Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 23 : END
:
Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
:
Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
:
Warmhearted
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ร่างโปร่งบางของนารุมิยะ
มินาโตะกำลังเดินเข้าไปในศูนย์กีฬาแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนบางตา
ที่นี่มีอาคารที่เป็นสนามของกีฬาในร่มมากมายหลากหลายประเภท ทั้งบาสเกตบอล
วอลเล่ย์บอล แบดมินตัน ฯลฯ
วันนี้เขาแต่งตัวไปรเวทโดยสวมเสื้อฮู้ดสีเขียวกับกางเกงขายาวสีดำเพราะเขาไม่ได้มาร่วมการแข่งขันใดๆ
ทั้งยังเป็นบ่ายวันเสาร์ที่เขาควรจะหยุดอยู่บ้านอีกต่างหาก
ใบหน้ามนเงยมองอาคารโรงยิมที่ใช้สำหรับแข่งบาสเกตบอลก่อนจะเดินเข้าไป
จริงอยู่ที่บนไหล่เขายังสะพายกระเป๋าใส่คันธนูแต่คนที่มีการแข่งขันในวันนี้กลับไม่ใช่เขา
เป็นเจ้าพวกนั้นต่างหาก…
“เฮ้! นารุมิยะมาแล้วเหรอ ทางนี้ๆ” ดวงตาสีเขียวมองกลุ่มคนที่โบกไม้โบกมือให้เขาอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามบาส
สองขาจึงเดินเข้าไปหา
ทำไมเขาถึงมาที่นี่น่ะเหรอ?
นั่นสิ
เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน?
เขาไม่ได้รู้จักเจ้าพวกยักษ์ที่สูงเกิน180ซม.พวกนั้นเป็นการส่วนตัวเลยสักคน ไม่ได้เรียนห้องเดียวกันหรือห้องติดกันด้วยซ้ำ
แต่เป็นเพราะเมื่อวานนี้…ตอนที่เขาแยกกับเพื่อนๆในชมรมยิงธนูเพื่อที่จะไปเอาจักรยานแล้วกลับบ้าน…จู่ๆเขาก็โดนเจ้าเสาไฟฟ้าพวกนั้นมาล้อมเอาไว้…
ในใจนี่คิดว่าคงโดนหาเรื่องเข้าให้แล้ว~ แต่กลับกลายเป็นว่า
“นารุมิยะ! ขอร้องละ พรุ่งนี้ช่วยไปดูพวกเราแข่งที!” เจ้าพวกนั้นพร้อมใจกันพนมมือและก้มหัวขอร้องเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
ห๊ะ? เขาได้แต่อุทานอย่างงุนงงอยู่ในใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“อ๊ะ นายอย่าเพิ่งตกใจกลัว พวกเราไม่ใช่คนน่าสงสัย
ฉันคือกัปตันและนี่ก็คือสมาชิกของชมรมบาสเกตบอลทั้งหมด” หนึ่งในนั้นเริ่มอธิบายให้เขาฟัง
“พอดีฉันเรียนห้องเดียวกับนานาโอะน่ะ คิซารางิ
นานาโอะ" อ่อ…เพื่อนร่วมห้องของนานาโอะนี่เอง
"ก็…การที่ชมรมยิงธนูของพวกนายไปชนะการแข่งระดับจังหวัดได้ทั้งๆที่เพิ่งก่อตั้งชมรมแถมสมาชิกตัวจริงยังเป็นปีหนึ่งทั้งหมดมันเป็นเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโรงเรียนเลยใช่ไหมล่ะ
ฉันก็เลยไปถามนานาโอะน่ะว่าทำยังไงพวกนายถึงได้เก่งกันนัก
นอกจากการฝึกซ้อมแล้วพวกนายยังมีเคล็ดลับอะไรอีกหรือเปล่า”
“แล้วนานาโอะก็บอกกับฉันว่า…” ผู้ชายตรงหน้าหันซ้ายแลขวาราวกับเรื่องนี้เป็นความลับก่อนจะเข้ามาป้องปากกระซิบบอกเขาใกล้ๆว่า
“ถ้าอยากจะยิงธนูเก่งๆละก็…ให้ไปขอลูบหน้าผากนายน่ะ
นารุมิยะ” ห๊ะ? ห๋า???? ลูบหน้าผากเขาเนี่ยนะ?!
มือบางสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าผากตัวเองด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ
ไม่ใช่แล้ว!
“นั่นแหละ ฉันก็เลยคิดว่านายน่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชมรมยิงธนูสินะ
พวกฉันไม่ได้อยากจะยิงธนูเก่งเลยไม่จำเป็นต้องขอลูบหน้าผากนาย
แต่พวกฉันแค่อยากชนะการแข่งขันในวันพรุ่งนี้
เพราะงั้นแค่นายไปนั่งอยู่ข้างๆสนามกับพวกเราก็น่าจะพอแล้ว” เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน…นี่พวกนายเชื่อที่นานาโอะบอกด้วยเหรอ?!
ฟังดูก็รู้ว่ากุเรื่องขึ้นมาหลอกอำขำๆชัดๆอ่ะ
เขาได้แต่ทำหน้าเหวอทั้งๆที่อีกฝ่ายดูเชื่อกันจริงจังไปแล้ว
“นะ! ขอร้องละนารุมิยะ! การแข่งพรุ่งนี้สำคัญกับพวกฉันมากจริงๆ!
