ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 520 km/hr. again [Part2]

 ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 520 km/hr. again [Part2]

 

ป๋อจ้าน Fanfiction Au

หวังอี้ป๋อ เซียวจ้าน

: Romantic

: NC-17

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ

           ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค

  

 

GLIDE : 2x4 It’s me : Special Episode :

 

“520 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

.

.

.

 


การซ้อมรอบที่1หรือ Free Practice 1 ผ่านไปด้วยความทุลักทุเล เวลาของหวังอี้คุนอยู่ในระดับกลางๆเท่านั้นแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พิตม้าลำพองผิดหวัง 


วิศวกรและทีมช่างต่างกำลังปรึกษาหารือกันเพื่อปรับแต่งรถให้เข้ากับเขามากที่สุด หม่าม้าเองก็กำลังหัวหมุนกับการวิเคราะห์เพิ่ม-ลดดาวน์ฟอร์ซให้เขา โปรแกรมที่ใช้ในการซิมูเลเตอร์ถูกฉายขึ้นจอยาวเป็นพรืดซึ่งวิศวกรในชุดสีแดงพวกนั้นต่างมองดูและถกเถียงกันไปมา  ส่วนเขาเองก็มีอะไรต้องทำอีกมากมาย ถึงจะหมดเวลาซ้อมไปแล้วแต่เขาก็ยังอยู่ในพิตการาจไม่ไปไหน


ชุดหมีสีแดงถูกปลดครึ่งบนออกก่อนจะใช้แขนเสื้อพันเอวเอาไว้ ชุดกันไฟสีขาวจึงปรากฏแก่สายตา ชุดกันไฟของเฟอร์รารี่แทบจะขาวล้วนไม่มีโลโก้สปอนเซอร์อย่างชุดกันไฟของทีมอื่น ที่อกซ้ายมีแค่ม้าลำพองหนึ่งตัวเท่านั้น นับเป็นชุดกันไฟที่ขาวโล่งที่สุดในกริด ก็นะ เป็นทีมที่แม้แต่สปอนเซอร์ก็ยังเลือก ไม่ใช่ว่าใครมีเงินแล้วจะเอาชื่อมาแปะบนตัวรถสีแดงได้ง่ายๆเสียที่ไหน ยิ่งบนตัวนักขับยิ่งยากไปใหญ่


ดวงตาคมกล้าจ้องมองพวงมาลัยที่ถอดออกมาจากตัวรถ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขายังทำความเร็วเต็มที่ไม่ได้เพราะมันไม่ใช่พวงมาลัยของเขา ก็อย่างที่รู้กันว่าพวงมาลัยรถ F1นั้นเป็นพวงมาลัยที่ซับซ้อนที่สุดในโลก และพวงมาลัยแต่ละอันก็จะออกแบบมาเฉพาะบุคคล นักขับมี20คนก็มีพวงมาลัย20แบบ ทั้ง 20 คนในกริดจะใช้พวงมาลัยไม่เหมือนกันเลยตามความถนัดของแต่ละคน


หวังอี้คุนนั่งลูบๆคลำๆพวงมาลัยรถอยู่บนเก้าอี้ในพิตเพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับมันให้เร็วที่สุด พวงมาลัยของคุณKKแทบจะกลับด้านกับพวงมาลัยของเขา แล้วจะไปหยิบพวงมาลัยของเขามาใช้ก็ไม่ได้ด้วยเพราะเป็นรถคนละคันกัน ไม่มีเวลาปรับแต่งมากขนาดนั้น


เขาพยายามจดจำปุ่มสีสันสดใสต่างๆที่อยู่บนแป้น ลองหมุนปรับโหมดเครื่องยนต์  ลองบิดตัวเลื่อนเวลาเข้าโค้ง ลองกดปุ่มDRS เป็นนักขับมันง่ายที่ไหน เขาต้องแยกสติกดเจ้าปุ่มพวกนี้ในขณะขับรถที่ความเร็วเกือบ300กิโลเมตรต่อชั่วโมงเชียวนะ


“เป็นไงบ้างอี้คุน คุ้นกับรถขึ้นบ้างรึยัง?”   เอลวิน สมิธ ทีมบอสของเหล่าม้าลำพองเดินเข้ามาตบไหล่เด็กหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่ยังแบเบาะ หวังอี้คุนกำลังหลับตาหมุนพวงมาลัยไปมาราวกับกำลังจินตนาการว่าขับรถอยู่


“คุณเอลวิน”   ดวงตาคมกล้าเปิดขึ้นมามองเขาก่อนจะยิ้มบางๆให้


“ไปขับซิมูเลเตอร์ไม่ดีกว่าเหรอ?”   เขาทักเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเหมือนจะอยากจำลองการขับในสนาม


“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากทำความคุ้นเคยกับพวงมาลัย มันไม่เหมือนของผม”   เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆก่อนจะก้มลงไปมองปุ่มสีสันสดใสพวกนั้น  เขามองลูกชายของเซียวจ้านด้วยดวงตาเชื่อมั่น เขาเชื่อจริงๆนะว่าอี้คุนเหมาะกับรถของเฟอร์รารี่มาก


คนอื่นอาจจะไม่รู้แต่บ้านของเขาอยู่ติดกับสนามคาร์ทและสนามแข่งเล็กของมาราเนลโล่ หวังอี้คุนและกลุ่มเพื่อนมักจะไปที่นั่น บางวันก็หนีตายายมาแข่งรถเพราะไม่นานก็จะโดนลากกลับไป เขาเห็นหมดนั่นแหละทั้งตอนที่แข่งโกคาร์ทกินเงินพนันกัน ทั้งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ มอเตอร์ไซค์วิบาก ทั้งซุปเปอร์คาร์ ทั้งรถแต่ง เจ้าเด็กบ้านรวยพวกนั้นเอามันทุกอย่างที่จะสรรหามาแข่งกันได้นั่นแหละ และเขาบอกได้เลยว่าหัวจิตหัวใจของหวังอี้คุนนั้นไม่ธรรมดา  ฝีมือก็อีกเรื่องแต่หัวใจที่ไม่กลัวอะไร ดุดัน พยศจนใครก็เอาไม่อยู่แบบนั้นคือหัวใจที่ม้าลำพองต้องการ


เขาเฝ้ามองการเติบโตของเด็กหนุ่มมาตลอด ตอนช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเขายังแอบหวั่นใจเลยว่าหวังอี้คุนจะไปเลือกแข่งมอเตอร์ไซค์เหมือนพ่อ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงเป็นความสูญเสียของวงการฟอร์มูล่าวันน่าดู 


ก็ในขณะที่เจ้าครูเทโอ้คอยไปล่อลวงลูกกระต่ายของเซียวจ้านให้เข้าแผนกออกแบบรถ เขาเองก็คอยแอบตะล่อมลูกสิงโตของเซียวจ้านทุกครั้งที่เจอเช่นกันว่าให้เลือกขับ F1


“พอจะมีเทปบันทึกการซ้อมของอาคะชูไหมครับ?”   เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาถามเขา


“มีสิ ถ้าอยากดูก็ไปขอที่ฝ่ายเทคนิคได้เลย นายศึกษาไว้ก็ดีเพราะนั่นน่ะชั้นครูเลยนะ”   นักขับมือหนึ่งของเขาทุกคนคือของแท้แน่นอนตั้งแต่รุ่นไหนๆมาแล้ว 


“ครับ ขอบคุณครับ”   เด็กหนุ่มก้มหัวให้ก่อนจะเดินจากไป เขามองแผ่นหลังกว้างนั่นด้วยสายตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น หากเจียระไนให้ดี เพชรเม็ดนี้อาจจะเทียบเท่าเพชรเม็ดที่โหดที่สุดของเขาอย่างรีไวเลยก็ได้













การซ้อมรอบที่สองเริ่มขึ้นในช่วงบ่าย…


"ผมจะเบรกให้ลึกกว่านี้ในทุกๆรอบ ช่วยบันทึกจุดเบรกที่เร็วที่สุดให้ผมด้วย"  เสียงขาดๆหายๆดังมาจากวิทยุสื่อสารของรถที่ติดคำว่า SF21 YIKUN ไว้ที่ตัวถัง


SF21 คือชื่อรุ่นของรถในปีนี้ ส่วน YIKUN ก็คือชื่อของคนที่กำลังขับมันอยู่


"เจ้าเด็กบ้า! เดี๋ยวก็เสยกำแพงหรอก! เบรกลึกกว่านี้ไม่ได้แล้ว!!!"  เอเลน เยเกอร์ซึ่งรับหน้าที่วิศวกรสนามให้หวังอี้คุนแหกปากลั่นพิตวอลล์ตลอดการซ้อมจนทีมบอสที่นั่งอยู่ข้างๆถึงกับยิ้มแห้ง


เจ้าลูกหมาของรีไวไม่ได้หัวฟัดหัวเหวี่ยงเถียงกับนักขับของตัวเองแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ที่สเลน ทรอยยาร์ดเลิกขับเอฟวันไป ก็นักขับที่เอเลนดูแลหลังจากนั้นก็มีแต่พวกบอกให้ทำอะไรก็ทำ ห้ามอะไรก็เชื่อ


น่าเบื่อ…


ทีมบอสของม้าลำพองนั่งจ้องมอนิเตอร์ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เขามองตาม SF21 YIKUNอย่างไม่ละสายตา...นี่แหละที่เขาต้องการ นักขับดื้อๆร้ายๆแบบนี้นี่แหละ!


