ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 km/hr. again [Part3]
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 กิโลเมตรต่อชั่วโมง”
.
.
.
ฝ่าเท้าของผมก้าวเร็วๆจนแทบจะกลายเป็นวิ่งเมื่อรู้สึกตัวว่าถูกกลุ่มคนในชุดสูทสีดำกำลังไล่ตามอยู่
มือบางจับกล้องถ่ายรูปแน่นก่อนจะพยายามแฝงตัวไปกับผู้คนที่เดินอยู่เต็มถนน
วันนี้โมนาโกแทบจะปิดเมืองเพราะมีแข่งฟอร์มูล่าวัน และโชคดีที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในทีมแข่งเช่นกัน
เสื้อทีมเฟอร์รารี่ที่ผมใส่อยู่นี้จึงช่วยอำพรางร่างกายของผมไปได้บ้าง
ดวงตาคู่โตเหลือบมองป้ายโรงแรมอย่างโล่งใจ...ในที่สุดก็มาถึงที่พักจนได้
ผมน่าจะปลอดภัยแล้ว?
ทว่า...มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
รถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ที่ดร็อปอ๊อฟหน้าโรงแรม
และผมก็จำได้ดีว่ามันเป็นรถของคนที่ผมกำลังหนีอยู่!
บ้าจริง
ถึงกับตามมาถึงนี่เลยเหรอ? แบบนี้มันเกินไปหน่อยนะ!
ผมก้าวถอยหลัง...
ผมไม่อยากถูกเขาจับตัวได้ ผมไม่อยากแต่งงานกับเขา!
ไม่ว่าเขาจะทำตามคำสั่งเสียของใครหรือเทพยดาองค์ไหน
แต่นี่มันบ้ามากสำหรับผม!
คืนนี้...ขอแค่หลบเขาให้พ้นห้าทุ่มของคืนนี้...
ผมก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆโดยที่ตายังจับจ้องอยู่ที่รถคันนั้น
แย่ละสิ เหมือนเขาจะมองเห็นผมแล้วเลย!
ตุ้บ!
ผมถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อแผ่นหลังไปปะทะกับแผ่นอกของใครเข้า
ผมหันหน้าควับไปอย่างตกใจเพราะนึกว่าถูกบอร์ดี้การ์ดของเขาจับได้เสียแล้ว
ทว่า
คนที่ก้มมองผมอย่างแปลกใจกลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ไม่สิ
ไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งแต่เป็นหวังอี้คุน นักขับของเฟอร์รารี่ในสนามนี้!
หมับ!
ด้วยอารามตกใจและผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ
สองแขนจึงกอดหมับไปที่ร่างสูงสง่าของหวังอี้คุน
ผมทั้งซบใบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างของเขาก่อนจะหันหนีทางที่รถสีดำจอดอยู่
ทั้งใช้ลำตัวของเขาบังตัวผมเอาไว้
เอาจริงๆหวังอี้คุนไม่รู้จักผม
และผมเองก็ไม่รู้จักเขา เราไม่รู้จักกัน
แต่กระนั้นเขาก็ยังยืนนิ่งเพื่ออ่านสถานการณ์
“คุณ...เป็นทีมงานของเฟอร์รารี่ใช่ไหมครับ?” เสียงทุ้มของเขาถามผมเบาๆ
เขาคงสังเกตเห็นบัตรแพดดอกที่ห้อยคอผมอยู่ นักขับอย่างเขาหูตาไวจะตายไป
“ครับ...” ผมตอบเขา
มือที่กำชายเสื้อของเขาอยู่สั่นระริกเพราะกลัวว่าเขาจะผลักผมออกไป
ซ้ำยังกลัวกลุ่มคนในสูทสีดำที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เต็มที
“คนพวกนั้น...กำลังตามจับตัวคุณอยู่ใช่ไหมครับ?”
เขาถามอีกซึ่งผมไม่กล้าเงยหน้ามองจึงได้แต่ตอบอยู่กับแผงอกของเขา
“ครับ...”
“ต้องการให้ผมช่วยไหมครับ?” เขากระซิบอยู่บนหัวผมแสดงว่าพวกนั้นน่าจะใกล้เข้ามาแล้ว
มือของผมเผลอกระตุกชายเสื้อเขาด้วยความกลัว
“ช่วย...ผมด้วยครับ...” เท่านั้นแหละ
จู่ๆเขาก็ล็อคคอผมก่อนจะพาเดินตรงเข้าไปหากลุ่มคนในสูทดำพวกนั้นเฉย!
“อยู่นิ่งๆไว้ครับ”
เขากระซิบบอกเบาๆแต่มันใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆหรือไง ตัวผมนี่สั่นเป็นเจ้าเข้าไปหมดแล้ว
เขาคงไม่ได้กำลังพาผมไปส่งให้พวกนั้นหรอกใช่ไหม?
ท่อนแขนแข็งแรงของเขาโอบไหล่ผมไว้แน่
ถ้าเขาคิดจะส่งตัวผมให้พวกนั้นจริงๆผมจะหนีจากเขาไปได้ยังไง
ยิ่งเดินเข้าใกล้ตัวผมก็ยิ่งสั่น
ขาของผมแทบจะเดินไปตามแรงลากของเขามากกว่าจะก้าวเดินเองแล้วตอนนี้
ผมเหลือบไปเห็นกระจกรถสีดำคันนั้นเปิดอยู่...
และผู้ชายคนนั้นก็นั่งอยู่ในรถ...เขามองมาที่ผมด้วยสายตากดดัน...
แค่เขาโบกมือทีเดียว
บอร์ดี้การ์ดก็น่าจะวิ่งกรูเข้ามาจับตัวผมทันที
แต่เขากลับทำแค่มองตามผมมาด้วยสายตาเย็นยะเยือก...
ผมเดินผ่านประตูกระจกเข้ามาจนถึงหน้าล็อบบี้...โดยสวัสดิภาพ...
ผมแอบเหลือบมองเขาอีกครั้งอย่างสงสัย
ทำไมถึงยอมปล่อยผมหลุดมือไปง่ายๆทั้งที่มาจนถึงนี่แล้ว?
ถ้าพ้นคืนนี้ไปเขาจะไม่ได้ออกจาก UAE อีกร่วมเดือนเลยนะ?
หรือจะเป็นเพราะหวังอี้คุน?
ผมเงยมองใบหน้าหล่อเหลาที่คล้ายกับเจ้าพ่อวงการค้าเพชรคนนั้นมาก
ถึงผมจะไม่ได้สนใจแวดวงคนดังแต่ยังไงเสียหากอยู่ในวงการเอฟวัน เรื่องของหวังอี้ป๋อ
หวังอี้คุน รวมไปถึงหวังอี้หยาง มันก็มักจะลอยมาถึงหูของเราเองไปโดยปริยาย
ท่านชีคแห่งชาร์จาห์คงจะเกรงใจน้องชายของหวังอี้หยางสินะ
ถึงได้ยอมปล่อยผมไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้
“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ” ผมถึงกับถอนหายใจเมื่อเข้ามาในลิฟท์ได้
“อุ๊บ?!” ทว่า
พอกำลังจะก้าวขาออกจากลิฟท์เมื่อถึงชั้นที่ผมพักอยู่
จู่ๆหวังอี้คุนก็ยื่นมือมาปิดปากผมพร้อมกับดึงตัวผมกลับเข้าไปในลิฟท์อีกรอบ!
“อื้อ?!” ผมออกแรงดิ้นตามสัญชาติญาณจนเขาต้องกระซิบที่ข้างหู
“ชู่ว” ติ๊ง!
ลิฟท์ปิดลงอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนที่ขึ้นข้างบน
และก่อนที่ภาพภายนอกจะถูกตัดไปผมก็ทันเห็นว่ามีชายในชุดสูทสองคนกำลังวิ่งมาจากหน้าห้องพักของผม!
ผมยังอกสั่นขวัญแขวนจนพูดอะไรไม่ออก
จึงได้แต่ปล่อยให้เขาดึงมือผมเดินตามไปเรื่อยๆ
ปึง!
จนกระทั่งเสียงประตูปิดเรียกสติผมกลับคืนมา
“ปะป๊า
ผมถูกคนน่าสงสัยตามมาถึงในโรงแรมเลย ส่งการ์ดไปดูให้หน่อยสิ” หวังอี้คุนกำลังโทรศัพท์หาใครบางคนในขณะที่ผมยังสับสนและทำอะไรไม่ถูก
เขามีทักษะการแก้ปัญหาที่รวดเร็วมากจริงๆ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ
คุณอยู่ที่นี่ไปก่อน นี่ห้องผมเอง ปะป๊าผมส่งบอร์ดี้การ์ดคอยตามหม่าม้าผมตลอด
เดี๋ยวพวกนั้นจัดการให้”
ผมพยักหน้าอย่างอึ้งๆ
ทั้งๆที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยแต่กลับช่วยผมขนาดนี้
ผมนั่งวิญญาณหลุดอยู่ที่โซฟาจนไม่รู้ตัวเลยว่าถูกเขานั่งเท้าคางมองมาจากโซฟาฝั่งตรงข้าม
ในหัวผมกำลังคิดหาวิธีเอาตัวรอดจึงไม่ได้สนใจเขานัก
ว่าสายตา...ที่มองมานั้นเป็นแบบไหน...
ว่าเขามี...รอยยิ้มยังไงอยู่บนใบหน้า...
“เอ่อ...ห้าทุ่มแล้วรึยังครับ?” ผมเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาเป็นครั้งแรก
“ครับ
ห้าทุ่มได้...สิบห้านาทีแล้ว”
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดู
“ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า
ไม่รบกวนคุณแล้ว คุณต้องรีบกลับมานอนพักแท้ๆ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย” ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งให้เขา
“คุณแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้?” ผมพยักหน้าให้เขาถึงจะไม่แน่ใจนักก็เถอะ
ยังไงผู้ชายคนนั้นก็มีตารางงานที่แน่นอน เขาไม่น่าจะยังอยู่ในโมนาโกได้หรอก
ถ้าเขาไม่บ้าจนเกินเยียวยาละก็นะ
และเมื่อผมกลับไปถึงห้องของตัวเองก็พบว่า...เขาไม่ได้บ้าจริงๆ...
เขาไม่ได้ทิ้งงานเพื่อที่จะมารอดักจับตัวผมอย่างที่คิด
อีกทั้งหวังอี้คุนอาจจะเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้เขายอมล่าถอย
ค่อยยังชั่ว...
ถึงจะผ่านเมื่อคืนมาได้แต่ผมก็นอนไม่หลับเลยสักนิด...