ถ้าแพ้พวกเราก็จะตกรอบคัดเลือกและไม่ได้เข้าแข่งระดับจังหวัด”
คนตรงหน้าพนมมือขอร้องหน้านิ่วคิ้วขมวดจนเขาไม่รู้จะทำยังไง
จะปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายไปหน่อยเพราะใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความร้อนลนของคนที่อยากให้ทีมชนะการแข่งขัน
เขาเองก็ผ่านมันมาแล้ว
“เอ่อ…ถ้าแค่ไปดูก็ได้อยู่หรอก…แต่ว่าฉันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างที่นายคิดหรอกนะ
นายโดนนานาโอะหลอกเอาแล้วละ ฉันไม่สามารถช่วยให้พวกนายชนะได้หรอกนะ”
เสียงนุ่มพูดออกไปตรงๆ
แต่เสียงของเขากลับทำให้เจ้าพวกนี้ทำหน้าเคลิ้มอย่างกับได้รับการโปรดจากพระเจ้า….ได้ฟังที่เขาพูดบ้างไหมเนี่ย?
“ตกลงนายจะมาดูพวกเราแข่งสินะ! ขอบใจมากนะนารุมิยะ!” คุณกัปตันชมรมบาสจับมือเขาอย่างขอบอกขอบใจ เขาก็เข้าใจได้อยู่หรอก
การแข่งขันบางทีมันก็ต้องพึ่งดวงด้วยเหมือนกัน
เพราะงั้นพวกเขาจึงทำกันทุกวิถีทางทั้งฝึกซ้อมและไปขอพรจากเทพเจ้า
เอามันทั้งสายวิทย์และสายมูนี่แหละ
นั่นแหละ…สาเหตุทั้งหมดทั้งมวลที่เขามายืนงงๆอยู่ในดงร่างสูงใหญ่เหมือนเสาไฟที่สวมใส่ชุดบาสสีเขียวของคาเซไมพวกนี้
“มาๆ มานี่สิ นายนั่งอยู่ที่ม้านั่งกับพวกเราก็ได้
ถ้าใครถามก็บอกว่านายเป็นผู้จัดการทีมของเราไป” ถึงจะดูเถื่อนๆแต่สมาชิกชมรมบาสก็ต้อนรับเขาอย่างดีราวกับเป็นเทพีแห่งชัยชนะก็ไม่ปาน…ยังไม่เลิกคิดกันอีกเหรอเนี่ย?
มือบางวางถุงใส่คันธนูและกระบอกลูกธนูลงก่อนจะมองไปรอบๆกาย
น่าจะเป็นการแข่งรอบคัดเลือกที่ไม่ใช่นัดสำคัญละมั้ง
ทั่วทั้งโรงยิมถึงได้โล่งโจ้งไร้เงาผู้คนขนาดนี้
“นายมาพร้อมคันธนูแบบนี้ยิ่งเหมือนเทพเจ้าเข้าไปใหญ่
นี่เป็นของที่นายพกไปไหนมาไหนด้วยตลอดงั้นเหรอ?” ใช่ก็บ้าแล้ว เจ้าพวกนั้นต่างก้มๆเงยๆมองสำรวจถุงใส่คันธนูของเขาอย่างสนใจ
“เปล่าหรอก หลังจากนี้ฉันมีซ้อมยิงธนูต่อน่ะ ก็เลยเอามาด้วย”
เจ้าพวกนั้นดูจะฮือฮาที่แม้แต่วันเสาร์เขาก็ยังไปซ้อมอีก…อันที่จริง…เขาไม่ได้ไปซ้อมกับเพื่อนที่ชมรมหรอก
แต่ไปกับชู…
สำหรับพวกเขาสองคนมันก็เหมือนการไปเดตนั่นแหละ
แก้มใสขึ้นสีน้อยๆชวนมองเพราะกำลังคิดเรื่องเขินๆอยู่ในใจ
โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเผลอไปแผลงศรปักกลางหัวใจกลุ่มคนตรงหน้าเข้าให้เสียหนึ่งดอก
"อุก…" ฝ่ามือหยาบกร้านต่างยกขึ้นมากุมหัวใจก่อนจะถอยออกไปราวกับพ่ายแพ้ให้กับออร่าบางอย่างที่เปล่งออกมาจากร่างโปร่งบาง
ดวงตากลมโตจึงมีโอกาสเหลือบมองสมาชิกทีมบาสที่ดูโหลงเหลงยังไงชอบกล
นึกว่าจะมีคนเยอะกว่านี้เสียอีก?
“พวกนาย…ไม่มีผู้จัดการทีมเหรอ?”
ปกติพวกชมรมกีฬาส่วนใหญ่จะมีผู้จัดการชมรมเป็นผู้หญิงกันไม่ใช่เหรอ?
แต่นี่กลับมีแต่ชายโฉดโหดเถื่อน? เพราะชมรมยิงธนูของเขาค่อนข้างจะต่างออกไปก็เลยไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ไม่มี จริงๆชมรมบาสเองก็เพิ่งก่อตั้งจริงๆจังๆเมื่อปีที่แล้วนี้เอง
ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะมีปัญหาอะไรบางอย่างชมรมเลยถูกหยุดไปนานหลายปีเลยน่ะ”
เขานั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวก่อนจะฟังเรื่องราวที่ดูดราม่าทีเดียว
เพราะเขาใช้ชีวิตราบเรียบอยู่ในชมรมยิงธนูที่มีพร้อมทุกอย่างมาตั้งแต่ตอนม.ต้น
เลยไม่เคยรู้เลยว่าชมรมกีฬาอื่นๆก็ต้องดิ้นรนมากเหมือนกัน
เขาเห็นสมาชิกในชมรมบาสต้องเตรียมกันเอง
ทั้งยกกระติกใส่ขวดน้ำเย็น ผ้าขนหนูเปียก ถุงใส่ลูกบาสและอุปกรณ์อื่นๆ…อืม
โชคดีแหะที่ชมรมยิงธนูของเขามีแค่ธนูที่ต่างคนต่างถือกันไปเอง
ไม่ต้องเตรียมของมากมายขนาดนี้
ทีมฝั่งตรงข้ามเริ่มทยอยเดินเข้ามาในสนามแล้วเช่นกัน…ซึ่งฝั่งนั้นมากันจัดเต็มมาก
ทั้งสมาชิกที่มีมากกว่าทางนี้หลายเท่าตัว ทั้งผู้จัดการทีมสาวที่มีถึงสองคน
ดูเหมือนจะมีเด็กในโรงเรียนตามมาเชียร์ด้วย
ถ้าเทียบกับอัฒจรรย์ที่ว่างโล่งของฝั่งเขาแล้วมันก็อดที่จะหันไปถามคุณกัปตันทีมไม่ได้
“ทีมนายนี่ไม่มีใครมาเชียร์เลยเหรอ?” อึ้ก!
