ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me : 520 N. again [Part4]

 

ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  GLIDE : 2x4 It’s me : 520 N. again [Part4]

 

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au

: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน

: Romantic

: NC-17

 

 

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ

           : ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค

 

 

 

GLIDE : 2x4 It’s me : Special Episode :

 

“520 นิวตัน

 

.

.

.

 

 

 

หวังอี้คุนมาถึงโตเกียวเมื่อเช้านี้

 

หลังจากจบการแข่งขันที่เรียกได้ว่ามหาโกลาหลที่สุดในปฏิทินเอฟวัน เพราะฝนที่ถล่มลงมาตั้งแต่วันควอลิฟายทำให้ทุกอย่างพลิกผันไปหมด รถของทีมเฟอร์รารี่แข่งไม่จบทั้งสองคัน อาคะชูชนมันตั้งแต่รอบแรก ส่วนเขาก็ท้ายปัดเพราะน้ำที่ขังจนมองไม่เห็นอะไร ดีที่รอดจากกำแพงที่พังยับทั้งแถบมาได้ ค็อกพิตของม้าลำพองยังไว้ใจได้เรื่องความแข็งแรงกว่าใคร เมื่อวานนี้ธงแดงปลิวว่อนตลอดการแข่งขัน น่าจะเหลือรถที่แข่งจบไม่ถึงสิบคันมั้งนั่น

 

ร่างสูงสง่ากวาดสายตามองสำรวจห้องที่ถูกเคลียจนว่างโล่ง มีแค่โต๊ะตัวนี้กับเตียงคิงไซส์อีกหลังเท่านั้นที่ตั้งอยู่ ...นี่ไม่ใช่ห้องของเจ้าลูกกระต่าย แต่เป็นอีกห้องที่อยู่ติดกัน

 

ปลายนิ้วยาวแตะลงไปที่โต๊ะไม้อย่างดีสีดำสนิท...นี่คือโต๊ะทำงานของหวังอี้หยาง

 

ขายาวเดินอ้อมไปก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หนังสีดำอย่างไม่สนใจว่ามันคือเก้าอี้ของผู้บริหารแบรนด์เพชรระดับโลก เขาเอนหลังพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆ หมุนเก้าอี้ออกไปมองวิวย่านมารุโนะอุจินอกหน้าต่าง ก่อนจะหมุนกลับมาหยุดที่โต๊ะสีดำตัวนั้นใหม่

 

โฮ่...ขนตราประทับและเอกสารสำคัญมานี่หมดคงไม่ต้องถามแล้วว่าเจ้าพี่บ้านั่นคิดจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน เขาไล่มองตราประทับที่มีมูลค่ามหาศาลที่วางอยู่บนโต๊ะ มีทั้งของ Diamond crown และของตระกูลหวังอยู่ที่นี่ครบ

 

เขาไม่ต้องกังวลแล้วสินะว่าเจ้าลูกกระต่ายจะไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน

 

แขนแข็งแรงยกขึ้นเท้าคางในขณะที่ดวงตาก็ทอดมองกองเอกสารการประมูลเพชร ตัวเลขไม่รู้กี่หลักบนนั้นทำให้เขาถามตัวเองอีกครั้งว่าเจ้าพี่บ้านั่นปล่อยให้เขาเข้ามาในห้องนี้ได้ง่ายๆนี่มันจะดีแน่เหรอ? ไม่กลัวเขาจะหักหลังล้วงความลับไปบอกใครบ้างเลยหรือไง?

 

แกร่ก

 

ดวงตาราชสีห์ละจากบรรดาตราประทับตรงหน้าไปมองสิงโตอีกตัวที่เดินเข้ามา ในมือของนายใหญ่แห่ง Diamond crownถือแก้วกาแฟมาสองใบ

 

"นายโอเคใช่ไหม? อาเฟยเป็นห่วงนายมาก"   อ้อ คงจะหมายถึงอุบัติเหตุเมื่อคืน จะมองว่ามันน่ากลัวก็ได้อยู่หรอก ถึงแม้เขาจะปลอดภัยดีแต่ถ้ามองจากมุมคนนอก การที่รถพังยับทั้งคันแบบนั้นมันก็คงน่าเป็นห่วงนั่นแหละ บอกตามตรงว่าตอนชนเขาเองก็ไม่คิดว่าจะออกมาอย่างไร้รอยขีดข่วนขนาดนี้

 

"ครับ แพทย์สนามตรวจแล้ว ไม่เจออะไรแตกหัก"  

 

"ชั้นคงไม่บอกให้นายเลิกแข่งรถ แต่ยังไงก็นึกถึงคนที่ห่วงนายด้วยล่ะ"

 

"รู้แล้วน่า"

 

"แล้วก็ ตอนที่นายมา นายไปนอนกับอาเฟยก็ได้ เดี๋ยวชั้นนอนห้องนี้เอง"   พี่ชายผู้มีสายเลือดเดียวกันวางกาแฟแก้วหนึ่งลงมาตรงหน้าเขา

 

"ช่างเถอะ ผมไม่ได้อยู่ที่นี่ประจำ จะให้พี่ย้ายไปย้ายมามันก็ใช่เรื่อง เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็ต้องบินไปอเมริกาแล้ว"   F1สนามถัดไปแข่งต่อเนื่องสองอาทิตย์ติด ที่จริงเขาไม่มีเวลามาโอ้เอ้อยู่นี่ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความห่วงเจ้าลูกกระต่าย หม่าม้าเลยหาเวลาให้เขาแวะมาดูน้องหน่อย

 

"แต่ผมไม่นอนห้องนี้ ยังมีห้องอื่นอีกใช่ไหมล่ะ?"   อย่างหวังอี้หยางคงเช่าไว้หมดทั้งฟลอร์แล้วไหม

 

"หึ นายไปเลือกเอาก็แล้วกัน ทำไม? อยู่กับโต๊ะทำงานไม่ได้เลยหรือไง?"   เขาหัวเราะเหอะๆใส่ แต่ก็เป็นความจริงที่เขาไม่อยากยุ่งกับโต๊ะทำงานของพี่อี้หยางนัก เอกสารพวกนี้มีมูลค่าเป็นพันๆล้าน ใครจะอยากรับผิดชอบ

 

เขาทิ้งตัวลงไปในพนักเก้าอี้หนังสีดำ ดวงตาคมกล้าจ้องมองใบหน้าของพี่ชายจนอีกฝ่ายหันมาทักอย่างสงสัย

 

"มีอะไร?"

