ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 N. again [Part7]
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 นิวตัน”
.
.
.
ตั้งแต่กลับจากเกียวโต
หวังเฟยเฟยก็อยู่โยงเฝ้าออฟฟิศมาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว
งานที่เร่งส่งมากทำให้เจ้าลูกกระต่ายแทบจะไปกินนอนอยู่ที่สำนักงานใหญ่RTRI จะกลับบ้านมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างเป็นบางวัน แล้วก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น
และนั่นก็ทำให้หวังอี้หยางต้องไปสร้างอาณาจักรใหม่ที่ออฟฟิศ
RTRI
เพื่อคอยดูแลลูกกระต่ายของตนอย่างช่วยไม่ได้
นายใหญ่แห่ง
Diamond
crown ก้าวไปตามทางเดินของออฟฟิศที่เงียบสนิท
ไฟถูกเปิดไว้ห่างๆแค่พอเห็นทางเท่านั้น บรรยากาศตอนนี้จึงวังเวงสุดๆ ที่ๆเคยมีคนเดินกันพลุกพล่านบัดนี้กลับว่างเปล่า
ไม่มีใครอยู่แล้ว…
ทั้งตึกเหมือนจะมีอยู่แค่ห้องเดียวที่ยังเปิดไฟ
นั่นก็คือห้องแผนกออกแบบ…
เอี๊ยดๆๆ
เสียงพื้นรองเท้าเสียดสีกับหินขัดดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน
เข็มนาฬิกาหรูบนข้อมือชี้ไปที่เลขสิบเอ็ด…ห้าทุ่มกว่าแล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจที่มันจะเงียบขนาดนี้
แล้วด้วยความที่เป็นตึกออฟฟิศซึ่งสร้างมากว่าครึ่งศตวรรษ
ไม่ว่าจะซอกมุมไหนก็เต็มไปด้วยเรื่องราวและเหมือนจะมีสิ่งลี้ลับโผล่ออกมาได้ทุกที่
แล้วก็เพราะความหลอนแบบนี้นี่แหละที่ทำให้หวังอี้หยางต้องถ่อมาถึงที่นี่
เขานึกถึงคืนแรกที่เฟยเฟยบอกอย่างดิบดีว่าจะไปค้างออฟฟิศ ไม่ต้องห่วงนะ
ไม่ต้องห่วงก็แปลกแล้ว!
ยังไม่ทันจะสี่ทุ่ม
เจ้าตัวดีก็วีดีโอคอลมาหาก่อนจะพูดกับเขาว่า
"เฟยปวดฉี่จะแย่แล้วอ่ะ"
"...? ก็ไปเข้าห้องน้ำสิ?"
"เฟยไม่กล้าไปอ่ะ ทางเดินไปห้องน้ำมันน่ากลัวมากเลย แง๊~ เมื่อกี้โผล่หน้าออกไปดูนะ ทั้งมืดทั้งหลอน
มีเสียงเอี๊ยดๆอะไรด้วยก็ไม่รู้อ่ะ น่ากลัวสุดๆ"
"......"
"ปวดหลังด้วยเนี่ย นั่งปั่นงานมาทั้งวันเลย อยากนอนกลิ้งบนเตียงนิ่มๆแล้ววว
งื้อ~"
"......"
"อยากกินหนมด้วย พอปากไม่ได้เคี้ยวอะไรมันก็ง่วงมากเลยอ่า~ คิดถึงมันฝรั่งในตู้เย็นของเฟยจัง~~ ป่านนี้คงรอใครสักคนไปกินมันอยู่สินะ~
โถๆๆ"
"....ใต้ตึกมีเซเว่นไม่ใช่เหรอ?"
"หงึ ห้องน้ำอยู่ข้างๆนี่เฟยยังไม่กล้าไปเลย แล้วจะลงไปถึงใต้ตึกได้ยังไง"
ก็จริงนะ…
"ให้ไปรับกลับดีไหม? พรุ่งนี้ไปแต่เช้าเอาไม่ได้เหรอ?"
งอแงซะขนาดนี้จะอยู่ไหวเหรอเนี่ย?
"กลับไม่ได้~ ต้องอยู่ชดใช้หนี้กรรมที่หายไปเกียวโตวันนึงก่อน~"
เจ้าลูกกระต่ายแทบจะลงไปดิ้น เขาได้แต่อมยิ้มอย่างเอ็นดู เพราะถึงจะง๊องๆแง๊งๆแบบนี้
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ที่เฟยเฟยยอมอ้อน
"แต่ปวดฉี่มากเลย ทำไงดี งื้อ"
"ไม่มีใครอยู่ด้วยเลยเหรอ? ให้ใครไปเป็นเพื่อนไม่ได้เลยเหรอ?"
"ง่ะ พี่ดูสภาพของคุโรทากะสิ" กล้องถูกแพลนไปที่โต๊ะข้างๆซึ่งมีชายหนุ่มสภาพเหมือนซอมบี้นั่งทำงานอยู่
นอกจากหัวที่ชี้โด่ชี้เด่แล้วขอบตายังดำคล้ำเหม่อลอยเหมือนคนไม่ได้นอนมาสามวัน
เอานิ้วจิ้มเบาๆก็คงล้มกลิ้งได้แล้วมั้งนั่น…
"ส่วนยูกิซังก็…" กล้องถูกแพลนไปที่หัวโต๊ะ
มีผู้ชายร่างบางคนหนึ่งหลับหงายเหงือกอยู่กับเก้าอี้ทั้งๆที่มือยังมีดินสอคาอยู่
เรียกว่าหมดสภาพสุดๆ…
"....เข้าใจแล้ว เดี๋ยวชั้นเอาหมอนอิงกับขนมไปให้ก็แล้วกัน"
"เย้~~ พี่น่ารักที่สุดเลย~"
ก็นั่นแหละ
เขาต้องเอาหมอนแก้ปวดหลังไปให้ ซื้อเสบียงไปฝาก ไปพาเจ้าตัววุ่นวายเข้าห้องน้ำ
แล้วก็ต้องอยู่ที่นั่นยันเช้าเผื่อเฟยเฟยจะปวดฉี่อีก
กว่าจะได้กลับคอนโดก็ตีห้าหกโมงได้ เป็นแบบนี้มาจะอาทิตย์นึงแล้ว
แต่คนอื่นๆในออฟฟิศก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขามาที่นี่
เพราะกว่าจะมาก็ดึก กลับก็กลับแต่เช้ามืด
อาเธอร์เปิดประตูห้องให้เขาเดินเข้าไป
เฟยเฟยหันมายิ้มร่าให้
มือใหญ่จึงยกถุงชูครีมร้านโปรดของเจ้าลูกกระต่ายที่ซื้อมาฝากให้ดู
"ชูครีม~~"
ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูเท่าไหร่ก็ยังไม่ชินตาสักที
ไม่สิ เขาก็ไม่ควรจะชินกับมันอยู่แล้วละ ภาพของชายหนุ่มที่ดูเหมือนบอสมาเฟียกับบอร์ดี้การ์ดชุดดำสามสี่คนที่กำลังยืนล้อมโต๊ะเขียนแบบซึ่งไม่เข้ากันสุดๆ
คุโรทากะได้แต่คิดอย่างปลงๆ
เขายอมรับว่าคืนแรกที่พี่ชายของหวังเฟยเฟยบุกเข้ามาเขากลัวแทบฉี่ราด
ก็เล่นใส่สูทเต็มยศแถมยังมีบอร์ดี้การ์ดเดินตามมาเป็นสิบ เป็นใครก็ต้องคิดว่ามาเฟียตีกันแล้วไหม? ปรากฎว่าแค่เอาหมอนอิงมาให้เจ้าตัววุ่นวายเพราะหวังเฟยเฟยโทรไปบ่นว่าปวดหลัง…
ยังดีที่รุ่นพี่ทีมอื่นๆกลับบ้านกันไปหมดแล้วเลยยังไม่มีใครหัวใจวายตาย
แล้วความเอาใจใส่ที่ไม่ธรรมดาก็ทำให้เขาเข้าใจได้เลยว่าหวังเฟยเฟยโตมาอิท่าไหนถึงได้เป็นแบบนี้…ดวงตาเพลียๆทอดมองไปยังเก้าอี้ปรับนอนได้ราคาเป็นแสนที่ถูกยกมาเปลี่ยนกับเก้าอี้ออฟฟิศแข็งโป๊กตัวเก่า
หมอนขนเป็ดขนห่านอย่างดีมีรองให้ตั้งแต่หัวยันปลายเท้า
ไหนจะตู้เย็นที่อัดแน่นไปด้วยขนมสดใหม่จากฝรั่งเศส ช็อกโกแลตอย่างดีจากเบลเยี่ยม
เรียกว่ามีแต่ขนมขบเคี้ยวเกรดพรีเมี่ยมทั้งนั้น ยังไม่พอ โต๊ะที่ตั้งกาน้ำร้อนก็มา
แถมยังเต็มไปด้วยชาสารพัดชนิดจากทั่วโลก…
จากมุมห้องที่โสโครกสุดกลายเป็นมุมที่เจิดจ้าเป็นประกายไปเลยตอนนี้…
อ้อ
ยังมีชุดโซฟาหรูหราสีดำจากอิตาลีที่คุณพี่ชายใช้นั่งเฝ้าเจ้ากระต่ายปีศาจนั่นอีกชุด…ของพวกนี้ถูกขนมาตอนกลางคืน
แต่ที่เขาสะเทือนใจก็คือไม่มีใครในออฟฟิศสงสัยเลยว่ามันมาจากไหน
มาตั้งตรงนี้ได้ยังไง...
"งื้อ…ชานมคาราเมลหมดแล้วเหรอ…"
หวังเฟยเฟยตาปรือบ่นงึมงำในขณะที่เปิดตู้เย็น
"อยากกินอ่า~~" ใบหน้ามนหันไปอ้อนคนที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนโซฟา
เจ้ากระต่ายปีศาจเวลาอยู่กับพี่ชายแล้วงอแงสุดอะไรสุดจริงๆ
"อาเธอร์" แล้วคุณพี่ชายก็หันไปสั่งเลขาทันที
นี่ก็ตามใจกันเก่งเหลือเกิน!
"ครับนาย" คุณเลขาก็โทรสั่งใครสักคนให้ไปซื้อมา
สปอยด์กันทั้งบ้านเลยสินะ เฮ้อ~
เขาถอนหายใจอย่างปลงๆ
ได้ข่าวว่ายังมีพี่ชายฝาแฝดอีกคนนะ…
เขาเพิ่งรู้ว่าหวังเฟยเฟยเป็นทายาทของตระกูลอภิมหาเศรษฐีในจีน
ก็นะ หลังจากคืนที่พี่ชายของหวังเฟยเฟยบุกมาหา เขาจึงลองเสิร์ชดูเล่นๆ
ก่อนจะพบความจริงที่ทำให้ขนลุกเกรียว
ก็พี่ชายที่นั่งอ่านเอกสารชิวๆอยู่นี่เป็นถึงเจ้าพ่อวงการค้าเพชร
เป็นเจ้าของแบรนด์เพชรอันดับหนึ่งของโลก เป็นนักธุรกิจที่รวยติดหนึ่งในห้า
เป็นทายาทลำดับที่หนึ่งของตระกูลหวังที่กุมอำนาจทางการทหารของจีนและมีมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ไม่รู้กี่หมื่นล้านเชียวนะ
ทางฝั่งครอบครัวของหวังเฟยเฟยเองก็ไม่ธรรมดา
ทั้งพ่อทั้งแม่เป็นคนดังของวงการมอเตอร์สปอร์ต
โดยเฉพาะฝ่ายแม่ที่ไม่น่าจะมีคนในวงการออกแบบรถคนไหนไม่รู้จัก
นักออกแบบรถอัจฉริยะของค่ายม้าลำพองแห่งอิตาลี!
พี่ชายฝาแฝดเองก็เป็นนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันของทีมยักษ์ใหญ่อย่างเฟอร์รารี่ที่กำลังลุ้นแชมป์อยู่ในปีนี้
เป็นนักขับหนุ่มหน้าตาดีที่โด่งดังไม่เฉพาะแค่วงการแข่งรถแต่คนทั่วโลกก็รู้จัก
เจ้ากระต่ายปีศาจนั่นเรียกว่าชีวิตดีจนไม่คิดว่าจะมานั่งอยู่ตรงหน้าเขาได้เลยจริงๆ
"โอ๊ยๆๆ หลังชั้น~~" แต่แล้วเสียงร้องปวดหลังอย่างกับคนแก่จากโต๊ะข้างๆก็ทำให้เขาทำหน้าละเหี่ยใจ…ทั้งๆที่นายมีชีวิตอยู่บนยอดพีระมิดแบบนั้น
ทำไมยังเป็นคนแบบนี้ได้อีกเนี่ย เจ้ากระต่ายบ๊องเอ้ย~
คุโรทากะเลิกสนใจเรื่องราวของเจ้าตัววุ่นวายแล้วหันมาปั่นงานต่อไป…
เข็มนาฬิกายิ่งเดินหน้าเท่าไหร่
เวลาของพวกเขาก็ยิ่งเหลือน้อยลงทุกทีๆ
ตอนนี้ทั้งแผนกก็เริ่มติดป้ายเคาน์ดาวน์กันแล้ว
เหลือเวลาอีก
4 วัน…
แต่งานที่เป็นรูปเป็นร่างอย่างกับพายุลงนั่นก็ทำให้สายตาของคนทั้งแผนกเริ่มมองทีม
C เปลี่ยนไป
จากทีมที่ไม่มีใครคาดหวังอะไร
จากทีมที่ใครเดินผ่านก็เอาแต่หัวเราะหยอกล้อเพราะมีแต่เด็กๆกับคนที่ไร้ประโยชน์
แต่พองานมันเริ่มขึ้นเป็นสามมิติและมีรายละเอียดมากขึ้น
คนที่มีประสบการณ์และเก่งพอก็จะรู้ได้ทันทีว่านี่คือแบบหัวกระสุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
สายตาหลายคู่มองมาที่พวกเขาสามคนอย่างทึ่งๆ
เพราะความเร็วในการพัฒนาคอนเซ็ปต์ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้นี้มันไวอย่างไม่น่าเชื่อ
เวลาที่ใช้มันน้อยเกินไปสำหรับมนุษย์มนาทั่วๆไป
พอมองดีๆแล้วจึงเพิ่งเข้าใจ
ว่าทั้งทีมนี้มีแต่หัวกะทิล้วนๆจึงทำงานได้เท่ากับคนเจ็ดแปดคน
ทุกขั้นตอนที่คิดที่ทำไม่มีคำว่าสูญเปล่าเสียเวลาเลย
ตอนนี้ทีม
C จึงมีชื่อใหม่ ใครๆต่างก็เรียกพวกเขาว่า เจ้าพวกทีมปีศาจ!