ถึงจะเป็นคำถามแทงใจไปหน่อยแต่พอมันถูกเอ่ยออกมาจากใบหน้าตาใสของนารุมิยะ
มินาโตะแล้วคนฟังก็โกรธไม่ลงจริงๆ
“…คือ…ทีมบาสของเราก็นับเป็นทีมน้องใหม่ก็ว่าได้แหละ
แถมยังไม่มีหนุ่มฮ็อตอยู่ในชมรมอย่างเจ้าพวกนั้นอีกอ่ะนะ
ก็เลยอาจจะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่”
“งั้นเหรอ” ใบหน้ามนเอียงคอน้อยๆก่อนจะปล่อยผ่านไป
แต่มันไม่น่าสงสารไปหน่อยเหรอเนี่ย? เป็นชมรมยิงธนูที่ยิงกันเงียบๆอย่างพวกเขาก็ว่าไปอย่าง
แต่กีฬาอย่างบาสเกตบอลที่ต้องการเสียงเชียร์อย่างคึกคักเพื่อสร้างแรงใจกลับไม่มีใครมาดูเลยแบบนี้
“นี่ไง นายเป็นกองเชียร์คนแรกของพวกเราไงนารุมิยะ!” พวกสมาชิกชมรมบาสมองเขาอย่างซาบซึ้ง…อื้ม
ให้เขาเป็นมันทุกอย่างเลยก็แล้วกัน ตั้งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้จัดการทีม
ยันกองเชียร์…
พวกนั้นลงไปวิ่งวอล์มในสนามก่อนจะกลับมาล้อมวงประชุมวางแผนการแข่งกัน
เขาถึงได้มีเวลาก้มมองโทรศัพท์มือถือที่มีข้อความเข้ามา
[เพิ่งเรียนเสร็จ กำลังไป]
เป็นข้อความจากชู…หลังจากที่รู้ว่าเขาต้องมาสนามบาสคนเดียวเพราะเซยะติดไปแข่งเคมีระดับประเทศ
ชูก็แทบจะโดดเรียนกวดวิชามากับเขาตั้งแต่เช้าแล้ว ดีที่ห้ามทัน
[อื้ม รออยู่]
เขาตอบกลับไปสั้นๆเพราะเสียงนกหวีดเรียกลงสนามดังขึ้นแล้ว
“นารุมิยะ! ให้พรพวกเราหน่อยสิ!” ห๋า?!
เขาไม่ใช่นักบวชจะไปรู้บทสวดให้พรได้ยังไง…แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนของเหล่าสมาชิกที่มองมาแล้วก็…
เฮ้อ…เขาลอบถอนหายใจเบาๆ
เอาเถอะ ถ้าแค่พูดธรรมดาๆก็คงพอได้อยู่มั้ง?
“....ทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน ขอให้ชัยชนะอยู่กับพวกนาย” เขายิ้มให้กำลังใจ
แต่รอยยิ้มอันหาได้ยากของเขากลับทำให้เจ้าพวกนั้นนิ่งค้างไป…
ก็นั่นแหละ
ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยิ้มอะไรมากมายอยู่แล้ว
และรอยยิ้มที่เขาคิดว่าแสนธรรมดานั้นกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูใสบริสุทธิ์มากในสายตาของคนอื่น
เหมือนรอยยิ้มที่มากับคำอวยพรของเทพเจ้าจริงๆ
“นารุมิยะ…นายนี่น่ารักกว่าที่คิดจริงๆด้วยแหะ
ที่มีข่าวลือว่าพิชเชอร์สุดฮ็อตของชมรมเบสบอลตามจีบนายอยู่นี่เรื่องจริงใช่ป่ะ?”
จู่ๆคุณกัปตันก็พูดพร้อมลูบคาง
มันใช่เวลามาสงสัยเรื่องนั้นเร๊อะ!
แล้วหมอนั่นก็ไม่ได้ตามจีบเขาแล้วหลังจากพ่ายแพ้ทีมเบสบอลของคิริซากิแบบยับเยินจนไม่มีเวลาว่างมาทำอย่างอื่นได้อีก
“มีสมาธิ…แล้วก็ตั้งใจแข่งกันสิ”
ดวงตากลมโตขมวดคิ้ว กลุ่มคนตรงหน้าจึงพากันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เหมือนจะมีกำลังใจเต็มเปี่ยมกันแล้วแหละมั้ง
ร่างในชุดบาสโรงเรียนคาเซไมเดินลงสนามด้วยความรู้สึกมีไฟอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เสียงเอี๊ยดๆของรองเท้าบาสที่เสียดสีไปกับพื้นสนามให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเวลาที่พวกเขาสวมทาบิแล้วสืบเท้าเข้าไปในโดโจเลยจริงๆ
ทั้งกายใจของพวกเขาต้องนิ่งสงบต่างจากเหงื่อกาฬที่ไหลลงมาราวกับน้ำตกของทางนี้โดยสิ้นเชิง
กึ้ง!!