 

"....ถ้าคุณปู่รู้จะทำยังไง?"   ใบหน้าของพี่ชายนิ่งไป อีกฝ่ายย่อมรู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของพี่อี้หยางกับอาเฟย

 

ในบรรดาพวกเราสามคนมีเพียงอาเฟยที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันเลย เขากับเจ้าลูกกระต่ายเป็นเด็กหลอดแก้วด้วยกันทั้งคู่ เขามีสายเลือดของปะป๊า อาเฟยมีสายเลือดของหม่าม้า ไข่ของแม่ก็เป็นคนละคนกัน ตัวอ่อนของเราสองคนถูกฝังไว้ในครรภ์ของผู้ให้กำเนิดคนเดียวกันเพื่อให้เกิดมาพร้อมกันในฐานะฝาแฝด เขาจึงเป็นคนเดียวที่มีสายเลือดเดียวกับพี่อี้หยาง แต่เป็นเพราะทั้งเขา เฟยเฟย และพี่อี้หยางถูกเลี้ยงมาแบบพี่น้อง จึงหลีกเลี่ยงเรื่องความรักต้องห้ามไม่ได้

 

ถึงแม้พี่อี้หยางจะไม่เคยมองอาเฟยเป็นน้องชายสักวินาทีเลยก็เถอะ

 

ป๊าม้าของเขาน่าจะพอคุยกันได้ เขารู้สึกว่าปะป๊ากับหม่าม้าเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างมาตลอด? แต่คุณปู่นี่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ คุณปู่คาดหวังในตัวพี่อี้หยางเอาไว้สูงมากจึงเข้มงวดกับพี่ชายคนนี้มากกว่าเขาหลายเท่า อีกทั้งคุณปู่ยังรักอาเฟยยิ่งกว่าอะไร ถ้ารู้เรื่องความสัมพันธ์ที่มันไม่ถูกไม่ควรนี่เข้า บ้านคงแตกแน่นอน

 

แต่ทายาทลำดับที่หนึ่งของตระกูลหวังก็ยังเยือกเย็น หวังอี้หยางไม่มีความตื่นตระหนกให้เขาเห็นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเขาเชื่อว่าผู้ชายคนนี้คงเตรียมรับมือคุณปู่เอาไว้อยู่แล้ว

 

"ก็ไม่ทำยังไง ชั้นต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ชั้นทำลงไปอยู่แล้ว"   เสียงทุ้มราบเรียบตอบออกมา...บ้าเอ้ย ทำไมเท่ห์แบบนี้วะ?!

 

"พี่ต้องโดนตัดออกจากกองมรดกแน่"   เขาถอนหายใจอย่างยอมแพ้ หวังอี้หยางนะหวังอี้หยาง ถ้าหันไปเลือกคนอื่น ถ้าไม่มีเรื่องความรักต้องห้าม ก็คงจะเป็นผู้ชายที่มีชีวิตดีจนทุกคนบนโลกต้องอิจฉา แต่ก็อย่างว่าละนะ พระเจ้าคงไม่ลำเอียงให้ใครสักคนเพอร์เฟกต์ไปเสียหมดทุกอย่าง มันต้องมีสักเรื่องที่เป็นจุดอ่อน

 

"ไม่โดนหรอกถ้านายให้ความร่วมมือ ยังไง...คุณปู่ก็ต้องเลือกชั้น"   ใบหน้าที่คล้ายเขายิ้มเย็นๆอย่างมั่นใจ

 

"หวะ...ทำไมชั่วร้ายได้ขนาดนี้เนี่ย พี่จับเจ้าลูกกระต่ายเป็นตัวประกันแท้ๆ ผมจะมีทางเลือกอะไร"   อาเฟยรักพี่อี้หยางสุดหัวใจ แล้วเจ้าหมอนี่ก็รู้ด้วยว่าสำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขของอาเฟย เพราะงั้นเขาไม่มีทางต่อต้านแน่ 

 

ถึงแม้ตระกูลหวังจะยังมีเขาเป็นทายาทอีกคน แต่ตราบใดที่หวังอี้หยางยังคงทำทุกอย่างเพื่อเฟยเฟย เขาก็ไม่มีทางขัดขวางอยู่แล้ว

 

และตราบใดที่เขาไม่เอาเสียอย่าง ต่อให้คุณปู่จะโกรธเกรี้ยวจนอยากจะปลดพี่อี้หยางออกจากกองมรดก อยากจะเปลี่ยนตัวทายาทอันดับหนึ่งจากพี่อี้หยางมาเป็นเขา... ย่อมทำไม่ได้... คุณปู่คงไม่ยอมเสี่ยงที่จะให้ตระกูลหวังต้องพังพินาศเพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดของเขาแน่ 

 

แล้วพี่อี้หยางก็ดันเก่งมากเสียด้วย คุณปู่ไม่มีทางหาทายาทที่เก่งขนาดนี้ได้อีกแล้วในชาตินี้ ในรอบร้อยปีจะมีใครเทียบได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ 

 

อีกอย่าง Diamond crown ก็ไม่ใช่ของตระกูลหวัง แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของหวังอี้หยางแต่เพียงผู้เดียว แค่แบรนด์เพชรนั่นก็มีมูลค่าสูงกว่าทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลหวังอยู่แล้ว โดนปลดจากทายาทลำดับหนึ่งไปเจ้าพี่บ้านี่ก็ไม่เดือดร้อนหรอก

 

