึงจะไม่ใช่เคสหนักอะไรแต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นถึงทายาทของตระกูลฟูจิวาระเชียวนะ หากได้รับความไว้วางใจ อนาคตของโรงพยาบาลแห่งนี้ก็คงจะสดใสอย่างแน่นอน

 

“หลังจากเอ็กซ์เรย์ดูทุกส่วนแล้ว ไม่พบว่ามีกระดูกแตกร้าวหรือกล้ามเนื้ออักเสบแต่อย่างใดนะครับ นายน้อยฟูจิวาระสบายใจได้ มีแค่อาการไหล่หลุดซึ่งทางแพทย์ฉุกเฉินก็ช่วยดันกลับให้ตั้งแต่ตอนมาถึงแล้วจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลยครับ”   อาจารย์หมอเจ้าของไข้รายงานอาการด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไร้ความกังวลอย่างที่พูดจริงๆ  ร่างสูงสง่าที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาทั้งชุดคนไข้ในจึงฟังรายงานการตรวจรักษาด้วยใบหน้านิ่ง นายแพทย์ที่เป็นถึงหัวหน้าแผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อซึ่งปกติแล้วจะมีพาวเวอร์เป็นอย่างมากยังต้องรู้สึกยำเกรงต่อเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวลูกคนนี้ ออร่าความความน่าเกรงขามและความเป็นผู้นำที่แผ่ออกมาจากตัวฟูจิวาระ ชูนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

 

“แต่เพื่อความสบายใจจึงอยากให้นอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการสักคืนนึงนะครับ เผื่อว่าจะมีไข้หรืออาการที่ยังไม่ปรากฏอย่างอื่น ยังไงแขนก็เป็นอวัยวะสำคัญสำหรับนักธนูแบบนายน้อยนี่นะครับ ตรวจจนแน่ใจย่อมดีกว่า”   

 

“ดูอาการแค่คืนเดียวพอเหรอครับ?”    กลับเป็นเสียงนุ่มที่พูดแทรกขึ้นมา ใบหน้าของเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆดูจะกังวลกับแขนของนายน้อยฟูจิวาระมากกว่าเจ้าตัวเสียอีก

 

“เอ่อ...”    คุณหมอจึงหันไปมองที่คนไข้อย่างขอความเห็น เพราะห้องวีวีไอพีนี้ไม่ใช่ราคาแค่หมื่นสองหมื่นเยนต่อคืน แต่เป็นแสน

 

“.......แอดมิทหนึ่งอาทิตย์ไปเลยครับ”    แต่นายน้อยของตระกูลฟูจิวาระกลับเอ่ยออกมาอย่างไม่ต้องใช้เวลาคิด เพื่อความสบายใจของมินาโตะ และเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่ชอบที่มีมินาโตะคอยพยาบาลไม่ห่างแบบนี้

 

“เอ่อ...ครับ ได้ครับ...”    อาจารย์หมอถึงกับยิ้มแห้ง คนอื่นก็คงคิดว่าเขากังวลว่าจะมีผลต่อการยิงธนูนั่นแหละเลยจะอยู่ตรวจจนแน่ใจขนาดนี้

 

“แล้วไม่ต้องเข้าเฝือกอะไรเลยเหรอครับ? ปล่อยไว้แบบนี้จะโอเคจริงๆเหรอครับ?”     มินาโตะยังคงไม่ไว้ใจ ใบหน้ามนถามตาใส กลัวไปหมดแล้วตอนนี้ว่าแขนเขาจะเป็นอะไรไป

 

“เอ่อ...”    แล้วก็เป็นอีกครั้งที่คุณหมอหันมาหาเขาอย่างถามความเห็น เหมือนกับว่ามันไม่จำเป็นแต่ถ้าคนไข้อยากให้ใส่ก็ทำได้อะไรประมาณนั้น

 

“....ช่วยเข้าเฝือกให้ผมด้วยครับ จะเฝือกอ่อนก็ได้”    แล้วก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่นายน้อยของตระกูลฟูจิวาระตามใจเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆจนคุณหมอเริ่มจะสังเกตุถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้

 

“เข้าใจแล้วครับ แต่นายน้อยไม่ต้องกังวลไปนะครับ มันไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ พักแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ก็หาย”

 

“ทำตามที่เขาอยากได้เถอะครับ”   

 

“ครับ”     อาจารย์หมอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปสั่งพยาบาล ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเหลือบมองเด็กหนุ่มผมดำคนนั้นอย่างลอบจดจำเอาไว้ เพราะเด็กหนุ่มคนนี้น่าจะมีความสำคัญต่อนายน้อยของตระกูลฟูจิวาระมาก พวกเขาจะเสียมารยาทด้วยไม่ได้เด็ดขาด ต้องกำชับเจ้าหน้าที่และพยาบาลที่ดูแลตึกนี้ให้ดี

 

 

 

 

 

พอทีมแพทย์และพยาบาลที่ยกโขยงกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ขอตัวออกไป ห้องทั้งห้องจึงเหลือเพียงแค่โทโจซังที่ยืนจัดข้าวของอยู่ที่แพนทรีกับร่างสองร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา

 

กระปุกยาแก้ฟกช้ำถูกจัดเตรียมไว้ให้ และตอนนี้มือบางก็กำลังเลิกเสื้อคนไข้ในสีชมพูอ่อนขึ้นเผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างซึ่งมีรอยสีม่วงๆอยู่เป็นหย่อมๆ เพราะผิวของชูขาวมากรอยช้ำจึงชัดเจนจนน่ากลัว

 

ปลายนิ้วเล็กๆแตะครีมแล้วแต้มลงบนรอยพวกนั้นอย่างระมัดระวัง เจ้าของแผ่นหลังกว้างไม่ได้รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรแต่กลับอมยิ้มอย่างพึงพอใจ สัมผัสเย็นๆเบาๆพวกนั้นเร้าอารมณ์เขาแปลกๆ ยิ่งรู้ว่าคนที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังของเขาอยู่ในตอนนี้คือมินาโตะ ลมหายใจก็ชักจะติดขัดจนต้องรีบเบี่ยงเบนความสนใจไปโฟกัสที่อื่น

 

จะปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นมันตื่นขึ้นมาตอนนี้ไม่ได้...

 

“มินาโตะ? ยังกังวลอยู่เหรอ?”    ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองใบหน้ามน มือบางดึงชายเสื้อเขาลงก่อนจะปิดกระปุกยาเมื่อทาเสร็จ นิ้วยาวจึงจิ้มลงไปกลางหว่างคิ้วสีดำทั้งสองข้างที่ยังขมวดมุ่น

 

“.....ถึงคุณหมอจะยืนยันว่าไม่เป็นอะไรมากแต่ก็ยังวางใจไม่ได้นะชู”    ...เขาว่ากันว่า เวลาที่คนที่เรารักเจ็บ เราจะเจ็บยิ่งกว่า ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงแหะ ก็ขนาดมินาโตะที่แสนดื้อดึงและไม่เคยใส่ใจเลยเวลาตัวเองป่วย แต่พอเขาเป็นฝ่ายบาดเจ็บบ้างมินาโตะกลับเป็นกังวลยิ่งกว่าตอนตัวเองไม่สบายเสียอีก

 

“ฉันกลัว... กลัวว่าชูจะกลับมายิงธนูไม่ได้อีก”    มินาโตะพูดออกมาหน้ามุ่ย ทำยังไงดี ในขณะที่มินาโตะกำลังทุกข์ใจเพราะเรื่องของเขาขนาดนี้ แต่เขากลับมองว่ามันน่ารักมาก

 

เขากำลังหลงรักมินาโตะมากขึ้น แล้วก็มากขึ้น มากขึ้นไปอีก

 

“ถ้าฉันทำให้นักธนูที่เก่งแบบชูต้องเลิกเล่นไป ฉันคงเศร้ามากแน่ๆ และที่เศร้ากว่านั้นก็เพราะว่าฉันจะไม่ได้ยิงธนูกับชูอีก ฉันคงรู้สึกผิดจนกระอั่กกระอ่วนใจที่ต้องจับธนูเลย”    มือใหญ่ยกขึ้นไปลูบหัวสีดำอย่างเอ็นดู

 

“ถึงฉันจะยิงไม่ได้ แต่มินาโตะต้องยิงต่อไปสิ หื๋ม?”    เขาดึงตัวมินาโตะมากอดไว้ก่อนจะใช้ปลายคางคลอเคลียเส้นผมนิ่มเบาๆ

 

“ฉันจะทำแบบนั้นได้ไงล่ะ ถ้าชูต้องเลิกยิงธนูจริงๆ...บางที...ฉันก็อาจจะเลิกด้วย...”    มินาโตะเอื้อมมือมากอดเอวเขาไว้ในขณะที่ใบหน้ามนซุกลงบนแผงอก แก้มใสแนบลงไปกับเสื้อคนไข้สีชมพู

 

“มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกผิดหรอกนะ แต่ฉัน...รู้สึกไม่ปลอดภัย...ถ้าไม่มีชูยืนอยู่ข้างหลัง...ถึงแม้ตอนนี้เราจะอยู่คนละโรงเรียนกัน ตำแหน่งการยืนก็ต่างไปจากเดิม... แต่ในหัวใจของฉัน ชูยังคงยืนอยู่ข้างหลังฉันเสมอ”

 

“เพราะนายไม่เคยเลิกยิงธนูเลย ตั้งแต่เด็กๆ ตอนที่ฉันเริ่มจับคันธนู ชูก็อยู่กับฉันมาตลอด ไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นนายก็ไม่เคยปล่อยคันธนูเลยสักครั้ง นายยังอยู่ตรงนี้”

 

“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันไหนที่ชูไม่ยิงธนู ฉันคิดว่าชูจะยืนอยู่ข้างหลังฉันตลอดไป แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น...มันก็ทำให้ฉันรู้สึกได้...ว่าถ้าชูไม่ยิงธนูแล้ว...บางทีฉันเองก็อาจจะยิงธนูต่อไปไม่ได้เหมือนกัน...”

