ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 520 km/hr. again [Part3]


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 520 km/hr. again [Part3]

 

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au

: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน

: Romantic

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ

           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค

  

 


GLIDE : 2x4 It’s me : Special Episode :

 

“520 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

.

.

.

 

 

ฝ่าเท้าของผมก้าวเร็วๆจนแทบจะกลายเป็นวิ่งเมื่อรู้สึกตัวว่าถูกกลุ่มคนในชุดสูทสีดำกำลังไล่ตามอยู่

 

มือบางจับกล้องถ่ายรูปแน่นก่อนจะพยายามแฝงตัวไปกับผู้คนที่เดินอยู่เต็มถนน วันนี้โมนาโกแทบจะปิดเมืองเพราะมีแข่งฟอร์มูล่าวัน และโชคดีที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในทีมแข่งเช่นกัน เสื้อทีมเฟอร์รารี่ที่ผมใส่อยู่นี้จึงช่วยอำพรางร่างกายของผมไปได้บ้าง

 

ดวงตาคู่โตเหลือบมองป้ายโรงแรมอย่างโล่งใจ...ในที่สุดก็มาถึงที่พักจนได้ ผมน่าจะปลอดภัยแล้ว?

 

ทว่า...มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด

 

รถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ที่ดร็อปอ๊อฟหน้าโรงแรม และผมก็จำได้ดีว่ามันเป็นรถของคนที่ผมกำลังหนีอยู่!

 

บ้าจริง ถึงกับตามมาถึงนี่เลยเหรอ? แบบนี้มันเกินไปหน่อยนะ!

 

ผมก้าวถอยหลัง... ผมไม่อยากถูกเขาจับตัวได้ ผมไม่อยากแต่งงานกับเขา!

 

ไม่ว่าเขาจะทำตามคำสั่งเสียของใครหรือเทพยดาองค์ไหน แต่นี่มันบ้ามากสำหรับผม!

 

คืนนี้...ขอแค่หลบเขาให้พ้นห้าทุ่มของคืนนี้...

 

ผมก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆโดยที่ตายังจับจ้องอยู่ที่รถคันนั้น แย่ละสิ เหมือนเขาจะมองเห็นผมแล้วเลย!

 

ตุ้บ!

 

ผมถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อแผ่นหลังไปปะทะกับแผ่นอกของใครเข้า ผมหันหน้าควับไปอย่างตกใจเพราะนึกว่าถูกบอร์ดี้การ์ดของเขาจับได้เสียแล้ว

 

ทว่า คนที่ก้มมองผมอย่างแปลกใจกลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

 

ไม่สิ ไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งแต่เป็นหวังอี้คุน นักขับของเฟอร์รารี่ในสนามนี้!

 

หมับ!

 

ด้วยอารามตกใจและผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ สองแขนจึงกอดหมับไปที่ร่างสูงสง่าของหวังอี้คุน ผมทั้งซบใบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างของเขาก่อนจะหันหนีทางที่รถสีดำจอดอยู่ ทั้งใช้ลำตัวของเขาบังตัวผมเอาไว้

 

เอาจริงๆหวังอี้คุนไม่รู้จักผม และผมเองก็ไม่รู้จักเขา เราไม่รู้จักกัน

 

แต่กระนั้นเขาก็ยังยืนนิ่งเพื่ออ่านสถานการณ์

 

“คุณ...เป็นทีมงานของเฟอร์รารี่ใช่ไหมครับ?”    เสียงทุ้มของเขาถามผมเบาๆ เขาคงสังเกตเห็นบัตรแพดดอกที่ห้อยคอผมอยู่ นักขับอย่างเขาหูตาไวจะตายไป

 

“ครับ...”   ผมตอบเขา มือที่กำชายเสื้อของเขาอยู่สั่นระริกเพราะกลัวว่าเขาจะผลักผมออกไป ซ้ำยังกลัวกลุ่มคนในสูทสีดำที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เต็มที

 

“คนพวกนั้น...กำลังตามจับตัวคุณอยู่ใช่ไหมครับ?”    เขาถามอีกซึ่งผมไม่กล้าเงยหน้ามองจึงได้แต่ตอบอยู่กับแผงอกของเขา

 

“ครับ...”

 

“ต้องการให้ผมช่วยไหมครับ?”    เขากระซิบอยู่บนหัวผมแสดงว่าพวกนั้นน่าจะใกล้เข้ามาแล้ว มือของผมเผลอกระตุกชายเสื้อเขาด้วยความกลัว

 

“ช่วย...ผมด้วยครับ...”    เท่านั้นแหละ จู่ๆเขาก็ล็อคคอผมก่อนจะพาเดินตรงเข้าไปหากลุ่มคนในสูทดำพวกนั้นเฉย!

 

“อยู่นิ่งๆไว้ครับ”    เขากระซิบบอกเบาๆแต่มันใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆหรือไง ตัวผมนี่สั่นเป็นเจ้าเข้าไปหมดแล้ว เขาคงไม่ได้กำลังพาผมไปส่งให้พวกนั้นหรอกใช่ไหม?

 

ท่อนแขนแข็งแรงของเขาโอบไหล่ผมไว้แน่ ถ้าเขาคิดจะส่งตัวผมให้พวกนั้นจริงๆผมจะหนีจากเขาไปได้ยังไง ยิ่งเดินเข้าใกล้ตัวผมก็ยิ่งสั่น ขาของผมแทบจะเดินไปตามแรงลากของเขามากกว่าจะก้าวเดินเองแล้วตอนนี้

 

ผมเหลือบไปเห็นกระจกรถสีดำคันนั้นเปิดอยู่...

 

และผู้ชายคนนั้นก็นั่งอยู่ในรถ...เขามองมาที่ผมด้วยสายตากดดัน...

 

แค่เขาโบกมือทีเดียว บอร์ดี้การ์ดก็น่าจะวิ่งกรูเข้ามาจับตัวผมทันที

 

แต่เขากลับทำแค่มองตามผมมาด้วยสายตาเย็นยะเยือก...

 

ผมเดินผ่านประตูกระจกเข้ามาจนถึงหน้าล็อบบี้...โดยสวัสดิภาพ...

 

ผมแอบเหลือบมองเขาอีกครั้งอย่างสงสัย ทำไมถึงยอมปล่อยผมหลุดมือไปง่ายๆทั้งที่มาจนถึงนี่แล้ว? ถ้าพ้นคืนนี้ไปเขาจะไม่ได้ออกจาก UAE อีกร่วมเดือนเลยนะ?

 

หรือจะเป็นเพราะหวังอี้คุน?

 

ผมเงยมองใบหน้าหล่อเหลาที่คล้ายกับเจ้าพ่อวงการค้าเพชรคนนั้นมาก ถึงผมจะไม่ได้สนใจแวดวงคนดังแต่ยังไงเสียหากอยู่ในวงการเอฟวัน เรื่องของหวังอี้ป๋อ หวังอี้คุน รวมไปถึงหวังอี้หยาง มันก็มักจะลอยมาถึงหูของเราเองไปโดยปริยาย

 

ท่านชีคแห่งชาร์จาห์คงจะเกรงใจน้องชายของหวังอี้หยางสินะ ถึงได้ยอมปล่อยผมไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้

 

“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”    ผมถึงกับถอนหายใจเมื่อเข้ามาในลิฟท์ได้

 

“อุ๊บ?!    ทว่า พอกำลังจะก้าวขาออกจากลิฟท์เมื่อถึงชั้นที่ผมพักอยู่ จู่ๆหวังอี้คุนก็ยื่นมือมาปิดปากผมพร้อมกับดึงตัวผมกลับเข้าไปในลิฟท์อีกรอบ!

 

“อื้อ?!    ผมออกแรงดิ้นตามสัญชาติญาณจนเขาต้องกระซิบที่ข้างหู

 

“ชู่ว”    ติ๊ง! ลิฟท์ปิดลงอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนที่ขึ้นข้างบน และก่อนที่ภาพภายนอกจะถูกตัดไปผมก็ทันเห็นว่ามีชายในชุดสูทสองคนกำลังวิ่งมาจากหน้าห้องพักของผม!

 

ผมยังอกสั่นขวัญแขวนจนพูดอะไรไม่ออก จึงได้แต่ปล่อยให้เขาดึงมือผมเดินตามไปเรื่อยๆ

 

ปึง!

 

จนกระทั่งเสียงประตูปิดเรียกสติผมกลับคืนมา

 

“ปะป๊า ผมถูกคนน่าสงสัยตามมาถึงในโรงแรมเลย ส่งการ์ดไปดูให้หน่อยสิ”    หวังอี้คุนกำลังโทรศัพท์หาใครบางคนในขณะที่ผมยังสับสนและทำอะไรไม่ถูก เขามีทักษะการแก้ปัญหาที่รวดเร็วมากจริงๆ

 

“ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณอยู่ที่นี่ไปก่อน นี่ห้องผมเอง ปะป๊าผมส่งบอร์ดี้การ์ดคอยตามหม่าม้าผมตลอด เดี๋ยวพวกนั้นจัดการให้”    ผมพยักหน้าอย่างอึ้งๆ ทั้งๆที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยแต่กลับช่วยผมขนาดนี้

 

ผมนั่งวิญญาณหลุดอยู่ที่โซฟาจนไม่รู้ตัวเลยว่าถูกเขานั่งเท้าคางมองมาจากโซฟาฝั่งตรงข้าม ในหัวผมกำลังคิดหาวิธีเอาตัวรอดจึงไม่ได้สนใจเขานัก

 

ว่าสายตา...ที่มองมานั้นเป็นแบบไหน...

 

ว่าเขามี...รอยยิ้มยังไงอยู่บนใบหน้า...

 

“เอ่อ...ห้าทุ่มแล้วรึยังครับ?”    ผมเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาเป็นครั้งแรก

 

“ครับ ห้าทุ่มได้...สิบห้านาทีแล้ว”    เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดู

 

“ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ไม่รบกวนคุณแล้ว คุณต้องรีบกลับมานอนพักแท้ๆ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย”    ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งให้เขา

 

“คุณแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้?”   ผมพยักหน้าให้เขาถึงจะไม่แน่ใจนักก็เถอะ ยังไงผู้ชายคนนั้นก็มีตารางงานที่แน่นอน เขาไม่น่าจะยังอยู่ในโมนาโกได้หรอก

 

ถ้าเขาไม่บ้าจนเกินเยียวยาละก็นะ

 

 

และเมื่อผมกลับไปถึงห้องของตัวเองก็พบว่า...เขาไม่ได้บ้าจริงๆ...

 

เขาไม่ได้ทิ้งงานเพื่อที่จะมารอดักจับตัวผมอย่างที่คิด อีกทั้งหวังอี้คุนอาจจะเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้เขายอมล่าถอย

 

ค่อยยังชั่ว...

 

 

 

 

ถึงจะผ่านเมื่อคืนมาได้แต่ผมก็นอนไม่หลับเลยสักนิด...

