Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 26 : END
: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
:
Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
:
Warmhearted
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
“มินาโตะ
ลองเข้าไปเปิดไฟดูหน่อย”
เสียงทุ้มของฟูจิวาระ ชูเอ่ยบอกจากปลายบันไดเหล็กขั้นบนสุด
“อื้อ
รอเดี๋ยวนะ” และเสียงใสของนารุมิยะ
มินาโตะก็ขานรับจากเบื้องล่างก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในบ้าน ไม่กี่อึดใจดวงโคมไฟผนังที่อยู่ตรงหน้าก็กระพริบติดขึ้น
“ใช้ได้แล้วละมินาโตะ”
ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าชายแห่งคิริซากิตะโกนบอกคนที่อยู่ในบ้าน
ตอนอยู่บ้านตัวเองเขาเป็นคุณชายที่แทบไม่ต้องหยิบจับอะไร
แต่พออยู่บ้านแฟนก็ต้องเป็นฝ่ายทำให้แม้แต่การเปลี่ยนหลอดไฟ
“โอเค” มินาโตะตะโกนกลับมาก่อนที่โคมไฟจะดับลง
ร่างสูงสง่าจึงปีนลงจากบันไดเหล็ก
เพราะมินาโตะตัวเล็กและเตี้ยกว่าเขาทำให้แม้แต่บันไดตัวที่ยาวที่สุดในบ้าน
มินาโตะก็ยังปีนขึ้นไปไม่ถึงหลอดไฟ เขาจึงต้องเป็นคนขึ้นไปเปลี่ยนให้ ถึงแม้ว่าภาพที่มินาโตะเกาะอยู่บนบันได
ทั้งเขย่ง ทั้งเอื้อมสุดแขนนั่นจะน่ารักมากสำหรับเขาก็เถอะนะ
แต่ก็ไม่ค่อยอยากให้อยู่ในที่ที่อันตรายแบบนั้นเท่าไหร่
“ขอบใจนะชู
ช่วยได้เยอะเลย ไฟหน้าบ้านดวงนี้นี่อยู่สูงจริงๆ” เขาก้มหน้ามองมินาโตะด้วยรอยยิ้ม
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย
“บันไดนี่
เอาไปเก็บไว้ที่ไหน?”
ไหล่กว้างสอดเข้าไปในบันไดเหล็กก่อนจะยกมันขึ้น
“โรงเก็บของหลังบ้าน
ตามมาสิ”
มินาโตะเดินนำไปที่ห้องเก็บของซึ่งเป็นอาคารหลังเล็กๆแยกจากตัวบ้านออกมา
มันเอาไว้เก็บของที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่ก็พวกเครื่องมือช่าง
ในนั้นจึงเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย
ขนาดมินาโตะจัดมันไว้ค่อนข้างจะเป็นระเบียบแล้วนะ
เขายังต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเข้าไป
แต่ขนาดระวังแล้ว
เจ้าบันไดที่ยาวเกินไปก็ยังเกี่ยวไปที่ของบางอย่างเข้าจนได้
“เอาพิงไว้ตรงนะ- อ๊ะ?! ชู ระวัง!!”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงของมินาโตะดี ชั้นเหล็กที่มีกล่องลังอะไรมากมายก็เอนถล่มทับลงมาภายในชั่วพริบตา!
โครม!!!
เขาไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
ปฏิกิริยาอัตโนมัติเพียงอย่างเดียวที่ทำได้ก็คือดึงตัวมินาโตะมาไว้ในอ้อมแขนแล้วใช้ทั้งตัวของเขาป้องกันมินาโตะจากอะไรก็แล้วแต่ที่กำลังร่วงลงมา
เคร้งๆๆ
ตุ้บๆๆ!
ของหลายอย่างร่วงกราวใส่แผ่นหลังของเขาไม่ขาดสาย
แต่อันที่หนักสุดน่าจะเป็นสิ่งที่เพิ่งฟาดลงมาที่ไหล่ในตอนนี้!
“อึ้ก...” ไหล่ขวาโดนกระแทกใส่อย่างรุนแรง มันเจ็บมากจนเขาต้องนิ่วหน้า
ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร
แต่กระนั้นสองมือก็ยังกดหัวมินาโตะเอาไว้กับอกของตัวเอง
พยายามใช้ความกว้างของไหล่ปกป้องร่างกายเล็กๆของมินาโตะเอาไว้
ขอแค่มินาโตะปลอดภัย
ตัวเขาจะเป็นยังไงก็ช่าง...
เคร้ง!
กลุกๆๆ...
กว่าเสียงทั้งหมดจะเงียบลงได้
กว่าของทุกสิ่งจะนิ่งอยู่กับที่
เขาก็ถึงกับต้องคุกเข่าแล้วกอดมินาโตะที่นั่งกระพริบตาปริบๆอยู่กับพื้น
“บาดเจ็บตรงไหนไหมมินาโตะ?
อึก!...”
ในขณะที่ดันลำตัวบางออกจากอ้อมแขนเพื่อมองสำรวจ
ที่ไหล่ขวาก็มีความเจ็บแปลบแล่นลิ่วขึ้นมาจนต้องปิดตาลงข้างหนึ่ง
“ฉันไม่เป็นไร
นายนั่นแหละชู เป็นอะไรรึเปล่า? เจ็บไหล่เหรอ?”
มินาโตะพยายามจะจับไหล่เขาอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะจนถึงตอนนี้มันก็ยังใช้ค้ำยันชั้นเหล็กไม่ให้ล้มทับพวกเขาอยู่!
ในที่สุดก็รู้จนได้ว่าไหล่เขาโดนอะไรเล่นงานเอา!
“อึก...มินาโตะ
ถอยออกไปก่อน มันอันตราย” คิ้วสีชาขมวดเข้าหากัน
เขากัดฟันแน่นอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะถ้าไม่ใช้ไหล่ยันไว้
ชั้นนั่นมันอาจจะล้มลงมาทับมินาโตะก็ได้
“แป๊บนึงนะ
ฉันจะค่อยๆดันมันออกไป” สีหน้าของมินาโตะดูตื่นตระหนกที่เห็นสภาพของเขา
คนที่เคยใจเย็นอยู่เสมอกลับลุกขึ้นอย่างลนลาน
มือบางที่สั่นน้อยๆค่อยๆดันชั้นที่เบาลงมากเพราะของมันหล่นมากองอยู่ที่พื้นเกือบหมดแล้วให้ค่อยๆตั้งตรง
ไหล่ของเขาจึงรู้สึกถูกกดทับน้อยลงได้บ้าง
“อึก...” แต่กระนั้นมันก็ยังเจ็บมากอยู่ดี
เข่าของเขาถึงกับทรุดลงข้างหนึ่ง เหงื่อกาฬไหลเต็มหน้า
“ชู
ออกมาก่อนนะ ค่อยๆลุก” มินาโตะเข้ามาช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้นช้าๆก่อนจะพากันออกมาจากโรงเก็บของ
“ไหน
ให้ฉันดูหน่อย”
มินาโตะให้เขานั่งลงบนชานบ้านก่อนจะค่อยๆดึงคอเสื้อยืดเพื่อมองไปที่ไหล่เขา
“อ่ะ!!” มันเจ็บมากจนแค่ขยับหรือโดนมันนิดเดียวทั่วทั้งร่างก็สั่นสะท้านไปหมด
เขาต้องพยายามผ่อนลมหายใจเพื่อรั้งสติเอาไว้
“เจ็บเหรอ?
ขอโทษนะ”
มินาโตะผงะก่อนจะรีบปล่อยมือจากเสื้อเขา อาการไม่ใช่เล่นๆแล้วแหะที่ไหล่
เขาถึงได้เจ็บจนแทบทนไม่ไหวแบบนี้
“ไปโรงพยาบาลกันเถอะ
ไหล่นายดูไม่ดีเลยชู โดนกระแทกหนักขนาดนี้ปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด” มินาโตะขมวดคิ้วดูกังวลยิ่งกว่าคนบาดเจ็บอย่างเขาเสียอีก
“....ถ้าเป็นมากจนยิงธนูไม่ได้จะทำยังไง” ใบหน้ามนเม้มปากแน่นเอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาหวิว
เป็นคนอื่นคงจะถามว่านั่นมันใช่เรื่องที่ควรคิดถึงในเวลาแบบนี้ไหม
แต่สำหรับเขากับมินาโตะแล้ว...นั่นคือเรื่องแรกที่คิดถึงเวลาที่แขนได้รับบาดเจ็บเลยละ
นัยน์ตาสีม่วงจึงมองไปที่ไหล่ของตัวเองอย่างเป็นกังวล
ตอนนี้เขายกแขนไม่ขึ้นเลย
คงแค่ปฐมพยาบาลไม่ได้แล้ว คงต้องไปโรงพยาบาล
“โทรหาโทโจซังที”
มือใหญ่ยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้มินาโตะ มือบางก็รีบรับไปอย่างร้อนลน
มินาโตะโทรบอกหัวหน้าพ่อบ้านของเขาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
มือบางจะแตะก็ไม่กล้าแตะไหล่เขาทำได้แค่มองด้วยสายตาเป็นห่วงมาก
“เจ็บมากไหมชู?
รอหน่อยนะ โทโจซังกำลังมารับ” ร่างโปร่งบางนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขาก่อนจะช้อนสายตามองไปที่แขนข้างที่บาดเจ็บ
กลายเป็นมินาโตะที่มีน้ำตาคลอแทนที่จะเป็นเขาเสียอีก
“ยังพอทนได้
ไม่เป็นไรนะมินาโตะ”
มือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บยกขึ้นไปเกลี่ยไล้น้ำใสๆที่ปริ่มขึ้นมาที่หางตาอย่างเอ็นดู
มินาโตะจะเป็นห่วงมากก็ไม่แปลกเพราะที่ที่เขาบาดเจ็บคือที่แขนซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการยิงธนู
“ขอโทษนะ
เป็นเพราะนายช่วยฉันแท้ๆเลย” มินาโตะทำหน้าหมองๆด้วยความรู้สึกผิด
แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากให้มินาโตะโทษตัวเอง
เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเพียงอุบัติเหตุ
“ก็ดีกว่าปล่อยให้มินาโตะบาดเจ็บนะ
ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงทนไม่ได้ ฉันยินดีที่จะเจ็บเองมากกว่า” มือใหญ่ลูบแก้มใสของคนที่เงยหน้ามองเขาเบาๆ
มินาโตะกำลังฮึบขนาดหนักจนปลายจมูกกับขอบตาแดงกล่ำ
“ฉันก็ไม่อยากให้ชูบาดเจ็บเหมือนกันนี่
ฉันเจ็บแทนนายดีกว่า”
ใบหน้ามนเม้มปากแน่นจนเขาต้องดึงหัวสีดำเข้ามากอดเบาๆ
“ยังไงซะเรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว
เลิกโทษตัวเองนะมินาโตะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ไม่ใช่ความผิดของมินาโตะ” เขาจูบกลุ่มผมสีดำอย่างปลอบโยน
“แล้วถ้าเกิดนายบาดเจ็บหนักถึงขั้นกลับมายิงธนูไม่ได้ล่ะ?