-ติ๊ด-
มือบางแตะบัตรพนักงานเข้ากับเครื่องสแกนก่อนจะเดินผ่านประตูกระจกเข้าไป
หวังเฟยเฟยเดินทำหน้ามึนผ่านประตูใหญ่ของออฟฟิศอย่างที่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้ตนกลับบ้านไปได้ยังไง
ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงที่คอนโดแล้ว
"นายไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้ว ถ้าคุณยายรู้เข้าคงบ่นจนหูชา ซึ่งชั้นขี้เกียจฟัง
เลยหอบกลับมาตอนนายหลับคาอยู่บนโต๊ะ" นั่นคือสิ่งที่พี่อี้หยางบอกกับเขาเมื่อเช้า
แก้มใสร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้
คนที่คอยดูแลแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ
คนที่คอยมานั่งอดหลับอดนอนอยู่ใกล้ๆเพียงเพื่อพาเขาไปเข้าห้องน้ำแบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว
เขารู้อยู่ตลอดนั่นแหละว่าพี่อี้หยางรักเขามากแค่ไหน
รู้ดีอยู่แก่ใจถึงความรักที่อีกฝ่ายมอบให้
แล้วตอนนี้เขาก็ไม่มีความลังเลอีกต่อไปแล้ว
"อ๊ะ! รอด้วยครับๆ!" ใบหน้าที่กำลังคิดอะไรเพลินๆจำต้องรีบตะโกนออกไปหลังจากเห็นว่าประตูลิฟท์กำลังจะปิดลง
ขาเรียวรีบวิ่งให้ทันเพราะไม่อยากเสียเวลารอรอบต่อไป
"ง่ะ!" แต่เมื่อก้าวเข้ามาในลิฟท์ได้
ทั้งเขาทั้งคนที่ยืนอยู่ก่อนต่างผงะไปทั้งคู่…จะว่าเป็นคนที่ต่างฝ่ายต่างไม่อยากเจอหน้าก็คงได้
แต่ยังไงก็ยังต้องทำงานอยู่ที่นี่ ยังไงก็คงเจอกันโดยบังเอิญบ้างอยู่ดี…
พี่สาวห้องน้ำคนที่คิดจะแบล็กเมล์เขา…
ครืด…
เสียงลิฟท์เคลื่อนตัวอย่างน่าอึดอัดใจ
ร่างโปร่งขยับไปยืนชิดอีกฝั่งโดยไร้ซึ่งคำทักทายตามมารยาท
หญิงสาวเองก็หลบหน้าหลบตาเหมือนรู้สึกผิดและคงยังหวาดกลัวต่อพี่อี้หยางอยู่
ความเงียบทำให้หวังเฟยเฟยเผลอกระทืบปลายเท้าอย่างนึกหงุดหงิด
แค่คิดถึงเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้เขาก็โมโหปรี๊ดขึ้นมาทันที
แต่เขาไม่ได้โมโหพี่สาวห้องน้ำคนนี้
เขาโกรธที่อีกฝ่ายทนคบกับผู้ชายเลวๆคนนั้นอยู่ได้ต่างหาก
"ผมรู้เรื่องของคุณแล้วละ" เสียงนุ่มเอ่ยออกไปอย่างไร้หางเสียง
เขาไม่ได้หันหน้ามามองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
".....ฉัน…ขอโทษด้วยจริงๆนะคะ…ฉันจะไม่ทำเรื่องแบบนี้กับเธออีก
รับรองได้" หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา
มีความหวาดหวั่นและหวาดกลัวอยู่ในน้ำเสียงอย่างเห็นได้ชัด
เขามองเห็นเงารางๆที่สะท้อนอยู่บนผนังอลูมิเนียมของลิฟท์ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังยืนกุมมือตัวลีบก้มหน้ามองพื้นอยู่
"คุณต้องไม่ทำอยู่แล้วละ คุณก็น่าจะรู้แล้วนี่ว่าผมเป็นใคร
คุณคงไม่อยากหายไปในทะเลทรายอาหรับ ในจีนแผ่นดินใหญ่
หรือในดงมาเฟียอิตาลีหรอกใช่ไหมครับ?" เสียงห้วนเอ่ยออกไปเป็นเชิงข่มขู่
เขาเองก็จำเป็นที่จะต้องทำให้ใครต่อใครรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเข้ามาทำร้ายหรือหาผลประโยชน์ได้ง่ายๆ
"ค่ะ…." หญิงสาวเหลือบมองเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ
เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ยังอมพะนำไว้
สายตาที่มองเขาเหมือนอยากจะขอร้องบางสิ่งบางอย่าง
ซึ่งเขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเรื่องอะไร
"แล้วก็เรื่องนี้" เขาพูดออกไปอย่างฉะฉาน
"ผมไม่เอาไปบอกใครหรอก ถึงผมจะอยากฟ้องหัวหน้ามากจริงๆก็เถอะนะ"
หญิงสาวเงยหน้ามองภาพสะท้อนผนังของเขาด้วยดวงตาสั่นระริก
"ขะ ขอบคุณนะคะ…ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
ถ้าฉันถูกไล่ออกจากที่นี่ ฉันต้องแย่แน่ๆ" เสียงที่เอ่ยขอบคุณนั้นสั่นเครือ
หญิงสาวยกมือกุมท้องอย่างเผลอตัว
เธอสมกับที่เป็นแม่คน
แล้วเขาจะไปโกรธแค้นคนที่ทำเพื่อต่อลมหายใจของลูกตัวเองได้ลงเหรอ
".....กี่เดือนแล้วครับ?" ถึงเสียงจะยังห้วนๆอยู่แต่เขาก็ถามออกไปอย่างอยากรู้
"คะ?"
"เด็กน่ะ กี่เดือนแล้ว?"
"สองเดือนแล้วค่ะ" เธออมยิ้มในขณะที่ก้มมองท้องของตัวเอง
ผู้หญิงคนนี้รักลูก รักเด็กที่อยู่ในท้องและพยายามปกป้องชีวิตน้อยๆนั้น
และนั่นก็ทำให้เขาใจอ่อน
"เฮ้อ~ ถึงคุณจะจำเป็นแต่สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะครับ
ถ้าคนที่คุณเจอไม่ใช่ผมกับพี่ชาย แต่เป็นมาเฟียจริงๆ คุณจะทำยังไง?"
เสียงใสบ่นใส่
"ฉัน…." หญิงสาวก้มหน้าอึกอัก
"มันก็เป็นเรื่องของคุณนั่นแหละ แต่ผมอยากให้คิดให้ดีๆอีกสักที
เรื่องแฟนของคุณน่ะ ยังจะคบกับผู้ชายแบบนั้นอยู่อีกเหรอครับ?" เขาก็รู้อยู่หรอกว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองและคงเข้าไปออกความเห็นอะไรไม่ได้
แต่มันเป็นเรื่องที่ทำให้ใจเขาไม่สงบเขาจึงต้องพูดออกไป แน่นอนว่าหวังเฟยเฟยไม่เคยกลัวที่แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้อยู่แล้ว
"ฉัน…" หญิงสาวได้แต่อ้ำอึ้ง
แต่ท่าทางกระอักกระอ่วนแบบนั้นมันก็ทำให้เขารู้ว่า
หญิงสาวคงเคยคิดเรื่องนี้มาบ้างแล้ว
ติ๊ง!
เสียงลิฟท์หยุดบทสนทนาที่น่าอึดอัดไว้แต่เพียงแค่นั้นและเขาก็ไม่ได้คิดที่จะคาดคั้นหญิงสาวต่อด้วย
"ผมไปละ ดูแลเจ้าตัวเล็กให้ดีๆล่ะ" เขาจึงหันไปโบกมือให้ท้องของเธอก่อนที่จะก้าวขาเดินนำออกมา
เขาเองก็ไม่ได้มีเวลามากพอจะไปสนใจใคร
ดูได้จากความอลหม่านในวันใกล้จะส่งงานของห้องแผนกออกแบบได้
ตอนนี้ทั้งห้องเหมือนกำลังมีพายุเข้า
ทั้งตัวอย่างวัสดุ ทั้งโมเดล
หนังสืออ้างอิงและสารพัดสิ่งที่จะใช้ในการพรีเซ็นต์ถูกวางกันเกลื่อนพื้น
ผู้คนสภาพยับๆที่วิ่งไปวิ่งมาบ้าง นั่งหัวฟูอยู่หลังคอมพิวเตอร์บ้าง
ยืนถกเถียงกันบ้าง ทะเลาะกับเครื่องปริ๊นท์บ้าง บางคนยังหลับอยู่ใต้โต๊ะก็มี
กว่าจะหลบหลีกสิ่งกีดขวางพวกนั้นไปถึงคอกทีม
C ได้ หวังเฟยเฟยก็ใช้เวลาไปเป็นสิบๆนาที…
แล้ววันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันอันแสนสาหัสสำหรับกระต่ายตัวน้อยๆอย่างเขา
ร่างโปร่งบางโน้มหน้าเกยคางไว้กับโต๊ะอย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งเรี่ยวแรง
มือที่จะยกขึ้นมากดเซฟงานถึงกับสั่นหงึกๆ
ปกติเขาทำงานไวจะตาย
แต่ที่ทำมาทั้งวันนี้มันเท่ากับงานที่ควรจะทำทั้งอาทิตย์ไง
มันถึงได้สูบพลังขนาดนี้
ใบหน้ามนที่เกยอยู่บนโต๊ะพลิกตะแคงไปอีกด้าน
ได้ยินเสียงกรอบแกร่บดังมาจากใต้แก้ม สงสัยหน้าเขาคงหนุนอยู่บนกระดาษสเก็ตละมั้ง?
งื้ม…ช่างเถอะ
ยังไงก็เอาไปขึ้น 3D หมดแล้ว กระดาษยับก็ไม่เป็นไร~
เขาพักหายใจหายคอด้วยการทอดสายตามองไปยังคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา
พี่อี้หยางมาอยู่เป็นเพื่อนเขาตามปกติ
คืนแรกๆก็ยังใส่สูทอยู่หรอก แต่นานวันเข้าก็ยิ่งแต่งตัวตามสบาย
จากสูทเหลือแค่กั๊กสูทเหลือแค่เสื้อเชิ้ตจนตอนนี้ถึงกับใส่ชุดนอนมาแล้ว!
ดวงตากลมโตเหลือบมองร่างสูงสง่าในชุดนอนสีดำมีเสื้อคลุมขนสัตว์สีเทาทับอยู่อีกชั้น
พี่อี้หยางกำลังนั่งสไลด์จอแทบเล็ตสบายใจอยู่บนโซฟาหรูหรา…คือว่าบรรยากาศของพี่ท่านนั้นช่างต่างจากสภาพไฟท่วมในคอกทีมCของเขาราวกับคนละโลก
"อ๊าก!!! อย่าเพิ่งค้างเซ่ ไอ้คอมเฮงซวย!!" เสียงรุ่นพี่ชิโรยูกิแหกปากดังลั่น
ใบหน้ามนแทบจะพ่นไฟใส่คอมพิวเตอร์ที่ดับวูบไป มันจะน็อคเขาก็ไม่แปลกใจหรอก
ในเมื่อมันต้องใช้โปรแกรมหนักมาทั้งวันทั้งคืนแถมหลายวันหลายคืนติดด้วย
มือบางขยับเม้าท์อย่างเชื่องช้าโดยที่หน้ายังเกยอยู่บนโต๊ะ
เขากดเอนโค้ดตัวอย่างวีดีโอจากโปรแกรมลูเมี่ยนทิ้งเอาไว้
กว่าจะได้อนิเมชั่นการวิ่งจากสถานีโตเกียวไปถึงสถานีโอซาก้าก็คงใช้เวลาเอนโค้ดอีกสักพัก
"ไม่ไหวแล้ววว" ริมฝีปากบ่นงึมงำก่อนที่ร่างกายจะลุกเดินลอยๆเหมือนวิญญาณไปหาที่ซุกอุ่นๆ
แล้วยิ่งเดินใกล้พี่อี้หยางเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ยินเสียงวีดีโอในแท็บเล็ตที่อีกฝ่ายกำลังนั่งดูอยู่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ดูอะไรอยู่น่ะ? ดูไปยิ้มไปด้วยแหะ?
"ง่ะ! ยังไม่พออีกเหรอ? ต้องใส่กี่ชั้นกันครับเนี่ย?
แล้วนี่อะไรอ่ะ? ต้องพันไว้รอบอกด้วยเหรอ?"
"แอ่ก! ต้องรัดแน่นขนาดนี้เลยเหรอครับ? หายใจไม่ออกแล้ว~
จะตายแล้วๆ~"
"หนักจนลุกไปไหนไม่ได้เลยอ่ะ ขนาดจะขยับตัวยังลำบากเลย แง๊~"
"แต่กิโมโนก็สวยจัง~ ถ้าพี่อี้หยางเห็นจะชอบไหมนะ?