 

 

ผม เป็นตากล้องของทีมเฟอร์รารี่

 

 

และเมื่อไม่นานมานี้ผมได้ยื่นใบลาออกให้กับทางสำนักงานใหญ่ไปแล้ว นอกจากเรื่องที่หมู่นี้ผมดันไปพัวพันกับเรื่องแปลกๆผู้ชายแปลกๆเข้า อีกเหตุผลหนึ่งถ้าให้พูดกันตรงๆก็คือ ผมหมดแพชชั่นในการถ่ายรูปรถแข่งไปแล้วนั่นแหละ

 

เดิมทีผมก็ไม่ได้สนใจในวงการนี้อยู่แล้ว ที่ผมชอบคือการเดินทางไปยังที่ต่างๆเพื่อถ่ายรูปความสวยงามของภูมิประเทศ ผู้คน วิถีชีวิต การถ่ายรูปที่ผมถนัดก็คือรูปแลนด์สเคป

 

และดูเหมือนรูปที่ผมถ่ายจะไปเข้าตาซีอีโอของเฟอร์รารี่เข้า ผมจึงได้รับการติดต่อให้มาถ่ายรูปรถซุปเปอร์คาร์ของค่ายม้าลำพองทั้งหมด รวมไปถึง การได้เป็นตากล้องพนักงานประจำของทีมแข่งรถฟอร์มูล่าวันอย่างสครูเดอเลียเฟอร์รารี่ด้วย

 

ผมต้องติดตามทีมแข่งไปในทุกๆสนาม เดินทางข้ามทวีปข้ามโซนเวลานับครั้งไม่ถ้วนในหนึ่งปีเพื่อถ่ายรูปรถที่เร็วที่สุดในโลก รวมถึงถ่ายรูปบรรยากาศและการทำงานของทีมแข่งด้วย

 

แรกๆมันก็สนุกดีอยู่หรอก ผมได้เรียนรู้มากมายว่าจะถ่ายรถที่วิ่งด้วยความเร็ว300กิโลเมตรต่อชั่วโมงให้ทันได้ยังไง แต่พอถ่ายมาสักสองสามปี มันก็เริ่มซ้ำๆจำเจ มุมถ่ายในสนามก็มุมเดิมๆ ผู้คนก็กลุ่มเดิมๆ มีแต่พวกเซเลบที่ใช้ชีวิตหรูหราแบบเดิมๆ

 

ผมจึงยื่นหนังสือลาออก ผมอยากเดินทางไปรอบโลกเพื่อหามุมโปรดของผมเองมากกว่า

 

ทว่า คุณซีอีโอปีศาจก็ยังไม่ยอมรับใบลาออกของผมง่ายๆ เขาบอกให้ผมมาลองคิดดูอีกสักหนึ่งสนาม

 

ผมจึงต้องพับเก็บแผนการเดินทางไปมณฆลยูนนานของจีนแผ่นดินใหญ่แล้วมาเดินอยู่ในประเทศศิวิไลซ์อย่างโมนาโกแทน

 

แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนใจผมได้หรอก นี่คงเป็นสนามสุดท้ายที่ผมจะถ่ายรูปรถ F1แล้ว

 

มือบางวางกล้องถ่ายรูปสองตัวพร้อมกับเลนส์ตัวยาวลงไปในกระเป๋ากล้องหลังจากเช็คความเรียบร้อย กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกยกขึ้นสะพายหลัง ผมนี่ก็หอบข้าวของพะรุงพะรังไม่แพ้พวกเทรนเนอร์ของนักขับเลยแหะ

 

ขาก้าวออกไปจากห้องพักในโรงแรม ถึงจะพักที่เดียวกับพวกทีมแข่ง แต่เจ้าหน้าที่ทั่วไปอย่างผมไม่ได้พักอยู่ชั้นเดียวกับพวกวิศวกรและทีมช่าง ห้องพักของหวังอี้คุนที่ผมไปอาศัยชั่วคราวเมื่อคืนนี้จึงอยู่ชั้นข้างบน

 

ผมคงจะลงมาเช้าเกินไปเพราะที่ล็อบบี้ของโรงแรมไม่มีใครอยู่สักคน ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังทำให้ผมหวาดระแวงจนต้องเกาะขอบเสาแล้วแอบมองจนแน่ใจว่าไม่มีชายสูทดำอยู่แถวนี้แล้วจริงๆ...

 

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเดินหันรีหันขวางดูท่าทางน่าสงสัยจนใครได้เห็นก็ต้องลอบขำออกมาที่ล็อบบี้ 

 

ปกติแล้วทีมเฟอร์รารี่จะเช่าโรงแรมที่แทบจะอยู่ในใจกลางสนามแข่งถ้าเป็นสนามสตรีทเซอร์กิตแบบนี้ ผมจึงสามารถเดินชิลๆไปพิตการาจได้เองโดยไม่ต้องรอรถบัสของทีม

 

ถ้างั้นเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆก็น่าจะดี เผื่อจะเจอมุมสวยๆสำหรับการควอลิฟายวันนี้

 

ถ้าเป็นเรื่องการถ่ายรูปผมนี่ก็ไม่เคยจะเข็ดเอาเสียเลยนะ ต่อให้เรื่องเดือดร้อนทั้งหลายทั้งแหล่ที่เกิดขึ้นกับผมนี้ ...การที่ผมถูกเจ้าชายแห่งชาร์จาห์ตามจับตัวกลับไปเป็นเจ้าสาว?... จะเป็นเพราะผมบังเอิญไปถ่ายรูปที่ไม่ควรถ่ายเข้าก็เถอะ

 

 

แล้วในขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาออกจากโรงแรม ฝ่ามือของใครคนหนึ่งกลับรั้งต้นแขนของผมเอาไว้

 

 

 

เป็นฝ่ามือที่รั้งผมเอาไว้ที่นี่

 

 

ทำให้ผมไปจากเขา...และเอฟวันไม่ได้

 

 

 

“คุณนี่เอง? ปลอดภัยดีนะครับ?”    หวังอี้คุน...คือเจ้าของฝ่ามือข้างนั้น

 

“อะ อื้อ”    ผมพยักหน้ารับอย่างมึนๆ เพราะผมถนัดคุยกับรูปภาพมากกว่าคนเป็นๆ ผมจึงไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา

 

ขอโทษที่ลงมาช้านะครับ รอนานไหม? ไปกันเถอะครับ มีสัมภาษณ์ช่วงเช้าด้วยใช่ไหม?”    เด็กหนุ่มในเสื้อฟอร์มของเฟอร์รารี่พูดเองเออเองก่อนจะเดินนำออกไป 

 

เป็นเพราะแสงสว่างที่ต่างจากเมื่อคืนหรือไงกันนะ?

 

หรือจะเป็นเพราะเมื่อคืนผมไม่ทันมีกระจิตกระใจจะมองหน้าเขาดีๆ

 

เสี้ยวใบหน้าของเขาในตอนนี้จึงทำให้หัวใจของผมกระตุกไปวูบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ผมยืนค้างมองเขาอยู่แบบนั้น แม้แต่เขาพูดเรื่องอะไรผมก็ไม่เข้าใจมันอีกแล้ว

 

จะว่าไป...ผมก็ไม่เคยเห็นเขาใกล้ๆแบบนี้มาก่อน… 

 

เพราะถึงเขาจะเข้าๆออกๆพิตของเฟอร์รารี่เป็นประจำเพราะแม่เขาทำงานอยู่ที่นี่ แต่เราก็เหมือนสวนกันไปมา เวลาที่ผมถ่ายรูปอยู่ที่พิตการาจสีแดง เขาก็จะอยู่กับทีมแข่งของเขา เวลาที่เขามา ผมก็มักจะไปประจำอยู่ตามโค้งต่างๆในสนาม

 

ถึงผมจะได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความหล่อเหลาของเขามาเยอะและผมก็ชอบถ่ายรูปหม่าม้าผู้น่ารักของเขามาก แต่พอได้มาเจอตัวจริงในระยะประชิดแบบนี้ผมกลับพบว่าเขานี่แหละคือสิ่งที่ผมตามหามานาน

 

มันเป็นมากกว่าแพชชั่นในการใช้ชีวิต เป็นมากกว่าแรงบันดาลใจและแรงผลักดัน มันเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจับต้องได้ เพียงแต่เราจะรู้สึกถึงมันได้ด้วยจิตวิญญาณ

 

หวังอี้คุนคือคนที่เป็นแบบนั้นสำหรับผม

 

ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ ไม่ต้องมีคำอธิบายที่สวยหรู

 

ไปกันเลยไหมครับ?”    เขาหันมาถามผมอีกรอบ เสียงทุ้มทำให้ผมหลุดจากภวังค์

 

อะ อื้อ”    ผมเดินตามเขาไปอย่างไร้สติ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเกี่ยวข้องกันยังไง? แล้วไหงเขาถึงพูดกับผมอย่างคุ้นเคยแบบนี้ทั้งๆที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน? ถึงผมจะรู้สึกขอบคุณเขามากเรื่องเมื่อคืน

 

นั่นสิ ทำไมเขาถึงไปสนามพร้อมกับผมได้ล่ะ?

 

นี่ครับ”   เขายื่นหมวกกันน็อคมาให้เมื่อพวกเราเดินมาถึงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ผมยังยืนเอ๋อมองเขาด้วยใบหน้ามึนงงต่อไป

 

อ่ะ หรือจะให้ผมขับ? ได้ครับ”    ตอนนี้เหมือนเขาพูดของเขาอยู่คนเดียวเพราะผมนั้นสตั๊นไปนานแล้ว งงมาตั้งแต่ต้นแล้ว???

 

ผมมองมือใหญ่ที่สวมหมวกกันน็อคอย่างคล่องแคล่ว ทุกการขยับของข้อนิ้วรวมไปถึงเส้นเลือดแบบมือผู้ชายที่นูนขึ้นมานั่นสะกดสายตาของผมจริงๆ ผมยืนมองเขาเหมือนกับกำลังยืนมองภาพโมนาลิซ่าในพิพิธภัณฑ์ลูฟ ทั้งๆที่อยู่ในสภาวะแทบหยุดหายใจแต่ใต้แผ่นอกซ้ายกลับเต้นระรัว

 

“? ไม่สวมหมวกกันน็อคเหรอครับ?”    หลังจากที่ขายาวก้าวคร่อมตัวถังขนาดใหญ่ของมอเตอร์ไซค์ 500CCที่แปะโลโก้ม้าลำพอง ใบหน้าที่ราวกับพระเจ้าสรรสร้างนั่นก็หันมาทำหน้างงใส่ผม

 

หึ”    เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ เขาคงจะหัวเราะใบหน้าเหวอๆของผมแน่ ผมจึงได้แต่กรอกสายตาอย่างเลิ่กลั่ก ผมไม่ได้ตั้งใจจะมองเขาแบบนี้สักหน่อย แต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ต่างหาก~

 

มานี่สิครับ”    มือใหญ่ของเขาเอื้อมมาดึงแขนผมจนทั้งตัวขยับเข้าไปใกล้เขา ร่างสูงยาวที่นั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ค่อยๆสวมหมวกกันน็อคให้ผมอย่างตั้งใจ ปลายนิ้วที่บังเอิญสัมผัสโดนปลายคางของผมเอย ไหนจะใบหน้าคมคายที่ช้อนขึ้นมามองความเรียบร้อยบนใบหน้าผมเอย

 

ไม่ไหวผมอาจจะใจเต้นจนตายอยู่ตรงนี้เลยก็ได้

 

คุณถือของเยอะแยะ คงใส่เองลำบาก”   ปลายนิ้วยาวเกลี่ยปอยผมให้พ้นใบหน้าผมก่อนจะอมยิ้มเมื่อมองดูผลงานการใส่หมวกของตัวเอง ถึงเขาจะชินกับการต้องดูแลใครสักคนแต่ผมไม่ได้ชินกับสภาพแบบนี้ ผมนี่แทบจะวิ่งไปกรี๊ดใส่โอ่งเสียให้ได้

 

ขะขะขอบคุณ…”    ผมเอ่ยออกไปอย่างตะกุกตะกัก

 

ร่างโปร่งบางก้าวขาคร่อมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อย่างเก้ๆกังๆ แล้วในจังหวะที่เจ้าม้าสีแดงกระชากออกตัว ท่อนแขนของผมก็เผลอไปกอดเอวของเขาอย่างช่วยไม่ได้

 

นี่มันอะไรกันเนี่ย? นี่มันอะไรกัน? มีแต่คำถามนี้วิ่งวนอยู่ในหัวของผมเต็มไปหมด

 

เสียงกระหึ่มของบิ๊กไบต์นั้นให้ความรู้สึกดีไม่แพ้ซุปเปอร์คาร์ของเฟอร์รารี่เลย เจ้ามอเตอร์ไซค์คันใหญ่วิ่งลัดเลาะไปตามถนนคดโค้งของโมนาโกอย่างคล่องแคล่ว ปกติแล้วในวันควอลิฟายกับวันแข่งทีมมักจะเดินทางกันด้วยมอเตอร์ไซค์หรือสกูตเตอร์เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรอันคับคั่งของโมนาโก แต่นี่คือครั้งแรกที่คนขับรถให้ผมเป็นถึงนักขับของทีม!