แน่นอนว่าคุณปู่ไม่มีทางซ่อนเจ้าลูกกระต่ายจากผู้ชายที่ทรงอิทธิพลขนาดนี้ได้แน่ จับแยกไปก็ไม่มีประโยชน์ พี่อี้หยางเสียอีกที่อาจจะมีเซฟเฮ้าส์ซุกไว้ทั่วโลก เกิดอะไรขึ้นจริงๆหมอนี่คงพาอาเฟยหนีแล้วพวกเขาก็คงหาตัวเจ้าลูกกระต่ายไม่เจออีกเลยก็ได้

 

ไม่ว่าจะคิดยังไง คุณปู่ก็ต้องยอมพี่อี้หยางจริงๆนั่นแหละ ผู้ชายคนนี้เตรียมรับมือคุณปู่มาร่วมยี่สิบปี ทำเพื่อความรักอันยากลำบากนี้

 

เฮ้อ...หมอนี่มันน่ากลัวชะมัด เขาไปแข่งรถของเขาดีกว่า สบายใจ อีกอย่าง งานสายบริหารก็ไม่ใช่ทางของเขาด้วย เขาไม่คิดจะแข่งกับพี่อี้หยางมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

มือแข็งแรงยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาคว้ากุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเอ่ยกับเจ้าของห้อง

 

"เย็นนี้ผมไปรับอาเฟยเอง"



 

 

 



การใช้ชีวิตอยู่ในโตเกียวยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่หวังเฟยเฟยต้องเรียนรู้

 

หนึ่งในนั้นก็คือการเข้าห้องน้ำให้ถูกต้องนี่แหละ!!

 

โอ๊ย ฉี่จะราดอยู่แล้ว~”    ร่างโปร่งบางวิ่งปรู๊ดออกจากแผนกออกแบบหลังจากมัวเพลิดเพลินกับการดูแบบรถไฟที่พวกรุ่นพี่เอามากองให้ศึกษาก่อนที่จะได้รับมอบหมายงานจริงๆจังๆ กว่าจะรู้ตัวว่าปวดปัสสาวะก็แทบราดจนต้องวิ่งพรวดพราดออกมาแบบนี้

 

ง่ะ?”   และเมื่อมาถึงหน้าห้องน้ำ ใบหน้ามนก็ถึงกับผงะ นะ นี่มันอะไรกัน?

 

ไม่มีรูปผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่มีสีฟ้าหรือสีชมพู มีแต่ตัวหนังสือที่เขาอ่านไม่ออก! แล้วอันไหนมันห้องน้ำชาย อันไหนมันห้องน้ำหญิงเนี่ย?!

 

ดวงตากลมโตเพ่งมองตัวอักษรฮิรางานะที่เหมือนจะทำมาให้อ่านง่ายแต่มันกลับไม่ช่วยอะไรเขาเลยสักนิด! ถ้าเป็นคันจิยังพอจะเดาได้บ้างเพราะเขามีพื้นฐานภาษาจีนที่มีรากเหง้ามาจากที่เดียวกัน

 

บ้าจริง ตึกนี้ไม่มีชาวต่างชาติอยู่เลยหรือไง ทำไมไม่ใช้สัญลักษณ์แบบที่สากลโลกเค้าใช้กันเนี่ย!

 

ห้องน้ำสาธารณะที่อื่นยังโอเคเพราะมีการใช้สัญลักษณ์ที่เป็นสากล แต่ห้องน้ำในออฟฟิศที่สร้างมากว่าครึ่งศตวรรษนี่สิที่เป็นปัญหาสำหรับเขามากกก 

 

โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว! จะไหลแล้ว! ถ้างั้นก็หลับหูหลับตาเข้ามั่วๆไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าไม่ใช่ค่อยออกมาใหม่ก็แล้วกัน!

 

พอคิดได้แบบนั้น ขาเรียวก็วิ่งเข้าห้องหนึ่งซึ่งเล็งไว้ว่ามันต้องเป็นห้องน้ำชายแน่ๆ

 

ทว่าอ่างล้างหน้าและกระจกยาวเหยียดก็ทำให้รู้ตัวทันทีว่าที่เลือกมาน่ะมันผิด!

 

"ง่า…"   ขาเรียวเตรียมจะเลี้ยวกลับแต่ว่า

 

ฮึก…”    แผ่นหลังของใครบางคนและยังเสียงสะอื้นที่ปนมาก็ทำให้ขาทั้งสองข้างถึงกับชะงักงัน จากที่คิดจะรีบหันหลัง กลับทำไม่ได้ สายตาของเขาถูกดึงไปที่กระจกอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

และผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาโดยอัตโนมัติเช่นกันอีกฝ่ายมีท่าทีตกใจ ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะพยายามใช้มือเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลลงมาจนมาสคาร่าเลอะไปหมด

 

เอ่อ…”   เขาบังเอิญมาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า ถึงจะไม่รู้จักกันแต่อีกฝ่ายก็กำลังร้องไห้อยู่

 

เขาคงปลอบใจอะไรไม่ได้ ไม่รู้ด้วยว่าควรจะพูดอะไร เขาไม่ได้รู้เรื่องของอีกฝ่าย ตอนนี้จึงทำได้เพียงยื่นมือไปดึงกระดาษทิชชูที่อยู่ใกล้เขามากกว่าแล้วส่งไปให้

 

ใช้นี่เถอะครับ หน้าเลอะหมดแล้ว”   ผู้หญิงคนนั้นดูลังเล แต่ในที่สุดก็ยอมยื่นมือมารับทิชชูไป เขาค่อมหัวให้ก่อนจะรีบเดินออกมาจากห้อง

 

ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายดูเศร้า ดูผิดหวัง ดูเสียใจมากๆเลยอีกทั้งมืออีกข้างยังกุมท้องอยู่ตลอด

 

หรือว่าจะปวดท้อง?