 

“ฉันคงหาอะไรมาเติมเต็มช่องว่างจากการที่นายหายไปไม่ได้อีกแล้ว ชู”    ความรู้สึกที่มินาโตะพูดออกมาทำให้หัวใจของเขารู้สึกอุ่นวาบ เขาเพิ่งรู้ว่ามินาโตะคิดยังไง เขาจึงดีใจมาก

 

มินาโตะอาจจะไม่เคยพบเจอกับความรู้สึกที่เขาหายไปมาก่อน แต่เขา...เคยเจอกับความรู้สึกที่มินาโตะหายไปจากเขามาแล้ว

 

ข้างหน้า...มันช่างมืดมน...

 

เขาเคว้งคว้างมากเพราะเขามองไม่เห็นแผ่นหลังของมินาโตะอีกต่อไป

 

เขาเอง...ก็เคยกลัวจนถึงกับยิงธนูไม่ได้เหมือนกัน

 

เขา...ไม่อยากให้มินาโตะต้องพบเจอกับความรู้สึกแบบนั้นเลยจริงๆ...มัน...น่ากลัวมาก

 

เขาจึงตั้งใจจะยืนอยู่ตรงนี้ จะยืนรอมินาโตะอยู่เสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

 

 

“ถ้างั้นก็โชคดีแล้วที่เราไม่ต้องเลิกยิงธนู ฉันจะหายดี แล้วไปยืนอยู่ข้างหลังมินาโตะเหมือนเคยนะ”     เขาก้มมองมินาโตะที่กำลังเงยหน้ามองเขาจากแผ่นอกเช่นกัน มือใหญ่สางผมนิ่มเล่นเบาๆ

 

“อื้อ รีบๆหายไวๆนะชู”

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตาสีม่วงทอดมองกระเป๋ากีฬาใบใหญ่ซึ่งมินาโตะไปขนมาจากบ้านเมื่อวาน ในนั้นมีทั้งเสื้อผ้า ตำรา ชุดนักเรียน และของใช้ในชีวิตประจำวัน มินาโตะบอกกับพ่อไว้แล้วว่าจะไม่กลับบ้านไปอีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อจะมาอยู่เฝ้าไข้เขาที่นี่

 

แต่ตอนนี้มินาโตะไปโรงเรียนอยู่

 

ร่างสูงสง่าลองขยับหมุนหัวไหล่ข้างขวาดู มันขยับได้ไม่ติดขัดเหมือนเมื่อวานแล้ว ความเจ็บจี๊ดๆที่ชอบเกิดขึ้นเวลาขยับแขนก็แทบจะไม่รู้สึกแล้วเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะทีมกายภาพที่มากันอย่างจัดเต็มเมื่อเช้านี้คงช่วยให้ไหล่ของเขาขยับได้ดีขึ้น

 

“โทโจซัง ผมรบกวนหน่อยครับ นี่เป็นกุญแจบ้านมินาโตะ ช่วยหาช่างไปจัดการโรงเก็บของที ช่วยยึดชั้นติดกับผนังให้มันแน่นหนา อย่าให้มันล้มลงมาได้อีก”   คนว่างงานเพราะไม่ได้ไปโรงเรียนเอ่ยบอกพ่อบ้านประจำตัว ชายวัยกลางคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมอาหารกลางวันยันอาหารเย็นจึงเดินเข้ามาหา

 

“ครับ”    มือหนารับกุญแจบ้านและแท็บเล็ตที่นายน้อยของตนยื่นมาให้

 

“เปลี่ยนชั้นใหม่เป็นแบบนี้ไปเลยก็ได้ครับ”    นิ้วยาวเคาะลงไปที่หน้าจอ เห็นนั่งไถแท็บเล็ตอยู่นานนั่นไม่ได้กำลังอ่านหนังสือหรือทำอะไรเพื่อตัวเองอยู่สินะ แต่กำลังเลือกซื้อชั้นวางของให้คุณมินาโตะ?

 

ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นยิ้มบางๆ  น่าจะเป็นคนเดียวจริงๆที่นายน้อยของเขารักและใส่ใจขนาดนี้ ตั้งแต่ที่ดวงตาสีม่วงคู่นั้นลืมตาขึ้นมาดูโลกเขาก็ไม่เคยเห็นมันมองใครอื่นอีก

 

ต้องขอบคุณคุณมินาโตะ ที่ทำให้นายน้อยชูเป็นผู้เป็นคน มีหัวจิตหัวใจเหมือนคนปกติทั่วไป ตอนเด็กๆเขายังเคยกังวลอยู่เลยว่านายน้อยจะกลายเป็นคุณชายผู้เย็นชาและมองทุกอย่างเป็นแค่ผักปลา แต่เพราะเพื่อนอย่างคุณมินาโตะ เพราะความรัก ก็ทำให้นายน้อยค่อยๆเปลี่ยนไป

 

 

 

 

 

 

กลายเป็นภาพชินตาไปแล้วที่จะได้เห็นรปภ.ตั้งแต่หน้าตึกไปจนถึงในตึกโค้งทำความเคารพเด็กหนุ่มในชุดกักกุรันคนหนึ่งอย่างนอบน้อม แม้แต่เจ้าหน้าที่และพยาบาลวอร์ดพิเศษที่ประจำอยู่ชั้นวีไอพีก็ยังก้มหัวให้ทุกครั้งที่ร่างโปร่งบางเดินผ่าน มีเพียงนารุมิยะ มินาโตะที่ยิ้มตอบกลับไปอย่างมึนงงไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

“ชู ฉันกลับมาแล้ว แขนนายเป็นไงบ้าง?”    ร่างโปร่งบางวางกระเป๋านักเรียนลวกๆก่อนจะตรงรี่เข้าไปหาคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงคนไข้

 

“ดีขึ้นมากแล้วละ เมื่อเช้าได้ทำกายภาพบำบัดด้วยนะ”

 

“ค่อยโล่งอกหน่อย ไม่มีไข้หรือเจ็บตรงไหนเพิ่มใช่ไหม?”   มือบางยื่นไปแตะหน้าผากเพื่อวัดไข้

 

“อื้ม แต่ตอนนี้เหนียวตัวมากเลย ตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

 

“งั้น...ฉันอาบให้ไหม?”    มินาโตะช้อนตามองเขาอย่างเขินๆ

 

“อื้ม รบกวนด้วยนะ”    แน่นอนอยู่แล้วที่เขาจะตอบตกลงเพราะว่าเขารอให้มินาโตะกลับมาอาบให้นี่แหละ ไม่งั้นก็คงให้โทโจซังช่วยตั้งแต่เมื่อกลางวันไปแล้ว

 

มือบางแกะเชือกที่ผูกสาบเสื้อออกจากกันด้วยสองแก้มที่แดงระเรื่อ ดวงตาสีม่วงจ้องมองสีหน้าเขินอายนั้นไม่วางตา มินาโตะน่ารักมากจริงๆ

 

เสื้อคนไข้ในถูกพาดไว้ที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ตอนนี้มือบางกำลังลังเลว่าจะทำยังไงกับท่อนล่างของเขาดีเมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะช่วยถอดแต่อย่างใด เขารอให้มินาโตะทำให้ทั้งหมด

 

ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมามองเขาอย่างขอความช่วยเหลือแต่ดวงตาสีม่วงก็มองกลับไปด้วยแววใสๆเหมือนไม่รู้เรื่อง ใบหน้ามนจึงก้มงุดก่อนจะแตะปลายนิ้วลงไปที่ขอบกางเกงของเขา

 

ท่อนล่างไม่ช่วยแถมท่อนบนยังขยับเข้าไปก่อกวนมินาโตะอีกต่างหาก เขาโน้มใบหน้าเข้าไปคลอเคลียแก้มใสจนลมหายใจเป่ารดลำคอระหง ทั้งไหล่หนาทั้งแผ่นอกกว้างบดเบียดร่างกายบางจนสองมือของมินาโตะต้องจับเอวของเขาเพื่อเบี่ยงตัวหนี