 

ดวงตาที่ยังสับสนทอดมองแผ่นหลังที่อยู่ใกล้แสนใกล้ผ่านหมวกกันน็อค ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? ถึงจะยังเป็นนักขับหน้าใหม่แต่อนาคตของหวังอี้คุนนั้นไกลแน่นอน แล้วคนระดับนั้นกลับกำลังขับมอเตอร์ไซค์ให้ตากล้องตัวเล็กๆอย่างผมซ้อนเนี่ยนะ?

 

หัวใจเต้นแรง

 

ใบหน้าก็ร้อนผ่าว

 

ลมปะทะหยุดลงเมื่อเจ้าม้าสีแดงจอดที่ด้านหลังแพดดอก ผมโดดลงมายืนข้างๆรถ แล้วแค่เขาถอดหมวกกันน็อคออก แค่เขาสะบัดหัวไปมา ผมก็แทบจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปของเขาด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติแล้ว

 

เขาเป็นผู้ชายที่เท่ห์มากจริงๆ  ขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังมองเขาใจสั่นเลย

 

แป๊บนะครับ”     มือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนของเขายกขึ้นห้ามการก้าวเดินของผมเมื่อจู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาดังขึ้น

 

ครับ….หื๋ม?....เอ๊ะ? อ้าว?”    หน้าของเขาดูแปลกใจ ดูงง ดูอึ้งหลังจากรับโทรศัพท์ ในระหว่างนั้นผมจึงเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบกล้องออกมาเตรียมพร้อม ตัวหนึ่งสะพายไว้ ตัวหนึ่งถืออยู่ในมือ กล้องที่หนักและแพงมากพวกนี้ก็มีค่าต่อผมไม่ต่างจากรถเอฟวันในความรู้สึกเขานั่นแหละ

 

ว่าไงนะ?! คนที่ผมพามานี่ไม่ใช่เทรนเนอร์เหรอครับ?!!”    เขาหันมามองผมอย่างอ้าปากค้าง ซึ่งผมก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งตอบกลับไป

 

จริงสิ เมื่อคืนผมมัวแต่ล่กจนไม่ทันได้แนะนำตัว

 

ไม่แปลกใจหรอกที่เขาจะเข้าใจผิด เพราะสัมภาระมากมายที่ผมถือมา เพราะเขาเพิ่งได้ทำงานอย่างจริงๆจังๆกับเฟอร์รารี่เลยยังไม่รู้จักทีมงานที่มีเป็นร้อยชีวิตของพิตสีแดง ก็ส่วนใหญ่เขาจะอยู่กับพวกวิศวกรและกลุ่มก้อนหัวกะทิของทีมมากกว่า

 

“......อ่ะ ครับ ผมมาถึงสนามแล้วครับ ได้ครับ….”     เขาวางสายไปในขณะที่ยังมองมาที่ผมไม่วางตา

 

คุณเป็นใครครับเนี่ย?”    เขาถามออกมาตรงๆทำให้ผมถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่

 

เขาไม่ใช่แค่หล่ออย่างเดียวแต่เขามีเสน่ห์มาก เป็นเสน่ห์ตามธรรมชาติที่ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอะไรเลย

 

เอ่อผมเป็นตากล้องของทีมครับ”   ผมยิ้มแหยๆให้เขาอย่างไม่ได้คาดหวังอะไรเพราะรู้ความต่างระดับของทีมงานทั่วไปกับนักขับซึ่งเป็นยอดพีระมิดของทีม

 

ผมขอโทษนะครับ! ผมนึกว่าคุณเป็นเทรนเนอร์ที่รอผมอยู่ ก็เลยลากคุณมาแบบไม่ได้ถามไถ่”     แต่เขาก็ทำให้ผมทึ่งอีกครั้งหลังจากที่เขาขอโทษผมด้วยท่าทางสบายๆ

 

มะไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ไม่ทันได้บอกคุณ”    ผมตอบเขาด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก ต่างจากเขาที่ดูคุ้นเคยกับคนของเฟอร์รารี่สมกับที่เขาถูกเลี้ยงดูมาโดยประชากรม้าลำพอง

 

ถ้างั้น...ก็ฝากรูปของผมในสนามนี้ด้วยนะครับ”    เขายิ้มให้ก่อนจะเดินนำออกไป….

 

ผมเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มของเขาใกล้ๆ ผมได้แต่กร่นด่าตัวเองในใจที่หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายไว้ไม่ทัน!

 

เพราะเท่าที่ผมรู้ เขาไม่ใช่คนยิ้มง่าย จะเป็นเพราะว่าเขารู้สึกเป็นกันเองกับคนของเฟอร์รารี่หรือไงยังผมก็ไม่แน่ใจ เขาถึงเผยรอยยิ้มแบบนั้นให้ผมเห็น

 

อยากถ่ายรูปรอยยิ้มนั้นอีกจัง

 

อยากถ่ายรูปของเขาอีก

 

อยากถ่ายมุมอื่นๆของเขาด้วย

 

ทั้งตอนดีใจ ตอนได้รับชัยชนะ ตอนนั่งอยู่ในรถ ตอนเดินไปไหนมาไหน อยากถ่ายเอาไว้เยอะๆเลย………..

 

รู้ตัวอีกทีผมก็ต้องไปเอามือยันกำแพงไว้...

 

อ่าเจ้าซีอีโอปีศาจนั่นคงจะสมใจเลยสินะงานนี้! 

 

มือบางกำแน่นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่สิ ผมต้องตั้งมั่นในการลาออกของตัวเองสิ! จะปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนั้นมาทำลายแผนการนี้ไม่ได้!

 

 

 

 

 



แล้วการควอลิฟายก็จบลงในบ่ายวันนี้

 

หากดูจากเวลาในรอบซ้อมแล้วก็คงไม่น่าแปลกใจที่หวังอี้คุนจะทำเวลาในรอบควอลิฟายได้ดีมาก 

 

พรุ่งนี้ SF21 YIKUN จะได้ออกสตาร์ทจากแถวหน้าสุดในตำแหน่งที่สอง เป็นรองก็แค่คะชู คิโยมิตสึจากทีมเดียวกันเท่านั้น! ช่างเป็นผลการควอลิฟายที่เกินความคาดหมายไปมากเลยจริงๆ

 

ตากล้องของทีมม้าลำพองเก็บเลนส์ตัวยาวที่หนักหลายกิโลใส่กระเป๋าสะพาย ผมกำลังจะย้ายตัวเองจากโค้งหนึ่งในสนามเพื่อกลับไปยังพิตการาจ

 

ภาพในกล้องทำให้ผมเผลอยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อหยิบมันขึ้นมาเช็คดู ผมกดส่งมันไปให้แอดมินของเฟอร์รารี่ทันที และอีกไม่นานรูปนี้ก็คงจะลงอยู่ในไอจีของทีมจากอิตาลี

 

รูปของรถหมายเลข 85 ท่ามกลางฉากหลังที่เต็มไปด้วยเรือยอร์ชนับพันของอ่าวมอนติคาร์โล สีที่อมเขียวหน่อยๆทำให้ภาพดูคลาสสิคและรถสีเพลิงคันนั้นก็ลอยเด่นขึ้นมา

 

มันเป็นรูปที่สวยในระดับส่งประกวดได้เลยทีเดียว

 

 

 

 

 

ผมเอี้ยงๆมองๆจากด้านหลังพิตแต่ในรถหมายเลข 85 กลับไม่มีใครนั่งอยู่แล้ว หวังอี้คุนไม่ได้อยู่ตรงไหนในพิตเลย อาจจะมีสัมภาษณ์ไม่ก็ประชุมเรื่องแผนการแข่งในวันพรุ่งนี้ต่อ

 

สองขาจึงก้าวกลับไปยังมอเตอร์โฮมอย่างรู้สึกเสียดายนิดๆ ก็ไหนๆสนามนี้ก็จะเป็นสนามสุดท้ายของผมกับF1แล้วนี่ ขอถ่ายรูปเขาเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อยไม่เห็นจะเป็นไร ความรู้สึกของผมมันยิ่งใหญ่เหมือนได้ถ่ายรูปเดวิดที่ยืนอยู่ท่ามกลาง Piazzale Michelangelo เลยนะตอนที่ได้ถ่ายรูปเขาเนี่ย

 

หื๋ม? นั่นมันคะชู คิโยมิตสึ?

 

แล้วจู่ๆผมก็มองเห็นเจ้าตัวเปรี้ยวจี๊ดประจำกริดวิ่งพรวดพราดออกมาจากประตูมอเตอร์โฮม

 

ลำตัวบางเฉียบนั่นวิ่งไปก็สวมชุดหมีไป

 

คงจะมัวแต่ทาลิปแต่งหน้าจนลืมว่าต้องไปสัมภาษณ์ที่ไหนอีกแน่ๆ

 

“ฮึ”   ถึงจะเป็นภาพชินตาของพิตม้าลำพองแต่ผมก็ยังนึกขำได้ทุกครั้งจนมือบางยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป

 

แชะ!

 

โดยไม่ทันระวังว่าข้างหลังมีคนเดินอยู่!

 

ปึ้ก!!

 

แล้วข้อศอกของผมก็ไปชนคนคนหนึ่งเข้า หญิงสาวคนนั้นเซถลา แก้วเครื่องดื่มในมือกระฉอกจนน้ำสีแดงเลอะแขนของเธอเป็นหย่อมๆ

 

เอ่อ ขอโทษครับ! ผมไม่ทันระวัง”    ผมหันไปขอโทษเธอทันที จึงได้รู้ว่าคนที่ผมตามหาอยู่ก็เดินอยู่ตรงนั้นด้วย

 

ผู้หญิงคนนั้นและเพื่อนอีกสองคนน่าจะดักจับหวังอี้คุนไว้เพื่อขอถ่ายรูปด้วยอยู่พอดี!

 

จังหวะนรกอะไรขนาดนี้...โอ๊ย...

 

อะไรของนายเนี่ย?! หัดระวังหน่อยสิ!  ผู้หญิงคนนั้นโวยวายใส่ผมทันที ใบหน้าที่แต่งไว้หนาเตอะก้มมองสำรวจไปตามเนื้อตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตวาดผมต่อ

 

“ถ้ามันเลอะชุดขึ้นมาจะทำยังไง? รู้รึเปล่าว่าชุดนี้ราคาเท่าไหร่? เป็นตากล้องใช่ไหม? เงินเดือนนายสองปีจะชดใช้หมดรึเปล่ายังไม่รู้เลย!”   เธอดึงป้ายห้อยคอของผมไปดูอย่างถือวิสาสะและปัดมันกลับมาอย่างไร้มารยาท

 

ป้ายวีไอพีที่ห้อยคอเธออยู่ทำให้รู้ว่าเธอน่าจะเป็นแขกของพิตม้าลำพองและผมก็ไม่ควรจะเสียมารยาทกับคนพวกนี้ เพราะงั้นจึงยอมกัดฟันทน

 

ผมจะอยู่ที่นี่อีกแค่ไม่กี่วันแล้ว ผมไม่อยากมีปัญหา!