ผม
เป็นตากล้องของทีมเฟอร์รารี่
และเมื่อไม่นานมานี้ผมได้ยื่นใบลาออกให้กับทางสำนักงานใหญ่ไปแล้ว
นอกจากเรื่องที่หมู่นี้ผมดันไปพัวพันกับเรื่องแปลกๆผู้ชายแปลกๆเข้า อีกเหตุผลหนึ่งถ้าให้พูดกันตรงๆก็คือ
ผมหมดแพชชั่นในการถ่ายรูปรถแข่งไปแล้วนั่นแหละ
เดิมทีผมก็ไม่ได้สนใจในวงการนี้อยู่แล้ว
ที่ผมชอบคือการเดินทางไปยังที่ต่างๆเพื่อถ่ายรูปความสวยงามของภูมิประเทศ ผู้คน
วิถีชีวิต การถ่ายรูปที่ผมถนัดก็คือรูปแลนด์สเคป
และดูเหมือนรูปที่ผมถ่ายจะไปเข้าตาซีอีโอของเฟอร์รารี่เข้า
ผมจึงได้รับการติดต่อให้มาถ่ายรูปรถซุปเปอร์คาร์ของค่ายม้าลำพองทั้งหมด รวมไปถึง
การได้เป็นตากล้องพนักงานประจำของทีมแข่งรถฟอร์มูล่าวันอย่างสครูเดอเลียเฟอร์รารี่ด้วย
ผมต้องติดตามทีมแข่งไปในทุกๆสนาม
เดินทางข้ามทวีปข้ามโซนเวลานับครั้งไม่ถ้วนในหนึ่งปีเพื่อถ่ายรูปรถที่เร็วที่สุดในโลก
รวมถึงถ่ายรูปบรรยากาศและการทำงานของทีมแข่งด้วย
แรกๆมันก็สนุกดีอยู่หรอก
ผมได้เรียนรู้มากมายว่าจะถ่ายรถที่วิ่งด้วยความเร็ว300กิโลเมตรต่อชั่วโมงให้ทันได้ยังไง
แต่พอถ่ายมาสักสองสามปี มันก็เริ่มซ้ำๆจำเจ มุมถ่ายในสนามก็มุมเดิมๆ ผู้คนก็กลุ่มเดิมๆ
มีแต่พวกเซเลบที่ใช้ชีวิตหรูหราแบบเดิมๆ
ผมจึงยื่นหนังสือลาออก
ผมอยากเดินทางไปรอบโลกเพื่อหามุมโปรดของผมเองมากกว่า
ทว่า
คุณซีอีโอปีศาจก็ยังไม่ยอมรับใบลาออกของผมง่ายๆ
เขาบอกให้ผมมาลองคิดดูอีกสักหนึ่งสนาม…
ผมจึงต้องพับเก็บแผนการเดินทางไปมณฆลยูนนานของจีนแผ่นดินใหญ่แล้วมาเดินอยู่ในประเทศศิวิไลซ์อย่างโมนาโกแทน…
แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนใจผมได้หรอก
นี่คงเป็นสนามสุดท้ายที่ผมจะถ่ายรูปรถ F1แล้ว
มือบางวางกล้องถ่ายรูปสองตัวพร้อมกับเลนส์ตัวยาวลงไปในกระเป๋ากล้องหลังจากเช็คความเรียบร้อย
กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกยกขึ้นสะพายหลัง
ผมนี่ก็หอบข้าวของพะรุงพะรังไม่แพ้พวกเทรนเนอร์ของนักขับเลยแหะ
ขาก้าวออกไปจากห้องพักในโรงแรม
ถึงจะพักที่เดียวกับพวกทีมแข่ง แต่เจ้าหน้าที่ทั่วไปอย่างผมไม่ได้พักอยู่ชั้นเดียวกับพวกวิศวกรและทีมช่าง
ห้องพักของหวังอี้คุนที่ผมไปอาศัยชั่วคราวเมื่อคืนนี้จึงอยู่ชั้นข้างบน
ผมคงจะลงมาเช้าเกินไปเพราะที่ล็อบบี้ของโรงแรมไม่มีใครอยู่สักคน
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังทำให้ผมหวาดระแวงจนต้องเกาะขอบเสาแล้วแอบมองจนแน่ใจว่าไม่มีชายสูทดำอยู่แถวนี้แล้วจริงๆ...
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเดินหันรีหันขวางดูท่าทางน่าสงสัยจนใครได้เห็นก็ต้องลอบขำออกมาที่ล็อบบี้
ปกติแล้วทีมเฟอร์รารี่จะเช่าโรงแรมที่แทบจะอยู่ในใจกลางสนามแข่งถ้าเป็นสนามสตรีทเซอร์กิตแบบนี้
ผมจึงสามารถเดินชิลๆไปพิตการาจได้เองโดยไม่ต้องรอรถบัสของทีม
ถ้างั้นเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆก็น่าจะดี
เผื่อจะเจอมุมสวยๆสำหรับการควอลิฟายวันนี้
ถ้าเป็นเรื่องการถ่ายรูปผมนี่ก็ไม่เคยจะเข็ดเอาเสียเลยนะ
ต่อให้เรื่องเดือดร้อนทั้งหลายทั้งแหล่ที่เกิดขึ้นกับผมนี้ ...การที่ผมถูกเจ้าชายแห่งชาร์จาห์ตามจับตัวกลับไปเป็นเจ้าสาว?...
จะเป็นเพราะผมบังเอิญไปถ่ายรูปที่ไม่ควรถ่ายเข้าก็เถอะ
แล้วในขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาออกจากโรงแรม
ฝ่ามือของใครคนหนึ่งกลับรั้งต้นแขนของผมเอาไว้
เป็นฝ่ามือ…ที่รั้งผมเอาไว้ที่นี่…
ทำให้ผมไปจากเขา...และเอฟวันไม่ได้…
“คุณนี่เอง?
ปลอดภัยดีนะครับ?” หวังอี้คุน...คือเจ้าของฝ่ามือข้างนั้น
“อะ
อื้อ” ผมพยักหน้ารับอย่างมึนๆ
เพราะผมถนัดคุยกับรูปภาพมากกว่าคนเป็นๆ ผมจึงไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา
“ขอโทษที่ลงมาช้านะครับ รอนานไหม? ไปกันเถอะครับ
มีสัมภาษณ์ช่วงเช้าด้วยใช่ไหม?” เด็กหนุ่มในเสื้อฟอร์มของเฟอร์รารี่พูดเองเออเองก่อนจะเดินนำออกไป
เป็นเพราะแสงสว่างที่ต่างจากเมื่อคืนหรือไงกันนะ?
หรือจะเป็นเพราะเมื่อคืนผมไม่ทันมีกระจิตกระใจจะมองหน้าเขาดีๆ
เสี้ยวใบหน้าของเขาในตอนนี้จึงทำให้หัวใจของผมกระตุกไปวูบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ผมยืนค้างมองเขาอยู่แบบนั้น แม้แต่เขาพูดเรื่องอะไรผมก็ไม่เข้าใจมันอีกแล้ว
จะว่าไป...ผมก็ไม่เคยเห็นเขาใกล้ๆแบบนี้มาก่อน…
เพราะถึงเขาจะเข้าๆออกๆพิตของเฟอร์รารี่เป็นประจำเพราะแม่เขาทำงานอยู่ที่นี่
แต่เราก็เหมือนสวนกันไปมา เวลาที่ผมถ่ายรูปอยู่ที่พิตการาจสีแดง
เขาก็จะอยู่กับทีมแข่งของเขา เวลาที่เขามา ผมก็มักจะไปประจำอยู่ตามโค้งต่างๆในสนาม
ถึงผมจะได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความหล่อเหลาของเขามาเยอะและผมก็ชอบถ่ายรูปหม่าม้าผู้น่ารักของเขามาก
แต่พอได้มาเจอตัวจริงในระยะประชิดแบบนี้…ผมกลับพบว่า…เขานี่แหละคือสิ่งที่ผมตามหามานาน…
มันเป็นมากกว่าแพชชั่นในการใช้ชีวิต
เป็นมากกว่าแรงบันดาลใจและแรงผลักดัน มันเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจับต้องได้
เพียงแต่เราจะรู้สึกถึงมันได้ด้วยจิตวิญญาณ…
หวังอี้คุนคือคนที่เป็นแบบนั้นสำหรับผม
ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ
ไม่ต้องมีคำอธิบายที่สวยหรู…
“ไปกันเลยไหมครับ?” เขาหันมาถามผมอีกรอบ
เสียงทุ้มทำให้ผมหลุดจากภวังค์
“อะ อื้อ” ผมเดินตามเขาไปอย่างไร้สติ
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเกี่ยวข้องกันยังไง?
แล้วไหงเขาถึงพูดกับผมอย่างคุ้นเคยแบบนี้ทั้งๆที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน? ถึงผมจะรู้สึกขอบคุณเขามากเรื่องเมื่อคืน
นั่นสิ
ทำไมเขาถึงไปสนามพร้อมกับผมได้ล่ะ?
“นี่ครับ” เขายื่นหมวกกันน็อคมาให้เมื่อพวกเราเดินมาถึงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่
ผมยังยืนเอ๋อมองเขาด้วยใบหน้ามึนงงต่อไป
“อ่ะ หรือจะให้ผมขับ? ได้ครับ” ตอนนี้เหมือนเขาพูดของเขาอยู่คนเดียวเพราะผมนั้นสตั๊นไปนานแล้ว
งงมาตั้งแต่ต้นแล้ว???
ผมมองมือใหญ่ที่สวมหมวกกันน็อคอย่างคล่องแคล่ว
ทุกการขยับของข้อนิ้วรวมไปถึงเส้นเลือดแบบมือผู้ชายที่นูนขึ้นมานั่นสะกดสายตาของผมจริงๆ
ผมยืนมองเขาเหมือนกับกำลังยืนมองภาพโมนาลิซ่าในพิพิธภัณฑ์ลูฟ
ทั้งๆที่อยู่ในสภาวะแทบหยุดหายใจแต่ใต้แผ่นอกซ้ายกลับเต้นระรัว
“?
ไม่สวมหมวกกันน็อคเหรอครับ?” หลังจากที่ขายาวก้าวคร่อมตัวถังขนาดใหญ่ของมอเตอร์ไซค์
500CCที่แปะโลโก้ม้าลำพอง
ใบหน้าที่ราวกับพระเจ้าสรรสร้างนั่นก็หันมาทำหน้างงใส่ผม
“หึ” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ
เขาคงจะหัวเราะใบหน้าเหวอๆของผมแน่ ผมจึงได้แต่กรอกสายตาอย่างเลิ่กลั่ก
ผมไม่ได้ตั้งใจจะมองเขาแบบนี้สักหน่อย แต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ต่างหาก~
“มานี่สิครับ” มือใหญ่ของเขาเอื้อมมาดึงแขนผมจนทั้งตัวขยับเข้าไปใกล้เขา
ร่างสูงยาวที่นั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ค่อยๆสวมหมวกกันน็อคให้ผมอย่างตั้งใจ
ปลายนิ้วที่บังเอิญสัมผัสโดนปลายคางของผมเอย ไหนจะใบหน้าคมคายที่ช้อนขึ้นมามองความเรียบร้อยบนใบหน้าผมเอย
ไม่ไหว…ผมอาจจะใจเต้นจนตายอยู่ตรงนี้เลยก็ได้
“คุณถือของเยอะแยะ คงใส่เองลำบาก” ปลายนิ้วยาวเกลี่ยปอยผมให้พ้นใบหน้าผมก่อนจะอมยิ้มเมื่อมองดูผลงานการใส่หมวกของตัวเอง
ถึงเขาจะชินกับการต้องดูแลใครสักคนแต่ผมไม่ได้ชินกับสภาพแบบนี้
ผมนี่แทบจะวิ่งไปกรี๊ดใส่โอ่งเสียให้ได้
“ขะขะขอบคุณ…” ผมเอ่ยออกไปอย่างตะกุกตะกัก
ร่างโปร่งบางก้าวขาคร่อมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อย่างเก้ๆกังๆ
แล้วในจังหวะที่เจ้าม้าสีแดงกระชากออกตัว
ท่อนแขนของผมก็เผลอไปกอดเอวของเขาอย่างช่วยไม่ได้
นี่มันอะไรกันเนี่ย? นี่มันอะไรกัน?