เสียงลูกบาสที่กระทบโดนห่วงก็ต่างจากเสียงลูกธนูที่ปักลงไปกลางเป้ามาก
แต่กระนั้นมันก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน
ใบหน้ามนมองตามเพื่อนๆของเขาอย่างแอบลุ้นในใจให้ทำแต้มได้ไวๆ
ถึงจะจับพลัดจับผลูจนต้องมาอยู่เชียร์แบบงงๆแต่เขาก็อยากให้ทีมบาสของเขาชนะ
ก็พวกนั้นยอมทำถึงขั้นพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยนี่นา
คงจะรักบาสเกตบอลมากจริงๆ
ปี๊ด!
มีเสียงนกหวีดดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะๆ
รอบๆสนามเองก็ส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น บรรยากาศมันต่างจากสนามแข่งยิงธนูมาก
เขาจะเผลออินตามไปด้วยก็ไม่แปลกใจเลย
“วิ่งไปๆ!”
“กันไว้ๆ!”
ในสนามเองก็กำลังสู้กันอย่างดุเดือด
มีการปะทะ มีการแย่งบอลกันไปมา มีเสียงตะโกนให้ส่งลูกมา
มีเสียงสวบยามเมื่อลูกบอลถูกชู้ตลงห่วง มีเสียงกึงกังยามเมื่อมันเด้งออกมา
แล้วทั้งสองทีมก็น่าจะมีฝีมือสูสีกันเพราะงั้นกว่าจะได้มาแต่ละแต้มจึงต้องสู้กันอย่างยากเย็น
สองมือของเขาเผลอยกมากุมกันอยู่บนหน้าอก
และทุกครั้งที่เจ้าพวกลูกทีมหันมาเห็นว่าเขากำลังมองดูอยู่ด้วยสีหน้าลุ้นๆ
พวกนั้นก็มักจะหันกลับไปเล่นต่อด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ปี๊ดดดด
เพราะงั้นหมดเวลาในครึ่งแรก
ทีมฝั่งตรงข้ามจึงนำทีมของพวกเขาอยู่แค่แต้มเดียว
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก” ตัวจริงทั้งห้าคนเดินกลับมานั่งหอบอยู่ข้างม้านั่ง
แค่ไม่กี่สิบนาทีนี้ก็วิ่งไป-กลับรอบสนามมาไม่รู้กี่รอบ
จะหอบและมีเหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัวแบบนั้นก็ไม่แปลก
“นารุมิยะ โทษที ช่วยหยิบน้ำให้หน่อย” คุณกัปตันหันมาบอกเขาที่ดันนั่งอยู่ข้างกระติกน้ำพอดี
มือบางจึงหยิบทั้งขวดน้ำทั้งผ้าเย็นส่งให้ราวกับเป็นผู้จัดการสาวของชมรมไปแล้ว…ให้ตายเถอะ
“ขอบใจนะ นายสนใจมาเป็นผู้จัดการทีมให้พวกเราไหม? ฉันจะยกให้นายเป็นดอกไม้ของทีมบาสเราเลย”
ดอกไม้อะไรล่ะ
“ขอปฏิเสธ” เขาตอบออกไปอย่างไรเยื้อไย
แต่พวกนั้นกลับหัวเราะให้ความขวานผ่าซากของเขาอย่างเอ็นดู
“แต่เพราะมีนายอยู่จริงๆด้วย แต้มเราถึงไม่ถูกทิ้งห่างขนาดนี้ หึๆๆ”
แต่ตอนนี้ก็ตามอยู่ไม่ใช่เหรอ? หรือปกติแล้วจะแพ้ราวรูดกว่านี้?......
“ดูสิ เจ้าหมอนี่ไม่เคยชู้ตลงเลยนะที่ผ่านมาอ่ะ
มันต้องเป็นเพราะนายแน่ๆนารุมิยะ!” เจ้าพวกนั้นโยนขวดน้ำคืนเขาก่อนจะตบมาที่ไหล่บางอย่างอารมณ์ดี…ไม่ละ เขาไม่น่าจะไปบ่งการให้ลูกบาสลงห่วงได้นะ มันเป็นผลของการฝึกซ้อมของพวกนายเองมากกว่า…
“ว่าแล้วนายมันสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
ลูกสามแต้มของฉันลงแบบปาฏิหาริย์เลยอ่ะนายเห็นไหม?” มือใหญ่ๆของใครบางคนจับหมับลงบนหัวเขาแล้วโยกไปมา ถึงอย่างงั้นก็เถอะ
นายไม่ควรลูบหัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของนายแบบนี้นะ…
“รวมตัวได้แล้ว” ยังไม่ทันจะหายหอบดี
โค้ชของทีมก็เรียกให้พวกเสาไฟฟ้าทั้งหลายไปล้อมวงวางแผนการเล่นในครึ่งหลังต่อ
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจในขณะที่มองกองผ้าขนหนูที่ถูกทิ้งระเกะระกะอยู่ที่พื้น
จะทิ้งไว้แบบนั้นมันก็ดูไม่ดี มือบางจึงหยิบมาโยนใส่กระติกไว้ให้อย่างอดไม่ได้
“ไปลุยครึ่งหลังกัน! ไม่ต้องกลัว เราชนะแน่ เรามีนารุมิยะอยู่ตรงนี้ทั้งคน!”
แล้วก็มีเสียงเฮดังตามมา…มือที่ล้อมวงจับอยู่ชูขึ้นฟ้าอย่างฮึกเหิม…มันควรจะเป็นคำปลุกใจเหรอเนี่ยชื่อเขา?....