 

ผมขอโทษจริงๆครับ…”     พูดไปฟันผมก็สั่นกึกๆไป อย่าให้เจอที่ไหนนะ พ่อจะกระโดดกัดคอให้!

 

จะไม่ให้ผมเบื่อได้ยังไงในเมื่อผมต้องเจอแต่คนแบบนี้มาตลอดสามปีเต็มที่เป็นตากล้องให้กับเฟอร์รารี่

 

แต่ที่ผมเจ็บใจเพราะเหตุการณ์แบบนี้ดันมาเกิดต่อหน้าหวังอี้คุนนี่สิผมดันทำให้เขาได้เห็นด้านที่ไม่น่าประทับใจของผมเอาเสียเลย

 

"ใช้นี่เช็ดไปก่อนเถอะครับแล้วค่อยไปล้างในห้องน้ำอีกที"    แต่แล้วเขาก็ทำให้ผมอึ้งไปอีกรอบเมื่อมือใหญ่ยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้กับหญิงสาวคนนั้นนี่เขากำลังช่วยผมอยู่รึเปล่า? หรือกำลังช่วยผู้หญิงคนนั้นกันแน่

 

แต่อย่างน้อยการที่เขายื่นมือเข้ามายุ่งก็ทำให้ก็หญิงสาวคนนั้นหยุดการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ หยุดโวยวาย หยุดหาเรื่องผมด้วยคำพูดร้ายๆพวกนั้น

 

"ขอโทษแทนตากล้องของผมด้วยนะครับ แต่ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวเขาไปก่อน คงไม่ว่าอะไรนะครับ?"    มือใหญ่เอื้อมมารวบเอวผมก่อนจะดันออกจากวงเขากำลังช่วยผมอยู่จริงๆ

 

"ได้เลยค่ะ เชิญเลยค่ะ"    พอเป็นคำพูดของหวังอี้คุนท่าทีของไฮโซสาวก็เปลี่ยนไปทันที

 

ก็นะถึงตอนนี้หวังอี้คุนอาจจะยังเด็กไปสำหรับพวกเธอแต่การได้ผูกมิตรกับเด็กหนุ่มอาจจะหวังผลไปถึงพี่ชายเจ้าพ่อวงการค้าเพชรคนนั้นก็ได้ใครจะไปรู้ หญิงสาวจึงยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าก่อนจะยิ้มให้จากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว

 

"เอ่อ แล้วผ้าเช็ดหน้าจะให้คืนที่ไหนดีคะ? ขอเบอร์ไว้ได้ไหมคะ?"   หวังอี้คุนเลยให้เบอร์ไป แต่ผมจำได้ว่านั่นมันเป็นเบอร์ของบอสนี่?

 

ในพิตม้าลำพองนี่จะไม่มีใครจำเบอร์ของตัวเองบ้างเลยหรือไง? แต่เบอร์ที่จำกันขึ้นใจกลับเป็นเบอร์ของเอลวิน สมิธเสียนี่

 

อืมผมเองก็ด้วยแหละ

 

อ้อ แล้วก็นะครับ”   หวังอี้คุนหันไปเอียงคอพูดกับหญิงสาว ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมุมปากจนคนรอฟังถึงกับใจสั่น

 

แต่แล้วใบหน้าหยาดเยิ้มของหญิงสาวก็ราวกับถูกตบจนหน้าชาเมื่อได้ฟังประโยคต่อมา

 

“ชุดนั่นราคาแค่ไม่กี่พันยูโร เงินเดือนของตากล้องที่ถ่ายรูปรถทั้งหมดของเฟอร์รารี่ แค่อาทิตย์เดียวก็จ่ายหมดแล้วครับ”    เขาพาผมเดินจากมา 

 

ดวงตาของผมเบิกกว้าง

 

เขาจะรู้จักผมจริงๆหรือแค่อำไฮโซสาวเล่นผมก็ไม่แน่ใจ แต่รอยยิ้มร้ายๆของเขาที่ส่งให้หญิงสาวกลับทำให้ใจของผมเต้นรัว

 

แย่แล้วแบบนี้แย่แน่ๆ

 

ผมต้องไปจากเฟอร์รารี่ผมต้องลาออกผมต้องลาออกนะ!!!

 

 

 

นายรู้จักฉันด้วยเหรอ?”    ผมหันไปถามเขาอย่างมึนงงหลังจากที่เขาดันหลังจนผมเข้ามาอยูในมอเตอร์โฮมสีแดงแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องใช้คำสุภาพกับเขาอีก เพราะเขาเด็กกว่าผมหลายปี

 

ก็หลังจากที่ผมหน้าแตกไปเมื่อเช้า หม่าม้าก็เล่าให้ฟังหมดแล้วครับว่าคุณเป็นใคร”    เขายิ้มเขินๆกับความเข้าใจผิดของตัวเอง

 

แชะ

 

เอ๊ะ?”    เสียงอุทานนั้นเป็นของเขาเพราะจู่ๆผมก็ยกกล้องขึ้นไปถ่ายรูปเขาเฉย

 

ผมถ่ายรอยยิ้มของเขาไว้โดยไม่ได้เล็งเลยสักนิด ตาผมยังมองอยู่ที่ใบหน้าของเขาด้วยซ้ำ

 

อ่ะนี่คือ…”    ผมได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่กอ้าปากพะงาบๆกับความโป๊ะของตัวเอง บ้าจริง มือมันไปเองเฉยเลย!

 

เปล่าๆ ผมไม่ได้จะว่าอะไร ผมเรียกคุณว่าพี่ได้ไหม?”    จู่ๆเขาก็ถามแบบงงๆ

 

“อ๋อ อื้อ”   และผมก็พยักหน้าอนุญาติแบบงงๆ

 

“พี่มีหน้าที่ถ่ายรูปของผมนี่ พี่ถ่ายไปเถอะ ถ้าเป็นพี่ผมอนุญาติ”   เขาหัวเราะขำๆกับท่าทางของผม

 

"เอ่อขอบคุณเรื่องเมื่อกี้ด้วยนะแล้วก็ผ้าเช็ดหน้าฉันจะใช้คืนให้"    ผมพูดโดยรู้สึกว่าสองแก้มร้อนผ่าว อายตัวเองยังไงก็ไม่รู้

 

"ไม่ต้องหรอกครับแต่เขากลับปฏิเสธพร้อมกับดึงผ้าเช็ดหน้าทั้งปึกที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาให้ดูว่ายังมีอีกเยอะ ที่ให้ผู้หญิงคนนั้นไปไม่ได้มีมูลค่าอะไรเลย

 

"ฮึ ฮ่าๆๆๆ จะพกไว้ทำไมเยอะแยะเนี่ย~ ทรงอย่างแบด ไม่คิดว่าจะเป็นสุภาพบุรุษนะนายเนี่ย คิก"    ผมถึงกับหัวเราะออกไปยกใหญ่เพราะไม่คิดว่าเขาจะพกของแบบนี้เลยจริงๆ ภาพลักษณ์ของหวังอี้คุนนั้นออกจะคูลๆเซอร์ๆดูเป็นแบดบอยหน่อยๆ แน่นอนว่ามันห่างไกลจากผ้าเช็ดหน้าในมือเยอะ

 

"....ไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรหรอกครับ….แค่อยู่กับคนที่มีเหตุต้องใช้จนเคยชินน่ะ"   เดี๋ยวก็ไอติมเลอะแก้มบ้าง เดี๋ยวไอ้นั่นหกใส่ไอ้นี่กระเด็นมาโดน เดี๋ยวหลับน้ำลายยืดบ้าง เดี๋ยวสงสารหมาข้างถนนจนร้องไห้บ้าง เดี๋ยวงอแงเอาแต่ใจ เดี๋ยวไอเดี๋ยวจาม เดี๋ยวคันตรงนู้นแพ้ตรงนี้….สารพัดจะวุ่นวายจนต้องคอยพกผ้าเช็ดหน้าเผื่อเป็นโหลไว้ให้เนี่ยใบหน้าของเขาบอกกับผมแบบนั้น และผมก็เดาได้ไม่ยากว่าคนคนนั้นเป็นใคร

 

เขามีน้องชายฝาแฝดที่น่ารักมากๆอยู่คนนึง และผมก็จะได้ถ่ายรูปของเด็กคนนั้นด้วยหากผมยังอยู่กับเฟอร์รารี่ต่อไปเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องหรอกที่ผมเสียดายตอนต้องยื่นใบลาออก

 

รูปนี้พี่ถ่ายใช่ไหมครับ?”   เสียงทุ้มที่ฟังดูร่าเริงเรียกให้ผมหันไปมอง เขายื่นหน้าจอมือถือมาให้ผมดู เป็นรูปที่ผมเพิ่งส่งให้แอดมินของทีมม้าลำพองและตอนนี้มันก็ลงอยู่ในไอจีของสครูเดอเลียเฟอร์รารี่เรียบร้อย

 

อ้อ อืม”   การที่เขามองผมตาเป็นประกายนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเขินจนหัวใจพองฟูเลยนะ

 

ว้าว! สวยสุดๆ”    ทำไมผมถึงรู้สึกดีใจที่ได้รับคำชมจากเขามากกว่าใครๆแบบนี้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

 

“ผมได้ยินจากหม่าม้าว่าพี่ชอบไปถ่ายรูปในธิเบต ครั้งหน้าผมขอไปด้วยได้ไหม? ผมขับรถให้ก็ได้ ผมขับได้หมดทั้งรถโฟว์วิลล์หรือมอเตอร์ไซค์วิบาก พวกสโนว์โมบิลผมก็ขับได้นะ ผมสู้กับหมีได้ด้วยนะ”    เขาพยายามบรรยายสรรพคุณของตัวเองเต็มที่เพื่อให้ผมพาไปด้วย ท่าทางเขาดูตื่นเต้นมากจนผมเผลอหลุดขำออกมา สู้กับหมีอะไรล่ะ ผมไม่ได้ไปถ่าย National Geographic เสียหน่อย

 

“เอ่อ...ทำไมถึงอยากไปด้วยล่ะ?”    คนส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบไปกับผมหรอก เพราะผมมัวแต่ถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ ไม่เคยถ่ายรูปตัวเองหรือคนที่ไปด้วยเลย

 

“ผมอยากลองไปในแบบที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งรถดูบ้างน่ะ พี่รู้ไหม การที่ผมเกิดและเติบโตมาในครอบครัวนักแข่ง มันทำให้การแข่งรถอยู่ในสายเลือดของผมจนบางทีผมก็แยกมันออกจากชีวิตประจำวันไม่ได้ เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆก็เลยไม่พ้นมีการแข่งรถเข้ามาเอี่ยวด้วยเสมอ ถ้าได้ลองไปกับพี่ มันน่าจะต่างออกไปและเป็นการผจญภัยจริงๆ”

 

ผมได้แต่มองหน้าเขาแล้วรับฟังเรื่องราวที่เขาพูดออกมา

 

ผมอาจจะเจอ...คนที่เข้ากันได้แล้วก็ได้...

 

ไม่รู้สิ...ผมคงต้องลอง...ไปกับเขาก่อนสักครั้ง...

 

“แลกกับให้ฉันถ่ายรูปนู้ดขาวดำของนายได้ไหมล่ะ? เอ๊ะ?”    ผมถึงกับยกมือตะครุบปิดปากแทบไม่ทัน เผลอพูดเรื่องน่าอายที่อยู่ในหัวออกไปได้ไงฟ๊ะ!!

