Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 23 : END

 Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato]   หรือรักเรียกหา : 23 : END

 

: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction 

: Fujiwara Shuu x Narumiya Minato

: Warmhearted

: NC-17

  

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ    

 

 

 

ร่างโปร่งบางของนารุมิยะ มินาโตะกำลังเดินเข้าไปในศูนย์กีฬาแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนบางตา ที่นี่มีอาคารที่เป็นสนามของกีฬาในร่มมากมายหลากหลายประเภท ทั้งบาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล แบดมินตัน ฯลฯ

 

วันนี้เขาแต่งตัวไปรเวทโดยสวมเสื้อฮู้ดสีเขียวกับกางเกงขายาวสีดำเพราะเขาไม่ได้มาร่วมการแข่งขันใดๆ ทั้งยังเป็นบ่ายวันเสาร์ที่เขาควรจะหยุดอยู่บ้านอีกต่างหาก

 

ใบหน้ามนเงยมองอาคารโรงยิมที่ใช้สำหรับแข่งบาสเกตบอลก่อนจะเดินเข้าไป จริงอยู่ที่บนไหล่เขายังสะพายกระเป๋าใส่คันธนูแต่คนที่มีการแข่งขันในวันนี้กลับไม่ใช่เขา

 

เป็นเจ้าพวกนั้นต่างหาก

 

เฮ้! นารุมิยะมาแล้วเหรอ ทางนี้ๆ”    ดวงตาสีเขียวมองกลุ่มคนที่โบกไม้โบกมือให้เขาอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามบาส สองขาจึงเดินเข้าไปหา

 

ทำไมเขาถึงมาที่นี่น่ะเหรอ?

 

นั่นสิ เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน?

 

 

 

เขาไม่ได้รู้จักเจ้าพวกยักษ์ที่สูงเกิน180ซม.พวกนั้นเป็นการส่วนตัวเลยสักคน ไม่ได้เรียนห้องเดียวกันหรือห้องติดกันด้วยซ้ำ

 

แต่เป็นเพราะเมื่อวานนี้ตอนที่เขาแยกกับเพื่อนๆในชมรมยิงธนูเพื่อที่จะไปเอาจักรยานแล้วกลับบ้านจู่ๆเขาก็โดนเจ้าเสาไฟฟ้าพวกนั้นมาล้อมเอาไว้

 

ในใจนี่คิดว่าคงโดนหาเรื่องเข้าให้แล้ว~ แต่กลับกลายเป็นว่า

 

นารุมิยะ! ขอร้องละ พรุ่งนี้ช่วยไปดูพวกเราแข่งที!”    เจ้าพวกนั้นพร้อมใจกันพนมมือและก้มหัวขอร้องเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

ห๊ะ?   เขาได้แต่อุทานอย่างงุนงงอยู่ในใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน?

 

อ๊ะ นายอย่าเพิ่งตกใจกลัว พวกเราไม่ใช่คนน่าสงสัย ฉันคือกัปตันและนี่ก็คือสมาชิกของชมรมบาสเกตบอลทั้งหมด”    หนึ่งในนั้นเริ่มอธิบายให้เขาฟัง

 

พอดีฉันเรียนห้องเดียวกับนานาโอะน่ะ  คิซารางิ นานาโอะ"   อ่อเพื่อนร่วมห้องของนานาโอะนี่เอง 

 

"ก็การที่ชมรมยิงธนูของพวกนายไปชนะการแข่งระดับจังหวัดได้ทั้งๆที่เพิ่งก่อตั้งชมรมแถมสมาชิกตัวจริงยังเป็นปีหนึ่งทั้งหมดมันเป็นเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโรงเรียนเลยใช่ไหมล่ะ ฉันก็เลยไปถามนานาโอะน่ะว่าทำยังไงพวกนายถึงได้เก่งกันนัก นอกจากการฝึกซ้อมแล้วพวกนายยังมีเคล็ดลับอะไรอีกหรือเปล่า”   

 

แล้วนานาโอะก็บอกกับฉันว่า…”    ผู้ชายตรงหน้าหันซ้ายแลขวาราวกับเรื่องนี้เป็นความลับก่อนจะเข้ามาป้องปากกระซิบบอกเขาใกล้ๆว่า

 

ถ้าอยากจะยิงธนูเก่งๆละก็ให้ไปขอลูบหน้าผากนายน่ะ นารุมิยะ”   ห๊ะ? ห๋า???? ลูบหน้าผากเขาเนี่ยนะ?!

 

มือบางสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าผากตัวเองด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ ไม่ใช่แล้ว!

 

นั่นแหละ ฉันก็เลยคิดว่านายน่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชมรมยิงธนูสินะ พวกฉันไม่ได้อยากจะยิงธนูเก่งเลยไม่จำเป็นต้องขอลูบหน้าผากนาย แต่พวกฉันแค่อยากชนะการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เพราะงั้นแค่นายไปนั่งอยู่ข้างๆสนามกับพวกเราก็น่าจะพอแล้ว”    เดี๋ยวเดี๋ยวก่อนนี่พวกนายเชื่อที่นานาโอะบอกด้วยเหรอ?! ฟังดูก็รู้ว่ากุเรื่องขึ้นมาหลอกอำขำๆชัดๆอ่ะ เขาได้แต่ทำหน้าเหวอทั้งๆที่อีกฝ่ายดูเชื่อกันจริงจังไปแล้ว

 

นะ! ขอร้องละนารุมิยะ! การแข่งพรุ่งนี้สำคัญกับพวกฉันมากจริงๆ! ถ้าแพ้พวกเราก็จะตกรอบคัดเลือกและไม่ได้เข้าแข่งระดับจังหวัด”     คนตรงหน้าพนมมือขอร้องหน้านิ่วคิ้วขมวดจนเขาไม่รู้จะทำยังไง จะปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายไปหน่อยเพราะใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความร้อนลนของคนที่อยากให้ทีมชนะการแข่งขัน เขาเองก็ผ่านมันมาแล้ว

 

เอ่อถ้าแค่ไปดูก็ได้อยู่หรอกแต่ว่าฉันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างที่นายคิดหรอกนะ นายโดนนานาโอะหลอกเอาแล้วละ ฉันไม่สามารถช่วยให้พวกนายชนะได้หรอกนะ”    เสียงนุ่มพูดออกไปตรงๆ แต่เสียงของเขากลับทำให้เจ้าพวกนี้ทำหน้าเคลิ้มอย่างกับได้รับการโปรดจากพระเจ้า….ได้ฟังที่เขาพูดบ้างไหมเนี่ย?