 

“ชู...เดี๋ยวก่อน นายบาดเจ็บอยู่นะ”    ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้หอมแก้มใสไปฟอดใหญ่

 

กว่ากางเกงจะถูกถอดออกได้ เสียงหัวเราะคิกคักก็ดังออกมาจากห้องน้ำอยู่นานเพราะแก้มซ้ายและขวาถูกเขาสลับกันหอมไปมา

 

ตอนนี้ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า...เฝือกที่ใส่ช่วยพยุงไหล่ไว้ก็เป็นเพียงเฝือกอ่อนมันจึงถูกถอดออกไปด้วย

 

ใบหน้าของมินาโตะแดงไปจนถึงใบหูในขณะที่แอบเหลือบมามองเขาเป็นระยะๆ มือบางกำลังกรองน้ำในอ่างอาบน้ำเพื่อวัดอุณหภูมิให้อยู่ ถึงจะเคยมีอะไรกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เคยเห็นร่างกายของกันและกันมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่มินาโตะก็ยังเขินอายเมื่อต้องมองร่างกายของเขาตรงๆแบบนี้ทุกที

 

“มานั่งนี่สิชู”    มินาโตะนั่งลงไปที่ขอบอ่างก่อนจะเรียกให้เขาก้าวขาไปนั่งลงตรงกลางระหว่างขาเรียวทั้งสองข้าง เขารู้ว่ามินาโตะไม่ได้คิดอะไรแต่เขานี่ลอบกลืนน้ำลายไม่ไหว

 

มินาโตะก็แค่จะสระผมให้เขา และท่านี้ก็สะดวกที่สุด...

 

สายน้ำจากฝักบัวทำให้ทั้งหัวรู้สึกเย็นสดชื่น กลิ่นยาสระผมหอมฟุ้งจนเขาเผลอหลับตาลง

 

 

สองมือสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีชาที่เปียกลู่ก่อนจะเกาจนขึ้นฟอง ชูหลับตาด้วยสีหน้าผ่อนคลายเหมือนกำลังสบายจากน้ำหนักมือของเขาที่เกาไปจนทั่วศรีษะ

 

ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงมองเห็นแพขนตาที่ทอดเรียงอยู่บนแก้มของชู ใบหน้ามนอมยิ้มเพราะมีความสุขที่ได้ทำอะไรแบบนี้ให้ชู ได้ดูแล ได้อาบน้ำสระผมให้

 

ชูเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะลืมตามองเขาด้วยรอยยิ้ม ทำให้หัวของชูขยับมาโดนหน้าท้องของเขา

 

“เปียกหมดแล้วชู ฮะฮะ”    เขาไม่ได้โกรธซ้ำยังหัวเราะกับท่าทางขี้อ้อนของชู

 

ชูยังเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเหมือนอ้อนขออะไรสักอย่าง เขาจึงยิ้มบางๆก่อนจะโน้มตัวลงไป

 

แล้วมอบจุมพิตไว้ที่ริมฝีปากของชู

 

จูบถูกตรึงไว้แบบนั้นหลายวินาทีก่อนที่เขาจะละออกมา ก่อนที่บรรยากาศหวานๆจะถูกเปลี่ยนเป็นไฟร้อน เขาต้องรีบดับมันก่อนเพราะตอนนี้ร่างกายของชูยังไม่พร้อม

 

“แค่นี้ไม่พอ มินาโตะ”    ชูเอ่ยหน้าตายเมื่อเขาล้างฟองบนหัวให้

 

“พอแล้ว แขนนายเจ็บ ทำมากกว่านี้ไม่ได้ รู้ไหม?”    มือบางรีบถูสบู่รีบล้างไปตามร่างกาย

 

“แต่ฉันว่ายังไม่พอ ขออีกหน่อยไม่ได้เหรอมินาโตะ...”

 

“พอ~

 

กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็เล่นเอาเขาเหนื่อยทั้งกายและใจ แล้วที่เหนื่อยก็ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย เขาต้องคอยตะครุบมือซุกซนที่เกาะแกะอยู่ตามร่างกายเขานี่แหละ

 

บางทีเขาก็สงสัยนะว่า ถ้ามืออีกข้างมันจะไม่ได้เป็นอะไรขนาดนี้ ทำไมถึงไม่อาบน้ำเองเนี่ย?

 

 

 

 

 

 

การอยู่แต่ในห้องทั้งวันทำให้รู้สึกอึดอัดพอสมควร ตอนหัวค่ำมินาโตะจึงพาเขาไปเดินเล่นที่สวนด้านล่าง

 

เขาถูกจับให้นั่งบนรถเข็นทั้งที่เดินไปเองก็ได้แท้ๆแต่มินาโตะก็กลัวจะกระเทือนถึงหัวไหล่ จึงพยายามหลอกล่อให้เขานั่งในรถเข็นด้วยจุ๊บน่ารักๆหนึ่งที แน่นอนว่าถ้าขัดศรัทธานี้ก็ไม่ใช่ฟูจิวาระ ชูแล้ว

 

รถเข็นถูกเข็นออกจากตึกวีไอพี สวนที่ถูกจัดไว้อย่างดีมีไฟระเรื่อส่องไปตามทาง อากาศก็กำลังเย็นสบาย คนที่ออกมานั่งเล่นก็มีไม่มากเหมือนตอนกลางวัน ถ้าไม่มีคนใส่ชุดคนไข้ในเดินสวนมาก็คงไม่คิดหรอกว่ากำลังอยู่ที่โรงพยาบาล มันเหมือนเดินอยู่ในสวนสาธารณะมากกว่า

 

มินาโตะจอดรถเข็นไว้ข้างๆม้านั่งตัวหนึ่ง พวกเขาจึงนั่งรับลมกันสองคนอยู่ที่นั่น

 

“ไม่มีเพื่อนที่ห้องหรือที่ชมรมมาเยี่ยมบ้างเลยเหรอ? พวกฝาแฝดรู้หรือยังว่าชูบาดเจ็บอยู่น่ะ?”    มินาโตะเปิดบทสนทนาก่อน

 

“ไม่มีใครรู้เพราะฉันบอกคนอื่นๆว่าจะลาไปต่างประเทศ”

 

“อ้าว?”

 

“ไม่จำเป็นที่คนอื่นจะต้องมาวุ่นวายหรอก ฉันอยากอยู่กับมินาโตะเงียบๆแค่สองคน”

 

“คือ...”    มินาโตะดูอึกอักเลิ่กลั่กเมื่อเขาพูดออกไปแบบนั้น

 

“มินาโตะ?”

 

“แต่ฉัน...บอกเซยะ เรียวเฮย์และเพื่อนที่ชมรมยิงธนูของฉันไปแล้ว...”     .....ถ้าเรียวเฮย์รู้ เซ็นกับมันก็คงจะรู้ในอีกไม่นานนี้แน่...

 

“ขอโทษนะชู! ก็...ฉันไม่ได้ไปชมรม...ก็เลยต้องบอกเซยะน่ะว่าจะไปไหน...”    ไม่ใช่ความผิดมินาโตะหรอกแต่เป็นเพราะเขาไม่ได้บอกมินาโตะก่อน แต่ที่เขาแปลกใจกลับเป็นเรื่องที่มินาโตะไม่ไปยิงธนูมากกว่า

 

“มินาโตะไม่ได้เข้าชมรมหรอกเหรอ?”    ยังคิดอยู่ว่ามาถึงไวเชียววันนี้

 

“อื้อ ไม่ได้เข้า ฉันไม่มีสมาธิน่ะ ในหัวมัวแต่คิดเรื่องชู ก็เลยมาหาชูเลยดีกว่า”    น่าดีใจแหะ...มินาโตะเลือกเขาแทนที่จะเป็นธนู

 

เป็นคนอื่นคงเฉยๆ แต่นี่คือมินาโตะที่ไม่เคยเห็นอะไรอยู่ในสายตานอกจากธนูเชียวนะ แล้วมินาโตะคนนั้นก็ยอมงดซ้อมเพื่อมาหาเขา

 

แขนข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บจึงสอดประสานมือเข้ากับมือนิ่มๆของมินาโตะ นิ้วทั้งห้าเกี่ยวพันกัน ถึงหลังจากนั้นจะนั่งมองต้นไม้ใบหญ้าด้วยความเงียบงัน แต่หัวใจที่อยู่เคียงข้างกันเสมอก็มีแต่ความอบอุ่น

 

 

 

 

 

 

แล้วสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างเด่นชัดว่า ถ้าเรียวเฮย์รู้ ฝาแฝดของชมรมยิงธนูคิริซากิก็จะรู้ไปด้วยนั่นก็คือ การที่มีเด็กนักเรียนหญิงจากโรงเรียนคิริซากิมายืนออกันอยู่เต็มล็อบบี้ตึกผู้ป่วยพิเศษในวันรุ่งขึ้น!