ฉันที่เป็นคนทำให้นายเป็นแบบนั้นคงรู้สึกผิดไปจนวันตายเลย” มินาโตะซุกหน้าเอาไว้กับหน้าท้องของเขา
ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นแต่ตอนนี้คงต้องเชื่อว่าหมอจะรักษามันได้ไปก่อน
“แบบที่เห็นในมังงะตั้งหลายเรื่องไง”
“ที่พระเอกทำเพื่อนบาดเจ็บจนกลับมาเล่นกีฬาที่รักไม่ได้อีก
แล้วทั้งสองคนก็ทะเลาะกัน มองหน้ากันไม่ติด
ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้นกับนายอ่ะชู”
มินาโตะทำหน้ายุ่งอยู่ที่หน้าตักเขา แต่การคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายในมังงะนี่มันกลับน่ารักมากในสายตาเขายังไงก็ไม่รู้
แล้วมันก็ใช่ว่าจะต้องทะเลาะกัน
มองหน้ากันไม่ติดเท่านั้นหรอกนะ เหมือนมังงะพวกนั้นจะยังมีรูปแบบอย่างอื่นด้วย?
อย่างเช่น...
ใช้ความรู้สึกผิดให้รับผิดชอบไปทั้งชีวิต?...
ให้ยึดติดอยู่กับบาดแผลที่เราได้รับ
จนคนทำทิ้งเราไปไหนไม่ได้อีก?
ใบหน้าหล่อเหลายิ้มบางๆ
ถ้าเป็นเขาละก็ต้องเลือกทางนั้นแน่ๆ
เขาจะให้มินาโตะรับผิดชอบไปทั้งชีวิตแน่ๆ
ถึงจะไม่รู้เหมือนกันว่าแขนเขามันจะเป็นยังไงต่อไป
แต่เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือไม่พอใจอะไรมินาโตะเลย
ธนูสำคัญต่อเขามากก็จริงแต่มินาโตะสำคัญกว่า
เขาไม่ยิงธนูก็ได้ขอแค่มินาโตะยังปลอดภัยอยู่ข้างๆเขาก็พอ
เพราะฉะนั้น...
“เราจะไม่ทะเลาะกันแบบนั้นหรอกมินาโตะ...แต่ถ้าฉันกลับมายิงธนูไม่ได้จริงๆ
มินาโตะก็ต้องรับผิดชอบ มินาโตะต้องดูแลฉัน ต้องอยู่ข้างๆฉันตลอดไป ตกลงไหม?”
“แน่นอนสิ!” มินาโตะลุกขึ้นมาทำหน้าขึงขัง
“ฉันจะดูแลนายเอง! ในช่วงที่แขนนายยังใช้ไม่ได้ฉันก็จะคอยช่วยนายเอง
ชูต้องการอะไรก็บอกฉันได้เลยนะ อยากได้อะไร จะให้หยิบจับอะไร ฉันจะทำให้ทุกอย่างเลย” เขายิ้มให้กับใบหน้าที่จริงจังของมินาโตะก่อนจะเอ่ยหยอกเย้า
“อันนี้ทำเพราะรับผิดชอบที่ทำให้ฉันบาดเจ็บเท่านั้นเหรอ?”
“เท่านั้นที่ไหนล่ะ...ฉันทำเพราะเป็นห่วงนาย
ทำเพราะนายเป็นคนรักของฉันต่างหาก”
ใบหน้ามนตอบงึมงำก่อนจะเสหน้าหันไปมองอย่างอื่น
เขารู้อยู่แล้วละว่ามินาโตะจะตอบแบบนี้เขาจึงยิงคำถามไป ก็ใบหน้าของมินาโตะเวลาเขินอายมันน่ารักมากเลยนี่นา
ดูเหมือนแขนของเขาจะไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าที่คิด
หลังจากถูกพาตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉินและหมอก็ทำอะไรบางอย่างกับไหล่ของเขา
ความเจ็บปวดมันก็ทุเลาลงมาก
ตัวเขาเองค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะไม่กระทบต่อการยิงธนู
อาจจะต้องพักสักอาทิตย์สองอาทิตย์แต่ไม่น่าจะมีปัญหาถ้าต้องกลับมายิงอีกครั้ง
แต่มินาโตะนี่สิดูจะแพนิคมากกว่าเขาเยอะ
“ชู
ยังเจ็บมากไหม? หมอว่ายังไงบ้าง? แขนนายจะกลับมาเป็นปกติไหม?
จะยิงธนูได้หรือเปล่า?”
มินาโตะถามเป็นชุดหลังจากที่เขาถูกบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินเพื่อรอแอดมิทเข้าห้องพิเศษต่อไป
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้หรอกมินาโตะ
ต้องรอเอ็กซ์เรย์ก่อน แต่ไม่เจ็บเท่าก่อนหน้านี้แล้วละ” มินาโตะเม้มปากมองเขาด้วยแววตาสั่นสะท้าน
เห็นแล้วก็ทั้งสงสารทั้งดีใจที่มินาโตะห่วงเขาขนาดนี้
ร่างโปร่งบางเดินเคียงข้างรถเข็นของเขาไม่ห่าง
ไม่ว่าจะถูกพาไปตรวจห้องไหน ต้องนั่งรออยู่ตรงไหน มินาโตะก็ไม่ละสายตาไปจากเขาเลย
ป่วยแบบนี้ก็ดีเหมือนกันแหะ?
ใบหน้าหล่อเหลาลอบยิ้มอยู่ในใจ
แล้วก็สมกับที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้
ไม่ว่าจะตรวจจะทำอะไรก็ว่องไวไม่ต้องรอนาน หรืออาจจะเป็นเพราะตระกูลฟูจิวาระมีหุ้นอยู่ที่นี่ค่อนข้างมากก็ได้มั้งที่ทำให้เขาได้รับการดูแลดั่งเจ้าชาย
รถเข็นถูกเข็นไปยังตึกพิเศษของคนไข้ในและห้องพักคนไข้ของเขาก็อยู่ชั้นบนสุด
เป็นห้องวีวีไอพีและทั้งชั้นนี้ก็มีอยู่เพียงห้องเดียวเท่านั้น
มินาโตะถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเปิดประตูเข้ามา
ก็ถ้าไม่มีเตียงคนไข้พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องก็คงจะคิดว่านี่เป็นห้องสวีทในโรงแรมมากกว่า
เพราะมันมีทั้งชุดโซฟาหนังตัวใหญ่
มีเตียงนอนสำหรับคนเฝ้าไข้ มีแพนทรีกรุหินสีดำสำหรับวางอาหาร มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นวิวได้รอบด้าน
การตกแต่งก็ดูไม่เหมือนอยู่ในโรงพยาบาลเลยสักนิด แถมในห้องน้ำยังกว้างขวางขนาดมีอ่างอาบน้ำเลยด้วย
“ขออนุญาตินะคะ
อีกสิบนาทีคุณหมอจะขึ้นมาพบนะคะ เปลี่ยนชุดเลยไหมคะเดี๋ยวฉันเปลี่ยนให้?”
พยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าห้องโผล่หน้ามาบอกพร้อมกับชุดคนไข้ในในมือ
“ไม่ต้องครับ
ผมมีคนเปลี่ยนให้แล้ว”
แต่นายน้อยของตระกูลฟูจิวาระกลับปฏิเสธเสียงแข็ง มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะแตะต้องร่างกายของเขาได้
นั่นก็คือมินาโตะ
“เอ่อ...ค่ะ
ถ้างั้น...นี่ชุดค่ะ ต้องการอะไรก็เรียกนะคะ”
คุณพยาบาลยิ้มแหยๆก่อนจะเดินออกไป
“มินาโตะ...” เขาหันไปมองมินาโตะอย่างอ้อนๆ
ความเย่อหยิ่งเย็นชาเมื่อครู่นี้หายไปหมด
“อื้อ
มาสิ” มินาโตะหยิบชุดก่อนจะเดินเข้ามาหาเขา
มินาโตะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาอย่างเบามือ
ใบหน้ามนที่ดูตั้งอกตั้งใจนั้นมันดึงดูดสายตาของเขาให้มองตามราวกับต้องมนต์ได้ไม่ยาก
เพราะเขาชอบ...เวลาที่มินาโตะตั้งใจทำอะไรให้เขา
เขาชอบ...เวลาที่มินาโตะคิดถึงแต่เรื่องของเขา
“ยังเจ็บไหมชู?”
มือบางแตะแขนข้างที่บาดเจ็บของเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ
เขาเผลอมองตามริมฝีปากสีระเรื่อนั่นจนลืมไปเลยว่า
“เจ็บ...” ต่อหน้ามินาโตะเขายังต้องเจ็บอยู่...
ทั้งๆที่จริงแล้วมันเหลือแค่อาการเคล็ดขัดยอกแล้วก็เจ็บนิดๆเพราะรอยช้ำมากกว่า
“ค่อยๆสอดแขนเข้ามานะ” เขาอมยิ้มบางๆ
รู้สึกถึงความร้อนที่วิ่งวนอยู่บนสองแก้ม ความรู้สึกแบบนี้มันดีเหลือเกิน
การที่มีใครสักคนคอยรัก
คอยดูแล คอยเอาใจใส่เวลาที่เราเจ็บไข้ไม่สบาย
ใครสักคนที่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้
แต่สำหรับเขาแล้วต้องเป็นมินาโตะเท่านั้น
นานๆทีห้องวีวีไอพีที่ชั้นบนสุดนี้ถึงจะได้ใช้งานสักที
เพราะฉะนั้นทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุด เก่งที่สุด ในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้องจึงแวะเวียนมาดูแลแทบจะทันทีที่คนไข้อย่างฟูจิวาระ
ชูถูกส่งตัวมาถึง
เพราะถึงจะไม่ใช่เคสหนักอะไรแต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นถึงทายาทของตระกูลฟูจิวาระเชียวนะ
หากได้รับความไว้วางใจ อนาคตของโรงพยาบาลแห่งนี้ก็คงจะสดใสอย่างแน่นอน
“หลังจากเอ็กซ์เรย์ดูทุกส่วนแล้ว
ไม่พบว่ามีกระดูกแตกร้าวหรือกล้ามเนื้ออักเสบแต่อย่างใดนะครับ นายน้อยฟูจิวาระสบายใจได้
มีแค่อาการไหล่หลุดซึ่งทางแพทย์ฉุกเฉินก็ช่วยดันกลับให้ตั้งแต่ตอนมาถึงแล้วจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลยครับ” อาจารย์หมอเจ้าของไข้รายงานอาการด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไร้ความกังวลอย่างที่พูดจริงๆ ร่างสูงสง่าที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาทั้งชุดคนไข้ในจึงฟังรายงานการตรวจรักษาด้วยใบหน้านิ่ง
นายแพทย์ที่เป็นถึงหัวหน้าแผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อซึ่งปกติแล้วจะมีพาวเวอร์เป็นอย่างมากยังต้องรู้สึกยำเกรงต่อเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวลูกคนนี้
ออร่าความความน่าเกรงขามและความเป็นผู้นำที่แผ่ออกมาจากตัวฟูจิวาระ ชูนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“แต่เพื่อความสบายใจจึงอยากให้นอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการสักคืนนึงนะครับ
เผื่อว่าจะมีไข้หรืออาการที่ยังไม่ปรากฏอย่างอื่น
ยังไงแขนก็เป็นอวัยวะสำคัญสำหรับนักธนูแบบนายน้อยนี่นะครับ ตรวจจนแน่ใจย่อมดีกว่า”
“ดูอาการแค่คืนเดียวพอเหรอครับ?” กลับเป็นเสียงนุ่มที่พูดแทรกขึ้นมา
ใบหน้าของเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆดูจะกังวลกับแขนของนายน้อยฟูจิวาระมากกว่าเจ้าตัวเสียอีก
“เอ่อ...” คุณหมอจึงหันไปมองที่คนไข้อย่างขอความเห็น
เพราะห้องวีวีไอพีนี้ไม่ใช่ราคาแค่หมื่นสองหมื่นเยนต่อคืน แต่เป็นแสน
“.......แอดมิทหนึ่งอาทิตย์ไปเลยครับ” แต่นายน้อยของตระกูลฟูจิวาระกลับเอ่ยออกมาอย่างไม่ต้องใช้เวลาคิด
เพื่อความสบายใจของมินาโตะ และเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่ชอบที่มีมินาโตะคอยพยาบาลไม่ห่างแบบนี้
“เอ่อ...ครับ
ได้ครับ...” อาจารย์หมอถึงกับยิ้มแห้ง
คนอื่นก็คงคิดว่าเขากังวลว่าจะมีผลต่อการยิงธนูนั่นแหละเลยจะอยู่ตรวจจนแน่ใจขนาดนี้
“แล้วไม่ต้องเข้าเฝือกอะไรเลยเหรอครับ?
