ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 N. again [Part5]
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 นิวตัน”
.
.
.
อี้คุนบินไปอเมริกาแล้ว
ส่วนพี่อี้หยางก็ไปสวิต
ถึงจะกลับมาเย็นนี้ก็เถอะแต่ก็อดรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนอยู่คนเดียวในโลกกว้างไม่ได้เลยแหะ…
อ๊า~ เป็นแบบนี้ไม่ได้สิ
นายอายุ21ขวบแล้วนะหวังเฟยเฟย นายต้องอยู่คนเดียวให้ได้สิ~
ร่างโปร่งบางเดี๋ยวทำหน้าหงอยกับกระดาษสเก็ต
เดี๋ยวทำท่าจะแหกปากแบบไม่มีเสียงใส่จอคอมพิวเตอร์
เดี๋ยวห่อเหี่ยวเดี๋ยวฮึกเหิมจนคนที่ต้องนั่งอยู่ข้างๆอย่างคุโรทากะถึงกับหวาดระแวง
เจ้ากระต่ายปีศาจนั่นเป็นอะไรอีกแล้ว? ผีเข้าเหรอ?
หรือไปก่อเรื่องอะไรไว้? หวาดระแวงไปหมดแล้วเนี่ย!
“เฮ้อ…” หวังเฟยเฟยถอนหายใจ…งานที่รุ่นพี่ให้ทำมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ? คุโรทากะลอบมองอย่างสงสัย
เพื่อการพรีเซ็นต์หัวกระสุนของรถไฟชินคันเซ็นในการประกวดแบบครั้งนี้
รุ่นพี่ชิโรยูกิจึงแบ่งงานให้พวกเขาสองคนช่วยกันทำ
เขามีหน้าที่ขึ้นแบบสามมิติให้สมบูรณ์เพื่อเตรียมส่งทำโมเดลและใช้ในงานพรีเซ็นต์ส่วนอื่นๆ ส่วนหวังเฟยเฟยทำเรื่องเกี่ยวกับแอโร่ไดนามิกของหัวรถไฟ
แต่เท่าที่เขาชะโงกหน้าแอบดู
เจ้าเด็กจีนอิตาลีนี่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องงานนี่นา
หมอนั่นวิเคราะห์หลักอากาศพลศาสตร์ของรถได้ไวยิ่งกว่าปรอท
งานดูเหมือนจะเสร็จไปกว่าครึ่งค่อนแล้วด้วย
แล้วที่ทำตัวเหมือนคนบ้านี่มันเรื่องอะไรกันล่ะ? หรือจะไปก่อเรื่องอะไรไว้จริงๆ?
แล้วสิ่งที่ช่วยสนับสนุนความคิดนี้ของเขาก็คือสายตาทิ่มแทงที่ลอบมองมาจากทางเครื่องถ่ายเอกสารหน้าห้อง…มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถ่ายเอกสารไปและแอบมองพวกเขาไปอยู่จริงๆด้วย
ไม่สิ
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ผู้หญิงคนนั้นแอบมองหวังเฟยเฟยอยู่ต่างหาก…
“นายรู้จักเธอเหรอ? เห็นจ้องมาทางนี้นานแล้ว?”
เขาขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ๆหวังเฟยเฟยก่อนจะพยักพะเยิดให้อีกฝ่ายมองไปทางผู้หญิงคนนั้น
“หื๋อ? ไม่รู้จักหรอก…แต่ว่าเคยเจอกัน
ผู้หญิงคนนั้นไงที่ชั้นบอกว่าเจอเธอร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ
นายก็มองเห็นเธอใช่ไหม? โชคดีไปๆ ชั้นนึกว่าเธอเป็นผีเสียอีก”
เจ้าตัววุ่นวายหันไปมองเธอโต้งๆอย่างไม่คิดจะปิดบัง
เล่นเอาผู้หญิงคนนั้นถึงกับเลิ่กลั่กลนลานรีบเก็บปึกเอกสารก่อนจะรีบเดินหนีไป
“น่าจะเป็นคนของแผนกธุรการมั้ง?” เขาคาดเดาจากการที่อีกฝ่ายมาใช้ห้องน้ำและเครื่องถ่ายเอกสารที่อยู่ในชั้นนี้ซึ่งมีเพียงแผนกออกแบบและแผนกธุรการ
เจ้ากระต่ายปีศาจดูจะไม่ได้สนใจหล่อนเท่าไหร่
งั้นก็ไม่น่าใช่เรื่องของผู้หญิงคนนั้น?
แต่การที่เจ้าตัววุ่นวายนี่จะถูกสาวๆทั้งบริษัทเล็งก็คงไม่แปลก
นอกจากจะเป็นคนหน้าตาดีมากแล้ว ดีกรีความเป็นเด็กนอกก็ยิ่งทำให้ดูน่าสนใจ
แล้วเขาก็ได้ยินทุกคนลือกันว่าหวังเฟยเฟยบ้านรวยมาก มีรถเฟอร์รารี่มารับมาส่งทุกวัน
จริงๆเจ้าตัวจะขับมาเองแต่มันไม่มีที่จอด
"งื้อ…นายว่าโลกนี้มันกว้างไปไหม?"
อะไรล่ะเฮ้ย?! จู่ๆหวังเฟยเฟยก็หันมาถาม
แล้วก็หันไปถอนหายใจใส่คอมพิวเตอร์โดยไม่สนใจคำตอบของเขา
เล่นเอาหวาดระแวงหนักกว่าเก่าไปอีก
เอาเถอะ
เรื่องของหวังเฟยเฟยจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ
เพราะตอนนี้เรื่องที่สำคัญต่อเขามากกว่าก็คือเดดไลน์ของงานตรงหน้าต่างหาก
จากที่เขาไปแอบส่องงานของทีมอื่นๆมา
ตอนนี้ทุกทีมต่างเริ่มทำพรีเซ็นต์กันอย่างอลังการงานสร้างแล้ว ทั้งโมเดลเป็นชิ้นๆ
ทั้งแบบสามมิติที่จำลองการวิ่งของรถไฟผ่านสถานีใหญ่ๆอย่างโตเกียว โยโกฮาม่า นาโกย่า เกียวโต โอซาก้า
มีแม้แต่อนิเมชั่นที่เรนเดอร์อย่างสวยงามตอนที่รถไฟวิ่งผ่านภูเขาไฟฟูจิซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด
แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าทีมอื่นๆมีเวลาและกำลังคนเหลือเฟือในการพรีเซ็นต์น่ะสิ
ซึ่งต่างจากทีมเขามาก…
แค่ทำส่วนหลักๆให้ทันก็เต็มกลืนแล้ว
“ทีมนายยังไม่ได้ส่งทำโมเดลอีกเหรอ? รู้ใช่ไหมว่าต้องส่งไปหล่อ?
ไม่ให้ทำแบบร่างมาดูก่อนจะดีเหรอ?” รุ่นพี่จากทีมA
ที่เดินผ่านมาชะโงกหน้ามองด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเขายังหมุนโมเดลสามมิติในคอมไปมา
“ยังครับ รุ่นพี่ชิโรยูกิยังแก้อยู่ทุกชั่วโมงเลยครับ…”
เขาพูดด้วยเสียงงึมงำ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนพูดจาไม่ฉะฉาน
แต่ว่าเมื่อคืนเขาแทบจะไม่ได้นอนเพราะเจ้าหัวกระสุนอันนี้นี่แหละ
ถ้าไม่ใช่ที่หนึ่งของวิศวกรรมโทไดอย่างเขา
มีหรือจะขึ้นโมหัวรถไฟทั้งคันได้ในคืนเดียวเนี่ย?!
“อ่า…นะ…หมอนั่นมันก็บ้าแบบนี้แหละ
ทำใจก็แล้วกัน ยังไงก็อย่าลืมเผื่อเวลาทำพรีเซ็นต์ด้วยล่ะ”
“ครับ” เขาเอ่ยขอบคุณรุ่นพี่ทีม A ที่แนะนำถึงจะรู้อยู่เต็มอกก็เถอะว่างานพรีเซ็นต์เองก็สำคัญ
เพราะต่อให้แบบดีเลิศประเสริฐศรีแค่ไหน แต่ถ้าไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้
ผลงานก็คงไม่ถูกยอมรับ
เขาถอนหายใจกับเวลาที่เหลืออยู่
ต่อให้โต้รุ่งทุกวันจะทันรึเปล่ายังไม่รู้เลยเนี่ย
แล้วทั้งทีมก็เหมือนจะมีแค่เขาที่กังวล
ในเมื่อทั้งรุ่นพี่ชิโรยูกิทั้งหวังเฟยเฟยยังแก้แบบสบายใจเฉิบกันอยู่เลย…
“ที่จริงพวกเราก็อยากรับนายสองคนเข้าทีมอยู่หรอกนะ แต่ว่าก็อย่างที่เห็นว่าคนมันเต็มแล้ว
พวกนายมาอยู่กับเราก็คงไม่ได้เรียนรู้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพราะมันไม่มีอะไรให้ทำแล้ว”
….ครับ…เพราะงั้นตอนนี้ผมเลยได้เรียนรู้แบบเป็นชิ้นเป็นอันเลยครับ
ชิ้นใหญ่สุดๆเลยด้วยครับ!
“พยายามเข้าล่ะ” รุ่นพี่ทีมA ตบหลังอย่างให้กำลังใจก่อนจะเดินจากไป
และไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาก็จะส่ายหน้าหรือไม่ก็ทำท่าทางเห็นใจสงสาร
จนเขาชักจะหงุดหงิดแล้วนะว่ามันจะอะไรกันนักหนา
เห็นพวกเขาเป็นทีมที่ใช้การไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือไง? แบบนี้แค่ทำให้ทันคงไม่พอแล้ว
คงต้องทำให้คนพวกนี้ดูถูกพวกเขาไม่ได้อีก! รอบกายเขาเริ่มมีไฟลุกโชนมือก็ขยับเม้าท์คีย์คำสั่งอย่างเมามัน
แต่ก็นั่นแหละ
ถึงเขากับหวังเฟยเฟยจะทำงานไวและแบบของรุ่นพี่ชิโรยูกิก็ดีมาก
แต่มันก็ยังมีปัญหาใหญ่อีกอย่างอยู่…
“ยูกิซังดูสิ เจ้านี่วิ่งได้ถึง650กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยไม่ตกรางแน่นอนครับ
ไวขนาดนี้ต้องชนะชัวร์!” หวังเฟยเฟยกำลังเอาแบบจำลองแรงกระทำและแอโร่ไดนามิกทั้งหมดที่เข้าโปรแกรมวิเคราะห์ได้ไปให้รุ่นพี่ชิโรยูกิดู
แต่ใบหน้ายุ่งๆเพราะอดนอนมาทั้งคืนก็ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่เมื่อมองดูค่าอัตราอื่นๆที่นอกเหนือจากความเร็ว
“ยังใช้ไม่ได้เฟ้ย~ คงต้องปรับเคิร์ฟตรงนี้ใหม่…”
มือบางของรุ่นพี่เกาหัวแกร่กๆก่อนที่จะหันไปแก้แบบอีกครั้ง
และเพราะว่ามันเป็นระบบแชร์ข้อมูล เมื่อคอมพิวเตอร์ที่ลิ้งค์กันอยู่มีการแก้ไข
คอมเครื่องอื่นๆก็จะแก้โดยอัตโนมัติ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า…โมเดลสามมิติที่เขาขึ้นเอาไว้ก็ต้องเปลี่ยนอีกแล้ว…
“เอ๋? ทำไมอ่ะ?” หวังเฟยเฟยเอียงคอถามรุ่นพี่อย่างสงสัย
ใบหน้าเพลียๆจึงหันกลับมาตอบ
".....นาย…ไม่เข้าใจหลักการใช้งานของรถไฟสินะ?…ความสำคัญมันไม่ใช่แค่ความเร็วอย่างเดียว
อย่าเอาไปเทียบกับซุปเปอร์คาร์หรือฟอร์มูล่าวันสิ"
"...?