 

ตกลงนายจะมาดูพวกเราแข่งสินะ! ขอบใจมากนะนารุมิยะ!”    คุณกัปตันชมรมบาสจับมือเขาอย่างขอบอกขอบใจ เขาก็เข้าใจได้อยู่หรอก การแข่งขันบางทีมันก็ต้องพึ่งดวงด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นพวกเขาจึงทำกันทุกวิถีทางทั้งฝึกซ้อมและไปขอพรจากเทพเจ้า เอามันทั้งสายวิทย์และสายมูนี่แหละ

 

นั่นแหละสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลที่เขามายืนงงๆอยู่ในดงร่างสูงใหญ่เหมือนเสาไฟที่สวมใส่ชุดบาสสีเขียวของคาเซไมพวกนี้

 

 

 

มาๆ มานี่สิ นายนั่งอยู่ที่ม้านั่งกับพวกเราก็ได้ ถ้าใครถามก็บอกว่านายเป็นผู้จัดการทีมของเราไป”    ถึงจะดูเถื่อนๆแต่สมาชิกชมรมบาสก็ต้อนรับเขาอย่างดีราวกับเป็นเทพีแห่งชัยชนะก็ไม่ปานยังไม่เลิกคิดกันอีกเหรอเนี่ย

 

มือบางวางถุงใส่คันธนูและกระบอกลูกธนูลงก่อนจะมองไปรอบๆกาย น่าจะเป็นการแข่งรอบคัดเลือกที่ไม่ใช่นัดสำคัญละมั้ง ทั่วทั้งโรงยิมถึงได้โล่งโจ้งไร้เงาผู้คนขนาดนี้

 

นายมาพร้อมคันธนูแบบนี้ยิ่งเหมือนเทพเจ้าเข้าไปใหญ่ นี่เป็นของที่นายพกไปไหนมาไหนด้วยตลอดงั้นเหรอ?”    ใช่ก็บ้าแล้ว เจ้าพวกนั้นต่างก้มๆเงยๆมองสำรวจถุงใส่คันธนูของเขาอย่างสนใจ

 

เปล่าหรอก หลังจากนี้ฉันมีซ้อมยิงธนูต่อน่ะ ก็เลยเอามาด้วย”    เจ้าพวกนั้นดูจะฮือฮาที่แม้แต่วันเสาร์เขาก็ยังไปซ้อมอีกอันที่จริงเขาไม่ได้ไปซ้อมกับเพื่อนที่ชมรมหรอก แต่ไปกับชู

 

สำหรับพวกเขาสองคนมันก็เหมือนการไปเดตนั่นแหละ

 

แก้มใสขึ้นสีน้อยๆชวนมองเพราะกำลังคิดเรื่องเขินๆอยู่ในใจ โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเผลอไปแผลงศรปักกลางหัวใจกลุ่มคนตรงหน้าเข้าให้เสียหนึ่งดอก

 

"อุก…"    ฝ่ามือหยาบกร้านต่างยกขึ้นมากุมหัวใจก่อนจะถอยออกไปราวกับพ่ายแพ้ให้กับออร่าบางอย่างที่เปล่งออกมาจากร่างโปร่งบาง

 

ดวงตากลมโตจึงมีโอกาสเหลือบมองสมาชิกทีมบาสที่ดูโหลงเหลงยังไงชอบกล นึกว่าจะมีคนเยอะกว่านี้เสียอีก?

 

พวกนายไม่มีผู้จัดการทีมเหรอ?”    ปกติพวกชมรมกีฬาส่วนใหญ่จะมีผู้จัดการชมรมเป็นผู้หญิงกันไม่ใช่เหรอ? แต่นี่กลับมีแต่ชายโฉดโหดเถื่อน? เพราะชมรมยิงธนูของเขาค่อนข้างจะต่างออกไปก็เลยไม่ค่อยเข้าใจนัก

 

ไม่มี จริงๆชมรมบาสเองก็เพิ่งก่อตั้งจริงๆจังๆเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะมีปัญหาอะไรบางอย่างชมรมเลยถูกหยุดไปนานหลายปีเลยน่ะ”    เขานั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวก่อนจะฟังเรื่องราวที่ดูดราม่าทีเดียว เพราะเขาใช้ชีวิตราบเรียบอยู่ในชมรมยิงธนูที่มีพร้อมทุกอย่างมาตั้งแต่ตอนม.ต้น เลยไม่เคยรู้เลยว่าชมรมกีฬาอื่นๆก็ต้องดิ้นรนมากเหมือนกัน

 

เขาเห็นสมาชิกในชมรมบาสต้องเตรียมกันเอง ทั้งยกกระติกใส่ขวดน้ำเย็น ผ้าขนหนูเปียก ถุงใส่ลูกบาสและอุปกรณ์อื่นๆอืม โชคดีแหะที่ชมรมยิงธนูของเขามีแค่ธนูที่ต่างคนต่างถือกันไปเอง ไม่ต้องเตรียมของมากมายขนาดนี้

 