 

 

 

 

 



ชื่อของผมคือคุโรทากะ

 

ผมเป็นหนึ่งในเด็กฝึกงานของ RTRIในปีนี้

 

เห็นแบบนี้แต่ผมก็มาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ของโทไดหรือมหาวิทยาลัยโตเกียวเชียวนะ

 

ถ้าการฝึกงานในครั้งนี้ราบรื่นดี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งก็คงไม่หนีมือผมไปไหน

 

"....."    แต่ตอนนี้ผมกำลังมีปัญหาใหญ่ เกียรตินิยมที่หวังไว้อาจจะหลุดลอยไปเพราะไอ้ตัววุ่นวายตรงหน้านี่แหละ!

 

"หัวหน้าแผนกเรียกพบ"   เสียงทุ้มเอ่ยออกไป ใบหน้าคมคายราวกับซามูไรเหลือบมองเจ้าคนที่เพิ่งเดินทำหน้ามึนกลับมาจากห้องน้ำ

 

"....นายไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกล่ะ?"   เขาถามพลางถอนหายใจ ตอนนี้ทั้งแผนกออกแบบไม่มีใครไม่รู้จักหวังเฟยเฟย เจ้าเด็กฝึกงานชาวต่างชาติที่เพิ่งมาทำงานได้แค่วันเดียวคนนี้ ถึงแม้จะเป็นคนที่หน้าตาดีมากแต่ที่รุ่นพี่ทุกคนรู้จักกลับมาจากความโก๊ะกังของอีกฝ่ายมากกว่า แล้วเขาที่ต้องฝึกงานด้วยกันเลยต้องร่วมรับผิดชอบไปโดยปริยาย 

 

ห๊ะ? วันนี้ยังไม่ได้ก่อซักหน่อย แค่เข้าห้องน้ำผิดไปเข้าห้องน้ำหญิงเอง? แล้วก็เพิ่งเกิดเมื่อกี้ หัวหน้าจะรู้ได้ไง?”   ….เชื่อเค้าเลย ห้องน้ำมีแค่สองห้องก็ยังจะเข้าผิดเข้าถูกอีก ชะโงกหน้าไปดูก่อนก็จบแล้วไหม?

 

จริงสิ เมื่อกี้ชั้นเห็นผู้หญิงร้องไห้อยู่ในห้องน้ำด้วยอ่ะ เป็นคนใช่ไหมนะ? ที่นี่ไม่มีผีใช่ไหมนะ?”    ….ถึงจะมี แต่ผีก็ไม่ออกมากลางวันแสกๆอย่างงี้หรอกครับ

 

ไปกันเถอะ”    เขาส่ายหน้าก่อนจะเดินนำเจ้ากระต่ายปีศาจนั่นไปยังห้องของหัวหน้าแผนกออกแบบ ในใจได้แต่ภาวนา ขอให้การฝึกงานผ่านไปด้วยดีทีเถอะ

 

ก๊อกๆ

 

มาพอดีเลย เข้ามาสิ”    เสียงของหัวหน้าทำให้พวกเขาเปิดประตูเข้าไป แล้วแผ่นหลังของคนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วก็ทำให้หัวใจของเขากระตุกไปวูบหนึ่ง

 

ไม่คิดว่าจะได้เจอกันไวขนาดนี้

 

ไม่สิเขาควรจะได้เจออีกฝ่ายก่อนใคร แผนกออกแบบก็ใช่ว่าจะกว้างใหญ่ ที่เขาไม่เจอคนคนนี้เลยต่างหากที่น่าแปลกใจ

 

รุ่นพี่…”    เขาพึมพำอยู่ในริมฝีปาก ใบหน้าได้รูปนั่นหันมามองเขากับหวังเฟยเฟยด้วยสีหน้าหงุดหงิดน้อยๆแต่ดูท่าคงจะจำเขาไม่ได้เลยสินะ?

 

นี่คือชิโรยูกิคุง หัวหน้าทีมออกแบบทีมCที่จะเป็นคนรับผิดชอบพวกเธอสองคน จากนี้ไปก็ตั้งใจทำงานล่ะ เดี๋ยวชิโรยูกิคุงจะเป็นคนแจกงานให้พวกเธอเอง”   หัวหน้าแผนกออกแบบแนะนำตัวคร่าวๆ แล้วก็คงจะเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าโชคดีที่มีหวังเฟยเฟยอยู่ตรงนี้ 

 

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมหวังเฟยเฟย มาจากอิตาลี”    เจ้าตัววุ่นวายจับมือกับรุ่นพี่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวและมันก็ทำให้คนที่ไม่รู้จะทำหน้ายังไงอย่างเขาพอจะทำตามน้ำไปได้บ้าง

 

คุโรทากะครับ…”   รุ่นพี่มองเขาพลางเอียงคอขมวดคิ้วคงจะจำไม่ได้จริงๆมือบางยกมาจับตามมารยาทเพียงเท่านั้น

 

ขอตัวเลยได้ไหมครับ?”   รุ่นพี่ชิโรยูกิหันไปถามหัวหน้าแผนกที่ยิ้มแหยๆกับมารยาทยอดแย่ของหัวหน้าทีมC มืออวบอูมโบกหยอยๆอย่างไม่ถือสา

 

ตามมาสิ”   เสียงห้วนๆห้าวๆไม่เข้ากับหน้าเอ่ยบอกพวกเขาก่อนจะเดินนำออกไป มีเพียงหวังเฟยเฟยที่พยักหน้ารับอย่างกระตือรือล้น ส่วนเขาลึกๆในใจคงต้องบอกว่าผิดหวังอยู่หน่อยๆ

 

แต่ก็ช่วยไม่ได้ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง ตัวเองยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงตามมาถึงนี่อะไรในตัวคนคนนี้ที่ดึงดูดเขาจนละสายตาไปไม่ได้



แผนกออกแบบของบริษัทใหญ่ๆโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งเป็นหลายๆทีม เพราะโปรเจคที่ต้องทำมักจะมีมากกว่าหนึ่งโปรเจค การแบ่งเป็นทีมย่อยจะรับผิดชอบได้ง่ายกว่า ที่สถาบันวิจัยแห่งนี้ก็ใช้ระบบนั้นเช่นกัน

 

คุโรทากะมองไปรอบกาย ในคอกกั้นทีมCของเขานั้นมียืนกันเหงาๆอยู่แค่สามคนถ้วนทั้งๆที่ทีมA ,B ,D ,Eซึ่งอยู่อีกฝั่งมีกันถึง7-8คนต่อทีม?