แค่กดให้มันวิ่งอยู่บนรางทั้งขบวนได้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?"
หวังเฟยเฟยถามออกไปอย่างไม่เข้าใจจริงๆนั่นแหละ
เขาจึงถอนหายใจ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไม่ได้แล้ว เขาไม่มีเวลาแก้แบบแล้ว!
"ปัญหาใหญ่ของหมอนี่ก็คือ…ไม่เคยนั่งชินคันเซ็นครับ"
เสียงทุ้มตอบแทรกออกไปแทนเพื่อนร่วมฝึกงานที่ยังหันมามองอย่างสงสัยไม่หายว่าไม่เคยนั่งแล้วมันจะทำไม?
"เอ๊ะ?" แต่รุ่นพี่ถึงกับอ้าปากค้าง
แถมทำหน้าประมาณว่ายังมีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอเนี่ย? นี่มันปัญหาใหญ่สุดๆของคนออกแบบรถไฟเลยไม่ใช่หรือไง?!
“เอาละๆ ฟังทางนี้ก่อนทุกคน!” แต่แล้วจู่ๆเสียงดังกังวานของหัวหน้าแผนกออกแบบก็เรียกให้ทุกคนในห้องหันไปสนใจ
บทสนทนาที่คุยค้างก่อนหน้านี้จึงถูกหยุดทั้งหมด
เขาเองก็หันไปมองร่างท้วมนั่นเช่นกัน คงมีประกาศอะไรสักอย่าง
อะไรก็ได้ขอแค่อย่าเลื่อนวันพรีเซ็นต์เข้ามาก็พอ
"ก่อนอื่นเลยนะ…หวังเฟยเฟย
ป้ายหน้าห้องน้ำนี่ของเธอใช่ไหม?" ไปก่อเรื่องไว้จริงๆสินะเฮ้ย!
สร้างความบันเทิงได้ทุกวี่ทุกวันจริงๆเจ้าตัววุ่นวายนี่!
คนอื่นถึงกับขำกันยกใหญ่เมื่อหัวหน้าแผนกชูป้ายกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา
ดูเหมือนมันจะเป็นป้ายเขียนบอกว่าอันไหนห้องน้ำชายอันไหนห้องน้ำหญิง
".....อาจจะเป็นของคุโรทากะก็ได้นะครับ" เจ้าตัววุ่นวายตอบหน้าตาเฉย อย่ามาโบ้ยกันสิฟ๊ะ
เพราะถ้าจะโบ้ยทั้งทีก็ทำให้มันเนียนๆก่อน บนป้ายนั่นเขียนเป็นภาษาอิตาลีชัดๆ
ใครจะไปรู้กับนายเนี่ยเจ้ากระต่ายปีศาจเอ้ย~
"มาเอาไปๆ แล้วก็อย่าไปติดมั่วๆอีก แม่บ้านเค้าบ่นมา" หัวหน้าแผนกโบกป้ายนั่นท่ามกลางเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครงของพวกรุ่นพี่ในแผนกเพราะทุกคนก็รู้ดีว่ามีอยู่คนเดียวนี่แหละที่จะทำเรื่องโก๊ะๆแบบนี้
เจ้าตัววุ่นวายเดินทำหน้าไม่เข้าใจโลกไปรับกระดาษแผ่นนั้นมา
"ทำไมติดไม่ได้อ่ะ? หรือว่าชั้นจะใส่กรอบน้อยไป?
แล้วถ้าไม่มีป้ายนี่ชั้นจะเข้าห้องน้ำถูกได้ยังไงอ่ะ?"
หวังเฟยเฟยหันมาถามเขาด้วยสีหน้ามึนงง…ห้องน้ำมันมีอยู่แค่สองห้องนายก็จำเอาสิฟ๊ะว่าห้องไหนหญิงห้องไหนชาย
มันไม่ได้จะสลับที่กันได้ซักหน่อย
แล้วป้ายกรอบทองอย่างหลุยส์ติดตรงไหนก็เด่นเห็นไปอีกสามบ้านนี่มันอะไร? ถ้าจะติดไว้ดูคนเดียวก็ทำเล็กๆมินิมอลๆสิฟ๊ะ
เขาละเพลียที่จะต้องอธิบายจริงๆ
"เอาละ เข้าเรื่องที่จะประกาศให้ทราบกันสักที" เขาถอนหายใจฟังประกาศไปผ่านๆ
“ถึงจะช้าไปหน่อย แต่เย็นนี้เราจะไปเลี้ยงต้อนรับเด็กฝึกงานกันนะ”
ทั้งๆที่คิดว่าประกาศคงไม่ได้เกี่ยวกับเขาแต่จนแล้วจนรอดก็ดันเกี่ยวเต็มๆ!
เขาหันไปมองหน้าหวังเฟยเฟยที่มีอาการไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่
ก็มีงานเลี้ยงตอนเย็นย่อมเท่ากับเวลาทำงานของเขาจะหายไปคืนนึงเลยน่ะสิ
แล้วก็คงมีแค่เขาสองคนที่ยืนเหงื่อแตกพลั่ก
เพราะรุ่นพี่คนอื่นๆกลับดีใจกันยกใหญ่ที่จะได้ไปผ่อนคลายแถมคนจ่ายเงินยังเป็นแผนกอีกต่างหาก
แหงสิ ก็คนอื่นๆงานใกล้เสร็จกันแล้วนี่
“งานนี้ไปให้ได้นะทุกคน เราจะเลี้ยงพร้อมกับแผนกอื่นๆด้วย
แผนกอื่นก็มีเด็กฝึกงานเหมือนกัน พวกนายจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆด้วย ดีเลยใช่ไหม
ฮ่าๆๆ” มืออวบอูมของหัวหน้าแผนกตบไหล่เขา…ดีตรงไหนกันล่ะ
"ใครมีอะไรจะถามไหม? ถ้าไม่มีจะได้แยกย้ายกันไปทำงานต่อ"
"มีครับ" เขาถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อเจ้าคนข้างๆยกมือถาม
พวกรุ่นพี่เตรียมขำรอแล้วพอเห็นว่าเป็นหวังเฟยเฟย
"หรือควรจะเปลี่ยนจากภาษาอิตาลีเป็นภาษาจีนดีครับ? ถึงจะติดป้ายนี่ได้"
แล้วก็ทำให้ผิดหวังเสียที่ไหน พี่ๆฮากันกระจายกับเจ้ากระต่ายมึนที่ยังไม่จบเรื่องป้ายหน้าห้องน้ำ
แล้วทำไมภาษาอังกฤษถึงไม่เป็นตัวเลือกแรกของนายเนี่ย เขางงมาก
".....ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอกหวังเฟยเฟย…เอาเป็นว่า
เดี๋ยวฉันเสนอแผนกงานอาคารให้นะว่าควรเปลี่ยนป้ายหน้าห้องน้ำเป็นแบบสากล"
หัวหน้าแผนกถึงกับกุมขมับ ป้ายที่อยู่ของมันมาตั้งครึ่งศตวรรษมีอันได้เปลี่ยนแล้วคราวนี้
"ครับ ถ้าอย่างงั้นก็ดีเลยครับ!"
"ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม? งั้นก็แยกย้ายทำงานเถอะ"
หัวหน้าแผนกรีบตัดบทเพราะกลัวเจ้าตัววุ่นวายจะมีอะไรขึ้นมาอีก
“เดี๋ยวส่งโลเคชั่นร้านเข้ากรุ๊ปรวมนะ กินให้เต็มที่ เจอกันเย็นนี้!”
หัวหน้าแผนกเดินผิวปากสบายใจจากไป
เขาได้แต่นั่งอย่างอึ้งๆลงบนเก้าอี้
“เดี๋ยวพวกนายไปพร้อมฉันก็ได้” เป็นรุ่นพี่จากทีม
A ที่โผล่หน้าเข้ามาชวน
“เอ่อ…เดี๋ยวผมไปพร้อมรุ่นพี่ชิโรยูกิ”
“ชั้นไม่ไป” เขายังพูดไม่ทันจะจบประโยค
เสียงห้วนก็ดังจากหลังคอมพิวเตอร์ตัวกลางในคอกทีม Cของเขาทันที
เขาได้แต่ยิ้มแห้ง ส่วนรุ่นพี่ทีม A ก็ยักไหล่ราวกับรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้
“ชั้นก็ไม่ไป” หวังเฟยเฟยพูดออกมาบ้าง
นายจะไม่ไปได้ไงละเฟ้ย~ เขาถอนหายใจก่อนจะลากเม้าส์ต่อไป
เวลาเก้านาฬิกา
นครรัฐเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หน้ากากหรูหราที่อยู่บนใบหน้าทำให้ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในงานประมูลเพชรเป็นใครกันบ้าง
ถึงแม้บางคนจะคุ้นๆคับคล้ายคับคราเพราะส่วนใหญ่ก็เป็นคนในวงการค้าเพชรด้วยกันแต่ก็ยังมีที่ทักผิดทักถูก
ทั่วทั้งงานราวกับย้อนกลับไปอยู่ในยุคโบราณ มันก็เป็นมนต์ขลังอย่างหนึ่งที่พยายามจะอนุรักษ์ไว้
แต่ทุกคนกลับดูออกในทันที…ว่าชายหนุ่มผู้สง่างามซึ่งสวมหน้ากากขนนกสีดำเอาไว้บนใบหน้านั่นคือหวังอี้หยาง…ประธานกรรมการแบรนด์เพชรอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Diamond
crown
ร่างที่โดดเด่นจนเห็นแค่เงาก็ยังจำได้นั่งไขว้ห้างเท้าคางมองการประมูลเหมือนไม่ใส่ใจอยู่บนเก้าอี้
VVIP
เพชรชิ้นนี้เป็นชิ้นสุดท้ายของงานแล้ว
สร้อยพระกรของพระนางเจ้ามารี
อองตัวเนต…
"นายครับ ท่านริโอกับภริยาออกจากห้องประมูลไปแล้วครับ"
เสียงของเลขาคนสนิททำให้คนที่กำลังรู้สึกเบื่อๆพอดีได้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย
"โอเค นายอยู่ทางนี้ก็แล้วกันอาเธอร์ จำไว้ว่าผมต้องได้สร้อยข้อมือเส้นนี้"
ใบหน้าภายใต้หน้ากากขนนกสีดำพะยักพะเยิดไปที่สร้อยเพชรที่กำลังถูกประมูลอยู่
ทางนี้ดูท่าทางจะอีกนานกว่าจะเคาะได้ เขาจำเป็นต้องไปจัดการธุระสำคัญก่อน
"ครับ" อาเธอร์ตอบรับอย่างรู้หน้าที่
เขารู้ดีว่ายังไงวันนี้สร้อยข้อมือนั่นมันก็ต้องกลับญี่ปุ่นไปพร้อมกับพวกเขาตั้งแต่ที่ได้ยินนายพูดเมื่อคืนแล้วว่า
คุณหนูเฟยเฟยอยากเห็น
ร่างที่หล่อเหลาตั้งแต่หัวจรดเท้าก้าวออกจากห้องประมูลพร้อมด้วยบอร์ดี้การ์ดจำนวนหนึ่ง
บริกรผายมือนำทางเขาทันทีเพราะการพูดคุยในครั้งนี้ได้มีการนัดหมายอย่างลับๆล่วงหน้ามาก่อนแล้ว
แอ๊ด….