"ไอ้เจ้าลูกสิงโต๊~! ระวังยางหน้าขวาด๊วยยยย!!"    เอลวิน สมิธถึงกับลอบขำในลำคอ ไม่ได้เห็นเจ้าลูกหมานี่เต้นเหยงๆราวกับจะพ่นไฟมานาน ยังตลกไม่เปลี่ยนเลยนะ นึกถึงสมัยที่สเลนกับเจ้าฮายาโตะยังขับคู่กันอยู่ พิตวอลล์สมัยนั้นเป็นอะไรที่บันเทิงมาก เพราะทั้งเอเลนและยัยฮันซี่ต่างลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกาชี้มอนิเตอร์ด่านักขับจอมดื้อของตัวเองกันแทบจะวันเว้นวัน


ทีมบอสเฟอร์รารี่ส่ายหน้าก่อนจะกลับมาโฟกัสที่หน้าจอ แล้วเวลาที่เร็วขึ้นผิดหูผิดตาของหวังอี้คุนก็ทำให้คนทั้งพิตสีแดงถึงกับขนลุกซู่!


“หึ เอาแล้วไง เจ้าเด็กแสบนั่น…”   ใบหน้าคมคายของทีมบอสม้าลำพองแสยะยิ้มอยู่หลังพิตวอลล์อย่างพึงพอใจ อาจจะเริ่มจับจุดของรถได้หรือไม่ก่อนหน้านี้ก็กั๊กเอาไว้ ยังไงก็แล้วแต่เจ้าลูกสิงโตนั่นก็มีพรสวรรค์ชั้นยอดเลยจริงๆ นักขับบางคนต้องใช้เวลาหลายต่อหลายเรซกว่าจะทำความคุ้นเคยกับรถได้ ยิ่งม้าพยศของพวกเขายิ่งแล้วใหญ่ แต่หวังอี้คุนกลับทำความเข้าใจมันได้ในไม่กี่ชั่วโมง…


ไม่เรียกว่าโหดแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?





ม้าสีเพลิงวิ่งผ่านปากทางเข้าพิตไป หวังอี้คุนยังคงวิ่งอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หมวกกันน็อคหมายเลข85กำลังกัดฟันแน่นในขณะที่หักพวงมาลัยเข้าโค้ง 


แรงGมหาศาลที่ต้นคอต้องรับไว้ทำเอาร้าวลงมาจนถึงหัวไหล่ 


แต่หลังจากหลุดโค้งนั้นมาได้ ริมฝีปากของหวังอี้คุนก็ยกยิ้ม


“เยี่ยม sector2เร็วกว่าเดิม0.2วินาที!”   เสียงสดใสของเอเลน เยเกอร์ วิศวกรสนามที่จะคอยทำงานคู่กับเขาในสนามนี้เอ่ยรายงานมาตามวิทยุสื่อสาร


เขาอยากจะลองเบรกให้ลึกขึ้นเพื่อจะได้ทำความเร็วให้มากขึ้น 


แต่มันต้องแลกมาด้วยภาระหนักอึ้งที่จะเกิดกับร่างกาย 


และถ้าเอารถไม่อยู่…


มันก็อาจจะอันตรายถึงชีวิตจากอาการโอเวอร์สเตียร์


แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังอยากจะลองเสี่ยง


ความเร็วมันหอมหวาน…


จนใบหน้าดุดันเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปาก


ยิ่งเร็วขึ้นได้เท่าไหร่หัวใจของเขาก็ยิ่งสูบฉีด 


ยิ่งเร็วขึ้นได้เท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบอยู่ในกำมือ


เขาไม่ได้ขับรถแบบบ้าระห่ำ แต่เขารู้ว่าเขาทำได้ 


การทำให้รถพังแล้วไปเพิ่มงานให้หม่าม้าไม่ใช่หน้าที่ของลูกที่ดีอย่างเขาแน่ 


และการทำให้ตัวเองบาดเจ็บจนเจ้าลูกกระต่ายต้องร้องไห้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำเช่นกัน


เพราะงั้น…


ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าเหยียบคันเร่งเขาจึงมั่นใจ ว่านั่นคือสิ่งที่เขาทำได้


“อู้ยยยยยย”   เสียงอาเอเลนดังเข้ามาในวิทยุสื่อสาร เมื่อขอบยางขับถูกับแบริเออร์ไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด เฟอร์รารี่สีแดงสดพุ่งออกจากโค้งด้วยความเร็วเกินคาด ยิ้มร้ายจึงฉายอยู่ใต้หมวกกันน็อค 


โค้งนี้คือโค้งวัดฝีมือของนักขับ ยิ่งเฉียดใกล้กำแพงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกดทำความเร็วได้มากเท่านั้น 


เพียงแต่มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น 


การเข้าใกล้กำแพงด้วยความเร็ว 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยไม่ถูกดูดเข้าไป…


นอกจากฝีมือจะถึงแล้ว…ใจยังต้องถึงอีกด้วย 


ไม่งั้นก็จะเป็นอย่างรถคันที่ขับตามเขามา



เอี๊ยดดดด



เสียงเบรกลากยาวทำให้ดวงตาคมกล้าเหลือบมองกระจกหลัง ก่อนที่เสียงโครมดังสนั่นจะเข้าหูตามมา 


รถคันหนึ่งเกี่ยวแบริเออร์ทำให้เสียหลักไถลข้ามแทรคไปชนกำแพงอีกฝั่งจนปีกหน้าพังกระจาย ล้อถึงกับพับเข้ามา เศษชิ้นส่วนเกลื่อนถนนกว่ารถจะหยุดลงได้...นั่นไง...ถ้าขับห่างแบริเออร์มากไปรถก็จะออกโค้งช้า แต่ถ้าขับใกล้กำแพงนั่นเกินไปก็จะเป็นอย่างที่เห็น


“Red Flag...Red Flag...รถทุกคันให้กลับเข้าพิต”   ธงสีแดงที่โบกสะบัดไปทั่วสนามทำให้เขาต้องลดความเร็วลง ตั้งแต่ซ้อมมานี่ก็ธงแดงเป็นรอบที่สามแล้วนะ โหดสมเป็นสนามโมนาโกจริงๆ


ดีแล้วที่เขาได้ดูเทปการขับของอาคะชู เพราะสนามโมนาโกนั้นนับเป็นสนามที่ขับยากมาก ต้องใช้ฝีมือและประสบการณ์ค่อนข้างสูง พละกำลังของเครื่องยนต์แทบจะช่วยอะไรไม่ได้ในเมื่อแทร็คมีทางตรงที่สั้นมาก แต่แอโร่ไดนามิกและกริ๊บของรถต่างหากที่ส่งผลต่อความเร็วของสนามนี้ เพราะงั้นนักขับเก๋าๆที่รู้สภาพสนามดี รู้ว่าจุดเบรกอยู่ตรงไหนจึงได้เปรียบนักขับเด็กๆอย่างพวกเขามาก


ถึงแม้ว่าเขาจะเคยขับ F2 ในสนามนี้มาบ้างแต่รถมันก็ต่างจาก F1เลย 










Free Practice 2 จบลงด้วยเสียงฮือฮาไปทั่วทั้งกริด เมื่อหวังอี้คุนขยับเวลาของตัวเองขึ้นมาเป็นรองแค่ที่หนึ่งของหัวตารางอย่างคะชู คิโยมิตสึเท่านั้น!


SF21 YIKUN วิ่งกลับเข้ามาที่พิตการาจสีแดง และทันทีที่เด็กหนุ่มลุกออกจากรถ ฝ่ามือมากมายก็ตบลงมาที่ไหล่ที่หัวจนลำตัวซึ่งยังไม่หนามากแทบกระเด็น 


“เจ๋งนี่หว่าเจ้าลูกสิงโต!”  ลูกทีมที่ส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดาลุงๆอาๆซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับเขาที่ทำเวลาได้ดีผิดหูผิดตา


“หว๋า~ เจ้าลูกสิงโตตัวน้อยที่ยังคันฟันแทะนู่นแทะนี่เมื่อปีก่อนโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย~ น่าดีใจแทนจ้านจ้านชะมัด~”   ฝ่ามือที่เล็บเป็นสีแดงขยี้หัวเขาทันทีที่ถอดหมวกกันไฟออก อาคะชูเข้ามาหยอกเขาด้วยความเอ็นดู


“คันฟันนี่มันสมัยไหนกันครับ?”   มือใหญ่ปัดมืออีกฝ่ายออกไป คนทั้งพิตชอบเห็นเขาเป็นเด็กอยู่เรื่อย ถึงจะพยายามทำตัวเป็นคูลกายเท่าไหร่แต่ในสายตาประชากรม้าแดงพวกนี้ก็ยังเห็นเขาสามขวบสี่เดือนอยู่วันยังค่ำ


“อี้คุนของหม่าม้าเก่งที่สุด~~”    และนี่แหละ...ตัวการใหญ่ที่ทำให้ใครๆก็เห็นเขาตัวเท่าฝ่ามือไม่มีวันเปลี่ยน หม่าม้าแลนดิ้งลงมาจากคอกวิศวกรก่อนจะอ้าแขนกอดเขาเหมือนกอดเด็กชายอี้คุนตัวน้อย เขายืนยิ้มแห้งให้อีกฝ่ายลูบหัวลูบหางจนกว่าจะพอใจ หมดกัน ความคูลกายที่อุตส่าห์พยายามสร้างมา...