 

เอี๊ยด

 

ร่างเพรียวปราดเปรียวของรุ่นพี่ชิโรยูกิทิ้งตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้ก่อนจะไถมันมาตรงหน้าพวกเขาอย่างไม่สนใจพิธีรีตองใดๆ ดวงตาดุร้ายเหมือนลูกแมวจ้องพวกเขาเขม็ง

 

ทีมCอะไรนั่นก็คงเพิ่งตั้งขึ้นมาเมื่อเช้านั่นแหละ ไม่ต้องไปสนใจหรอก เจ้าหัวหน้าบ้าก็แค่อยากให้คนที่ไม่มีใครเอาอย่างชั้นคอยดูแลเด็กฝึกงานที่ใช้การอะไรไม่ได้อย่างพวกนายเท่านั้นแหละ”    เขามองเจ้าของใบหน้าบอกบุญไม่รับอย่างสงสัย  ไม่สนใจจะดีแน่เหรอเนี่ย? ถ้าไม่นับรวมเด็กฝึกงานซึ่งคงจะดูเป็นตัวถ่วงของทีมอย่างพวกเขาสองคน ก็เท่ากับว่าก่อนหน้านี้รุ่นพี่ทำงานตามลำพังมาตลอดเลยน่ะสิ?

 

ยังเป็นคนไม่สนใจใครไม่เปลี่ยนเลยแหะ

 

แต่เขาก็แอบโล่งใจ ที่สังคมของที่ทำงานไม่สามารถเปลี่ยนคนอย่างรุ่นพี่ได้เพราะเขาไม่ได้ชอบคนที่ธรรมดาเหมือนใครๆแบบนั้น

 

มาลองดูกันสักตั้งแล้วกัน ชั้นไม่เคยคิดว่าเด็กอย่างพวกนายจะไร้ประโยชน์”    ถึงจะไม่ยิ้มไม่แย้มแต่คนคนนี้ก็ไม่เคยดูถูกใคร มือบางเปิดโน้ตบุคให้พวกเขาเห็นงานที่ทำค้างอยู่

 

อันนี้คือ…”   ในขณะที่บรรยากาศกำลังดูไม่รู้จะเริ่มต้นกันยังไง แต่เจ้าตัววุ่นวายกลับมองภาพร่างของรถไฟในจอคอมพิวเตอร์ด้วยดวงตาเป็นประกายแล้วเปิดบทสนทนาออกมาง่ายๆ

 

รถไฟต้นแบบยังเป็นแค่คอนเซ็ปต์อยู่ละนะ”    รุ่นพี่ตอบด้วยเส้นเสียงที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย 

 

นี่มันเจ๋งเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย? แอโร่ไดนามิกเนียนมาก”   หวังเฟยเฟยยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กเห็นของเล่นชิ้นใหม่ เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเพื่อเอาใจรุ่นพี่ แต่เจ้าเด็กจีนอิตาลีนั่นอาจจะมองออกจริงๆก็ได้

 

นายก็คิดงั้นใช่ไหม? นายเพิ่งมายังเข้าใจแต่ทำไมไอ้พวกหัวโบราณนั่นกลับไม่รู้เรื่อง น่าหงุดหงิดชะมัด”   ดวงตาหาเรื่องตวัดไปมองพวกทีม A ที่ยิ้มแห้งอยู่อีกฝั่งของพาทิชั่นเอาเถอะ เขาก็พอจะรู้อยู่หรอกนะว่าทำไมใครๆถึงไม่กล้ามายุ่งกับรุ่นพี่ นิสัยหัวร้อนชอบตีกับคนอื่นไปทั่วทั้งๆที่ตัวเท่าลูกแมวเนี่ยเขาเห็นมาเป็นปีละ

 

ถึงรุ่นพี่จะเก่งเข้าขั้นอัจฉริยะก็เถอะนะ 

 

เขามองทั้งสองคนที่หัวแทบจะชนกันอยู่ที่หน้าจอ เหมือนจะเจอหัวข้อที่ใช้จูลกันได้? รุ่นพี่เริ่มอธิบายอะไรยืดยาวในขณะที่หวังเฟยเฟยก็พยักหน้าหงึกๆ

 

นี่มันเหมือนเด็กเนิร์ดสองคนกำลังคุยกันเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย? แล้วเข้าใจสิ่งที่รุ่นพี่ชิโรยูกิพูดได้ เจ้ากระต่ายปีศาจนั่นก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันแหะ เพราะเป็นพวกอัจฉริยะเลยอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ได้ หลายต่อหลายครั้งที่รุ่นพี่มักจะหงุดหงิดและสงสัยว่าทำไมคนอื่นจึงไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ(สำหรับตัวเองคนเดียว)แค่นี้

 

เรากำลังทำอะไรกันอยู่เหรอครับ?”    เสียงทุ้มเอ่ยออกไป เขาแค่อยากรู้ที่มาที่ไปของโปรเจคนี้และพยายามลากทั้งสองคนกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

 

“......”    รุ่นพี่หันมามองอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ายังไม่ได้อธิบายงานให้พวกเขาสองคนฟังเลย

 

โทไคโด ชินคันเซ็นเป็นรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งจากโตเกียวไปโอซาก้า เดิมทีขบวนที่วิ่งเร็วที่สุดในตอนนี้คือโนโซมิ แต่ทางเจอาร์อีสกำลังวางแผนจะสร้างรถไฟซีรี่ย์ใหม่ที่มีความเร็วมากกว่าเดิมเพื่อใช้กับเส้นทางนี้…”    รุ่นพี่เริ่มอธิบาย

 