ประตูไม้สีทองที่สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจงถูกเปิดออก
แขกระดับ VIP
ขึ้นไปจะมีห้องพักส่วนตัวไว้ให้
และตอนนี้เขาก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีวัยใกล้จะเกษียณคู่หนึ่ง
มือใหญ่ยกขึ้นมาถอดหน้ากากออกช้าๆ
ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้นั้นถึงจะเย็นชาทว่าก็หล่อมากจนคุณสุภาพสตรีถึงกับยกมือปิดปากดวงตาเป็นประกาย
“ประธานหวัง~ เจอกันทีไรก็ยังหล่อจนใจเต้นทุกทีเลย
มาได้ยังไงคะเนี่ย? เชิญค่ะๆ” เขาโค้งให้ผู้เป็นสามีของเธออย่างมีมารยาท สงสัยท่านอธิบดีกรมตำรวจจะไม่ได้บอกภรรยาว่าเขาจะมาหา
"ทำไมออกจากห้องประมูลมาก่อนล่ะครับ? งานยังไม่จบเลย"
เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเธอด้วยการถามเรื่องสัพเพเหระกลับ
ร่างสง่านั่งลงไปบนโซฟาหลุยส์สีทองอร่ามตามคำเชิญ
"ก็มีข่าวกระซิบมาว่าหวังอี้หยางอยากได้สร้อยข้อมือเส้นนั้นไง
ถ้าลงว่าคุณอยากได้ พวกฉันอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก จริงไหม? อะไรที่เธออยากได้ เธอเคยพลาดเสียที่ไหน" หญิงสาวหันมายิ้มให้ขณะหันไปสั่งบริกรยกเครื่องดื่มมาต้อนรับเขา
"ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ
ถึงผมจะปล่อยสร้อยข้อมือเส้นนั้นให้ท่านกับมาดามไม่ได้ แต่ผมก็มีอย่างอื่นมาให้แทนครับ"
ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มน้อยๆ
แล้วในขณะที่หญิงสาวเริ่มเอียงคออย่างสนใจ
ผู้เป็นสามีก็กระแอมหนึ่งทีก่อนจะพูดออกมา
“คุณ เข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนไป ผมมีเรื่องต้องคุยกับอี้หยาง”
“เอ๋~” ถึงจะดูอยากรู้อยากเห็นแต่หญิงสาวก็ต้านแรงดันหลังจากผู้เป็นสามีไม่ไหว
จำต้องเดินเข้าห้องที่อยู่ข้างๆกันไป
และพอไม่มีสุภาพสตรีท่านนั้นอยู่ด้วย
บรรยากาศภายในห้องก็จริงจังขึ้นมาทันที
ชายผมสีดอกเลาที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขานี้เป็นอธิบดีกรมตำรวจสากลของละตินอเมริกาที่ดูแลเรื่องการปราบปรามยาเสพติดข้ามชาติโดยเฉพาะ
พูดมาขนาดนี้ก็คงรู้แล้วสินะว่าเขามาหาอีกฝ่ายทำไม
อันที่จริงงานประมูลเพชรแบบนี้เขาไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองก็ได้
แต่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะมา เขาจึงมารอพบ
เพราะพวกเขาทั้งคู่ดูจะไม่ใช่คนที่น่าจะบังเอิญเจอกันตามร้านกาแฟได้
เขาถูกแก๊งค้ายาจับตาดูอยู่ การจะขอเข้าพบอีกฝ่ายในที่ทำงานหรือสถานที่อื่นก็มีแต่จะทำให้พวกนั้นรู้ตัวก่อนพอดี
แต่ถ้าเป็นงานประมูลเพชรแบบนี้
ความน่าสงสัยก็จะหมดไป และระบบรักษาความลับและความปลอดภัยของแขก VVIP ในงานประมูลก็เชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
“คุณปู่สบายดีไหม? ไม่ได้ไปพบท่านเสียนาน”
ชายสูงวัยเริ่มทักทายเขาก่อน
ที่เขาได้รับความเอ็นดูขนาดนี้ก็เพราะอีกฝ่ายรู้จักกับคุณปู่มาก่อน
“สบายดีครับ ยังแข็งแรงมากอยู่เลย” ถ้าเทียบกับคนอายุเท่าๆกันที่นั่งวีลแชร์กันหมดแล้ว
คุณปู่เขาที่ยังวิ่งไล่เจ้าลูกกระต่ายได้นี่ก็นับว่าแข็งแรงเกินมนุษย์มนาไปไกลแล้ว
“เห็นว่าไม่ค่อยอยู่ที่จีนแล้วสินะ?”
“ครับ หนีผู้คนไปอยู่กับหลานรักท่านที่อิตาลี” เขาอมยิ้มขณะที่นึกถึงเจ้าตัววุ่นวายกับคุณปู่ ปีหนึ่งๆคุณปู่จะได้อยู่ที่ปักกิ่งแค่ไม่กี่เดือน
นอกนั้นต้องไปอยู่เป็นเพื่อนอาเฟยที่มาราเนลโล่เพราะตั้งแต่อี้คุนเป็นนักขับเอฟวันเต็มตัวก็จะมีเวลาอยู่กับเจ้าตัวดีน้อยลง
แล้วคุณปู่น่ะถึงจะดูนิ่งๆดุๆแบบนั้นแต่กลับตามใจอาเฟยมาก
เจ้าลูกกระต่ายก็ขี้อ้อนด้วย คุณปู่เลยใจอ่อนทุกที
“ดีแล้วละ ให้ท่านได้พักบ้าง อยู่ปักกิ่งก็คงมีแต่คนนู้นคนนี้แวะเวียนไปหา
ว่าแต่อยากเจอฉันมีอะไรล่ะ?” อีกฝ่ายเริ่มเข้าเรื่อง
เขาจึงล้วงรูปปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูท
“ก่อนจะพูดอะไรผมอยากให้ท่านดูรูปพวกนี้ก่อนครับ” รูปถูกวางลงไปบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา
อีกฝ่ายมองหน้าเขาทีหนึ่งก่อนจะหยิบรูปขึ้นไปดู
ดวงตาของท่านอธิบดีเบิกกว้างอย่างเข้าใจทันทีว่าเรื่องที่เขากำลังทำอยู่คืออะไร
หลังจากตะลึงตะลานกับข้อมูลที่เขาหามาได้อีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างชอบใจ
"ท่าน…สนใจจะร่วมวงด้วยไหมครับ?"
เสียงทุ้มเอ่ยหยั่งเชิง อีกฝ่ายยังดูรูปพวกนั้นไม่หยุด
"ถ้าท่านตอบตกลง…ผลงานชิ้นนี้จะเป็นของท่านครับ"
ดวงตาที่มองรูปอยู่ตวัดขึ้นมามองเขา
อีกฝ่ายนิ่งคิดไปหลายวินาทีก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
"ใครเป็นศัตรูกับเธอนี่หมดอนาคตแล้วจริงๆ อี้หยาง"
รูปถูกโยนลงไปบนโต๊ะก่อนที่อีกฝ่ายจะยกยิ้ม
"เอาสิ ฉันร่วมวงด้วย
เธอเองก็คงตรวจสอบทางฉันมาอย่างดีแล้วสินะถึงได้กล้าเอาข้อเสนอนี้มาเสนอฉัน"
เป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอก
เขาไม่ได้จะขอความร่วมมือเฉพาะตำรวจในประเทศละตินอเมริกา
แต่ทุกประเทศที่เส้นทางค้ายาของพวกมันพาดผ่าน เขาจะเล่นงานให้หมด
เพราะงั้นเขาจึงต้องตรวจสอบคนที่เขาจะขอความร่วมมือก่อน
ว่าไม่มีเอี่ยวกับแก๊งค้ายานั่นแน่ใช่ไหม จะปล่อยให้ใครมาแว้งกัดเขาทีหลังไม่ได้
"ท่านจะไม่หักหลังผมแน่ ก็อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ ใครที่เป็นศัตรูกับผม
มันก็ไม่มีอนาคตแล้ว" เขายิ้มเย็นๆแต่อีกฝ่ายกลับส่ายหัวอย่างชอบใจ
"ถ้าฉันมีลูกสาว ฉันจะไม่ยกให้คนอย่างเธอแน่ ฮ่าๆๆ"
"ว่าแต่ไปได้รูปพวกนี้มาได้ยังไง หน่วยปราบปรามยาเสพติดสากลยังสืบมาไม่ได้เลย?"
ชายสูงวัยเอ่ยถามเขา
เขาเชื่อใจอีกฝ่ายได้ถึงได้ยอมเผยความลับออกไป
เพราะที่มาของข้อมูลก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมช่วยเหลือเขา
"Diamond
crown มีองค์กรที่เรียกสั้นๆว่าหมาล่าเนื้ออยู่ครับ
ปกติแล้วจะเอาไว้คอยดมกลิ่นคนที่ยักยอกเพชรของผม แต่กรณีนี้เป็นกรณีพิเศษ อีกอย่าง
หน่วยปราบปรามยาเสพติดก็มีคดีให้ทำเป็นร้อยเป็นพัน
จะสู้ฝูงหมาล่าเนื้อของผมที่ออกล่าแค่แก๊งนี้แก๊งเดียวได้ยังไงกันล่ะครับ"
แต่ถึงจะสืบเรื่องของพวกมันได้
เขาก็ไม่มีอำนาจอะไรไปบุกทลายมัน เขาจึงจำเป็นต้องพึ่งตำรวจในท้ายที่สุด
“ถ้าอย่างงั้นฉันก็คงเชื่อข้อมูลของเธอได้
เธอไม่เคยปล่อยคนที่ยักยอกเพชรของเธอหลุดมือไปสักคน” เขายิ้มรับคำชมนั้น
“ครั้งนี้…ที่ผมจะเล่นงานพวกมันก็เพราะมันคิดจะแตะต้องเพชรของผมเช่นกันครับ”
ไม่ใช่เพชรที่เหมืองฮาเอล แต่เป็นเพชรแห่งหัวใจที่เขาหวงยิ่งกว่าเพชรเม็ดไหนๆ
ถ้าพวกมันไม่แอบถ่ายรูปเขากับเจ้าลูกกระต่าย
ถ้าพวกมันไม่คิดจะดึงหวังเฟยเฟยเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้
ก็อย่างที่บอกแหละ
เขาชอบใช้สันติวิธีมากกว่า
เขาบอกลาท่านอธิการบดีหลังจากการเจรจาลุล่วงไปด้วยดี ที่งานประมูลก็เสร็จสิ้นทุกรายการแล้วเช่นกัน
แน่นอนว่าสร้อยพระกรของพระนางมารี
อองตัวเนตก็ตกเป็นของหวังอี้หยางเรียบร้อยเช่นกัน
เครื่องบินส่วนตัวบินตรงจากสวิตเซอร์แลนด์มายังญี่ปุ่น
นายใหญ่ของ
Diamond
crown ที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่เหนือน่านฟ้าประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่เสียงติ๊งๆที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือก็ทำให้ดวงตาคมกล้าต้องเหลือบมามอง
เป็นข้อความจากบอร์ดี้การ์ดที่เขาให้อยู่เฝ้าเฟยเฟย?
มือใหญ่วางเอกสารลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดู
อุตส่าห์อยู่รอดมาจนจะหมดวันได้นี่ก็นับว่าเก่งมากแล้วเจ้าลูกกระต่ายเอ๋ย
ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าการ์ดน่าจะรายงานเรื่องบางอย่างที่เจ้าตัววุ่นวายไปก่อไว้แน่ๆ
แล้วรูปที่ปรากฎบนหน้าจอก็ทำให้เขาเลิกคิ้ว…มันเป็นรูปถ่ายที่เฟยเฟยเดินอยู่ในตรอกที่เต็มไปด้วยร้านกินดื่มหรือร้านเหล้า
เขาจึงกดส่งข้อความถามการ์ดทันที
"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเฟยเฟยถึงไปที่แบบนั้น?"