มีแต่คำถามนี้วิ่งวนอยู่ในหัวของผมเต็มไปหมด
เสียงกระหึ่มของบิ๊กไบต์นั้นให้ความรู้สึกดีไม่แพ้ซุปเปอร์คาร์ของเฟอร์รารี่เลย
เจ้ามอเตอร์ไซค์คันใหญ่วิ่งลัดเลาะไปตามถนนคดโค้งของโมนาโกอย่างคล่องแคล่ว
ปกติแล้วในวันควอลิฟายกับวันแข่งทีมมักจะเดินทางกันด้วยมอเตอร์ไซค์หรือสกูตเตอร์เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรอันคับคั่งของโมนาโก
แต่นี่คือครั้งแรกที่คนขับรถให้ผมเป็นถึงนักขับของทีม!
ดวงตาที่ยังสับสนทอดมองแผ่นหลังที่อยู่ใกล้แสนใกล้ผ่านหมวกกันน็อค
ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?
ถึงจะยังเป็นนักขับหน้าใหม่แต่อนาคตของหวังอี้คุนนั้นไกลแน่นอน
แล้วคนระดับนั้นกลับกำลังขับมอเตอร์ไซค์ให้ตากล้องตัวเล็กๆอย่างผมซ้อนเนี่ยนะ?
หัวใจ…เต้นแรง
ใบหน้า…ก็ร้อนผ่าว
ลมปะทะหยุดลงเมื่อเจ้าม้าสีแดงจอดที่ด้านหลังแพดดอก
ผมโดดลงมายืนข้างๆรถ แล้วแค่เขาถอดหมวกกันน็อคออก แค่เขาสะบัดหัวไปมา
ผมก็แทบจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปของเขาด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติแล้ว
เขาเป็นผู้ชายที่เท่ห์มากจริงๆ ขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังมองเขาใจสั่นเลย
“แป๊บนะครับ” มือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนของเขายกขึ้นห้ามการก้าวเดินของผมเมื่อจู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาดังขึ้น
“ครับ….หื๋ม?....เอ๊ะ? อ้าว?” หน้าของเขาดูแปลกใจ ดูงง
ดูอึ้งหลังจากรับโทรศัพท์
ในระหว่างนั้นผมจึงเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบกล้องออกมาเตรียมพร้อม ตัวหนึ่งสะพายไว้
ตัวหนึ่งถืออยู่ในมือ
กล้องที่หนักและแพงมากพวกนี้ก็มีค่าต่อผมไม่ต่างจากรถเอฟวันในความรู้สึกเขานั่นแหละ
“ว่าไงนะ?! คนที่ผมพามานี่ไม่ใช่เทรนเนอร์เหรอครับ?!!”
เขาหันมามองผมอย่างอ้าปากค้าง ซึ่งผมก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งตอบกลับไป
จริงสิ
เมื่อคืนผมมัวแต่ล่กจนไม่ทันได้แนะนำตัว
ไม่แปลกใจหรอกที่เขาจะเข้าใจผิด
เพราะสัมภาระมากมายที่ผมถือมา
เพราะเขาเพิ่งได้ทำงานอย่างจริงๆจังๆกับเฟอร์รารี่เลยยังไม่รู้จักทีมงานที่มีเป็นร้อยชีวิตของพิตสีแดง
ก็ส่วนใหญ่เขาจะอยู่กับพวกวิศวกรและกลุ่มก้อนหัวกะทิของทีมมากกว่า
“......อ่ะ ครับ ผมมาถึงสนามแล้ว…ครับ ได้ครับ….”
เขาวางสายไปในขณะที่ยังมองมาที่ผมไม่วางตา
“คุณ…เป็นใครครับเนี่ย?” เขาถามออกมาตรงๆทำให้ผมถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่
เขาไม่ใช่แค่หล่ออย่างเดียวแต่เขามีเสน่ห์มาก
เป็นเสน่ห์ตามธรรมชาติที่ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอะไรเลย
“เอ่อ…ผม…เป็นตากล้องของทีมครับ”
ผมยิ้มแหยๆให้เขาอย่างไม่ได้คาดหวังอะไรเพราะรู้ความต่างระดับของทีมงานทั่วไปกับนักขับซึ่งเป็นยอดพีระมิดของทีม
“ผมขอโทษนะครับ! ผมนึกว่าคุณเป็นเทรนเนอร์ที่รอผมอยู่
ก็เลยลากคุณมาแบบไม่ได้ถามไถ่” แต่เขาก็ทำให้ผมทึ่งอีกครั้งหลังจากที่เขาขอโทษผมด้วยท่าทางสบายๆ
“มะไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ไม่ทันได้บอกคุณ” ผมตอบเขาด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก ต่างจากเขาที่ดูคุ้นเคยกับคนของเฟอร์รารี่สมกับที่เขาถูกเลี้ยงดูมาโดยประชากรม้าลำพอง
“ถ้างั้น...ก็ฝากรูปของผมในสนามนี้ด้วยนะครับ” เขายิ้มให้ก่อนจะเดินนำออกไป….
ผมเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มของเขาใกล้ๆ
ผมได้แต่กร่นด่าตัวเองในใจที่หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายไว้ไม่ทัน!
เพราะเท่าที่ผมรู้
เขาไม่ใช่คนยิ้มง่าย
จะเป็นเพราะว่าเขารู้สึกเป็นกันเองกับคนของเฟอร์รารี่หรือไงยังผมก็ไม่แน่ใจ
เขาถึงเผยรอยยิ้มแบบนั้นให้ผมเห็น
อยาก…ถ่ายรูปรอยยิ้มนั้นอีกจัง
อยากถ่ายรูปของเขาอีก
อยากถ่ายมุมอื่นๆของเขาด้วย
ทั้งตอนดีใจ
ตอนได้รับชัยชนะ ตอนนั่งอยู่ในรถ ตอนเดินไปไหนมาไหน อยากถ่ายเอาไว้เยอะๆเลย………..
รู้ตัวอีกทีผมก็ต้องไปเอามือยันกำแพงไว้...
อ่า…เจ้าซีอีโอปีศาจนั่น…คงจะสมใจเลยสินะงานนี้!
มือบางกำแน่นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ไม่สิ ผมต้องตั้งมั่นในการลาออกของตัวเองสิ!
จะปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนั้นมาทำลายแผนการนี้ไม่ได้!
แล้วการควอลิฟายก็จบลงในบ่ายวันนี้
หากดูจากเวลาในรอบซ้อมแล้วก็คงไม่น่าแปลกใจที่หวังอี้คุนจะทำเวลาในรอบควอลิฟายได้ดีมาก
พรุ่งนี้
SF21
YIKUN จะได้ออกสตาร์ทจากแถวหน้าสุดในตำแหน่งที่สอง เป็นรองก็แค่คะชู
คิโยมิตสึจากทีมเดียวกันเท่านั้น! ช่างเป็นผลการควอลิฟายที่เกินความคาดหมายไปมากเลยจริงๆ
ตากล้องของทีมม้าลำพองเก็บเลนส์ตัวยาวที่หนักหลายกิโลใส่กระเป๋าสะพาย
ผมกำลังจะย้ายตัวเองจากโค้งหนึ่งในสนามเพื่อกลับไปยังพิตการาจ
ภาพในกล้องทำให้ผมเผลอยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อหยิบมันขึ้นมาเช็คดู
ผมกดส่งมันไปให้แอดมินของเฟอร์รารี่ทันที และอีกไม่นานรูปนี้ก็คงจะลงอยู่ในไอจีของทีมจากอิตาลี
รูปของรถหมายเลข
85 ท่ามกลางฉากหลังที่เต็มไปด้วยเรือยอร์ชนับพันของอ่าวมอนติคาร์โล สีที่อมเขียวหน่อยๆทำให้ภาพดูคลาสสิคและรถสีเพลิงคันนั้นก็ลอยเด่นขึ้นมา
มันเป็นรูปที่สวย…ในระดับส่งประกวดได้เลยทีเดียว
ผมเอี้ยงๆมองๆจากด้านหลังพิตแต่ในรถหมายเลข
85 กลับไม่มีใครนั่งอยู่แล้ว หวังอี้คุนไม่ได้อยู่ตรงไหนในพิตเลย
อาจจะมีสัมภาษณ์ไม่ก็ประชุมเรื่องแผนการแข่งในวันพรุ่งนี้ต่อ
สองขาจึงก้าวกลับไปยังมอเตอร์โฮมอย่างรู้สึกเสียดายนิดๆ
ก็…ไหนๆสนามนี้ก็จะเป็นสนามสุดท้ายของผมกับF1แล้วนี่
ขอถ่ายรูปเขาเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อยไม่เห็นจะเป็นไร ความรู้สึกของผมมันยิ่งใหญ่เหมือนได้ถ่ายรูปเดวิดที่ยืนอยู่ท่ามกลาง
Piazzale Michelangelo เลยนะตอนที่ได้ถ่ายรูปเขาเนี่ย
หื๋ม?
นั่นมันคะชู คิโยมิตสึ?
แล้วจู่ๆผมก็มองเห็นเจ้าตัวเปรี้ยวจี๊ดประจำกริดวิ่งพรวดพราดออกมาจากประตูมอเตอร์โฮม
ลำตัวบางเฉียบนั่นวิ่งไปก็สวมชุดหมีไป
คงจะมัวแต่ทาลิปแต่งหน้าจนลืมว่าต้องไปสัมภาษณ์ที่ไหนอีกแน่ๆ
“ฮึ” ถึงจะเป็นภาพชินตาของพิตม้าลำพองแต่ผมก็ยังนึกขำได้ทุกครั้งจนมือบางยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป
แชะ!
โดยไม่ทันระวังว่าข้างหลังมีคนเดินอยู่!
ปึ้ก!!
แล้วข้อศอกของผมก็ไปชนคนคนหนึ่งเข้า
หญิงสาวคนนั้นเซถลา แก้วเครื่องดื่มในมือกระฉอกจนน้ำสีแดงเลอะแขนของเธอเป็นหย่อมๆ
“เอ่อ ขอโทษครับ! ผมไม่ทันระวัง”
ผมหันไปขอโทษเธอทันที จึงได้รู้ว่าคนที่ผมตามหาอยู่ก็เดินอยู่ตรงนั้นด้วย
ผู้หญิงคนนั้นและเพื่อนอีกสองคนน่าจะดักจับหวังอี้คุนไว้เพื่อขอถ่ายรูปด้วยอยู่พอดี!
จังหวะนรกอะไรขนาดนี้...โอ๊ย...
“อะไรของนายเนี่ย?! หัดระวังหน่อยสิ!” ผู้หญิงคนนั้นโวยวายใส่ผมทันที
ใบหน้าที่แต่งไว้หนาเตอะก้มมองสำรวจไปตามเนื้อตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตวาดผมต่อ
“ถ้ามันเลอะชุดขึ้นมาจะทำยังไง? รู้รึเปล่าว่าชุดนี้ราคาเท่าไหร่?
เป็นตากล้องใช่ไหม? เงินเดือนนายสองปีจะชดใช้หมดรึเปล่ายังไม่รู้เลย!”
เธอดึงป้ายห้อยคอของผมไปดูอย่างถือวิสาสะและปัดมันกลับมาอย่างไร้มารยาท
ป้ายวีไอพีที่ห้อยคอเธออยู่ทำให้รู้ว่าเธอน่าจะเป็นแขกของพิตม้าลำพองและผมก็ไม่ควรจะเสียมารยาทกับคนพวกนี้
เพราะงั้นจึงยอมกัดฟันทน
ผมจะอยู่ที่นี่อีกแค่ไม่กี่วันแล้ว
ผมไม่อยากมีปัญหา!
“ผม…ขอโทษจริงๆครับ…” พูดไปฟันผมก็สั่นกึกๆไป อย่าให้เจอที่ไหนนะ พ่อจะกระโดดกัดคอให้!