เหะ"
"หมวกอันนี้หรืออันนี้ดี~? สวยทั้งคู่เลยอ่า~"
"ล็อกเกตนี่น่ะเหรอครับ? ….คนให้มาเค้าเรียกมันว่า…เพชรแห่งหัวใจ งื้อ~ น่าอายจะตาย พี่อี้หยางบ้า~"
"เอ๋? เอาออกมาไว้บนกิโมโนแบบนี้เหรอครับ? อ่ะ! เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ สวยจัง…"
"รูปถ่ายออกมาต้องเหมือนรูปบรรพบุรุษที่ติดอยู่ตามบันไดทางขึ้นบ้านแน่เลย
ฮ่าๆๆ คุณปู่ครับ เพชรแห่งหัวใจในรูปคุณทวดนี่ทำไมไม่อยู่ในรายการมรดกล่ะครับ! อ๊า
เพชรแห่งหัวใจหายไปแล้ว! ใครเอาเพชรแห่งหัวใจไป! กลายเป็นนิยายสืบสวนแน่ ฮ่าๆๆ"
"ชู่วว ได้ข่าวว่าพี่ชายห้องข้างๆหล่อมาก
แต่เฟยตัวหนักจนลุกไปแอบดูไม่ได้นี่สิ ทำไงดี! งื้อ"
ดวงตาคมกล้าจ้องมองภาพเคลื่อนไหวในแท็บเล็ตไม่วางตา
เขากำลังนั่งดูวีดีโอที่ทางร้านเช่าชุดกิโมโนถ่ายเบื้องหลังตอนแต่งตัวชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวเอาไว้ให้ด้วย
แล้วอาเฟยที่เล่นกับกล้องไปถูกจับแต่งตัวไปก็น่ารักมากจริงๆ
แต่งนิยายขำขันอะไรก็ไม่รู้อีก
"ดูไรอยู่น่ะ?" ใบหน้าหล่อเหลาเงยมองเจ้าของเสียงที่เดินสลึมสะลือเข้ามาหา
"จะนอนแล้วเหรอ?" ท่อนแขนแข็งแรงอ้ารับอย่างคุ้นชินก่อนจะเอนตัวเพื่อให้อีกฝ่ายนอนได้ถนัด
"อื้อ ขอสิบห้านาที ปลุกเฟยด้วยนะ…" เจ้าลูกกระต่ายซุกเข้ามาที่สีข้าง
ดวงตาจะปิดมิปิดแหล่เหลือบเห็นตัวเองในวีดีโอเข้าพอดี
"หื๋อ? นี่มัน…"
"ร้านเช่ากิโมโนถ่ายเบื้องหลังตอนแต่งตัวไว้ด้วย เก็บไว้ทำวีดีโองานแต่งก็ดีเหมือนกันนะ?"
เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้า
"งื้อ" แต่เจ้าตัววุ่นวายก็ง่วงเกินกว่าจะโต้ตอบได้
ดวงตากลมโตหลับพริ้มไปในไม่กี่วินาที
เขาละสายตาจากวีดีโอมามองคนที่อยู่ในอ้อมแขน
ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกละใบหน้าออกให้อย่างอ่อนโยน และนั่นก็ทำให้เขาเห็นรอยอะไรบางอย่างบนแก้มใส
หัวรถไฟ?
ทำไมมีรูปรถไฟอยู่บนแก้มของเฟยเฟยได้ละเนี่ย?
เขาลองเอานิ้วเช็ดๆดู…ออกด้วยแหะ?
เหมือนจะเป็นลายเส้นดินสอ?
ดวงตาคมกล้าจึงเหลือบไปมองที่โต๊ะของเฟยเฟย
มีกระดาษสเก็ตเกลื่อนกลาดอยู่…มาจากนั่นเองสินะ
"ฮึ…" เขาถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดรอยขำบนใบหน้า…แอบงีบยังไงให้เส้นดินสอบนกระดาษมันเลอะแก้มได้แบบนี้เนี่ยเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย~
เขาทอดสายตามองอย่างเอ็นดู
มือใหญ่ดึงทิชชูมาเช็ดให้
ไม่อย่างงั้นคงได้อยู่ยันเช้าแหละรอยนี่
แล้วมึนๆอย่างเจ้าลูกกระต่ายคงได้เดินไปทั่วออฟฟิศโดยมีรูปรถไฟติดแก้มอยู่แบบนี้แน่ๆ
แก้มใสสะอาดเอี่ยมวิ้งวับจนเขาเผลอมองอย่างใจเต้น
สีอมชมพูบนก้อนโมจินิ่มๆนั่นราวกับมีแรงดึงดูด
ใบหน้าคมจึงขยับไปหอมแก้มใสฟอดใหญ่…
แน่นอนว่าทั้งอาเธอร์และคุโรทากะหันหน้าหนีกันแทบไม่ทัน
ทั้งสองคนต่างคิดว่าทำไมตนต้องเป็นฝ่ายเขินแทนด้วยเนี่ย? บ้าจริง
หวังเฟยเฟยที่เพิ่งตื่นนอนเดินเบลอๆออกจากห้องแผนกออกแบบเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ
ตอนนี้เช้าแล้ว ถึงจะยังไม่ใช่เวลาเข้างานแต่ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องไปทั่ว
เขาจึงไม่กลัวแล้ว ไม่ต้องให้พี่อี้หยางมาเป็นเพื่อนแล้ว
ร่างโปร่งในชุดนอนฮู้ดหูกระต่ายสีแดงของเฟอร์รารี่เดินกึ่งหลับกึ่งตื่นไปตามทางเดิน
จุกหน้าม้าที่พี่อี้หยางมัดไว้ให้ก่อนจะกลับคอนโดเอนซ้ายทีขวาทีเหมือนเรด้า อือ…ห้องน้ำทำไมไกลนักเนี่ย…
ขาเรียวก้าวเข้าไปในห้องน้ำตามสัญชาติญาณเพราะตายังไม่ค่อยจะเปิดดี
แล้วก็เป็นอีกทีที่สัญชาติญาณลูกกระต่ายของตนนั้นมันใช้ไม่ได้
“เอ๊ะ?!” เสียงหญิงสาวอุทานเมื่อเหลือบเห็นใบหน้างัวเงียโผล่พ้นประตูเข้ามา
“หื๋อ?” คนที่ยังมึนเบลอยืนตั้งสติอยู่ตรงนั้นก่อนจะเริ่มรู้ตัวว่าตนเข้าห้องน้ำผิดอีกแล้ว!
“ง่ะ ขอโทษครับ!” เขารีบก้มหัวขอโทษขอโพย
ด้วยความที่ยังงัวเงียทำให้ตอนแรกเขามองเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่เขาลางๆที่มีผมยาวๆทำให้รู้ว่าเป็นหญิงสาว
แต่พอเงยหน้ามองชัดๆอีกที…นี่มันพี่สาวห้องน้ำนี่!
มันเป็นพรหมลิขิตอะไรเขาถึงได้ชอบเจออีกฝ่ายในห้องน้ำเนี่ย?
ในเมื่อเจอกันมาหลายครั้งแล้วเขาจึงไม่ต้องลนลานรีบวิ่งออกไป
ดวงตากลมโตมีเวลาพินิจพิจารณาว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่
หญิงสาวกำลังแต่งหน้า
ทว่าแป้งที่ทากลับดูหนาผิดปกติ? เหมือนกำลังกลบรอยอะไรไว้เลย?
ร่างโปร่งตรงเข้าหาหญิงสาวทันที
มือบางจับข้อมือของพี่สาวห้องน้ำเอาไว้ก่อนจะมองร่องรอยที่แป้งปิดไว้บนใบหน้า…นี่มันรอยแผลฟกช้ำนี่นา?
เขาตวัดสายตาไปสบประสานกับใบหน้าที่ดูตกใจ
เหมือนเขาจะเดาได้ว่ารอยพวกนี้มันเกิดจากอะไร เธอน่าจะถูกผู้ชายเลวๆคนนั้นทำร้ายมา
"เป็นแผลก็ควรจะไปทำแผลสิครับ ไม่ใช่เอาอะไรมากลบๆมันไว้"
เขาพูดด้วยความโมโหก่อนจะลากหญิงสาวไปห้องพยาบาล
มือบางกำข้อมือหญิงสาวแน่น
หน้านิ่วคิ้วขมวดไปตลอดทาง
คนที่ไม่เคยยอมใครอย่างเขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าหญิงสาวจะอดทนไปเพื่ออะไร
นี่ถึงขนาดลงมือทำร้ายกันเลยนะ
ครืด…
เก้าอี้ในห้องพยาบาลถูกเลื่อนมาให้หญิงสาวนั่ง
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือรอให้อีกฝ่ายทำเอง มือบางหยิบหลอดครีมทาแผลมาก่อนจะลงมือทาให้เองเลย
หญิงสาวมีท่าทีอึกๆอักๆเหมือนเจ็บและเกรงใจแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธเขา
อีกฝ่ายคงเข้าใจความโมโหของเขาดี
เพราะท่ามกลางความไม่พอใจยังไงมันก็คือความห่วงใยจากคนที่ไม่รู้จักกันอย่างเขานี่แหละ
"เธอ…อ่อนโยนจัง…" แล้วเธอก็ถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างเหลืออด
"ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันในห้องน้ำนั่นแล้ว ทิชชูที่เธอยื่นให้
มันมีความหมายสำหรับฉันมาก ฮึก…" เขาปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไปจนกว่าจะระบายความอึดอัดในใจออกมาได้หมด
เธอคงเจอมาหนักหนามาก
"อยากเล่าให้ผมฟังไหมครับ?" เขาถอยห่างออกไปพลางหมุนปิดฝาหลอดยา
ก่อนจะตั้งท่าเป็นผู้ฟังที่ดี
หญิงสาวดูลังเลในทีแรกแต่คงเพราะไม่สามารถจะคุยหรือปรึกษาใครได้อีกจึงยอมพูดออกมาในที่สุด
"ชินจิ…อยากให้ฉันหลอกแบล็กเมล์คนอื่นอีก…ให้ฉันทำเหมือนที่ทำกับเธอ…แต่ฉันไม่อยากทำ
ฉันปฏิเสธ…เขาโมโหมาก ก็เลยลงไม้ลงมือ…"
"เลวจริงๆ!" ฟันกระต่ายถึงกับแยกเขี้ยวขู่คนที่ไม่อยู่ตรงนี้ฮึ่มๆ
ไม่เคยรู้สึกโมโหและรังเกียจใครเท่านี้มาก่อน
"......"
หญิงสาวได้แต่ก้มหน้ามองพื้นเงียบๆ
หลังจากได้ระบายออกมาสีหน้าของเธอก็ดูสงบขึ้นและคงคิดอะไรได้มากขึ้น
"อยากจะเลิกไหมครับ?" เขาถามออกไปตรงๆ
"ฉัน…" ดวงตาของหญิงสาวยังดูสับสนและคิดไม่ตก
"เฮ้อ…ผมกลับไปทำงานก่อนนะครับ"
ยังไงมันเป็นเป็นเรื่องที่เธอต้องคิดเอง
เขาเข้าไปบังคับหรือยุ่งวุ่นวายไม่ได้อยู่แล้ว
เพราะงั้นก็เลยไม่อยากจะก้าวก่ายไปมากกว่านี้
แต่แล้วตอนที่กำลังจะลุกขึ้น
ก็มีมือมาจับชายเสื้อรั้งเอาไว้เสียก่อน
"ชั้นอยากเลิก!" หญิงสาวหลับหูหลับตาตะโกนออกมา
"ฉันอยากจะเลิกกับเขา…แต่มันไม่ง่ายเลย…เขาไม่ยอมเลิก เพราะยังไงฉันก็เป็นแหล่งเงินของเขา…เขาข่มขู่ฉันสารพัด
เขาขู่ว่าจะมาที่นี่ด้วย ฉัน…ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว"
หญิงสาวก้มหน้าไหล่สั่นสะท้าน ดูอับจนซึ่งหนทางจริงๆ
".....ตกลงคุณอยากเลิกกับเขาใช่ไหมครับ?" แต่สำหรับเขา แค่การตัดสินใจนี้ของหญิงสาวก็เพียงพอแล้ว
"ฮึก…ค่ะ…" หญิงสาวพูดออกมาอย่างเด็ดขาด
"ผมจะช่วยหาทางให้" ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะยุ่งเรื่องของใครเพราะแค่ตัวเองก็เอาตัวไม่ค่อยจะรอดอยู่แล้ว
แต่กรณีของพี่สาวคนนี้มันเหลืออดแล้วจริงๆ
"จริงเหรอคะ? เอ่อ…เธอคงไม่ได้จะไปฆ่าเขาใช่ไหมคะ?"
หญิงสาวดูดีใจแต่ก็แฝงไว้ด้วยความหวาดๆเมื่อนึกถึงพี่ชายเขาที่อยู่เบื้องหลัง
"งื้อ ผมไม่ฆ่าใครหรอกครับ!"
แล้วคืนนั้นหวังอี้หยางก็ได้เจออาซานะซังนั่งตัวลีบอยู่ในห้องแผนกออกแบบด้วย…
"ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่?"
เสียงทุ้มถามออกไปอย่างกดดัน
ข้างหลังเขาคงมีเงาสิงโตดุร้ายกำลังแยกเขี้ยวคำรามอยู่
แต่เจ้าลูกกระต่ายกลับตอบมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"อาซาโกะซังถูกผู้ชายเลวนั่นซ้อมมาน่ะสิ! ก็เลยไม่อยากกลับบ้าน!
แล้วตอนนี้เฟยก็กำลังอยากได้คนช่วยงานด้วย" เขาเพิ่งเห็นว่าเธอไม่ได้นั่งตัวลีบอยู่เฉยๆแต่กำลังช่วยทำเอ็กเซลอยู่ด้วย
เธอท้องอยู่ไม่ใช่เร๊อะ ใช้งานดึกดื่นแบบนี้จะดีเหรอ?
"....."