"ดูเหมือนที่บริษัทจะมีกินเลี้ยงกันครับ
แล้วคุณหนูน่าจะโดนลากมาโดยไม่รู้ว่าเป็นร้านแบบไหน" การ์ดพิมพ์ตอบกลับมา เขาถึงกับถอนหายใจ
"งั้นก็คอยดูไว้ให้ดี ผมจะรีบกลับไป"
"ครับนาย"
เขาทอดมองไปที่นอกหน้าต่างพลางใช้ความคิด
อาเฟยคออ่อนมาก ดื่มแก้วเดียวก็เมาพับได้แล้ว แต่เขาเองก็ไม่ใช่สายจิกเสียด้วยสิ
จะให้โทรไปจ้ำจี้จ้ำไชว่าห้ามดื่มก็ไม่ใช่สไตล์เขาเสียด้วย
แต่ไม่ต้องห่วง
ถึงจะไม่ใช่สไตล์เขาแต่เขารู้ดีว่ามันเป็นสไตล์ใคร
รูปจึงถูกแชร์ไปที่แชทของหวังอี้คุนทันที
ไม่ทันข้ามนาทีก็มีข้อความจากเจ้าลูกสิงโตอย่างที่คิดไม่ผิด
"พี่! ทำไมเจ้าลูกกระต่ายถึงไปอยู่ในที่แบบนั้น?!" แล้วเขาก็ก๊อปปี้คำพูดของการ์ดให้หวังอี้คุนอีกรอบ
"หนอย…เจ้าลูกกระต่ายสามขวบนี่ เดี๋ยวผมจัดการเอง"
แล้วหวังอี้คุนก็เงียบหายไป…เขารับรองได้เลยว่าอาเฟยต้องได้รับข้อความ
"ห้ามดื่มเหล้านะเฟ้ย!" ทุกๆห้านาทีแน่ๆ
ตัดมาที่มุมเล็กๆมุมหนึ่งของมหานครโตเกียวอันกว้างใหญ่
เด็กฝึกงานผู้เป็นพระเอกของงานวันนี้…ก็ต้องมายืนอยู่หน้าร้านอิซากายะแห่งหนึ่งในย่านร้านกินดื่มจนได้…
คุโรทากะนั้นตั้งใจว่าจะมาพอเป็นพิธีเพื่อไม่ให้เสียมารยาทก่อนจะหาโอกาสชิ่งหนีกลับไปทำงานต่อ ใช่ เขาตั้งใจแบบนั้นมาตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว
แต่เจ้าคนที่ตั้งใจเสียดิบดีว่าจะไม่มานี่สิ
ไปทำอิท่าไหนถึงได้โดนหลอกมาได้ละเนี่ย?!
ใบหน้าคมคายทอดสายตามองหวังเฟยเฟยที่ยืนเหมือนหวาดกลัวอะไรสักอย่างอยู่ข้างๆเขา
ดวงตากลมโตคู่นั้นลอบมองเข้าไปในร้านกินดื่มที่มีมนุษย์เงินเดือนส่งเสียงดังโล้งเล้ง
ทั้งกลิ่นเหล้าทั้งควันบุหรี่ลอยคลุ้งจนเจ้าตัววุ่นวายต้องยู่หน้า…อย่าบอกนะว่าไม่เคยมาร้านแบบนี้?
หรือเด็กมหาลัยเมืองนอกเค้าไม่เที่ยวกลางคืนกัน?
เขาหรี่ตามองเจ้าคนที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดหลบอยู่ข้างหลังเขาพลางถอนหายใจ
หมอนี่โตมายังไงเนี่ย?
รถไฟก็ไม่เคยขึ้น ร้านเหล้าก็ไม่เคยเข้า? เขาชักจะเป็นห่วงขึ้นมาตะหงิดๆแล้วแหะ
ร่างสูงยาวเดินเข้าไปในร้านโดยมีหวังเฟยเฟยเดินตามมาติดๆ
เอาเถอะ เขาก็ไม่ได้รู้สึกแย่หรอกที่กลายเป็นที่พึ่ง ปล่อยให้อยู่คนเดียวเดี๋ยวโดนพวกรุ่นพี่มอมเหล้า
เขานี่แหละที่จะลำบาก
“อ้าว มาแล้วๆ นี่เด็กฝึกงานแผนกออกแบบของเรา~” คนที่ทักเป็นเสียงแรกก็คือหัวหน้าแผนกของเขานั่นเอง
“แนะนำตัวๆ” มีเสียงดังมาจากโต๊ะยาวข้างๆที่น่าจะเป็นคนจากแผนกอื่นเพราะเขาไม่คุ้นหน้า
ดูเหมือนว่าโต๊ะยาวด้านหน้าร้านเกือบทั้งหมดจะเป็นคนจากบริษัทเขาทั้งนั้น
“คุโระทากะครับ” เขาพูดออกไปด้วยเสียงราบเรียบ
“หวังเฟยเฟยครับ…” แล้วพอเจ้าตัววุ่นวายแนะนำตัวจบ
เขาก็ได้ยินเสียง “ว้าว” ดังมาจากหลายทิศทางอย่างที่คิดจริงๆ
“อะไรเนี่ย คนแผนกนายมีแต่แบบนี้รึไง? พูดเกินสามคำก็ได้ครับ~
เช่น มาจากไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ชอบนักร้องคนไหน มีแฟนรึยัง
อะไรงี้~” หลังจากฟังจบ
เขาก็ต้องซ่อนความเหนื่อยหน่ายไว้ในใบหน้าเรียบเฉย
เด็กฝึกงานใช่ว่าจะทำงานที่นี่ต่อกันทุกคนเสียหน่อย จะอยากรู้เรื่องของเขาไปทำไม
แต่ก็อย่างว่าแหละ
การสังสรรค์หลังเลิกงานซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เงินเดือนนั้นก็มีไว้คลายเครียด
มีไว้ปรับทุกข์จากงานอันหนักหน่วงในแต่ละวัน
หรือมีไว้ทำความรู้จักเป็นการส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานก็แล้วแต่
“....มาจาก ม.โตเกียวครับ” เขาเลยเลือกที่จะตอบกว้างๆแบบรักษาน้ำใจแต่ไม่ลงรายละเอียด
ก็คนที่อยากให้รู้จักเขาดันไม่มาซะนี่
“เอ่อ…” หวังเฟยเฟยหันมามองเขาอึกๆอักๆ
ก่อนจะทำตาม
“มาจาก…มาราเนลโล่ อิตาลีครับ” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เขาได้ยินเสียงว้าวมาแบบเซอร์ราวด์
เขาเองก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าเจ้ากระต่ายปีศาจนี่มาจากมาราเนลโล่…เดี๋ยวนะ มาราเนลโล่? เมืองของเฟอร์รารี่ไม่ใช่เหรอ?
“โห ถึงจะมีน้อยแต่เด็กฝึกงานแผนกนายนี่งานคุณภาพทั้งคู่เลยว่ะ”
ดูเหมือนคนที่คอยชงคำถามใส่พวกเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกเช่นกัน
คนคนนั้นถึงได้พูดคุยกับหัวหน้าแผนกของเขาอย่างเป็นกันเอง
“เธอสองคนไปนั่งเถอะ” หัวหน้าแผนกเขาพยักหน้าให้
เขาเลยมองหาที่นั่งแต่ก็ดูเหมือนจะเต็มเกือบหมด
เพราะจะว่าไปเขากับหวังเฟยเฟยก็ออกมาช้าสุด
เขาเดินผ่านโต๊ะต่างๆซึ่งส่วนใหญ่จะเหลือที่ว่างแค่ที่เดียว
แต่เขาก็แยกกันนั่งกับหวังเฟยเฟยไม่ได้ เพราะมือของหมอนั่นกำชายเสื้อเขาแน่นเลยน่ะสิ!
กำลังเลี้ยงลูกเล็กอยู่หรือไงกันนะเขาน่ะ…
“มานั่งด้วยกันตรงนี้สิ” เสียงสาวน้อยสาวใหญ่ชวนหวังเฟยเฟยให้นั่งด้วยดังตลอดทาง
แต่เจ้ากระต่ายปีศาจกลับทำตีมึนว่าไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นซะงั้นทั้งๆที่พอจะสื่อสารได้แล้ว
แต่เขาก็เข้าใจละนะ ก็โอเน่ซังพวกนั้นน่ากลัวพอๆกับจิ้งจอกเลยทีเดียว
พวกเขาเดินมาจนถึงโต๊ะสุดท้ายที่อยู่ในมุมมืดๆหน่อย
ตรงนี้เสียงเอะอะโวยวายร้องรำทำเพลงดังมาไม่ถึงเท่าไหร่
นับเป็นมุมที่ดีที่เขาจะแอบชิ่งกลับไปได้โดยไม่มีใครเห็น
แล้วก็พอเหมาะพอดีที่ดูเหมือนจะมีที่ว่างอยู่สองที่?
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งไหมครับ?” เขาเอ่ยถามผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นเพราะที่ว่างนั่นมีกระเป๋ากับเสื้อโค้ทวางไว้เหมือนมีใครจองที่
“.......ไม่มีค่ะ เชิญค่ะ” แล้วพอเงยหน้ามา
เขาถึงได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่มาถ่ายเอกสารและคนที่หวังเฟยเฟยเจอในห้องน้ำนั่นเอง
“ขอบคุณครับ” เธอหยิบกระเป๋าและเสื้อโค้ทออกให้
ดูเหมือนจะเป็นของเธอทั้งสองอย่าง? แต่เขาก็เพลียจนไม่อยากจะสนใจว่าเธอตั้งใจจองที่ไว้ให้ใครหรือเปล่า
เขาดึงหวังเฟยเฟยให้นั่งลงข้างๆก่อนจะหันไปสั่งพนักงานร้าน
“ขอเบียร์ด้วยครับ นายจะเอาด้วยไหม?” เขาหันไปถามเจ้าคนที่ยังมองในร้านเลิ่กลั่ก
“ชั้นไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์” เจ้าตัววุ่นวายหันมาตอบหน้านิ่วคิ้วขมวด
“หื๋อ? แพ้เหรอ?”
“เปล่า ถ้าโดนมอมขึ้นมาจะทำไงอ่ะ ที่นี่น่ากลัวจะตาย ใครเป็นใครก็ไม่รู้
เนี่ย แล้วถ้าปะป๊าหม่าม้ารู้ว่าชั้นมาที่แบบนี้ละก็ ต้องโดนดุแน่เลย นายดูสิ
พี่ชายฝาแฝดชั้นไลน์มาเช็คทุกๆห้านาทีเลยเนี่ยว่าชั้นไม่ได้ดื่มเหล้าใช่ไหม
ใครจะกล้ากินอีก แล้วก็ถ้ารู้ว่าใครเอาเหล้าให้ชั้นกินละก็
พี่ชายอีกคนต้องไม่ปล่อยคนคนนั้นไว้แน่ เวลาโมโหพี่อี้หยางน่ากลัวจะตาย อ่ะ
เอาเป๊บซี่แล้วกัน” ….กว่าจะสั่งได้เขาก็ต้องฟังหวังเฟยเฟยร่ายยาวถึงครอบครัวก่อนหนึ่งรอบ
แต่มันก็ทำเขาอึ้งน้อยๆ…หมอนี่มันคุณหนูชัดๆเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย?
“นี่มันไก่อะไรเนี่ย อร่อยจัง~” แล้วในขณะที่เขากำลังนั่งอึ้ง
หวังเฟยเฟยก็หยิบไก่ฉีกทอดเกลือในจานกับแกล้มแทะไปแล้วเรียบร้อยแถมหน้าตาเอนจอยสุดๆ
“.......”