ก็เลยแบ่งทีมกันเพื่อประกวดแบบหัวรถไฟแบบที่ชนะจะถูกนำมาพัฒนาต่อไปเพื่อใช้งานจริงแต่ก็อย่างที่เห็น ทีมของชั้นมีแค่ชั้นกับพวกนาย”    แต่รุ่นพี่ก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์ แสดงว่าก่อนหน้านี้ก็คงคิดค้นมันขึ้นมาคนเดียวอย่างที่เขาคิดจริงๆสินะ

 

งื้อถ้าเจ้านี่ไม่ได้สร้างจริงชั้นคงนอนตายตาไม่หลับแน่เลยอ่ะ เรามาทำให้มันชนะกันเถอะ!”   หวังเฟยเฟยหน้านิ่วคิ้วขมวดมองสเก็ตต้นแบบหัวรถไฟในจอคอมพิวเตอร์ หมอนั่นไม่ได้พูดอย่างคนมองโลกในแง่ดีเหมือนพระเอกอนิเมะ ไม่ได้ให้กำลังใจคนในทีม แต่เจ้าตัววุ่นวายทำหน้าเหมือนจะตายตาไม่หลับจริงๆเสียมากกว่าถ้าไม่ได้ออกแบบรถไฟสุดเจ๋งคันนี้

 

จะไหวจริงๆใช่ไหมทีมของพวกเขาเนี่ยแต่ละคน

 

แล้วกำหนดส่งเมื่อไหร่ครับ?”   เขาถามออกไปเพราะรู้สึกตะหงิดใจเมื่อเห็นทีมอื่นๆเริ่มมีโมเดลตัวต้นแบบมาวางให้เห็นบ้างแล้ว

 

ต้นเดือนหน้าไง”    ห๋า? เดือนหน้า? เดือนหน้านี่มันก็อีกแค่สองอาทิตย์เองไม่ใช่เร๊อะ? ยังมีแค่คอนเซ็ปต์อยู่เนี่ยนะครับ?!

 

เขาถึงกับต้องถามย้ำกับตัวเองอีกทีจะไหวแน่ใช่ไหมทีมนี้~! 



 

 

 




วันนี้ Ferrari portofino M สีขาวมาจอดรอก่อนเวลาเลิกงานอยู่นานทีเดียว แค่รถซุปเปอร์คาร์แปะโลโก้ม้าลำพองก็ทำให้คนมองกันทั้งถนนอยู่แล้ว ยิ่งมีชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลากับหุ่นราวกับนายแบบมายืนพิงรถเหมือนรอใครอยู่ ก็ยิ่งทำให้สาวออฟฟิศถึงกับหันไปกรี๊ดใส่กันเลยทีเดียว

 

ช้าแหะ

 

หวังอี้คุนก้มมองนาฬิกา นี่มันเลยเวลาเลิกงานมาสักพักแล้วไม่ใช่หรือไง? หรือเขาจำผิด?

 

แล้วในขณะที่กำลังจะส่งข้อความไปถาม ก็มีเงาอะไรบางอย่างพุ่งเข้าใส่เขาอย่างแรง

 

"อี้คุน!!!!"    อุก...เจ้าลูกกระต่ายนี่เอง 

 

เจ้าตัววุ่นวายพุ่งใส่เขาราวกับอุกกาบาตพุ่งชนโลก แถมตอนนี้ยังเขย่าคอเขาจนแทบหลุดจากบ่าอีก

 

"นายไม่เป็นไรใช่ไหม? ยังไม่ตายสินะ แง๊~ นายรู้ไหมว่าชั้นเป็นห่วงนายแค่ไหน โทรไปหม่าม้าก็บอกว่านายนอนให้น้ำเกลืออยู่โรงพยาบาล ถ้านายตายชั้นต้องตายด้วยแน่ๆเลยก็เราเป็นฝาแฝดกัน เพราะงั้นนายห้ามตายนะ!!"

 

"อือ"   ชั้นจะตายเพราะนายเขย่าคอไม่หยุดนี่แหละ แล้วตกลงว่าห่วงเขาหรือห่วงตัวเองกันแน่เนี่ยเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย~

 

"แขนขาอยู่ครบไหมเนี่ย?"    หลังจากหยุดเขย่าคอก็หันมาจับแขนจับขามองสำรวจไปทั่วตัวเขา ก็นั่นแหละ เขาไม่ได้บอกก่อนว่าจะมา เจ้าลูกกระต่ายจะตื่นตูมก็ไม่แปลก ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุก็ยังไม่ได้คุยกันเลยด้วย

 

"ชั้นไม่เป็นไร ยังไม่ตาย และสบายดี"    มือใหญ่ต้องยันหัวสีดำออกไปห่างๆ

 

"ค่อยยังชั่ว งื้อ…"   ใบหน้ามนหน้านิ่วคิ้วขมวด คงจะห่วงเขามากสินะ ในใจนึกขอโทษจึงเอื้อมมือไปโยกหัวสีดำนั่นเบาๆ

 

"กลับกันเถอะ"

 

"อื้อ  อ๊ะ! ไม่สิ ยังไม่กลับ! นายมาก็ดีเลย ชั้นจะพาไปที่ที่หนึ่ง"   ถึงจะบอกว่าจะพาไปแต่เจ้าลูกกระต่ายกลับเปิดประตูนั่งลงที่เบาะข้างคนขับแถมคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย...ตกลงเขาต้องเป็นคนขับสินะ

 

"จะไปไหนเนี่ย?"   เขานั่งลงหลังพวงมาลัย มือเปิดgpsระบุพิกัด เอาเถอะ เขาขับเองน่าจะดีกว่า เจ้าลูกกระต่ายนี่ก็ขับรถไม่ธรรมดาเหมือนกัน

 

"ศาลเจ้าเมจิ!"