ปล่อยไว้แบบนี้จะโอเคจริงๆเหรอครับ?”
มินาโตะยังคงไม่ไว้ใจ ใบหน้ามนถามตาใส
กลัวไปหมดแล้วตอนนี้ว่าแขนเขาจะเป็นอะไรไป
“เอ่อ...” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่คุณหมอหันมาหาเขาอย่างถามความเห็น
เหมือนกับว่ามันไม่จำเป็นแต่ถ้าคนไข้อยากให้ใส่ก็ทำได้อะไรประมาณนั้น
“....ช่วยเข้าเฝือกให้ผมด้วยครับ
จะเฝือกอ่อนก็ได้”
แล้วก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่นายน้อยของตระกูลฟูจิวาระตามใจเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆจนคุณหมอเริ่มจะสังเกตุถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้
“เข้าใจแล้วครับ
แต่นายน้อยไม่ต้องกังวลไปนะครับ มันไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ
พักแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ก็หาย”
“ทำตามที่เขาอยากได้เถอะครับ”
“ครับ” อาจารย์หมอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปสั่งพยาบาล
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเหลือบมองเด็กหนุ่มผมดำคนนั้นอย่างลอบจดจำเอาไว้
เพราะเด็กหนุ่มคนนี้น่าจะมีความสำคัญต่อนายน้อยของตระกูลฟูจิวาระมาก พวกเขาจะเสียมารยาทด้วยไม่ได้เด็ดขาด
ต้องกำชับเจ้าหน้าที่และพยาบาลที่ดูแลตึกนี้ให้ดี
พอทีมแพทย์และพยาบาลที่ยกโขยงกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ขอตัวออกไป
ห้องทั้งห้องจึงเหลือเพียงแค่โทโจซังที่ยืนจัดข้าวของอยู่ที่แพนทรีกับร่างสองร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา
กระปุกยาแก้ฟกช้ำถูกจัดเตรียมไว้ให้
และตอนนี้มือบางก็กำลังเลิกเสื้อคนไข้ในสีชมพูอ่อนขึ้นเผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างซึ่งมีรอยสีม่วงๆอยู่เป็นหย่อมๆ
เพราะผิวของชูขาวมากรอยช้ำจึงชัดเจนจนน่ากลัว
ปลายนิ้วเล็กๆแตะครีมแล้วแต้มลงบนรอยพวกนั้นอย่างระมัดระวัง
เจ้าของแผ่นหลังกว้างไม่ได้รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรแต่กลับอมยิ้มอย่างพึงพอใจ
สัมผัสเย็นๆเบาๆพวกนั้นเร้าอารมณ์เขาแปลกๆ
ยิ่งรู้ว่าคนที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังของเขาอยู่ในตอนนี้คือมินาโตะ ลมหายใจก็ชักจะติดขัดจนต้องรีบเบี่ยงเบนความสนใจไปโฟกัสที่อื่น
จะปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นมันตื่นขึ้นมาตอนนี้ไม่ได้...
“มินาโตะ?
ยังกังวลอยู่เหรอ?” ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองใบหน้ามน
มือบางดึงชายเสื้อเขาลงก่อนจะปิดกระปุกยาเมื่อทาเสร็จ นิ้วยาวจึงจิ้มลงไปกลางหว่างคิ้วสีดำทั้งสองข้างที่ยังขมวดมุ่น
“.....ถึงคุณหมอจะยืนยันว่าไม่เป็นอะไรมากแต่ก็ยังวางใจไม่ได้นะชู” ...เขาว่ากันว่า เวลาที่คนที่เรารักเจ็บ
เราจะเจ็บยิ่งกว่า ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงแหะ
ก็ขนาดมินาโตะที่แสนดื้อดึงและไม่เคยใส่ใจเลยเวลาตัวเองป่วย
แต่พอเขาเป็นฝ่ายบาดเจ็บบ้างมินาโตะกลับเป็นกังวลยิ่งกว่าตอนตัวเองไม่สบายเสียอีก
“ฉันกลัว...
กลัวว่าชูจะกลับมายิงธนูไม่ได้อีก”
มินาโตะพูดออกมาหน้ามุ่ย ทำยังไงดี
ในขณะที่มินาโตะกำลังทุกข์ใจเพราะเรื่องของเขาขนาดนี้ แต่เขากลับมองว่ามันน่ารักมาก
เขากำลังหลงรักมินาโตะมากขึ้น
แล้วก็มากขึ้น มากขึ้นไปอีก
“ถ้าฉันทำให้นักธนูที่เก่งแบบชูต้องเลิกเล่นไป
ฉันคงเศร้ามากแน่ๆ และที่เศร้ากว่านั้นก็เพราะว่าฉันจะไม่ได้ยิงธนูกับชูอีก
ฉันคงรู้สึกผิดจนกระอั่กกระอ่วนใจที่ต้องจับธนูเลย” มือใหญ่ยกขึ้นไปลูบหัวสีดำอย่างเอ็นดู
“ถึงฉันจะยิงไม่ได้
แต่มินาโตะต้องยิงต่อไปสิ หื๋ม?”
เขาดึงตัวมินาโตะมากอดไว้ก่อนจะใช้ปลายคางคลอเคลียเส้นผมนิ่มเบาๆ
“ฉันจะทำแบบนั้นได้ไงล่ะ
ถ้าชูต้องเลิกยิงธนูจริงๆ...บางที...ฉันก็อาจจะเลิกด้วย...” มินาโตะเอื้อมมือมากอดเอวเขาไว้ในขณะที่ใบหน้ามนซุกลงบนแผงอก
แก้มใสแนบลงไปกับเสื้อคนไข้สีชมพู
“มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกผิดหรอกนะ
แต่ฉัน...รู้สึกไม่ปลอดภัย...ถ้าไม่มีชูยืนอยู่ข้างหลัง...ถึงแม้ตอนนี้เราจะอยู่คนละโรงเรียนกัน
ตำแหน่งการยืนก็ต่างไปจากเดิม... แต่ในหัวใจของฉัน ชูยังคงยืนอยู่ข้างหลังฉันเสมอ”
“เพราะนายไม่เคยเลิกยิงธนูเลย
ตั้งแต่เด็กๆ ตอนที่ฉันเริ่มจับคันธนู ชูก็อยู่กับฉันมาตลอด ไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นนายก็ไม่เคยปล่อยคันธนูเลยสักครั้ง
นายยังอยู่ตรงนี้”
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันไหนที่ชูไม่ยิงธนู
ฉันคิดว่าชูจะยืนอยู่ข้างหลังฉันตลอดไป
แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น...มันก็ทำให้ฉันรู้สึกได้...ว่าถ้าชูไม่ยิงธนูแล้ว...บางทีฉันเองก็อาจจะยิงธนูต่อไปไม่ได้เหมือนกัน...”
“ฉันคงหาอะไรมาเติมเต็มช่องว่างจากการที่นายหายไปไม่ได้อีกแล้ว
ชู” ความรู้สึกที่มินาโตะพูดออกมาทำให้หัวใจของเขารู้สึกอุ่นวาบ
เขาเพิ่งรู้ว่ามินาโตะคิดยังไง เขาจึงดีใจมาก
มินาโตะอาจจะไม่เคยพบเจอกับความรู้สึกที่เขาหายไปมาก่อน
แต่เขา...เคยเจอกับความรู้สึกที่มินาโตะหายไปจากเขามาแล้ว
ข้างหน้า...มันช่างมืดมน...
เขาเคว้งคว้างมากเพราะเขามองไม่เห็นแผ่นหลังของมินาโตะอีกต่อไป
เขาเอง...ก็เคยกลัวจนถึงกับยิงธนูไม่ได้เหมือนกัน
เขา...ไม่อยากให้มินาโตะต้องพบเจอกับความรู้สึกแบบนั้นเลยจริงๆ...มัน...น่ากลัวมาก
เขาจึงตั้งใจจะยืนอยู่ตรงนี้
จะยืนรอมินาโตะอยู่เสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“ถ้างั้นก็โชคดีแล้วที่เราไม่ต้องเลิกยิงธนู
ฉันจะหายดี แล้วไปยืนอยู่ข้างหลังมินาโตะเหมือนเคยนะ”
เขาก้มมองมินาโตะที่กำลังเงยหน้ามองเขาจากแผ่นอกเช่นกัน มือใหญ่สางผมนิ่มเล่นเบาๆ
“อื้อ
รีบๆหายไวๆนะชู”
ดวงตาสีม่วงทอดมองกระเป๋ากีฬาใบใหญ่ซึ่งมินาโตะไปขนมาจากบ้านเมื่อวาน
ในนั้นมีทั้งเสื้อผ้า ตำรา ชุดนักเรียน และของใช้ในชีวิตประจำวัน
มินาโตะบอกกับพ่อไว้แล้วว่าจะไม่กลับบ้านไปอีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อจะมาอยู่เฝ้าไข้เขาที่นี่
แต่ตอนนี้มินาโตะไปโรงเรียนอยู่
ร่างสูงสง่าลองขยับหมุนหัวไหล่ข้างขวาดู
มันขยับได้ไม่ติดขัดเหมือนเมื่อวานแล้ว
ความเจ็บจี๊ดๆที่ชอบเกิดขึ้นเวลาขยับแขนก็แทบจะไม่รู้สึกแล้วเช่นกัน
อาจจะเป็นเพราะทีมกายภาพที่มากันอย่างจัดเต็มเมื่อเช้านี้คงช่วยให้ไหล่ของเขาขยับได้ดีขึ้น
“โทโจซัง
ผมรบกวนหน่อยครับ นี่เป็นกุญแจบ้านมินาโตะ ช่วยหาช่างไปจัดการโรงเก็บของที
ช่วยยึดชั้นติดกับผนังให้มันแน่นหนา อย่าให้มันล้มลงมาได้อีก” คนว่างงานเพราะไม่ได้ไปโรงเรียนเอ่ยบอกพ่อบ้านประจำตัว
ชายวัยกลางคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมอาหารกลางวันยันอาหารเย็นจึงเดินเข้ามาหา
“ครับ” มือหนารับกุญแจบ้านและแท็บเล็ตที่นายน้อยของตนยื่นมาให้
“เปลี่ยนชั้นใหม่เป็นแบบนี้ไปเลยก็ได้ครับ” นิ้วยาวเคาะลงไปที่หน้าจอ เห็นนั่งไถแท็บเล็ตอยู่นานนั่นไม่ได้กำลังอ่านหนังสือหรือทำอะไรเพื่อตัวเองอยู่สินะ
แต่กำลังเลือกซื้อชั้นวางของให้คุณมินาโตะ?
ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นยิ้มบางๆ น่าจะเป็นคนเดียวจริงๆที่นายน้อยของเขารักและใส่ใจขนาดนี้
ตั้งแต่ที่ดวงตาสีม่วงคู่นั้นลืมตาขึ้นมาดูโลกเขาก็ไม่เคยเห็นมันมองใครอื่นอีก
ต้องขอบคุณคุณมินาโตะ
ที่ทำให้นายน้อยชูเป็นผู้เป็นคน มีหัวจิตหัวใจเหมือนคนปกติทั่วไป
ตอนเด็กๆเขายังเคยกังวลอยู่เลยว่านายน้อยจะกลายเป็นคุณชายผู้เย็นชาและมองทุกอย่างเป็นแค่ผักปลา
แต่เพราะเพื่อนอย่างคุณมินาโตะ เพราะความรัก ก็ทำให้นายน้อยค่อยๆเปลี่ยนไป
กลายเป็นภาพชินตาไปแล้วที่จะได้เห็นรปภ.ตั้งแต่หน้าตึกไปจนถึงในตึกโค้งทำความเคารพเด็กหนุ่มในชุดกักกุรันคนหนึ่งอย่างนอบน้อม
แม้แต่เจ้าหน้าที่และพยาบาลวอร์ดพิเศษที่ประจำอยู่ชั้นวีไอพีก็ยังก้มหัวให้ทุกครั้งที่ร่างโปร่งบางเดินผ่าน
มีเพียงนารุมิยะ มินาโตะที่ยิ้มตอบกลับไปอย่างมึนงงไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ชู
ฉันกลับมาแล้ว แขนนายเป็นไงบ้าง?”
ร่างโปร่งบางวางกระเป๋านักเรียนลวกๆก่อนจะตรงรี่เข้าไปหาคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงคนไข้
“ดีขึ้นมากแล้วละ
เมื่อเช้าได้ทำกายภาพบำบัดด้วยนะ”
“ค่อยโล่งอกหน่อย
ไม่มีไข้หรือเจ็บตรงไหนเพิ่มใช่ไหม?”
มือบางยื่นไปแตะหน้าผากเพื่อวัดไข้
“อื้ม
แต่ตอนนี้เหนียวตัวมากเลย ตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
“งั้น...ฉันอาบให้ไหม?” มินาโตะช้อนตามองเขาอย่างเขินๆ
“อื้ม
รบกวนด้วยนะ” แน่นอนอยู่แล้วที่เขาจะตอบตกลงเพราะว่าเขารอให้มินาโตะกลับมาอาบให้นี่แหละ
ไม่งั้นก็คงให้โทโจซังช่วยตั้งแต่เมื่อกลางวันไปแล้ว
มือบางแกะเชือกที่ผูกสาบเสื้อออกจากกันด้วยสองแก้มที่แดงระเรื่อ
ดวงตาสีม่วงจ้องมองสีหน้าเขินอายนั้นไม่วางตา มินาโตะน่ารักมากจริงๆ
เสื้อคนไข้ในถูกพาดไว้ที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า
ตอนนี้มือบางกำลังลังเลว่าจะทำยังไงกับท่อนล่างของเขาดีเมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะช่วยถอดแต่อย่างใด
เขารอให้มินาโตะทำให้ทั้งหมด
ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมามองเขาอย่างขอความช่วยเหลือแต่ดวงตาสีม่วงก็มองกลับไปด้วยแววใสๆเหมือนไม่รู้เรื่อง
ใบหน้ามนจึงก้มงุดก่อนจะแตะปลายนิ้วลงไปที่ขอบกางเกงของเขา
ท่อนล่างไม่ช่วยแถมท่อนบนยังขยับเข้าไปก่อกวนมินาโตะอีกต่างหาก
เขาโน้มใบหน้าเข้าไปคลอเคลียแก้มใสจนลมหายใจเป่ารดลำคอระหง
ทั้งไหล่หนาทั้งแผ่นอกกว้างบดเบียดร่างกายบางจนสองมือของมินาโตะต้องจับเอวของเขาเพื่อเบี่ยงตัวหนี
“ชู...เดี๋ยวก่อน
นายบาดเจ็บอยู่นะ” ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้หอมแก้มใสไปฟอดใหญ่
กว่ากางเกงจะถูกถอดออกได้
เสียงหัวเราะคิกคักก็ดังออกมาจากห้องน้ำอยู่นานเพราะแก้มซ้ายและขวาถูกเขาสลับกันหอมไปมา
ตอนนี้ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า...เฝือกที่ใส่ช่วยพยุงไหล่ไว้ก็เป็นเพียงเฝือกอ่อนมันจึงถูกถอดออกไปด้วย
ใบหน้าของมินาโตะแดงไปจนถึงใบหูในขณะที่แอบเหลือบมามองเขาเป็นระยะๆ
มือบางกำลังกรองน้ำในอ่างอาบน้ำเพื่อวัดอุณหภูมิให้อยู่
ถึงจะเคยมีอะไรกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เคยเห็นร่างกายของกันและกันมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
แต่มินาโตะก็ยังเขินอายเมื่อต้องมองร่างกายของเขาตรงๆแบบนี้ทุกที
“มานั่งนี่สิชู”
มินาโตะนั่งลงไปที่ขอบอ่างก่อนจะเรียกให้เขาก้าวขาไปนั่งลงตรงกลางระหว่างขาเรียวทั้งสองข้าง
เขารู้ว่ามินาโตะไม่ได้คิดอะไรแต่เขานี่ลอบกลืนน้ำลายไม่ไหว
มินาโตะก็แค่จะสระผมให้เขา
และท่านี้ก็สะดวกที่สุด...
สายน้ำจากฝักบัวทำให้ทั้งหัวรู้สึกเย็นสดชื่น
กลิ่นยาสระผมหอมฟุ้งจนเขาเผลอหลับตาลง
สองมือสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีชาที่เปียกลู่ก่อนจะเกาจนขึ้นฟอง
ชูหลับตาด้วยสีหน้าผ่อนคลายเหมือนกำลังสบายจากน้ำหนักมือของเขาที่เกาไปจนทั่วศรีษะ
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมาเล็กน้อย
เขาจึงมองเห็นแพขนตาที่ทอดเรียงอยู่บนแก้มของชู ใบหน้ามนอมยิ้มเพราะมีความสุขที่ได้ทำอะไรแบบนี้ให้ชู
ได้ดูแล ได้อาบน้ำสระผมให้
ชูเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะลืมตามองเขาด้วยรอยยิ้ม
ทำให้หัวของชูขยับมาโดนหน้าท้องของเขา
“เปียกหมดแล้วชู
ฮะฮะ”
เขาไม่ได้โกรธซ้ำยังหัวเราะกับท่าทางขี้อ้อนของชู
ชูยังเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเหมือนอ้อนขออะไรสักอย่าง
เขาจึงยิ้มบางๆก่อนจะโน้มตัวลงไป
แล้วมอบจุมพิตไว้ที่ริมฝีปากของชู
จูบถูกตรึงไว้แบบนั้นหลายวินาทีก่อนที่เขาจะละออกมา
ก่อนที่บรรยากาศหวานๆจะถูกเปลี่ยนเป็นไฟร้อน เขาต้องรีบดับมันก่อนเพราะตอนนี้ร่างกายของชูยังไม่พร้อม
“แค่นี้ไม่พอ
มินาโตะ”
ชูเอ่ยหน้าตายเมื่อเขาล้างฟองบนหัวให้
“พอแล้ว
แขนนายเจ็บ ทำมากกว่านี้ไม่ได้ รู้ไหม?”
มือบางรีบถูสบู่รีบล้างไปตามร่างกาย
“แต่ฉันว่ายังไม่พอ
ขออีกหน่อยไม่ได้เหรอมินาโตะ...”
“พอ~”
กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็เล่นเอาเขาเหนื่อยทั้งกายและใจ
แล้วที่เหนื่อยก็ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย
เขาต้องคอยตะครุบมือซุกซนที่เกาะแกะอยู่ตามร่างกายเขานี่แหละ
บางทีเขาก็สงสัยนะว่า
ถ้ามืออีกข้างมันจะไม่ได้เป็นอะไรขนาดนี้ ทำไมถึงไม่อาบน้ำเองเนี่ย?
การอยู่แต่ในห้องทั้งวันทำให้รู้สึกอึดอัดพอสมควร
ตอนหัวค่ำมินาโตะจึงพาเขาไปเดินเล่นที่สวนด้านล่าง
เขาถูกจับให้นั่งบนรถเข็นทั้งที่เดินไปเองก็ได้แท้ๆแต่มินาโตะก็กลัวจะกระเทือนถึงหัวไหล่
จึงพยายามหลอกล่อให้เขานั่งในรถเข็นด้วยจุ๊บน่ารักๆหนึ่งที แน่นอนว่าถ้าขัดศรัทธานี้ก็ไม่ใช่ฟูจิวาระ
ชูแล้ว
รถเข็นถูกเข็นออกจากตึกวีไอพี
สวนที่ถูกจัดไว้อย่างดีมีไฟระเรื่อส่องไปตามทาง อากาศก็กำลังเย็นสบาย
คนที่ออกมานั่งเล่นก็มีไม่มากเหมือนตอนกลางวัน
ถ้าไม่มีคนใส่ชุดคนไข้ในเดินสวนมาก็คงไม่คิดหรอกว่ากำลังอยู่ที่โรงพยาบาล
มันเหมือนเดินอยู่ในสวนสาธารณะมากกว่า
มินาโตะจอดรถเข็นไว้ข้างๆม้านั่งตัวหนึ่ง
พวกเขาจึงนั่งรับลมกันสองคนอยู่ที่นั่น
“ไม่มีเพื่อนที่ห้องหรือที่ชมรมมาเยี่ยมบ้างเลยเหรอ?
พวกฝาแฝดรู้หรือยังว่าชูบาดเจ็บอยู่น่ะ?”
มินาโตะเปิดบทสนทนาก่อน
“ไม่มีใครรู้เพราะฉันบอกคนอื่นๆว่าจะลาไปต่างประเทศ”
“อ้าว?”
“ไม่จำเป็นที่คนอื่นจะต้องมาวุ่นวายหรอก
ฉันอยากอยู่กับมินาโตะเงียบๆแค่สองคน”
“คือ...”
มินาโตะดูอึกอักเลิ่กลั่กเมื่อเขาพูดออกไปแบบนั้น
“มินาโตะ?”
“แต่ฉัน...บอกเซยะ
เรียวเฮย์และเพื่อนที่ชมรมยิงธนูของฉันไปแล้ว...” .....ถ้าเรียวเฮย์รู้
เซ็นกับมันก็คงจะรู้ในอีกไม่นานนี้แน่...