ตกลงนายกำลังหวาดหวั่นอยู่รึเปล่านะ? เจ้ากระต่ายปีศาจ
“เอ่อ…เมื่อวาน…ขอบคุณมากนะคะที่ส่งทิชชูมาให้”
เสียงทักเบาหวิวดังมาจากฝั่งที่หญิงสาวนั่ง
ดูเหมือนจะขอบคุณหวังเฟยเฟย
“อ่ะ ฉันชื่ออาซานะ อยู่แผนกธุรการ…เราเจอกันที่ห้องน้ำเมื่อวาน
จำได้ไหมคะ?” เขารับเบียร์มาดื่มพลางแอบเงี่ยหูฟัง
เธอดูไม่เหมือนจิ้งจอกสาวพวกนั้นคงไม่เป็นไรมั้ง แล้วที่แอบมองตอนถ่ายเอกสาร
บางทีเธออาจจะแค่อยากขอบคุณเหมือนตอนนี้
“.......ครับ ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณหรอก ผมเองต่างหากที่เข้าผิดห้อง”
“คุณเป็นคนดีจริงๆ…” หญิงสาวก้มหน้าดูอมทุกข์ดูไม่มีความสุขทั้งๆที่อยู่ในบรรยากาศสนุกสนานขนาดนี้แต่รอบๆตัวเธอกลับดูหนักอึ้ง
คงไม่ได้เป็นวิธีการใหม่ที่ใช้จีบหวังเฟยเฟยหรอกนะ? ทำให้ดูน่าสงสาร
ทำให้ดูน่าเห็นใจเพื่อจะได้เข้าหา
ติ๊ง!
แล้วเสียงไลน์ที่ดังทุกๆห้านาทีก็ขัดทุกจังหวะจริงๆ!
“แหะแหะ…” หวังเฟยเฟยหัวเราะแหะๆในขณะที่หญิงสาวที่อุตส่าห์บิ๊วท์มาถึงนี่ทำได้แค่นั่งอึ้งมองหวังเฟยเฟยเปิดโทรศัพท์ดู
“แฟน…เหรอคะ?”
“ครับ” เมื่อกี้ยังบอกพี่ชายฝาแฝดอยู่เลยไม่ใช่เร๊อะ
แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังรู้จักป้องกันตัวใช้พี่ชายเป็นไม้กันหมาไปอีก
“เค้าส่งข้อความมาบอกว่าถึงสนามบินนาริตะแล้ว กำลังจะกลับ เดี๋ยวมารับ
ซื้อช็อกโกแลตจากสวิตมาฝากด้วย” หวังเฟยเฟยอ่านข้อความไปอมยิ้มไป
นี่เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันเนียนเกินกว่าที่จะเป็นแค่การแสดง
หน้าตาเหมือนอ่านข้อความจากแฟนจริงๆไม่มีผิด
แว่บหนึ่งเขาเห็นว่าหญิงสาวมีสีหน้าผิดหวัง
มือเรียวหันไปหยิบแก้วเบียร์ของตัวเองขึ้นดื่มอึกๆแล้วไม่พูดอะไรอีก
มีแค่เสียงหวังเฟยเฟยที่ชอบอกชอบใจกับกับแกล้มที่ร้านยกมาเสริฟให้
เจ้ากระต่ายปีศาจถามเขาอย่างสนอกสนใจว่ากับแกล้มพวกนั้นมันคืออะไรบ้าง
นอกนั้นก็ถ่ายรูป ส่งไลน์ให้ใครสักคน แล้วก็เสียงติ๊งๆที่ดังอยู่ตลอด
ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ยังนั่งดื่มคนเดียวแก้วแล้วแก้วเล่า
ดื่มเหมือนกับจะรีบเมายังไงอย่างงั้น
เวลาผ่านไปพอสมควร
เสียงรอบตัวเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆตามปริมาณแอลกอฮอล์ที่สะสมอยู่ในร่างกาย
ส่วนที่โต๊ะเขา หวังเฟยเฟยก็ซัดกับแกล้มไปจนอิ่มแปร้เหลือแต่จานเปล่าๆ
เขาจึงเหลือบมองนาฬิกา ดูเหมือนได้เวลาที่เขาจะชิ่งแล้ว
“เดี๋ยวฉันกลับไปที่ออฟฟิศก่อน คืนนี้น่าจะถึงขีดจำกัดแล้ว
ปล่อยรุ่นพี่ชิโรยูกิไว้คนเดียวไม่ได้ นายเองก็หาจังหวะแล้วชิ่งกลับบ้านไปซะ
เข้าใจนะ” เขาหันไปกระซิบกระซาบกับหวังเฟยเฟยที่พยักหน้าหงึกหงัก
ก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นมา
เขาเหลือบไปมองอาซานะซังด้วยสายตาเป็นห่วงเพราะหญิงสาวดื่มเบียร์เข้าไปจนเริ่มจะนั่งโงนเงนแล้ว
เพื่อนในแผนกก็ไม่มีหรือไงนะถึงมานั่งอยู่คนเดียว
แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะมาห่วงคนอื่นแล้วจึงตบหลังหวังเฟยเฟยเบาๆเป็นเชิงบอกลาแล้วรีบออกจากร้านไป
คุโรทากะกลับไปแล้ว…
แต่หวังเฟยเฟยกลับไม่เคยต้องนั่งหงอยเหงาอยู่คนเดียวเพราะไม่นานก็มีบรรดารุ่นพี่ทั้งในแผนกเดียวกันทั้งคนละแผนกต่างแวะเวียนมาชวนดื่มดีๆบ้าง
คะยั้นคะยอให้ดื่มบ้าง มาชวนเล่นเกมบ้าง เอากับแกล้มมาให้บ้าง
มาชวนคุยนู่นนี่นั่นบ้าง
เพราะงั้นจากที่กะว่าจะหาทางชิ่งตามคุโรทากะไปกลับหาช่องไม่ได้เลยเสียนี่!
“ทำไมไม่ดื่มล่า~ ดื่มหน่อยน้า~ หมดแก้วนี้แล้วจะไม่มาวอแวอีกเล้ย~” รุ่นพี่สาวเมาแอ๋มาจากแผนกพัฒนาระบบราง
ดูเหมือนโอเน่ซังกลุ่มนั้นจะพนันกันว่าใครจะชวนเขาดื่มได้ก่อนกัน
ใบหน้ามนจึงได้แต่ยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้แล้วปฏิเสธแบบนุ่มนวลไป
ถึงอี้คุนจะไม่ได้ส่งข้อความมาทุกๆห้านาที
เขาก็ไม่คิดจะดื่มเหล้ากับคนที่เขาไม่สนิทด้วยอยู่แล้ว เรื่องระวังตัว เขาเนี่ยที่หนึ่งในบ้านละ
เห็นแบบนี้เขาก็รู้อยู่หรอกว่าตัวเองเป็นใคร
รูปร่างหน้าตาน่าล่อลวงขนาดไหน โดนอุ้มโดนหิ้วโดนสตอล์คมาตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้บ้านเขายังมีผลประโยชน์นับไม่ถ้วนที่คนอื่นอยากจะเข้ามาตักตวง
ตั้งแต่เด็กจนโตมาป่านนี้ก็ถูกเข้าหามาสารพัดวิธีแล้ว
เพราะงั้นที่บ้านเขาจึงสอนให้รับมือกับผู้คนเหล่านี้ด้วยสติ
ถ้าดื่มเหล้าเขาก็จะเมา
ถ้าเมาเขาก็จะขาดสติ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าไม่ควรจะดื่ม
แต่ถึงตัวเขาจะไม่เมา
ก็ใช่ว่าคนอื่นจะเมาไม่ได้!
ดวงตากลมโตเหลือบมองหญิงสาวที่เจอกันในห้องน้ำซึ่งเมาหลับฟุบคาโต๊ะไปแล้ว…เอาแล้วไง…ดันมานั่งอยู่ข้างๆกันเสียด้วย ทำไงดีเนี่ย?
ใบหน้ามนก้มมองอีกฝ่ายซ้ายทีขวาทีแต่หญิงสาวก็ไม่มีวี่แววจะฟื้นขึ้นมาเลย
ดูเหมือนจะดื่มเข้าไปเยอะมากเสียด้วย
ไม่รู้มีเรื่องกลุ้มใจอะไรดื่มเหมือนอยากให้เมางั้นแหละ
เขาพยายามมองหาเพื่อนๆในแผนกธุรการแต่ก็ไม่มีใครสนใจเลย
คนอื่นๆก็เริ่มเมาได้ที่กันแล้วเสียด้วย
“ไปต่อร้านสองกัน!” เสียงใครสักคนตะโกนขึ้นมาจนเขาสะดุ้ง
ห๋า? ยังจะไปต่อที่อื่นกันอีกเหรอ? ริมฝีปากสีสดถึงกับอ้าค้าง
“ไป~” แต่ที่น่าตกใจคือเสียงลูกคู่รับกันทั้งร้านนี่แหละ
เมาขนาดนี้แล้วกลับบ้านนอนดีกว่าไหม~
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” เขาบอกออกไปตามตรง
รุ่นพี่ต่างร้องเอ๋~อย่างเสียดาย แต่ก็ทำไงได้
ขืนไปต่อหม่าม้าคงได้ถือก้านมะยมรอแน่ๆ อีกอย่างเขาก็อิ่มแล้วด้วย
ถึงจะเหม็นบุหรี่เหม็นเหล้าและเสียงดังไปหน่อย
แต่อาหารในร้านอิซากายะก็อร่อยมว๊ากกกก วันหลังต้องชวนพี่อี้หยางมากินบ้างแล้ว
ดวงตากระต่ายเจ้าเล่ห์หาคนเลี้ยงข้าวเหลือบมองจานว่างเปล่าที่เคยมีโอเด้ง
ไข่ดองมิโซะ ไก่ทอดซอสทาบาสโก ผักรวมชุบแป้งทอด ยากิโทริ ซาชิมิรวมมิตร
สึกุเนะราดซอสเทริยากิ ปลาย่างเกลือ ไก่ทอดคาราอาเกะ ปลาหมึกดองวาซาบิ ยากิโซบะ
ถั่วแระญี่ปุ่น พลางเลียริมฝีปาก
“ถ้างั้นใครไปก็ตามมา~” พวกรุ่นพี่ต่างเฮโลกันออกจากร้านไปตามสไตล์คนเมา
เขายืนมองตามพลางยิ้มแห้ง แต่ก็ยังดีที่หลุดออกมาได้
เขาเองก็เตรียมตัวกลับบ้านบ้างดีกว่า
แล้วในขณะที่หันไปหยิบกระเป๋า
อ้าว เอ๊ะ? แล้วพี่สาวห้องน้ำคนนี้ล่ะ?….
เขามองหญิงสาวที่ยังเมาพับอยู่ที่โต๊ะก่อนจะรีบหันไปมองหารุ่นพี่สักคนที่ยังเดินออกไปไม่หมด “รุ่นพี่ครับ! แล้วรุ่นพี่คนนี้ล่ะครับ?” นิ้วเรียวชี้ไปที่หญิงสาว
แต่รุ่นพี่ที่หน้าแดงกล่ำด้วยฤทธิ์เหล้ากลับตอบมาให้ผงะว่า
“ฝากด้วยแล้วกัน~ พาเธอไปส่งบ้านทีนะ
ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นอยู่แผนกไหนเนี่ย?” ประโยคสุดท้ายเหมือนกับพูดกับตัวเองเพราะนึกอะไรไม่ออก
คงอยากจะบอกที่อยู่ให้เขาละมั้ง
แต่ก็ยังไม่ทันได้ความอะไรรุ่นพี่คนนั้นก็ถูกรุ่นพี่คนอื่นลากคอไปก่อน
มีแต่เขาที่ยืนอ้าปากค้าง
มายัดเยียดคนเมาทั้งคนให้รุ่นน้องแบบนี้ก็ได้เหรอ~~ แล้วให้ไปส่งบ้านเนี่ยนะ?