มือใหญ่แขวนชุดหมีสีแดงไว้ในราวเมื่อเปลี่ยนเป็นชุดลำลองของเฟอร์รารี่เสร็จ โทรศัพท์ถูกกดแนบไว้ที่ใบหู ดูจากเวลาแล้วเจ้าลูกกระต่ายก็น่าจะสอบเสร็จแล้ว?


“ฮัลโหล? เจ้าลูกกระต่าย?”   เสียงทุ้มเอ่ยทักเมื่อปลายสายกดรับแต่ไม่มีเสียงตอบ


“โอกกกกกกกกกก”    เหมือนวิญญาณเพิ่งจะกลับเข้าร่าง? เจ้าลูกกระต่ายส่งเสียงเหมือนกำลังอ้วกจนเขาถึงกับหัวเราะเพราะรู้ดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีอาการแบบนั้น


“เป็นไง? ทำข้อสอบได้ไหม?” 


“ใครจะไปสนใจล่ะว่าพารามีเซียมเคลื่อนที่แบบไหน!”


“แล้วนายตอบว่าอะไร?”


“ใช้ดาวน์ฟอร์ซมากมั้งเพราะมันเคลื่อนที่ช้า”    พรืด ฮ่าๆๆๆ...เขาหัวเราะจนตัวงอ เจ้าลูกกระต่ายเอ้ย ไม่ตอบยังจะดีกว่าไหมเนี่ย ป่านนี้อาจารย์วิชาชีววิทยาคงกำข้อสอบแน่นแล้ว


“ชั้นปวดหัวมากเลยตอนนี้ หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลมขอดมยาดมแป๊บ….”    มีเสียงสูดยาดมจริงๆ เขาส่ายหน้าให้กับความลูกกระต่ายของอีกฝ่าย 


“นี่นายซ้อมเสร็จแล้วเหรอ? คอลได้ไหม? เดี๋ยวชั้นลากเข้ากรุ๊ปนะ คุณตาคุณยายก็อยากคุยด้วย!”    เสียงอาเฟยกลับมาสดใสอีกครั้ง


“อืม”   เขาจึงตอบรับไป


หน้าจอห้องวีดีโอคอลรวมของที่บ้านเริ่มติดขึ้นทีละจอ เริ่มจากเจ้าลูกกระต่ายที่กำลังก้าวขาขึ้นรถกลับบ้านโดยมีปะป๊าขับมารับ คุณตาคุณยายจากบ้านที่ฉงชิ่ง คุณปู่คุณย่าจากบ้านที่ปักกิ่ง และคนสุดท้าย พี่ชายของเขาจากออฟฟิศที่ดูไบ...


เป็นนักธุรกิจแสนล้านที่ว่างงานจริงๆเลยนะเจ้าสิงโตนั่น…


“ถอดชุดหมีของเฟอร์รารี่ออกแล้วเหรออี้คุน?! อ๊า ยายอยากจะถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆซักหน่อย! เนี่ยรู้ไหม ปกติตาเค้าไม่เคยดูเลยนะวันซ้อมเนี่ย แต่เมื่อเช้านั่งเฝ้าตั้งแต่ยังไม่ถ่ายทอดสดแน่ะ เห่ออะไรขนาดนี้”  คุณยายยักไหล่หลังจากที่ใส่มาเป็นคนแรก


“คุณปู่ก็แอบดูอยู่นะ”    ฝั่งคุณย่ามานิ่งๆพร้อมแนบรูปหลักฐานที่ถ่ายเห็นแผ่นหลังของปู่ที่กำลังนั่งดูรอบซ้อมเมื่อตอนบ่ายอยู่ ปะป๊าของเขาคงได้แต่มองบน เพราะคุณปู่ผู้คัดค้านป๊ามาตลอดเรื่องแข่งรถกลับยอมสนับสนุนเขา


“แง๊~ ทุกคนได้ดูกันหมดเลยเหรอ? มีแค่เฟยคนเดียวเหรอที่ไม่ได้ดูแถมยังต้องไปผจญกับสัตว์เซลล์เดียวพวกนั้นอีก! ไม่ยอมอ่า~~”    เจ้าลูกกระต่ายโวยวายอยู่ในรถ


“ดูรีรันก็ได้ไหมนายอ่ะ”   เขาขำกับความงอแงของเจ้าตัวดี


“พี่อี้หยางก็ดูเหรอ? พี่ไม่ได้ติดประชุมอะไรงี้เหรอ?”   เจ้าลูกกระต่ายพยายามหาพวก


“ดูสิ น้องชายคนเก่งได้ขับรถของเฟอร์รารี่ทั้งทีจะพลาดได้ไง”    เสียงทุ้มตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ทำไมเขาไม่รู้สึกดีใจกับคำชมของหมอนี่เลยแหะ?


“อะไรเนี่ย คนทรยศ!”   พาลสุดอะไรสุดนะเจ้าลูกกระต่าย ใบหน้ามนหงึใส่กล้องแต่ทุกจอกลับตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ


“อี้คุน ปะป๊าก็ดูอยู่ตลอด เวลาดีมากเลยนะ ทำได้ดีมาก”   ปะป๊าส่งมาแค่เสียงเพราะต้องขับรถ


“ต้องเป็นเพราะสร้อยข้อมือที่เฟยทำให้แน่ๆ!”    เจ้าลูกกระต่ายยังไม่ยอม


“เป็นเพราะฝีมือชั้นหรอก!”


“ไม่ง่ะ ฝีมือนายก็งั้นๆอ่ะ เป็นเพราะสร้อยข้อมือปลุกเสกของชั้นมากกว่า!”    เจ้าลูกกระต่ายอันธพาลเอ้ย รู้เลยว่างอแงเพราะไม่ได้ดูอยู่คนเดียว


“จริงสิ! เฟยทำให้พี่อี้หยางเส้นนึงด้วยนะ”   ใบหน้ามนหายออกไปจากจอมีเพียงเสียงคุ้ยหาของกุกกักดังลอดออกมา


“นี่!”   อาเฟยกลับเข้ามาในจออีกครั้งพร้อมกับชูสร้อยข้อมือหินสีดำสนิทให้ดู เขาถึงกับคิ้วกระตุกทันที


“เดี๋ยวก่อนนะเจ้าลูกกระต่าย ทำไมของพี่อี้หยางถึงเป็นสีดำอ่ะ? อันนั้นคูลกว่าของชั้นตั้งเยอะ!”   ว่าแล้วก็ยกข้อมือที่มีหินสีชมพูม่วงฟ้าแสนจะมุ้งมิ้งให้ทุกคนดู หวังอี้หยางถึงกับหลุดหัวเราะ


“พี่หยุดขำเลยนะ เจ้าลูกกระต่ายสองมาตรฐานเอ้ย ชั้นก็อยากได้สีดำบ้างอ่ะ!”   เขาโวยวายใส่จอ


“สองมาตรฐานอะไรเล่า! ชั้นก็ต้องเลือกที่ความหมายของหินสิ! นายกับพี่อี้หยางเหมือนกันที่ไหน ของนายป้องกันอุบัติเหตุไง ส่วนสีดำนั่นเอาไว้ป้องกันกระสุน! อย่างนายจะป้องกันกระสุนไปทำไมเล่า เจ้าลูกสิงโตบื้อ!”   เจ้าลูกกระต่ายด่ากลับมาเป็นชุด มันน่าบีบคอแล้วเขย่าๆสุดๆ 


แต่ก็นะ พอรู้ความหมายและรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจเลือกให้ขนาดไหน เขาก็ว่าอะไรไม่ลง ในใจกลับรู้สึกอุ่นๆขึ้นมาแทน


“เดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นแวะไปเอาก็แล้วกัน สร้อยข้อมือนั่นน่ะ ขอบใจนะเฟยเฟย จะได้อยู่ดูอี้คุนแข่งพร้อมกันที่มาราเนลโล่เลย”   หวังอี้หยางพูดด้วยเสียงราบเรียบแต่สีหน้ากลับปิดความดีใจไว้ไม่มิด เขากระตุกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน ตั้งใจจะไปหาอาเฟยอยู่แล้วก็บอกมาเถอะ แล้วว่างๆอย่างนายเนี่ย มาดูเขาที่สนามสิ บินเลยอิตาลีมานิดดดดเดียวเองเนี่ย จะต้องไปดูทีวีพร้อมเจ้าลูกกระต่ายนั่นทำไม~~


บทสนทนาทั้งหมดจบลงไปหลังจากนั้นอีกพักใหญ่ ถึงจะมีไม่ลงรอยกันบ้างแต่ครอบครัวก็คือที่ที่มักจะทำให้เขาสบายใจอยู่เสมอ เขานั่งอมยิ้มกับหน้าจอที่ดับไปแล้วนั่น














ดวงตาคมกล้าค่อยๆเปิดขึ้นมาในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น สองหูได้ยินเสียงกอกแก่กและเสียงวิ่งไปทั่วห้องของหม่าม้า เขาตัดสินใจปิดเปลือกตาลงไปใหม่เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องเมื่อวานเป็นความจริงหรือไม่ เพราะหากเป็นแค่ความฝัน การที่เขายังไม่ตื่นขึ้นมาก็อาจจะทำให้เขายังอยู่ในฝันดีนั้นต่อ


“อี้คุน”


“......”