จะไม่ให้ผมเบื่อได้ยังไงในเมื่อผมต้องเจอแต่คนแบบนี้มาตลอดสามปีเต็มที่เป็นตากล้องให้กับเฟอร์รารี่
แต่ที่ผมเจ็บใจเพราะเหตุการณ์แบบนี้ดันมาเกิดต่อหน้าหวังอี้คุนนี่สิ…ผมดันทำให้เขาได้เห็นด้านที่ไม่น่าประทับใจของผมเอาเสียเลย
"ใช้นี่เช็ดไปก่อนเถอะครับแล้วค่อยไปล้างในห้องน้ำอีกที"
แต่แล้วเขาก็ทำให้ผมอึ้งไปอีกรอบเมื่อมือใหญ่ยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้กับหญิงสาวคนนั้น…นี่เขา…กำลังช่วยผมอยู่รึเปล่า? หรือกำลังช่วยผู้หญิงคนนั้นกันแน่?
แต่อย่างน้อยการที่เขายื่นมือเข้ามายุ่งก็ทำให้ก็หญิงสาวคนนั้นหยุดการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
หยุดโวยวาย หยุดหาเรื่องผมด้วยคำพูดร้ายๆพวกนั้น
"ขอโทษแทนตากล้องของผมด้วยนะครับ แต่ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวเขาไปก่อน
คงไม่ว่าอะไรนะครับ?" มือใหญ่เอื้อมมารวบเอวผมก่อนจะดันออกจากวง…เขา…กำลังช่วยผมอยู่จริงๆ
"ได้เลยค่ะ เชิญเลยค่ะ" พอเป็นคำพูดของหวังอี้คุนท่าทีของไฮโซสาวก็เปลี่ยนไปทันที…
ก็นะ…ถึงตอนนี้หวังอี้คุนอาจจะยังเด็กไปสำหรับพวกเธอแต่การได้ผูกมิตรกับเด็กหนุ่มอาจจะหวังผลไปถึงพี่ชายเจ้าพ่อวงการค้าเพชรคนนั้นก็ได้ใครจะไปรู้
หญิงสาวจึงยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าก่อนจะยิ้มให้จากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว
"เอ่อ แล้วผ้าเช็ดหน้าจะให้คืนที่ไหนดีคะ? ขอเบอร์ไว้ได้ไหมคะ?"
หวังอี้คุนเลยให้เบอร์ไป แต่…ผมจำได้ว่านั่นมันเป็นเบอร์ของบอสนี่?
ในพิตม้าลำพองนี่จะไม่มีใครจำเบอร์ของตัวเองบ้างเลยหรือไง? แต่เบอร์ที่จำกันขึ้นใจกลับเป็นเบอร์ของเอลวิน
สมิธเสียนี่…
อืม…ผมเองก็ด้วยแหละ
“อ้อ แล้วก็นะครับ”
หวังอี้คุนหันไปเอียงคอพูดกับหญิงสาว ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมุมปากจนคนรอฟังถึงกับใจสั่น
แต่แล้วใบหน้าหยาดเยิ้มของหญิงสาวก็ราวกับถูกตบจนหน้าชาเมื่อได้ฟังประโยคต่อมา
“ชุดนั่นราคาแค่ไม่กี่พันยูโร
เงินเดือนของตากล้องที่ถ่ายรูปรถทั้งหมดของเฟอร์รารี่
แค่อาทิตย์เดียวก็จ่ายหมดแล้วครับ” เขาพาผมเดินจากมา
ดวงตาของผมเบิกกว้าง…
เขาจะรู้จักผมจริงๆหรือแค่อำไฮโซสาวเล่นผมก็ไม่แน่ใจ
แต่รอยยิ้มร้ายๆของเขาที่ส่งให้หญิงสาวกลับทำให้ใจของผมเต้นรัว…
แย่แล้ว…แบบนี้แย่แน่ๆ…
ผมต้องไปจากเฟอร์รารี่… ผมต้องลาออก…
ผมต้องลาออกนะ!!!
“นาย…รู้จักฉันด้วยเหรอ?” ผมหันไปถามเขาอย่างมึนงงหลังจากที่เขาดันหลังจนผมเข้ามาอยูในมอเตอร์โฮมสีแดงแล้ว
ผมไม่จำเป็นต้องใช้คำสุภาพกับเขาอีก เพราะเขาเด็กกว่าผมหลายปี
“ก็หลังจากที่ผมหน้าแตกไปเมื่อเช้า หม่าม้าก็เล่าให้ฟังหมดแล้วครับว่าคุณเป็นใคร”
เขายิ้มเขินๆกับความเข้าใจผิดของตัวเอง
แชะ
“เอ๊ะ?” เสียงอุทานนั้นเป็นของเขาเพราะจู่ๆผมก็ยกกล้องขึ้นไปถ่ายรูปเขาเฉย
ผมถ่ายรอยยิ้มของเขาไว้โดยไม่ได้เล็งเลยสักนิด
ตาผมยังมองอยู่ที่ใบหน้าของเขาด้วยซ้ำ
“อ่ะ…นี่คือ…” ผมได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่กอ้าปากพะงาบๆกับความโป๊ะของตัวเอง
บ้าจริง มือมันไปเองเฉยเลย!
“เปล่าๆ ผมไม่ได้จะว่าอะไร ผมเรียกคุณว่าพี่ได้ไหม?” จู่ๆเขาก็ถามแบบงงๆ
“อ๋อ
อื้อ” และผมก็พยักหน้าอนุญาติแบบงงๆ
“พี่มีหน้าที่ถ่ายรูปของผมนี่
พี่ถ่ายไปเถอะ ถ้าเป็นพี่ผมอนุญาติ” เขาหัวเราะขำๆกับท่าทางของผม
"เอ่อ…ขอบคุณเรื่องเมื่อกี้ด้วยนะ…แล้วก็ผ้าเช็ดหน้า…ฉันจะใช้คืนให้"
ผมพูดโดยรู้สึกว่าสองแก้มร้อนผ่าว อายตัวเองยังไงก็ไม่รู้
"ไม่ต้องหรอกครับ" แต่เขากลับปฏิเสธพร้อมกับดึงผ้าเช็ดหน้าทั้งปึกที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาให้ดูว่ายังมีอีกเยอะ
ที่ให้ผู้หญิงคนนั้นไปไม่ได้มีมูลค่าอะไรเลย
"ฮึ ฮ่าๆๆๆ จะพกไว้ทำไมเยอะแยะเนี่ย~ ทรงอย่างแบด
ไม่คิดว่าจะเป็นสุภาพบุรุษนะนายเนี่ย คิก" ผมถึงกับหัวเราะออกไปยกใหญ่เพราะไม่คิดว่าเขาจะพกของแบบนี้เลยจริงๆ ภาพลักษณ์ของหวังอี้คุนนั้นออกจะคูลๆเซอร์ๆดูเป็นแบดบอยหน่อยๆ
แน่นอนว่ามันห่างไกลจากผ้าเช็ดหน้าในมือเยอะ
"....ไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรหรอกครับ….แค่อยู่กับคนที่มีเหตุต้องใช้จนเคยชินน่ะ"
เดี๋ยวก็ไอติมเลอะแก้มบ้าง
เดี๋ยวไอ้นั่นหกใส่ไอ้นี่กระเด็นมาโดน เดี๋ยวหลับน้ำลายยืดบ้าง เดี๋ยวสงสารหมาข้างถนนจนร้องไห้บ้าง
เดี๋ยวงอแงเอาแต่ใจ เดี๋ยวไอเดี๋ยวจาม เดี๋ยวคันตรงนู้นแพ้ตรงนี้….สารพัดจะวุ่นวายจนต้องคอยพกผ้าเช็ดหน้าเผื่อเป็นโหลไว้ให้เนี่ย…ใบหน้าของเขาบอกกับผมแบบนั้น และผมก็เดาได้ไม่ยากว่าคนคนนั้นเป็นใคร
เขามีน้องชายฝาแฝดที่น่ารักมากๆอยู่คนนึง
และผมก็จะได้ถ่ายรูปของเด็กคนนั้นด้วยหากผมยังอยู่กับเฟอร์รารี่ต่อไป…เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องหรอกที่ผมเสียดายตอนต้องยื่นใบลาออก
“รูปนี้พี่ถ่ายใช่ไหมครับ?” เสียงทุ้มที่ฟังดูร่าเริงเรียกให้ผมหันไปมอง
เขายื่นหน้าจอมือถือมาให้ผมดู เป็นรูปที่ผมเพิ่งส่งให้แอดมินของทีมม้าลำพองและตอนนี้มันก็ลงอยู่ในไอจีของสครูเดอเลียเฟอร์รารี่เรียบร้อย
“อ้อ อืม” การที่เขามองผมตาเป็นประกายนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเขินจนหัวใจพองฟูเลยนะ
“ว้าว! สวยสุดๆ” ทำไมผมถึงรู้สึกดีใจที่ได้รับคำชมจากเขามากกว่าใครๆแบบนี้
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“ผมได้ยินจากหม่าม้าว่าพี่ชอบไปถ่ายรูปในธิเบต
ครั้งหน้าผมขอไปด้วยได้ไหม? ผมขับรถให้ก็ได้
ผมขับได้หมดทั้งรถโฟว์วิลล์หรือมอเตอร์ไซค์วิบาก พวกสโนว์โมบิลผมก็ขับได้นะ
ผมสู้กับหมีได้ด้วยนะ” เขาพยายามบรรยายสรรพคุณของตัวเองเต็มที่เพื่อให้ผมพาไปด้วย
ท่าทางเขาดูตื่นเต้นมากจนผมเผลอหลุดขำออกมา สู้กับหมีอะไรล่ะ ผมไม่ได้ไปถ่าย National
Geographic เสียหน่อย
“เอ่อ...ทำไมถึงอยากไปด้วยล่ะ?”
คนส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบไปกับผมหรอก เพราะผมมัวแต่ถ่ายรูปวิวทิวทัศน์
ไม่เคยถ่ายรูปตัวเองหรือคนที่ไปด้วยเลย
“ผมอยากลองไปในแบบที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งรถดูบ้างน่ะ
พี่รู้ไหม การที่ผมเกิดและเติบโตมาในครอบครัวนักแข่ง มันทำให้การแข่งรถอยู่ในสายเลือดของผมจนบางทีผมก็แยกมันออกจากชีวิตประจำวันไม่ได้
เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆก็เลยไม่พ้นมีการแข่งรถเข้ามาเอี่ยวด้วยเสมอ
ถ้าได้ลองไปกับพี่ มันน่าจะต่างออกไปและเป็นการผจญภัยจริงๆ”
ผมได้แต่มองหน้าเขาแล้วรับฟังเรื่องราวที่เขาพูดออกมา
ผมอาจจะเจอ...คนที่เข้ากันได้แล้วก็ได้...
ไม่รู้สิ...ผมคงต้องลอง...ไปกับเขาก่อนสักครั้ง...
“แลกกับให้ฉันถ่ายรูปนู้ดขาวดำของนายได้ไหมล่ะ?
เอ๊ะ?” ผมถึงกับยกมือตะครุบปิดปากแทบไม่ทัน
เผลอพูดเรื่องน่าอายที่อยู่ในหัวออกไปได้ไงฟ๊ะ!!
“อ๊ะ!
ไม่ใช่นะ เมื่อกี้คือสิ่งที่ชั้นคิด!
ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกมานะ!” เออ!