 

ใบหน้ามนมองอย่างอึ้งๆก่อนจะพยายามเดินเงียบๆฝ่าฝูงชนเข้าไป ในมือของเด็กสาวนับร้อยต่างก็มีทั้งดอกไม้ ผลไม้ คุกกี้ ขนม และสารพัดของเยี่ยมที่จะสรรหากันมาได้ภายในวันเดียว ตอนนี้คงรู้ไปทั่วทั้งโรงเรียนคิริซากิแล้วแน่ๆ

 

และที่เด็กสาวพวกนั้นยังยืนออกันอยู่แค่ตรงนี้ เข้าไปไม่ได้ นั่นก็เพราะถูกรปภ.ที่สวมสูทดำกันเอาไว้ ไม่มีใครผ่านเข้าไปได้แม้แต่คนเดียว

 

ยกเว้นเขา?

 

ร่างโปร่งบางเดินผ่านแถวรปภ.เข้าไปด้วยใบหน้างงๆ เดิมทีเขาไม่ได้คิดหรอกว่ารปภ.พวกนี้เป็นทีมบอร์ดี้การ์ดที่มาคอยคุมกันชู เขาคิดว่าคงเป็นของคนไข้คนอื่นเพราะตึกนี้ยังมีห้องวีไอพีอยู่อีกหลายห้อง

 

แล้วในขณะที่เขากำลังก้าวเดินต่อไปยังโถงลิฟท์ เด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็จำเขาได้ พวกเธอจึงตะโกนออกมาว่า

 

“ฟูจิวาระคุงอยู่ตึกนี้จริงๆด้วย! ให้เราเข้าไปนะ!

 

“นารุมิยะคุง! นั่นนารุมิยะคุงใช่ไหม?!

 

“คุณครับ เชิญครับ”    ยังไม่ทันที่เขาจะได้โต้ตอบพวกเธอ แผ่นหลังบางก็ถูกบอร์ดี้การ์ดดันเข้าลิฟท์ไปเสียก่อน

 

“เด็กผู้หญิงพวกนั้น...มาเยี่ยมชูเหรอครับ?”

 

“น่าจะใช่ครับ แต่นายน้อยฟูจิวาระแจ้งไว้ว่าไม่ต้องการพบใครและไม่ให้เข้าพบนอกจากคุณคนเดียวครับ”

 

“เอ่อ...ครับ”

 

เขาเดินงงๆออกจากลิฟท์มา คุณพยาบาลที่อยู่เคาน์เตอร์หน้าห้องส่งยิ้มมาให้

 

ก๊อกๆ แกร่ก...

 

ชูยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาด้วยใบหน้าไม่ทุกข์ร้อนเหมือนเคย

 

“ชู มีคนมารอเยี่ยมชูอยู่ข้างล่างเต็มเลย อาจจะมีเพื่อนในห้องด้วยก็ได้นะ”     เขาวางกระเป๋านักเรียนลงพร้อมกับเล่าให้ชูฟัง

 

“ฉันไลน์บอกหัวหน้าห้องกับประธานชมรมแล้วว่าไม่ต้องมา”     แต่ชูกลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่ใส่ใจว่าใครจะมารออยู่

 

“ไม่อยากเจอเพื่อนๆหน่อยเหรอ?”    เขานั่งลงที่โซฟาพลางปลดประดุมกักกุรันออก

 

“มินาโตะอยากให้คนพวกนั้นขึ้นมาเหรอ?”     ชูเงยหน้าขึ้นมาถาม อืม...ถ้าถามเขาว่าอยากให้เด็กสาวพวกนั้นขึ้นมาหาชูไหม...

 

“ไม่ ห้ามขึ้นมา”    เขาตอบสั้นๆง่ายๆได้ใจความ เขาก็หวงของเขาเหมือนกัน!

 

“ฮึ มินาโตะก็ขี้หึงเหมือนกันแหะ”    ชูเอ่ยแซวก่อนจะก้มลงไปแก้สมการคณิตศาสตร์ต่อ

 

“ก็ชูเป็นของฉัน”

 

“ครับ ชูเป็นของมินาโตะคนเดียวครับ”    ชูเงยหน้ามายิ้มพร้อมกับวางปากกาลง

 

“พรุ่งนี้ให้โทโจซังไปรับนะมินาโตะ พวกนั้นรู้แล้วว่ามินาโตะจะเดินเข้ามา มินาโตะต้องโดนรุมแน่ๆ มาทางที่จอดรถกับโทโจซังปลอดภัยกว่า”    ชูพูดกับเขาทำเอารู้สึกอึ้งไปน้อยๆ

 

“เหมือนดาราเลยอ่ะชู”    ดวงตากลมใสมองไปที่ชู

 

“ฉันเป็นทายาทของตระกูลฟูจิวาระที่เป็นกลุ่มธุรกิจหมื่นล้านและมีรากฐานชอนไชอยู่ในระบบการเมืองการปกครองของญี่ปุ่นนะ มินาโตะรู้รึเปล่า? ฮึๆๆ”    นิ้วยาวจิ้มลงไปกลางหน้าผากใสอย่างเอ็นดู

 

“ชูก็คือชู ฉันรู้แค่นั้นแหละ”

 

“ฉันก็ชอบที่มินาโตะเห็นฉันเป็นแค่ชูเหมือนกัน”

 

 

 

 

 

 

แต่วันรุ่งขึ้น แทนที่เขาจะได้กลับกับโทโจซังตามลำพัง...มันกลับไม่เป็นแบบนั้น

 

รถยนต์หรูที่ดูคันใหญ่กว่าที่ชูใช้อยู่แล่นมาจอดตรงหน้า โทโจซังลงมาเปิดประตูให้และร่างโปร่งบางก็ก้าวขาขึ้นไปอย่างคุ้นเคยก่อนจะเห็นว่ามีคนอีกคนนั่งอยู่!

 

คุณพ่อของชู!

 

"เอ่อสวัสดีครับ คุณพ่อขออนุญาตินะครับ…"   ไหล่บอบบางแข็งเกร็งขึ้นมาทันที เขาไม่เคยอยู่กับพ่อของชูตามลำพังแบบนี้มาก่อนเลย

 

"เจ้าชูแวะมาที่นี่ทุกวันเลยสินะ?"   เสียงน่าเกรงขามเอ่ยออกมาในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง

 

"ครับ…"   คุณพ่อรู้เรื่องของเขากับชูอยู่แล้วจึงไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก ร่างโปร่งบางจึงพยายามผ่อนคลายเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้กดดันอะไรเขามากมาย

 

"ผมขอโทษจริงๆนะครับที่ชูบาดเจ็บก็เพราะผม…"    เขาวางสองมือไว้บนเข่าก่อนจะก้มหัวขอโทษคุณพ่อจากใจจริง

 

"ชูเต็มใจจะช่วยเธอเองนี่ เธอไม่ได้บังคับให้ชูทำสักหน่อย จะเป็นความผิดของเธอได้ยังไง ไม่ต้องคิดมากไปหรอก ชูเองก็มีเรื่องต้องเรียนรู้อีกเยอะ นี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน"    คุณพ่อพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ คงจะไม่ได้โกรธเขาจริงๆ

 

เขาเคยคิดว่าพ่อของชูจะดุมากและคงไม่ยอมรับเรื่องของเราง่ายๆ แต่คุณพ่อกลับเป็นผู้ใหญ่และยอมทำความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนไป จากที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ตอนนี้เขาจึงเริ่มพูดคุยกับอีกฝ่ายตามปกติได้แล้ว

 

บรรยากาศภายในรถไม่ได้น่าอึดอัดใจอย่างที่คิด คุณพ่อสอบถามเรื่องของชูจากเขาหลายเรื่อง และถ้าเป็นเรื่องของชู เขาก็เล่าให้อีกฝ่ายฟังได้อย่างไม่มีติดขัดอยู่แล้ว

 

รถจึงแล่นถึงโรงพยาบาลเร็วทีเดียวในความรู้สึกเขา

 

พวกเราสามคนเดินจากที่จอดรถใต้อาคารมาที่ลิฟท์ ถึงมันจะไม่ต้องไปเดินผ่านประตูหน้าแต่ว่าก็ยังมองเห็นได้จากล็อบบี้อยู่

 

"นี่พวกนายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? แม้แต่ผอ.โรงพยาบาลนี้ยังต้องเกรงใจพ่อฉันเลยนะ!"   เสียงตวาดดังแว่วมาตั้งแต่ที่พวกเขายังเดินไม่ถึงลิฟท์ด้วยซ้ำ คุณพ่อของชูขมวดคิ้วทันที

 

"เราให้เข้าไปไม่ได้จริงๆครับ ส่วนนี้เป็นโซนวีไอพี ต้องได้รับอนุญาติจากคนไข้เท่านั้นครับถึงจะให้เข้าไปได้"   ดวงตากลมโตเหลือบมองไปที่กลุ่มคนด้านนอกราวกั้นที่ถูกตั้งขึ้นมากันส่วนล็อบบี้กับโถงลิฟท์แบบเฉพาะกิจ ดูเหมือนวันนี้รปภ.จะเยอะกว่าเมื่อวานและกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงก็เยอะกว่าเมื่อวานนี้ด้วย วันนี้มีแม้แต่เครื่องแบบโรงเรียนอื่นที่ไม่ใช่คิริซากิ!