“วันนี้มีเดินแบบไม่ใช่เหรอ? เค้านัดกี่โมงเนี่ย? ไม่รีบไปจะดีเหรอ? หม่าม้าทำแซนวิซไว้ กินให้หมดนะ นมอยู่ในตู้เย็น เดี๋ยวหม่าม้าไปสนามก่อน อย่านอนเพลินล่ะ ”    เสียงนุ่มทำลายบรรยากาศแห่งฝันดีของเขาด้วยการบ่นยาวเป็นหางว่าวสมเป็นแม่คน


“ครับ…”   เขาลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยสภาพหัวยุ่งราวกับแผงคอสิงโต ดวงตาที่เพิ่งเปิดเพียงครึ่งเดียวทอดมองแผ่นหลังในชุดฟอร์มสีแดงก้าวขาออกจากห้องไป ถึงวันนี้จะไม่มีซ้อมแต่พวกวิศวกรก็ยังทำงานกันอยู่ที่พิตตลอด ต่างจากนักขับอย่างพวกเขาที่มักจะถูกตากล้องของทีมลากไปถ่ายทำคอนเท้นต์ต่างๆเพื่ออัพลงโซเชียลมีเดียอยู่เสมอ


แต่สนามนี้คือสนามที่พิเศษไม่เหมือนใคร แทนที่จะถูกทีมลากไปถ่ายคลิปกลับต้องไปช่วยองค์กรการกุศลเดินแบบบนแคทวอล์คแทน...


The Monaco Amber Lounge Fashion Show at The Grimaldi Forum คือการเดินแบบการกุศลที่จัดกันในวันศุกร์ของตารางการแข่งขัน F1 นอกจากนางแบบนายแบบมืออาชีพแล้วยังมีบรรดาเซเลบและนักขับF1 ,F2 ,Formula E มาร่วมเดินแบบให้สมกับที่อยู่ในสัปดาห์การแข่งขันด้วย


แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักขับเด็กๆอย่างพวกเขานี่แหละที่ถูกเชิญให้มาเดินแบบ โดยเฉพาะหวังอี้คุนเนี่ย ทีมออร์แกไนเซอร์จ้องตาเป็นมันมาตั้งสมัยแข่ง F2แล้ว


มือใหญ่ตลบผ้าห่มออกไปให้พ้นตัว ขายาวก้าวสองสามทีก็มายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์เล็กๆที่มีจานแซนวิซวางอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมากินโดยไม่คิดจะล้างหน้าล้างตา


อร่อยแหะ…


อาหารฝีมือหม่าม้าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็อร่อยไปหมด ขนาดแซนวิซง่ายๆก็ยังอร่อย ถึงจะยุ่งหัวหมุนขนาดไหนแต่หม่าม้าก็ไม่เคยลืมทำอาหารเช้าไว้ให้เขา...เป็นแบบนี้มาตลอด


ริมฝีปากเคี้ยวไปก็ยิ้มไป... 










ขายาวก้าวไปตามทางเดินที่วุ่นวายของGrimaldi Forum บริเวณห้องพักห้องแต่งตัวชั่วคราวของบรรดานายแบบนางแบบสำหรับงานแฟชั่นโชว์ตอนนี้แทบจะเป็นการจลาจลขนาดย่อมๆ ทั้งแต่งหน้าทั้งทำผมทั้งแก้ชุด ชุลมุนสุดๆ หวังอี้คุนนั้นไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแบบนี้เท่าไหร่ เขาจึงเดินฝ่าไปด้วยความสับสนมึนงงและพยายามหลบหลีกสิ่งกีดขวางทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ โชคยังดีที่ห้องพักของพวกนักขับF1นั้นถูกแยกออกมา ทางนี้จึงสงบกว่าตรงนั้นมาก


ดวงตาคมกล้ามองป้ายชื่อของตัวเองที่แปะหราอยู่หน้าห้องจนแน่ใจแล้วจึงเปิดประตูเข้าไป


โครม!!


แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ล้มระเนระนาดลงมากองกระจัดกระจายอยู่บนพื้นจนสองขาชะงักค้าง...คน? กับเสื้อผ้า?


"ทำงานยังไงวะฮะ?!"   เสียงตวาดที่ดังลั่นราวกับต้อนรับเขาทำให้คิ้วทั้งสองข้างถึงกับขมวดเข้าหากัน 


เกิดอะไรขึ้น?


แต่เขาก็ไม่มีเวลาได้ถามไถ่ เพราะหลังจากมองเห็นภาพตรงหน้า สองขาก็รีบก้าวตรงดิ่งเข้าไปหาเจ้าของเสียงทันที


หมับ!


มือใหญ่คว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ก่อนที่มันจะตบลงไปบนใบหน้าของเด็กสาวที่ล้มอยู่บนพื้น


เขาบีบข้อมือข้างนั้นอย่างแรงโดยไม่พูดอะไร และยิ่งบีบแรงขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายยอมหยุด


"อะไร?!"   เจ้าของมือดูจะหงุดหงิดไม่พอใจจึงสะบัดหน้ามาตะคอกใส่อย่างพร้อมจะหาเรื่อง


หวังอี้คุนยังคงไม่พูดอะไร เขาใช้เพียงดวงตาที่ราวกับเจ้าป่าจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน มือใหญ่เพิ่มแรงบีบเข้าไปอีกจนอีกฝ่ายกัดฟันกรอด…


พวกเขารู้จักกันดี เพราะคนที่จะมาอยู่ในห้องนี้ได้ต้องเป็นนักขับเหมือนกัน


"หวังอี้คุน…."   อีกฝ่ายพูดชื่อเขาออกมาด้วยเสียงรอดไรฟัน ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเสือร้ายนั่นจ้องมองเขาก่อนจะเหลือบมองคนที่ล้มกองอยู่ที่พื้น เสียงสบถดังออกมาจากใบหน้าที่กำลังโกรธ แต่ในที่สุดมือที่ขืนแรงของเขาไว้ก็ยอมสะบัดออกไปอย่างไม่พอใจนัก 


"ถอยไป!"   ร่างที่สูงพอๆกับเขาเดินชนไหล่ก่อนจะก้าวออกจากห้องอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีใครอยากมีเรื่องกับหวังอี้คุนหรอก


เขามองตามแผ่นหลังของหมอนั่นไปเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายหญิงสาวคนนี้...มันก็มีอยู่นะ พวกนักขับนิสัยแย่ๆที่ได้ขับเอฟวันเพราะมีเงินทุนหนุนหลังหนากว่าคนอื่น ทีมเล็กๆที่ต้องการเงินสนับสนุนจึงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากยอมรับเจ้าพวกนี้ให้มาขับรถให้ 


เขาส่ายหน้าพลางยิ้มมุมปากให้กับเจ้าตัวร้ายนิสัยแย่ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยอยู่ F2 ไม่สิ ตั้งแต่เป็นนักขับเยาวชนแล้วต่างหาก เขาไปแข่งที่ไหนก็จะเจอหมอนี่ที่นั่น


ทั้งๆที่ถ้าไม่ทำตัวร้ายๆก็จะเป็นคนที่หล่อมากแท้ๆนะ...


"ลุกไหวรึเปล่าครับ?"   เขาก้มลงไปถามคนที่นั่งมองทุกเหตุการณ์ด้วยสายตาตื่นตะลึง 


หื๋อ? พอมาดูใกล้ๆแล้ว คนคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชายต่างหาก?