“ขอโทษนะชู! ก็...ฉันไม่ได้ไปชมรม...ก็เลยต้องบอกเซยะน่ะว่าจะไปไหน...”
ไม่ใช่ความผิดมินาโตะหรอกแต่เป็นเพราะเขาไม่ได้บอกมินาโตะก่อน
แต่ที่เขาแปลกใจกลับเป็นเรื่องที่มินาโตะไม่ไปยิงธนูมากกว่า
“มินาโตะไม่ได้เข้าชมรมหรอกเหรอ?” ยังคิดอยู่ว่ามาถึงไวเชียววันนี้
“อื้อ
ไม่ได้เข้า ฉันไม่มีสมาธิน่ะ ในหัวมัวแต่คิดเรื่องชู ก็เลยมาหาชูเลยดีกว่า” น่าดีใจแหะ...มินาโตะเลือกเขาแทนที่จะเป็นธนู
เป็นคนอื่นคงเฉยๆ
แต่นี่คือมินาโตะที่ไม่เคยเห็นอะไรอยู่ในสายตานอกจากธนูเชียวนะ
แล้วมินาโตะคนนั้นก็ยอมงดซ้อมเพื่อมาหาเขา
แขนข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บจึงสอดประสานมือเข้ากับมือนิ่มๆของมินาโตะ
นิ้วทั้งห้าเกี่ยวพันกัน ถึงหลังจากนั้นจะนั่งมองต้นไม้ใบหญ้าด้วยความเงียบงัน
แต่หัวใจที่อยู่เคียงข้างกันเสมอก็มีแต่ความอบอุ่น
แล้วสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างเด่นชัดว่า
ถ้าเรียวเฮย์รู้ ฝาแฝดของชมรมยิงธนูคิริซากิก็จะรู้ไปด้วยนั่นก็คือ
การที่มีเด็กนักเรียนหญิงจากโรงเรียนคิริซากิมายืนออกันอยู่เต็มล็อบบี้ตึกผู้ป่วยพิเศษในวันรุ่งขึ้น!
ใบหน้ามนมองอย่างอึ้งๆก่อนจะพยายามเดินเงียบๆฝ่าฝูงชนเข้าไป
ในมือของเด็กสาวนับร้อยต่างก็มีทั้งดอกไม้ ผลไม้ คุกกี้ ขนม
และสารพัดของเยี่ยมที่จะสรรหากันมาได้ภายในวันเดียว
ตอนนี้คงรู้ไปทั่วทั้งโรงเรียนคิริซากิแล้วแน่ๆ
และที่เด็กสาวพวกนั้นยังยืนออกันอยู่แค่ตรงนี้
เข้าไปไม่ได้ นั่นก็เพราะถูกรปภ.ที่สวมสูทดำกันเอาไว้
ไม่มีใครผ่านเข้าไปได้แม้แต่คนเดียว
ยกเว้นเขา?
ร่างโปร่งบางเดินผ่านแถวรปภ.เข้าไปด้วยใบหน้างงๆ
เดิมทีเขาไม่ได้คิดหรอกว่ารปภ.พวกนี้เป็นทีมบอร์ดี้การ์ดที่มาคอยคุมกันชู
เขาคิดว่าคงเป็นของคนไข้คนอื่นเพราะตึกนี้ยังมีห้องวีไอพีอยู่อีกหลายห้อง
แล้วในขณะที่เขากำลังก้าวเดินต่อไปยังโถงลิฟท์
เด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็จำเขาได้ พวกเธอจึงตะโกนออกมาว่า
“ฟูจิวาระคุงอยู่ตึกนี้จริงๆด้วย!
ให้เราเข้าไปนะ!”
“นารุมิยะคุง!
นั่นนารุมิยะคุงใช่ไหม?!”
“คุณครับ
เชิญครับ”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้โต้ตอบพวกเธอ แผ่นหลังบางก็ถูกบอร์ดี้การ์ดดันเข้าลิฟท์ไปเสียก่อน
“เด็กผู้หญิงพวกนั้น...มาเยี่ยมชูเหรอครับ?”
“น่าจะใช่ครับ
แต่นายน้อยฟูจิวาระแจ้งไว้ว่าไม่ต้องการพบใครและไม่ให้เข้าพบนอกจากคุณคนเดียวครับ”
“เอ่อ...ครับ”
เขาเดินงงๆออกจากลิฟท์มา
คุณพยาบาลที่อยู่เคาน์เตอร์หน้าห้องส่งยิ้มมาให้
ก๊อกๆ
แกร่ก...
ชูยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาด้วยใบหน้าไม่ทุกข์ร้อนเหมือนเคย
“ชู
มีคนมารอเยี่ยมชูอยู่ข้างล่างเต็มเลย อาจจะมีเพื่อนในห้องด้วยก็ได้นะ”
เขาวางกระเป๋านักเรียนลงพร้อมกับเล่าให้ชูฟัง
“ฉันไลน์บอกหัวหน้าห้องกับประธานชมรมแล้วว่าไม่ต้องมา”
แต่ชูกลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่ใส่ใจว่าใครจะมารออยู่
“ไม่อยากเจอเพื่อนๆหน่อยเหรอ?” เขานั่งลงที่โซฟาพลางปลดประดุมกักกุรันออก
“มินาโตะอยากให้คนพวกนั้นขึ้นมาเหรอ?” ชูเงยหน้าขึ้นมาถาม อืม...ถ้าถามเขาว่าอยากให้เด็กสาวพวกนั้นขึ้นมาหาชูไหม...
“ไม่
ห้ามขึ้นมา” เขาตอบสั้นๆง่ายๆได้ใจความ
เขาก็หวงของเขาเหมือนกัน!
“ฮึ
มินาโตะก็ขี้หึงเหมือนกันแหะ” ชูเอ่ยแซวก่อนจะก้มลงไปแก้สมการคณิตศาสตร์ต่อ
“ก็ชูเป็นของฉัน”
“ครับ
ชูเป็นของมินาโตะคนเดียวครับ”
ชูเงยหน้ามายิ้มพร้อมกับวางปากกาลง
“พรุ่งนี้ให้โทโจซังไปรับนะมินาโตะ
พวกนั้นรู้แล้วว่ามินาโตะจะเดินเข้ามา มินาโตะต้องโดนรุมแน่ๆ
มาทางที่จอดรถกับโทโจซังปลอดภัยกว่า”
ชูพูดกับเขาทำเอารู้สึกอึ้งไปน้อยๆ
“เหมือนดาราเลยอ่ะชู” ดวงตากลมใสมองไปที่ชู
“ฉันเป็นทายาทของตระกูลฟูจิวาระที่เป็นกลุ่มธุรกิจหมื่นล้านและมีรากฐานชอนไชอยู่ในระบบการเมืองการปกครองของญี่ปุ่นนะ
มินาโตะรู้รึเปล่า? ฮึๆๆ”
นิ้วยาวจิ้มลงไปกลางหน้าผากใสอย่างเอ็นดู
“ชูก็คือชู
ฉันรู้แค่นั้นแหละ”
“ฉันก็ชอบที่มินาโตะเห็นฉันเป็นแค่ชูเหมือนกัน”
แต่วันรุ่งขึ้น
แทนที่เขาจะได้กลับกับโทโจซังตามลำพัง...มันกลับไม่เป็นแบบนั้น
รถยนต์หรูที่ดูคันใหญ่กว่าที่ชูใช้อยู่แล่นมาจอดตรงหน้า
โทโจซังลงมาเปิดประตูให้และร่างโปร่งบางก็ก้าวขาขึ้นไปอย่างคุ้นเคย…ก่อนจะเห็นว่ามีคนอีกคนนั่งอยู่!
คุณพ่อของชู!
"เอ่อ…สวัสดีครับ คุณพ่อ…ขออนุญาตินะครับ…"
ไหล่บอบบางแข็งเกร็งขึ้นมาทันที
เขาไม่เคยอยู่กับพ่อของชูตามลำพังแบบนี้มาก่อนเลย
"เจ้าชู…แวะมาที่นี่ทุกวันเลยสินะ?"
เสียงน่าเกรงขามเอ่ยออกมาในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง
"ครับ…" คุณพ่อรู้เรื่องของเขากับชูอยู่แล้วจึงไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก
ร่างโปร่งบางจึงพยายามผ่อนคลายเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้กดดันอะไรเขามากมาย
"ผม…ขอโทษจริงๆนะครับ…ที่ชูบาดเจ็บ…ก็เพราะผม…" เขาวางสองมือไว้บนเข่าก่อนจะก้มหัวขอโทษคุณพ่อจากใจจริง
"ชูเต็มใจจะช่วยเธอเองนี่ เธอไม่ได้บังคับให้ชูทำสักหน่อย
จะเป็นความผิดของเธอได้ยังไง ไม่ต้องคิดมากไปหรอก
ชูเองก็มีเรื่องต้องเรียนรู้อีกเยอะ นี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน"
คุณพ่อพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ คงจะไม่ได้โกรธเขาจริงๆ
เขาเคยคิดว่าพ่อของชูจะดุมากและคงไม่ยอมรับเรื่องของเราง่ายๆ
แต่คุณพ่อกลับเป็นผู้ใหญ่และยอมทำความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนไป จากที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา
ตอนนี้เขาจึงเริ่มพูดคุยกับอีกฝ่ายตามปกติได้แล้ว
บรรยากาศภายในรถไม่ได้น่าอึดอัดใจอย่างที่คิด
คุณพ่อสอบถามเรื่องของชูจากเขาหลายเรื่อง และถ้าเป็นเรื่องของชู
เขาก็เล่าให้อีกฝ่ายฟังได้อย่างไม่มีติดขัดอยู่แล้ว
รถจึงแล่นถึงโรงพยาบาลเร็วทีเดียวในความรู้สึกเขา
พวกเราสามคนเดินจากที่จอดรถใต้อาคารมาที่ลิฟท์
ถึงมันจะไม่ต้องไปเดินผ่านประตูหน้าแต่ว่าก็ยังมองเห็นได้จากล็อบบี้อยู่
"นี่พวกนายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? แม้แต่ผอ.โรงพยาบาลนี้ยังต้องเกรงใจพ่อฉันเลยนะ!"
เสียงตวาดดังแว่วมาตั้งแต่ที่พวกเขายังเดินไม่ถึงลิฟท์ด้วยซ้ำ
คุณพ่อของชูขมวดคิ้วทันที
"เราให้เข้าไปไม่ได้จริงๆครับ ส่วนนี้เป็นโซนวีไอพี
ต้องได้รับอนุญาติจากคนไข้เท่านั้นครับถึงจะให้เข้าไปได้" ดวงตากลมโตเหลือบมองไปที่กลุ่มคนด้านนอกราวกั้นที่ถูกตั้งขึ้นมากันส่วนล็อบบี้กับโถงลิฟท์แบบเฉพาะกิจ
ดูเหมือนวันนี้รปภ.จะเยอะกว่าเมื่อวานและกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงก็เยอะกว่าเมื่อวานนี้ด้วย
วันนี้มีแม้แต่เครื่องแบบโรงเรียนอื่นที่ไม่ใช่คิริซากิ!