แล้วยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งดูแย่เข้าไปอี๊ก~
“..........” เขาถึงกับนิ่งค้างมองผมอยู่ห้านาที
“อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ!!” ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมายกใหญ่
เอาเถอะ เขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้มีท่าทีขยะแขยงแล้วคิดว่าผมเป็นพวกโรคจิตก็พอแล้ว
ก็รูปร่างหน้าตาของเขามันน่าถ่ายนู้ดแบบศิลปะจริงๆนี่นา~
เชื่อสิว่าตากล้องทุกคนต้องคิดเหมือนผมแน่!
“พี่นี่ตลกจริงๆ
ขำน้ำตาเล็ดเลยเนี่ย ฮ่าๆๆ”
“.......เอาเถอะ
เชิญขำให้พอเลยเถอะ ฮืออออ...” ผมแทบจะซบหน้าลงบนหัวเข่า อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
แต่เสียงทุ้มของเขากลับตอบออกมาหลังจากที่นิ่งมองผมอยู่นาน
“เอาสิ”
“หื๋อ?”
“จะถ่ายรูปนู้ดขาวดำของผมก็เอาสิ
ผมอนุญาติ”
“เอ๊ะ.....” ผมมองเขาอย่างอึ้งๆ
ไม่คิดว่าเขาจะโอเค
“แค่พี่คนเดียว”
“...........” ไม่รู้ทำไม
สายตาที่เขาใช้มองผมถึงชวนให้ใจเต้นขนาดนี้
จนผมต้องเสสายตาหลบเพราะไม่กล้าสบตาของเขาตรงๆ
“อะ
อื้อ ดีล...”
“ว่าแต่
เมื่อคืนทำไมถึงโดนพวกคนอันตรายนั่นไล่ล่าเอา? เกิดเรื่องอะไรกับพี่หรือเปล่า?
บอสของเฟอร์รารี่รู้เรื่องนี้หรือยัง?”
เขาเปลี่ยนเรื่องมาถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“ยัง...ฉัน...ยังไม่ได้บอกใคร...เพราะมันอันตรายอย่างที่นายว่าจริงๆนั่นแหละ
ฉันไม่อยากทำให้คนที่นี่เดือดร้อน”
เพราะยังไงผมก็กำลังจะลาออก ก็ให้เรื่องนี้มันติดไปกับผมแค่คนเดียวพอ
อีกฝ่ายเป็นคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะไปมีเรื่องด้วย ผมรู้ดี
“เกิดอะไรขึ้น?”
“.......”
“บอกผมมาเถอะ” เขาไม่ได้รับปากอย่างขอไปทีว่าจะช่วยหรือให้คำมั่นสัญญาว่าจะต้องช่วยผมให้ได้
แต่เพราะแบบนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะบอกเขาทั้งที่ผมไม่เคยคิดจะเล่าให้ใครฟัง
“ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะบอกนายยังไงดี...” เพราะมันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากจนเขาอาจจะคิดว่าผมโกหกก็ได้
แต่ทั้งหมดนี้คือความจริง
“เรื่องมันก็เริ่มจาก...เมื่อสองเดือนก่อน...ฉันไปถ่ายรูปที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของ UAE” ผมเริ่มเล่าและเขาก็ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
“มันเป็นเมืองที่อยู่ติดกับแคว้นชาร์จาห์
หนึ่งในเจ็ดรัฐเจ้าผู้ครองนครของUAE
ที่นั่นมีโอเอซิสที่แทบไม่มีใครรู้จักอยู่แห่งหนึ่ง...”
“ในหมู่ตากล้องต่างบอกกันปากต่อปากว่าสถานที่ลับแห่งนั้นสวยงามมาก
สวยราวกับสรวงสวรรค์กลางทะเลทรายก็ไม่ปาน ฉันจึงอยากจะไปถ่ายรูปที่นั่นสักครั้ง”
“โดยที่ไม่เคยมีใครรู้เลยว่า
มันเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับคนนอก เพราะมันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของชาวอาหรับมาตั้งแต่สมัยโบราณ
และปัจจุบันนี้พวกชนชั้นสูงของแต่ละแคว้นก็ยังทำสืบต่อกันมาอยู่”
“ต้องถือว่าดวงของฉันมันซวยเอง
ตากล้องที่เคยไปก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเจออะไร แต่ฉันดันแจ็คพอตไปในวันนั้นพอดี...”
“ฉันเดินฝ่าทะเลทรายไปจากหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด
แล้วก็ได้เจอโอเอซิสที่ว่า...มันสวยสมกับคำร่ำลือจริงๆ ฉันรัวชัตเตอร์ไม่หยุดเลย”
“มันมีสระน้ำสีฟ้าใสที่กลมเกลี้ยงราวกับพระจันทร์อยู่ตรงกลาง
มีต้นปาล์มล้อมรอบ ฉันเดินเข้าไปราวกับถูกความงดงามนั้นสะกดไว้”
“โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าฉันได้ไปทำลายพิธีถือน้ำศักดิ์สิทธ์ของแคว้นชาร์จาห์เข้า...เพราะพวกเขากำลังประกอบพิธีกรรมกันอยู่”
“ก็ฉันนึกว่าสิ่งที่ยืนอยู่กลางสระน้ำในโอเอซิสนั่นคือม้าเซนทอร์จริงๆนะ
แต่กลับกลายเป็นว่านั่นคือท่านชีคแห่งชาร์จาห์ที่กำลังทำพิธีบวงสรวงพระเจ้าของเขาอยู่...”
“ก็ใครใช้ให้หมอนั่นถอดเสื้อล่ะ!
ฉันสงสัยก็เลยลงไปดู...คิดดูสิ จะมีตากล้องสักกี่คนที่จะได้ถ่ายรูปม้าเซนทอร์เนี่ย” หวังอี้คุนนั่งกลั้นขำจนไหล่สั่น
คงจะคิดว่ายังมีคนบ้าที่เชื่อว่าเซนทอร์มีตัวตนจริงๆอยู่ในโลกด้วยงั้นสินะ?
ผมก็ไม่เคยเชื่อแบบนั้นหรอก! จนได้เห็นเงาสะท้อนของผู้ชายคนนั้นในผืนน้ำ
หุ่นที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่สวยงามซึ่งโผล่พ้นน้ำมาก็ชวนให้นึกถึงพวกเซนทอร์หล่อๆมากจริงๆอ่ะ!
“หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก
มีคนที่ไม่รู้มาจากไหนวิ่งกรูเข้ามาจับตัวฉัน
ฉันถูกจับไปสอบสวนและขังไว้ในวังชาร์จาห์อยู่เป็นอาทิตย์
จะปฏิเสธว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นก็ไม่ได้ในเมื่อยังมีรูปท่านชีคที่เปลือยท่อนบนในสระกลางโอเอซิสอยู่ในกล้องเป็นหลักฐานคามือ...”
“พวกนั้นประชุมปรึกษาหารือกันอยู่นานมาก
เรียกตัวฉันไปดูครั้งแล้วครั้งเล่า...ก่อนจะสรุปว่า เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายพิธี
ต้องทำให้ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าชายผู้ที่ทำพิธีอยู่...นั่นก็คือ
ฉันต้องแต่งงานกับชีคนั่น....”
“ห๊ะ?”
นั่นเป็นครั้งแรกที่หวังอี้คุนทำหน้าประหลาดใจ แหงละ
ใครได้ฟังก็คงอ้าปากค้างไปตามๆกัน
ผมเองยังถึงกับช็อคไปเลยตอนที่รู้เรื่องนี้
ถึงผู้ชายคนนั้นจะหล่อมากแต่การที่จู่ๆก็จะให้ไปแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน กับคนไม่รู้จัก
กับคนที่ไม่ได้รักกัน มันก็...
“ฉันละอยากจะรู้นักว่าพระเจ้าองค์ไหนบอกมา
นี่มันบ้าไปแล้ว!” ผมถอนหายใจก่อนที่ดวงตาจะลุกเป็นไฟขึ้นอีกครั้ง
“แต่คนที่บ้ากว่าก็คือเจ้าชายนั่น”
“คนคนนั้น...ก็ถึงกับยอมทิ้งตำแหน่งมกุฎราชกุมารเพื่อแต่งงานกับฉันเลยนะ” หวังอี้คุนถึงกับนิ่งไปก่อนจะมองหน้าผมตรงๆอยู่หลายนาที
“....พี่นี่ก็เป็นตัวปัญหาเหมือนกันแหะ” เขาหลุดขำเบาๆ
“แล้วชั้นอยากเป็นรึไงเล่า?” ผมแทบจะแยกเขี้ยวใส่
ไม่ใช่เขานะแต่เป็นท่านชีควายร้ายนั่นต่างหาก กว่าผมจะหนีจากผู้ชายหน้าตายคนนั้นมาได้ก็แทบแย่เลยนะ
“ดูจากสถานการณ์แล้วพี่ไม่รอดแน่”
“แถมอยู่ดีๆก็ลากผมไปเป็นศัตรูกับท่านชีคแห่งชาร์จาห์เฉย” เขายังมีหน้ามายิ้มหยอกผม
“.....ขอโทษด้วยก็แล้วกัน” ผมประชดงึมงำด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
แล้วจู่ๆเขาก็ขยับเข้ามาใกล้
ใบหน้าของเขายกยิ้มอย่างมั่นใจก่อนจะกระซิบที่ใบหูของผม
“แต่ผม...ไม่ได้กลัวหรอกนะ”
ดวงตาของผมถึงกับเบิกกว้าง
ตึกตัก...ตึกตัก...หัวใจของผมเต้นแรงไปกับคำพูดของเขาจนแทบจะทะลุออกมาจากอก
“แล้วผมก็ถนัดรับมือกับพวกตัวปัญหาด้วย”
เขายิ้มอยู่ที่ข้างแก้มผม
เป็นรอยยิ้มร้ายๆแสนกระชากใจ เป็นรอยยิ้มของคนที่ไม่เคยเกรงกลัวอะไรในโลกใบนี้
“สิงโต...ต่อให้ยังเป็นแค่ลูกสิงโต...แต่ยังไงมันก็คือสิงโต”
“พี่คิดอย่างงั้นไหม?”
ผมจะคิดยังไงก็ไม่รู้แหละ
แต่ดูเหมือนตอนนี้…ความตั้งใจว่าจะลาออกของผมมันได้พังทลายไปเสียแล้ว…
“..........”
คำพูดที่ควรจะเอื้อนเอ่ยออกไปกลับจุกอยู่ที่ลำคอ
แต่เจ้าคนที่อยู่ปลายสายกลับหัวเราะอย่างรู้ทันและน่าหมั่นไส้มาก
“เป็นไง? เปลี่ยนใจแล้วละสิ?” ผมรู้ได้เลยว่าตอนนี้ใบหน้าหยิ่งทระนงของคุณครูเทโอ้คงกำลังยิ้มกริ่มอยู่แน่ๆ
“มันน่าหมั่นไส้ยังไงไม่รู้นะครับ คำพูดของคุณเนี่ย” ผมหรี่ตามองมู่ลี่ของโรงแรมที่ถูกดึงลงเพื่อกันแสงไฟหน้ารถที่สาดวิบวับของโมนาโกยามค่ำ
“ฮึ ก็นายเป็นตากล้องมือหนึ่งของโลก
ชั้นก็ต้องทำทุกวิถีทางที่จะรั้งนายไว้สิ”
“ผมไม่ใช่สักหน่อย…”
“เอาน่า ถ้านายอยากจะไปถ่ายรูปที่มณฑลยูนนาน
เดี๋ยวฉันให้ทีมพีอาร์เลือกซุปเปอร์คาร์สักคันไปให้นายถ่ายรูปที่นั่นก็ได้
นายบอกมาสิว่าอยากไปถ่ายรูปที่ไหน ฉันตามใจนายได้หมด แค่ถ่ายรูปรถให้ฉันก็พอ”
ซีอีโอปีศาจของค่ายม้าลำพองพยายามโน้มน้าวผมสุดกำลัง
เป็นเรื่องจริงอย่างที่หวังอี้คุนบอก…รถทุกคันของเฟอร์รารี่ที่มีลงโฆษณาตามสื่อต่างๆล้วนเป็นฝีมือการถ่ายภาพของผมทั้งนั้น
“........”