เพราะแต่งกายแบบระบุเพศไม่ได้แถมยังมีใบหน้าค่อนไปทางหวานเขาเลยเข้าใจผิด ดีนะที่ยังไม่ได้ทักทายอะไรไป


"เอ่อ...ครับ"   หลังจากที่นั่งมองเขาจนตาค้าง เมื่อเขาพูดด้วยเด็กหนุ่มก็มีอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางเลิ่กลั่กในขณะที่พยายามจะลุกขึ้นมานั่นก็ดูตลกจนเขาลอบยิ้ม


"ชุดของผมล่ะ?"   เสียงทุ้มถามหาชุดที่จะต้องใส่ในงานแฟชั่นโชว์อย่างไม่สนใจจะแนะนำตัวใดๆ อีกฝ่ายคงเป็นสต๊าฟนั่นแหละถึงเข้ามาในห้องนี้ได้ คงจะรู้จักเขาอยู่แล้ว 


ถึงตอนที่เขาอยู่กับเจ้าลูกกระต่ายหรือพี่อี้หยางเขาอาจจะเป็นคนที่พูดมากเซ้าซี้จ้ำจี้จ้ำไช แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นแบบนั้นเฉพาะกับคนที่บ้านหรือคนที่สนิทกันเท่านั้น 


กับคนไม่รู้จัก...เขาแทบจะไม่พูดไม่จาด้วยเลย 


"เอ๊ะ? เอ่อ...อ้อ! อ่ะ ขอโทษที่แนะนำตัวช้านะครับ"   อีกฝ่ายก้มหัวลงไปอย่างลนลาน


"ผมเป็นดีไซเนอร์ฝึกหัดที่จะมาคอยดูแลชุดให้คุณครับ!"   เขาเพียงแค่พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ถ้าเป็นดีไซน์เนอร์ฝึกหัดก็คงอายุมากกว่าเขา? ดวงตาคมกล้าเหลือบมองคนที่เดินไปหยิบสูทมาจากราวแขวนอย่างลอบสังเกต 


“นี่ครับ”   มือบางยื่นสูทสีเทาดำที่ตัดเย็บแบบทันสมัยมาให้ 


เขาเดินเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำก่อนจะเดินกลับมายืนมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงา


สูทแบบลำลองตัวนี้ขับเน้นให้คนใส่ดูไม่แก่แต่ก็ยังมีความภูมิฐานอยู่ ตัวสูทสีเทากับปกเสื้อสีดำดูโดดเด่นด้วยช่อดอกกุหลาบสีดำที่ติดอยู่ ทำให้มีกลิ่นไอน่าค้นหา ส่งให้คนใส่ดูเป็นเด็กหนุ่มที่มีเสน่ห์ 


ถ้าหมอนี่เป็นคนออกแบบสูทตัวนี้เองก็นับว่าเป็นดีไซน์เนอร์ที่มีแววน่าดู ถึงเขาจะไม่ได้เรียนเรื่องการออกแบบมาแต่ก็อย่าลืมว่าเขาคลุกคลีอยู่กับวงการแบรนด์เนมพอสมควร ความพยายามจะเสี้ยมสอนเขากับเจ้าลูกกระต่ายของคุณยายนั้นไม่ธรรมดา ต่อให้ไม่สนใจขนาดไหนคุณยายสายโหดก็ยังจับยัดใส่หัวเขามาได้ไม่ใช่น้อยแหละ สอนให้เขาเลือกเป็น สอนให้เขาแยกออกว่ารสนิยมที่ดีกับของที่เลวมันต่างกันยังไง 


เพราะงั้น...สไตล์หรืออะไรที่เขาว่าผ่านก็จะขายได้แน่นอน


“ดูเหมือนต้องเก็บแขนเสื้ออีกนิดนึงนะครับ”   คุณดีไซน์เนอร์ฝึกหัดจับๆมองๆอยู่ที่ปลายแขนเสื้อสูทของเขาที่ยาวเกินไปนิด


“อืม”   เขายกแขนให้อีกฝ่ายติดเข็มหมุดบอกระยะที่จะใช้แก้ชุดเอาไว้ ถึงจะเป็นการเดินแบบของมือสมัครเล่นไม่ใช่งานแฟชั่นโชว์ระดับโลกแต่แบรนด์ระดับไฮเอนก็ยังส่งดีไซเนอร์มืออาชีพมาช่วยดูแลเสื้อผ้าของพวกเขาให้ 


"เมื่อกี้...ขอบคุณที่ช่วยนะครับ…"   คุณดีไซน์เนอร์ฝึกหัดติดเข็มหมุดไปก็พูดไป


"...."   เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายอยากระบายให้เขาฟังมากกว่า


"พอดีผมยังไม่เก่งเรื่องตัดเย็บสดๆแบบนี้ แต่ช่างทั้งหมดอยู่ที่ห้องของนายแบบนางแบบ ทางนี้ผมเลยต้องแก้เอง...เอ่อ...แล้วทีนี้ผมก็พลาดทำเข็มหมุดจิ้มโดนแขนเค้าเข้า...เค้าก็เลยโมโห...จริงๆผมก็ทำงานช้าด้วย...เค้าเลยยิ่งหงุดหงิด…"


"...."   เขาเหลือบมองใบหน้ามนที่เริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดผ่านกระจก ถึงจะฝีมือดีแต่อีกฝ่ายกลับดูไม่ค่อยมีความมั่นใจ ต่างจากพวกดีไซน์เนอร์เสือสิงกระทิงแรดเพื่อนคุณยายแบบคนละขั้วโลกเลยแหะ เขาที่รู้จักแต่คนพวกนั้นเลยคิดว่าดีไซน์เนอร์อย่างหมอนี่ดูแปลกดี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดีหรอกนะ


“หมอนั่นก็เป็นแบบนี้แหละ ชอบทำตัวร้ายๆสร้างกำแพงกับคนอื่น แต่จริงๆไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอก ไม่ต้องไปใส่ใจ”    เสียงทุ้มพูดออกไป เขาแค่อยากให้กำลังใจอีกฝ่ายก็เท่านั้น แต่แก้มใสกลับแดงระเรื่อก่อนจะยิ่งก้มหน้างุด


“.....”    ต่างฝ่ายต่างเงียบไปพักใหญ่ ตัวเขาแค่ไม่มีอะไรจะพูดแต่ดูเหมือนประโยคสั้นๆของเขากลับไปสร้างพลังให้อีกฝ่ายจนใบหน้าที่เคยหวาดหวั่นค่อยๆผ่อนคลายจนกลายเป็นรอยยิ้มบางๆฉาบเอาไว้จนได้


"คุณนี่...เท่ห์อย่างที่ใครๆบอกจริงๆนะครับ…"   กลับเป็นคุณดีไซน์เนอร์ฝึกหัดที่พูดขึ้นมาก่อน


"......"   ดวงตาคมกล้าเพียงแค่เหลือบมองอีกฝ่ายผ่านกระจกโดยไม่พูดอะไร

 

"...ผมได้โจทย์มาว่าต้องตัดเสื้อผ้าให้คุณ สัดส่วนร่างกายของคุณที่ผมได้มามันทำให้ผมสนใจมากว่าคนที่จะมีรูปร่างดีแบบนี้เป็นคนยังไงกันนะ ผมจึงเผลออ่านข้อมูลอื่นๆของคุณจากในอินเตอร์เนตเยอะเลย"   อีกฝ่ายก้มหน้าอย่างเขินๆ


“....มีแต่คนบอกว่า…คุณเหมือนผู้ชายที่หลุดออกมาจากนิยาย ผมคิดมาตลอดว่าจะมีคนแบบนั้นได้ยังไง แต่ตอนนี้…ผมว่าคำพูดพวกนั้นไม่เกินจริงเลย…”    ใบหน้ามนค่อมหัวให้เขาน้อยๆก่อนจะถอยออกไปเมื่อติดเข็มหมุดเสร็จ ท่าทางเจียมตัวและไม่ค่อยจะมั่นใจนั่นกลับเป็นบุคคลิกที่ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง


ความรู้สึกว่าอยากปกป้องคงก่อเกิดได้ง่ายๆในใจของผู้ชายที่แข็งแกร่งกว่า เขาคิดพลางค่อยๆถอดเสื้อสูทออกอย่างระมัดระวัง


ใช่ เขาต้องระวัง…


ถึงจะไม่ปิดกั้นตัวเองในการทำความรู้จักกับผู้คนรอบกาย แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้เขาต้องระวังตัวอยู่เสมอไม่ให้เผลอไปทำชีวิตของใครพังเข้า เรื่องราวของเพื่อนสนิทคนแรกของเขายังตามมาหลอกหลอนไม่เลิกลา เขาจึงไม่คิดจะสนิทสนมกับใครง่ายๆอีกและคบแต่คนที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น


“ผมไปนั่งรอตรงนั้นนะ”   เขายื่นเสื้อสูทคืนให้ 


“อ่ะ ครับ…”   อีกฝ่ายก้มหน้าก้มตารับไปอย่างไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ


ร่างสูงสง่านั่งลงไปบนโซฟาชุดเดียวกับที่เจ้าตัวร้ายนิสัยแย่นั่งอยู่ก่อน อีกฝ่ายตวัดสายตามามองราวกับเสือที่กำลังขู่ฟ่อ ซึ่งเขาก็ยังคงทิ้งกายนั่งลงไปอย่างไม่ใส่ใจ แหงละ จะมีสิงโตที่ไหนกลัวเสือบ้าง


บางที...อยู่กับคนนิสัยแย่ๆอย่างไม่แคร์สื่อแบบหมอนี่อาจจะยังสบายใจกว่า อย่างน้อยเจ้านักขับจากทีมวิลเลี่ยมนี่ก็ไม่ใช่คนที่จะเข้ามาหาผลประโยชน์จากเขา


“มีอะไร?”    เสียงทุ้มทักออกไปเมื่อเหลือบเห็นอีกฝ่ายจ้องเอาๆมาที่ข้อมือเขา


“เฮอะ”    แต่ใบหน้าได้รูปกลับสะบัดเชิดทำเป็นไม่สนใจ และเมื่อเขามองมาที่ข้อมือตัวเองอย่างอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจ้องอะไรอยู่