"อ๊ะ! คุณลุงคะ! คุณลุง!" แล้วพอเด็กสาวคนนั้นหันมาเห็นคุณพ่อของชูเข้า
เธอก็รีบโบกไม้โบกมือทำทีว่ารู้จักทันที คุณพ่อของชูปรายตามองอย่างหน่ายๆ
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นกับท่าทางแบบนี้นักนะ ใบหน้ามนยิ้มแห้ง
"คุณลุงจำหนูได้ไหมคะ? หนูเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลโอดะไงคะ
คุณพ่อยังพาหนูไปแนะนำให้คุณลุงรู้จักที่งานเลี้ยงปีใหม่อยู่เลยค่ะ"
ร่างสูงสง่าของผู้นำตระกูลฟูจิวาระคนปัจจุบันเพียงแค่หันใบหน้าไปมอง
ไม่ได้คิดจะก้าวขาเข้าไปหาหรือมีท่าทีจะสนใจเด็กสาวแต่อย่างใด
ชูเองก็ไม่ชอบคนที่ใช้เส้นสายของตระกูลเข้าหาตน
ไม่ชอบคนที่พยายามจะใช้อำนาจบาตรใหญ่และเอะอะโวยวาย
เพราะชูถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลที่มีอำนาจจริงๆ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกไปแต่ใครๆก็จะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง
แล้วเขาว่า…คุณพ่อของชูก็คงจะเป็นเหมือนกัน
คุณพ่อถึงได้เมินเฉยต่อคำพูดของเด็กสาวคนนั้น
"หนูขอขึ้นไปเยี่ยมฟูจิวาระคุงกับคุณลุงด้วยได้ไหมคะ
คุณพ่อของหนูฝากของเยี่ยมมาให้ด้วยนะคะ
เป็นไวน์ชั้นดีจากแคว้นอัลซาสของฝรั่งเศสเลยนะคะ" นั่นคือของเยี่ยมไข้เหรอ? เขาได้แต่ยิ้มแหยๆ
แต่ดูเหมือนคุณพ่อจะยิ่งขมวดคิ้วหนัก
"ขอโทษด้วยนะ ถ้าฉันอนุญาติให้เธอเข้าไป
แล้วเพื่อนๆที่รออยู่เต็มล็อบบี้นี่ล่ะ?" คนเป็นผู้ใหญ่พยายามจะปฏิเสธแบบผู้ดีแต่เด็กสาวก็ดูจะไม่เข้าใจ
"มันก็ช่วยไม่ได้นี่คะในเมื่อพวกนั้นไม่ได้รู้จักคุณลุงเหมือนหนู"
"ฉันก็ไม่รู้จักเธอ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าโอดะไหน?" อึ้กกก…สมกับเป็นคุณพ่อของฟูจิวาระ ชูจริงๆ
ชูแทบจะถอดแบบมาจากคุณพ่อเปี๊ยบ
เด็กสาวคนนั้นถึงกับยืนตัวสั่นหน้าดำหน้าแดง
แต่ตอนนี้น่าจะรู้สึกว่าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนมากกว่า เพราะเด็กสาวที่ยืนมองอยู่รอบๆต่างเต็มไปด้วยสายตาสมเพชบ้าง
เย้ยหยันบ้าง
"กลับไปเถอะ เอาของเยี่ยมนั่นกลับไปด้วย ชูขอรับไว้ด้วยใจก็พอ"
คุณพ่อเบี่ยงตัวกลับเตรียมจะเดินเข้าลิฟท์
แต่เด็กสาวก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอคงรู้สึกอับอายจนต้องพยายามลากใครสักคนลงเหวไปด้วย
ซึ่งเป้าสายตาในเวลานั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้…นอกจากเขา
"แล้วทำไมนารุมิยะคุงถึงเข้าไปได้ละคะ? ทั้งๆที่หนูเป็นเพื่อนร่วมห้องแท้ๆ!"
"นี่คือคนที่ลูกชายของฉันอนุญาติ ถ้าเธออยากเข้าไปก็ไปทำให้เขาอนุญาติเองสิ"
คุณพ่อตอกกลับจนหน้าชาก่อนจะเดินเข้าลิฟท์ไป เขาเหลือบมองเด็กสาวเล็กน้อยก่อนจะก้าวขาตามคุณพ่อ
การที่เขามาพร้อมนายใหญ่ของตระกูลฟูจิวาระและถูกดูแลอย่างดีโดยหัวหน้าพ่อบ้านประจำตระกูลก็บ่งบอกได้หมดแล้วว่าเขาเป็นคนสำคัญ
เด็กสาวพวกนั้นจึงได้แต่กัดฟันมองประตูลิฟท์ที่ปิดลง
"ฉันเกลียดเด็กที่ชอบสร้างปัญหาแบบนั้นที่สุด
ดีที่เธอไม่ได้เป็นแบบนั้นนะมินาโตะคุง" เสียงเข้มงวดเอ่ยออกมาอย่างเพลียๆ
"ครับ…" แต่เขากลับหน้าแดง
เพราะว่าคุณพ่อเรียกเขาด้วยชื่อตรงๆ
"คนที่เก่งหรือมีอำนาจจริงๆน่ะ เขาไม่แหกปากร้องตะโกนป่าวๆแบบนั้นหรอก"
เหมือนคุณพ่อพยายามจะสอนเขาเรื่องการวางตัวที่ดีในสังคม
เขาจึงได้แต่พยักหน้ารับ
แล้วระหว่างที่อยู่ในห้องพักคนไข้กับพวกเขา
โทรศัพท์มือถือของคุณพ่อก็ดังขึ้นอีกหลายสาย
ส่วนใหญ่มักมีเป้าหมายไม่ต่างกันนั่นก็คือพยายามโทรมาแสดงความสนิทสนมเพื่อจะขอให้ลูกสาวของตัวเองได้มาเยี่ยมไข้ชู
แน่นอนว่านายใหญ่ฟูจิวาระปฏิเสธแบบไม่ไยดี “คนพวกนี้ดูก็รู้ว่าเข้าหาแกเพราะผลประโยชน์
ถ้าลองได้คบกันสักอาทิตย์คงขอให้เราเซ็นสัญญานู่นนี่นั่นให้แน่ๆ
แกต้องดูให้ดีนะชู”
“ครับ...” ชูคงจะอยากตอบออกไปเหลือเกินว่าไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ
คนที่ผมคบด้วยมาสิบปีคนนี้ยังเห็นผมเป็นแค่ชูอยู่เลย
มีแต่ผมที่แหละที่อยากจะบังคับให้เขาเซ็นต์
แต่เป็นทะเบียนสมรสนะไม่ใช่สัญญาทางธุรกิจ!
คุณพ่อมาดูอาการของชูอยู่ไม่นานก็กลับไป
ดูเหมือนคุณแม่จะมาในตอนกลางวันเขาจึงไม่ได้เจอ
"คุณพ่อบอกให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน
เพราะตอนนี้ฉันน่าจะกำลังทำให้โรงพยาบาลและผู้ป่วยคนอื่นๆเดือดร้อนอยู่"
"ก็จริง คนจะมาเยี่ยมไข้ที่ชั้นอื่นเลยต้องพลอยถูกตรวจสอบเข้มงวดไปด้วยเลย
แล้วพอหลายคนในตึกวีไอพีนี้รู้ว่าชูพักอยู่ที่นี่ ก็พยายามจะขึ้นมาเยี่ยม
คุณพยาบาลที่เคาน์เตอร์หน้าห้องกับรปภ.ประจำชั้นนี้เลยต้องทำงานหนักไปด้วยเลย"
ก็เข้าใจได้อยู่หรอกนะ เพราะชูไม่ได้เจ็บไข้จนต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ
โอกาสที่จะได้มาแสดงน้ำใจในเวลาแบบนี้จึงหาได้ยากเต็มที
"ที่จริงฉันเป็นห่วงมินาโตะมากกว่า ฟังจากที่คุณพ่อเล่ามา พวกนั้นเริ่มระรานมินาโตะเกินไปแล้ว"
"พวกเค้าไม่ได้ทำอะไรฉันหรอกชู
แต่ฉันก็คิดว่านายกลับไปรักษาตัวที่บ้านน่าจะดีกว่า คุณหมอว่ายังไงบ้าง? ให้ออกจากโรงพยาบาลได้ไหม?"
"อื้ม คุณหมออนุญาติให้ออกได้และจะส่งทีมแพทย์ไปตรวจที่บ้านให้"
"ดีแล้วละ"
"แต่ว่า…มินาโตะล่ะ จะตามไปดูแลฉันที่บ้านไหม?
มินาโตะต้องรับผิดชอบจนกว่าฉันจะหายดีนะ" ชูทวงหน้าตายและไม่ยอมง่ายๆ
"รู้แล้วน่า ไปก็ไปสิ"
และแค่เขาตอบออกไป ชูก็ยิ้มหน้าบาน
"ยิ้มอะไรเนี่ย"
เพราะฉะนั้น
จากรถที่เคยไปรับเขาจากโรงเรียนไปโรงพยาบาล จึงตรงกลับไปที่บ้านฟูจิวาระแทน
"กลับมาแล้วครับ~ ชู ทำอะไรอยู่? แขนนายเป็นยังไงบ้างวันนี้" เสียงใสเอ่ยทักคนที่นั่งอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นก่อนจะเดินเข้าไปหา
เขาเริ่มคุ้นเคยกับบ้านของชูแล้ว
"ยินดีต้อนรับกลับครับ แขนก็ดีขึ้นแล้ว
พอทำตามที่ทีมกายภาพบอกก็ขยับได้ดีขึ้น"
"ทำการบ้านอยู่เหรอ?" อย่าว่าแต่โรงพยาบาลที่ส่งทีมแพทย์มาตรวจให้ถึงบ้านเลย
แม้แต่ที่โรงเรียนเองก็ยังส่งคุณครูมาสรุปเรื่องที่เรียนไปในแต่ละวันให้เหมือนกัน
สมเป็นชูจริงๆ
ปิดทางสมุดโน้ตที่แย่งกันจะมาส่งให้จากสาวๆในชั้นไปเสียหมด บรรดาสาวหัวดีที่มั่นใจในความเรียบร้อยของสมุดโน้ตตนเองจึงพากันสะดุดล้มหัวทิ่มไปตามๆกัน
"อื้อ แต่เสร็จแล้วละ มินาโตะ มานี่หน่อยสิ" ชูลุกขึ้นก่อนจะเดินนำออกไป เฝือกอ่อนช่วยพยุงไหล่ยังคงถูกสวมไว้
เพราะแบบนั้นชูจึงยังจับธนูไม่ได้และคงจะคิดถึงมันมาก
สำหรับนักธนูอย่างพวกเขาการไม่ได้จับธนูมาเจ็ดวันก็นานเกินพอแล้ว
ร่างสูงสง่าจึงพาเขาเดินไปตามทางที่เขาจำได้ดี…โรงฝึกส่วนตัวของชูที่อยู่ในบ้านหลังนี้
"มินาโตะ ยิงธนูให้ฉันดูหน่อย" ชูเอ่ยออกมาหลังจากที่เราต่างก็นั่งทับสนหันหน้าเข้าหากันอยู่ในโรงฝึก
มีชุดฮากามะสีกรมท่าของคิริซากิที่ชูตัดไว้ให้เขาวางอยู่ตรงหน้า
ในโรงฝึกแห่งนี้เขาไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมาเลย
เพราะทุกอย่างที่เป็นไซส์ของเขาถูกชูเตรียมไว้ให้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชุด ธนู
หรือแม้แต่ถุงมือ
"ได้สิ" เขาเอง…ก็ไม่ได้ยิงธนูมาเจ็ดวันเท่ากับชูเหมือนกัน
เขาหันไปมองลานยิงด้วยความคิดถึง
มือบางช่วยสวมชุดฮากามะให้ชู
ตั้งแต่กางแขนเสื้อให้ชูสอดแขนเข้าไป
ขยับมายืนด้านหน้าเพื่อจะผูกโบว์ที่เสื้อและโอบิให้
ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของคนที่จ้องมองอยู่
ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองมือบางที่กำลังผูกสายรัดฮากามะให้ หน้าผากของร่างสูงคลอเคลียอยู่ที่เส้นผมสีดำเกิดเป็นภาพที่แสนละมุนละไม
ลมหายใจเป่ารดหน้าผากใสเมื่อมินาโตะเงยหน้าขึ้นมามอง
ดวงตาสบประสานกันอยู่เนิ่นนานกว่าจะละออกมาได้
บรรยากาศแห่งรักลอยอบอวลอยู่รอบกาย ร่างสองร่างในชุดฝึกยิงธนูสีกรมท่าของคิริซากิ
ร่างสูงนั่งทับส้นอยู่ที่ด้านหนึ่งของโรงฝึก
แผ่นหลังที่ตั้งตรงยามที่อยู่ในชุดฮากามะแบบนี้ยิ่งดูสง่าผ่าเผยเข้าไปใหญ่
นัยน์ตาสีม่วงทอดมองไปยังร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่กลางลานยิง
ทุกท่วงท่าของมินาโตะนั้นงดงามมากจริงๆ ไม่ว่าจะท่าทำสมาธิสงบจิตใจ ท่าง้างคันธนู
สายตาที่มองตรงไปยังเป้า เสียงทสึรุเนะแว่วหวานดุดันที่พุ่งออกไป จนถึงใบหน้าสงบนิ่งหลังยิงธนู
รูปร่างของมินาโตะก็สวยมาก
ยิ่งอยู่ในชุดซ้อมของคิริซากิในแบบที่เขาชอบก็ยิ่งถอนสายตาออกมาไม่ได้
สวยไปหมด...แค่ได้มองก็ราวกับได้ชำระล้างจิตใจแล้ว...