 

 

 

 

 



โตเกียว...เป็นเมืองหลวงที่รถแทบไม่ติด นั่นเพราะประชาชนส่วนใหญ่ใช้วิธีการเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลัก แถมถนนหนทางก็ค่อนข้างแคบ ที่จอดรถก็หายากและมีราคาแพง บนถนนจึงไม่ได้มีรถมากมายนัก พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็ถึงเป้าหมาย

 

ศาลเจ้าเมจิเป็นศาลเจ้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นสถานที่ที่ชาวญี่ปุ่นมักจะไปขอพร รวมถึงเป็นสถานที่ยอดนิยมในจัดพิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมด้วย

 

เฟอร์รารี่สีขาวจอดลงในลานจอดรถของศาลเจ้า นักขับมือสองของทีมม้าลำพองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาทำอะไรที่นี่ แสงแดดยามเย็นแทบจะลาจากขอบฟ้าไปแล้ว ศาลเจ้ายังเปิดอยู่ไหมเขาก็ไม่แน่ใจ

 

"ถึงแล้ว จะเอาไงต่อ?"   เขาหันไปถามเจ้าตัววุ่นวายที่เจ้ากี้เจ้าการให้เขาขับรถมาถึงนี่ แต่เจ้าตัวดีกลับกวาดตามองรอบๆกายอย่างหวาดผวา

 

"เป็นไร?"   เขาถามออกไปอย่างสงสัย แต่พอเงยหน้ามองทางที่เชื่อมจากลานจอดรถเข้าไปยังกลุ่มอาคารศาลเจ้า เขาก็เริ่มไม่แปลกใจที่เจ้าลูกกระต่ายจะมีอาการแบบนี้

 

พื้นที่รอบๆศาลเจ้าที่มีขนาดกว้างใหญ่นี้ปลูกต้นไม้เอาไว้เต็มไปหมด แล้วแต่ละต้นก็สูงใหญ่มากๆๆๆ หากเป็นเวลากลางวันคงจะร่มรื่นน่าดู แต่พอเป็นช่วงเวลาพลบค่ำแบบนี้ ผืนป่ากลับดูน่ากลัวมาก เงาวูบไหวที่ขยับไปมาจากทุกทิศทุกทางและเสียงลมพัดใบไม้สวบสาบดูราวกับปีศาจร้าย ถึงคนทั่วไปคงไม่รู้สึกอะไร แต่คนข้างๆเขาดันเป็นเจ้าลูกกระต่ายขี้กลัวเอาตัวไม่ค่อยจะรอดนี่สิ

 

"แง๊~ น่ากลัวอ่ะ~"   มือบางยกกระเป๋าขึ้นมาปิดหน้าจนเหลือแค่ลูกกระตาที่กรอกไปมา

 

"ทำไมที่นี่น่ากลัวแบบนี้อ่ะ? นายมาถูกที่รึเปล่าเนี่ย? นายดูเงาตรงนั้นสิ ไม่ไหวๆๆ ชั้นเดินผ่านไปไม่ได้แน่"    เจ้าลูกกระต่ายส่ายหัวดิกส่วนเขาก็ได้แต่ทำหน้าปลง

 

"ตกลงนายมาทำอะไรกันแน่เนี่ย?"   มาถึงแล้วก็กลัวจนไม่กล้าเข้าเนี่ยนะ?!

 

"ก็ชั้นจะมาซื้อเครื่องรางให้นายไง นายจะได้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุไง แต่ชั้นกลัวอ่ะ ชั้นไม่อยากเดินผ่านต้นไม้ตรงนั้นอ่ะ นายไปซื้อให้หน่อยนะอี้คุน~"   

 

"......"    เขามองหน้าคนที่หลับตาปี๋อย่างอนาถใจ นายอายุสามขวบเร๊อะเจ้าลูกกระต่าย

 

มันมีอย่างที่ไหนละฟ๊ะ จะซื้อเครื่องรางให้เขาแต่ตัวเองดันกลัวจนไม่กล้าเข้าไปซื้อ แล้วให้คนที่จะซื้อให้อย่างเขาไปซื้อเองเนี่ยนะ? เจ้าลูกกระต่ายเอ้ยยย

 

"เฮ้อ...นายนี่มันตัววุ่นวายจริงๆ แค่ลงไปซื้อเครื่องรางใช่ไหม?"   ไม่มีเขาจะมีชีวิตรอดได้ไหมเนี่ย? เขาถอนหายใจอย่างปลงๆ

 

"นายขอพรให้ตัวเองมาด้วยเลยนะอี้คุน"   …...อืม

 

"อ่ะนี่ เอาแบบนี้นะ ชั้นหาข้อมูลมาแล้วไม่ผิดแน่"   มือบางส่งรูปตัวอย่างมาให้ทางแชท เป็นถุงเครื่องรางแบบญี่ปุ่นสีชมพูอ่อน ตัวคันจิที่ปักอยู่บนนั้นเขาอ่านไม่ออกหรอกจึงได้แต่พยักหน้าส่งๆไปในขณะที่ปลดเข็มขัดนิรภัยเตรียมจะก้าวขาลงจากรถ

 

"ดะ เดี๋ยวก่อนอี้คุน!..."   เสียงใสเอ่ยเรียกเขาทำให้ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองอย่างสงสัย อะไรอีกล่ะ?

 

"หื๋อ?"

 

"ฝะ ฝากซื้ออันนี้ด้วย…."   แล้วก็มีอีกรูปส่งมาทางแชท เป็นรูปถุงเครื่องรางสีขาว

 

"อือ รออยู่นี่นะ จริงๆเล้ย วุ่นวายไม่มีใครจะเกินจริงๆ"    ปากก็บ่นแต่ก็ยังเดินไปซื้อให้ 

 

ร่างสูงสง่าเดินผ่านป่ากลางกรุงที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่กลางโตเกียว ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่ที่เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแบบนี้จะตั้งอยู่ระหว่างสองเขตที่วุ่นวายสุดขีดอย่างชินจูกุกับชิบุย่า เขาไม่ได้ยินเสียงผู้คนหรือรถราเลย มีเพียงเสียงอันสงบของผืนป่าสูงใหญ่เท่านั้น

 