 

“อ๊ะ! ไม่ใช่นะ เมื่อกี้คือสิ่งที่ชั้นคิด! ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกมานะ!    เออ! แล้วยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งดูแย่เข้าไปอี๊ก~

 

“..........”    เขาถึงกับนิ่งค้างมองผมอยู่ห้านาที

 

“อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ!!    ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมายกใหญ่ เอาเถอะ เขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้มีท่าทีขยะแขยงแล้วคิดว่าผมเป็นพวกโรคจิตก็พอแล้ว

 

ก็รูปร่างหน้าตาของเขามันน่าถ่ายนู้ดแบบศิลปะจริงๆนี่นา~ เชื่อสิว่าตากล้องทุกคนต้องคิดเหมือนผมแน่!

 

“พี่นี่ตลกจริงๆ ขำน้ำตาเล็ดเลยเนี่ย ฮ่าๆๆ”

 

“.......เอาเถอะ เชิญขำให้พอเลยเถอะ ฮืออออ...”    ผมแทบจะซบหน้าลงบนหัวเข่า อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

 

แต่เสียงทุ้มของเขากลับตอบออกมาหลังจากที่นิ่งมองผมอยู่นาน

 

“เอาสิ”

 

“หื๋อ?”

 

“จะถ่ายรูปนู้ดขาวดำของผมก็เอาสิ ผมอนุญาติ”

 

“เอ๊ะ.....”    ผมมองเขาอย่างอึ้งๆ ไม่คิดว่าเขาจะโอเค

 

“แค่พี่คนเดียว”

 

“...........”    ไม่รู้ทำไม สายตาที่เขาใช้มองผมถึงชวนให้ใจเต้นขนาดนี้ จนผมต้องเสสายตาหลบเพราะไม่กล้าสบตาของเขาตรงๆ

 

“อะ อื้อ ดีล...”

 

“ว่าแต่ เมื่อคืนทำไมถึงโดนพวกคนอันตรายนั่นไล่ล่าเอา? เกิดเรื่องอะไรกับพี่หรือเปล่า? บอสของเฟอร์รารี่รู้เรื่องนี้หรือยัง?”    เขาเปลี่ยนเรื่องมาถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

 

“ยัง...ฉัน...ยังไม่ได้บอกใคร...เพราะมันอันตรายอย่างที่นายว่าจริงๆนั่นแหละ ฉันไม่อยากทำให้คนที่นี่เดือดร้อน”   เพราะยังไงผมก็กำลังจะลาออก ก็ให้เรื่องนี้มันติดไปกับผมแค่คนเดียวพอ อีกฝ่ายเป็นคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะไปมีเรื่องด้วย ผมรู้ดี

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“.......”

 

“บอกผมมาเถอะ”    เขาไม่ได้รับปากอย่างขอไปทีว่าจะช่วยหรือให้คำมั่นสัญญาว่าจะต้องช่วยผมให้ได้ แต่เพราะแบบนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะบอกเขาทั้งที่ผมไม่เคยคิดจะเล่าให้ใครฟัง

 

“ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะบอกนายยังไงดี...”    เพราะมันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากจนเขาอาจจะคิดว่าผมโกหกก็ได้ แต่ทั้งหมดนี้คือความจริง

 

“เรื่องมันก็เริ่มจาก...เมื่อสองเดือนก่อน...ฉันไปถ่ายรูปที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของ UAE   ผมเริ่มเล่าและเขาก็ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“มันเป็นเมืองที่อยู่ติดกับแคว้นชาร์จาห์ หนึ่งในเจ็ดรัฐเจ้าผู้ครองนครของUAE ที่นั่นมีโอเอซิสที่แทบไม่มีใครรู้จักอยู่แห่งหนึ่ง...”

 

“ในหมู่ตากล้องต่างบอกกันปากต่อปากว่าสถานที่ลับแห่งนั้นสวยงามมาก สวยราวกับสรวงสวรรค์กลางทะเลทรายก็ไม่ปาน ฉันจึงอยากจะไปถ่ายรูปที่นั่นสักครั้ง”

 

“โดยที่ไม่เคยมีใครรู้เลยว่า มันเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับคนนอก เพราะมันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของชาวอาหรับมาตั้งแต่สมัยโบราณ และปัจจุบันนี้พวกชนชั้นสูงของแต่ละแคว้นก็ยังทำสืบต่อกันมาอยู่”

 

“ต้องถือว่าดวงของฉันมันซวยเอง ตากล้องที่เคยไปก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเจออะไร แต่ฉันดันแจ็คพอตไปในวันนั้นพอดี...”

 

“ฉันเดินฝ่าทะเลทรายไปจากหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด แล้วก็ได้เจอโอเอซิสที่ว่า...มันสวยสมกับคำร่ำลือจริงๆ ฉันรัวชัตเตอร์ไม่หยุดเลย”

 

“มันมีสระน้ำสีฟ้าใสที่กลมเกลี้ยงราวกับพระจันทร์อยู่ตรงกลาง มีต้นปาล์มล้อมรอบ ฉันเดินเข้าไปราวกับถูกความงดงามนั้นสะกดไว้”

 

“โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าฉันได้ไปทำลายพิธีถือน้ำศักดิ์สิทธ์ของแคว้นชาร์จาห์เข้า...เพราะพวกเขากำลังประกอบพิธีกรรมกันอยู่”

 

“ก็ฉันนึกว่าสิ่งที่ยืนอยู่กลางสระน้ำในโอเอซิสนั่นคือม้าเซนทอร์จริงๆนะ แต่กลับกลายเป็นว่านั่นคือท่านชีคแห่งชาร์จาห์ที่กำลังทำพิธีบวงสรวงพระเจ้าของเขาอยู่...”

 

“ก็ใครใช้ให้หมอนั่นถอดเสื้อล่ะ! ฉันสงสัยก็เลยลงไปดู...คิดดูสิ จะมีตากล้องสักกี่คนที่จะได้ถ่ายรูปม้าเซนทอร์เนี่ย”    หวังอี้คุนนั่งกลั้นขำจนไหล่สั่น คงจะคิดว่ายังมีคนบ้าที่เชื่อว่าเซนทอร์มีตัวตนจริงๆอยู่ในโลกด้วยงั้นสินะ? ผมก็ไม่เคยเชื่อแบบนั้นหรอก! จนได้เห็นเงาสะท้อนของผู้ชายคนนั้นในผืนน้ำ หุ่นที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่สวยงามซึ่งโผล่พ้นน้ำมาก็ชวนให้นึกถึงพวกเซนทอร์หล่อๆมากจริงๆอ่ะ!

 

“หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก มีคนที่ไม่รู้มาจากไหนวิ่งกรูเข้ามาจับตัวฉัน ฉันถูกจับไปสอบสวนและขังไว้ในวังชาร์จาห์อยู่เป็นอาทิตย์ จะปฏิเสธว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นก็ไม่ได้ในเมื่อยังมีรูปท่านชีคที่เปลือยท่อนบนในสระกลางโอเอซิสอยู่ในกล้องเป็นหลักฐานคามือ...” 

 

“พวกนั้นประชุมปรึกษาหารือกันอยู่นานมาก เรียกตัวฉันไปดูครั้งแล้วครั้งเล่า...ก่อนจะสรุปว่า เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายพิธี ต้องทำให้ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าชายผู้ที่ทำพิธีอยู่...นั่นก็คือ ฉันต้องแต่งงานกับชีคนั่น....”

 

“ห๊ะ?”    นั่นเป็นครั้งแรกที่หวังอี้คุนทำหน้าประหลาดใจ แหงละ ใครได้ฟังก็คงอ้าปากค้างไปตามๆกัน

 

ผมเองยังถึงกับช็อคไปเลยตอนที่รู้เรื่องนี้ ถึงผู้ชายคนนั้นจะหล่อมากแต่การที่จู่ๆก็จะให้ไปแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน กับคนไม่รู้จัก กับคนที่ไม่ได้รักกัน มันก็...

 

“ฉันละอยากจะรู้นักว่าพระเจ้าองค์ไหนบอกมา นี่มันบ้าไปแล้ว!    ผมถอนหายใจก่อนที่ดวงตาจะลุกเป็นไฟขึ้นอีกครั้ง

 

“แต่คนที่บ้ากว่าก็คือเจ้าชายนั่น”

 

“คนคนนั้น...ก็ถึงกับยอมทิ้งตำแหน่งมกุฎราชกุมารเพื่อแต่งงานกับฉันเลยนะ”   หวังอี้คุนถึงกับนิ่งไปก่อนจะมองหน้าผมตรงๆอยู่หลายนาที

 

“....พี่นี่ก็เป็นตัวปัญหาเหมือนกันแหะ”    เขาหลุดขำเบาๆ

 

“แล้วชั้นอยากเป็นรึไงเล่า?”     ผมแทบจะแยกเขี้ยวใส่ ไม่ใช่เขานะแต่เป็นท่านชีควายร้ายนั่นต่างหาก กว่าผมจะหนีจากผู้ชายหน้าตายคนนั้นมาได้ก็แทบแย่เลยนะ

 

“ดูจากสถานการณ์แล้วพี่ไม่รอดแน่”

 

“แถมอยู่ดีๆก็ลากผมไปเป็นศัตรูกับท่านชีคแห่งชาร์จาห์เฉย”    เขายังมีหน้ามายิ้มหยอกผม

 

“.....ขอโทษด้วยก็แล้วกัน”    ผมประชดงึมงำด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว

 

แล้วจู่ๆเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขายกยิ้มอย่างมั่นใจก่อนจะกระซิบที่ใบหูของผม

 

“แต่ผม...ไม่ได้กลัวหรอกนะ”    

 

ดวงตาของผมถึงกับเบิกกว้าง

 

ตึกตัก...ตึกตัก...หัวใจของผมเต้นแรงไปกับคำพูดของเขาจนแทบจะทะลุออกมาจากอก

 

“แล้วผมก็ถนัดรับมือกับพวกตัวปัญหาด้วย”  

 

เขายิ้มอยู่ที่ข้างแก้มผม เป็นรอยยิ้มร้ายๆแสนกระชากใจ เป็นรอยยิ้มของคนที่ไม่เคยเกรงกลัวอะไรในโลกใบนี้

 

“สิงโต...ต่อให้ยังเป็นแค่ลูกสิงโต...แต่ยังไงมันก็คือสิงโต”

 

“พี่คิดอย่างงั้นไหม?”