เขาจ้องหญิงสาวราวกับราชสีห์จ้องหนู
จากแค่ตัวลีบไม่พอตอนนี้มือไม้สั่นไปหมดแล้ว ดูท่าจะกลัวเขามากจริงๆ
อย่างงั้นคงไม่กล้าทำอะไรอาเฟยแล้ว
"พี่อี้หยาง~ หาทางทำอะไรให้หน่อยสิ
อาซาโกะซังอยากเลิกกับหมอนั่น แต่ทางนั้นไม่ยอมเลิก แถมข่มขู่อีก"
เจ้าตัววุ่นวายเป็นฝ่ายกอดแขนอ้อนเขาแทน
เขาจึงเปลี่ยนสีหน้าในพริบตา รอยยิ้มอ่อนโยนถูกมอบให้คนที่ทำอะไรก็ถูกที่สุดเสมอในสายตาเขา
ถ้าเฟยเฟยอยากให้ช่วยเขาก็จะช่วย
บรรยากาศหวานๆระหว่างเขาสองคนนั้นใครก็แทรกเข้าไปไม่ได้เลย
"เอ่อ…ฉันชื่ออาซานะ…" เพราะงั้นคนที่พยายามจะบอกชื่อที่ถูกต้องของตัวเองจึงทำได้แค่ยิ้มแห้ง
"......จะให้คนของชั้นไปขู่หมอนั่นก็ได้อยู่หรอก แต่ในระยะยาวอาจจะไม่ค่อยได้ผล
เพราะยังไงอีกเดี๋ยวเราก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
พอเราไปหมอนั่นคงกลับมาทำร้ายรีดไถเธออีก" นายใหญ่ของ Diamond crown เคาะนิ้วลงกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด
"เฟยก็คิดแบบนั้น" เจ้าลูกกระต่ายกลับไปนั่งปั่นงานอยู่หลังคอมพิวเตอร์ต่อแล้ว
มือบางกำลังจัดแสงในโปรแกรม 3D
"ถ้างั้น…ก็ต้องใช้คนของที่นี่"
ดวงตาคมกล้าตวัดไปมองหน้าเฟยเฟย
"อ๊ะ!" แล้วเจ้าลูกกระต่ายก็เข้าใจคำพูดของเขาในทันที
"นายรู้จักกับผู้นำตระกูลยากูซ่าของที่นี่ดีไม่ใช่เหรอ? ลองขอร้องอานายดูสิ" ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้ม
"ยะ ยากูซ่า?" หญิงสาวที่นั่งฟังอยู่ด้วยถึงกับผงะไป
"จริงด้วย เฟยลืมไปได้ยังไงเนี่ย~ แต่ก็นะ
ปกติก็ดูไม่ค่อยจะเหมือนอยู่แล้วนี่นะ" เฟยเฟยพูดไปกดโทรศัพท์มือถือไป
"อ๊ะ อี้คุน! อยู่กับอาคะชูไหม? ขอคุยด้วยหน่อย"
โทรศัพท์ถูกใช้ไหล่กดแนบไว้กับใบหูในขณะที่มือก็ยังปั่นงานต่อไป
ท่าทางเหมือนคุยกับอาข้างบ้านมากกว่าจะเป็นผู้นำตระกูลยากูซ่าเหมือนที่กล่าวอ้าง
ก็นั่นแหละ…หลายคนคงจะไม่รู้
แต่คะชู คิโยมิตสึคือทายาทสายตรงของตระกูลผู้มีอิทธิพลในโตเกียว
ถึงจะไม่ได้เรียกตัวเองว่าแบบนั้นแต่ตระกูลคะชูก็คือยากูซ่าดีๆนี่เอง
ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันก็ไม่ใช่ใคร…ยามาโตะโนะคามิ
ยาสึซาดะนั่นเอง
เขาปล่อยให้เฟยเฟยเจรจาต่อไปเพราะเจ้าลูกกระต่ายสนิทกับคะชู
คิโยมิตสึ เรื่องของผู้หญิงคนนี้ก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว
ในที่สุดตัวเลขบนกระดานเคาน์ดาวน์ก็เหลือเพียงขีดเดียวจนได้
พรุ่งนี้คือวันส่งงานแล้ว…
เพราะงั้นคืนนี้ที่ห้องแผนกออกแบบจึงคึกคักเป็นพิเศษ
ทุกทีมต่างอยู่กันครบเพื่อทำพรีเซนเตชั่นขั้นสุดท้าย
แล้วทุกทีมก็ยังเหลืองานที่จะทำเหมือนๆกันนั่นก็คือ…เรนเดอร์
การเรนเดอร์คือการประมวลผลจากโมเดลต่างๆที่ขึ้นไว้ในโปรแกรมสามมิติให้ออกมาเป็นรูปภาพตามมุมที่กำหนด
และการเรนเดอร์ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานาน บางภาพเรนกันเป็นสิบชั่วโมง
เพราะต้องใช้ความละเอียดและพละกำลังของคอมพิวเตอร์สูง
เพราะงั้นจึงจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เครื่องที่การ์ดจอสูง
แรมสูงจึงจะประหยัดเวลาได้มาก แน่นอนว่าราคาคอมสเปคแรงๆเหล่านี้ย่อมไม่ธรรมดา
ออฟฟิศหนึ่งๆจึงมีคอมเครื่องใหญ่ที่การ์ดจอกับแรมจัดเต็มสำหรับไว้เรนเดอร์แบบนี้แค่ไม่กี่เครื่องเท่านั้น
ที่นี่เองก็เช่นกัน
เพราะงั้นในคืนเดือดวันสุดท้ายที่ทุกทีมต่างต้องการใช้คอมเครื่องที่แรงที่สุด
การตบตีแย่งชิงคอมพิวเตอร์กันจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“พวกแกก็เรนเดอร์กันได้ตั้งหลายรูปแล้ว! แบ่งให้ทีมชั้นบ้างสิฟ๊ะ!”
รุ่นพี่ชิโรยูกิกำลังชี้หน้าด่ารุ่นพี่ทีม B อย่างไม่สนใจคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องโดยมีคุโรทากะคอยล็อคแขนทั้งสองข้างไว้ไม่ให้พุ่งเข้าไปกัดเค้า
“แต่พวกเราต่อคิวรอกันมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ นายลองไปขอทีม D ดูสิว่าจะแทรกได้ไหม” รุ่นพี่ทีม B
พยายามอธิบายอย่างอ่อนโยน ไม่สิ
จริงๆไม่เหลือแรงจะมาทะเลาะกับพวกเขาแล้วต่างหาก
“ขอแล้ว ไอ้บ้านั่นยอมที่ไหน”
“ก็นะ…ทุกทีมเค้าจองกันมานานแล้วนี่นา แล้วทุกทีมก็คงวางแผนไว้แล้วนั่นแหละว่าต้องพรีเซ็นต์ยังไงต้องใช้รูปไหนบ้าง
นายจะมาขอให้เค้าตัดกันง่ายๆแบบนี้มันได้ที่ไหน นายเองก็ควรจะเผื่อเวลา
ควรจะวางแผนเรื่องการเรนเดอร์เอาไว้ด้วยสิถึงจะถูก” รุ่นพี่ทีม
B เทศนากลับมายาวเหยียด
แค่ปั่นงานก็ง่วงพออยู่แล้วด้วยความไม่อยากฟังเสียงบ่นอีก พวกเขาสามคนจึงยอมล่าถอยกลับมาที่คอกทีม
C ของตัวเอง
“บ้าเอ้ย แบ่งกันบ้างก็ไม่ได้!” หลังจากไปวอร์มายกใหญ่
ยูกิซังที่มีสภาพเหมือนก๊อดซิลล่าพ่นไฟก็ยังกลับมายืนแฮ่ใส่กำแพงต่อ
“แล้วทีนี้จะทำไงดีอ่ะ?” หวังเฟยเฟยนั่งคิ้วขมวดอยู่บนเก้าอี้
ด้วยความที่ไม่เคยเจอกับปัญหาแบบนี้จึงไม่เคยคิดไว้เลยว่าต้องจองคิวเรนเดอร์ด้วย
ก็อย่างที่บอกแหละว่าปกติแล้วเขาทำงานไวอย่างกับกระต่าย
งานที่ต้องส่งอาจารย์จึงมักเสร็จล่วงหน้าสามสี่วัน เวลาเรนเดอร์จึงเหลือเฟือ
คอมพิวเตอร์เครื่องที่อยู่ที่บ้านก็แรงจัดเพราะปะป๊าขยันอัพเดทให้หม่าม๊า
แต่ว่าเขาไม่ได้เอามันมาด้วยนี่สิ
“คอมชั้นก็ไม่น่าได้มากกว่าสองรูปแน่ๆ” คุโรทากะเหลือบมองโน้ตบุคของตัวเองที่เอามาช่วยเรนเดอร์ด้วย
แค่ตอนนี้มันก็เริ่มส่งเสียงครางแล้ว ตีฟอีกเป็นสิบรูปไม่น่าไหวแน่
“ส่งไปเรนเดอร์ที่ร้านได้ไหม?” เสียงนุ่มถามออกไป
นี่เขานึกว่าจะได้นอนซักงีบระหว่างรอเรนเดอร์แท้ๆเชียว
กลับกลายเป็นว่ายังต้องมาหาคอมเรนอีก ง่วงจนแทบไม่มีสติอยู่แล้วเนี่ย
ดวงตาจากที่เคยกลมโตตอนนี้หรี่ปรือจนเหลือแค่ขีดเดียว
“เวลานี้….แถมไม่ได้นัดไว้เสียด้วย…”
คุโรทากะเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาห้าทุ่มกว่าอย่างหมดหวัง
ไม่น่าจะมีร้านไหนรับทำให้แล้ว
ใบหน้ามนกัดฟันอย่างเครียดขึง
อุตส่าห์อดหลับอดนอนทำมาตั้งมากมาย จะมาตกม้าตายเอาขั้นสุดท้ายแบบนี้ไม่ได้นะ
ในหัวพยายามคิดหาทางอื่นอย่างสุดความสามารถ
ถ้าส่งไฟล์ไปให้หม่าม้าช่วยเรนให้ก็คงจะได้ซัก
4 รูป แล้วอีก 15 รูปที่เหลือนี่จะทำยังไงดี?
ระหว่างที่คิดไปมือก็ส่งไฟล์ให้หม่าม้าไป ยังดีที่อาทิตย์นี้ F1ไม่มีแข่ง ทั้งหม่าม้าทั้งอี้คุนเลยอยู่บ้าน
จริงๆคอมพิวเตอร์ของไอ้พวกแก๊งเพื่อนเลวของอี้คุนที่เอาไว้เล่นเกมน่ะ
มีแต่แรงๆทั้งนั้น เพียงแต่ พวกมันใช้โปรแกรม 3D ไม่เป็นกันเลยน่ะสิ
ชิ! เจ้าพวกไร้ประโยชน์
“เพื่อนชั้นช่วยเรนได้ 5 รูป ขอส่งไฟล์ก่อนนะ”
คุโรทากะวางโทรศัพท์ก่อนจะหันไปตั้งสติอัพโหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่
“คอมชั้นกำลังเอนโค้ดอนิเมชั่น บ้าจริง
ใครจะคิดว่าคอมออฟฟิศมันจะเฮงซวยขนาดนี้” ยูกิซังนั่งโครมลงมาที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าหงุดหงิดเสียเต็มประดา
มือบางขยี้หัวจนฟูฟ่องแต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะไปหาคอมที่ไหนมาช่วยดี
“เกิดอะไรขึ้น? อี้คุนโทรมาบอกให้ชั้นมาช่วยนายหน่อย?”
แล้วจู่ๆเสียงที่เป็นดั่งน้ำทิพย์ชะโลมใจก็ดังขึ้นข้างหลัง
“พี่อี้หยาง~” ใบหน้ามนเงยมองร่างสูงสง่าด้วยดวงตาเรียกหากำลังใจ
ทั้งๆที่บอกอีกฝ่ายแท้ๆว่าวันนี้ไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้เพราะคนน่าจะอยู่กันเยอะ
แต่จนแล้วจนรอดแค่ได้เห็นหน้าในยามที่เดือดร้อนขึ้นมา
หัวใจดวงน้อยก็รู้สึกอุ่นใจแล้ว
“ยังเหลือรูปที่ต้องเรนเดอร์อีกสิบกว่ารูป แต่คอมออฟฟิศถูกจองคิวหมดแล้วน่ะสิ”
เขาบอกออกไปด้วยเสียงหมดเรี่ยวหมดแรง
“...ส่งไฟล์ไปเรนเดอร์ที่อื่นได้ไหม?” เสียงทุ้มถามกลับมาและนั่นก็ทำให้เขาเบิกตากว้างอย่างเพิ่งนึกอะไรออก
“ได้!”
“ถ้างั้นก็ส่งไปที่ออฟฟิศชั้น เดี๋ยวให้คุยกับสถาปนิกที่นั่น
นายจะให้ทำยังไงก็บอกเค้าไป”
“อื้อ!!” เขาลืมไปได้ยังไงว่า Diamond
crown มีออฟฟิศสถาปนิกหรือแผนกออกแบบเป็นของตัวเอง
โชว์รูมร้านขายเพชรรวมไปถึงห้องเจียระไนของ Diamond crown ทั่วโลกล้วนออกแบบมาจากที่นี่ทั้งนั้น
แน่นอนว่าที่นั่นต้องมีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้เรนเดอร์อยู่
พี่อี้หยางต่อโทรศัพท์โดยตรงถึงสถาปนิกของ
Diamond
crown ทางนั้นดูเกร็งๆเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยบ่อยนักที่ระดับท่านประธานจะโทรหาด้วยตัวเองแบบนี้
“10รูปใช่ไหม?” ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคอมาถาม
“ครับ”
“เปิดคอมทุกตัว เอาให้ทัน….เฟยเฟย
คุยกับทางนั้นสิว่าให้ทำยังไงบ้าง” พี่อี้หยางยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้หลังจากสั่งปลายสายเสร็จ
เขาคุยกับปลายสายพร้อมกับส่งไฟล์ให้
แล้วโทรศัพท์ของนายใหญ่แห่ง Diamond crown ก็ถูกเขายึดไปค่อนคืนเพราะต้องคอยโทรประสานงานกับคนที่ช่วยเรนเดอร์ให้
ยังดีที่ทางนั้นเป็นมืออาชีพจึงทำงานด้วยไม่ยากนัก แถมบางรูปยังช่วยแก้มุมตีฟแก้แสงที่ดูแปลกประหลาดให้อีกต่างหาก
ค่ำคืนที่ลุกเป็นไฟค่อยๆผ่านพ้นไป
เช้าวันใหม่ค่อยๆมาเยือนพร้อมกับซอมบี้ที่นอนสลบคาโต๊ะกันเกลื่อนกลาด…
“รูปสุดท้ายแล้ว…” คุโรทากะพูดเสียงเบาหวิวหลังจากรวบรวมรูปสุดท้ายที่เพื่อนช่วยเรนเดอร์ให้
ส่วน 10 รูปที่มาจากดูไบกับ 4 รูปจากอิตาลีที่หม่าม้าช่วยเรนให้นั้นส่งมาตั้งแต่เมื่อชั่วโมงก่อนแล้ว
“เอาไฟล์ทั้งหมดใส่แฟลชไดร์ฟอันนี้ เอกสารได้รึยัง?” ยูกิซังวิ่งจากโต๊ะนู้นมาโต๊ะนี้เพราะอีกชั่วโมงเดียวก็จะถึงเวลาส่งงานแล้ว
“กำลังถ่ายเอกสารอยู่ครับ!” เสียงนุ่มตะโกนบอกแข่งกับเสียงโหวกเหวกโดยรอบ
นอกจากซอฟไฟล์แล้วยังต้องมีแบบที่ปริ๊นท์ออกมาถ่ายเอกสารให้กรรมการอีก 10 ชุดด้วย
“อย่าวิ่งสิฟ๊ะ! เดี๋ยวลูกก็ไหลออกมาหรอก!” และคนที่มาช่วยพวกเขาเตรียมเอกสารก็คือพี่สาวห้องน้ำที่ถูกลากมาอย่างมึนงง
ยูกิซังตะโกนแว้ดๆใส่เมื่อเห็นหญิงสาววิ่งเอาเอกสารมาให้
“คุณอาเธออร์ เฟยฝากด้วย” ปึกเอกสารที่ได้มาถูกส่งต่อไปให้คุณอาเธอร์ที่ยืนถือที่เย็บกระดาษอยู่
ตอนนี้เรียกว่าใครมีมือก็ถูกดึงมาช่วยหมดแหละ!