เขาไม่จำเป็นต้องยิงธนูเองก็ยังได้
ตราบใดที่ยังได้นั่งมองมินาโตะยิงอยู่แบบนี้
“มินาโตะ
พักก่อนเถอะ”
มือใหญ่ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะอยู่ตามไรผมสีดำให้ ร่างสูงใหญ่ขยับไปยืนซ้อนด้านหลังก่อนจะปลดคันธนูออกจากมือบาง
เป้าที่วางห่างออกไป
28 เมตรมีลูกธนูหางอินทรีดำปักอยู่กลางเป้าทั้ง 8 ดอก
ฝีมือไม่ตกเลยจริงๆ
แก้มของมินาโตะเปล่งปลั่งขึ้นยามเมื่อหันมายิ้มให้เขา
เขาจึงส่งรอยยิ้มอบอุ่นตอบกลับไป
“พักดื่มชากัน”
ชาเขียวขึ้นฟองถูกนำมาเสริฟพร้อมขนมวากาชิรูปดอกซากุระ
พวกเขายังนั่งจิบชาเงียบๆกันอยู่ที่โดโจ
นั่งมองฟ้า มองต้นไม้ใบหญ้า มินาโตะใช้ไม้ตัดขนมให้เขา
รสหวานเลี่ยนตัดกับความขมของชาได้เป็นอย่างดี บรรยากาศช่างสงบสุขจนอยากจะให้อยู่แบบนี้ไปนานๆ
แล้วในขณะที่กำลังนั่งมองสวนที่อยู่ระหว่างโดโจกับอาคารวางเป้า
ใบหน้าเล็กๆสามสี่หน้าก็โผล่ออกมาจากกอหญ้ากอหนึ่ง
“เอ๊ะ?
นั่นมันกระต่ายรึเปล่าชู?”
นิ้วเรียวของมินาโตะชี้ชวนเขาดูเจ้ากระต่ายป่าที่แอบมาอาศัยอยู่ในสวนบ้านเขาพักใหญ่มาแล้ว
“ใช่แล้วละ
มีพ่อ แม่ แล้วก็ลูกกระต่าย”
เขาตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อมินาโตะมองพวกมันตาโต ดูจะชอบพวกมันมาก
“พวกมันน่ารักจัง
นายจับมันได้ไหมชู?”
มินาโตะหันมามองเขาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ยังไม่ได้หรอก
ตอนแรกที่เห็นฉันพวกมันพากันวิ่งหนี
แต่พอเห็นกันบ่อยๆเข้าพวกมันก็เริ่มเข้ามาใกล้ๆ แต่ยังจับไม่ได้
อาจจะต้องรอให้มันคุ้นกว่านี้”
“ดีจัง”
“มินาโตะก็มาที่นี่บ่อยๆสิ
เดี๋ยวพวกมันก็ยอมให้จับเอง”
“อื้อ!”
เขาหันไปมองมินาโตะที่กำลังจ้องพวกกระต่ายด้วยรอยยิ้ม เขาชอบความสงบแบบนี้มากจริงๆ
แล้วก็ไม่ได้มีแต่เรื่องยิงธนูที่พวกเขาไม่ได้ทำมาถึงเจ็ดวัน...เรื่องแบบนั้นก็ด้วย...
“ชู
สมุดธนูที่ให้ฉันยืมไปดูเมื่อคราวก่อนอยู่ไหนเหรอ? ขอยืมดูอีกทีได้ไหม?” เสียงนุ่มเอ่ยถามเมื่อนึกถึงสมุดโน้ตของชูขึ้นมาได้
มันเป็นสมุดที่ชูใช้จดเทคนิคการยิงธนูรวมไปถึงความรู้และศาสตร์เกี่ยวกับธนูที่ได้รับมาจากที่ต่างๆ
สิ่งที่อ.ไซออนจิสอนไว้ก็มีอยู่ในนั้นด้วย
เขาน่าจะเป็นคนเดียวที่ชูยอมให้ดู
“อยู่บนชั้นเหนือโต๊ะอ่านหนังสือน่ะ” ชูตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ
เสียงของชูฟังดูอู้อี้หน่อยๆเพราะกำลังแปรงฟันอยู่
“ชั้นเหนือโต๊ะ...ชั้นเหนือโต๊ะ...” เสียงนุ่มเอ่ยทวนคำก่อนจะไล่สายตาไปที่สันหนังสือมากมายที่อัดแน่นอยู่บนชั้นเหนือหัว
ส่วนใหญ่จะเป็นตำราเกี่ยวกับการยิงธนูทั้งนั้นเลย ชูน่าจะหยิบมาดูบ่อยเพราะหนังสือพวกนี้อยู่ใกล้มือที่สุด
“อ่ะ
เจอแล้ว!” เขาจำสันสีเขียวเข้มของสมุดเล่มนั้นได้ดี
แต่ปัญหามันก็มีอยู่ว่า...เขาหยิบไม่ถึง!
ใบหน้ามนได้แต่อ้าปากค้างกับความเตี้ยของตัวเอง
ไม่จริงน่ะ เขาว่าเขาก็เป็นเด็กผู้ชายที่มีความสูงตามมาตรฐานคนหนึ่งนะ...
แต่หลังจากที่ลองเขย่งดูแล้ว...ปลายนิ้วก็ยังแค่แตะโดนมุมล่างนิดเดียว...
จากที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับส่วนสูงของชูกับตัวเขาที่ค่อยๆห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ก็รู้สึกขึ้นมาเลย...
หมอนั่นสูงกว่าเขาแค่ไหนกันแล้วเนี่ย?!
“ฮึบ!” เขาทั้งเอื้อมสุดแขน ทั้งเขย่ง ทั้งกระโดด
แต่ก็ดูจะไร้ความหมาย ริมฝีปากสีระเรื่อต้องเม้มแน่นขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังอยู่ข้างหลัง
ชู... ขำอะไรเนี่ย?!
ชึ่บ
แล้วจู่ๆก็มีมือของใครอีกคนเอื้อมมาหยิบสมุดเล่มนั้นให้จากทางด้านหลัง
ซีนนี้อย่างกับในละครก็ไม่ปาน
“เอ้า”
ชูเคาะสมุดเล่มนั้นลงบนหน้าผากเขาเบาๆก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูตามมาอีก
ชูนะชู!
เขาหันไปมองค้อนคนที่ยังไม่ละออกไป
แขนข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บยังกางกั้นเขาไว้กับโต๊ะเขียนหนังสือ...เดี๋ยวนะ...เขาพอจะรู้แล้วว่าทำไมชูยังนิ่งอยู่ในท่านี้...
คงจะเป็นเพราะก้นของเขา...ไปโดนคุณชายน้อยที่หลับใหลอยู่เข้าพอดี...ตอนที่ชูเอื้อมไปหยิบหนังสือให้...เด็กคนนั้นก็เลยตื่นขึ้นมา.......
“.............” ร่างโปร่งบางถึงกับนิ่งค้างไป
แล้วด้วยความที่ไม่ได้ทำมานานมันจึงไม่ยอมสงบลงง่ายๆ แถมดูจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ...
“มินาโตะ...” ชูกดใบหน้ามาพูดอยู่ที่ใบหูเขา
ถึงจะยังหันหลังให้แต่เขาก็รู้ดีเลย
“มินาโตะเคยบอกว่า...ถ้าฉันอยากได้หรืออยากหยิบจับอะไรก็ให้บอกมินาโตะใช่ไหม...” ไม่ว่าเปล่าเขายังรู้สึกว่าเจ้าแท่งแข็งขืนนั่นกำลังถูไถอยู่กับร่องก้นของเขาเนิ่บช้า
“อะ
อืม...”
“เพราะงั้น...ฉันขอยืมมือของมินาโตะหน่อยได้ไหม...”
“เอ๊ะ?”
“ช่วยจับมันแทนมือของฉันที”
“เอ๋~~!!”
เขาถึงกับอ้าปากพะงาบๆตอนที่ถูกชูลากไปที่เตียงด้วยมือเพียงข้างเดียว
เดี๋ยว?
เดี๋ยวก่อนนะ? เดี๋ยวก๊อน~ แบบนี้มันหมายความว่าให้เขาเป็นคนทำให้ใช่ไหม?!
ถึงจะเคยมีอะไรกันมาไม่รู้กี่ครั้งแต่เขาไม่เคยเริ่มก่อนหรือไม่เคยเป็นฝ่ายทำให้เลย
เพราะว่าเขาทำไม่เป็น เรื่องแบบนี้เขาก็เรียนรู้มาจากชูแค่คนเดียว แล้วอีกอย่าง...มันก็น่าอายมาก
ตุ้บ...
ชูดึงเขาล้มลุกคลุกคลานไปบนเตียงก่อนที่ร่างสูงจะนั่งพิงผนังหัวเตียงเอาไว้
เขาจึงถูกปล่อยให้เผชิญหน้ากับคุณชายน้อยตามลำพัง...
“เอ่อ...” ใบหน้ามนมองสลับใบหน้าหล่อเหลากับเป้ากางเกงที่นูนขึ้นมากไปมา
ชูดูหายใจหอบน้อยๆน่าจะมีอารมณ์มากแล้ว
“ใช้มือก็ได้มินาโตะ...ช่วยฉันที ได้ไหม? หื๋ม?”