แล้วก่อนที่แถวตัวจริงทั้งห้าจะเดินลงสนาม
ก็ยังอุตส่าห์เดินวนมาเพื่อขยี้หัวเขาบ้าง
จูบหลังมือบ้างอย่างกับจะเอาฤกษ์เอาชัยอีกแน่ะ
เขานั่งลงที่ม้านั่งพลางทำหน้าดื้อ
หัวยุ่งไม่พอยังเปียกอีกด้วยเนี่ย โธ่…
ปี๊ดดด
เสียงนกหวีดเริ่มการแข่งขันขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองทีมยังคงสู้กันอย่างสูสี เขามัวแต่มองตามอย่างลุ้นระทึกไปด้วยเลยไม่ทันเห็นเลยว่าชูมานั่งลงข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
“อ๊ะ มาแล้วเหรอ?” ใบหน้ามนยิ้มให้คนมาใหม่
“อื้ม แต้มเท่ากันเลยนี่นา” ใบหน้าหล่อเหลาของฟูจิวาระ
ชูหันไปมองแป้นบอกคะแนนด้วยสีหน้าราบเรียบตามปกติ
…ปกติในสายตาของนารุมิยะ มินาโตะคนเดียวน่ะนะ
เพราะสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างสมาชิกชมรมบาสเกตบอลที่หันไปเห็นว่าใครเดินมานั่งลงข้างๆเทพีแห่งชัยชนะของตนต่างก็ขนหัวลุกกันทั้งทีม
นั่นฟูจิวาระ
ชูจากโรงเรียนคิริซากิไม่ใช่เร๊อะ?!
ไหงเจ้าชายของโรงเรียนไฮโซนั่นถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?! แถมยังเป็นม้านั่งฝั่งของพวกเขาอีกต่างหาก!
จริงอยู่ที่เด็กนักเรียนคาเซไมส่วนใหญ่จะรู้ว่านารุมิยะ
มินาโตะสนิทกับฟูจิวาระ ชู
แต่ก็ไม่คิดว่าคุณชายจากตระกูลเก่าแก่จะมาหาแม้แต่ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์แบบนี้ด้วย
แล้วดูแววตาเย็นชาราวกับพญายมที่จ้องเขม็งมายังพวกเขานั่นสิ!
ดูรังสีอำมหิตและจิตสังหารจากร่างกายที่กำลังนั่งกดดันพวกเขาอยู่นั่นสิ!
ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่พวกเขาก็หวาดผวาไปทั้งทีม
จากที่วิ่งกันเต็มที่อยู่แล้วก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ?!
ก็สีหน้าประมาณว่า…อย่าทำให้มินาโตะของฉันต้องเสียเวลา
รีบๆยัดลูกบาสหน้าโง่พวกนั้นลงห่วงไปซะ…ของฟูจิวาระ
ชูก็ทำเอาสันหลังของทั้งทีมเสียววาบ
อะดรีนะลีนจากไหนก็ไม่รู้หลั่งไหลออกมาทั่วร่างกาย
เหมือนมีเทพเจ้าแห่งความตายนั่งกระดิกเท้าอยู่ข้างๆนางฟ้าที่ยิ้มอ่อนโยนมาให้พวกเขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวยังไงอย่างงั้น
จากที่เคยวิ่งอยู่ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์กลับพลิกผันเป็นนรกโลกันต์ในฉับพลัน…
นะ…เห็นแบบนั้นแล้วใครจะไปอยู่เฉยได้
พวกเขาจำต้องวิ่งกันลืมตาย ต้องโยนลูกบาสกันลืมหายใจ
ถ้าไม่ชนะเขาอาจจะโดนเจ้าของใบหน้าเย็นชานั่นฆ่าเอาก็ได้…
น่ากลัวเกินไปแล้วคร้าบบบ~
ได้ข่าวว่าฟูจิวาระ
ชูเป็นลูกชายตระกูลผู้มีอิทธิพลด้วยนี่? อาจจะมีบอร์ดี้การ์ดนักฆ่ามาตามเก็บพวกเขาก็ได้นะถ้าแพ้
นั่นแหละ… แต้มฝั่งคาเซไมจึงไหลมาเทมายิ่งกว่าน้ำตกไนแองการ่า…พวกเขาวิ่งกันไม่ลืมหูลืมตาจนทีมคู่แข่งถึงกับงงว่าไปโดนผีตัวไหนเข้าสิงมา
ปิ๊ด
ปิ๊ด ปิ๊ด ปี๊ดดดด
แล้วคาเซไมก็ชนะจนได้~~ โฮ~~~
ลูกทีมต่างก็วิ่งเข้ามากอดศูนย์รวมจิตใจอย่างนารุมิยะ
มินาโตะด้วยความดีใจ
แต่ก็ต้องถอยอย่างไวเพราะมีรังสีอำมหิตและจิตอาฆาตลอยหึ่งอยู่ข้างๆ
พวกเขากระโดดโล้ดเต้นกับชัยชนะที่ได้มาราวกับปาฏิหาริย์
จริงอยู่ส่วนหนึ่งมันอาจจะเป็นเพราะผลของการฝึกซ้อม แต่ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้มีกำลังใจในการแข่งขันมากเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย
ก็อย่างที่นารุมิยะเห็นนั่นแหละว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมที่พร้อมอะไรเลย
เพิ่งฟอร์มทีมได้แค่สองปี ผู้จัดการทีมก็ไม่มี คนมาเชียร์ก็ไม่มี
แข่งๆไปบางทีก็รู้สึกถอดใจกลางทางก็มี
เพราะงั้นการปรากฏตัวของนารุมิยะในวันนี้จึงมีความหมายต่อพวกเขามาก
เป็นเหมือนกำลังใจที่พวกเขาไม่เคยได้รับมาก่อน…
สายตาทุกคู่ของสมาชิกในทีมจึงมองไปที่ร่างโปร่งบางนั่นอย่างขอบคุณ
"เอ่อ…นารุมิยะ
เดี๋ยวพวกเราจะไปฉลองกันที่ร้านคาราโอเกะ นายไปด้วยกันไหม? เอ่อ…ถ้าอยากไปละก็นะ…" กัปตันทีมบาสเหลือบมองคนข้างๆอย่างเกรงใจ
เพราะฟูจิวาระ ชูไม่พูดอะไรกับพวกเขาเลยนั่นแหละ
เลยทำให้ยิ่งดูน่ากลัวและดูเป็นคนละชนชั้นกับเด็กธรรมดาๆอย่างพวกเขาเข้าไปใหญ่
"ขอบใจนะ แต่พวกนายไปกันเถอะ ฉันต้องไปซ้อมยิงธนูกับชูต่อ
หมอนี่มารอรับแล้ว" ….แค่มารอรับไปซ้อมด้วยกันหรอกเร๊อะ
ไม่บอกนี่นึกว่าจะมาฆ่าใครอ่ะ
มันก็น่าสงสัยจริงๆ
ว่าคนที่เหมือนมาสคอตอย่างนารุมิยะไปคบหากับคนน่ากลัวอย่างเจ้าชายของคิริซากิได้ยังไง?