“วางตรงนี้ใช่ไหมเฟยเฟย?” พี่อี้หยางถามออกมา
มือใหญ่ข้างหนึ่งถือหลอดกาว
ข้างหนึ่งถือชิ้นส่วนโมเดลสถานีรถไฟที่กำลังจะแปะลงไปบนฐาน
“ครับ! ฝากติดรางตรงกลางให้ด้วย~” โมเดลตัวหัวรถไฟเองก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้
ยังดีที่พี่อี้หยางมีคนเยอะจึงให้คุณอเล็กซ์บอร์ดี้การ์ดมือขวาไปเอาจากโรงหล่อมาให้
ในที่สุด….
งานที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเสร็จ
มันก็เสร็จทันจนได้…
งานทุกอย่างถูกขนไปส่งที่ห้องของหัวหน้าแผนกก่อนจะปิดล็อคไว้รอวันตัดสินจากคณะกรรมการในอาทิตย์หน้า
ตอนนี้ซอมบี้ทั้งห้องจึงเริ่มแยกย้ายสลายตัว
“เสร็จด้วยอ่ะ ไม่น่าเชื่อ…” ร่างโปร่งบางของหวังเฟยเฟยถึงกับหงายหลังกับเก้าอี้อย่างหมดแรง
ตอนนี้ให้เขานอนไปอีกสามวันก็ยังได้
“ของพวกนี้ให้เอาไว้ไหน?” ร่างสูงสง่าที่เป็นถึงนายใหญ่ของแบรนด์เพชรระดับโลกเดินถือคัตเตอร์กับหลอดกาวเข้ามาถาม
เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาซุกซนผสมอมยิ้มไม่ยอมตอบ
“?
มีอะไรรึเปล่า?” ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคออย่างสงสัย
“เปล่า เอาวางไว้บนโต๊ะเฟยก็ได้”
เขายิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว
จะไปบอกได้ไงว่าวันนี้อีกฝ่ายได้หัวใจสีแดงระดับสิบจากเขาไปเต็มๆ
พี่อี้หยางโผล่มาในตอนที่เขาเดือดร้อนอีกแล้ว
ยื่นมือมาให้ในช่วงเวลาที่เขากำลังต้องการความช่วยเหลืออีกแล้ว
ถ้าไม่ได้พี่อี้หยางเขาคงไม่มีทางเรนเดอร์ทันแน่ๆ
แถมอีกฝ่ายยังคอยอยู่ช่วยเขาจนส่งงานเสร็จ
ลากเข้าโบสถ์มันซะเลยดีไหมนะผู้ชายคนนี้~
“ยิ้มเจ้าเล่ห์อะไรเนี่ย หื๋ม~?” มือใหญ่ดึงสองแก้มของเขาก่อนจะน้วยไปมาอย่างหมั่นเขี้ยวเมื่อเขายังยิ้มไม่หยุด
“งื้อ~” เขาปล่อยอีกฝ่ายดึงแก้มไปเพราะไม่มีแรงจะต่อต้านแล้ว
“ชั้นกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บของแล้วกัน” คุโรทากะที่ทนดูต่อไปไม่ไหวเอ่ยออกมา
ท่อนแขนแข็งแรงของหมอนั่นหิ้วยูกิซังที่มีสภาพเหมือนหมอนข้างเปียกๆเอาไว้…จะเอากลับบ้านไปด้วยอีกแล้วสินะ
เขาสงสัยมาตั้งนานแล้วว่าสองคนนั้นรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?
“เจอกาน~” เขาโบกมือให้ทั้งที่หน้ายังพาดอยู่บนโต๊ะ
ตอนนี้ทั้งห้องมีสภาพเหมือนมรสุมเข้า แต่ก็ไม่มีใครอยู่เก็บกวาดแล้ว
ทุกคนมีสติพอแค่หาที่นอนเท่านั้น
“เราก็กลับกันเลยไหม?” ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาถาม
“อื้อ” สองแขนอ้าออกแต่ไม่ยอมลุกเองจนพี่อี้หยางหัวเราะในลำคอ
ท่อนแขนแข็งแรงช้อนตัวเขาขึ้นก่อนจะจ้องหน้าเขานิ่งๆ
จริงๆตั้งใจจะแค่ให้ช่วยดึง
แต่พอถูกอุ้มขึ้นมาก็รู้สึกว่ามันช่างอุ่นสบายดีเหลือเกิน
เพราะงั้นสองแขนจึงเอื้อมไปกอดคอแข็งแกร่งเอาไว้ไม่ยอมลงไปเดินเอง
ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังแว่วมา
เขารู้ว่าพี่อี้หยางกำลังก้าวเดินแต่ความสบายนี้ก็ทำให้เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ
เรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานแค่ไหน
แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่หน้าอพาทเม้นต์ของพี่สาวห้องน้ำก็ไม่รู้?
“อือ?” มือบางขยี้ตาก่อนจะพยายามลุกขึ้นนั่ง
เขานอนอยู่ที่เบาะหลังของรถพี่อี้หยางโดยมีหน้าตักของอีกฝ่ายหนุนแทนหมอน
“ตื่นแล้วเหรอ? โทษทีนะที่ยังไม่ได้พากลับคอนโด
พอดีอยากแวะมาดูอะไรหน่อย” เสียงทุ้มบอกกับเขา
“ไรอ่ะ?” เขาลุกขึ้นทั้งที่ยังงัวเงีย
มองไปภายนอกก็พบว่ามืดสนิทแล้ว พี่อี้หยางน่าจะดักรออะไรสักอย่างอยู่หน้าอพาทเม้นต์ของอาซาโกะซัง?
“อ่ะ นั่นอาซาโกะซังนี่? เพิ่งกลับมาเหรอ?”
เขามองเห็นหญิงสาวถือถุงของสดที่ซื้อไว้ทำกับข้าวเดินมาจากซอยข้างๆ
แล้วจู่ๆหญิงสาวก็มีท่าทีตกใจจนถุงในมือร่วงลงพื้น
ซึ่งสาเหตุก็ไม่ใช่อะไร ผู้ชายเลวแฟนของเธอเดินออกมาจากมุมมืดใต้บันได
หมอนั่นมาดักรอเธออยู่นี่เอง
“ฮึ่ม หมอนั่น!” เขากำหมัดแน่นอยู่ในรถแต่พี่อี้หยางกลับบอกให้รอดูไปก่อน
หมอนั่นยื้อยุดอาซาโกะซังไม่ยอมปล่อย
สีหน้าท่าทางแบบอันธพาลใช้ข่มขู่จนหญิงสาวตัวสั่น
เธอพยายามจะหนีแต่ก็โดนจิกหัวกลับมา พยายามโต้เถียงแต่ก็โดนตะคอกใส่
เพื่อนบ้านก็ไม่กล้ายื่นมือเข้ามายุ่งได้แต่แอบมองกันอยู่ไกลๆ
แล้วในขณะที่ความอดทนของเขากำลังจะขาดผึง
ในขณะที่เขาเกือบจะดึงประตูรถเปิด
จู่ๆชายร่างสูงใหญ่ที่มีรอยสักลายพร้อยเต็มแขนก็กระชากแขนไอ้ผู้ชายเลวคนนั้นออกมาจากตัวอาซาโกะซัง
เขารีบหันหน้ามาถามพี่อี้หยางด้วยสายตาว่านั่นคือคนของพี่อี้หยางไหม? แต่ใบหน้าหล่อเหลากลับส่ายปฏิเสธ
แล้วไม่นานคำตอบก็แว่วมาให้ได้ยิน…ว่าผู้ชายน่ากลัวคนนั้นมาจากไหน
“ตั้งแต่นี้ไป ผู้หญิงคนนี้อยู่ในความดูแลของกลุ่มคัตสึยามะแล้ว
ห้ามมายุ่งกับสินค้าของเราเด็ดขาด” กลุ่มคัตสึยามะ?
อาคะชูส่งมาสินะ?
“กะ แก๊งคัตสึยามะ? นะ นี่เธอไปยืมเงินยากูซ่ามาเหรอ?!”
ผู้ชายเลวคนนั้นหันไปทำหน้าหวาดๆใส่อาซาโกะซัง
“หรือถ้าอยากโดนขายด้วยจะโผล่มาก็ไม่ว่า
หน้าตาอาจจะใช้ไม่ได้แต่เครื่องในน่าจะยังใช้ได้” พูดไปก็แสยะยิ้มไป นี่คนในบ้านอาคะชูน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
เจ้าตัวออกจะสวยเปรี้ยวขนาดนั้น ยิ่งฝั่งคุณยาสึซาดะยิ่งต่างกันคนละโยชน์
“มะ ไม่ ชั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับยัยผู้หญิงคนนี้นะ” เมื่อโดนข่มขู่หนักเข้าเจ้าผู้ชายชั่วคนนั้นก็กลัวหัวหด
ยิ่งหันไปเห็นกลุ่มคนที่ดูน่ากลัวๆยืนมองมาจากหัวถนนอีกสามสี่คน
หมอนั่นก็รีบลนลานวิ่งหนีไปทันที
"หมอนั่นมันเลวจริงๆ พอรู้ว่าอาซาโกะซังตกอยู่ในเงื้อมมือยากูซ่า
ก็ไม่คิดจะปกป้องเลยสักนิด เป็นแฟนภาษาอะไร! ฮึ่ม!" หวังเฟยเฟยได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในรถ
"พอรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเป็นยากูซ่า ก็คงไม่มีคนสติดีที่ไหนอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยหรอก"
นายใหญ่แห่ง Diamond crown เอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉยอยู่ข้างๆ
"ว่าแต่อาคะชูสั่งการมาไวมากเลย" ดวงตากลมโตมองผ่านหน้าต่างรถ
เห็นพี่เหี้ยมรอยสักลายพร้อยนั่นกำลังแลกเบอร์โทรศัพท์กับอาซาโกะซังและพูดคุยด้วยท่าทางเป็นมิตร
หวังอี้หยางไม่ได้ตอบอะไร
เขาไม่ได้บอกเฟยเฟยหรอกว่า ที่จริงแล้วเขาติดต่อไปทางยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ
ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
เขาไม่ค่อยอยากให้อาเฟยรู้เท่าไหร่ว่าเขาเองก็รู้จักมักคุ้นกับพิรุณโลหิตของวองโกเล่คนนี้ดี
ทั้งหมดก็ต้องโทษอาอี้ป๋อนั่นแหละ!
ทั้งๆที่ไปสัญญากับเค้าไว้ว่าจะปลดล็อกระบบสัญญาณเหนือน่านฟ้าแดนมังกรให้
แต่พอเขาก้าวเข้ามามีอำนาจในตระกูลหวัง
เจ้าอาไร้ความรับผิดชอบนั่นก็โบ้ยทุกอย่างมาให้เขาซะงั้น เวลาแมว(?)ของยาสึซาดะซังหายในจีนเมื่อไหร่
เขาก็ต้องเป็นคนคอยช่วยจนรู้จักกับอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
"กลับกันเลยไหม?" ดวงตาคมกล้าเหลือบมองใบหน้ามนที่ยังคงทอดสายตามองอาซานะซังเดินขึ้นบันไดจนกระทั่งเข้าห้องไป
"อื้อ ง่วงมากเลย~ อยากนอนบนเตียงกว้างๆนิ่มๆอุ่นๆแล้ว~"
ลำตัวบางเอนซบมาที่ไหล่อย่างออดอ้อน
เขาอมยิ้มบางๆในขณะที่สั่งให้ออกรถ
อาเฟยไม่กลัวหรือเคอะเขินเวลาเข้าใกล้เขาแล้ว…ตอนนี้ในหัวเขาจึงกำลังวางแผนเรื่อง
‘การสู่ขอลูกกระต่าย’ อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียที
ยังไม่ได้ไปเที่ยวจะจบตอนได้ไง
ก๊ากกก
แถมต่ออีกหน่อย~
ดวงตากลมโตค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ…
แขนขายืดสุดเพื่อบิดขี้เกียจ~
รู้สึกเหมือนได้นอนเต็มตื่น
สดชื่นมากเลยตอนนี้~
จะว่าไปเมื่อวานเขาต้องเข้าไปเก็บของที่ออฟฟิศ
แต่เพราะไม่ยอมตื่นคุโระทากะก็เลยต้องเก็บอยู่คนเดียว…
เหมือนหมอนั่นจะโทรมาตามด้วย? “ให้พี่ชายนายมาเก็บโซฟากลับบ้านไปด้วย” ประมาณนี้แหละมั้ง
เขาจำไม่ได้ด้วยว่าตอบอะไรกลับไป
แต่ยังไงซะวันนี้ก็เป็นวันหยุด~ งื้อ~~
วันหยุดนี้มันดีจริงๆ~
ร่างโปร่งบางกลิ้งไปกลิ้งมาก็แล้ว
บิดขี้เกียจก็แล้ว นอนฟินอยู่อีกซักพัก เมื่อนึกอะไรได้จึงลุกอาบน้ำแต่งตัว
"หิวไหม?" เสียงทุ้มเอ่ยทักหลังจากเห็นเขาเดินออกจากห้องนอนมา
"ยังไม่หิว~ แต่เฟยอยากออกไปเดินเล่น
พี่อี้หยางว่างไหม~"
"ไปสิ อยากไปไหน?"