ผมพยายามทบทวนความคิดของตัวเอง แต่รอยยิ้มร้ายๆของหวังอี้คุนตอนที่ช่วยผมเอาไว้ก็ตีสิ่งที่อยู่ในหัวแตกไปหมด
“แล้วก็…หวังอี้คุน…อาจจะได้เป็นนักขับของเฟอร์รารี่ในปีหน้าด้วยนะ
นายสนใจไหมล่ะ? ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้ถ่ายรูปเขานายก็รู้
พ่อแม่ของเจ้าเด็กแฝดนั่นหวงจะตาย นอกจากตากล้องออฟฟิศเชียลแล้วก็ไม่อนุญาติให้ใครถ่ายรูปเจ้าเด็กตระกูลหวังอีก”
ถ้าจะพูดถึงขนาดนั้นละก็นะ
“....เฮ้อ….เข้าใจแล้วครับ…ผมจะถ่ายรูปรถให้คุณ
ตราบเท่าที่หวังอี้คุนยังอยู่เฟอร์รารี่ ตามนี้ครับ”
“นายคิดถูกแล้ว” เหมือนได้ยินเสียงดีดนิ้วดังเป๊าะอยู่ที่ปลายสายเลย
“เจ้าเด็กแฝดนั่นราวกับผลงานศิลปะเลยใช่ไหมล่ะ? ฮึๆๆ
ฉันต้องไปหาทางล่อลวงให้เจ้าลูกกระต่ายอยู่กับเราให้ได้ ฮึๆๆ”
เป็นเสียงหัวเราะที่ชั่วร้ายจริงๆ
สงสารก็แต่ตัวเองเนี่ยที่ต้องตกบ่วงของเจ้าปีศาจนั่น
เฮ้อ…เป็นไงเป็นกัน!
เช้าวันใหม่และวันนี้ก็เป็นวันแข่งขัน…
หวังอี้คุนยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวตั้งแต่เช้าผมจึงทำได้แค่ทักทายเขาผ่านเลนส์กล้อง
ผมตั้งใจว่าจะขอบคุณเขาด้วยรูปถ่ายที่ดีที่สุด
ผมตั้งใจว่าจะถ่ายรูปเขาตอนเข้าเส้นชัย ตั้งใจจะถ่ายรูป SF21 YIKUN ตอนอยู่ภายใต้ธงตาหมากรุก
เพราะงั้นวันนี้ผมจึงประจำอยู่ที่พิตเลนส์แทนที่จะออกไปอยู่ตามโค้งเหมือนทุกที
ผมถ่ายรูปตั้งแต่ตอนที่เขายังแต่งตัวอยู่ในพิต
ถ่ายตอนเขารูดซิปชุดหมีสีแดงปิดไปยันคอ ถ่ายตอนเขาหยิบหมวกกันไฟขึ้นมาใส่ ถ่ายตอนเขาหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม
ถ่ายตอนเขาก้าวขาลงรถ ถ่ายตอนทีมช่างช่วยกันคาดเข็มขัดนิรภัยให้เขา
ผมถ่ายรูปตั้งแต่ตอนที่เขาขับรถออกจากพิต
ถ่ายตอนที่เขากลับเข้ามาประจำกริดสตาร์ท ถ่ายตอนที่เขายืนคุยกับวิศวกรของเขาที่ข้างแทรค
ถ่ายตอนที่เซเลปมากมายพยายามจะเข้าไปขอถ่ายรูปกับเขา ถ่ายตอนที่เขาวิ่งไปร่วมพิธีเปิดและเคารพธงชาติ
จนกระทั่งเขากลับมานั่งในรถอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวแข่ง
ช่วงเวลานี้ผมจะไม่เข้าไปกวนเขาเพราะรู้ว่าเขาต้องใช้สมาธิ
ผมถ่ายรูปสัญญาณไฟสีแดงที่ค่อยๆติดขึ้นทีละดวง
ถ่ายรูปควันที่เกิดจากความร้อนของยาง ถ่ายรูปแฟนๆบนอัฒจรรย์ที่มีสีหน้าลุ้นระทึก
แล้วก็ถ่ายรูปรถทั้งหมดที่พุ่งออกไปเมื่อสัญญาณไฟดับลง!!
ผมถ่ายรูป SF21 YIKUN ที่พุ่งทะยานออกไป! ผมถ่ายรูปรถของเขาที่กำลังขับปิดทางรถของมือหนึ่งอย่างคะชู คิโยมิตสึเพื่อเข้าโค้งแรก ผมถ่ายรูปตอนที่เขาขึ้นนำได้สำเร็จ!
นอกจากนี้ผมยังถ่ายรูปของวิศวกรคนหนึ่งที่พูดว่าปฏิกิริยาอัตโนมัติในการเหยียบคันเร่งของเขาไวที่สุดในสนามตอนนี้เลยก็ว่าได้ ผมถ่ายรูปทีมพิตครูของรถหมายเลข85ที่ต่างลุกขึ้นมาดีใจกันยกใหญ่
ไม่พอ...
ผมยังถ่ายรูปตอนที่เขาขับนำทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆได้อีกต่างหาก!
ผมหันไปถ่ายรูปพิตฝั่งคะชู
คิโยมิตสึที่กำลังยืนอ้าปากค้างกันเป็นแถว นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครกระตุกหนวดแมวแบบนี้
ผมถ่ายรูปที่คิโยะจังพยายามจะทวงตำแหน่งเบอร์หนึ่งคืน ถ่ายรูปความไม่เป็นใจต่างๆนานาที่เกิดขึ้นกับเจ้าราสเบอร์รี่สีเพลิงคันนั้นด้วย
ไม่ว่าจะรูปธงเหลืองที่เกิดจากอุบัติเหตุของทีมอื่น
รูปรถของคะชูที่ไล่จี้เกือบทันแต่ต้องชะลอความเร็วลงเพราะธงนั่น
แล้วก็เพราะแซงคืนไม่ได้สักที
ผมเลยได้ถ่ายรูปที่คิโยมิตสึเริ่มปล่อยให้หวังอี้คุนนำไปแล้วหันไปขับแบบถนอมยางแทน
มือที่ถือกล้องของผมชื้นเหงื่อ
ผมไม่เคยลุ้นกับสิ่งที่อยู่ในเลนส์กล้องของผมขนาดนี้มาก่อน
ผมถ่ายรูปเอลวิน
สมิธที่บอกว่าสนามนี้เขามีโอกาสสูงมากที่จะชนะ!
ผมถ่ายรูปรอบ21ที่เขายังนำอยู่
ผมถ่ายรูปรอบ35ที่เขาก็ยังนำอยู่
ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดีและเขาก็จะนำแบบนี้ไปจนจบ
แต่ฟอร์มูล่าวันนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ในพริบตา
ทุกอย่างกลับพลิกผันในรอบ42ซึ่งผมก็ถ่ายไว้เช่นกัน!
มีรถคันหนึ่งเสยกำแพงจนเซฟตี้คาร์ต้องออกมาวิ่ง
ทีมจึงฉวยโอกาสนี้และตัดสินใจอย่างกะทันหันที่จะให้เขาเข้าพิตมาเปลี่ยนยาง!
ผมถ่ายรูปที่เขาเบรคหนักล้อล็อคจนควันขึ้นเพื่อให้ทันระยะที่จะเข้าพิตแบบกระชั้นชิด
ผมถ่ายรูปที่รถของเขาบานไถลออกข้างทางเพราะเอาไม่อยู่
ผมถ่ายรูปรถของคะชูที่ขับตามมาติดๆต้องหักหลบแล้วเข้าพิตก่อนอย่างช่วยไม่ได้
ผมถ่ายรูปการเข้าพิตแบบดับเบิ้ลสแตค
(Double
stack) ซึ่งก็คือเข้าพิตต่อกันเพื่อไม่ให้เสียเวลาในรอบเซฟตี้คาร์
ซึ่งนั่นหมายความว่า
การที่จู่ๆรถของคะชูก็โผล่เข้ามาในพิตก่อนแทนที่จะเป็นรถของหวังอี้คุน
ยางที่เตรียมไว้ให้หวังอี้คุนจึงถูกใส่ให้กับรถของคะชูไปด้วยความสับสน!
ผมถ่ายไว้
ยางของรถสองคันที่บังเอิญสลับกัน! ถ่ายใบหน้าตกใจและความอลหม่านหลังจากรู้ว่ายางสลับกันของทีมพิตครูทั้งสองทีม
เพราะการเปลี่ยนยางนั้นใช้เวลาแค่สองวินาที
ความผิดพลาดแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้เพราะทีมพิตครูเองก็ไม่ได้เห็นภาพทั้งสนามในขณะที่เตรียมเปลี่ยนยาง
กว่าจะรู้ว่ารถของหวังอี้คุนเกิดอุบัติเหตุที่ปากทางเข้าพิตจนรถที่มาก่อนคือคะชู
มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ทันแล้ว
และยางของรถแต่ละคันยังเอามาใช้ปนกันไม่ได้อีก
ทั้งการเซตติ้งของรถที่มีผลต่อลมและความดันภายในยางที่ไม่เหมือนกัน
ทั้งกฎการใช้ยางที่เคร่งครัดของกรรมการที่บังคับไว้ว่ารถแต่ละคันจะใช้ยางได้แค่13เซตของใครของมันเท่านั้นตลอดสัปดาห์การแข่งขัน
ทีมวิศวกรถึงกับต้องวางแผนการใช้ยางแต่ละเซตนับเป็นรอบเลยด้วยซ้ำ
Box
Box Box!
ผมถ่ายคุณเอเลนและคุณฮันซี่ที่ต่างตะโกนคำนี้พร้อมกระโดดเหยงๆกันอยู่ในพิตวอลล์
ถ่ายทีมพิตครูกว่าครึ่งร้อยชีวิตที่วิ่งวุ่นกันอีกรอบ
ถ่ายสีหน้าตื่นตระหนกของทีมวิศวกรที่อยู่หลังจอมอนิเตอร์ยาวเหยียด ถ่ายใบหน้าเคร่งเครียดของเหล่าหัวกะทิของทีมที่กำลังคำนวณรอบยางอย่างรวดเร็วว่าจะยังให้ใช้ยางมีเดี้ยมแบบเดิมอยู่ไหมหรือจะเปลี่ยนไปใช้ยางฮาร์ดเลย
มียางเซตใหม่ไหม ถ้าไม่มีแล้วยางเก่าเคยใช้ไปแล้วกี่รอบ ทุกอย่างล้วนมีผลต่อการแข่งทั้งนั้น
และผมก็ได้ถ่ายทีมบอสผู้มั่นใจในชัยชนะที่กำลังยกมือขึ้นมากุมขมับ
แต่ผมไม่ได้ถ่าย...ตอนที่รถของเขากลับเข้าพิตมาอีกรอบเพื่อเปลี่ยนยางให้ถูกต้อง...แล้วกลับออกไปในอันดับที่ร่วงลงมาถึงที่12...
ในใจของเขาตอนนี้จะเป็นยังไงกันนะ...