ไม่ได้ถูกข่มขู่อยู่ใช่ไหม?
หรือจะถูกบังคับ? ถูกกลั่นแกล้งอยู่?
หรือจะต้องมีแฮชแทก "SaveMinato" แล้วไหม?
ในขณะที่พวกเขากำลังคิดไปเอง
โอจิของชมรมยิงธนูก็โบกมือลาแล้วเดินสะพายถุงใส่ธนูออกไปพร้อมกับร่างสูงสง่าของว่าที่ผู้นำตระกูลฟูจิวาระ
พวกเขาต่างก็ยืนมองตามกันทั้งทีม…เข้าไปขวางดีไหมนะ?
ต้องช่วยนารุมิยะออกมาจากกำมือของจอมมารร้ายไหมนะ? แต่พวกเข้าเป็นแค่นักกีฬาบาสเกตบอลธรรมดาๆจะไปต่อกรกับเจ้าแห่งนรกได้ยังไง?
#
SaveMinato ทางเดียวแล้วที่ทำได้!
แต่ตลอดทางจนไปถึงรถหรูที่จอดรออยู่
ฟูจิวาระ ชูกลับยิ้มให้นารุมิยะอย่างอ่อนโยนมาก~ มากจนพวกเขายืนมองอย่างอึ้งๆกันทั้งทีม…
ทำไมยิ้มแบบนั้นให้นารุมิยะได้ละเฮ้ย?!
แล้วกับพวกเขานั่นมันอะไร??? ไม่ได้ชื่อมินาโตะก็ลำบากไปงี้เร๊อะ?! นี่วิ่งกันแทบตายเลยนะ!
สมาชิกทีมบาสคาเซไมต่างยืนอ้าปากค้างจนรถแล่นลับสายตาไป…ถึงที่จริงพวกเขาจะชนะได้เพราะความกลัวที่มีต่อผู้ชายคนนั้นก็เถอะนะ
ถึงฟูจิวาระ
ชูจะสั่งให้สร้างโดโจส่วนตัวไว้ที่ไหนสักที่เพื่อเอาไว้ฝึกซ้อมกันแค่สองคนกับนารุมิยะ
มินาโตะได้อย่างสบายๆ แต่พวกเขากลับชอบมาใช้ที่นี่มากกว่า
โรงฝึกของอ.ไซออนจิ
เพราะเรื่องราวระหว่างพวกเราเริ่มต้นขึ้นที่นี่
มันมีความทรงจำมากมาย เพราะงั้นถ้าจะมาเดตกันก็คงไม่มีที่ไหนดีไปกว่าที่นี่อีกแล้ว
ปั้ก!
ธนูดอกที่16 ปักอย่างต่อเนื่องลงไปกลางเป้าพร้อมๆกันท่ามกลางกลีบซากุระที่ร่วงลงมาอย่างอ้อยอิ่ง
ยิ่งในฤดูใบไม้ผลิโดโจแห่งนี้จะยิ่งสวยงามเป็นพิเศษเพราะมันถูกล้อมรอบไปด้วยต้นสึสึจิหรือกุหลาบพันปีที่กำลังออกดอกตระการตาไม่แพ้ต้นซากุระที่อยู่เบื้องบนเลย
ดวงตาสีม่วงสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามไรผมสีดำของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าจึงลดคันธนูลง
"พักกันก่อนเถอะมินาโตะ" เสียงทุ้มทำให้ใบหน้ามนยิ้มออกมาบางๆ
ชูใส่ใจเขาอยู่เสมอ ชูมักจะรู้ลิมิตของเขาผ่านการเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา
"อื้ม" เสียงนุ่มตอบไปอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินไปยังที่วางคันธนู
"ฉันถามได้ไหม ว่าทำไมพวกชมรมบาสเกตบอลต้องขอร้องให้มินาโตะไปดูการแข่งขันด้วย?"
มือใหญ่วางคันธนูไม้ไผ่ลงไปข้างๆคันธนูสีดำ
ก่อนจะหันกลับมาหาร่างโปร่งบางที่กำลังยืนถอดถุงมืออยู่
"เฮ้อ…มันน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะ ไม่สิ
เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆนั่นแหละ" คิ้วสีดำขมวดเข้าหากันก่อนจะทำหน้ายุ่ง
"หื๋ม? ยังไง?"