ทีมฝั่งตรงข้ามเริ่มทยอยเดินเข้ามาในสนามแล้วเช่นกันซึ่งฝั่งนั้นมากันจัดเต็มมาก ทั้งสมาชิกที่มีมากกว่าทางนี้หลายเท่าตัว ทั้งผู้จัดการทีมสาวที่มีถึงสองคน ดูเหมือนจะมีเด็กในโรงเรียนตามมาเชียร์ด้วย ถ้าเทียบกับอัฒจรรย์ที่ว่างโล่งของฝั่งเขาแล้วมันก็อดที่จะหันไปถามคุณกัปตันทีมไม่ได้

 

ทีมนายนี่ไม่มีใครมาเชียร์เลยเหรอ?”    อึ้ก! ถึงจะเป็นคำถามแทงใจไปหน่อยแต่พอมันถูกเอ่ยออกมาจากใบหน้าตาใสของนารุมิยะ มินาโตะแล้วคนฟังก็โกรธไม่ลงจริงๆ

 

“…คือทีมบาสของเราก็นับเป็นทีมน้องใหม่ก็ว่าได้แหละ แถมยังไม่มีหนุ่มฮ็อตอยู่ในชมรมอย่างเจ้าพวกนั้นอีกอ่ะนะ ก็เลยอาจจะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่

 

งั้นเหรอ”    ใบหน้ามนเอียงคอน้อยๆก่อนจะปล่อยผ่านไป แต่มันไม่น่าสงสารไปหน่อยเหรอเนี่ย? เป็นชมรมยิงธนูที่ยิงกันเงียบๆอย่างพวกเขาก็ว่าไปอย่าง แต่กีฬาอย่างบาสเกตบอลที่ต้องการเสียงเชียร์อย่างคึกคักเพื่อสร้างแรงใจกลับไม่มีใครมาดูเลยแบบนี้

 

นี่ไง นายเป็นกองเชียร์คนแรกของพวกเราไงนารุมิยะ!”    พวกสมาชิกชมรมบาสมองเขาอย่างซาบซึ้งอื้ม ให้เขาเป็นมันทุกอย่างเลยก็แล้วกัน ตั้งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้จัดการทีม ยันกองเชียร์

 

พวกนั้นลงไปวิ่งวอล์มในสนามก่อนจะกลับมาล้อมวงประชุมวางแผนการแข่งกัน เขาถึงได้มีเวลาก้มมองโทรศัพท์มือถือที่มีข้อความเข้ามา

 

[เพิ่งเรียนเสร็จ กำลังไป]

 

เป็นข้อความจากชูหลังจากที่รู้ว่าเขาต้องมาสนามบาสคนเดียวเพราะเซยะติดไปแข่งเคมีระดับประเทศ  ชูก็แทบจะโดดเรียนกวดวิชามากับเขาตั้งแต่เช้าแล้ว ดีที่ห้ามทัน

 

[อื้ม รออยู่]

 

เขาตอบกลับไปสั้นๆเพราะเสียงนกหวีดเรียกลงสนามดังขึ้นแล้ว

 

นารุมิยะ! ให้พรพวกเราหน่อยสิ!”    ห๋า?! เขาไม่ใช่นักบวชจะไปรู้บทสวดให้พรได้ยังไงแต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนของเหล่าสมาชิกที่มองมาแล้วก็

 

เฮ้อเขาลอบถอนหายใจเบาๆ เอาเถอะ ถ้าแค่พูดธรรมดาๆก็คงพอได้อยู่มั้ง?

 

“....ทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน ขอให้ชัยชนะอยู่กับพวกนาย”    เขายิ้มให้กำลังใจ แต่รอยยิ้มอันหาได้ยากของเขากลับทำให้เจ้าพวกนั้นนิ่งค้างไป… 

 

ก็นั่นแหละ ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยิ้มอะไรมากมายอยู่แล้ว 

 

และรอยยิ้มที่เขาคิดว่าแสนธรรมดานั้นกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูใสบริสุทธิ์มากในสายตาของคนอื่น

 

เหมือนรอยยิ้มที่มากับคำอวยพรของเทพเจ้าจริงๆ

 

นารุมิยะนายนี่น่ารักกว่าที่คิดจริงๆด้วยแหะ ที่มีข่าวลือว่าพิชเชอร์สุดฮ็อตของชมรมเบสบอลตามจีบนายอยู่นี่เรื่องจริงใช่ป่ะ?”    จู่ๆคุณกัปตันก็พูดพร้อมลูบคาง มันใช่เวลามาสงสัยเรื่องนั้นเร๊อะ! แล้วหมอนั่นก็ไม่ได้ตามจีบเขาแล้วหลังจากพ่ายแพ้ทีมเบสบอลของคิริซากิแบบยับเยินจนไม่มีเวลาว่างมาทำอย่างอื่นได้อีก

 

มีสมาธิแล้วก็ตั้งใจแข่งกันสิ”    ดวงตากลมโตขมวดคิ้ว กลุ่มคนตรงหน้าจึงพากันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เหมือนจะมีกำลังใจเต็มเปี่ยมกันแล้วแหละมั้ง

 

ร่างในชุดบาสโรงเรียนคาเซไมเดินลงสนามด้วยความรู้สึกมีไฟอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 



เสียงเอี๊ยดๆของรองเท้าบาสที่เสียดสีไปกับพื้นสนามให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเวลาที่พวกเขาสวมทาบิแล้วสืบเท้าเข้าไปในโดโจเลยจริงๆ ทั้งกายใจของพวกเขาต้องนิ่งสงบต่างจากเหงื่อกาฬที่ไหลลงมาราวกับน้ำตกของทางนี้โดยสิ้นเชิง

 

กึ้ง!!