ทั้งๆที่เห็นแล้วว่าชัยชนะกำลังมารออยู่ตรงหน้า
ทั้งๆที่กำลังจะคว้าเอามาได้แล้ว...ชัยชนะครั้งแรกของเขากับรถF1 กับทีมเฟอร์รารี่ที่เขาใฝ่ฝัน
แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลงไปทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย...
ผมไม่กล้าถ่ายใบหน้าของหม่าม้าเขาที่กำลังกุมสองมืออย่างเป็นห่วง
ไม่กล้าถ่ายความเงียบงันของคนทั้งพิตที่ดูจะผิดหวังและต่างก็ถอดใจแล้ว
เหลืออีกแค่ 20 รอบ กับสนามที่แซงยากที่สุดในปฏิทิน...
ดูก็รู้ว่าเขาไม่มีทางกลับขึ้นมาในอันดับหนึ่งได้อีก
แค่โพเดี้ยมสามอันดับยังยากมากเลย
เหตุการณ์แบบนี้...เราโทษใครไม่ได้เลยจริงๆ
การตัดสินใจมันเกิดขึ้นในชั่ววินาที และมันก็เป็นคุณสมบัติของทีมแข่งรถF1ที่ต้องตัดสินใจให้เร็วแบบนี้
พวกเราจึงต้องยอมรับความเสี่ยงไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ดี
แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้
ทั้งหวังอี้คุน
ทั้งคะชู คิโยมิตสึ ต่างก็ยังทำหน้าที่ของตนอย่างมุ่งมั่น
ต่อให้คนทั้งทีมจะถอดใจกันไปแล้ว
แต่นักขับจะต้องเป็นคนสุดท้ายที่คิดแบบนั้น จะต้องเป็นคนผลักดันทีมจนถึงที่สุด
จะต้องจุดไฟให้ทีมขึ้นมาอีกครั้ง
เขากำลังพยายามอยู่ผมรู้
แชะ!
และผมก็ไม่อยากจะยอมแพ้ในตัวเขาเช่นกัน!
ทั้งสองคนพยายามไล่แซงเอาตำแหน่งคืนมา
ถึงแม้จะเลือดตาแทบกระเด็น
แต่เขาได้แสดงให้เห็นถึงเทคนิคการขับที่เยี่ยมยอดจนคนดูต่างตะลึงกันเป็นแถบๆ
ตอนที่เขาขับนำอยู่หลายคนก็พูดกันไปว่าเขาชนะได้เพราะรถ แต่ในตอนนี้ทุกคนต้องยอมรับแล้วว่าเขามีฝีมือจริงๆ
แรงเชียร์จากคนทั้งสนามต่างเทไปที่เขา
เขาขยับขึ้นจากที่12มา11
มาที่10 มาที่9...
เขาไม่ยอมแพ้
ไม่ยอมเลยจริงๆ
และความสู้ไม่ถอยของเขาก็เรียกขวัญและกำลังใจให้กลับคืนมาที่พิตสีแดงด้วยเช่นกัน
ต่อให้จะขึ้นถึงโพเดี้ยมไม่ไหวแต่ทุกคนก็ลุ้นให้เขาเก็บแต้มให้ได้มากที่สุด
ตอนนี้เขาขึ้นมาถึงที่ 7แล้ว
ผมยังคงถ่ายรูปเขาต่อไปเรื่อยๆ
....ต่อให้ยังเป็นแค่ลูกสิงโต...แต่ยังไงมันก็คือสิงโต...สินะ...
ผมรอดูเลย...วันที่เขาจะเป็นสิงโตเต็มวัย
เขาจะต้องเป็นราชสีห์ที่ยิ่งใหญ่ในป่าความเร็วแห่งนี้แน่ๆ
หัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ไม่กลัวอะไรของเขานั้นมันคือที่สุดมากจริงๆ
การแข่งขันจบลงในรอบที่ 78...
เขาขึ้นมาถึงที่ 5...
อย่างน้อยก็เป็นอันดับที่ดีที่สุดในปีนี้ของเขา
มีแต่คนเสียดายที่เขาไม่ได้แชมป์สนามนี้ทั้งที่ฝีมือถึงแท้ๆ
แต่การต่อสู้ของเขา...ก็จะส่งผลต่อตัวเขาเองอย่างแน่นอน...ไม่ว่าจะทีมใหญ่ๆที่หันมาสนใจในตัวเขา
อยากคว้าเขาเข้าร่วมทีม ไม่ว่าจะแฟนๆที่ได้ใจกันไปเต็มๆ
อนาคตของเขานั้นยังอีกยาวไกล
และผมก็พร้อมที่จะสนับสนุนเขาไปจนสุดปลายถนนเส้นนี้เช่นกัน
เขากลับมาที่พิตพร้อมกับแสดงความเสียใจกับลูกทีมที่ไม่สามารถจะคว้าชัยชนะมาให้ได้
ทุกคนต่างตบไหล่เขา
ขอโทษเขาเช่นกันที่ทำให้เขาขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโพเดี้ยมไม่ได้
แต่นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น
และไฟที่อยากจะเอาชนะก็กำลังลุกโชน
ทุกคนในพิตต่างอยากจะทำให้เขาชนะ
อยากทำให้เขาเป็นที่หนึ่ง
เขาไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย
เขาพยายามเก็บแววตาเศร้าหมองเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มบางๆที่ส่งให้กำลังใจทุกคนในทีม
ผมอยากจะเข้าไปกอดเขา
ปลอบใจเขา แต่ผมยังไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์จะทำแบบนั้นได้
ผมจึงต้องปล่อยให้เขาได้อยู่กับคนที่มีสิทธิ์ปลอบโยนเขาตามลำพัง
ผมยืนพิงผนังพิตเอาไว้
เขากับหม่าม้าของเขาอยู่ในห้องประชุมด้านหลัง
“อยู่กับคนในครอบครัว ไม่ต้องทำตัวเข้มแข็งหรอก” เสียงนุ่มเอ่ยออกมาก่อนจะดึงหัวสีน้ำตาลยุ่งๆของเขาไปกอด
“หม่าม้า….” สองมือของเขากำชายเสื้อของแม่ราวกับเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง
เขาแสดงออกว่าผิดหวัง แสดงออกว่าเศร้า เขาซบไหล่แม่ของเขาไว้แบบนั้น
“ต่อให้จะเป็นวันที่ดีหรือวันที่ผิดหวัง หม่าม้า ปะป๊า อาเฟย
ก็จะอยู่กับอี้คุนเสมอนะ” เสียงนุ่มเอ่ยอย่างปลอบโยน
“....ครับ…” หม่าม้าของเขาปล่อยให้ซบไหล่
ไม่ผลักไสจนกว่าเขาจะยอมถอยไปเองเมื่อสบายใจขึ้น จะให้ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อลูกอีกนานแค่ไหนก็ได้
“เส้นทางของลูกกับเฟอร์รารี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ทุกคนก็เห็นฝีมือของลูกแล้ว ถึงวันนี้จะเป็นวันที่น่าผิดหวัง
แต่ลูกก็ต้องเดินหน้าต่อไป การแข่งขันมันก็แบบนี้แหละ
มีวันที่แพ้ก็ต้องมีวันที่ชนะ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะอดทนรอพบมันได้หรือเปล่า”
ผมยังคงยืนพิงผนังอยู่ตรงนั้น...
ส่งกำลังใจของผมไปให้เขาเช่นกัน...
ถึงเขาจะไม่ได้รับรู้ถึงมันเลยก็ตาม
.
.
.
.
.
ร่างสูงยาวของหวังอี้คุนนอนแผ่หลาอยู่กลางเตียง
เขากลับโรงแรมมาก่อนลูกทีมคนอื่นๆเพราะผลการแข่งขันที่น่าผิดหวังทำให้เขาไม่มีกระจิตกระใจจะอยู่ที่สนามต่อไป
ใบหน้าหล่อเหลาเงยมองเพดานอย่างว่างเปล่า
ถึงเขาจะเคยแพ้มาก็มาก
แต่มันก็ไม่เคยผิดหวังขนาดนี้มาก่อน...ครั้งแรกของเขากับเฟอร์รารี่ดันพังไม่เป็นท่าแบบนี้...
ติ๊ง!
เสียงจากโทรศัพท์ทำให้ปลายนิ้วสไลด์หน้าจอดูผ่านๆ
แต่แล้วข้อความที่ได้รับมาก็ทำให้ร่างสูงสง่าเด้งผึงออกจากเตียง
สองขาวิ่งออกมาจากห้องก่อนจะตรงดิ่งไปที่ลานจอดรถ Ferrari SF90 Stradaleถูกเขาขับออกไป
เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้วขอแค่ไปถึงที่นั่นให้ไวที่สุดก็พอ
เจ้าม้าสีเพลิงวิ่งราวกับพายุเข้าไปในสนามบินเมืองนีซ
เอี๊ยดดด!!
มันจอดเสียงดังสนั่นอยู่ที่ดร๊อปออฟชั้นขาเข้าของสนามบิน
เขาวิ่งออกจากรถอย่างไม่สนใจที่จะล็อคหรือจอดให้ดีกว่านี้
สองขาวิ่งไปหาคนที่ยืนทำหน้าเหรอหรามึนงงรอเขาอยู่ที่ประตูทางออก
“อ๊ะ! อี้คุน!” มือบางยกโบกให้เขา
เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
สมองสั่งแค่ว่าให้วิ่งต่อไป หัวใจสั่งแค่ว่าให้คว้าตัวอาเฟยมากอดไว้
และแค่เห็นหน้าเจ้าลูกกระต่าย...เขื่อนน้ำตาแห่งความผิดหวังก็พังทลายลงทันที
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีน้ำตาสักหยด
ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะไม่ร้องไห้แต่ก็ห้ามไม่ไหว เขาจึงกดใบหน้าลงบนไหล่อาเฟยแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลไห้ออกมา
ต่อหน้าผู้คนมากมายเขายังคงทำเป็นเข้มแข็งได้
คงจะมีแค่ตรงนี้ที่เขาจะสามารถแสดงความอ่อนแอออกมา
เขาเสียใจ
เขาผิดหวัง เขาเศร้า
และเขาเพิ่งรู้ว่าเขารู้สึกแย่กว่าที่ตัวเองคิดไว้มากก็ต่อเมื่อได้เห็นข้อความจากอาเฟยว่าเจ้าลูกกระต่ายมาหาเขาและตอนนี้อยู่ที่สนามบินเมืองนีซแล้ว
ยิ่งเขารีบร้อนมาหาอาเฟยเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ได้เลยว่าเขาเสียใจมากจนอยากจะให้ใครสักคนกอดเขา
ปลอบเขา
และเจ้าลูกกระต่ายก็มาหาเขาทันทีที่รู้ว่าเขาแพ้
“อึก...”
เขากดใบหน้าลงไปบนไหล่บอบบางเพื่อไม่ให้ใครเห็นน้ำตาของเขา
สองแขนยิ่งกอดร่างโปร่งแน่นจนมือบางต้องยกขึ้นมาลูบหัวเขาอย่างปลอบโยน
หลายต่อหลายนาทีกว่าเขาจะสงบลง...ตอนนี้...เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างได้ระบายออกไปแล้วจริงๆ
เขาทิ้งความเสียใจเอาไว้บนไหล่ที่ชุ่มโชกนั่น
และเขาพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่แล้ว
“โอ๋ๆไม่ร้องนะ
โอ๋ๆ” เขายิ้มทั้งน้ำตาเมื่อได้ยินคำปลอบโยนที่เหมือนกับเด็กนั่น
เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย ไม่เคยจะปลอบแบบใช้คำพูดสวยหรูอะไรกับใครเค้า
“ยังไงนายก็เก่งที่สุด
พี่ชายของฉัน” ถึงจะฟังดูง๊องแง๊งแบบนี้
แต่กลับทำให้เขายิ้มออกมาได้
“คราวหน้าฉันคงต้องทำสร้อยหินเสริมดวงให้นายแล้วละอี้คุน
ดีไหม?” ดีอะไรเล่า
ไม่เอาหินสีฟ้าม่วงชมพูแล้วนะ!