“หึ”    เสียงหัวเราะในลำคอก็หลุดออกไปอย่างอารมณ์ดี


“อาเฟยทำให้ละ”    ข้อมือใหญ่ยกขึ้นมาอวดสร้อยหินสีอย่างตั้งใจจะกวนประสาทอีกฝ่าย เพราะเขารู้จักหมอนี่มานานนม รู้ดีว่าเจ้าลูกคนเดียวนี่อิจฉาเขามาตลอดที่เขามีน้องชายฝาแฝด กับอาเฟยก็รู้จักกันดีเพราะเมื่อก่อนเจ้าลูกกระต่ายตามไปเชียร์เขาแข่งรุ่นเยาวชนตลอดและก็เจอกับเจ้าตัวร้ายนิสัยแย่นี่ตลอด


“ใครจะสนวะ! คิดว่าแกมีน้องชายอยู่คนเดียวรึไง?! ไอ้บ้านี่! ชั้นก็มีเหมือนกัน! ดูซะ! น่ารักกว่าน้องแกตั้งเยอะ!”     เจ้าตัวร้ายนิสัยแย่เปิดรูปหมาในหน้าจอโทรศัพท์มาสู้ ยังเลี้ยงแล้วก็ยังรักเจ้าหมานั่นเหมือนพี่น้องอยู่สินะ เขานึกขำอย่างเอ็นดูอยู่ในใจ


หมาพันทางที่อาเฟยเก็บได้จากข้างถนนตัวนั้น…


เขาหาเรื่องแหย่อีกฝ่ายต่อไป ก็ในขณะที่เจ้าตัวร้ายแทบจะพ่นไฟแต่เขากลับยิ้มด้วยใบหน้ามีความสุข 


และถึงเขาจะไม่ได้ใส่ใจแต่ก็พอจะรู้ว่าอีกคนที่แก้แขนเสื้อสูทอยู่ในห้องก็ลอบมองเขาอยู่เช่นกัน 










เสียงเพลงดังกระหึ่มทำให้บรรยากาศคึกคักสมกับเป็นงานแฟชั่นโชว์ที่จัดแบบ outdoor มีท้องฟ้า มีทะเล มีแสงแดดเจิดจ้าเป็นฉากหลัง ที่นั่งรอบแคทวอล์คถูกจับจองโดยแขกวีไอพีและบรรดาตากล้อง นายแบบนางแบบต่างยืนสแตนด์บายรออยู่หลังเวที อีกไม่นานก็จะถึงเวลาเดินแบบแล้ว


ร่างสูงสง่าก้าวขายาวๆกลับไปที่ห้องแต่งตัวเพราะลืมถอดสร้อยข้อมือหินที่เจ้าลูกกระต่ายทำให้ ก็นะ ถ้ามันสีดำเขาก็คงจะใส่ไว้อยู่หรอก แต่สีฟ้าม่วงมุ้งมิ้งที่เด่นเกินหน้าชุดสูทสีขรึมนี่ เขาว่าเขาถอดก่อนดีกว่า เดี๋ยวได้แซวกันทั้งแพดดอกอีก


แต่แล้วขายาวที่ตั้งใจว่าจะก้าวเข้าไปในห้องก็ต้องชะงักค้างอยู่หน้าประตูเมื่อมีเสียงพูดคุยลอดออกมา ยังมีคนอยู่อีกเหรอ?


“แค่ได้ทำคอลเลคชั่นพิเศษให้พวกนักขับก็อย่าถือว่าตัวเองจะวิเศษวิโสกว่าคนอื่นล่ะ!”     ฝ่ามือที่ตั้งใจจะเคาะประตูถึงกับนิ่งค้าง…ทะเลาะกันอยู่เหรอคนข้างใน?


“ไปใช้มารยาหลอกล่อบอสมายังไงก็ไม่รู้หรอกนะ แต่อย่าคิดว่าจะข้ามหัวคนที่อยู่มาก่อนไปได้ล่ะ”    …ยังมีอยู่อีกเหรอเนี่ย…พวกขี้อิจฉาพรรณนี้ จากที่คิดจะเคาะประตูรักษามารยาทสักหน่อย ไม่ต้องละ


ผลั๊วะ!


มือใหญ่เปิดประตูพรวดเข้าไปหน้าตาเฉย สามคนที่อยู่ข้างในถึงกับสะดุ้งโหยงหันมามองเขาเป็นตาเดียว 


สองคนนั้นเขาไม่รู้จัก แต่คนที่ยืนตัวลีบก้มหน้าก้มตาเหมือนกับถูกด่าถูกหาเรื่องอยู่นั่นคือคุณดีไซน์เนอร์ฝึกหัดคนที่ตัดชุดสูทของเขาไม่ผิดแน่…โดนรังแกอีกแล้วเร๊อะ? ให้ตายเถอะ…


“จำใส่หัวไว้ล่ะ”    สองคนที่ดูน่าจะเป็นรุ่นพี่กระซิบกระซาบอย่างดุดันก่อนจะพากันเดินออกไป


“......”   ดวงตาคมกล้าเหลือบมองคนที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่กับที่ มือใหญ่หย่อนสร้อยหินใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ของเขาที่แขวนอยู่บนราว เขาตั้งใจจะเดินผ่านไปเงียบๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ถอนหายใจออกมา


“เฮ้อ…เอาจริงๆผมไม่รู้ว่าจะรับมือกับคนแบบคุณยังไงดี”


“....?”    ใบหน้าหมองๆที่ก้มมาตลอดเงยขึ้นมองอย่างสงสัยในคำพูดของเขา


“ก็รอบๆตัวผมน่ะ มีแต่คนที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ จะเอาอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ถึงจะร้องไห้ก็ยังโวยวายว่าตัวเองต้องการอะไร  คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอย่างคุณเนี่ย ผมไม่เคยรู้จัก ผมเลยไม่รู้ว่าจะช่วยคุณได้ยังไง”   อีกฝ่ายดูอ้ำอึ้งไปและไม่รู้จะตอบโต้เขายังไงเหมือนกัน ดูๆไปแล้วคนตรงหน้าน่าจะไม่ถนัดการเข้าสังคม ไม่ใช่คนเอาแต่ใจ ใครว่ายังไงก็ยอมทำตามเขาไปเสียหมด


ต่างจากเจ้าลูกกระต่าย ต่างจากพี่ชาย ต่างจากเจ้าพวกเพื่อนเลวของเขา…ต่างกันมาก


“คุณ…คิดยังไงก็บอกพวกเขาไปสิครับ มั่นใจในตัวเองมากกว่านี้หน่อยก็ได้ คุณเงยหน้ามองผมสิ ตอนนี้ผมเป็นยังไง? ผมอยู่ในชุดที่คุณดีไซน์ขึ้นมา คุณคิดว่าผมเป็นยังไง?”


“.........”    ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาที่ตกอยู่ในภวังค์ก็แทนคำตอบได้เป็นอย่างดี ว่าเขาที่อยู่ตรงหน้านั้นดูดีมากขนาดไหน ในชุดที่ตนตั้งใจคิดมันขึ้นมา


“เท่านั้นก็พอ”    ใบหน้าหล่อเหลายิ้มบางๆให้ก่อนจะเดินจากมา


“ถ้าคุณยังไม่เชื่อ เดี๋ยวผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น ว่าคุณสมควรที่จะมั่นใจในฝีมือของตัวเองแค่ไหน คุณคอยดูผมไว้ก็แล้วกัน”













แล้วหวังอี้คุนก็เรียกเสียงฮือฮาได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่หยิบลงมาบนแคทวอล์ค


รูปร่างที่กำลังดีสลัดลุคคูลๆเซอร์ๆจากกางเกงยีนส์ขาดๆกับเสื้อฟอร์มของทีมแข่งมาเป็นสูทลำลองแบบร่วมสมัยทำให้ดูแปลกตาไปบ้าง แต่ด้วยใบหน้าหล่อเหลาแบบพระเจ้าทรงโปรดก็เล่นเอาสาวๆมองตาค้างกันทั้งรันเวย์


ขายาวก้าวเดินสบายๆอย่างไม่ได้เน้นอะไรนัก แต่ทุกท่วงท่ากลับสง่างามสะกดสายตา เรียกว่าเอาอยู่ทั้งเวที


ช่วงคอขาวๆที่โผล่พ้นปกเสื้อมีสัญลักษณ์บ่งบอกเพศชายอย่างชัดเจน เล่นเอาหลายคนถึงกับลอบกลืนน้ำลาย หากได้ขบเม้มสักทีก็คงดี ไหล่ที่กว้างพอๆกับท้องฟ้าและทะเลซึ่งอยู่ข้างหลังก็น่าแอบอิง ใบหน้านิ่งๆนั่นก็ยิ่งทำให้ดูน่าตกหลุมรักไปใหญ่ 


นักขับหนุ่มยังคงก้าวเดินผ่านแสงแฟลชระยิบระยับต่อไป ไม่ว่ากล้องตัวไหนๆล้วนหันตามเขาทั้งสิ้น 


หวังอี้คุนทำให้สูทชุดนี้โดดเด่นที่สุดบนเวที ดวงตาคมกล้าเหลือบมองคนที่ดีไซน์มันขึ้นมาซึ่งยืนแอบมองอยู่ข้างเวที เขายกยิ้มที่มุมปากน้อยๆให้ อีกฝ่ายมองเขาราวกับจะมีน้ำตาคลอ