 

 

 

 

 

 

ผมจะคิดยังไงก็ไม่รู้แหละ แต่ดูเหมือนตอนนี้ความตั้งใจว่าจะลาออกของผมมันได้พังทลายไปเสียแล้ว

 

 

 

“..........”    คำพูดที่ควรจะเอื้อนเอ่ยออกไปกลับจุกอยู่ที่ลำคอ แต่เจ้าคนที่อยู่ปลายสายกลับหัวเราะอย่างรู้ทันและน่าหมั่นไส้มาก

 

เป็นไง? เปลี่ยนใจแล้วละสิ?”    ผมรู้ได้เลยว่าตอนนี้ใบหน้าหยิ่งทระนงของคุณครูเทโอ้คงกำลังยิ้มกริ่มอยู่แน่ๆ

 

มันน่าหมั่นไส้ยังไงไม่รู้นะครับ คำพูดของคุณเนี่ย”     ผมหรี่ตามองมู่ลี่ของโรงแรมที่ถูกดึงลงเพื่อกันแสงไฟหน้ารถที่สาดวิบวับของโมนาโกยามค่ำ

 

ฮึ ก็นายเป็นตากล้องมือหนึ่งของโลก ชั้นก็ต้องทำทุกวิถีทางที่จะรั้งนายไว้สิ

 

ผมไม่ใช่สักหน่อย…”

 

เอาน่า ถ้านายอยากจะไปถ่ายรูปที่มณฑลยูนนาน เดี๋ยวฉันให้ทีมพีอาร์เลือกซุปเปอร์คาร์สักคันไปให้นายถ่ายรูปที่นั่นก็ได้ นายบอกมาสิว่าอยากไปถ่ายรูปที่ไหน ฉันตามใจนายได้หมด แค่ถ่ายรูปรถให้ฉันก็พอ”    ซีอีโอปีศาจของค่ายม้าลำพองพยายามโน้มน้าวผมสุดกำลัง เป็นเรื่องจริงอย่างที่หวังอี้คุนบอกรถทุกคันของเฟอร์รารี่ที่มีลงโฆษณาตามสื่อต่างๆล้วนเป็นฝีมือการถ่ายภาพของผมทั้งนั้น

 

“........”    ผมพยายามทบทวนความคิดของตัวเอง แต่รอยยิ้มร้ายๆของหวังอี้คุนตอนที่ช่วยผมเอาไว้ก็ตีสิ่งที่อยู่ในหัวแตกไปหมด

 

แล้วก็หวังอี้คุนอาจจะได้เป็นนักขับของเฟอร์รารี่ในปีหน้าด้วยนะ นายสนใจไหมล่ะ? ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้ถ่ายรูปเขานายก็รู้ พ่อแม่ของเจ้าเด็กแฝดนั่นหวงจะตาย นอกจากตากล้องออฟฟิศเชียลแล้วก็ไม่อนุญาติให้ใครถ่ายรูปเจ้าเด็กตระกูลหวังอีก”   ถ้าจะพูดถึงขนาดนั้นละก็นะ

 

“....เฮ้อ….เข้าใจแล้วครับผมจะถ่ายรูปรถให้คุณ ตราบเท่าที่หวังอี้คุนยังอยู่เฟอร์รารี่ ตามนี้ครับ

 

นายคิดถูกแล้ว”    เหมือนได้ยินเสียงดีดนิ้วดังเป๊าะอยู่ที่ปลายสายเลย

 

เจ้าเด็กแฝดนั่นราวกับผลงานศิลปะเลยใช่ไหมล่ะ? ฮึๆๆ ฉันต้องไปหาทางล่อลวงให้เจ้าลูกกระต่ายอยู่กับเราให้ได้ ฮึๆๆ”    เป็นเสียงหัวเราะที่ชั่วร้ายจริงๆ สงสารก็แต่ตัวเองเนี่ยที่ต้องตกบ่วงของเจ้าปีศาจนั่น

 

เฮ้อเป็นไงเป็นกัน!



 

 

 



เช้าวันใหม่และวันนี้ก็เป็นวันแข่งขัน

 

หวังอี้คุนยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวตั้งแต่เช้าผมจึงทำได้แค่ทักทายเขาผ่านเลนส์กล้อง

 

ผมตั้งใจว่าจะขอบคุณเขาด้วยรูปถ่ายที่ดีที่สุด ผมตั้งใจว่าจะถ่ายรูปเขาตอนเข้าเส้นชัย ตั้งใจจะถ่ายรูป SF21 YIKUN ตอนอยู่ภายใต้ธงตาหมากรุก

 

เพราะงั้นวันนี้ผมจึงประจำอยู่ที่พิตเลนส์แทนที่จะออกไปอยู่ตามโค้งเหมือนทุกที

 

ผมถ่ายรูปตั้งแต่ตอนที่เขายังแต่งตัวอยู่ในพิต ถ่ายตอนเขารูดซิปชุดหมีสีแดงปิดไปยันคอ ถ่ายตอนเขาหยิบหมวกกันไฟขึ้นมาใส่ ถ่ายตอนเขาหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม ถ่ายตอนเขาก้าวขาลงรถ ถ่ายตอนทีมช่างช่วยกันคาดเข็มขัดนิรภัยให้เขา

 

ผมถ่ายรูปตั้งแต่ตอนที่เขาขับรถออกจากพิต ถ่ายตอนที่เขากลับเข้ามาประจำกริดสตาร์ท ถ่ายตอนที่เขายืนคุยกับวิศวกรของเขาที่ข้างแทรค ถ่ายตอนที่เซเลปมากมายพยายามจะเข้าไปขอถ่ายรูปกับเขา ถ่ายตอนที่เขาวิ่งไปร่วมพิธีเปิดและเคารพธงชาติ จนกระทั่งเขากลับมานั่งในรถอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวแข่ง ช่วงเวลานี้ผมจะไม่เข้าไปกวนเขาเพราะรู้ว่าเขาต้องใช้สมาธิ

 

ผมถ่ายรูปสัญญาณไฟสีแดงที่ค่อยๆติดขึ้นทีละดวง ถ่ายรูปควันที่เกิดจากความร้อนของยาง ถ่ายรูปแฟนๆบนอัฒจรรย์ที่มีสีหน้าลุ้นระทึก แล้วก็ถ่ายรูปรถทั้งหมดที่พุ่งออกไปเมื่อสัญญาณไฟดับลง!!

 

ผมถ่ายรูป SF21 YIKUN ที่พุ่งทะยานออกไป!  ผมถ่ายรูปรถของเขาที่กำลังขับปิดทางรถของมือหนึ่งอย่างคะชู คิโยมิตสึเพื่อเข้าโค้งแรก  ผมถ่ายรูปตอนที่เขาขึ้นนำได้สำเร็จ! 

 

นอกจากนี้ผมยังถ่ายรูปของวิศวกรคนหนึ่งที่พูดว่าปฏิกิริยาอัตโนมัติในการเหยียบคันเร่งของเขาไวที่สุดในสนามตอนนี้เลยก็ว่าได้   ผมถ่ายรูปทีมพิตครูของรถหมายเลข85ที่ต่างลุกขึ้นมาดีใจกันยกใหญ่

 

ไม่พอ... ผมยังถ่ายรูปตอนที่เขาขับนำทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆได้อีกต่างหาก!

 

ผมหันไปถ่ายรูปพิตฝั่งคะชู คิโยมิตสึที่กำลังยืนอ้าปากค้างกันเป็นแถว นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครกระตุกหนวดแมวแบบนี้

 

ผมถ่ายรูปที่คิโยะจังพยายามจะทวงตำแหน่งเบอร์หนึ่งคืน  ถ่ายรูปความไม่เป็นใจต่างๆนานาที่เกิดขึ้นกับเจ้าราสเบอร์รี่สีเพลิงคันนั้นด้วย ไม่ว่าจะรูปธงเหลืองที่เกิดจากอุบัติเหตุของทีมอื่น รูปรถของคะชูที่ไล่จี้เกือบทันแต่ต้องชะลอความเร็วลงเพราะธงนั่น

 

แล้วก็เพราะแซงคืนไม่ได้สักที ผมเลยได้ถ่ายรูปที่คิโยมิตสึเริ่มปล่อยให้หวังอี้คุนนำไปแล้วหันไปขับแบบถนอมยางแทน

 

มือที่ถือกล้องของผมชื้นเหงื่อ ผมไม่เคยลุ้นกับสิ่งที่อยู่ในเลนส์กล้องของผมขนาดนี้มาก่อน

 

ผมถ่ายรูปเอลวิน สมิธที่บอกว่าสนามนี้เขามีโอกาสสูงมากที่จะชนะ!

 

ผมถ่ายรูปรอบ21ที่เขายังนำอยู่

 

ผมถ่ายรูปรอบ35ที่เขาก็ยังนำอยู่

 

ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดีและเขาก็จะนำแบบนี้ไปจนจบ

 

แต่ฟอร์มูล่าวันนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ในพริบตา

 

ทุกอย่างกลับพลิกผันในรอบ42ซึ่งผมก็ถ่ายไว้เช่นกัน!

 

มีรถคันหนึ่งเสยกำแพงจนเซฟตี้คาร์ต้องออกมาวิ่ง ทีมจึงฉวยโอกาสนี้และตัดสินใจอย่างกะทันหันที่จะให้เขาเข้าพิตมาเปลี่ยนยาง!

 

ผมถ่ายรูปที่เขาเบรคหนักล้อล็อคจนควันขึ้นเพื่อให้ทันระยะที่จะเข้าพิตแบบกระชั้นชิด ผมถ่ายรูปที่รถของเขาบานไถลออกข้างทางเพราะเอาไม่อยู่

 

ผมถ่ายรูปรถของคะชูที่ขับตามมาติดๆต้องหักหลบแล้วเข้าพิตก่อนอย่างช่วยไม่ได้

 

ผมถ่ายรูปการเข้าพิตแบบดับเบิ้ลสแตค (Double stack) ซึ่งก็คือเข้าพิตต่อกันเพื่อไม่ให้เสียเวลาในรอบเซฟตี้คาร์

 

ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่จู่ๆรถของคะชูก็โผล่เข้ามาในพิตก่อนแทนที่จะเป็นรถของหวังอี้คุน ยางที่เตรียมไว้ให้หวังอี้คุนจึงถูกใส่ให้กับรถของคะชูไปด้วยความสับสน!

 

ผมถ่ายไว้ ยางของรถสองคันที่บังเอิญสลับกัน!  ถ่ายใบหน้าตกใจและความอลหม่านหลังจากรู้ว่ายางสลับกันของทีมพิตครูทั้งสองทีม

 

เพราะการเปลี่ยนยางนั้นใช้เวลาแค่สองวินาที ความผิดพลาดแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้เพราะทีมพิตครูเองก็ไม่ได้เห็นภาพทั้งสนามในขณะที่เตรียมเปลี่ยนยาง กว่าจะรู้ว่ารถของหวังอี้คุนเกิดอุบัติเหตุที่ปากทางเข้าพิตจนรถที่มาก่อนคือคะชู มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ทันแล้ว

 

และยางของรถแต่ละคันยังเอามาใช้ปนกันไม่ได้อีก ทั้งการเซตติ้งของรถที่มีผลต่อลมและความดันภายในยางที่ไม่เหมือนกัน ทั้งกฎการใช้ยางที่เคร่งครัดของกรรมการที่บังคับไว้ว่ารถแต่ละคันจะใช้ยางได้แค่13เซตของใครของมันเท่านั้นตลอดสัปดาห์การแข่งขัน ทีมวิศวกรถึงกับต้องวางแผนการใช้ยางแต่ละเซตนับเป็นรอบเลยด้วยซ้ำ

 

Box Box Box!  ผมถ่ายคุณเอเลนและคุณฮันซี่ที่ต่างตะโกนคำนี้พร้อมกระโดดเหยงๆกันอยู่ในพิตวอลล์

 

ถ่ายทีมพิตครูกว่าครึ่งร้อยชีวิตที่วิ่งวุ่นกันอีกรอบ  ถ่ายสีหน้าตื่นตระหนกของทีมวิศวกรที่อยู่หลังจอมอนิเตอร์ยาวเหยียด ถ่ายใบหน้าเคร่งเครียดของเหล่าหัวกะทิของทีมที่กำลังคำนวณรอบยางอย่างรวดเร็วว่าจะยังให้ใช้ยางมีเดี้ยมแบบเดิมอยู่ไหมหรือจะเปลี่ยนไปใช้ยางฮาร์ดเลย มียางเซตใหม่ไหม ถ้าไม่มีแล้วยางเก่าเคยใช้ไปแล้วกี่รอบ ทุกอย่างล้วนมีผลต่อการแข่งทั้งนั้น

 

และผมก็ได้ถ่ายทีมบอสผู้มั่นใจในชัยชนะที่กำลังยกมือขึ้นมากุมขมับ

 

แต่ผมไม่ได้ถ่าย...ตอนที่รถของเขากลับเข้าพิตมาอีกรอบเพื่อเปลี่ยนยางให้ถูกต้อง...แล้วกลับออกไปในอันดับที่ร่วงลงมาถึงที่12...

 

ในใจของเขาตอนนี้จะเป็นยังไงกันนะ...