รู้จักก็ไม่รู้จัก เพิ่งจะเคยคุยกันเมื่อกี้นี้เอง~~
ดูเหมือนพวกรุ่นพี่ที่ไม่ไปต่อคนอื่นๆก็รู้งานกันดีละเกิน
แต่ละคนหายตัวอย่างไวราวกับรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่คนสุดท้ายต้องคอยเก็บศพ
ก็คงจะมีแต่คนไม่เคยมาร้านเหล้าอย่างเขานี่แหละที่ยังยืนงงอยู่
ในที่สุดก็เหลือแค่เขากับพี่สาวห้องน้ำแค่สองคน….
แง๊~ แล้วทีนี้จะทำยังไงเนี่ย~
จะปล่อยให้นอนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้เสียด้วย
เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวแถมเมาไม่รู้เรื่องแบบนี้อีกอันตรายจะตาย
ปัดโธ่!
ตัวเองอุตส่าห์ไม่กินเหล้าไม่ให้โดนมอมเมา
แต่ก็ยังต้องมาถูกคนเมาลากกลับบ้านอย่างมึนงงแบบนี้อี๊ก~
ร่างโปร่งบางยืนทึ้งหัวตัวเองอยู่พักใหญ่
ก่อนที่ใบหน้ามนจะก้มมองหญิงสาวพลางถอนหายใจ… ช่วยไม่ได้แหะ
“รุ่นพี่ครับ รุ่นพี่ เอ่อ…อาซาโกะซัง? ตื่นก่อนครับ คนอื่นๆกลับบ้านกันหมดแล้วนะครับ” มือบางพยายามเขย่าหญิงสาวดูอีกครั้งเผื่อจะได้สติแต่เธอก็ยังนิ่ง…หรือเขาจะเรียกชื่อผิด? จำได้ว่าสามพยางค์ถูกแล้วนี่นา?
“อามามิซัง ตื่นเถอะครับ” เขาลองเรียกใหม่
มือบางเขย่าแรงขึ้นจนหัวสีดำเริ่มผงกขึ้นมาช้าๆ
“อือ” ถึงเธอจะยอมลืมตาทว่ามือไม้ที่วาดสะเปะสะปะไปมานั่นก็บ่งบอกให้รู้ว่าเธอยังเมาไม่ได้สติ
เฮ้อ…คงต้องพาไปส่งบ้านจริงๆ
“เดี๋ยวผมจะพาไปส่งที่บ้านก็แล้วกัน บ้านอยู่ไหนเนี่ย?” เขาถือวิสาสะหยิบกระเป๋าของเธอมาค้นดู
แล้วเขาก็เจอบิลค่าน้ำค่าไฟที่มีที่อยู่ของเธอเสียบอยู่แทบจะทันที
“..........”
ดวงตาคู่โตเหลือบมองหญิงสาวหลังจากที่นิ่งคิดไปหลายนาที
มือยังถือบิลค้างอยู่
เดี๋ยวก่อนนะ…
ตั้งแต่ต้น…หลายอย่างมันประจวบเหมาะเกินไปไหม?
ประสบการณ์และหัวสมองอันชาญฉลาดของเขาบ่งบอกว่านี่มันคือกับดัก
แต่ก็นั่นแหละ จะปล่อยผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง
จะกับดักหรืออะไรก็ไม่รู้แหละ
ถ้าไม่กลัวคนของพี่อี้หยางก็ลองดูแล้วกัน
จะไปส่งให้ก็ได้
แต่ไม่ใช่เขาไปแค่คนเดียว
ร่างโปร่งบางเดินออกมายืนหันไปหันมาเหมือนมองหาใครสักคนอยู่หน้าร้าน
เขาไม่ได้คิดจะเรียกแท็กซี่
เพราะเขารู้ดีว่าพี่อี้หยางไม่มีทางทิ้งเขาไว้ตามลำพังแน่ๆ
แล้วไม่นานบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาจริงๆ
เขาจำคนคนนี้ได้เพราะเป็นเหมือนมือขวาอีกคนของพี่อี้หยาง
เป็นคนที่พี่อี้หยางไว้ใจพอๆกับคุณอาเธอร์ ที่อี้คุนมีรูปเขาเดินอยู่ในย่านนี้ได้ก็คงเป็นการ์ดคนนี้ถ่ายส่งไปรายงานพี่อี้หยางสินะ?
แล้วอย่างพี่อี้หยางก็คงส่งต่อให้อี้คุนเป็นคนคอยตามจิกเขาแทนแน่ๆ
“ผมต้องไปส่งรุ่นพี่คนนึงครับ เธอเมามาก” เขาบอกชายร่างสูงใหญ่ที่ใส่สูทอย่างเนี้ยบ
"ครับ คุณหนูรอสักครู่นะครับ ผมจะให้คนเอารถมา" พี่อี้หยางให้บอร์ดี้การ์ดอยู่กับเขากี่คนกันแน่เนี่ย?
"ขอบคุณครับ" แล้วยืนรออยู่ไม่นานเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีการ์ดคอยเฝ้าเขาอยู่อย่างน้อยก็สามคนละ
และอาจจะมีอยู่ในหลืบในเงานั่นอีกก็ได้…
บอร์ดี้การ์ดเป็นคนเข้าไปพยุงพี่สาวห้องน้ำออกมา
เขาพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวเธอให้มากที่สุด ไม่ว่าจะมีแผนการอะไรหรือไม่มี
ยังไงเขาก็ต้องระวังตัว
ย่านอิซากายะยิ่งดึกยิ่งไม่น่าดู
รถของเขาแล่นผ่านบรรดาคนเมาที่ยืนอ้วกกันอยู่ตามเสาไฟบ้าง
นอนกลิ้งอยู่ตามพื้นข้างถนนบ้าง นั่งหลับอยู่บนฟุตบาทบ้าง
ใบหน้ามนยู่หน้าในขณะที่มองภาพเหล่านั้น
แล้วน้ำหนักที่ซบลงมาบนไหล่ก็ทำให้เขาต้องละสายตาจากนอกหน้าต่างรถมามอง
เส้นผมสีดำยาวของพี่สาวห้องน้ำอยู่ใกล้แค่คืบ
ขนทั้งแขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างหวาดผวา
เขาค่อยๆใช้มือดันหัวอีกฝ่ายให้เอนไปซบบอร์ดี้การ์ดที่นั่งอยู่อีกข้างแทน
แต่จนแล้วจนรอดหัวสีดำนั่นก็ยังพยายาม? จะกลับมาซบไหล่เขาให้ได้?
“.......”
เขารู้สึกแปลกๆตั้งแต่ที่อีกฝ่ายดื่มเอาๆอย่างกับตั้งใจเมานั่นแล้ว
ไม่สิ มันแปลกมาตั้งแต่ทำเหมือนจองที่ไว้ให้ใครแต่กลับยกให้เขานั่งง่ายๆนั่นแล้ว?
“ช่วยจอดรถด้วยครับ” เขาเอ่ยสั่งก่อนที่คนขับรถจะเลี้ยวเข้าเข้าทางทันที
“คุณเปลี่ยนที่กับผมหน่อย ผมขอย้ายไปนั่งข้างหน้าแล้วกัน”
ร่างโปร่งบางก้าวลงจากรถจนหัวที่เอนซบไหลลงมาจนดึงกลับแทบไม่ทัน
เขาเปลี่ยนที่นั่งกับบอร์ดี้การ์ดอีกคนที่อยู่ข้างหน้า
ทีนี้อยากซบไหล่ซ้ายหรือขวาก็ตามสบาย
ดวงตากลมโตทอดมองวิวที่เต็มไปด้วยแสงไฟของโตเกียวเมืองใหญ่
รู้งี้ไม่มากินเลี้ยงเสียก็ดีหรอก ไม่เห็นจะได้เรื่องที่อยากรู้ซักอย่างเลย ฮึ่ย!
“หลักการใช้งานของรถไฟงั้นเหรอ?” เขาถามรุ่นพี่ทีมAคนหนึ่งถึงเรื่องที่ไม่เข้าใจ
“ได้สิ ถ้าไปกินเลี้ยงแล้วจะบอกให้นะ”
ก็นั่นแหละ…ถึงได้โดนหลอกมาเพราะอย่างงั้นแหละ!!!
ฟันกระต่ายบ่นขมุบขมิบอยู่ในปาก
แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนไม่ถูกใจอะไรสักอย่างของคุณหนูหวังเฟยเฟยกลับทำให้บอร์ดี้การ์ดที่นั่งอยู่หลังรถลอบยิ้มอย่างเอ็นดู
แต่ก็ยังดีที่ความทันคนของคุณหนูทำให้งานของพวกเขาเบาลงมาก
ความขี้กลัวขี้ระแวงก็ทำให้ร่างบางเอาตัวไปเสี่ยงน้อยลง ดูอย่างตอนนี้สิ
คุณหนูไม่แม้แต่จะแตะตัวผู้หญิงคนนี้ด้วยซ้ำ
รถจอดลงที่หน้าอพาทเม้นต์ห้องเช่าเก่าๆที่มีเพียงสองชั้นหลังหนึ่ง
ถึงแม้ร่างโปร่งบางจะลงมายืนดูความเรียบร้อยอยู่ข้างๆรถด้วย
แต่กลับให้บอร์ดี้การ์ดมาช่วยพยุงหญิงสาวขึ้นไปที่ห้องแทน
"บ้าจริง แล้วจะถ่ายรูปตอนพาเข้าห้องได้ยังไงวะ? แล้วเจ้ากอลิล่านั่นเป็นใครเนี่ย?
ชิ" เสียงจิ๊ปากดังมาจากคนที่ซุ่มรออยู่ในพุ่มไม้ใกล้ๆห้องเช่า
กล้องมือถือพยายามซูมแล้วซูมอีกจนภาพเบลอแต่เป้าหมายที่น่าจะเป็นหวังเฟยเฟยกลับยืนห่างออกไปเป็นโยชน์
ชายที่มีท่าทางกร่างๆเหมือนพวกอันธพาลสบถกับรูปในหน้าจอมือถือที่ไม่ได้ดั่งใจ
แต่แล้วจู่ๆภาพในจอก็มืดไปเหมือนมีอะไรมาบังกล้อง?
"คิดจะถ่ายรูปอะไรงั้นรึ?" เสียงทุ้มถามออกมาแต่ยังไม่ทันที่เจ้าของมือถือจะได้เงยหน้ามอง
แขนอีกข้างก็ถูกบิดไพล่หลังจนเสียงดัง กร๊อบ
"โอ๊ยๆๆ!" แล้วด้วยความตกใจมือจึงปล่อยโทรศัพท์ให้คนที่คว้าไปง่ายๆ
ร่างผอมกะหร่องถูกหิ้วออกไปโดยคุณเลขาควบหน้าที่บอร์ดี้การ์ดร่างสูงใหญ่
ใบหน้ามนของหวังเฟยเฟยหันไปตามเสียงร้องเอะอะโวยวายทันที
ก่อนจะเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าจะได้เจออีกฝ่ายในที่แบบนี้
"พี่อี้หยาง?!" นายใหญ่ของ Diamond
crown เดินดูรูปในโทรศัพท์เครื่องนั้นไปพลางกดอะไรในมือถือนั่นไปพลาง
ส่วนคุณอาเธอร์ก็กำลังหิ้วปีกใครสักคนที่เขาไม่รู้จักออกมาจากพุ่มไม้
"มาได้ยังไงครับ?" ใบหน้ามนยิ้มให้คนที่ไม่อยู่มาทั้งวันด้วยดวงตาเป็นประกาย
มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบหัวลูกกระต่ายด้วยความอ่อนโยนผิดกับที่ทำกับชายแปลกหน้าคนนั้นลิบลับ
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยังดังอยู่ข้างหลังไม่ขาด
"ตรงมาจากสนามบินแล้วก็ตามรถนายมาตลอดนั่นแหละ หมอนี่คิดจะถ่ายรูปแบล็กเมล์นายกับผู้หญิงคนนั้น"
มือใหญ่ยื่นหน้าจอโทรศัพท์ที่มีรูปพยายามจะแอบถ่ายให้เฟยเฟยดู
หมอนี่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับแก๊งค้ายาเม็กซิโกที่กำลังมีปัญหากับเขา
แต่น่าจะเป็นอันธพาลชั้นปลายแถวที่บังเอิญมาเจอเฟยเฟยมากกว่า
ดูจากการที่ไม่ใช่มือโปร ใช้แค่กล้องจากโทรศัพท์มือถือถ่ายได้แค่ภาพแตกๆ
อีกทั้งยังซ่อนตัวอย่างกับกลัวว่าเขาจะหาไม่เจอ
ขนาดนั่งอยู่ในรถเขายังรู้เลยว่ามีคนหลบอยู่ตรงนี้
"......"