 

เสียงลูกบาสที่กระทบโดนห่วงก็ต่างจากเสียงลูกธนูที่ปักลงไปกลางเป้ามาก แต่กระนั้นมันก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน 

 

ใบหน้ามนมองตามเพื่อนๆของเขาอย่างแอบลุ้นในใจให้ทำแต้มได้ไวๆ ถึงจะจับพลัดจับผลูจนต้องมาอยู่เชียร์แบบงงๆแต่เขาก็อยากให้ทีมบาสของเขาชนะ

 

ก็พวกนั้นยอมทำถึงขั้นพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยนี่นา คงจะรักบาสเกตบอลมากจริงๆ

 

ปี๊ด!

 

มีเสียงนกหวีดดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะๆ รอบๆสนามเองก็ส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น บรรยากาศมันต่างจากสนามแข่งยิงธนูมาก เขาจะเผลออินตามไปด้วยก็ไม่แปลกใจเลย

 

วิ่งไปๆ!”    

 

กันไว้ๆ!

 

ในสนามเองก็กำลังสู้กันอย่างดุเดือด มีการปะทะ มีการแย่งบอลกันไปมา มีเสียงตะโกนให้ส่งลูกมา มีเสียงสวบยามเมื่อลูกบอลถูกชู้ตลงห่วง มีเสียงกึงกังยามเมื่อมันเด้งออกมา แล้วทั้งสองทีมก็น่าจะมีฝีมือสูสีกันเพราะงั้นกว่าจะได้มาแต่ละแต้มจึงต้องสู้กันอย่างยากเย็น

 

สองมือของเขาเผลอยกมากุมกันอยู่บนหน้าอก และทุกครั้งที่เจ้าพวกลูกทีมหันมาเห็นว่าเขากำลังมองดูอยู่ด้วยสีหน้าลุ้นๆ พวกนั้นก็มักจะหันกลับไปเล่นต่อด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

 

ปี๊ดดดด

 

เพราะงั้นหมดเวลาในครึ่งแรก ทีมฝั่งตรงข้ามจึงนำทีมของพวกเขาอยู่แค่แต้มเดียว

 

แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”    ตัวจริงทั้งห้าคนเดินกลับมานั่งหอบอยู่ข้างม้านั่ง แค่ไม่กี่สิบนาทีนี้ก็วิ่งไป-กลับรอบสนามมาไม่รู้กี่รอบ จะหอบและมีเหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัวแบบนั้นก็ไม่แปลก

 

นารุมิยะ โทษที ช่วยหยิบน้ำให้หน่อย”    คุณกัปตันหันมาบอกเขาที่ดันนั่งอยู่ข้างกระติกน้ำพอดี มือบางจึงหยิบทั้งขวดน้ำทั้งผ้าเย็นส่งให้ราวกับเป็นผู้จัดการสาวของชมรมไปแล้วให้ตายเถอะ

 

ขอบใจนะ นายสนใจมาเป็นผู้จัดการทีมให้พวกเราไหม? ฉันจะยกให้นายเป็นดอกไม้ของทีมบาสเราเลย”    ดอกไม้อะไรล่ะ

 

ขอปฏิเสธ”    เขาตอบออกไปอย่างไรเยื้อไย แต่พวกนั้นกลับหัวเราะให้ความขวานผ่าซากของเขาอย่างเอ็นดู

 

แต่เพราะมีนายอยู่จริงๆด้วย แต้มเราถึงไม่ถูกทิ้งห่างขนาดนี้ หึๆๆ”    แต่ตอนนี้ก็ตามอยู่ไม่ใช่เหรอ? หรือปกติแล้วจะแพ้ราวรูดกว่านี้?......

 

ดูสิ เจ้าหมอนี่ไม่เคยชู้ตลงเลยนะที่ผ่านมาอ่ะ มันต้องเป็นเพราะนายแน่ๆนารุมิยะ!”    เจ้าพวกนั้นโยนขวดน้ำคืนเขาก่อนจะตบมาที่ไหล่บางอย่างอารมณ์ดีไม่ละ เขาไม่น่าจะไปบ่งการให้ลูกบาสลงห่วงได้นะ มันเป็นผลของการฝึกซ้อมของพวกนายเองมากกว่า

 

ว่าแล้วนายมันสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ลูกสามแต้มของฉันลงแบบปาฏิหาริย์เลยอ่ะนายเห็นไหม?”    มือใหญ่ๆของใครบางคนจับหมับลงบนหัวเขาแล้วโยกไปมา ถึงอย่างงั้นก็เถอะ นายไม่ควรลูบหัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของนายแบบนี้นะ

 

รวมตัวได้แล้ว”    ยังไม่ทันจะหายหอบดี โค้ชของทีมก็เรียกให้พวกเสาไฟฟ้าทั้งหลายไปล้อมวงวางแผนการเล่นในครึ่งหลังต่อ 

 

เฮ้อ…”     เขาถอนหายใจในขณะที่มองกองผ้าขนหนูที่ถูกทิ้งระเกะระกะอยู่ที่พื้น จะทิ้งไว้แบบนั้นมันก็ดูไม่ดี มือบางจึงหยิบมาโยนใส่กระติกไว้ให้อย่างอดไม่ได้

 

ไปลุยครึ่งหลังกัน! ไม่ต้องกลัว เราชนะแน่ เรามีนารุมิยะอยู่ตรงนี้ทั้งคน!”    แล้วก็มีเสียงเฮดังตามมามือที่ล้อมวงจับอยู่ชูขึ้นฟ้าอย่างฮึกเหิมมันควรจะเป็นคำปลุกใจเหรอเนี่ยชื่อเขา?....