 

ทั้งๆที่เห็นแล้วว่าชัยชนะกำลังมารออยู่ตรงหน้า ทั้งๆที่กำลังจะคว้าเอามาได้แล้ว...ชัยชนะครั้งแรกของเขากับรถF1 กับทีมเฟอร์รารี่ที่เขาใฝ่ฝัน

 

แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลงไปทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย...

 

ผมไม่กล้าถ่ายใบหน้าของหม่าม้าเขาที่กำลังกุมสองมืออย่างเป็นห่วง ไม่กล้าถ่ายความเงียบงันของคนทั้งพิตที่ดูจะผิดหวังและต่างก็ถอดใจแล้ว

 

เหลืออีกแค่ 20 รอบ กับสนามที่แซงยากที่สุดในปฏิทิน...

 

ดูก็รู้ว่าเขาไม่มีทางกลับขึ้นมาในอันดับหนึ่งได้อีก แค่โพเดี้ยมสามอันดับยังยากมากเลย

 

เหตุการณ์แบบนี้...เราโทษใครไม่ได้เลยจริงๆ การตัดสินใจมันเกิดขึ้นในชั่ววินาที และมันก็เป็นคุณสมบัติของทีมแข่งรถF1ที่ต้องตัดสินใจให้เร็วแบบนี้  พวกเราจึงต้องยอมรับความเสี่ยงไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ดี

 

แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้

 

ทั้งหวังอี้คุน ทั้งคะชู คิโยมิตสึ ต่างก็ยังทำหน้าที่ของตนอย่างมุ่งมั่น

 

ต่อให้คนทั้งทีมจะถอดใจกันไปแล้ว แต่นักขับจะต้องเป็นคนสุดท้ายที่คิดแบบนั้น จะต้องเป็นคนผลักดันทีมจนถึงที่สุด จะต้องจุดไฟให้ทีมขึ้นมาอีกครั้ง

 

เขากำลังพยายามอยู่ผมรู้

 

แชะ!

 

และผมก็ไม่อยากจะยอมแพ้ในตัวเขาเช่นกัน!

 

ทั้งสองคนพยายามไล่แซงเอาตำแหน่งคืนมา ถึงแม้จะเลือดตาแทบกระเด็น แต่เขาได้แสดงให้เห็นถึงเทคนิคการขับที่เยี่ยมยอดจนคนดูต่างตะลึงกันเป็นแถบๆ

 

ตอนที่เขาขับนำอยู่หลายคนก็พูดกันไปว่าเขาชนะได้เพราะรถ  แต่ในตอนนี้ทุกคนต้องยอมรับแล้วว่าเขามีฝีมือจริงๆ

 

แรงเชียร์จากคนทั้งสนามต่างเทไปที่เขา

 

เขาขยับขึ้นจากที่12มา11

 

มาที่10 มาที่9...

 

เขาไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมเลยจริงๆ

 

และความสู้ไม่ถอยของเขาก็เรียกขวัญและกำลังใจให้กลับคืนมาที่พิตสีแดงด้วยเช่นกัน ต่อให้จะขึ้นถึงโพเดี้ยมไม่ไหวแต่ทุกคนก็ลุ้นให้เขาเก็บแต้มให้ได้มากที่สุด

 

ตอนนี้เขาขึ้นมาถึงที่ 7แล้ว

 

ผมยังคงถ่ายรูปเขาต่อไปเรื่อยๆ

 

....ต่อให้ยังเป็นแค่ลูกสิงโต...แต่ยังไงมันก็คือสิงโต...สินะ...

 

ผมรอดูเลย...วันที่เขาจะเป็นสิงโตเต็มวัย เขาจะต้องเป็นราชสีห์ที่ยิ่งใหญ่ในป่าความเร็วแห่งนี้แน่ๆ

 

หัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ไม่กลัวอะไรของเขานั้นมันคือที่สุดมากจริงๆ

 

การแข่งขันจบลงในรอบที่ 78...

 

เขาขึ้นมาถึงที่ 5...

 

อย่างน้อยก็เป็นอันดับที่ดีที่สุดในปีนี้ของเขา

 

มีแต่คนเสียดายที่เขาไม่ได้แชมป์สนามนี้ทั้งที่ฝีมือถึงแท้ๆ

 

แต่การต่อสู้ของเขา...ก็จะส่งผลต่อตัวเขาเองอย่างแน่นอน...ไม่ว่าจะทีมใหญ่ๆที่หันมาสนใจในตัวเขา อยากคว้าเขาเข้าร่วมทีม ไม่ว่าจะแฟนๆที่ได้ใจกันไปเต็มๆ

 

อนาคตของเขานั้นยังอีกยาวไกล

 

และผมก็พร้อมที่จะสนับสนุนเขาไปจนสุดปลายถนนเส้นนี้เช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

เขากลับมาที่พิตพร้อมกับแสดงความเสียใจกับลูกทีมที่ไม่สามารถจะคว้าชัยชนะมาให้ได้ ทุกคนต่างตบไหล่เขา ขอโทษเขาเช่นกันที่ทำให้เขาขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโพเดี้ยมไม่ได้

 

แต่นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น และไฟที่อยากจะเอาชนะก็กำลังลุกโชน

 

ทุกคนในพิตต่างอยากจะทำให้เขาชนะ อยากทำให้เขาเป็นที่หนึ่ง

 

เขาไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เขาพยายามเก็บแววตาเศร้าหมองเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มบางๆที่ส่งให้กำลังใจทุกคนในทีม

 

ผมอยากจะเข้าไปกอดเขา ปลอบใจเขา แต่ผมยังไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์จะทำแบบนั้นได้

 

ผมจึงต้องปล่อยให้เขาได้อยู่กับคนที่มีสิทธิ์ปลอบโยนเขาตามลำพัง

 

ผมยืนพิงผนังพิตเอาไว้ เขากับหม่าม้าของเขาอยู่ในห้องประชุมด้านหลัง

 

อยู่กับคนในครอบครัว ไม่ต้องทำตัวเข้มแข็งหรอก   เสียงนุ่มเอ่ยออกมาก่อนจะดึงหัวสีน้ำตาลยุ่งๆของเขาไปกอด

 

หม่าม้า….”    สองมือของเขากำชายเสื้อของแม่ราวกับเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง เขาแสดงออกว่าผิดหวัง แสดงออกว่าเศร้า เขาซบไหล่แม่ของเขาไว้แบบนั้น

 

ต่อให้จะเป็นวันที่ดีหรือวันที่ผิดหวัง หม่าม้า ปะป๊า อาเฟย ก็จะอยู่กับอี้คุนเสมอนะ   เสียงนุ่มเอ่ยอย่างปลอบโยน

 

“....ครับ…”   หม่าม้าของเขาปล่อยให้ซบไหล่ ไม่ผลักไสจนกว่าเขาจะยอมถอยไปเองเมื่อสบายใจขึ้น จะให้ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อลูกอีกนานแค่ไหนก็ได้ 

 

เส้นทางของลูกกับเฟอร์รารี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ทุกคนก็เห็นฝีมือของลูกแล้ว ถึงวันนี้จะเป็นวันที่น่าผิดหวัง แต่ลูกก็ต้องเดินหน้าต่อไป การแข่งขันมันก็แบบนี้แหละ มีวันที่แพ้ก็ต้องมีวันที่ชนะ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะอดทนรอพบมันได้หรือเปล่า

 

ผมยังคงยืนพิงผนังอยู่ตรงนั้น...

 

ส่งกำลังใจของผมไปให้เขาเช่นกัน...

 

ถึงเขาจะไม่ได้รับรู้ถึงมันเลยก็ตาม

 

 

.

.

.

.

.

 

 

ร่างสูงยาวของหวังอี้คุนนอนแผ่หลาอยู่กลางเตียง เขากลับโรงแรมมาก่อนลูกทีมคนอื่นๆเพราะผลการแข่งขันที่น่าผิดหวังทำให้เขาไม่มีกระจิตกระใจจะอยู่ที่สนามต่อไป

 

ใบหน้าหล่อเหลาเงยมองเพดานอย่างว่างเปล่า ถึงเขาจะเคยแพ้มาก็มาก แต่มันก็ไม่เคยผิดหวังขนาดนี้มาก่อน...ครั้งแรกของเขากับเฟอร์รารี่ดันพังไม่เป็นท่าแบบนี้...

 

ติ๊ง!

 

เสียงจากโทรศัพท์ทำให้ปลายนิ้วสไลด์หน้าจอดูผ่านๆ แต่แล้วข้อความที่ได้รับมาก็ทำให้ร่างสูงสง่าเด้งผึงออกจากเตียง

 

สองขาวิ่งออกมาจากห้องก่อนจะตรงดิ่งไปที่ลานจอดรถ  Ferrari SF90 Stradaleถูกเขาขับออกไป เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้วขอแค่ไปถึงที่นั่นให้ไวที่สุดก็พอ

 

เจ้าม้าสีเพลิงวิ่งราวกับพายุเข้าไปในสนามบินเมืองนีซ

 

เอี๊ยดดด!!

 

มันจอดเสียงดังสนั่นอยู่ที่ดร๊อปออฟชั้นขาเข้าของสนามบิน เขาวิ่งออกจากรถอย่างไม่สนใจที่จะล็อคหรือจอดให้ดีกว่านี้

 

สองขาวิ่งไปหาคนที่ยืนทำหน้าเหรอหรามึนงงรอเขาอยู่ที่ประตูทางออก

 

“อ๊ะ! อี้คุน!    มือบางยกโบกให้เขา

 

เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว สมองสั่งแค่ว่าให้วิ่งต่อไป หัวใจสั่งแค่ว่าให้คว้าตัวอาเฟยมากอดไว้

 

และแค่เห็นหน้าเจ้าลูกกระต่าย...เขื่อนน้ำตาแห่งความผิดหวังก็พังทลายลงทันที

 

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีน้ำตาสักหยด ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะไม่ร้องไห้แต่ก็ห้ามไม่ไหว เขาจึงกดใบหน้าลงบนไหล่อาเฟยแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลไห้ออกมา

 

ต่อหน้าผู้คนมากมายเขายังคงทำเป็นเข้มแข็งได้ คงจะมีแค่ตรงนี้ที่เขาจะสามารถแสดงความอ่อนแอออกมา

 

เขาเสียใจ เขาผิดหวัง เขาเศร้า และเขาเพิ่งรู้ว่าเขารู้สึกแย่กว่าที่ตัวเองคิดไว้มากก็ต่อเมื่อได้เห็นข้อความจากอาเฟยว่าเจ้าลูกกระต่ายมาหาเขาและตอนนี้อยู่ที่สนามบินเมืองนีซแล้ว

 

ยิ่งเขารีบร้อนมาหาอาเฟยเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ได้เลยว่าเขาเสียใจมากจนอยากจะให้ใครสักคนกอดเขา ปลอบเขา

 

และเจ้าลูกกระต่ายก็มาหาเขาทันทีที่รู้ว่าเขาแพ้

 

“อึก...”    เขากดใบหน้าลงไปบนไหล่บอบบางเพื่อไม่ให้ใครเห็นน้ำตาของเขา สองแขนยิ่งกอดร่างโปร่งแน่นจนมือบางต้องยกขึ้นมาลูบหัวเขาอย่างปลอบโยน

 

หลายต่อหลายนาทีกว่าเขาจะสงบลง...ตอนนี้...เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างได้ระบายออกไปแล้วจริงๆ เขาทิ้งความเสียใจเอาไว้บนไหล่ที่ชุ่มโชกนั่น

 

และเขาพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่แล้ว

 

“โอ๋ๆไม่ร้องนะ โอ๋ๆ”    เขายิ้มทั้งน้ำตาเมื่อได้ยินคำปลอบโยนที่เหมือนกับเด็กนั่น เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย ไม่เคยจะปลอบแบบใช้คำพูดสวยหรูอะไรกับใครเค้า

 

“ยังไงนายก็เก่งที่สุด พี่ชายของฉัน”     ถึงจะฟังดูง๊องแง๊งแบบนี้ แต่กลับทำให้เขายิ้มออกมาได้

 

“คราวหน้าฉันคงต้องทำสร้อยหินเสริมดวงให้นายแล้วละอี้คุน ดีไหม?”    ดีอะไรเล่า ไม่เอาหินสีฟ้าม่วงชมพูแล้วนะ!