 

"อ๊ะ! คุณลุงคะ! คุณลุง!"    แล้วพอเด็กสาวคนนั้นหันมาเห็นคุณพ่อของชูเข้า เธอก็รีบโบกไม้โบกมือทำทีว่ารู้จักทันที คุณพ่อของชูปรายตามองอย่างหน่ายๆ ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นกับท่าทางแบบนี้นักนะ ใบหน้ามนยิ้มแห้ง

 

"คุณลุงจำหนูได้ไหมคะ? หนูเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลโอดะไงคะ คุณพ่อยังพาหนูไปแนะนำให้คุณลุงรู้จักที่งานเลี้ยงปีใหม่อยู่เลยค่ะ"   ร่างสูงสง่าของผู้นำตระกูลฟูจิวาระคนปัจจุบันเพียงแค่หันใบหน้าไปมอง ไม่ได้คิดจะก้าวขาเข้าไปหาหรือมีท่าทีจะสนใจเด็กสาวแต่อย่างใด

 

ชูเองก็ไม่ชอบคนที่ใช้เส้นสายของตระกูลเข้าหาตน ไม่ชอบคนที่พยายามจะใช้อำนาจบาตรใหญ่และเอะอะโวยวาย เพราะชูถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลที่มีอำนาจจริงๆ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกไปแต่ใครๆก็จะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง 

 

แล้วเขาว่าคุณพ่อของชูก็คงจะเป็นเหมือนกัน 

 

คุณพ่อถึงได้เมินเฉยต่อคำพูดของเด็กสาวคนนั้น

 

"หนูขอขึ้นไปเยี่ยมฟูจิวาระคุงกับคุณลุงด้วยได้ไหมคะ คุณพ่อของหนูฝากของเยี่ยมมาให้ด้วยนะคะ เป็นไวน์ชั้นดีจากแคว้นอัลซาสของฝรั่งเศสเลยนะคะ"    นั่นคือของเยี่ยมไข้เหรอ? เขาได้แต่ยิ้มแหยๆ แต่ดูเหมือนคุณพ่อจะยิ่งขมวดคิ้วหนัก

 

"ขอโทษด้วยนะ ถ้าฉันอนุญาติให้เธอเข้าไป แล้วเพื่อนๆที่รออยู่เต็มล็อบบี้นี่ล่ะ?"   คนเป็นผู้ใหญ่พยายามจะปฏิเสธแบบผู้ดีแต่เด็กสาวก็ดูจะไม่เข้าใจ

 

"มันก็ช่วยไม่ได้นี่คะในเมื่อพวกนั้นไม่ได้รู้จักคุณลุงเหมือนหนู"

 

"ฉันก็ไม่รู้จักเธอ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าโอดะไหน?"    อึ้กกกสมกับเป็นคุณพ่อของฟูจิวาระ ชูจริงๆ ชูแทบจะถอดแบบมาจากคุณพ่อเปี๊ยบ

 

เด็กสาวคนนั้นถึงกับยืนตัวสั่นหน้าดำหน้าแดง แต่ตอนนี้น่าจะรู้สึกว่าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนมากกว่า เพราะเด็กสาวที่ยืนมองอยู่รอบๆต่างเต็มไปด้วยสายตาสมเพชบ้าง เย้ยหยันบ้าง

 

"กลับไปเถอะ เอาของเยี่ยมนั่นกลับไปด้วย ชูขอรับไว้ด้วยใจก็พอ"   คุณพ่อเบี่ยงตัวกลับเตรียมจะเดินเข้าลิฟท์ แต่เด็กสาวก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอคงรู้สึกอับอายจนต้องพยายามลากใครสักคนลงเหวไปด้วย ซึ่งเป้าสายตาในเวลานั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา

 

"แล้วทำไมนารุมิยะคุงถึงเข้าไปได้ละคะ? ทั้งๆที่หนูเป็นเพื่อนร่วมห้องแท้ๆ!"

 

"นี่คือคนที่ลูกชายของฉันอนุญาติ ถ้าเธออยากเข้าไปก็ไปทำให้เขาอนุญาติเองสิ"   คุณพ่อตอกกลับจนหน้าชาก่อนจะเดินเข้าลิฟท์ไป เขาเหลือบมองเด็กสาวเล็กน้อยก่อนจะก้าวขาตามคุณพ่อ การที่เขามาพร้อมนายใหญ่ของตระกูลฟูจิวาระและถูกดูแลอย่างดีโดยหัวหน้าพ่อบ้านประจำตระกูลก็บ่งบอกได้หมดแล้วว่าเขาเป็นคนสำคัญ เด็กสาวพวกนั้นจึงได้แต่กัดฟันมองประตูลิฟท์ที่ปิดลง

 

"ฉันเกลียดเด็กที่ชอบสร้างปัญหาแบบนั้นที่สุด ดีที่เธอไม่ได้เป็นแบบนั้นนะมินาโตะคุง"   เสียงเข้มงวดเอ่ยออกมาอย่างเพลียๆ

 

"ครับ…"    แต่เขากลับหน้าแดง เพราะว่าคุณพ่อเรียกเขาด้วยชื่อตรงๆ

 

"คนที่เก่งหรือมีอำนาจจริงๆน่ะ เขาไม่แหกปากร้องตะโกนป่าวๆแบบนั้นหรอก"   เหมือนคุณพ่อพยายามจะสอนเขาเรื่องการวางตัวที่ดีในสังคม เขาจึงได้แต่พยักหน้ารับ

 

แล้วระหว่างที่อยู่ในห้องพักคนไข้กับพวกเขา โทรศัพท์มือถือของคุณพ่อก็ดังขึ้นอีกหลายสาย ส่วนใหญ่มักมีเป้าหมายไม่ต่างกันนั่นก็คือพยายามโทรมาแสดงความสนิทสนมเพื่อจะขอให้ลูกสาวของตัวเองได้มาเยี่ยมไข้ชู

 

แน่นอนว่านายใหญ่ฟูจิวาระปฏิเสธแบบไม่ไยดี   “คนพวกนี้ดูก็รู้ว่าเข้าหาแกเพราะผลประโยชน์ ถ้าลองได้คบกันสักอาทิตย์คงขอให้เราเซ็นสัญญานู่นนี่นั่นให้แน่ๆ แกต้องดูให้ดีนะชู”

 

“ครับ...”   ชูคงจะอยากตอบออกไปเหลือเกินว่าไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ คนที่ผมคบด้วยมาสิบปีคนนี้ยังเห็นผมเป็นแค่ชูอยู่เลย มีแต่ผมที่แหละที่อยากจะบังคับให้เขาเซ็นต์ แต่เป็นทะเบียนสมรสนะไม่ใช่สัญญาทางธุรกิจ!

 

 

 

คุณพ่อมาดูอาการของชูอยู่ไม่นานก็กลับไป ดูเหมือนคุณแม่จะมาในตอนกลางวันเขาจึงไม่ได้เจอ

 

 

 

"คุณพ่อบอกให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน เพราะตอนนี้ฉันน่าจะกำลังทำให้โรงพยาบาลและผู้ป่วยคนอื่นๆเดือดร้อนอยู่"

 

"ก็จริง คนจะมาเยี่ยมไข้ที่ชั้นอื่นเลยต้องพลอยถูกตรวจสอบเข้มงวดไปด้วยเลย แล้วพอหลายคนในตึกวีไอพีนี้รู้ว่าชูพักอยู่ที่นี่ ก็พยายามจะขึ้นมาเยี่ยม คุณพยาบาลที่เคาน์เตอร์หน้าห้องกับรปภ.ประจำชั้นนี้เลยต้องทำงานหนักไปด้วยเลย"    ก็เข้าใจได้อยู่หรอกนะ เพราะชูไม่ได้เจ็บไข้จนต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ โอกาสที่จะได้มาแสดงน้ำใจในเวลาแบบนี้จึงหาได้ยากเต็มที

 

"ที่จริงฉันเป็นห่วงมินาโตะมากกว่า ฟังจากที่คุณพ่อเล่ามา พวกนั้นเริ่มระรานมินาโตะเกินไปแล้ว"

 

"พวกเค้าไม่ได้ทำอะไรฉันหรอกชู แต่ฉันก็คิดว่านายกลับไปรักษาตัวที่บ้านน่าจะดีกว่า คุณหมอว่ายังไงบ้าง? ให้ออกจากโรงพยาบาลได้ไหม?"