มือใหญ่ข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บเอือมมาดึงใบหน้ามนเข้าไปจูบ
เขาละออกมาในขณะที่สองขาคร่อมอยู่บนต้นขาข้างหนึ่งของชู
สองมือประคองใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยแววออดอ้อนเว้าวอน
“กะ
ก็ได้...”
ใบหน้ามนแดงแปร๊ดทำเอาเจ้าของห้องเอ็นดู
ร่างโปร่งถอยออกมา
สองมือเกาะกุมขอบกางเกงช้าๆ แล้วแค่ดึงขอบยางยืดนั่นลงมา มันก็แทบจะตีเข้าหน้าเขาแล้ว
แข็งขนาดนี้แล้วนี่นา...
ฮู่ว...
ฟูจิวาระ
ชูพยายามผ่อนลมหายใจ ภาพตรงหน้าทำคนความอดทนสูงอย่างเขาแทบทนไม่ไหว
เกือบจะหลุดโป๊ะว่าแขนหายดีแล้วไปหลายรอบ
เพราะแทนที่มินาโตะจะใช้มือช่วยเขาให้จบๆไป
แต่ความอึกอักเขินอายของมินาโตะกลับทำให้เขายิ่งต้องการมากขึ้นไปอีก
แล้วตอนนี้ใบหน้ามนก็กำลังก้มลงไปใกล้ๆความเป็นชายของเขา
ดวงตากลมใสนั่นจ้องมองมันราวกับกำลังสำรวจ
เขาทั้งเขินทั้งอยากจะจับมินาโตะกดลงแล้วสอดใส่เข้าไปรวดเดียวเลยจริงๆ
ใบหน้าของมินาโตะยังจ่ออยู่ที่เจ้าแท่งเนื้อร้อนระอุ
มือบางยังแตะๆจับๆอยู่ที่โคนอย่างเก้ๆกังๆ
ดวงตากลมโตก็ช้อนขึ้นมามองเขาอย่างเหมือนกำลังครุ่นคิดตัดสินใจ
แล้วสิ่งที่ทำเอาแทบหยุดหายใจก็คือ
จู่ๆ...ลิ้นเล็กๆของมินาโตะก็ค่อยๆแล่บออกมา
ค่อยๆแตะ...อย่างกล้าๆกลัวๆ
ค่อยๆเลียนิดๆ...ราวกับจะทักทายไม่ก็สำรวจรสชาติ
ค่อยๆแตะๆเลียๆ...ไปที่ความเป็นชายของเขา!
“อึ้ก!” เขาสูดลมหายใจเข้าแทบไม่ทัน
เกือบจะปล่อยใส่หน้ามินาโตะไปแล้ว!
บ้าเอ้ย
นี่มันบ้าอะไรกัน! เขาไม่เคยเจอพลังทำลายล้างอะไรที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อนเลยให้ตายเถอะ!
“ฮ้า...แฮ่ก...” หน้าของเขาร้อนเป็นไฟอย่างควบคุมไม่ได้
และเพราะยังรั้งฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ ผลตอบแทนก็คือการที่เจ้าเด็กนั่นขยายใหญ่ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว!
ถ้าอมใส่ปากไปเลยมันคงไม่อีโรติกมากขนาดนี้
มินาโตะเองก็ดูจะตกใจกับขนาดที่เพิ่มขึ้นในชั่วพริบตานี้เหมือนกัน
“ชู...ตอนแรกฉันว่าจะลองใช้ปากให้...แต่ถ้ามันใหญ่ขนาดนี้ฉันคงใส่ปากไม่ไหว...” มินาโตะช้อนสายตาขึ้นมามองทั้งๆที่ยังก้มอยู่กลางหว่างขา
ให้ตายเถอะภาพตอนนี้นี่มัน...
“ถ้างั้นเลียอย่างเดียวได้ไหมชู?”
ผึง!!!
เสียงฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงดังก้องอยู่ในหัวเลยทีเดียว!!
“มินาโตะ
มานี่ ยันกำแพงไว้แบบนี้” มือใหญ่ดึงร่างโปร่งบางที่ยังงุนงงให้คุกเข่าสองมือยันกับผนังหัวเตียงเอาไว้
กางเกงนอนถูกดึงลงแค่ข้อเข่าตามความร้อนของใจ
เช่นเดียวกับเจลใสๆที่ถูกชะโลมสอดเข้าไปในช่องทางคับแน่นอย่างรวดเร็ว
“โทษทีนะ
ฉันทนไม่ไหวแล้ว”
เสียงทุ้มกดต่ำกระซิบอยู่ที่ใบหูบาง
ก่อนที่แท่งเนื้อร้อนระอุจะสอดใส่เข้าไปทันที
สวบ!
“อ๊ะ?
ชู ช้าๆสิ!
ทำไมใจร้อนแบบนี้?!”
“นายเร้าอารมณ์ฉันเกินไป
มินาโตะ” สวบ!
“อื้อ~ กะ
ก็บอกว่าจะใช้ปากให้ไง”
“ใช้ตรงนี้แทนปากไปก่อนก็แล้วกันนะ มินาโตะ” สวบ!
“อะ อ้า! เดี๋ยวแขนนาย อื้อ กะ ก็เจ็บหรอก” สวบ!!
มินาโตะควรจะเป็นห่วงตัวเองมากกว่านะ เพราะตอนนี้เขาเข้าใกล้คำว่าสติหลุดเข้าไปเต็มที
“อึก..อื้อ!” สะโพกที่ถูกมือของเขาจับยึดไว้สั่นระริก
เอวบางๆที่โผล่พ้นชายเสื้อนอนที่ร่นลงไปนั่นก็ยั่วเย้าเขาสุดๆ
สวบ! สวบ! สวบ!
เขาขยับโยกกายเข้าปะทะอย่างดุดันจนก้นนิ่มแดงระเรื่อ
มินาโตะแทบจะหยัดขายันตัวเองไว้ไม่ไหว ทุกจังหวะที่กระแทกลึกสุดถึงข้างใน
เขาก็จงใจเสียดสีเข้ากับจุดที่จะทำให้มินาโตะรู้สึกดีจนแทบขาดใจด้วย
“อะ อ้า ชู! ฉะ ฉัน จะ ออก”
มินาโตะร้องครางลั่นจากแรงกระแทกที่หนักหน่วงขึ้นทุกที
แต่มันยังไม่พอ...อีก.....ขออีกนิด... มือใหญ่จึงเอื้อมไปกดปิดปลายแกนกายของมินาโตะไว้ก่อนจะกระแทกกายต่อไป
“อื้อ! ชู! ปล่อยฉัน ได้โปรด ฉันไม่ไหว อึก
ไม่ไหวแล้ว” มินาโตะเว้าวอนเสียงอ่อน
มือบางที่ยันผนังไว้ก็สั่นระริก สั่นไปหมดทั้งตัว
สวบ!ๆๆๆ
“อ๊า ชู! ชู!” มินาโตะส่ายหัวรัวๆ หูเหอแดงไปหมด
เขาเองก็ขยับโยกถี่ยิบ ข้างในตัวมินาโตะมันสุดยอดมากจริงๆ
“มินาโตะ พร้อมกันนะ”
ริมฝีปากร้อนก้มลงไปจูบหลังคอของมินาโตะก่อนจะพูดออกไป
“อึก อ๊า~” ความต้องการพุ่งทะยานออกมาอย่างรุนแรง
ทุกความปรารถนาถูกปลดปล่อยเหมือนเขื่อนแตก!
น้ำรักที่ถูกบังคับกักเก็บไว้สาดกระจายจนเลอะเต็มหมอนของเขา เช่นเดียวกับที่มีบางส่วนไหลลงมาตามเรียวขาของมินาโตะ
“อึก...”
ท่อนแขนแข็งแรงยังคงกอดร่างบางเอาไว้ แกนกายยังคงฝังแน่นอยู่ข้างใน
ลมหายใจหอบหนักจนไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร
“แฮ่ก..แฮ่ก...ชู...แขนนาย...หายดีแล้วใช่ไหม?...” มินาโตะเหลียวหลังมาหรี่ตามอง สองแขนของเขาจึงกอดรัดมินาโตะก่อนจะคลอเคลียแก้มใสอย่างเอาใจ
“ยังนะ
ยังเจ็บนิดๆอยู่เลยเนี่ย”
เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ส่งกลับไป
“แน่นะ?”
“อื้อ
น่าจะอีกเป็นเดือนแหละกว่าจะหายดี”
เขายิ้มให้มินาโตะที่มีท่าทางไม่ไว้ใจ ท่อนแขนโอบลำตัวบางให้พลิกจากท่าคุกเข่ามานั่งลงบนตักเขา
ทั้งๆที่เบื้องล่างยังไม่ได้เอาออก...
“อ๊ะ?” มินาโตะเผลอบีบรัดเพราะเปลี่ยนท่ากะทันหัน
“มินาโตะ
ต้องอยู่ดูแลฉัน ไปอีกหนึ่งเดือนเต็มๆแหละ รู้ไหม?” เขากดจูบแก้มใสแนบแน่น
“เริ่มจากคืนนี้เลยก็แล้วกัน
เนอะ?”
แล้วสิ่งที่ค้างคาอยู่ก็เริ่มขยับเบาๆอีกรอบ
“เดี๋ยวสิ
เนอะอะไรกันล่ะ? ชู อื้อ~”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
ละเนี่ย
เพิ่งไปเจอประโยคหนึ่งที่น้องมินาโตะคุยกับเซยะในโนเวลเล่มสาม
คือมินาโตะไปช่วยเซยะอาบน้ำให้คุมะ จากนั้นทั้งสองคนก็พาหมาไปเดินเล่น
แล้วจู่ๆเดินอยู่ดีๆ น้องมิแกก็พูดออกมาเฉยว่า
ที่สวนบ้านชูมีแม่ลูกกระต่ายป่ามาอาศัยอยู่ด้วยละ แรกๆพอเห็นหน้าเรามันก็จะวิ่งหนี
แต่สักพักมันก็จะเริ่มเข้ามาใกล้...มินาโตะหนูลูกกก
หนูไปรู้มาได้ยังไงก่อนนนนว่าที่สวนบ้านคุณชายเค้ามีครอบครัวกระต่ายป่ามาอาศัยอยู่ด้วยน่ะลูกกกกก
เค้าเล่าให้หนูฟังรึหนูไปเห็นมากับตาคะลูก ไหน บอกมัมหมีมาซิยยย >/////< ก็คือแค่ประโยคบอกเล่าลอยๆของน้องประโยคเดียวนี่ก็จิ้นเป็นวรรคเป็นเวรแล้วนาลูก
สองคนนี้ต้องคุยกันบ่อยขนาดไหน
ต้องเล่าเรื่องสัพเพเหระของกันและกันให้ฟังขนาดไหนเนี่ยถึงรู้แม้แต่เรื่องสวนบ้านเค้าเนี่ย
>/////<
ต้องขอขอบคุณทุกๆเสียงทวง
ทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทเช่นเคยนาคะ
ดีใจมากๆค่ะที่รู้ว่ายังมีคนรออยู่ >////< ช่วงนี้ร้อนมากๆยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยน้า
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ก่อนไปแอบแปะรูปหวานฉ่ำคลายร้อนกันหน่อย
อิๆๆๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น