 

เขาละใบหน้าออกมาส่งกระแสไฟฟ้าใส่เจ้าลูกกระต่ายทั้งที่มือยังกอดเอวบางไว้

 

“อี้คุน ไม่เป็นไรนะ”    เขาเพิ่งรู้ว่าปะป๊าก็มาด้วย คงจะเป็นห่วงเขา ฝ่ามือที่อุ้มชูเขามาตลอดข้างนั้นลูบหัวเขาเบาๆ

 

ไม่ว่าเขาจะเป็นคูลกายสำหรับใครแค่ไหน แต่พออยู่กับคนที่บ้านเขาก็ยังเป็นลูกสิงโตของปะป๊าไม่เปลี่ยน

 

“วันนี้ก็นอนพักเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านกัน”   ปะป๊ายิ้มให้ ส่วนเจ้าลูกกระต่ายนั้น...

 

“เอ๊ะ? จะกลับเลยเหรอ? เฟยนึกว่าเราจะอยู่เที่ยวกันอีกซักสองสามวัน ต้องปลอบใจอี้คุนด้วยเนี่ย”    ตกลงว่าอยากมาปลอบใจเขาหรืออยากมาเที่ยวกันแน่เนี่ยเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย

 

“อื้อ จะอยู่เที่ยวต่อปะป๊าก็ไม่ว่าหรอก เพราะอยู่กับเฟยเฟยสองคนแล้วปะป๊าเหนื่อยมากกกก”    เขาถึงกับหลุดขำ เห็นใบหน้าซูบเซียวของปะป๊าก็พอจะเดาได้แล้วว่าเจ้าตัววุ่นวายประจำบ้านก่อเรื่องไว้มากขนาดไหน

 

“งื้อ! เหนื่อยอะไรกัน? เฟยไม่ทันจะได้ทำอะไรซักหน่อย!    แล้วก็เถียงด้วยนะ

 

“........”    ปะป๊าถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

และเพราะว่าปะป๊ามา เขาจึงต้องถูกอัพเปหิออกมาจากห้องแล้วไปอยู่ห้องใหม่กับเจ้าตัววุ่นวายสองคน

 

"หง่ะ"

 

"อะไร? ก่อเรื่องอะไรไว้อีกล่ะเจ้าตัววุ่นวาย?"

 

"ไม่ได้ก่อ~ แต่ลืมเอาชุดนอนมาอ่ะ"   เขาทอดสายตามองอย่างละเหี่ยใจ...เริ่มแล้วสินะ... เอาเถอะ ปกติก็ไม่เคยเก็บกระเป๋าเดินทางเองอยู่แล้วนี่นะ แค่หยิบกกน.มาครบนี่ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว

 

"ยืมของนายหน่อยสิ"   เจ้าลูกกระต่ายหันมามองชุดนอนเสื้อยืดคอกว้างกับกางเกงขายาวที่อยู่ในมือเขา

 

"ชั้นก็เหลือแค่ชุดนี้ที่ยังไม่ได้ใส่"   พูดไปขนาดนี้แต่เจ้าลูกกระต่ายวายร้ายก็ยังแบมือจะเอาหน้าตาเฉย...

 

"นายนอนโป๊ๆไปก็ได้นี่ ปกติก็ไม่ใส่อะไรนอนอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?"   

 

"อยู่บ้านรึไงเล่า เกิดใครพรวดพราดเข้ามาจะทำไง?"   ทำไมต้องมาแย่งชุดนอนกับเจ้าตัวดีนี่ด้วยเนี่ยทั้งๆที่เป็นเสื้อผ้าของเขาแท้ๆ!

 

"งื้อ...หม่าม้าจะเอามาเผื่อรึเปล่านะดึกแล้ว ไม่อยากไปกวนแล้วด้วยอ่ะ..."   เจ้าลูกกระต่ายหันไปบ่นงึมงำทำหน้าเศร้ากับกระเป๋าเดินทางที่แทบจะว่างโล่ง 

 

"เฮ้อ…"   ใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจก่อนจะยอมวางชุดนอนของตัวเองลงไปบนหัวคนที่นั่งเง้างอดอยู่บนพื้น

 

"เอาไป จบไหม?"   ใบหน้ามนระรื่นขึ้นมาทันทีที่เขายอมตามใจ วุ่นวายไม่มีใครจะเกินจริงๆ ไม่รู้มาปลอบใจเขาหรือแค่เอาความวุ่นวายมาให้เขาปวดหัวเล่นจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นกันแน่

 

“งั้นชั้นไปอาบน้ำก่อนนะ ขอใช้สบู่แชมพูยาสีฟันของนายด้วยนะ”    เจ้าลูกกระต่ายวิ่งร่าเข้าห้องน้ำไป

 

“เอาแปรงสีฟันมารึเปล่า?”    เขาตะโกนไล่หลังอย่างกังวล

 

“ไม่ได้เอามาอ่ะ”    ว่าแล้วเชียว

 

“ใช้ของโรงแรมที่อยู่ในกระเป๋าใต้ซิงค์ซะ”    นี่เขามีน้องชายฝาแฝดหรือมีลูกกันแน่เนี่ย? หวังอี้หยางแน่ใจแล้วนะว่าจะเอาเจ้าตัวแบบนี้ไปเป็นเจ้าสาวน่ะ?

 

“อื้อ~    เจ้าลูกกระต่ายฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี จริงๆเล้ย~


มือใหญ่เปิดประตูระเบียงออกไปก่อนจะเท้าแขนเพื่อยืนรับลม มีคนส่งข้อความปลอบใจเขามามากมาย แต่เขาเพิ่งจะได้รู้สึกว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว” เอาก็ตอนนี้แหละ

 

จะว่าไป...ก็ไม่ได้เจอพี่ตากล้องตั้งแต่แข่งจบเลยแหะ แต่เขาไม่รีบหรอก เพราะยังไงก็จะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน

 

ดวงตาคมกล้าหลับตาลงก่อนจะเงยหน้ารับลม

 

ใช่แล้ว...ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...

 

และเขาจะไม่มีวันยอมแพ้ ต่อให้อุปสรรคจะยากเย็นแค่ไหน เขาก็จะคว้าสิ่งที่ต้องการมาให้ได้

 

 

รอดูเลยก็แล้วกัน

 

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

520 km/hr.

FIN.

 

กราบขอประทานอภัยกับความหายไปครึ่งค่อนปีนี้ แถมมาทั้งทียังไม่ใช่ตอนที่ทุกคนรอคอยกันอี๊กกกก m(_ _)m กราบบบบ

 

กะก็...นี่ไง เอาตอนกรุบๆของอี้คุนมาลงเอาฤกษ์เอาชัยว่า GLIDE จะกลับมาต่อแล้วนะไรงี้ไงงง /หลบไห  คือพยายามจะกลับมาแต่งต่อตั้งแต่คุมเลขาเย่วมา ตั้งแต่พี่จ้านลุคน้องเฟยไปอิตาลี จนมาถึงหวังอี้ป๋อในชุดนักแข่งของEVISUล่าสุดนี้ คือเวลาเห็นใครเม้นต์ทวงมาเราก็สะท้านสะเทือนอยู่นะ5555 เลิ่กลั่กลนลานจนแอบๆมาปั่นอยู่เรื่อยๆ แต่อีกฝั่งก็หนักจริงๆ คุณชายฟูจิวาระ ชูนี่เล่นงานตูหนักมากจริงๆข่ะ จิกหัวกลับประเทดเกาะอย่างไร้ปรานีมากๆเลยข่ะ5555

 

ส่วนเรื่องราวของหวังอี้คุนนี้เราก็จะไม่ได้เขียนต่อแล้วนาคะ ทิ้งไว้ให้รีดไปจินตนาการกันเองว่าเขาจะมีคู่ไหม? จะใช่สามคนที่มีการพูดถึงหรือไม่ หรือจะเป็นใครอื่นอีก /รีดบอก มาให้ตูเหยียบก่อนเถอะนังไรท์ หายไปอย่างนาน กลับมานอกจากจะให้ลูกสิงโตแพ้แล้วยังจะทิ้งปริศนาอักษรไขว้ให้ตูแก้เองอีกเร๊อะ?! 5555

 

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดในสนามของตอนนี้ ถ้าใครดูF1อาจจะรู้สึกคุ้นๆกับเหตุการณ์นี้ ^ ^ ใช่แล้วค่ะ นี่เป็นเรื่องราวของนุ้งจอร์จ รัสเซล ตอนที่น้องยังอยู่ทีมวิลเลี่ยมแล้วต้องไปขับแทนพี่แฮมของทีมเมอร์ซิเดสที่ป่วยน่าจะโควิดมั้ง แล้วเหตุการณ์ในสนามก็คล้ายๆในเรื่องนี่เลยค่ะ ตอนดูนี่เสียดายแทนน้องมาก ขับดีอะไรดีสุดๆ แต่ไปพลาดที่พิต เลยไม่ได้แชมป์สนามนั้นเลย ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่นักขับหรือรถ แต่ทุกคนในทีมมีความสำคัญทั้งหมด แค่พลาดไปเสี้ยววินาทีทุกอย่างก็เปลี่ยนได้เลย

 

ส่วนเจ้าลูกสิงโตก็ไม่ต้องเสียใจไป หลังจากนี้จะเห็นได้จากตอนที่เฟยเฟยไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากนี้อีกปีสองปี อี้คุนกลายเป็นนักขับตัวจริงของเฟอร์รารี่ไปแล้วและอยู่ในตำแหน่งที่ลุ้นแชมป์โลกด้วย!

 

แล้วก็ ใครที่สงสัยว่าดับเบิ้ลสแตคเป็นยังไง เรามีคลิปให้ดูค่ะ อิๆๆ

 

Mercedes' Double Pit Stop Masterclass | 2019 Chinese Grand Prix


ส่วนใหญ่แล้วทีมจะใช้การเปลี่ยนยางซ้อนแบบนี้ในรอบที่มีเซฟตี้คาร์ค่ะ เพราะจะทำให้อันดับของรถทั้งสองคันแทบไม่ตก ไม่เสียเวลา

 

มุมมองในฟิคตอนนี้อาจจะไม่คุ้น ขนาดคนเขียนเองก็ยังเขียนไปหลุดไป เดี๋ยวผมเดี๋ยวเขา555 ก็อยากจะลองเขียนมุมมองการเล่าเรื่องเป็นมุมของตากล้องในสนามกันบ้างจะได้ไม่เบื่อกันเนอะ จริงๆบุคลากรในทีมแข่งF1นี่มีแต่ระดับตัวท็อปทั้งนั้นเลย ตากล้องแต่ละทีมก็ถ่ายรูปกันสวยมว๊ากกกก ขนาดเชฟของแต่ละทีมยังเป็นระดับมิชลินเลยอ่ะ เชฟอาหารญี่ปุ่นของน้องยูกิที่พิตอัลฟ่าทอร์รี่นี่มิชลินสองดาวเลยนะ 5555

 

ขอบคุณที่รอคอยกันมาอย่างยาวนาน ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันเสมอ ขอบคุณที่คอยทวงคอยถามไถ่นะคะ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทด้วยน้า ^ ^ แล้วเจอกันตอนหน้า จะรีบไปพาอาเฟยมาพบอุนยายทั้งหลายนาคะ แหะๆๆ

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น