"Jiyugaoka
พี่ๆในออฟฟิศบอกว่าถ้าชอบคาเฟ่ เสื้อผ้าเก๋ๆ
เฟอร์นิเจอร์ชิคๆต้องย่านนี้เลย!"
เขาเล็งมานานแล้วว่าถ้าส่งงานเสร็จจะไปให้ได้เลย
จิยุงะโอกะเป็นย่านพักอาศัยชานเมืองโตเกียวที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังโหวตว่าเป็นย่านที่น่าอยู่ที่สุด
พวกเขานั่งรถไฟสาย
Tokyu
Toyoko line จากชิบุย่ามาลงที่สถานี Jiyugaoka แค่สิบกว่านาทีเท่านั้น
เรียกว่าสามารถเดินทางเข้าใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบายเลยทีเดียว
ตึกรามบ้านช่องที่ถูกขนานนามว่า
Little
Europe ไม่ได้แออัดยัดเยียด ตั้งแต่หน้าสถานีเต็มไปด้วยร้านรวงเหมือนเดินอยู่ในยุโรป
ทั้งคาเฟ่ ร้านขายเสื้อผ้า ของใช้ของตกแต่งบ้าน ร้านอาหารก็มีสารพัด
แล้วแต่ละร้านก็ตกแต่งกันได้น่ารักมากๆ
ที่แรกที่พวกเขาเดินเข้าไปคือย่านถนนคนเดิน
Green
street ที่นี่ส่วนใหญ่จะขายของมีดีไซน์ ราคาก็จะแพงกว่าของทั่วไปนิดหน่อย
แต่เอาจริงๆแค่มาเดินดูการจัดร้านก็ถือว่าคุ้มแล้ว
ดวงตาคมกล้ามองถนนที่ทำให้คนเดินโดยเฉพาะ
เกาะกลางปลูกต้นไม้ไว้ให้ร่มเงาและมีม้านั่งตั้งยาวคู่ขนานกันไปไว้ให้คนมานั่งเล่น
พื้นทั้งสองฝั่งปูด้วยหินสะอาดสะอ้านน่าเดิน เขาชอบการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าของชาวญี่ปุ่นจริงๆ
ที่เศษๆเหลือๆหรือรกร้างเก่าโทรมก็ถูกจัดแต่งเป็นสวนฮาร์ดสเคปเล็กๆได้อย่างสวยงาม
เฟยเฟยเดินดูร้านรวงต่างๆอย่างเพลิดเพลิน
โทรศัพท์มือถือถูกกดถ่ายรูปรัวๆตามประสาดีไซน์เนอร์
แต่ก็มีหลายครั้งที่กล้องมันส่องมาที่เขา
ฮึ
ขนาดนักสืบมืออาชีพที่ตามแอบถ่ายเขายังรู้ตัว
แล้วกับเจ้าลูกกระต่ายเด๋อด๋านี่เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเฟยเฟยแอบถ่ายรูปเขาอยู่
เพราะเขาสวมแว่นดำ
เจ้าลูกกระต่ายคงคิดว่าเขามองไม่เห็นละสิ?
"อยากถ่ายก็ถ่ายตรงๆ จะแอบถ่ายทำไม?
มีแฟนหล่อก็ต้องอยากถ่ายเก็บไว้เป็นธรรมดา ชั้นเข้าใจ" เขาแกล้งขยับเข้าไปกระซิบหยอกเย้าที่ใบหูบางพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
"ใคร๊? แอบถ่ายอะไร๊? ไม่มี๊~"
เจ้าลูกกระต่ายทำไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง
แต่ก็ไม่ปฏิเสธแหะ…เรื่องแฟน
"อ๊ะ! เสื้อร้านนั้นดีไซน์สวยจัง เข้าไปดูกันเถอะ" แขนเขาถูกลากตามไปทันทีที่เจ้าลูกกระต่ายเจอร้านที่ถูกใจ
ร้านในย่านนี้ไม่ใช่เสื้อผ้าแบรนด์เนมแต่เป็นแบรนด์ที่ดีไซน์เองตัดเย็บเอง
ถึงจะดูเรียบๆแต่ก็มีความเก๋แบบมินิมอลญี่ปุ่น ดูใส่ได้ทุกโอกาส
จะใส่อยู่บ้านหรือไปเที่ยวก็โอเค สีก็เป็นสีที่คุมโทนดูเรียบร้อย
เขากวาดตามองร้านที่ตกแต่งด้วยไม้สีอ่อนออกแนวมินิมอลๆเข้ากับสไตล์ของเสื้อผ้า
ทำให้ร้านดูอบอุ่นและสว่างไสว ดูเบาๆแต่ก็เรียบหรู
เขาไม่ค่อยมีเวลามาเดินช้อปปิ้งในร้านแบบนี้เท่าไหร่
ส่วนใหญ่ก็จะจบที่ร้านแบรนด์เนมเจ้าประจำแบบง่ายๆไวๆเสียทุกที
เฟยเฟยหยุดที่หน้าราวแขวนเสื้อก่อนจะหยิบออกมาดู
เจ้าลูกกระต่ายมักโดนคุณย่ากับคุณยายพาไปช้อปปิ้งด้วยกันบ่อยๆ
อาเฟยเลยเลือกเสื้อผ้าเก่งมาก
มือบางหยิบเสื้อยืดสีขาวกับเสื้อคาดิแกนลายๆออกมาจากราวแขวน
ก่อนจะวางทาบลงบนตัวเขา
"?"
“ไม่เอาดีกว่า”
ใบหน้ามนบ่นงึมงำอยู่คนเดียวหลังจากเล็งแล้วเล็งอีก
มือบางแขวนคาดิแกนลายๆกลับราวเดิมก่อนจะเลือกตัวใหม่
เขาเอียงคอมองตามอย่างสงสัยเพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัววุ่นวายคิดจะทำอะไร?
“ตัวนี้ดีกว่า”
แล้วคาดิแกนไหมพรมสีดำตัวโคร่งก็ถูกวางทาบลงมาบนตัวเขาใหม่
“?”
"ชุดนี้เข้ากับพี่มากเลย อืม…" หลังจากมองอย่างครุ่นคิดก็หันไปที่ราวแขวนกางเกง
นิ้วเรียวแหวกๆเลือกๆกางเกงผ้าที่แขวนอยู่แบบละตัว
เสียงแกรกๆของไม้แขวนที่ทำจากไม้ให้ความรู้สึกดูแพง
แต่สิ่งที่ทำให้สองแก้มของเขาร้อนผ่าวก็คือการที่คนที่เขารักกำลังตั้งใจเลือกเสื้อผ้าให้ต่างหาก
"ตัวนี้เป็นไง?" กางเกงผ้าตาเล็กๆสีเทาเข้มที่ถูกพับไว้กับไม้แขวนถูกทาบลงมาเพื่อเทียบสีกับเสื้อ
แน่นอนว่าสายตาของเฟยเฟยไม่เคยพลาด
อย่างที่บอกว่าเจ้าลูกกระต่ายมีรสนิยมเรื่องการแต่งตัวดีมาก
ชุดที่เลือกให้เขานี้จึงเข้ากันมาก
"พี่ลองชุดนี้สิ~" ดวงตาเป็นประกายมองเขาอย่างนึกสนุก
อยากจับเขาแต่งตัวเหมือนในซีรี่ย์เกาหลีบ้างสินะ?
เขาหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะหยิบไม้แขวนชุดนั้นมา
แบบนี้ค่อยดูเหมือนเดตของคนทั่วไปหน่อย
ร่างสูงสง่าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อในห้องลองชุด
ก่อนจะมองตัวเองในกระจก…จะว่าแปลกตาหรือไม่ชินดี?
ก็ขนาดชุดอยู่บ้านของเขาก็ยังเป็นเสื้อเชิ้ต
พอมาใส่แบบนี้เลยดูแปลกๆ แต่ใช่ว่าจะไม่ดี
มันดีมากเลยต่างหาก
ดีมากจนเจ้าลูกกระต่ายมองเขาตาโต
"นี่มันโอปป้า~ โอนี่ซัง~" เจ้าตัววุ่นวายถึงกับเพ้อ
เฟยเฟยเดินวนมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ใบหน้ามนดูภาคภูมิใจสุดๆ ไม่รู้ว่าภูมิใจในฝีมือการเลือกชุดของตัวเอง
หรือภูมิใจที่มีไม้แขวนหุ่นดีที่หล่อสุดๆแบบเขาเป็นของตัวเอง
"งื้อออ เฟยชอบ! เอาชุดนี้! พี่ใส่ไปเลยนะ!" ห๋า? เอาจริงดิ? ไม่ใช่แค่ลองอย่างเดียวเหรอ?
"แต่งตัวแบบนี้แล้วเหมือนหนุ่มญี่ปุ่นเลย เฟยก็จะใส่บ้าง!"
เจ้าตัววุ่นวายหันไปหยิบคาดิแกนสีเทาอ่อนกับเสื้อยืดสีขาวเข้าคู่กันกับเขาแล้วพุ่งเข้าห้องลองเสื้อไป
ไหนจะรองเท้าผ้าใบวินเทจสีออฟไวท์แบบเดียวกันอีก…
พนักงานร้านถึงกับอมยิ้มเพราะดูยังไงก็ชุดคู่
ดูยังไงก็แฟนกันชัดๆ เขาเองก็คิดแบบนั้น
และนั่นก็ทำให้เขายอมสลัดลุคเจ้าพ่อมาเป็นหนุ่มญี่ปุ่นคูลๆสักวัน
แล้วแค่พวกเขาเดินออกจากร้านมาด้วยกัน คนก็มองทั้งถนน
ร้านของตกแต่งบ้านที่นี่ก็มีหลายร้าน
เฟยเฟยเดินเข้าไปในร้านที่เหมือนจะขายมันทุกอย่าง ทั้งของแต่งบ้าน ทั้งเฟอร์นิเจอร์ชิคๆถูกจัดวางผสมๆกันอย่างไม่เป็นระเบียบแต่กลับดูน่าซื้อมาก
เขากับอาเธอร์ถึงกับยืนงง
เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับโชว์รูมขายเพชรที่มักจะเนี้ยบๆหรูๆดูสว่างไสว
พอเข้ามาในร้านทึมๆที่แม้แต่ทางเดินอยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้แต่กลับดูมีสเน่ห์น่าค้นหาน่าซื้อขนาดนี้
พวกเขาจึงได้แต่ทึ่ง
ส่วนเจ้าลูกกระต่ายนั้น…
"ม้านั่งตัวนี้สวยจัง พี่ดูดีไซน์ที่ออกแนวมินิมอลๆนี่สิ
มันเข้ากับบ้านพี่มากเลยนะ
ถ้าได้เอาไปตั้งที่ระเบียงห้องนอนเฟยแล้วนั่งจิบชามองน้ำในลำธารคงดีมากแน่ๆ อ้า~นั่งสบายด้วยเนี่ย~ เป็นไม้ทั้งชิ้นเปียกฝนก็ได้
ไม่ต้องยกเก็บด้วย~" ….พูดมาซะขนาดนี้
อยากได้ก็บอกมาสิ
"เอาแบบนี้สองตัวครับ ส่งไปที่แคนาดา อาเธอร์จัดการที"
เขาหันไปบอกพนักงานร้านก่อนจะหันไปบอกเลขาส่วนตัว
"ครับนาย"
"ทำไมซื้อสองตัวอ่ะ? เฟยจะตั้งไว้ที่ระเบียงห้องเฟยนะ"
ใบหน้ามนสงสัย
"ก็ของชั้นตัวนึงไง ตั้งไว้ด้วยกันนั่นแหละ เผื่อชั้นไปนั่งด้วย อืม…ต้องหาโต๊ะเตี้ยๆซักตัวด้วยดีไหม เผื่อไว้วางแก้วกาแฟ"
"ง่ะ อื้ม…" เฟยเฟยเสสายตาหลบอย่างเขินๆเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่านี่มันเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่มาเดินเลือกเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านด้วยกันเลย
ออกจากร้านเฟอร์นิเจอร์ก็ยังมีร้านขายของใช้กระจุกกระจิกที่มีดีไซน์
ร้านนี้เน้นขายของที่ทำจากเซรามิกรูปทรงโมเดิร์นคลีนๆ ทุกชิ้นเป็นสีพลาสเทลทำให้ทั้งร้านดูหวานมาก
ถ้าเขามาคนเดียวคงไม่กล้าเข้าร้านนี้แน่ๆ
แต่เจ้าลูกกระต่ายกลับเดินเข้าไปหน้าตาเฉย
บนชั้นวางมีตั้งแต่ของใช้บนโต๊ะทำงานยันของตกแต่งห้องนั่งเล่น
ถ้วยจานชามที่ใช้ในห้องครัวก็มี เฟยเฟยเดินตรงรี่ไปที่แก้วคู่หนึ่งซึ่งดูน่ารักดี
รูปทรงของมันคล้ายๆจะเลียนแบบมาจากสิงโตกับกระต่ายเลย
"เอาไปใช้ในห้องน้ำที่คอนโดดีไหม? เฟยแปรงฟันทีนี่ไหลไปถึงคออ่ะ"
เขาขำเมื่อนึกภาพตาม เจ้าลูกกระต่ายตัววุ่นวายเอ้ย
แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ ตอนนี้ที่คอนโดยังไม่มีแก้วที่ใช้แปรงฟันเลย
"อยากได้ก็ซื้อไปสิ" เขามองแก้วคู่นั้นอย่างเอ็นดู
พอนึกถึงแปรงสีฟันสองอันที่เสียบอยู่ในแก้วที่วางคู่กันแล้ว…มือใหญ่ก็ยกขึ้นมาเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ
ของที่พวกบอร์ดี้การ์ดของเขาต้องถือมันยังไม่หมดแค่นี้