 

"อื้ม คุณหมออนุญาติให้ออกได้และจะส่งทีมแพทย์ไปตรวจที่บ้านให้"

 

"ดีแล้วละ"

 

"แต่ว่ามินาโตะล่ะ จะตามไปดูแลฉันที่บ้านไหม? มินาโตะต้องรับผิดชอบจนกว่าฉันจะหายดีนะ"   ชูทวงหน้าตายและไม่ยอมง่ายๆ

 

"รู้แล้วน่า ไปก็ไปสิ"    และแค่เขาตอบออกไป ชูก็ยิ้มหน้าบาน

 

"ยิ้มอะไรเนี่ย"

 

 

 

 

 

 

เพราะฉะนั้น จากรถที่เคยไปรับเขาจากโรงเรียนไปโรงพยาบาล จึงตรงกลับไปที่บ้านฟูจิวาระแทน

 

"กลับมาแล้วครับ~ ชู ทำอะไรอยู่? แขนนายเป็นยังไงบ้างวันนี้"   เสียงใสเอ่ยทักคนที่นั่งอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นก่อนจะเดินเข้าไปหา เขาเริ่มคุ้นเคยกับบ้านของชูแล้ว

 

"ยินดีต้อนรับกลับครับ แขนก็ดีขึ้นแล้ว พอทำตามที่ทีมกายภาพบอกก็ขยับได้ดีขึ้น"

 

"ทำการบ้านอยู่เหรอ?"   อย่าว่าแต่โรงพยาบาลที่ส่งทีมแพทย์มาตรวจให้ถึงบ้านเลย แม้แต่ที่โรงเรียนเองก็ยังส่งคุณครูมาสรุปเรื่องที่เรียนไปในแต่ละวันให้เหมือนกัน

 

สมเป็นชูจริงๆ ปิดทางสมุดโน้ตที่แย่งกันจะมาส่งให้จากสาวๆในชั้นไปเสียหมด บรรดาสาวหัวดีที่มั่นใจในความเรียบร้อยของสมุดโน้ตตนเองจึงพากันสะดุดล้มหัวทิ่มไปตามๆกัน

 

"อื้อ แต่เสร็จแล้วละ มินาโตะ มานี่หน่อยสิ"   ชูลุกขึ้นก่อนจะเดินนำออกไป เฝือกอ่อนช่วยพยุงไหล่ยังคงถูกสวมไว้ เพราะแบบนั้นชูจึงยังจับธนูไม่ได้และคงจะคิดถึงมันมาก สำหรับนักธนูอย่างพวกเขาการไม่ได้จับธนูมาเจ็ดวันก็นานเกินพอแล้ว

 

ร่างสูงสง่าจึงพาเขาเดินไปตามทางที่เขาจำได้ดีโรงฝึกส่วนตัวของชูที่อยู่ในบ้านหลังนี้

 

"มินาโตะ ยิงธนูให้ฉันดูหน่อย"   ชูเอ่ยออกมาหลังจากที่เราต่างก็นั่งทับสนหันหน้าเข้าหากันอยู่ในโรงฝึก มีชุดฮากามะสีกรมท่าของคิริซากิที่ชูตัดไว้ให้เขาวางอยู่ตรงหน้า

 

ในโรงฝึกแห่งนี้เขาไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมาเลย เพราะทุกอย่างที่เป็นไซส์ของเขาถูกชูเตรียมไว้ให้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชุด ธนู หรือแม้แต่ถุงมือ

 

"ได้สิ"    เขาเองก็ไม่ได้ยิงธนูมาเจ็ดวันเท่ากับชูเหมือนกัน

 

เขาหันไปมองลานยิงด้วยความคิดถึง

 

มือบางช่วยสวมชุดฮากามะให้ชู ตั้งแต่กางแขนเสื้อให้ชูสอดแขนเข้าไป ขยับมายืนด้านหน้าเพื่อจะผูกโบว์ที่เสื้อและโอบิให้ ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของคนที่จ้องมองอยู่

 

ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองมือบางที่กำลังผูกสายรัดฮากามะให้  หน้าผากของร่างสูงคลอเคลียอยู่ที่เส้นผมสีดำเกิดเป็นภาพที่แสนละมุนละไม  ลมหายใจเป่ารดหน้าผากใสเมื่อมินาโตะเงยหน้าขึ้นมามอง

 

ดวงตาสบประสานกันอยู่เนิ่นนานกว่าจะละออกมาได้ บรรยากาศแห่งรักลอยอบอวลอยู่รอบกาย ร่างสองร่างในชุดฝึกยิงธนูสีกรมท่าของคิริซากิ

 

ร่างสูงนั่งทับส้นอยู่ที่ด้านหนึ่งของโรงฝึก แผ่นหลังที่ตั้งตรงยามที่อยู่ในชุดฮากามะแบบนี้ยิ่งดูสง่าผ่าเผยเข้าไปใหญ่

 

นัยน์ตาสีม่วงทอดมองไปยังร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่กลางลานยิง ทุกท่วงท่าของมินาโตะนั้นงดงามมากจริงๆ ไม่ว่าจะท่าทำสมาธิสงบจิตใจ ท่าง้างคันธนู สายตาที่มองตรงไปยังเป้า เสียงทสึรุเนะแว่วหวานดุดันที่พุ่งออกไป จนถึงใบหน้าสงบนิ่งหลังยิงธนู

 

รูปร่างของมินาโตะก็สวยมาก ยิ่งอยู่ในชุดซ้อมของคิริซากิในแบบที่เขาชอบก็ยิ่งถอนสายตาออกมาไม่ได้

 

สวยไปหมด...แค่ได้มองก็ราวกับได้ชำระล้างจิตใจแล้ว...

 

เขาไม่จำเป็นต้องยิงธนูเองก็ยังได้ ตราบใดที่ยังได้นั่งมองมินาโตะยิงอยู่แบบนี้

 

 

 

“มินาโตะ พักก่อนเถอะ”    มือใหญ่ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะอยู่ตามไรผมสีดำให้ ร่างสูงใหญ่ขยับไปยืนซ้อนด้านหลังก่อนจะปลดคันธนูออกจากมือบาง

 

เป้าที่วางห่างออกไป 28 เมตรมีลูกธนูหางอินทรีดำปักอยู่กลางเป้าทั้ง 8 ดอก ฝีมือไม่ตกเลยจริงๆ

 

แก้มของมินาโตะเปล่งปลั่งขึ้นยามเมื่อหันมายิ้มให้เขา เขาจึงส่งรอยยิ้มอบอุ่นตอบกลับไป

 

“พักดื่มชากัน”

 

ชาเขียวขึ้นฟองถูกนำมาเสริฟพร้อมขนมวากาชิรูปดอกซากุระ

 

พวกเขายังนั่งจิบชาเงียบๆกันอยู่ที่โดโจ นั่งมองฟ้า มองต้นไม้ใบหญ้า มินาโตะใช้ไม้ตัดขนมให้เขา รสหวานเลี่ยนตัดกับความขมของชาได้เป็นอย่างดี บรรยากาศช่างสงบสุขจนอยากจะให้อยู่แบบนี้ไปนานๆ

 

แล้วในขณะที่กำลังนั่งมองสวนที่อยู่ระหว่างโดโจกับอาคารวางเป้า ใบหน้าเล็กๆสามสี่หน้าก็โผล่ออกมาจากกอหญ้ากอหนึ่ง

 

“เอ๊ะ? นั่นมันกระต่ายรึเปล่าชู?”    นิ้วเรียวของมินาโตะชี้ชวนเขาดูเจ้ากระต่ายป่าที่แอบมาอาศัยอยู่ในสวนบ้านเขาพักใหญ่มาแล้ว

 

“ใช่แล้วละ มีพ่อ แม่ แล้วก็ลูกกระต่าย”    เขาตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อมินาโตะมองพวกมันตาโต ดูจะชอบพวกมันมาก

 

“พวกมันน่ารักจัง นายจับมันได้ไหมชู?”   มินาโตะหันมามองเขาด้วยท่าทางตื่นเต้น

 

“ยังไม่ได้หรอก ตอนแรกที่เห็นฉันพวกมันพากันวิ่งหนี แต่พอเห็นกันบ่อยๆเข้าพวกมันก็เริ่มเข้ามาใกล้ๆ แต่ยังจับไม่ได้ อาจจะต้องรอให้มันคุ้นกว่านี้”

 

“ดีจัง”

 

“มินาโตะก็มาที่นี่บ่อยๆสิ เดี๋ยวพวกมันก็ยอมให้จับเอง”

 

“อื้อ!    เขาหันไปมองมินาโตะที่กำลังจ้องพวกกระต่ายด้วยรอยยิ้ม เขาชอบความสงบแบบนี้มากจริงๆ

 

 

 

 

 

 

แล้วก็ไม่ได้มีแต่เรื่องยิงธนูที่พวกเขาไม่ได้ทำมาถึงเจ็ดวัน...เรื่องแบบนั้นก็ด้วย...