"ก็นานาโอะน่ะสิ ไปหลอกพวกนั้นว่า…ที่เพื่อนๆในชมรมยิงธนูเก่งกันจนได้แชมป์ระดับจังหวัด…เป็นเพราะลูบหน้าผากฉัน…"
"อุ๊บ ฮ่าๆๆ" ใบหน้าหล่อเหลาหลุดหัวเราะอย่างหยุดไม่อยู่
ถึงแม้นานๆทีจะได้เห็นชูหัวเราะแบบนี้ก็เถอะ แต่มันก็น่าหมั่นไส้ยังไงไม่รู้
".....หยุดหัวเราะเลยนะชู" เขาทำหน้าดุ
"นั่นแหละ พวกชมรมบาสเลยคิดว่าฉันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำชมรมยิงธนู
ก็เลยขอยืมตัวฉันไปที่สนามบาสด้วย เผื่อจะทำให้โชคดีจนชนะการแข่งขัน"
ชูยิ่งหัวเราะหนักกว่าเก่าจนเขาต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก
ขำอะไรนักหนาเนี่ย~ ถึงจะเข้าใจก็เถอะว่าขำอะไร!
"อย่างงี้นี่เอง…" ชูหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลกว่าจะหยุดได้
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งคิดไปนิดนึงก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ด้วยแววตาไม่น่าไว้ใจ
"อืม…หมายความว่าถ้าอยากยิงธนูเก่งๆ
ก็ให้ลูบหน้าผากมินาโตะสินะ?"
"นี่นาย…ได้ฟังที่ฉันพูดไหมเนี่ยว่านานาโอะกุเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น"
"ฉันก็อยากยิงธนูเก่งๆบ้างน่ะมินาโตะ" เจ้าชายของชมรมยิงธนูคิริซากิทำหน้าอ้อน ไม่พอ
ยังยื่นมือเข้ามาจนเขาต้องก้าวถอยหลัง
"เดี๋ยว! หูนายไม่ดีหรือไงชู?!"
"ขอฉันลูบด้วย…หน้าผากของมินาโตะ"
แผ่นหลังของเขาชนเข้ากับข้างฝา ไม่มีที่ให้ถอยหนีแล้ว
"เดี๋ยว" แล้วร่างโปร่งบางก็โดนดันจนล้มนั่งพิงผนัง
ร่างสูงสง่าตามลงมากางแขนกั้นกักขังเขาเอาไว้
ดวงตาสีม่วงจ้องมองเข้ามาในดวงตาของเขาอย่างสื่อความหมาย
"ได้ไหมมินาโตะ?" น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นออดอ้อนจนเขาต้องยอมใจอ่อน
"เฮ้อ…ตามใจแล้วกัน แต่มันไม่มีผลอะไรหรอกนะ"
"อื้ม" ชูพยักหน้าอย่างดีใจ
แต่แทนที่มือใหญ่จะยกขึ้นไปแตะหน้าผากใส
กลับกลายเป็นใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้าไปใกล้แทน…
ฟูจิวาระ
ชูไม่ได้ลูบหน้าผากเขาด้วยมือ…
แต่ลูบด้วยปาก…
จุ๊บ…
ซ่า~~
เสียงลมหอบกลีบซากุระพัดปลิวว่อนในจังหวะที่แสนพอดี
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
ได้ยินเสียงหัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำ
ขนาดเคยจูบมาแล้วแทบจะทุกส่วนของร่างกาย
แต่พอชูทำอะไรแบบนี้ทีไรเขาก็ยังใจเต้นแรงอยู่ดี
เหมือนจะตกหลุมรักได้ไม่มีวันสิ้นสุดเลย
ร่างสองร่างยังค้างอยู่ท่าเดิม…
ริมฝีปากร้อนจูบหน้าผากใสอย่างอ่อนโยน
ดวงตากลมโตจึงปิดลงรับความอ่อนหวานนั้นด้วยใบหน้าอมยิ้ม
ถ้าจะลูบหน้าผากเขาแบบนี้…มันก็โอเคอยู่นะ
ชูละออกมาก่อนจะจ้องมองเขาไม่วางตา “ฉันคิดว่ามันได้ผลนะมินาโตะ”
“หื๋อ?”
“ดูสิ
ปีนี้ฉันเป็นแชมป์ระดับประเทศทั้งประเภทชายเดี่ยวและประเภททีม…นั่นก็เพราะว่าฉันได้ลูบหน้าผากมินาโตะมากกว่าใครไงล่ะ”
แล้วริมฝีปากของชูก็ลูบ?หน้าผากเขาอีกหลายรอบ
สัมผัสนุ่มๆอุ่นๆที่จูบซ้ำๆลงมากำลังบอกรักเขาแทนคำพูดทั้งหมดทั้งมวล
"ฮะฮะ" เขาหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
ก่อนที่ดวงตาของพวกเราจะสบประสานท่ามกลางความเงียบงันอีกครั้ง
"ชู ฉันบอกเคล็ดลับให้เอาไหม?" เสียงนุ่มเอ่ยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มซุกซน
จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มันคงจะเป็นความไม่ยอมแพ้ของเด็กผู้ชายนั่นแหละ
"หื๋ม?"
"ไม่ใช่ที่หน้าผากหรอกที่ลูบแล้วจะทำให้ยิ่งธนูเก่ง"
ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับยกยิ้มอย่างรู้ทัน แต่ก็ยังแกล้งถามออกมา
"ถ้างั้น…ต้องลูบตรงไหนล่ะ?"
เขาจึงยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างใบหูของชู
"ทั้งตัว"
"ฮึ…ได้สิ
เพราะฉันจะต้องเป็นคนที่ยิงธนูเก่งที่สุดในโลก"
แล้วร่างทั้งร่างก็ถูกอุ้มลอยขึ้นกลางอากาศ
ชูไม่รอช้ารีบก้าวขาพาเขาไปยังห้องแต่งตัวทันที
สองแขนบางสอดคล้องลำคอแกร่งอย่างรู้งาน
และถึงแม้ร่างทั้งร่างจะถูกวางลงบนตู้ไม้เตี้ยๆ เขาก็ยังคล้องคอชูไว้
แขนแข็งแรงกางกั้นยันตู้ไม้หนาหนัก
ก่อนที่ริมฝีปากของชูจะลูบ?ลงมาที่กลีบปากเขาเป็นที่แรก เรียวลิ้นยังแทรกเข้าไปลูบ?ถึงข้างใน
ลิ้นร้อนรุกรับกันนัวเนีย
ยิ่งมีน้ำลายเหนียวหนืดมาผสาน รสชาติในโพรงปากก็ยิ่งหวานจนยากที่จะละออกมา
มือใหญ่ดึงรั้งคอเสื้อจากด้านหลังจนมันหลุดจากไหล่ขาว
ริมฝีปากกดจูบลูบ?ลงไปที่ไหปลาร้า ก่อนจะค่อยๆจูบไล่ขึ้นไปยังลาดไหล่
ฮากามะสีกรมหลุดรุ่ยด้วยมือเพียงข้างเดียวก่อนที่เสื้อยืดสีดำที่สวมอยู่ข้างในจะถูกถลกเลิกขึ้นไปจนเผยให้เห็นยอดอกสีชมพูชูชัน
แล้วริมฝีปากของชูก็ลูบ?ลงไปจนไหล่บางต้องห่อเข้าหากันเพราะความเสียวซ่าน
จุ๊บ...จุ๊บ...จุ๊บ...เสียงจูบดังเป็นจังหวะเชื่องช้าไปพร้อมกับสัมผัสที่ค่อยๆขยับจากหน้าอกไล่ลงไปตามลำตัว
จนมันไปหยุดอยู่ที่หน้าท้องแบนราบ
เส้นผมสีชาปรกลงมาเมื่อใบหน้าหล่อเหลาละออกไปเล็กน้อยเพื่อจ้องมองมายังหน้าท้องของเขา
แค่ได้เห็นสายตาที่มองลงมายังเรือนร่างของเขาก็ทำเอาร้อนลุ่มจนบอกไม่ถูก
“อื้อ~” ริมฝีปากร้อนลูบ?ลงไปตรงตำแหน่งเหนือสะดือ
ผิวอ่อนนุ่มจึงสะดุ้งเบาๆ ในท้องน้อยเสียบวูบไปหมดจนร่างทั้งร่างถึงกับสั่นสะท้าน
ไม่ไหว...ตรงนี้มัน...เซ็กซี่เกินไป...
ใบหน้าหล่อเหลาจูบไปยิ้มไป
ถึงตัวมินาโตะจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่เขาคงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะลูบ?หมด
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลำบากอะไร
ในเมื่อเขามีเวลาให้มินาโตะทั้งวันทั้งคืน
ไม่สิ
ทั้งชีวิตเลยต่างหาก
เขาจะลูบ?ไปจนกว่าเขาจะเก่งระดับหลับตาก็ยังยิงเข้ากลางเป้านู่นแหละ
เตรียมใจไว้ล่ะ
มินาโตะ
หลังจากวันนั้น
ที่หน้าโรงฝึกของชมรมยิงธนูคาเซไมก็มีป้ายไวนิลผืนใหญ่ขึงประกาศบอกไว้ว่า
[นารุมิยะ มินาโตะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชมรมยิงธนูเท่านั้น ชมรมอื่นห้ามยืม!
ใครฝ่าฝืนจะโดนคำสาป~]
[ลงชื่อ…ทาเคฮายะ เซยะ
ประธานชมรมยิงธนูผู้เชี่ยวชาญด้านคุณไสยทุกประเภท!]
[ปล.ชมรมที่คิดจะมาจีบไปเป็นผู้จัดการทีมก็จะโดนสาปเช่นกัน]
ใบหน้ามนได้แต่ยิ้มแห้งในขณะที่ยืนมองป้าย
ดูเหมือนเซยะจะแค้นเคืองมากที่เขาถูกพวกชมรมบาสเกตบอลฉกตัวไปตอนที่เซยะไม่อยู่พอดี
แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าชูก็มีเอี่ยวเรื่องป้ายนี่ด้วยก็ไม่รู้แหะ?
เพราะเมื่อวานเขาแอบเห็นชูโทรคุยกับเซยะทั้งๆที่สองคนแทบไม่เคยโทรคุยกันเลย
อะไรกันนะ? นารุมิยะ
มินาโตะได้แต่เอียงคออย่างสงสัยต่อไป
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
มันเป็นสปอยด์นิดหน่อยนาคะตอนนี้555 ก็คือในโนเวลเล่มสาม
รุ่นน้องในชมรมไปถามนานาโอะจริงๆค่ะว่าทำยังไงถึงจะยิงธนูเก่งๆ
นานาโอะเลยบอกน้องว่า ให้ไปขอลูบหน้าผากรุ่นพี่มินาโตะนะ แล้วจะยิงธนูเก่ง55555 ละรุ่นน้องก็มาขอลูบจริงๆ ไม่พอ เรียวเฮย์ผ่านมาได้ยินก็ขอลูบด้วย โอ๊ย5555
แต่เหม่งน้อนมันก็น่าลูบจริงๆนะ >////< น่ารักกกก
ส่วนอันนี้ภาพประกอบฟิค(?)ตอนนี้ค่ะ
555 ก็ลูบด้วยริมฝีปากไปเลยสิค้า ตัวพ่อจะแคร์อัลไลลลล >/////<
มีคอมเม้นต์ว่าอยากเห็นโอบิด๋อยน้อนกับชูชัดๆ อิๆๆ จัดไปค่ะ >////< ตอนนี้ยังเหลือเซยะที่ยังหาหัวที่คล้ายๆไม่ได้ รอมัมหมีก่อยนะเซย๊า~ (จิ้มที่รูปเอานาคะถ้าจะดูรูปใหญ่)
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆการติดตาม ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทด้วยนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น