ดวงตาคู่โตมองภาพพวกนั้น อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
ดีที่เขาระวังตัว รูปพวกนี้จึงไม่มีเขาอยู่ในเฟรมเดียวกับหญิงสาวเลยสักนิด
"ชินจิ!!" แล้วเสียงตะโกนจากหน้าห้องที่ระเบียงชั้นสองของพี่สาวห้องน้ำก็ทำให้เขารู้ว่าทั้งสองคนสมรู้ร่วมคิดกัน
ผู้หญิงคนนั้น…ไม่ได้เมาจริงๆด้วยสินะ? แต่แกล้งทำเป็นเมาแล้วหลอกพาเขามาถึงที่นี่เพื่อให้ผู้ชายคนนั้นถ่ายรูปเอาไว้แบล็กเมล์
นี่แสดงว่าคงเล็งเขาไว้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ…
หัวใจดวงน้อยถึงกับรู้สึกหดหู่
รู้สึกสิ้นหวังและยิ่งไม่ไว้ใจคนอื่นหนักกว่าเก่า
"ชะ ชั้นไม่รู้ว่านายข้องเกี่ยวกับพวกยากูซ่า…หรือมาเฟีย?ด้วย ชั้นขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” พี่สาวห้องน้ำวิ่งถลาลงมาจากชั้นสองก่อนจะพยายามเข้ามาขอร้องเขาแต่เขาก็เบี่ยงตัวหลบ
“ผมไม่ใช่ทั้งยากูซ่าหรือมาเฟียอะไรนั่นหรอก ผมเป็นแค่นักธุรกิจครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยออกไป
แต่มันคงเชื่อได้ยากหากดูจากบอร์ดี้การ์ดในสูทสีดำที่ยืนล้อมพวกเขาไว้
“ขอร้องล่ะ อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลยนะคะ พวกเราไม่มีทางเลือกจริงๆ
ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ จะให้ทำอะไรก็ยอม ขอแค่อย่าแจ้งตำรวจเลยนะคะ"
พี่สาวห้องน้ำวิ่งล้มลุกคลุกคลานมาคุกเข่าขอร้องพี่อี้หยาง
แต่ดวงตาเย็นชาคู่นั้นก็เพียงมองเหยียดลงไป
"ตำรวจ?" เสียงทุ้มเอ่ยออกมาราวกับเป็นเรื่องน่าขบขัน
หวังเฟยเฟยที่ยืนมองอยู่รู้ดีว่าสองคนนี้จะต้องโดนหนักแน่ๆแต่เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปห้าม
"คิดว่ามายุ่งกับคนของหวังอี้หยางแล้วเรื่องจะจบลงง่ายๆที่ตำรวจงั้นเหรอครับ?"
ใบหน้าราวกับเทพแห่งความตายยื่นเข้าไปใกล้หญิงสาวที่พนมมือขอร้องน้ำหูน้ำตาไหลตัวสั่นงันงก
แต่เขาก็ไม่เคยเห็นพี่อี้หยางใจอ่อนกับน้ำตาของใครมาก่อน
“ฉันจำเป็นต้องทำจริงๆ ตั้งใจจะแค่เรียกเงินครั้งเดียวแค่นั้นจริงๆ ฮึก
พวกเราจะไม่ทำอีกแล้ว รูปก็จะลบทั้งหมด จริงๆนะ ขอร้องล่ะค่ะ ปล่อยพวกเราไปเถอะ”
หญิงสาวพยายามแก้ตัว
"เอาตัวไป" ร่างสูงสง่าเงยหน้าขึ้นมาสั่งแสนเรียบง่าย
บอร์ดี้การ์ดที่มาจากไหนไม่รู้อีกหลายคนก็ออกมาหิ้วตัวชายหญิงคู่นั้นไปทันที
“ขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรเราเลย!” หญิงสาวสะอึกสะอื้นพูดทั้งน้ำตา
"ปล่อยนะโว้ย" เสียงโวยวายของผู้ชายดังรบกวนชาวบ้านอยู่ไม่เท่าไหร่ก่อนจะเงียบหายไป
เขาได้แต่มองด้วยสายตาเฉยชาทว่าก็เห็นใจฝ่ายหญิงอยู่นิดหน่อย
ไม่แน่ว่าเธออาจจะไม่มีทางเลือกจริงๆอย่างที่บอกก็ได้
เขานึกไปถึงวันที่เจอกันในห้องน้ำ
เธอกำลังร้องไห้อยู่…
ลมเย็นๆพัดมาต้องใบหน้า
พวกเขายังไม่ได้กลับคอนโดแต่ยืนรับลมของอ่าวโตเกียวอยู่ที่สะพานทสึคิจิ
หมู่ตึกยามค่ำคืนของมหานครโตเกียวที่สะท้อนอยู่บนผืนน้ำทำให้จิตใจรู้สึกสงบถึงแม้จะผ่านเรื่องราวอันน่าระทึกมา
ดวงตาคู่โตมองเหม่อออกไปไกล ไม่มีคำพูดระหว่างพวกเขาสองคนมาพักใหญ่แล้ว
ในที่สุดหวังเฟยเฟยก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
"สองคนนั้น…จะเป็นไรไหมครับ? ยังไงก็ทำงานที่เดียวกัน
เฟยไม่อยากมีปัญหา"
"ไม่เป็นไรหรอก แค่สอบปากคำเฉยๆน่ะ" เสียงทุ้มตอบกลับมาทั้งๆที่ยังมองตรงไปข้างหน้า
"ยังดีที่นายไหวตัวทัน" เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมากกว่านี้
สองคนนั้นอาจจะได้ไปสอบปากคำกันในเซฟเฮ้าส์กลางทะเลทรายอาหรับ…
"เฟยเจอแบบนี้มาตั้งกี่ครั้งแล้ว" เสียงเรียบๆแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกหม่นหมองของอาเฟยทำให้เขารู้สึกเห็นใจและนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมหวังเฟยเฟยถึงไม่มีเพื่อนหรือใครที่ไว้ใจเลยนอกจากหวังอี้คุน
แล้วที่เจ้าลูกกระต่ายจัดการกับพวกสตอล์คเกอร์ได้ดีนั่นก็เพราะต้องเจอกับเรื่องแบบนี้อยู่ตลอด
และมันไม่สนุกเลย
เขาเองก็ทำได้แค่ส่งคนไปคอยเก็บกวาดไม่ให้พวกนั้นมาก่อเหตุซ้ำอีก
"เฮ้อ~ เฟยนึกว่ามาดื่มกับรุ่นพี่ที่ออฟฟิศแล้วจะได้รู้เรื่องงานออกแบบรถไฟมากขึ้นเสียอีก
แต่ทุกคนก็เอาแต่เมาอย่างเดียวเลย รู้งี้เฟยอยู่กับคุณชิโรยูกิเสียก็ดีหรอก"
แขนบางโหนราวกันตกเล่นพร้อมกับยู่หน้าอย่างเสียดายเวลา
"นายมีปัญหาอะไรหรือไง ถึงได้อยากถามจากพวกรุ่นพี่น่ะ?"
ใบหน้าหล่อเหลาหันมาคุยกับคนที่อยู่ข้างๆ
เจ้าลูกกระต่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะตอบออกมา
"ปัญหาของเฟยก็คือ เฟยไม่เคยขึ้นรถไฟชินคันเซ็นเนี่ยแหละ"
แบบนี้นี่เอง…ไวเท่าการตัดสินใจ
เสียงทุ้มเอ่ยออกไปอย่างไม่ลังเล
"ถ้างั้นก็ไปขึ้นกันไหมล่ะ?"
"เอ๊ะ? ตอนนี้น่ะเหรอ?" ใบหน้ามนหันมามองอย่างมึนงงเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว
"ใช่ ตอนนี้แหละ" มือใหญ่เอื้อมไปจับมือบางแล้วดึงให้ออกวิ่งตามทันที
“เอ๋?” ร่างโปร่งบางวิ่งตามร่างสูงสง่าไปอย่างยังจับตนชนปลายอะไรไม่ถูก
ตอนนี้รู้สึกแค่ลมจากอ่าวโตเกียวที่พัดมาปะทะร่างกายที่ออกวิ่งไป
กับแนวเสาโค้งสีขาวของสะพานยาวเหยียดในขณะวิ่งผ่าน กลางคืนที่ไร้ผู้คน
แสงไฟบนถนนที่มีรถวิ่งแค่ไม่กี่คัน บรรยากาศยามนี้นั้นแสนโรแมนติก
สองขายังคงวิ่งตามไปเรื่อยๆ ออกวิ่งท่ามกลางภาพของเมืองศิวิไลซ์เหมือนกำลังหนีตามกันไป มองเห็นแค่แผ่นหลังกว้างกับมือใหญ่ที่จับมือเขาไว้เท่านั้นก็ทำให้ในหัวไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว
อยากปล่อยให้ร่างกายวิ่งไปตามหัวใจ
วิ่งไปพร้อมๆกับพี่อี้หยาง
ครืด…
ประตูรถไฟสายยามาโนะเตะปิดลงหลังจากที่พวกเขาวิ่งเข้ามาอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด
"แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก…นี่เรา…กำลังจะไปไหนกันครับ?"
เฟยเฟยถึงกับก้มลงไปหอบจนตัวโยนจากการวิ่งมาเสียไกล
ใบหน้าหล่อเหลาก้มมองนาฬิกา ถ้าเป็นตอนนี้ก็น่าจะยังทันรถไฟชินคันเซ็นขบวนสุดท้าย
"เกียวโต" เสียงทุ้มเอ่ยบอกจุดหมายปลายทางที่ทำให้อีกคนถึงกับร้องอย่างตกอกตกใจ
"เอะ….เอ๋~~~~?" เจ้าลูกกระต่ายทำตาโตเพราะโตเกียวกับเกียวโตนั้นอยู่ห่างกันคนละฝั่งประเทศ
"แต่พรุ่งนี้เฟยต้องทำงานนะ" ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เฟยเฟยก็ดูตื่นเต้นมาก
"กลับเที่ยวเช้าก็ทัน" รถไฟสายยามาโนะเตะเข้าเทียบท่าที่ชานชลาของสถานีโตเกียว
มือใหญ่จึงจับมือบางอีกครั้งเพื่อวิ่งลงไปเปลี่ยนรถไฟ
ดวงตาใสแจ๋วมองแผ่นหลังของคนที่เดินเยื้องอยู่ข้างหน้าอย่างทึ่งๆเพราะพี่ชายต่างสายเลือดดูคล่องกับการขึ้นรถไฟมากกว่าครั้งก่อนมาก
"ทำไมพี่รู้วิธีขึ้นชินคันเซ็นได้อ่ะ?" เพราะเกทและชานชลาของชินคันเซ็นนั้นจะแยกออกไปถึงแม้จะยังอยู่ในสถานีก็ตาม
การซื้อตั๋วก็ต้องไปซื้อที่เคาน์เตอร์และตั๋วที่ออกมาก็ยังมีตั้งสองใบ
คนที่เดินตามอย่างเดียวแค่มองก็งงแล้ว
"ก็เพราะใครบางคน ทำให้ชั้นต้องนั่งอ่านวิธีขึ้นรถไฟญี่ปุ่นจนจำได้ขึ้นใจหมดแล้ว"
ใบหน้าหล่อเหลาหันไปยิ้มหยอกเย้า
เขาคิดเอาไว้ตั้งแต่ที่เฟยเฟยบอกสักวันจะต้องขึ้นชินคันเซ็นให้ได้นั่นแล้ว
เขาแอบศึกษาวิธีขึ้น เส้นทาง รวมถึงจุดหมายปลายทางไว้หมดแล้ว
ก็แค่ร่นระยะเวลาเข้ามาเท่านั้นเอง
"งื้ออออ" เจ้าลูกกระต่ายดึงแขนเขาไปกอดก่อนจะซบหน้าลงมาถูไถออดอ้อน
และเมื่อสองขาเหยียบปลายบันไดเลื่อน
รถไฟชินคันเซ็นสายโทไคโด-ซันโย ขบวนโนโซมิ71 ที่จะออกจากสถานีโตเกียวเวลา 22:01น.