 

 

“ชู สมุดธนูที่ให้ฉันยืมไปดูเมื่อคราวก่อนอยู่ไหนเหรอ? ขอยืมดูอีกทีได้ไหม?”     เสียงนุ่มเอ่ยถามเมื่อนึกถึงสมุดโน้ตของชูขึ้นมาได้ มันเป็นสมุดที่ชูใช้จดเทคนิคการยิงธนูรวมไปถึงความรู้และศาสตร์เกี่ยวกับธนูที่ได้รับมาจากที่ต่างๆ สิ่งที่อ.ไซออนจิสอนไว้ก็มีอยู่ในนั้นด้วย

 

เขาน่าจะเป็นคนเดียวที่ชูยอมให้ดู

 

“อยู่บนชั้นเหนือโต๊ะอ่านหนังสือน่ะ”     ชูตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ เสียงของชูฟังดูอู้อี้หน่อยๆเพราะกำลังแปรงฟันอยู่

 

“ชั้นเหนือโต๊ะ...ชั้นเหนือโต๊ะ...”    เสียงนุ่มเอ่ยทวนคำก่อนจะไล่สายตาไปที่สันหนังสือมากมายที่อัดแน่นอยู่บนชั้นเหนือหัว ส่วนใหญ่จะเป็นตำราเกี่ยวกับการยิงธนูทั้งนั้นเลย ชูน่าจะหยิบมาดูบ่อยเพราะหนังสือพวกนี้อยู่ใกล้มือที่สุด

 

“อ่ะ เจอแล้ว!    เขาจำสันสีเขียวเข้มของสมุดเล่มนั้นได้ดี

 

แต่ปัญหามันก็มีอยู่ว่า...เขาหยิบไม่ถึง!

 

ใบหน้ามนได้แต่อ้าปากค้างกับความเตี้ยของตัวเอง ไม่จริงน่ะ เขาว่าเขาก็เป็นเด็กผู้ชายที่มีความสูงตามมาตรฐานคนหนึ่งนะ...

 

แต่หลังจากที่ลองเขย่งดูแล้ว...ปลายนิ้วก็ยังแค่แตะโดนมุมล่างนิดเดียว...

 

จากที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับส่วนสูงของชูกับตัวเขาที่ค่อยๆห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็รู้สึกขึ้นมาเลย...

 

หมอนั่นสูงกว่าเขาแค่ไหนกันแล้วเนี่ย?!

 

“ฮึบ!    เขาทั้งเอื้อมสุดแขน ทั้งเขย่ง ทั้งกระโดด แต่ก็ดูจะไร้ความหมาย ริมฝีปากสีระเรื่อต้องเม้มแน่นขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังอยู่ข้างหลัง ชู... ขำอะไรเนี่ย?!

 

ชึ่บ

 

แล้วจู่ๆก็มีมือของใครอีกคนเอื้อมมาหยิบสมุดเล่มนั้นให้จากทางด้านหลัง ซีนนี้อย่างกับในละครก็ไม่ปาน

 

“เอ้า”    ชูเคาะสมุดเล่มนั้นลงบนหน้าผากเขาเบาๆก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูตามมาอีก ชูนะชู!

 

เขาหันไปมองค้อนคนที่ยังไม่ละออกไป แขนข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บยังกางกั้นเขาไว้กับโต๊ะเขียนหนังสือ...เดี๋ยวนะ...เขาพอจะรู้แล้วว่าทำไมชูยังนิ่งอยู่ในท่านี้...

 

คงจะเป็นเพราะก้นของเขา...ไปโดนคุณชายน้อยที่หลับใหลอยู่เข้าพอดี...ตอนที่ชูเอื้อมไปหยิบหนังสือให้...เด็กคนนั้นก็เลยตื่นขึ้นมา.......

 

“.............”     ร่างโปร่งบางถึงกับนิ่งค้างไป แล้วด้วยความที่ไม่ได้ทำมานานมันจึงไม่ยอมสงบลงง่ายๆ แถมดูจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ...

 

“มินาโตะ...”    ชูกดใบหน้ามาพูดอยู่ที่ใบหูเขา ถึงจะยังหันหลังให้แต่เขาก็รู้ดีเลย

 

“มินาโตะเคยบอกว่า...ถ้าฉันอยากได้หรืออยากหยิบจับอะไรก็ให้บอกมินาโตะใช่ไหม...”    ไม่ว่าเปล่าเขายังรู้สึกว่าเจ้าแท่งแข็งขืนนั่นกำลังถูไถอยู่กับร่องก้นของเขาเนิ่บช้า

 

“อะ อืม...”

 

“เพราะงั้น...ฉันขอยืมมือของมินาโตะหน่อยได้ไหม...”

 

“เอ๊ะ?”

 

“ช่วยจับมันแทนมือของฉันที”

 

“เอ๋~~!!

 

เขาถึงกับอ้าปากพะงาบๆตอนที่ถูกชูลากไปที่เตียงด้วยมือเพียงข้างเดียว

 

เดี๋ยว? เดี๋ยวก่อนนะ? เดี๋ยวก๊อน~ แบบนี้มันหมายความว่าให้เขาเป็นคนทำให้ใช่ไหม?!

 

ถึงจะเคยมีอะไรกันมาไม่รู้กี่ครั้งแต่เขาไม่เคยเริ่มก่อนหรือไม่เคยเป็นฝ่ายทำให้เลย เพราะว่าเขาทำไม่เป็น เรื่องแบบนี้เขาก็เรียนรู้มาจากชูแค่คนเดียว แล้วอีกอย่าง...มันก็น่าอายมาก

 

ตุ้บ...

 

ชูดึงเขาล้มลุกคลุกคลานไปบนเตียงก่อนที่ร่างสูงจะนั่งพิงผนังหัวเตียงเอาไว้ เขาจึงถูกปล่อยให้เผชิญหน้ากับคุณชายน้อยตามลำพัง...

 

“เอ่อ...”    ใบหน้ามนมองสลับใบหน้าหล่อเหลากับเป้ากางเกงที่นูนขึ้นมากไปมา ชูดูหายใจหอบน้อยๆน่าจะมีอารมณ์มากแล้ว

 

“ใช้มือก็ได้มินาโตะ...ช่วยฉันที ได้ไหม? หื๋ม?”    มือใหญ่ข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บเอือมมาดึงใบหน้ามนเข้าไปจูบ

 

เขาละออกมาในขณะที่สองขาคร่อมอยู่บนต้นขาข้างหนึ่งของชู สองมือประคองใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยแววออดอ้อนเว้าวอน

 

“กะ ก็ได้...”    ใบหน้ามนแดงแปร๊ดทำเอาเจ้าของห้องเอ็นดู

 

ร่างโปร่งถอยออกมา สองมือเกาะกุมขอบกางเกงช้าๆ แล้วแค่ดึงขอบยางยืดนั่นลงมา มันก็แทบจะตีเข้าหน้าเขาแล้ว

 

แข็งขนาดนี้แล้วนี่นา...

 

 

ฮู่ว...

 

ฟูจิวาระ ชูพยายามผ่อนลมหายใจ ภาพตรงหน้าทำคนความอดทนสูงอย่างเขาแทบทนไม่ไหว เกือบจะหลุดโป๊ะว่าแขนหายดีแล้วไปหลายรอบ

 

เพราะแทนที่มินาโตะจะใช้มือช่วยเขาให้จบๆไป แต่ความอึกอักเขินอายของมินาโตะกลับทำให้เขายิ่งต้องการมากขึ้นไปอีก

 

แล้วตอนนี้ใบหน้ามนก็กำลังก้มลงไปใกล้ๆความเป็นชายของเขา ดวงตากลมใสนั่นจ้องมองมันราวกับกำลังสำรวจ เขาทั้งเขินทั้งอยากจะจับมินาโตะกดลงแล้วสอดใส่เข้าไปรวดเดียวเลยจริงๆ

 

ใบหน้าของมินาโตะยังจ่ออยู่ที่เจ้าแท่งเนื้อร้อนระอุ

 

มือบางยังแตะๆจับๆอยู่ที่โคนอย่างเก้ๆกังๆ

 

ดวงตากลมโตก็ช้อนขึ้นมามองเขาอย่างเหมือนกำลังครุ่นคิดตัดสินใจ

 

แล้วสิ่งที่ทำเอาแทบหยุดหายใจก็คือ

 

จู่ๆ...ลิ้นเล็กๆของมินาโตะก็ค่อยๆแล่บออกมา

 

ค่อยๆแตะ...อย่างกล้าๆกลัวๆ

 

ค่อยๆเลียนิดๆ...ราวกับจะทักทายไม่ก็สำรวจรสชาติ

 

 

ค่อยๆแตะๆเลียๆ...ไปที่ความเป็นชายของเขา!

 

 

“อึ้ก!    เขาสูดลมหายใจเข้าแทบไม่ทัน เกือบจะปล่อยใส่หน้ามินาโตะไปแล้ว!

 

บ้าเอ้ย นี่มันบ้าอะไรกัน! เขาไม่เคยเจอพลังทำลายล้างอะไรที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อนเลยให้ตายเถอะ!

 

“ฮ้า...แฮ่ก...”    หน้าของเขาร้อนเป็นไฟอย่างควบคุมไม่ได้ และเพราะยังรั้งฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ ผลตอบแทนก็คือการที่เจ้าเด็กนั่นขยายใหญ่ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว!