 

แล้วก่อนที่แถวตัวจริงทั้งห้าจะเดินลงสนาม ก็ยังอุตส่าห์เดินวนมาเพื่อขยี้หัวเขาบ้าง จูบหลังมือบ้างอย่างกับจะเอาฤกษ์เอาชัยอีกแน่ะ 

 

เขานั่งลงที่ม้านั่งพลางทำหน้าดื้อ หัวยุ่งไม่พอยังเปียกอีกด้วยเนี่ย โธ่

 

ปี๊ดดด

 

เสียงนกหวีดเริ่มการแข่งขันขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองทีมยังคงสู้กันอย่างสูสี เขามัวแต่มองตามอย่างลุ้นระทึกไปด้วยเลยไม่ทันเห็นเลยว่าชูมานั่งลงข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

อ๊ะ มาแล้วเหรอ?”    ใบหน้ามนยิ้มให้คนมาใหม่

 

อื้ม แต้มเท่ากันเลยนี่นา”    ใบหน้าหล่อเหลาของฟูจิวาระ ชูหันไปมองแป้นบอกคะแนนด้วยสีหน้าราบเรียบตามปกติ

 

ปกติในสายตาของนารุมิยะ มินาโตะคนเดียวน่ะนะ 

 

เพราะสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างสมาชิกชมรมบาสเกตบอลที่หันไปเห็นว่าใครเดินมานั่งลงข้างๆเทพีแห่งชัยชนะของตนต่างก็ขนหัวลุกกันทั้งทีม

 

นั่นฟูจิวาระ ชูจากโรงเรียนคิริซากิไม่ใช่เร๊อะ?!

 

ไหงเจ้าชายของโรงเรียนไฮโซนั่นถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?! แถมยังเป็นม้านั่งฝั่งของพวกเขาอีกต่างหาก!

 

จริงอยู่ที่เด็กนักเรียนคาเซไมส่วนใหญ่จะรู้ว่านารุมิยะ มินาโตะสนิทกับฟูจิวาระ ชู แต่ก็ไม่คิดว่าคุณชายจากตระกูลเก่าแก่จะมาหาแม้แต่ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์แบบนี้ด้วย

 

แล้วดูแววตาเย็นชาราวกับพญายมที่จ้องเขม็งมายังพวกเขานั่นสิ! 

 

ดูรังสีอำมหิตและจิตสังหารจากร่างกายที่กำลังนั่งกดดันพวกเขาอยู่นั่นสิ! 

 

ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่พวกเขาก็หวาดผวาไปทั้งทีม จากที่วิ่งกันเต็มที่อยู่แล้วก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ?!

 

ก็สีหน้าประมาณว่าอย่าทำให้มินาโตะของฉันต้องเสียเวลา รีบๆยัดลูกบาสหน้าโง่พวกนั้นลงห่วงไปซะของฟูจิวาระ ชูก็ทำเอาสันหลังของทั้งทีมเสียววาบ 

 

อะดรีนะลีนจากไหนก็ไม่รู้หลั่งไหลออกมาทั่วร่างกาย เหมือนมีเทพเจ้าแห่งความตายนั่งกระดิกเท้าอยู่ข้างๆนางฟ้าที่ยิ้มอ่อนโยนมาให้พวกเขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวยังไงอย่างงั้น

 

จากที่เคยวิ่งอยู่ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์กลับพลิกผันเป็นนรกโลกันต์ในฉับพลัน

 

นะเห็นแบบนั้นแล้วใครจะไปอยู่เฉยได้ พวกเขาจำต้องวิ่งกันลืมตาย ต้องโยนลูกบาสกันลืมหายใจ ถ้าไม่ชนะเขาอาจจะโดนเจ้าของใบหน้าเย็นชานั่นฆ่าเอาก็ได้

 

น่ากลัวเกินไปแล้วคร้าบบบ~

 

ได้ข่าวว่าฟูจิวาระ ชูเป็นลูกชายตระกูลผู้มีอิทธิพลด้วยนี่? อาจจะมีบอร์ดี้การ์ดนักฆ่ามาตามเก็บพวกเขาก็ได้นะถ้าแพ้

 

นั่นแหละแต้มฝั่งคาเซไมจึงไหลมาเทมายิ่งกว่าน้ำตกไนแองการ่าพวกเขาวิ่งกันไม่ลืมหูลืมตาจนทีมคู่แข่งถึงกับงงว่าไปโดนผีตัวไหนเข้าสิงมา

 

ปิ๊ด ปิ๊ด ปิ๊ด ปี๊ดดดด

 

แล้วคาเซไมก็ชนะจนได้~~ โฮ~~~

 

ลูกทีมต่างก็วิ่งเข้ามากอดศูนย์รวมจิตใจอย่างนารุมิยะ มินาโตะด้วยความดีใจ แต่ก็ต้องถอยอย่างไวเพราะมีรังสีอำมหิตและจิตอาฆาตลอยหึ่งอยู่ข้างๆ

 

พวกเขากระโดดโล้ดเต้นกับชัยชนะที่ได้มาราวกับปาฏิหาริย์ จริงอยู่ส่วนหนึ่งมันอาจจะเป็นเพราะผลของการฝึกซ้อม แต่ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้มีกำลังใจในการแข่งขันมากเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย

 

ก็อย่างที่นารุมิยะเห็นนั่นแหละว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมที่พร้อมอะไรเลย เพิ่งฟอร์มทีมได้แค่สองปี ผู้จัดการทีมก็ไม่มี คนมาเชียร์ก็ไม่มี แข่งๆไปบางทีก็รู้สึกถอดใจกลางทางก็มี

 

เพราะงั้นการปรากฏตัวของนารุมิยะในวันนี้จึงมีความหมายต่อพวกเขามาก

 

เป็นเหมือนกำลังใจที่พวกเขาไม่เคยได้รับมาก่อน

 

สายตาทุกคู่ของสมาชิกในทีมจึงมองไปที่ร่างโปร่งบางนั่นอย่างขอบคุณ

 

"เอ่อนารุมิยะ เดี๋ยวพวกเราจะไปฉลองกันที่ร้านคาราโอเกะ นายไปด้วยกันไหม? เอ่อถ้าอยากไปละก็นะ…"    กัปตันทีมบาสเหลือบมองคนข้างๆอย่างเกรงใจ เพราะฟูจิวาระ ชูไม่พูดอะไรกับพวกเขาเลยนั่นแหละ เลยทำให้ยิ่งดูน่ากลัวและดูเป็นคนละชนชั้นกับเด็กธรรมดาๆอย่างพวกเขาเข้าไปใหญ่