เขาละใบหน้าออกมาส่งกระแสไฟฟ้าใส่เจ้าลูกกระต่ายทั้งที่มือยังกอดเอวบางไว้
“อี้คุน
ไม่เป็นไรนะ”
เขาเพิ่งรู้ว่าปะป๊าก็มาด้วย คงจะเป็นห่วงเขา
ฝ่ามือที่อุ้มชูเขามาตลอดข้างนั้นลูบหัวเขาเบาๆ
ไม่ว่าเขาจะเป็นคูลกายสำหรับใครแค่ไหน
แต่พออยู่กับคนที่บ้านเขาก็ยังเป็นลูกสิงโตของปะป๊าไม่เปลี่ยน
“วันนี้ก็นอนพักเถอะ
แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านกัน”
ปะป๊ายิ้มให้ ส่วนเจ้าลูกกระต่ายนั้น...
“เอ๊ะ?
จะกลับเลยเหรอ? เฟยนึกว่าเราจะอยู่เที่ยวกันอีกซักสองสามวัน
ต้องปลอบใจอี้คุนด้วยเนี่ย”
ตกลงว่าอยากมาปลอบใจเขาหรืออยากมาเที่ยวกันแน่เนี่ยเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย
“อื้อ
จะอยู่เที่ยวต่อปะป๊าก็ไม่ว่าหรอก
เพราะอยู่กับเฟยเฟยสองคนแล้วปะป๊าเหนื่อยมากกกก” เขาถึงกับหลุดขำ
เห็นใบหน้าซูบเซียวของปะป๊าก็พอจะเดาได้แล้วว่าเจ้าตัววุ่นวายประจำบ้านก่อเรื่องไว้มากขนาดไหน
“งื้อ!
เหนื่อยอะไรกัน? เฟยไม่ทันจะได้ทำอะไรซักหน่อย!” แล้วก็เถียงด้วยนะ
“........” ปะป๊าถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
และเพราะว่าปะป๊ามา
เขาจึงต้องถูกอัพเปหิออกมาจากห้องแล้วไปอยู่ห้องใหม่กับเจ้าตัววุ่นวายสองคน
"หง่ะ"
"อะไร? ก่อเรื่องอะไรไว้อีกล่ะเจ้าตัววุ่นวาย?"
"ไม่ได้ก่อ~ แต่ลืมเอาชุดนอนมาอ่ะ"
เขาทอดสายตามองอย่างละเหี่ยใจ...เริ่มแล้วสินะ... เอาเถอะ
ปกติก็ไม่เคยเก็บกระเป๋าเดินทางเองอยู่แล้วนี่นะ
แค่หยิบกกน.มาครบนี่ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว…
"ยืมของนายหน่อยสิ" เจ้าลูกกระต่ายหันมามองชุดนอนเสื้อยืดคอกว้างกับกางเกงขายาวที่อยู่ในมือเขา
"ชั้นก็เหลือแค่ชุดนี้ที่ยังไม่ได้ใส่" พูดไปขนาดนี้แต่เจ้าลูกกระต่ายวายร้ายก็ยังแบมือจะเอาหน้าตาเฉย...
"นายนอนโป๊ๆไปก็ได้นี่ ปกติก็ไม่ใส่อะไรนอนอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?"
"อยู่บ้านรึไงเล่า เกิดใครพรวดพราดเข้ามาจะทำไง?" ทำไมต้องมาแย่งชุดนอนกับเจ้าตัวดีนี่ด้วยเนี่ยทั้งๆที่เป็นเสื้อผ้าของเขาแท้ๆ!
"งื้อ...หม่าม้าจะเอามาเผื่อรึเปล่านะ…ดึกแล้ว
ไม่อยากไปกวนแล้วด้วยอ่ะ..." เจ้าลูกกระต่ายหันไปบ่นงึมงำทำหน้าเศร้ากับกระเป๋าเดินทางที่แทบจะว่างโล่ง
"เฮ้อ…" ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจก่อนจะยอมวางชุดนอนของตัวเองลงไปบนหัวคนที่นั่งเง้างอดอยู่บนพื้น
"เอาไป จบไหม?" ใบหน้ามนระรื่นขึ้นมาทันทีที่เขายอมตามใจ
วุ่นวายไม่มีใครจะเกินจริงๆ ไม่รู้มาปลอบใจเขาหรือแค่เอาความวุ่นวายมาให้เขาปวดหัวเล่นจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นกันแน่
“งั้นชั้นไปอาบน้ำก่อนนะ
ขอใช้สบู่แชมพูยาสีฟันของนายด้วยนะ”
เจ้าลูกกระต่ายวิ่งร่าเข้าห้องน้ำไป
“เอาแปรงสีฟันมารึเปล่า?” เขาตะโกนไล่หลังอย่างกังวล
“ไม่ได้เอามาอ่ะ” ว่าแล้วเชียว
“ใช้ของโรงแรมที่อยู่ในกระเป๋าใต้ซิงค์ซะ” นี่เขามีน้องชายฝาแฝดหรือมีลูกกันแน่เนี่ย?
หวังอี้หยางแน่ใจแล้วนะว่าจะเอาเจ้าตัวแบบนี้ไปเป็นเจ้าสาวน่ะ?
“อื้อ~” เจ้าลูกกระต่ายฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
จริงๆเล้ย~
มือใหญ่เปิดประตูระเบียงออกไปก่อนจะเท้าแขนเพื่อยืนรับลม
มีคนส่งข้อความปลอบใจเขามามากมาย แต่เขาเพิ่งจะได้รู้สึกว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เอาก็ตอนนี้แหละ
จะว่าไป...ก็ไม่ได้เจอพี่ตากล้องตั้งแต่แข่งจบเลยแหะ
แต่เขาไม่รีบหรอก เพราะยังไงก็จะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน
ดวงตาคมกล้าหลับตาลงก่อนจะเงยหน้ารับลม
ใช่แล้ว...ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...
และเขาจะไม่มีวันยอมแพ้
ต่อให้อุปสรรคจะยากเย็นแค่ไหน เขาก็จะคว้าสิ่งที่ต้องการมาให้ได้
รอดูเลยก็แล้วกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520
km/hr.
FIN.
กราบขอประทานอภัยกับความหายไปครึ่งค่อนปีนี้
แถมมาทั้งทียังไม่ใช่ตอนที่ทุกคนรอคอยกันอี๊กกกก m(_ _)m กราบบบบ
กะก็...นี่ไง
เอาตอนกรุบๆของอี้คุนมาลงเอาฤกษ์เอาชัยว่า GLIDE
จะกลับมาต่อแล้วนะไรงี้ไงงง /หลบไห คือพยายามจะกลับมาแต่งต่อตั้งแต่คุมเลขาเย่วมา
ตั้งแต่พี่จ้านลุคน้องเฟยไปอิตาลี จนมาถึงหวังอี้ป๋อในชุดนักแข่งของEVISUล่าสุดนี้ คือเวลาเห็นใครเม้นต์ทวงมาเราก็สะท้านสะเทือนอยู่นะ5555 เลิ่กลั่กลนลานจนแอบๆมาปั่นอยู่เรื่อยๆ แต่อีกฝั่งก็หนักจริงๆ คุณชายฟูจิวาระ
ชูนี่เล่นงานตูหนักมากจริงๆข่ะ จิกหัวกลับประเทดเกาะอย่างไร้ปรานีมากๆเลยข่ะ5555
ส่วนเรื่องราวของหวังอี้คุนนี้เราก็จะไม่ได้เขียนต่อแล้วนาคะ
ทิ้งไว้ให้รีดไปจินตนาการกันเองว่าเขาจะมีคู่ไหม? จะใช่สามคนที่มีการพูดถึงหรือไม่
หรือจะเป็นใครอื่นอีก /รีดบอก มาให้ตูเหยียบก่อนเถอะนังไรท์ หายไปอย่างนาน
กลับมานอกจากจะให้ลูกสิงโตแพ้แล้วยังจะทิ้งปริศนาอักษรไขว้ให้ตูแก้เองอีกเร๊อะ?!
5555
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดในสนามของตอนนี้
ถ้าใครดูF1อาจจะรู้สึกคุ้นๆกับเหตุการณ์นี้ ^ ^ ใช่แล้วค่ะ
นี่เป็นเรื่องราวของนุ้งจอร์จ รัสเซล ตอนที่น้องยังอยู่ทีมวิลเลี่ยมแล้วต้องไปขับแทนพี่แฮมของทีมเมอร์ซิเดสที่ป่วยน่าจะโควิดมั้ง
แล้วเหตุการณ์ในสนามก็คล้ายๆในเรื่องนี่เลยค่ะ ตอนดูนี่เสียดายแทนน้องมาก
ขับดีอะไรดีสุดๆ แต่ไปพลาดที่พิต เลยไม่ได้แชมป์สนามนั้นเลย
ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่นักขับหรือรถ แต่ทุกคนในทีมมีความสำคัญทั้งหมด
แค่พลาดไปเสี้ยววินาทีทุกอย่างก็เปลี่ยนได้เลย
ส่วนเจ้าลูกสิงโตก็ไม่ต้องเสียใจไป
หลังจากนี้จะเห็นได้จากตอนที่เฟยเฟยไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากนี้อีกปีสองปี
อี้คุนกลายเป็นนักขับตัวจริงของเฟอร์รารี่ไปแล้วและอยู่ในตำแหน่งที่ลุ้นแชมป์โลกด้วย!
แล้วก็
ใครที่สงสัยว่าดับเบิ้ลสแตคเป็นยังไง เรามีคลิปให้ดูค่ะ อิๆๆ
ส่วนใหญ่แล้วทีมจะใช้การเปลี่ยนยางซ้อนแบบนี้ในรอบที่มีเซฟตี้คาร์ค่ะ
เพราะจะทำให้อันดับของรถทั้งสองคันแทบไม่ตก ไม่เสียเวลา
มุมมองในฟิคตอนนี้อาจจะไม่คุ้น
ขนาดคนเขียนเองก็ยังเขียนไปหลุดไป เดี๋ยวผมเดี๋ยวเขา555 ก็อยากจะลองเขียนมุมมองการเล่าเรื่องเป็นมุมของตากล้องในสนามกันบ้างจะได้ไม่เบื่อกันเนอะ
จริงๆบุคลากรในทีมแข่งF1นี่มีแต่ระดับตัวท็อปทั้งนั้นเลย
ตากล้องแต่ละทีมก็ถ่ายรูปกันสวยมว๊ากกกก ขนาดเชฟของแต่ละทีมยังเป็นระดับมิชลินเลยอ่ะ
เชฟอาหารญี่ปุ่นของน้องยูกิที่พิตอัลฟ่าทอร์รี่นี่มิชลินสองดาวเลยนะ 5555
ขอบคุณที่รอคอยกันมาอย่างยาวนาน
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันเสมอ ขอบคุณที่คอยทวงคอยถามไถ่นะคะ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทด้วยน้า ^ ^ แล้วเจอกันตอนหน้า
จะรีบไปพาอาเฟยมาพบอุนยายทั้งหลายนาคะ แหะๆๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น