เสียงปรบมือดังอื้ออึงเมื่อจบการเดินแบบรอบสุดท้าย ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี แน่นอนว่าปีนี้ชื่อของหวังอี้คุนก็ยังอยู่ในอันดับหนึ่งในหัวข้อสนทนา


เขากลับมาเปลี่ยนชุดที่ห้องเดิม ยังไงเสื้อยืดกางเกงยีนส์ก็สบายกว่าวันยังค่ำ เจ้าสิงโตพี่ชายเขาใส่สูทแบบนี้ทุกวันเข้าไปได้ยังไง น่าอึดอัดจะตาย เขามองสูทที่ใส่จนถึงเมื่อครู่อีกครั้งก่อนจะแขวนมันไว้บนราว


“เอ่อ…ขอบคุณมากนะครับ…ทั้งเรื่องชุด แล้วก็…”   เป็นคุณดีไซน์เนอร์ฝึกหัดที่เอ่ยทักอย่างตะกุกตะกักอยู่ข้างหลัง มีคำพูดเป็นหมื่นล้านอยูในสายตาคู่นั้น ซึ่งเขาคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเอ่ยมันออกมา มันไม่ได้จำเป็นสำหรับตัวเขา แต่มันจำเป็นสำหรับอีกฝ่ายที่จะใช้ก้าวเดินไปข้างหน้า เท่านั้นก็พอแล้ว


“....ครับ”    เขาจึงตอบรับไปสั้นๆ ในอนาคตเราอาจจะหมุนวนมาพบกันหรืออาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้ เขาปล่อยไว้ให้เป็นเพียงเรื่องของโชคชะตา


เพราะว่าตอนนี้สิ่งที่อยู่ในปัจจุบันของเขานั้นสำคัญกว่า


"เฮอะ...คนเค้าอุตส่าห์ชมว่าเพราะได้เสื้อผ้าดี ต่อให้ไม้แขวนมันจะห่วยแต่ก็ยังออกมาดูดี นายก็รับๆไว้เถอะน่า"    เป็นเจ้าตัวร้ายนิสัยแย่จากทีมวิลเลี่ยมที่เดินพูดประชดลอยๆผ่านข้างหลังไป 


หวังอี้คุนลอบยิ้มในใจ หมอนี่มันปากคอเลาะร้ายพูดจาไม่เคยเกรงใจใคร ทำตัวกร่างเป็นจระเข้ขวางคลองทั้งๆที่ตัวเท่าลูกแมว หึ มาก็ดีเลยเขาจะได้ไม่ต้องตามหา ท่อนแขนแข็งแรงจึงล็อคคอคนที่กำลังจะเดินผ่านไปไว้ทันที 


คุณดีไซน์เนอร์ฝึกหัดมีอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้าแมวดาวจากทีมวิลเลี่ยมคนนี้


"พอดีว่า ผมมีนัดกับหมอนี่ ขอตัวก่อนนะครับ"   เขาบอกออกไปในขณะที่ยังล็อคคอเพื่อนร่วมอาชีพเอาไว้แน่น


"ห๊ะ? ชั้นไปนัดกับแกตอนไหนหวังอี้คุน?"   คนที่ถูกเขาล็อคคอไว้กระซิบกระซาบถามด้วยเสียงชวนตี


"ตอนนี้แหละ"   และเขาก็ตอบกลับไปทันที คุณดีไซน์เนอร์ฝึกหัดยิ้มแหยๆพยักหน้าให้ก่อนจะรีบเดินจากไป


"ดูท่าทางจะกลัวนายมากนะนี่?”   เขาหลุดขำ ภาพสมัยเด็กๆลอยเข้ามาในหัว มีช่วงหนึ่งที่เจ้าลูกกระต่ายถูกทิ้งให้อยู่กับหมอนี่ คนที่ขี้กลัวไปเสียทุกอย่างกับคนที่ไม่กลัวมันซักอย่างอยู่ด้วยกันมันก็เลยจะบันเทิงไม่ใช่น้อย


"นี่ จะปล่อยได้รึยัง? นัดบ้าบออะไรของแกห๊ะ?!"   คนที่ถูกล็อคคอไว้ฟึดฟัดพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่


"พวกเราก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน"   ดวงตาคมกล้าเหล่มองคนที่ยังถูกเขาล็อคคอไว้


"ห๊ะ? พวกเราบ้านพ่องสิ! ปล่อย!"


"หึ…"     ใบหน้าหล่อเหลาแสยะยิ้มก่อนจะออกแรงลากอีกฝ่ายติดมือมาอย่างไม่สนใจเสียงด่าทอ


"หวังอี้คุน ไอ้บ้า! แกจะพาชั้นไปไหน?! ปล่อย!"   เขาเปลี่ยนจากคอมาล็อคข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น แค่นั้นก็ดิ้นไม่หลุดแล้ว สองขาก้าวเดินออกจากตัวอาคารมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ


"ไม่พาไปฆ่าหรอกน่า ถึงจะอยากทำก็เถอะ ชั้นยังไม่ได้แก้แค้นที่นายปาเสื้อเหม็นเหงื่อใส่หน้าชั้นเมื่อสนามก่อนเลยนะ"   พิตของทีมวิลเลี่ยมมักจะอยู่ติดกับพิตของทีมอัลฟ่าโรเมโออย่างน่าอัศจรรย์ เพราะงั้นเขาจึงทะเลาะกับเจ้าตัวร้ายนิสัยแย่นี่ประจำจนกลายเป็นเพื่อนสนิท?ประจำกริดไปแล้ว


เขาโยนตัวบางๆนั่นใส่ไว้ที่เบาะด้านข้างคนขับก่อนที่เขาจะขยับไปนั่งหลังพวงมาลัย รถที่เอาไว้ให้นักขับใช้ในสนามนี้ของทีมเฟอร์รารี่ก็คือ Ferrari SF90 Stradale คันนี้นี่แหละ


ม้าลำพองสีแดงสดแผดเสียงทุ้มต่ำกระหึ่มไปทั่วถนน หวังอี้คุนเหยียบคันเร่งด้วยท่าทางอารมณ์ดีต่างจากคนข้างๆที่แทบจะพ่นไฟออกจากปาก แผ่นหลังบางทิ้งตัวลงไปในเบาะอย่างเสียมิได้ก่อนที่ดวงตาเขียวปั้ดนั่นจะจ้องถนนเขม็ง สองแขนยกขึ้นมากอดอกไม่ได้มีความกลัวเกรงอะไรใดๆทั้งสิ้นทั้งๆที่การกระทำของเขานี่แทบไม่ต่างไปจากการลักพาตัวเลยนะ


สิบนาทีผ่านไป Ferrari SF90 Stradaleก็จอดลงที่หน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในโมนาโก…


"มาที่นี่ทำไม"   เสียงห้วนถามออกมาจากคนข้างๆ


เขาไม่ตอบอะไรแต่กลับดึงแขนของอีกฝ่ายเข้ามา แขนเสื้อถูกถลกขึ้นด้วยมืออีกข้างของเขาเผยให้เห็นรอยจ้ำที่เริ่มช้ำจุดหนึ่ง


"รอยที่เข็มหมุดทิ่มไว้ใช่ไหม? ลงไปให้หมอดู"   


"...."    ใบหน้าได้รูปผงะไปก่อนจะมีท่าทีอึกอัก เขาจึงหันไปดับเครื่องรถก่อนจะก้าวขาลงไป เปิดประตูอีกฝั่งแล้วลากอีกฝ่ายไปยัดไว้ในห้องหมอจนได้


เขานั่งรออยู่หน้าห้องทำแผล ถึงมันจะเป็นแค่แผลเล็กๆที่คงหายได้เองในวันสองวัน ถึงมันจะไม่มีผลกับคนทั่วไปแต่กับนักขับ F1ที่ต้องใช้กล้ามเนื้อแขนในการหมุนพวงมาลัยต้านกับแรงGมหาศาลแล้ว แผลแค่นั้นก็อาจจะทำให้รถเสยกำแพงในชั่ววินาทีได้


เจ้าตัวร้ายนิสัยแย่เดินออกมาพร้อมกับแขนที่มีผ้าพันไว้อย่างดี พวกเขาเดินกลับไปที่รถโดยไม่มีใครพูดอะไร


"ไม่คิดว่าจะเห็น…"    จนกระทั่งเข้ามานั่งอยู่ในรถแล้ว อีกฝ่ายจึงเอ่ยออกมา


"เป็นจ้ำขนาดนี้ ไม่เห็นก็ตาบอดแล้ว"


"ถึงจะดูเสือก แต่ก็ขอบใจแล้วกัน"  จะชมรึจะด่า เอาซักอย่างได้ไหม?  เขาส่ายหน้าก่อนจะถอยรถ 


Ferrari SF90 Stradale วิ่งวนขึ้นไปตามถนนที่ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ บ้านของหมอนี่อยู่บนนั้น บนที่ดินที่แพงที่สุดในโมนาโก


บทสนทนาที่เงียบไปทำให้ได้ยินอย่างชัดเจนยามเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เจ้าตัวร้ายนิสัยแย่ดึงมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดรับ


"หม่อมย่า?!"    พรืด…เขาถึงกับต้องยกมือขึ้นมาบังริมฝีปากที่หลุดหัวเราะออกมา


"เมื่อวาน? โรงพยาบาล?"    อีกฝ่ายยังคุยกับปลายสายต่อไปทั้งๆที่หันมาถลึงตาใส่เขา แอบฟังที่ไหน ก็มันใกล้แค่นี้เขาก็ต้องได้ยินสิ


"ไม่ใช่หลานค่ะหม่อมย่า คนที่เข้าโรงพยาบาลคือหมาของหลานต่างหาก พ่อบ้านน่าจะรายงานผิดแล้ว"    เขากลั้นหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง เวลาหมอนี่คุยกับหม่อมย่ายังคงเป็นอะไรที่บันเทิงสำหรับเขาตลอด


"ไม่ใช่หลานจริงๆค่ะ หลานจะไปเข้าโรงพยาบาลสัตว์ได้ยังไงล่ะคะ"


"หม่อมย่าไม่ต้องเป็นกังวลไป หลานสบายดี...ครับ...ครับ"    นิ้วเรียวกดวางสายไปก่อนจะหันมาแยกเขี้ยวให้เขา ทั้งตลกหน้าของหมอนี่ ทั้งขำบทสนทนาก่อนหน้าจนเขาทนไม่ไหว


“ฮึ…ฮ่าๆๆๆ”    หวังอี้คุนหัวเราะออกไปชุดใหญ่


“หัวเราะอะไรฟ๊ะ?! อยากตายใช่ไหมแกน่ะ!”    มืออีกฝ่ายตบผลั๊วะๆมาที่ต้นแขนเขาไม่ยั้ง ตีกับหมอนี่แล้วคลายเครียดดีจริงๆ








“ยังอยู่จริงๆด้วยแหะเจ้าหมานั่น”   ดวงตาคมกล้าทอดมองหมาพันทางสีขาวซึ่งนอนหมอบอยู่ข้างในบ้าน


“อเล็กซานเดอร์! บอกกี่ครั้งแล้ว แกจะมาเรียกน้องชายชั้นว่าหมานั่นไม่ได้”   เจ้าของบ้านยื่นแก้วไวน์มาให้ มือใหญ่จึงรับมาก่อนจะพลิกตัวไปยืนเท้าราวกันตกแทน ตอนนี้เขายืนอยู่บนระเบียงบ้านที่เห็นได้ทั่วทั้งโมนาโก


“นายจะไม่ยินดีที่ชั้นได้ขับให้เฟอร์รารี่เลยหรือไง?”   เสียงทุ้มเอ่ยออกไปทั้งที่นัยน์ตายังคงมองไปข้างหน้า แสงไฟเริ่มติดขึ้นทำให้โมนาโกในยามพลบค่ำเริ่มดูสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง


“ก็ไวน์ที่แกถืออยู่นั่นไง จะเอาอะไรอีก”   หึ…ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มก่อนจะก้มมองแก้วไวน์ในมือ ท่ามกลางผู้คนนับร้อยนับพันที่เดินอยู่ในกริด เขามีเพื่อนสนิทอยู่เพียงคนเดียว เป็นทั้งเพื่อนและเป็นทั้งคู่แข่ง เป็นทั้งคนที่แย่งชิงชัยชนะและคนที่จะยินดีกับเขาด้วยใจจริง


“ขอบใจนะ พรุ่งนี้ ชั้นก็จะไม่ยอมแพ้นายแน่”


“เฮอะ”















ตัดมาทางด้านมาราเนลโล่ ประเทศอิตาลี…


ถึงจะเป็นบ่ายวันศุกร์ที่ควรจะสงบสุขแต่หวังอี้ป๋อกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลย


แทนที่เขาจะได้นอนเอกเขนกดูทีวีอยู่บนโซฟาแต่นักบิดแชมป์11สมัยกลับต้องมาเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพราะเจ้าคนที่ควรจะไปโรงเรียนดันได้หยุดครึ่งวันเพราะวันนี้มีสอบแค่วิชาเดียวน่ะสิ!


ร่างสูงสง่าเดินโซซัดโซเซก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหมดสภาพอยู่บนโซฟา...เขาเพิ่งจะแบกอาม่าแพนด้ายักษ์ขึ้นไปอาบแดดอุ่นๆบนดาดฟ้าหลังจากอาบน้ำให้มันเสร็จ


อันที่จริงวันนี้ยังไม่ถึงเวรอาบน้ำเจ้าหมีแพนด้าหน้าโง่นั่นหรอก แล้วทำไมเขาต้องเสียพลังลมปราณจับมันอาบน้ำด้วยน่ะเหรอ?


นั่นก็เพราะหวังเฟยเฟยลูกกระต่ายตัวน้อยๆของเขามัวแต่เดินอ่านชีทข้อสอบจนเตะแก้วโกโก้เย็นกระเด็นไปโปะบนหัวอาม่ากลายเป็นหมีเลือดสาดเหนียวเหนอะไปทั้งตัว…


แค่จับมันอาบน้ำปกติก็เหนื่อยจะแย่แล้ว คราวนี้เขาต้องเหนื่อยคูณสองเพราะกว่าจะเอาคราบสีน้ำตาลเข้มออกจากตัวสีขาวของมันได้เนี่ย มันยากนะเฮ้ย


ดวงตาคมกล้ากะจะปิดลงสักครู่ ลมจากแอร์ที่ปะทะร่างกายทำให้รู้สึกสบายจนความเหนื่อยล้าค่อยๆคลายออก


ทว่า…


“ช่วยด้วย!”   เสียงคุ้นหูแว่วมาจากหลังบ้าน นอกจากหูจะผึ่งแล้วร่างกายของเขายังเด้งผึงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ นี่มันเสียงอาเฟยนี่? 


“ปะป๊า~ช่วยเฟยด้วย~~”   ไม่ต้องรอให้เรียกเป็นครั้งที่สอง ขาของเขาพุ่งออกไปทันทีราวกับตั้งโปรแกรมไว้ หวังอี้ป๋อนั้นได้ยินเสียงลูกร้องได้ที่ไหน


แล้วพอวิ่งออกมาถึงสวนอิตาลีหลังบ้าน...ดวงตาคมกล้าก็มองเห็นหนึ่งแมวกับอีกหนึ่งคน...เจ้าแมวที่ควรจะปีนอยู่บนต้นไม้กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเจ้าคนที่ควรจะนั่งอยู่บนเก้าอี้กลับไปนั่งอยู่บนต้นไม้ซะงั้น!


"ปะป๊า~ ช่วยด้วย~ เฟยลงไม่ได้อ่ะ~~"    ก็แล้วขึ้นไปทำไมละเฮ้ย?! หวังอี้ป๋ออ้าปากค้าง ลูกเป็นแค่กระต่ายนะไม่ใช่แมว อย่าปีนต้นไม้ซี้ซั้วสิ!


"ขึ้นไปทำไม?"   นักบิดเจ้าของตำนานมีชีวิตเดินส่ายหน้าเข้าไปหา สมเป็นตัววุ่นวายประจำบ้านจริงๆ ให้เขาพักหน่อยไม่ได้รึไงเนี่ย?


"ก็เจ้าแมวนั่นมันร้องเหมือนจะลงจากต้นไม้ไม่ได้อ่ะ เฟยเลยปีนขึ้นมาช่วยมัน แต่พอขึ้นมาถึงมันก็โดดลงไปเฉยเลย กลายเป็นเฟยที่ติดอยู่บนนี้แทน งื้อ"   บอกแล้วไงว่าลูกเป็นแค่กระต่าย จะขึ้นไปช่วยแมวมันทำไม!


"รออยู่ตรงนั้นก่อน ปะป๊าไปเอาบันไดก่อน นั่งเฉยๆนะ อย่าขยับ เดี๋ยวตกลงมา"  


"อื้อ ปะป๊าเร็วๆนะ มดแดงมันกำลังไต่มาแล้วอ่ะ"   ว้อยยยย เขาถึงกับออกวิ่งไปกรีดร้องไป เจ้าตัวยุ่งนี่มันยุ่งแท้ๆ! บางครั้งก็นึกอยากจะปล่อยให้ผจญโลกด้วยตัวเองบ้าง แต่สัญชาตญาณความเป็นพ่อของเขามันก็ไม่เคยเชื่อฟังเลย แค่ได้ยินว่ามีมดจะกัดเจ้าลูกกระต่ายนั่น สองขาก็วิ่งหน้าตั้งไปหยิบบันไดเฉย 


แล้วตลอดทั้งบ่ายวันนั้น หวังอี้ป๋อก็วุ่นวายไม่แพ้คนที่อยู่โมนาโกเลย…





.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

520 km/hr.

To be con.

 


น่าจะจบที่พาร์ทหน้านาคะสำหรับตอนของอี้คุน~


ส่วนอันนี้เป็นคลิปไฮไลท์การแข่งในสนามโมนาโกของปี2012 ชอบการตัดต่อชอบเพลงในคลิปมากค่ะ เดอะเบสในใจเลย แวะไปดูกันน้า~


F1 Grand Prix Monaco 2013 Official Race Edit



ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ และทุกๆการติดตามมากๆนะค้า แล้วเจอกันตอนหน้า~






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น