 

"ขอบใจนะ แต่พวกนายไปกันเถอะ ฉันต้องไปซ้อมยิงธนูกับชูต่อ หมอนี่มารอรับแล้ว"   ….แค่มารอรับไปซ้อมด้วยกันหรอกเร๊อะ ไม่บอกนี่นึกว่าจะมาฆ่าใครอ่ะ

 

มันก็น่าสงสัยจริงๆ ว่าคนที่เหมือนมาสคอตอย่างนารุมิยะไปคบหากับคนน่ากลัวอย่างเจ้าชายของคิริซากิได้ยังไง

 

ไม่ได้ถูกข่มขู่อยู่ใช่ไหม

 

หรือจะถูกบังคับ? ถูกกลั่นแกล้งอยู่? หรือจะต้องมีแฮชแทก "SaveMinato" แล้วไหม?

 

ในขณะที่พวกเขากำลังคิดไปเอง โอจิของชมรมยิงธนูก็โบกมือลาแล้วเดินสะพายถุงใส่ธนูออกไปพร้อมกับร่างสูงสง่าของว่าที่ผู้นำตระกูลฟูจิวาระ 

 

พวกเขาต่างก็ยืนมองตามกันทั้งทีมเข้าไปขวางดีไหมนะ? ต้องช่วยนารุมิยะออกมาจากกำมือของจอมมารร้ายไหมนะ? แต่พวกเข้าเป็นแค่นักกีฬาบาสเกตบอลธรรมดาๆจะไปต่อกรกับเจ้าแห่งนรกได้ยังไง

 

# SaveMinato ทางเดียวแล้วที่ทำได้!

 

แต่ตลอดทางจนไปถึงรถหรูที่จอดรออยู่ ฟูจิวาระ ชูกลับยิ้มให้นารุมิยะอย่างอ่อนโยนมากมากจนพวกเขายืนมองอย่างอึ้งๆกันทั้งทีม

 

ทำไมยิ้มแบบนั้นให้นารุมิยะได้ละเฮ้ย?!

 

แล้วกับพวกเขานั่นมันอะไร??? ไม่ได้ชื่อมินาโตะก็ลำบากไปงี้เร๊อะ?! นี่วิ่งกันแทบตายเลยนะ!

 

สมาชิกทีมบาสคาเซไมต่างยืนอ้าปากค้างจนรถแล่นลับสายตาไปถึงที่จริงพวกเขาจะชนะได้เพราะความกลัวที่มีต่อผู้ชายคนนั้นก็เถอะนะ

 

 

 

 

 



ถึงฟูจิวาระ ชูจะสั่งให้สร้างโดโจส่วนตัวไว้ที่ไหนสักที่เพื่อเอาไว้ฝึกซ้อมกันแค่สองคนกับนารุมิยะ มินาโตะได้อย่างสบายๆ แต่พวกเขากลับชอบมาใช้ที่นี่มากกว่า

 

โรงฝึกของอ.ไซออนจิ

 

เพราะเรื่องราวระหว่างพวกเราเริ่มต้นขึ้นที่นี่ มันมีความทรงจำมากมาย เพราะงั้นถ้าจะมาเดตกันก็คงไม่มีที่ไหนดีไปกว่าที่นี่อีกแล้ว

 

ปั้ก!

 

ธนูดอกที่16 ปักอย่างต่อเนื่องลงไปกลางเป้าพร้อมๆกันท่ามกลางกลีบซากุระที่ร่วงลงมาอย่างอ้อยอิ่ง

 

ยิ่งในฤดูใบไม้ผลิโดโจแห่งนี้จะยิ่งสวยงามเป็นพิเศษเพราะมันถูกล้อมรอบไปด้วยต้นสึสึจิหรือกุหลาบพันปีที่กำลังออกดอกตระการตาไม่แพ้ต้นซากุระที่อยู่เบื้องบนเลย

 

ดวงตาสีม่วงสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามไรผมสีดำของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าจึงลดคันธนูลง

 

"พักกันก่อนเถอะมินาโตะ"   เสียงทุ้มทำให้ใบหน้ามนยิ้มออกมาบางๆ ชูใส่ใจเขาอยู่เสมอ ชูมักจะรู้ลิมิตของเขาผ่านการเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา

 

"อื้ม"   เสียงนุ่มตอบไปอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินไปยังที่วางคันธนู

 

"ฉันถามได้ไหม ว่าทำไมพวกชมรมบาสเกตบอลต้องขอร้องให้มินาโตะไปดูการแข่งขันด้วย?"   มือใหญ่วางคันธนูไม้ไผ่ลงไปข้างๆคันธนูสีดำ ก่อนจะหันกลับมาหาร่างโปร่งบางที่กำลังยืนถอดถุงมืออยู่

 

"เฮ้อมันน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะ ไม่สิ เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆนั่นแหละ"   คิ้วสีดำขมวดเข้าหากันก่อนจะทำหน้ายุ่ง

 

"หื๋ม? ยังไง?"

 

"ก็นานาโอะน่ะสิ ไปหลอกพวกนั้นว่าที่เพื่อนๆในชมรมยิงธนูเก่งกันจนได้แชมป์ระดับจังหวัดเป็นเพราะลูบหน้าผากฉัน…"

 

"อุ๊บ ฮ่าๆๆ"    ใบหน้าหล่อเหลาหลุดหัวเราะอย่างหยุดไม่อยู่ ถึงแม้นานๆทีจะได้เห็นชูหัวเราะแบบนี้ก็เถอะ แต่มันก็น่าหมั่นไส้ยังไงไม่รู้

 

".....หยุดหัวเราะเลยนะชู"   เขาทำหน้าดุ

 

"นั่นแหละ พวกชมรมบาสเลยคิดว่าฉันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำชมรมยิงธนู ก็เลยขอยืมตัวฉันไปที่สนามบาสด้วย เผื่อจะทำให้โชคดีจนชนะการแข่งขัน"    ชูยิ่งหัวเราะหนักกว่าเก่าจนเขาต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก ขำอะไรนักหนาเนี่ย~ ถึงจะเข้าใจก็เถอะว่าขำอะไร!