เขายังได้หมอนอิงผ้าดิบลายสวยๆจากร้านของใช้ของตกแต่งบ้านที่ทำจากผ้ามาอีกสองใบ
"เอาไปวางกับม้านั่งตัวเมื่อกี้นะ เข้ากันมากเลย" เฟยเฟยเอ่ยลอยๆมาแบบนั้น…
แต่ถ้ามาถึง
Jiyugaoka
แล้วไม่ได้กินอะไรเลยคงเหมือนกับมาไม่ถึง
เพราะร้านอาหารก็เยอะมากแถมมีให้เลือกหลากหลายสัญชาติอีกต่างหาก
แต่พวกเขาแทบไม่ต้องเสียเวลาเลือก
เพราะเมื่อเฟยเฟยเดินผ่านหน้าร้านร้านหนึ่งก็แทบจะโดนตกให้เข้าไปทันที
"โอ้ม่าย~ นี่มันร้านครอบครัวเราหรือยังไง~~"
เจ้าลูกกระต่ายถึงกับต้องยกสองมือขึ้นมาป้องใบหน้าจากออร่าที่เหล่ากระต่ายในร้านส่งออกมา
ก็ Peter Rabbit Garden Cafe เป็นร้านธีมกระต่ายในวรรณกรรมชื่อดังน่ะสิ
ทั่วทุกมุมร้านจึงมีแต่กระต่ายเต็มไปหมด
ตั้งแต่หน้าร้านจนไปถึงข้างในตกแต่งสไตล์สวนอังกฤษตามบทประพันธ์
รูปกระต่ายปีเตอร์ในร้านก็เป็นแนวภาพประกอบนิทานอีกด้วย
บรรยากาศจึงเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในเทพนิยายยังไงอย่างงั้น
เพราะว่าเป็นธีมคาเฟ่
อาหารในร้านจึงเป็นอาหารแนวธีมคาเฟ่เช่นกัน
เฟยเฟยสั่งข้าวห่อไข่ที่ตัวเองอยากกินมาสองจาน แน่นอนว่าจานหนึ่งทำเป็นสั่งให้เขา
เพราะตัวเองแค่จานเดียวก็กินไม่หมดแล้ว แต่อยากชิมทั้งคู่ว่างั้น
พนักงานในชุดแม่บ้านย้อนยุคแบบอังกฤษวางจานข้าวห่อไข่ราดซอสมะเขือเทศลงตรงหน้า
สีเหลืองอร่ามของไข่ตัดกับสีแดงของซอสทำเอาเจ้าลูกกระต่ายถึงกับน้ำลายไหลออกปาก
และในจานที่จัดมาอย่างน่ารักนั่นยังมีซีซ่าสลัดกับขนมปังนุ่มๆไส้บัตเตอร์ฉ่ำเยิ้มอีกด้วย
"ทานละนะครับ~" เฟยเฟยพนมมือเลียนแบบคนญี่ปุ่นก่อนจะลงมือทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย
ท่าทางเวลากินของเจ้าลูกกระต่ายก็น่าดูไม่ใช่น้อย เขามองอย่างเพลิดเพลิน
เรียกว่าอิ่มทั้งตา
อิ่มทั้งใจ อิ่มทั้งท้องเลยทีเดียว
แต่ว่าท่ามกลางลิตเติ้ลยุโรปก็ยังมีบ้านแบบญี่ปุ่นแท้ๆหลังเก่าแก่ซ่อนตัวอยู่ด้วย
Kosoan
(โคโซอัน) เป็น Japanese Tea House แบบดั้งเดิมที่ใช้บ้านไม้เสื่อทาทามิมาปรับเปลี่ยนเป็นร้านชา
แค่เดินเข้าประตูไม้ไผ่มา สวนแบบญี่ปุ่นแสนร่มรื่นก็ทำให้เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกที่แสนวุ่นวายแล้ว
โต๊ะในร้านก็เป็นโต๊ะไม้เตี้ยที่ต้องนั่งบนเบาะรองนั่ง
จากตรงนี้มองเห็นสวนที่รายล้อมไปด้วยต้นเมเปิลสีแดงเช่นกัน บรรยากาศกำลังดีสุดๆ
"งื้อ~ สวยจัง~" เจ้าลูกกระต่ายนั่งแหมะลงบนเบาะรองนั่งก่อนจะถ่ายรูปทั้งนอกบ้านในบ้าน
เนื่องจากทั้งบ้านราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์
ของใช้ของตกแต่งตั้งแต่สมัยโบราณถูกตั้งโชว์ไว้ให้ดูด้วย
เขาอมยิ้มในขณะที่จ้องมองเฟยเฟยไม่วางตา
เจ้าลูกกระต่ายเดี๋ยวๆก็แอบแพลนกล้องมาที่เขา เขาจึงยิ้มให้อย่างเต็มใจที่ถูกถ่ายรูป
"ก็เฟยเคยถามปะป๊า ว่าทำไมชอบถ่ายรูปหม่าม้า
ปะป๊าบอกว่าคนเรามีเรื่องให้ทำและต้องจดจำมากมาย
นานๆเข้าเรื่องบางเรื่องเราก็จะลืมมันไป แต่เรื่องของหม่าม้าจะไม่มีวันเลือนหายเพราะปะป๊าได้บันทึกทุกความทรงจำที่ทำร่วมกันไว้ในรูปพวกนี้…เฟยก็เลยอยากถ่ายรูปพี่ไว้บ้าง…" เฟยเฟยพูดไปก็เขินไป
เขาเองยังเขินไปด้วยเลย มือใหญ่ถึงกับต้องยกขึ้นมาปิดรอยแดงบนแก้ม บ้าจริง
นี่เจ้าลูกกระต่ายกำลังจีบเขาคืนใช่ไหม?
“...แล้วมันก็น่าแปลกนะ...เฟยเคยคิดว่าเอาแต่ถ่ายรูปคนคนหนึ่งอยู่ได้ไม่เบื่อหรือไง?
แต่พอเห็นพี่ในอิริยาบถต่างๆ ในสถานที่ต่างๆ
เฟยกลับอยากเก็บภาพพวกนั้นไว้...พี่...ทำอะไรก็น่ารักไปหมดเลย...”
“นั่นก็เพราะว่านายรักชั้นขึ้นมาแล้วน่ะสิ
ในสายตาของนายถึงได้มองว่าชั้นทำอะไรก็น่ารักไปหมด
เหมือนกับที่ชั้นมองเห็นนายเป็นแบบนั้น”
“.......” เจ้าลูกกระต่ายหน้าแดงแปร๊ด
"ถ้าอย่างงั้นชั้นก็ฝากความทรงจำที่ดีที่สุดเหล่านี้ไว้ที่นายด้วยก็แล้วกัน
อีกสิบปี ยี่สิบปี เรามาดูรูปพวกนี้ด้วยกันนะ" เสียงทุ้มพูดออกไปทำเอาเจ้าลูกกระต่ายแทบลงไปดิ้นตาย
"งื้อ~~ เขินอ่ะ~"
"ขนมมาแล้ว" เขายิ้มจนแก้มยก
ยังดีที่พนักงานเดินถือถาดไม้เข้ามาไม่งั้นตรงนี้คงมีแต่เกล็ดน้ำตาลร่วงเกลื่อนไปหมด
แน่นอนว่าขนมหวานและเครื่องดื่มที่ขายในร้านย่อมเป็นญี่ปุ่นแท้ๆ
ดวงตาคู่โตถึงกับเป็นประกายวิ้บวับเมื่อพนักงานยกเซตชากับขนมมาเสริฟ
ชาเขียวที่ชงแบบดั้งเดิมเป็นฟองสีเขียวสดอยู่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบแบบโบราณ
วางคู่อยู่บนถาดไม้สีเข้มกับขนมยูสุโคโงริสีขาวนมตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าดูน่ากินและเต็มไปด้วยกลิ่นไอความเป็นญี่ปุ่น
ถาดข้างๆกันคืออันมิสึที่ใส่ผลไม้ตามฤดูกาลกับชาโฮจิฉะรสกลมกล่อมกำลังดี
ทุกอย่างนี้ถูกจัดวางอยู่ในจานและถ้วยกระเบื้องเคลือบแบบญี่ปุ่นดูสวยงามและเต็มไปด้วยมนต์สเน่ห์มาก
เรื่องรสชาติคงไม่ต้องถามว่าอร่อยแค่ไหน
ดูจากใบหน้าฟินจัดของเจ้าลูกกระต่ายได้
"ชาเขียวมันขมก็จริงแต่พอตัดกับรสหวานของขนมแล้วมันอร่อยมว๊ากกก งื้อ~"
มือบางใช้ที่ตัดขนมไม้ตัดยูสุโคโงริออกเป็นชิ้นเล็กๆก่อนจะจิ้มเข้าปาก
"พี่ลองชิมสิ~" ปกติเขาไม่ค่อยทานขนมหวาน
แต่ใครจะปฏิเสธขนมที่มือบางยื่นมาป้อนให้ได้บ้าง เขาจึงค่อยๆอ้าปากงับจากมือเฟยเฟย
"หวาน" รสชาติที่หวานแสบลิ้นทำให้เสียงทุ้มเอ่ยออกไปตรงๆ
แต่เจ้าลูกกระต่ายกลับหัวเราะคิกคักชอบใจ
"ดื่มชาเขียวสิ รสชาติมันจะตัดกันพอดี" เขารับชาเขียวถ้วยเดียวกันมาดื่มต่อ
ถึงลำดับจะดูมั่วๆหน่อยแต่มันก็อร่อยอย่างที่เฟยเฟยบอกจริงๆ
"อร่อยเนอะ อันมิสึก็อร่อย พีชกับสตอเบอร์รี่สดมาก
โมจิกับเจลลี่แล้วก็ถั่วแดงนี่ก็ดีมากเลยอ่ะ~" ใบหน้ามนยิ้มอย่างมีความสุขในทุกคำที่ได้ตักเข้าปาก
เขาเองก็มีความสุขมากเหมือนกันที่ได้นั่งมองภาพเหล่านี้
นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเขาแล้วจริงๆ...เวลาที่ได้อยู่กับเฟยเฟย
เจ้าลูกกระต่ายกินซะพุงกางจนเดินต่อไม่ไหว
ยังดีที่ใกล้ๆกันมีที่ให้แวะไปนั่งย่อยได้อย่าง La Vita กลุ่มอาคารที่จำลองเมืองเวนิชของอิตาลีมา
ถึงแม้จะเห็นเวนิชของจริงมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็เถอะนะเพราะมันอยู่ไม่ไกลจากมาราเนลโล่บ้านเขา
อาอี้ป๋อชอบหอบลูกกระต่ายไปซ่อนเพราะคิดว่าคลองที่ซับซ้อนจะหยุดเขาได้ แต่เปล่าเลย
ต่อให้ไม่มีถนน ต่อให้รถยนต์จะใช้การไม่ได้ แต่เขาและคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายก็ตามหาครอบครัวสิงโตกระต่ายนั่นเจออยู่ดี
แต่เวนิชที่มีป้ายร้านค้าเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ต้องที่นี่เท่านั้นแหละ
เจ้าลูกกระต่ายที่กลายสภาพเป็นงูเหลื่อมกินไก่ไปทั้งตัวจนเคลื่อนที่ไม่ไหวแต่ก็ยังมิวายนั่งถ่ายรูปอยู่ริมคลองจำลองจนได้
ตลอดช่วงบ่ายเขายังได้แวะอีกหลายร้าน
ทั้งทาร์ตชาโฮจิฉะจากร้าน BAKE
ทั้งสารพัดเค้กจาก Sweet Forest และ Mont
St.Clair ทั้งเซตมองบลังค์จากร้าน Mont-Blanc ทั้งขนมอบสดใหม่จาก
Boulangerie Asanoya ฯลฯ
เจ้าลูกกระต่ายกินตรงนั้นไม่ไหวแล้วแต่ก็ยังจะขนซื้อกลับไปกินที่บ้านอีก
แล้วก็เพราะซื้อของกลับไปมากเกินนี่แหละ...ถึงได้เป็นต้นเหตุแห่งหายนะในภายหลัง...
“เฟยเฟย” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่นั่งพักขาหลังจากเดินมาทั้งวันให้หันมามอง
“อ๊ะ?” แล้วช่อดอกไม้เล็กๆช่อหนึ่งก็ถูกยื่นไปให้
ข้างหลังมีร้านขายดอกไม้สไตล์ยุโรปตั้งอยู่ สีสันอันหลากหลายถูกจัดใส่กระป๋องเรียงรายตั้งลดหลั่นกันอยู่หน้าร้าน
ราวกับยกทุ่งดอกไม้นานาพรรณมาไว้ตรงนี้ยังไงอย่างงั้น
ใบหน้ามนก้มมองช่อดอกเยอบีร่าสีชมพูพีชที่ถูกรวบไว้ง่ายๆด้วยห่อพลาสติกใส
ถึงจะไม่ใช่ดอกไม้ช่อใหญ่โตอะไรและไม่ได้ให้เนื่องในวันพิเศษ
แต่ก็เพราะมันเป็นวันที่แสนธรรมดากับดอกไม้ธรรมดาๆนี่แหละที่ทำให้มันดูพิเศษ
แก้มใสกำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ…
เขานั่งลงข้างๆโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร แต่ความเงียบที่ลอยอยู่รอบตัวนั้นกลับอบอวลไปด้วยสีเดียวกับดอกไม้ในมือบาง
เป็นสีแห่งความรักลอยจางๆทั่วไปหมด
"เหนียวตัวไปหมดแล้ว~ อาบน้ำๆๆ"
พอกลับมาถึงคอนโดได้
เจ้าลูกกระต่ายก็โยนสารพัดถุงไว้บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาก่อนจะวิ่งลั้นลาเข้าห้องน้ำไป
ใบหน้าหล่อเหลามองถุงขนมมากมายที่ไปขนซื้อกลับมาก่อนจะส่ายหน้า
กินเข้าไปยังไงหมดเนี่ย?