 

ถ้าอมใส่ปากไปเลยมันคงไม่อีโรติกมากขนาดนี้ มินาโตะเองก็ดูจะตกใจกับขนาดที่เพิ่มขึ้นในชั่วพริบตานี้เหมือนกัน

 

“ชู...ตอนแรกฉันว่าจะลองใช้ปากให้...แต่ถ้ามันใหญ่ขนาดนี้ฉันคงใส่ปากไม่ไหว...”    มินาโตะช้อนสายตาขึ้นมามองทั้งๆที่ยังก้มอยู่กลางหว่างขา ให้ตายเถอะภาพตอนนี้นี่มัน...

 

“ถ้างั้นเลียอย่างเดียวได้ไหมชู?”   

 

 

ผึง!!!

 

 

เสียงฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงดังก้องอยู่ในหัวเลยทีเดียว!!

 

“มินาโตะ มานี่ ยันกำแพงไว้แบบนี้”   มือใหญ่ดึงร่างโปร่งบางที่ยังงุนงงให้คุกเข่าสองมือยันกับผนังหัวเตียงเอาไว้

 

กางเกงนอนถูกดึงลงแค่ข้อเข่าตามความร้อนของใจ เช่นเดียวกับเจลใสๆที่ถูกชะโลมสอดเข้าไปในช่องทางคับแน่นอย่างรวดเร็ว

 

“โทษทีนะ ฉันทนไม่ไหวแล้ว”  เสียงทุ้มกดต่ำกระซิบอยู่ที่ใบหูบาง ก่อนที่แท่งเนื้อร้อนระอุจะสอดใส่เข้าไปทันที 

 

สวบ!

 

“อ๊ะ? ชู ช้าๆสิ! ทำไมใจร้อนแบบนี้?!

 

“นายเร้าอารมณ์ฉันเกินไป มินาโตะ”   สวบ!

 

“อื้อ~ กะ ก็บอกว่าจะใช้ปากให้ไง”

 

“ใช้ตรงนี้แทนปากไปก่อนก็แล้วกันนะ มินาโตะ”  สวบ!

 

“อะ อ้า! เดี๋ยวแขนนาย อื้อ กะ ก็เจ็บหรอก”   สวบ!!

 

มินาโตะควรจะเป็นห่วงตัวเองมากกว่านะ เพราะตอนนี้เขาเข้าใกล้คำว่าสติหลุดเข้าไปเต็มที

 

“อึก..อื้อ!    สะโพกที่ถูกมือของเขาจับยึดไว้สั่นระริก เอวบางๆที่โผล่พ้นชายเสื้อนอนที่ร่นลงไปนั่นก็ยั่วเย้าเขาสุดๆ

 

สวบ! สวบ! สวบ!

 

เขาขยับโยกกายเข้าปะทะอย่างดุดันจนก้นนิ่มแดงระเรื่อ

 

มินาโตะแทบจะหยัดขายันตัวเองไว้ไม่ไหว ทุกจังหวะที่กระแทกลึกสุดถึงข้างใน เขาก็จงใจเสียดสีเข้ากับจุดที่จะทำให้มินาโตะรู้สึกดีจนแทบขาดใจด้วย

 

“อะ อ้า ชู! ฉะ ฉัน จะ ออก”    มินาโตะร้องครางลั่นจากแรงกระแทกที่หนักหน่วงขึ้นทุกที

 

แต่มันยังไม่พอ...อีก.....ขออีกนิด...  มือใหญ่จึงเอื้อมไปกดปิดปลายแกนกายของมินาโตะไว้ก่อนจะกระแทกกายต่อไป

 

“อื้อ! ชู! ปล่อยฉัน ได้โปรด ฉันไม่ไหว อึก ไม่ไหวแล้ว”    มินาโตะเว้าวอนเสียงอ่อน มือบางที่ยันผนังไว้ก็สั่นระริก สั่นไปหมดทั้งตัว

 

สวบ!ๆๆๆ

 

“อ๊า ชู! ชู!   มินาโตะส่ายหัวรัวๆ หูเหอแดงไปหมด เขาเองก็ขยับโยกถี่ยิบ ข้างในตัวมินาโตะมันสุดยอดมากจริงๆ

 

“มินาโตะ พร้อมกันนะ”    ริมฝีปากร้อนก้มลงไปจูบหลังคอของมินาโตะก่อนจะพูดออกไป

 

“อึก อ๊า~    ความต้องการพุ่งทะยานออกมาอย่างรุนแรง ทุกความปรารถนาถูกปลดปล่อยเหมือนเขื่อนแตก!

 

น้ำรักที่ถูกบังคับกักเก็บไว้สาดกระจายจนเลอะเต็มหมอนของเขา เช่นเดียวกับที่มีบางส่วนไหลลงมาตามเรียวขาของมินาโตะ

 

“อึก...”    ท่อนแขนแข็งแรงยังคงกอดร่างบางเอาไว้ แกนกายยังคงฝังแน่นอยู่ข้างใน ลมหายใจหอบหนักจนไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร

 

“แฮ่ก..แฮ่ก...ชู...แขนนาย...หายดีแล้วใช่ไหม?...”    มินาโตะเหลียวหลังมาหรี่ตามอง สองแขนของเขาจึงกอดรัดมินาโตะก่อนจะคลอเคลียแก้มใสอย่างเอาใจ

 

“ยังนะ ยังเจ็บนิดๆอยู่เลยเนี่ย”    เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ส่งกลับไป

 

“แน่นะ?”

 

“อื้อ น่าจะอีกเป็นเดือนแหละกว่าจะหายดี”    เขายิ้มให้มินาโตะที่มีท่าทางไม่ไว้ใจ ท่อนแขนโอบลำตัวบางให้พลิกจากท่าคุกเข่ามานั่งลงบนตักเขา

 

ทั้งๆที่เบื้องล่างยังไม่ได้เอาออก...

 

“อ๊ะ?”    มินาโตะเผลอบีบรัดเพราะเปลี่ยนท่ากะทันหัน

 

“มินาโตะ ต้องอยู่ดูแลฉัน ไปอีกหนึ่งเดือนเต็มๆแหละ รู้ไหม?”    เขากดจูบแก้มใสแนบแน่น

 

“เริ่มจากคืนนี้เลยก็แล้วกัน เนอะ?”    แล้วสิ่งที่ค้างคาอยู่ก็เริ่มขยับเบาๆอีกรอบ

 

“เดี๋ยวสิ เนอะอะไรกันล่ะ? ชู อื้อ~

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

Story never End

 

 หายไปสองอาทิตย์ก็เลยจะยาวหน่อย อย่าเพิ่งหลับกันไปก่อนนะค้า แง๊ แต่แต่งเรื่องนี้ทีไรก็เขินบิดไปจนถึงลำไส้ทุกที >/////< ชอบความคลั่งรักของคุณชายเค้าจริงๆ งื้อ น้องมิลูกแม๊ก็ยั่วตาใสมาก ลู๊กกกก >////<

 

ละเนี่ย เพิ่งไปเจอประโยคหนึ่งที่น้องมินาโตะคุยกับเซยะในโนเวลเล่มสาม คือมินาโตะไปช่วยเซยะอาบน้ำให้คุมะ จากนั้นทั้งสองคนก็พาหมาไปเดินเล่น แล้วจู่ๆเดินอยู่ดีๆ น้องมิแกก็พูดออกมาเฉยว่า ที่สวนบ้านชูมีแม่ลูกกระต่ายป่ามาอาศัยอยู่ด้วยละ แรกๆพอเห็นหน้าเรามันก็จะวิ่งหนี แต่สักพักมันก็จะเริ่มเข้ามาใกล้...มินาโตะหนูลูกกก หนูไปรู้มาได้ยังไงก่อนนนนว่าที่สวนบ้านคุณชายเค้ามีครอบครัวกระต่ายป่ามาอาศัยอยู่ด้วยน่ะลูกกกกก เค้าเล่าให้หนูฟังรึหนูไปเห็นมากับตาคะลูก ไหน บอกมัมหมีมาซิยยย >/////< ก็คือแค่ประโยคบอกเล่าลอยๆของน้องประโยคเดียวนี่ก็จิ้นเป็นวรรคเป็นเวรแล้วนาลูก สองคนนี้ต้องคุยกันบ่อยขนาดไหน ต้องเล่าเรื่องสัพเพเหระของกันและกันให้ฟังขนาดไหนเนี่ยถึงรู้แม้แต่เรื่องสวนบ้านเค้าเนี่ย >/////<

 

ต้องขอขอบคุณทุกๆเสียงทวง ทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทเช่นเคยนาคะ ดีใจมากๆค่ะที่รู้ว่ายังมีคนรออยู่ >////< ช่วงนี้ร้อนมากๆยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า

 

ก่อนไปแอบแปะรูปหวานฉ่ำคลายร้อนกันหน่อย อิๆๆๆ

 












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น