 

"อย่างงี้นี่เอง…"    ชูหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลกว่าจะหยุดได้

 

ใบหน้าหล่อเหลานิ่งคิดไปนิดนึงก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ด้วยแววตาไม่น่าไว้ใจ

 

"อืมหมายความว่าถ้าอยากยิงธนูเก่งๆ ก็ให้ลูบหน้าผากมินาโตะสินะ?"

 

"นี่นายได้ฟังที่ฉันพูดไหมเนี่ยว่านานาโอะกุเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น"

 

"ฉันก็อยากยิงธนูเก่งๆบ้างน่ะมินาโตะ"    เจ้าชายของชมรมยิงธนูคิริซากิทำหน้าอ้อน ไม่พอ ยังยื่นมือเข้ามาจนเขาต้องก้าวถอยหลัง

 

"เดี๋ยว! หูนายไม่ดีหรือไงชู?!"

 

"ขอฉันลูบด้วยหน้าผากของมินาโตะ"   แผ่นหลังของเขาชนเข้ากับข้างฝา ไม่มีที่ให้ถอยหนีแล้ว

 

"เดี๋ยวแล้วร่างโปร่งบางก็โดนดันจนล้มนั่งพิงผนัง ร่างสูงสง่าตามลงมากางแขนกั้นกักขังเขาเอาไว้ ดวงตาสีม่วงจ้องมองเข้ามาในดวงตาของเขาอย่างสื่อความหมาย

 

"ได้ไหมมินาโตะ?"    น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นออดอ้อนจนเขาต้องยอมใจอ่อน

 

"เฮ้อตามใจแล้วกัน แต่มันไม่มีผลอะไรหรอกนะ"

 

"อื้ม"   ชูพยักหน้าอย่างดีใจ

 

แต่แทนที่มือใหญ่จะยกขึ้นไปแตะหน้าผากใส 

 

กลับกลายเป็นใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้าไปใกล้แทน

 

ฟูจิวาระ ชูไม่ได้ลูบหน้าผากเขาด้วยมือ

 

แต่ลูบด้วยปาก

 

จุ๊บ

 

ซ่า~~

 

เสียงลมหอบกลีบซากุระพัดปลิวว่อนในจังหวะที่แสนพอดี 

 

ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ได้ยินเสียงหัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำ 

 

ขนาดเคยจูบมาแล้วแทบจะทุกส่วนของร่างกาย แต่พอชูทำอะไรแบบนี้ทีไรเขาก็ยังใจเต้นแรงอยู่ดี

 

เหมือนจะตกหลุมรักได้ไม่มีวันสิ้นสุดเลย

 

ร่างสองร่างยังค้างอยู่ท่าเดิม

 

ริมฝีปากร้อนจูบหน้าผากใสอย่างอ่อนโยน ดวงตากลมโตจึงปิดลงรับความอ่อนหวานนั้นด้วยใบหน้าอมยิ้ม

 

ถ้าจะลูบหน้าผากเขาแบบนี้มันก็โอเคอยู่นะ

 

ชูละออกมาก่อนจะจ้องมองเขาไม่วางตา  “ฉันคิดว่ามันได้ผลนะมินาโตะ”  

 

“หื๋อ?”

 

“ดูสิ ปีนี้ฉันเป็นแชมป์ระดับประเทศทั้งประเภทชายเดี่ยวและประเภททีมนั่นก็เพราะว่าฉันได้ลูบหน้าผากมินาโตะมากกว่าใครไงล่ะ”  

 

แล้วริมฝีปากของชูก็ลูบ?หน้าผากเขาอีกหลายรอบ สัมผัสนุ่มๆอุ่นๆที่จูบซ้ำๆลงมากำลังบอกรักเขาแทนคำพูดทั้งหมดทั้งมวล

 

"ฮะฮะ"   เขาหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ก่อนที่ดวงตาของพวกเราจะสบประสานท่ามกลางความเงียบงันอีกครั้ง

 

"ชู ฉันบอกเคล็ดลับให้เอาไหม?"   เสียงนุ่มเอ่ยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มซุกซน จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มันคงจะเป็นความไม่ยอมแพ้ของเด็กผู้ชายนั่นแหละ

 

"หื๋ม?"

 

"ไม่ใช่ที่หน้าผากหรอกที่ลูบแล้วจะทำให้ยิ่งธนูเก่ง"    ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับยกยิ้มอย่างรู้ทัน แต่ก็ยังแกล้งถามออกมา

 

"ถ้างั้นต้องลูบตรงไหนล่ะ?"  