"เฟยเฟย ชั้นไปเซ็นต์เอกสารที่ห้องทำงานนะ เดี๋ยวมา"
เสียงทุ้มตะโกนฝ่าเสียงฝักบัว มีงานด่วนที่ต้องรีบอนุมัติ
เขาเลยต้องไปจัดการ
"อื้อ~" เจ้าลูกกระต่ายตอบรับ
ร่างสูงสง่าจึงเดินออกจากห้องไป
ใบหน้ามนหลับตาพริ้มรับลมร้อนๆจากไดร์เป่าผม
เสียงฟู่ๆดังอยู่ไม่นานและเมื่อมือบางปิดมันจึงเพิ่งสังเกตว่าห้องยังเงียบอยู่เลย
พี่อี้หยางยังไม่กลับเหรอ?
ร่างโปร่งในชุดนอนฮู้ดหูกระต่ายสีแดงเดินตัวหอมฟุ้งออกมาจากห้องนอน
มือบางถือขวดแก้วใสใส่น้ำมาด้วย
ดอกเยอบีร่าสีหวานถูกเสียบลงไป
เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองมันอยู่นานสองนาน
ร่างโปร่งบางเดินมานั่งแหมะลงบนพรมหน้าโซฟาก่อนจะคุ้ยถุงขนมเพื่อเก็บมันเข้าตู้เย็นให้เรียบร้อย…มีแต่ขนมน่าอร่อยทั้งนั้นเลย~
เสียงกรอบแกรบๆดังขึ้นเมื่อมือบางยกถุงขนมขึ้นมาดู
บางอันก็จำไม่ได้แล้วว่าซื้อมาจากร้านไหน เยอะไปหมด
หื๋อ?
ดวงตากลมโตสะดุดเข้ากับถุงกระดาษสีดำเรียบหรูใบหนึ่ง
มันมีตัวอักษรคาตาคานะสีทองซึ่งน่าจะเป็นชื่อร้านฝังอยู่ด้วย…ถุงอะไรเนี่ย?
มือบางล้วงเอากล่องสีดำที่อยู่ในถุงออกมา
ถุงว่าหรูแล้ว กล่องยิ่งดูแพงกว่า…ช็อกโกแลตเหรอ?
เอ๋? อันนี้ของร้านไหนนะ?
เขาซื้อมาด้วยเหรอ? แต่แพคเกจหรูขนาดนี้อาจจะเป็นของพี่อี้หยางก็ได้?
หรือว่าจะแอบซื้อมาให้เขา?
"งื้ออออ~" แขนบางกอดกล่องช็อกโกแลตดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนโซฟา
"กินเลยดีไหมน้า~" ใบหน้ามนยิ้มกรุ้มกริ่ม
ก่อนจะค่อยๆแกะโบว์สีแดงเข้มออก อร๊าย~ ถ้าข้างในกล่องไม่ใช่ช็อกโกแลตแต่เป็นแหวนขอแต่งงานจะทำไง~
แล้วเจ้าลูกกระต่ายก็ลงไปดิ้นกับพื้นโซฟาอีกรอบ
แต่ข้างในก็เป็นเพียงช็อกโกแลต...
ช็อกโกแลตที่เรียบหรูไม่แพ้กล่อง
ถึงจะทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมง่ายๆแต่ด้านบนกลับปาดด้วยสีต่างๆอย่างอาร์ตเอาไว้
น่าจะเอาไว้แยกรสชาติละมั้ง?
มือบางหยิบอันที่ปาดหน้าเป็นสีแดงขึ้นมาใส่ปาก…โห~
อร่อยมว๊ากกกก
เขาถึงกับทำตาโต
มันเป็นช็อกโกแลตที่รสชาติดีมากเลย ว่าแล้วก็หยิบเข้าปากอีกอัน
รสชาติต่างกันแต่ก็อร่อยมากกกก
มือบางหยิบอันที่เหลือเข้าปากอย่างหยุดไม่ได้
อร่อยทุกรสเลยทำไงดี แต่ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกมึนๆเบลอๆ? ร่างกายก็รู้สึกร้อนๆแปลกๆ? สงสัยจะกินของหวานมากไป?
เสียงปากกาตวัดลงไปบนกระดาษฟังดูหนักแน่นสมกับที่เป็นลายเซ็นต์ของนายใหญ่แห่ง
Diamond
crown นี่เป็นเอกสารแผ่นสุดท้ายแล้ว
มือใหญ่จึงหมุนปากกาปิดก่อนจะวางมันลงไปบนแฟ้ม
"บอกทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ วันนี้คงไม่มีอะไรแล้ว"
"ครับนาย"
ร่างสูงสง่าลุกขึ้นจากโต๊ะ
แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหน โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดๆเสียก่อน
สายเรียกเข้าจากหวังอี้คุน?
จริงสิ
อี้คุนแวะมาเมื่อสองวันก่อน แต่เฟยเฟยนอนอยู่ออฟฟิศก็เลยไม่ได้เจอกับพี่ชายฝาแฝด
ตอนนี้เจ้าลูกสิงโตก็น่าจะอยู่อิตาลี?
"ว่าไง?" เขากดรับก่อนจะพูดออกไปอย่างไม่มีพิธีรีตอง
"พี่ ผมกวนหน่อย ผมลืมช็อกโกแลตเอาไว้ เป็นถุงกระดาษสีดำๆดูหรูๆเหมือนถุงใส่แหวนเพชรน่ะ
ผมจะซื้อมาฝากเพื่อน…เอ่อ…พี่…ช่วยหาที่เก็บให้พ้นมือเจ้าลูกกระต่ายที" เสียงเจ้าลูกสิงโตฟังดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ?
"หื๋อ? ทำไมล่ะ? ถ้าอาเฟยอยากกินก็ให้กินไปก่อนสิ
ไว้นายมาค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้?"
"ไม่ได้! ห้ามให้อาเฟยกินเด็ดขาดเลย!" อี้คุนตะโกนใส่โทรศัพท์จนหูเขาแทบแตก เขาชูโทรศัพท์ออกไปไกลๆก่อนจะจ้องมองมันอย่างสงสัย
ทำไมถึงให้เฟยเฟยกินไม่ได้ล่ะ? ปกติเจ้าลูกสิงโตก็ไม่เคยหวงของกับน้องนะ
โดยเฉพาะพวกขนมเนี่ย ไปไหนต่อไหนก็จะซื้อมาฝากเฟยเฟยตลอด?
"...?
เอาเถอะ วางไว้ตรงไหน?" เขาไม่ได้ซักไซร้อะไรต่อ
ขายาวเดินกลับห้องพักที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
"น่าจะที่โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟามั้ง
ตอนนั้นผมปวดฉี่ก็เลยโยนๆไว้แถวนั้นกะว่าออกมาจะเก็บมาไว้ห้องตัวเองแต่ดันลืมซะได้
บ้าจริง" เจ้าลูกสิงโตสบถพร้อมกับเกาหัวแกรกๆ
"ซีเรียสอะไรขนาดนั้น? แค่ของฝากเองไม่ใช่เหรอ?"
เขาเดินไปคุยไปอย่างไม่ใส่ใจ
ลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องต่างก้มหัวให้โดยพร้อมเพรียง
"ถ้าเป็นของฝากคนอื่นคงไม่ห่วงหรอก แต่ของที่ซื้อมาฝากไอ้เพื่อนเลวพวกนั้นมันใช่ของดีๆซะที่ไหนล่ะ!"
เขาถึงกับผงะไป ของฝากเจ้าพวกนั้นเองเหรอ? ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอี้คุนถึงดูร้อนลนนัก
"........อย่าบอกนะว่าเป็นช็อกโกแลตที่ผสมอะไร?" หวังอี้หยางยังคงเป็นคนที่อ่านเกมขาดเสมอ
"ก็ทำนองนั้นแหละ…" เจ้าลูกสิงโตยอมรับสารภาพ
"เฮ้อ…ของแบบนั้นอย่ามาวางสุมสี่สุมห้าในห้องอาเฟยสิ"
เขาถึงกับถอนหายใจ…อี้คุนกับแก๊งเพื่อนเลวก็คือเด็กผู้ชายวัยรุ่นทั่วๆไป
ทุกคนเป็นเด็กบ้านรวย
ถึงจะไม่ไปก่อความเดือดร้อนให้ใครแต่ไอ้เรื่องเฮ้วๆเสี่ยงๆท้าทายๆเนี่ยขอให้บอกเถอะ
เจ้าเด็กพวกนั้นเอามันหมดแหละ
"ก็พอรู้ตัวว่าลืมไว้ถึงได้รีบโทรหาพี่นี่ไง รีบๆไปหาซะว่ามันอยู่ตรงนั้นแน่ใช่ไหม?
แล้วก็รีบเอาไปซ่อนอาเฟยที!" สั่งได้สั่งดีสั่งเป็นอาอี้ป๋อเชียวนะเจ้าเด็กนี่
มือใหญ่เปิดประตูห้องเข้าไปด้วยใบหน้าเพลียๆ
ก่อนจะยืนตัวแข็งทื่อเมื่อดวงตาคมกล้าสบประสานไปที่ร่างๆหนึ่งซึ่งนั่งแหมะอยู่บนพรมหน้าโซฟา
".......อี้คุน"
"ครับ?"
"ชั้นว่าไม่ทันแล้วละ"
"ห๊ะ?"
"เฟยเฟยเจอถุงนั่น แล้วก็แกะกินไปแล้ว…"
"ห๊า~~!!!"
"......"
เจ้าลูกสิงโตแหกปากลั่นจนเขาต้องชูโทรศัพท์ออกห่างๆหูอีกรอบ
"กินหมดเลยเหรอ?!"
"หมดเลย"
"ชิบหายแล้ว!"
"ทำไม? นอกจากเหล้าแล้วยังมีผสมอะไรแปลกๆอีกรึไง?"
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นช็อกโกแลตผสมเหล้านั่นแหละเขาพอจะเดาได้
แต่ฟังจากน้ำเสียงกังวลจัดของเจ้าลูกสิงโตแล้วเขาก็คิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่มากกว่าเหล้า?
".......เอ่อ…."
"อี้คุน ตอบมา" เขาจะได้หาทางรับมือถูก
ถ้าผสมอะไรแผลงๆอย่างน้อยจะได้เตรียมยาแก้ท้องเสียไว้หรือไม่ก็เตรียมเรียกรถพยาบาล
"บ้าจริง! เจ้าลูกกระต่ายบ๊องนี่! ของใครก็ไม่รู้ตั้งไว้ เอาไปกินได้ไงฟ๊ะ!
อ๊ากกก!" เจ้าลูกสิงโตตะโกนโวยวายอยู่ปลายสาย
เขารอคำตอบอย่างใจเย็น
แต่สภาพเฟยเฟยที่เห็นนี่ก็พอจะเดาได้ว่าไม่ได้ผสมแค่เหล้าแน่นอน
"ตกลงมันผสมอะไรบ้าง?" เขาลอบกลืนน้ำลายกับภาพตรงหน้า
".....ก็มีสาเกญี่ปุ่น…ไวน์แดง…วอดก้า…บรั่นดี…เหล้าหวาน…คอกเทล…แชมเปญ...แล้วก็………."
"แล้วก็?"
".....แล้วก็……..ยากระตุ้น…"
"......."
เขาถึงกับนิ่งอึ้งไป
โทรศัพท์ในมือไม่ร่วงลงพื้นนี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว!
"ห๋า? ผสมยา…แบบนั้นด้วยเหรอ?!
ตอนซื้อคิดอะไรของนายเนี่ย?!"
"อื้อ!…ก็บอกแล้วไงว่าซื้อมาแกล้งไอ้พวกเพื่อนเลวน่ะ!
อ๊า! เจ้าลูกกระต่ายบ๊องเอ้ย! กินเข้าไปได้ยังไง~!!" หวังอี้คุนยังตะโกนชักดิ้นชักงออยู่ปลายสาย
"เฮ้อ…" มือใหญ่ถึงกับยกขึ้นมากุมขมับ
ตายแน่ๆ ไม่ใช่อาเฟยหรอกที่จะตาย แต่เป็นเขาเองนี้แหละ!
"อ๊ะ! พี่! ออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้เลยนะ!
ไปขังตัวเองไว้ในห้องทำงานเดี๋ยวนี้เลยนะ!" ในเมื่อปัญหามันเกิดก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากแก้ปัญหาต่อไป เจ้าลูกสิงโตโวยวายหลังจากนึกขึ้นได้ว่าจะต้องแก้ปัญหายังไง
"แล้วคิดว่าน้องนายทำเองเป็นรึยังไง? คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกินอะไรเข้าไปแล้วอาการแบบนี้ต้องทำยังไง
ถ้าจะโทษ มันก็เป็นความผิดนายนั่นแหละ ฮึ แค่นี้นะ"
"เดี๋ยว! ไอ้พี่บ้า ไอ้สิงโตชั่วร้า-"
-
ติ้ด -
เขากดวางโทรศัพท์ไปและเพราะรู้ว่าอีกเดี๋ยวอี้คุนต้องโทรมาใหม่แน่
ปลายนิ้วยาวจึงกดปิดมือถือมันซะเลย
เพราะตอนนี้….เขากำลังจะต้องใช้สมาธิขั้นสูงสุด…
เจ้าลูกกระต่ายนะเจ้าลูกกระต่าย…
ฉันอุตส่าห์ตั้งใจจะไม่กินนายจนกว่านายจะพร้อมแท้ๆเชียว
แต่นายก็ขยันเอาตัวเองใส่หม้อ
แล้วฉันต้องใช้ความอดทนระดับไหนถึงจะผ่านวิกฤตการณ์อันหอมหวานนี้ไปได้?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520
N.
To
be con.
ยาวแร้ววว
ที่เหลือค่อยต่อตอนหน้าเนอะ กร๊ากกกก
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์
ทุกๆการติดตาม ทุกหัวใจ ทุกๆโดเนทด้วยนะคะ
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามียอดวิวเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกอกตกใจ ^ ^ ขอบคุณสำหรับทุกๆรีวิวและทุกๆการแนะนำด้วยนะคะ
คือคุณกวางมันไม่มีทวิตเตอร์แล้วก็ไม่ได้ไปตามเพจอะไรที่ไหนก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าไหร่
555 ยังไงก็ขอบคุณสำหรับความเอ็นดูที่มีให้ฟิคน้อยๆเรื่องนี้ด้วยนะคะ
งื้ออออ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น