ก็เข้ามาเทียบชานชลาพอดี
เจ้าลูกกระต่ายกรี๊ดกร๊าดยกใหญ่
เขาปล่อยเจ้าตัววุ่นวายถ่ายรูปไปส่วนตัวเองก็มองหาเลขโบกี้ที่อยู่ในตั๋วรถไฟ
ดูเหมือนตู้ Green
car ที่เขาจองไว้จะไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่
ที่ด้านข้างประตูทางเข้ามีป้าย Nozomi71พร้อมบอกปลายทาง Shin-Osakaติดอยู่ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้ขึ้นผิดแน่นอน
“เฟยเฟย” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเมื่อใกล้จะถึงเวลารถไฟออก
เจ้าลูกกระต่ายวิ่งทำหน้าฟินมาหา เขาถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอ ชอบขนาดนั้นเชียว
และพอประตูรถไฟปิดลง…โนโซมิ71ก็เริ่มการเดินทางของเธอทันที ตรงเวลาจนน่าทึ่งเลยทีเดียว
เขาพาเฟยเฟยเดินหาที่นั่ง
ทั้งโบกี้มีคนนั่งเพียงประปรายเพราะตู้ชั้น Green carนั้นนับว่าราคาแพงมาก
หากเทียบกับเครื่องบินมันก็ถือเป็นชั้นBusiness classเลยทีเดียว
ราคาก็ยังไม่ต่างจากค่าตั๋วเครื่องบินในประเทศเท่าไหร่ด้วย
เฟยเฟยนั่งลงไปบนที่นั่งที่จองไว้
ใบหน้ามนยิ้มปลื้มปริ่มจนเขาแทบลืมใบหน้าหมองๆเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี้ไปเลย เขาจึงนั่งตามลงไปอย่างรู้สึกดีที่ทำให้เจ้าลูกกระต่ายยิ้มได้
“เบาะกว้างมากเลยอ่ะ อย่างกับเบาะชั้นBusiness classบนเครื่องบินเลย
นั่งสบายสุดๆเลยงื้อ” เจ้าลูกกระต่ายลองเอนหลังนั่งพิงยกแข้งยกขาขึ้นมา
สารพัดท่าที่จะลองนั่งได้จนเขาต้องหันไปลอบหัวเราะอีกฝั่ง
“เหยียดขาได้เต็มที่เลยด้วย นี่มันดีจัง หน้าต่างก็กว๊างกว้าง~ มันเป็นแบบนี้ทุกโบกี้เลยเหรอ?” อาเฟยหันมาถาม
“ไม่นะ เท่าที่ชั้นรู้ ยังมีที่เป็นชั้นFirst classอยู่อีกแต่รถขบวนนี้ไม่มี
พวกนั้นแต่ละแถวจะมีแค่สามเบาะ น่าจะกว้างใหญ่นั่งสบายยิ่งกว่านี้มั้ง ส่วนที่เรานั่งอยู่นี่คือชั้น
Green car มีแถวละ4อย่างที่เห็น
แล้วก็มีตู้แบบชั้นทั่วไปอีก มีแถวละ5ที่นั่ง”
เขาอธิบายเท่าที่เขารู้ให้อีกฝ่ายฟัง
ใบหน้ามนพยักหงึกๆอย่างตั้งใจฟัง
ดวงตาสุกใสมองสำรวจไปทั่วอย่างอยากรู้อยากเห็นและต้องการจะศึกษาทุกอย่างที่ได้จากการมานั่งรถไฟจริงๆ
“ตอนนี้…เฟยว่าเฟยพอจะเข้าใจแล้วละ
ว่าทำไมยูกิซังถึงบอกว่าเฟยไม่เข้าใจหลักกการใช้งานรถไฟ
ขอบคุณพี่มากเลยนะที่พาเฟยมาขึ้น เฟยเข้าใจอะไรเยอะเลย!” เฟยเฟยหันมาขอบคุณเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
ได้เห็นแค่นั้นหัวใจของเขาก็ได้รับความสุขไปด้วยแล้ว
โนโซมิ71 วิ่งผ่านสถานีเล็กๆไป ตลอดเส้นทางที่มี16สถานี
มันจอดแค่5สถานีใหญ่เท่านั้น ระยะทางกว่า458กิโลเมตรหากเป็นรถยนต์คงใช้เวลากว่า5ชั่วโมงครึ่ง
แต่โนโซมิใช้เวลาเพียง2ชั่วโมง9นาทีเท่านั้น
ก็สมราคาที่ต้องจ่ายพอๆกับค่าตั๋วเครื่องบินนั่นแหละ
แต่การนั่งชินคันเซ็นดีกว่านั่งเครื่องบินในประเทศก็ตรงที่สถานีมันอยู่ในเมือง
แค่ลงจากรถไฟก็สามารถต่อรถอย่างอื่นได้เลย
ไม่เหมือนสนามบินที่อยู่ไกลจากตัวเมืองพอสมควร
หวังเฟยเฟยนั่งมองวิวทิวทัศน์นอกรถไฟอย่างตื่นตาตื่นใจ
เขาไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย ไม่เคยคิดถึงหลักการออกแบบอย่างอื่นที่นอกจากความเร็วเลย
รถไฟไม่เหมือนรถฟอร์มูล่าวันที่มีนักขับนั่งแค่คนเดียว
แต่ทั้งขบวนนี้มีคนอยู่หลายร้อย
ทุกคนไม่ได้มีขีดจำกัดที่เหนือมนุษย์มนาอย่างพวกนักขับเอฟวัน ทุกคนเป็นแค่คนธรรมดา
เพราะงั้นที่สำคัญกว่าการกดรถทั้งขบวนให้วิ่งอยู่บนรางด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว เขายังต้องคำนึงถึงคนทั่วไปที่จะใช้งานรถไฟด้วย
ตั้งแต่ที่รถไฟเริ่มออกตัวมา
เขาแทบไม่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเลยซึ่งจุดนี้ต่างจากF1มาก
อี้คุนต้องรับแรงกระดอนจากรถที่ทำความเร็วสูงสุดในทางตรงจนตับไตไส้พุงแทบไม่อยู่ที่เดิม
แต่รถไฟนิ่งมาก นิ่งเหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินเลย
ดวงตากลมโตเหลือบมองขวดน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะพับด้านหน้าเพื่อเป็นการยืนยัน
นอกจากน้ำแทบไม่กระเพื่อม ขวดยังตั้งอยู่ที่เดิมเป๊ะ
เขาต้องไปศึกษาเรื่องระบบล้อระบบรางเพิ่มแล้ว
นอกจากนี้เสียงยังเงียบมาก
มากจนนั่งสมาธิได้เลยอ่ะ
ใบหน้ามนยิ้มแหยๆเมื่อนึกถึงกราฟต่างๆที่เขาเอาให้ยูกิซังดูเมื่อกลางวัน
รู้สึกอายขึ้นมาเลยแหะ เพราะเขาไม่ได้ดูค่าอื่นๆพวกนี้เลย
ทั้งๆที่มันสำคัญต่อผู้ใช้งานมาก
ขืนเอาเจ้ารถที่เขาคำนวณแอโร่ไดนามิคคันเมื่อกลางวันมาใช้
ผู้โดยสารคงได้ไส้ไหลไปกองรวมกันอยู่ที่ปอดแน่ๆ หูก็คงหนวกไปตามๆกันด้วย
รถไฟวิ่งผ่านทุ่งนาที่มีแต่ความมืดทำให้เงาสะท้อนในรถไฟชัดเจนขึ้น
ดวงตากลมโตจึงมองเห็นคนที่นั่งข้างๆผ่านเงาในกระจก
"พี่ไม่เหนื่อยเหรอ? เพิ่งกลับจากสวิตแท้ๆ"
เสียงนุ่มถามในขณะที่หันไปสนใจอีกฝ่ายบ้าง
มัวแต่ตื่นเต้นกับรถไฟจนลืมถามไปเลย
"ไม่เหนื่อยหรอก ถ้าเป็นเรื่องของนายชั้นไม่เคยเหนื่อยเลย"
แล้วคำตอบของพี่อี้หยางก็ทำเอาเขาเขินม้วนจนได้
บางครั้งผู้ชายคนนี้ก็ตรงเกินไปไหม หน้าเน้อเขาร้อนไปหมดแล้วเนี่ย!
จีบไม่พักแถมยังทำให้เขาทุกอย่างขนาดนี้
ถ้าหนีรอดไปได้ก็คงไม่ใช่หวังเฟยเฟยแล้วไหม
"ถะ ถ้าง่วงก็หลับได้นะ จะซบไหล่เฟยก็ได้นะ ตรงนี้ๆ"
มือบางตบปุๆไปที่ไหล่เล็กแคบของตัวเองจนคนมองถึงกับยิ้มอย่างเอ็นดู
"ฮึ…งั้นยืมหน่อยก็แล้วกัน"
อันที่จริงหวังอี้หยางไม่ได้ง่วงหรอก ก็แค่อยากซบไหล่บางๆนั่นเฉยๆ
ได้ข่าวมาจากอเล็กซ์ว่าถึงกับลุกหนีตอนที่ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะซบไหล่เลยนะ
หัวสีดำเอนซบลงไประหว่างซอกคอกับไหล่ เขาลองถูไถมันอย่างอ้อนๆจนเจ้าลูกกระต่ายหัวเราะคิกคัก
กลิ่มหอมอ่อนๆทำให้ดวงตาของเขาปิดลงทั้งๆที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองง่วงหรือเหนื่อยเลย
แล้วเขาก็มาตื่นอีกทีที่สถานีเกียวโตตอน
00:10น.พอดี
บางที
เขาก็คิดว่าชินคันเซ็นมันวิ่งเร็วเกินไป กลับไปนั่งรถไฟหวานเย็นอาจจะดีกว่า
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520
N.
To
be con.
มาจ้ะ
ในที่สุดก็มาถึงเกียวโตกันแล้วจ้ะ 5555
ก่อนอื่น
สุขสันต์วันสงกรานต์กันนะค้า สวัสดีปีใหม่ไทยค่า ขอให้ร่มเย็นเป็นสุข ถูกหวยรวยๆ
ทั้งจีนญี่ปุ่นเปิดประเทดรับติ่งทีนาคะปีนี้5555 ถึงแม้จะทันลงมันวันสุดท้ายของสงกรานต์แต่ก็ทันนะะะะ
แง๊ ดีจัย
ขอบคุณทุกๆคอนเม้นต์
ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทมากๆเลยนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น