 

เขาจึงยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างใบหูของชู

 

"ทั้งตัว"

 

"ฮึได้สิ เพราะฉันจะต้องเป็นคนที่ยิงธนูเก่งที่สุดในโลก"

 

แล้วร่างทั้งร่างก็ถูกอุ้มลอยขึ้นกลางอากาศ ชูไม่รอช้ารีบก้าวขาพาเขาไปยังห้องแต่งตัวทันที

 

สองแขนบางสอดคล้องลำคอแกร่งอย่างรู้งาน และถึงแม้ร่างทั้งร่างจะถูกวางลงบนตู้ไม้เตี้ยๆ เขาก็ยังคล้องคอชูไว้

 

แขนแข็งแรงกางกั้นยันตู้ไม้หนาหนัก ก่อนที่ริมฝีปากของชูจะลูบ?ลงมาที่กลีบปากเขาเป็นที่แรก เรียวลิ้นยังแทรกเข้าไปลูบ?ถึงข้างใน

 

ลิ้นร้อนรุกรับกันนัวเนีย ยิ่งมีน้ำลายเหนียวหนืดมาผสาน รสชาติในโพรงปากก็ยิ่งหวานจนยากที่จะละออกมา

 

มือใหญ่ดึงรั้งคอเสื้อจากด้านหลังจนมันหลุดจากไหล่ขาว ริมฝีปากกดจูบลูบ?ลงไปที่ไหปลาร้า ก่อนจะค่อยๆจูบไล่ขึ้นไปยังลาดไหล่ 

 

ฮากามะสีกรมหลุดรุ่ยด้วยมือเพียงข้างเดียวก่อนที่เสื้อยืดสีดำที่สวมอยู่ข้างในจะถูกถลกเลิกขึ้นไปจนเผยให้เห็นยอดอกสีชมพูชูชัน

 

แล้วริมฝีปากของชูก็ลูบ?ลงไปจนไหล่บางต้องห่อเข้าหากันเพราะความเสียวซ่าน

 

จุ๊บ...จุ๊บ...จุ๊บ...เสียงจูบดังเป็นจังหวะเชื่องช้าไปพร้อมกับสัมผัสที่ค่อยๆขยับจากหน้าอกไล่ลงไปตามลำตัว จนมันไปหยุดอยู่ที่หน้าท้องแบนราบ

 

เส้นผมสีชาปรกลงมาเมื่อใบหน้าหล่อเหลาละออกไปเล็กน้อยเพื่อจ้องมองมายังหน้าท้องของเขา แค่ได้เห็นสายตาที่มองลงมายังเรือนร่างของเขาก็ทำเอาร้อนลุ่มจนบอกไม่ถูก

 

“อื้อ~   ริมฝีปากร้อนลูบ?ลงไปตรงตำแหน่งเหนือสะดือ ผิวอ่อนนุ่มจึงสะดุ้งเบาๆ ในท้องน้อยเสียบวูบไปหมดจนร่างทั้งร่างถึงกับสั่นสะท้าน

 

ไม่ไหว...ตรงนี้มัน...เซ็กซี่เกินไป...

 

ใบหน้าหล่อเหลาจูบไปยิ้มไป ถึงตัวมินาโตะจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่เขาคงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะลูบ?หมด

 

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลำบากอะไร ในเมื่อเขามีเวลาให้มินาโตะทั้งวันทั้งคืน

 

ไม่สิ ทั้งชีวิตเลยต่างหาก

 

เขาจะลูบ?ไปจนกว่าเขาจะเก่งระดับหลับตาก็ยังยิงเข้ากลางเป้านู่นแหละ

 

เตรียมใจไว้ล่ะ มินาโตะ

 

 

 

 




หลังจากวันนั้น ที่หน้าโรงฝึกของชมรมยิงธนูคาเซไมก็มีป้ายไวนิลผืนใหญ่ขึงประกาศบอกไว้ว่า

 

 

[นารุมิยะ มินาโตะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชมรมยิงธนูเท่านั้น ชมรมอื่นห้ามยืม! ใครฝ่าฝืนจะโดนคำสาป~]  

 

[ลงชื่อทาเคฮายะ เซยะ ประธานชมรมยิงธนูผู้เชี่ยวชาญด้านคุณไสยทุกประเภท!]

 

[ปล.ชมรมที่คิดจะมาจีบไปเป็นผู้จัดการทีมก็จะโดนสาปเช่นกัน]

 

 

ใบหน้ามนได้แต่ยิ้มแห้งในขณะที่ยืนมองป้าย ดูเหมือนเซยะจะแค้นเคืองมากที่เขาถูกพวกชมรมบาสเกตบอลฉกตัวไปตอนที่เซยะไม่อยู่พอดี

 

แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าชูก็มีเอี่ยวเรื่องป้ายนี่ด้วยก็ไม่รู้แหะ?

 

เพราะเมื่อวานเขาแอบเห็นชูโทรคุยกับเซยะทั้งๆที่สองคนแทบไม่เคยโทรคุยกันเลย

 

อะไรกันนะ? นารุมิยะ มินาโตะได้แต่เอียงคออย่างสงสัยต่อไป

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

Story never End

 

มันเป็นสปอยด์นิดหน่อยนาคะตอนนี้555 ก็คือในโนเวลเล่มสาม รุ่นน้องในชมรมไปถามนานาโอะจริงๆค่ะว่าทำยังไงถึงจะยิงธนูเก่งๆ นานาโอะเลยบอกน้องว่า ให้ไปขอลูบหน้าผากรุ่นพี่มินาโตะนะ แล้วจะยิงธนูเก่ง55555 ละรุ่นน้องก็มาขอลูบจริงๆ ไม่พอ เรียวเฮย์ผ่านมาได้ยินก็ขอลูบด้วย โอ๊ย5555 แต่เหม่งน้อนมันก็น่าลูบจริงๆนะ >////< น่ารักกกก

 

ส่วนอันนี้ภาพประกอบฟิค(?)ตอนนี้ค่ะ 555 ก็ลูบด้วยริมฝีปากไปเลยสิค้า ตัวพ่อจะแคร์อัลไลลลล >/////<

 




มีคอมเม้นต์ว่าอยากเห็นโอบิด๋อยน้อนกับชูชัดๆ อิๆๆ จัดไปค่ะ >////< ตอนนี้ยังเหลือเซยะที่ยังหาหัวที่คล้ายๆไม่ได้ รอมัมหมีก่อยนะเซย๊า~ (จิ้มที่รูปเอานาคะถ้าจะดูรูปใหญ่)

 


 






 มาสะซังค่ะ

 









ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทด้วยนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น