ตัวศาลเจ้าอยู่ไกลเหมือนกัน คิดถูกแล้วละที่ไม่ลากเจ้าลูกกระต่ายเดินผ่านป่าที่ยาวเหยียดแบบนี้ ฝ่าเท้าเดินย่ำลงไปบนถนนโรยกรวดที่ส่งเสียงดังกรอกแกร่กๆไปเรื่อยๆ ยังดีที่ยังพอมีผู้คนเดินสวนมาอยู่บ้าง เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ารอดเสาโทริอิไม้ขนาดใหญ่ที่สูงพอๆกับตึกสามชั้นเข้าไป ที่นี่ทั้งๆที่เรียบง่ายแต่กลับให้ความรู้สึกทั้งสงบทั้งยิ่งใหญ่ เขาสัมผัสได้ถึงพลังของธรรมชาติอันเป็นรากฐานของชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดีเลย

 

ดวงตาคมกล้ามองเห็นแสงไฟเรืองๆมาจากกลุ่มอาคารศาลเจ้าที่ถูกสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณ  การใช้สีที่ทำให้ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด รู้สึกราวกับถูกสายตาที่อ่อนโยนของเทพเจ้าผู้สถิตอยู่ณ.ที่นี้จ้องมองอยู่ เขายืนมองอาคารสีไม้กับหลังคาสีเขียวน้ำทะเลนั่นอย่างนิ่งงันอยู่หลายนาที

 

ร่างสูงสง่าก้าวขาเข้าไปด้านใน เขาขอพรให้ทั้งตัวเองและครอบครัว ขอให้ทุกๆคนปลอดภัยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยเฉพาะเจ้าลูกกระต่าย ขอให้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้ามนนั่นตลอดไป

 

ทายาทลำดับที่สามของตระกูลหวังเดินกลับออกมา อีกอาคารที่ยังเปิดไฟอยู่ก็คืออาคารที่ขายพวกเครื่องรางของศาลเจ้า มิโกะที่สวมฮากามะสีแดงค่อมหัวให้เมื่อเขาเดินเข้าไป

 

มือใหญ่เปิดรูปจากมือถือเพื่อเอามาเทียบดู แล้วก็เห็นเครื่องรางสีชมพูอ่อนตามที่เจ้าลูกกระต่ายส่งรูปมาให้ เขาจึงหยิบมันขึ้นมา

 

"แฟนกำลังจะคลอดเหรอคะ?"    คุณมิโกะทักขึ้นทำให้เขาถึงกับชะงักไป

 

"เอ๊ะ?"

 

"ก็นี่มันเครื่องรางขอให้คลอดปลอดภัยนี่คะ?"   ห๋า??? เขาถึงกับยืนอ้าปากค้าง ไหนว่าหาข้อมูลมาดีแล้วไงฟ๊ะ เจ้าลูกกระต่ายบ๊องนี่~~!! คลอดปลอดภัยอะไรเล่า!!! มันจะคุ้มครองเขาแน่ใช่ไหมเนี่ย?!

 

"เอ่อ...โทษทีครับ ขอเปลี่ยนเป็นอันที่ขอให้ชนะและปลอดภัยจากอุบัติเหตุแทนครับ…"   เขาคืนเครื่องรางอันนั้นด้วยสีหน้าอายๆ คุณมิโกะอมยิ้มก่อนจะยื่นอันที่ถูกต้องมาให้...เจ้าตัววุ่นวายเอ้ย กลับไปจะดีดหน้าผากให้แดงเลยคอยดู!

 

"แล้วอันนี้ล่ะครับ มีความหมายว่าอะไร?"   เขายื่นเครื่องรางสีขาวอีกอันที่เจ้าลูกกระต่ายฝากซื้อไปถามย้ำกับมิโกะอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ซื้ออะไรแปลกๆกลับไป

 

"อันนี้...ขอให้แคล้วคลาดจากภยันตรายค่ะ"   …..ของพี่อี้หยางสินะ? นายนี่ก็คลั่งรักไม่เบานะเนี่ยเจ้าตัวดี ว่าแต่ ทำไมทีของหมอนั่นถึงหามาถูกต้องแต่ของพี่ชายฝาแฝดอย่างเขากลับผิดเนี่ย?! มันน่านัก!

 

"ใช่ที่อยากได้ไหมคะ?"

 

"อ่า ใช่ครับ ขอบคุณครับ"

 

เขาเดินกลับมาที่รถก่อนจะส่งซองใส่เครื่องรางสีขาวอันนั้นไปให้เจ้าคนที่ยื่นมือมารับพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ 

 

งื้อ ขอบคุณนะ”    สองมือของเจ้าลูกกระต่ายจับซองกระดาษนั่นเอาไว้ก่อนจะก้มมองมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักนี่ขนาดยังไม่ได้คบกันเป็นเรื่องเป็นราวยังหวานน่าหมั่นไส้ขนาดนี้ ต่อไปเขาไม่ต้องคอยฉีดยาฆ่ามดทุกวันหรอกเหรอเนี่ย

 

แล้วของนายล่ะ?”    

 

อยู่นี่”    มือใหญ่ตบกระเป๋ากางเกง เชือกสีดำของถุงเครื่องรางห้อยออกมาจากกระเป๋า

 

ขอพรมาแล้วสินะ?”

 

อือ”     มันยังไงกันนะ เครื่องรางที่อีกฝ่ายตั้งใจจะให้เขา แต่เขาต้องไปซื้อเอง ขอพรเอง แถมออกเงินเองอีกต่างหาก! มันยังจะคุ้มครองเขาอยู่แน่ใช่ไหมเนี่ย?

 

ดีมาก

 

ดีอะไรล่ะ เจ้าลูกกระต่ายวายร้าย~ นายรู้ไหม อันที่นายให้ชั้นไปซื้อน่ะมันขอให้คลอดปลอดภัยเฟ้ย~”     มือใหญ่บีบลงที่หัวสีดำอย่างหมั่นเขี้ยว

 

เอ๊ะ? ผิดเหรอ? ผิดได้ไงอ่ะ?”    

 

จะไปรู้เร๊อะ บ๊องอย่างนายมันก็เป็นไปได้อยู่แล้วนี่

 

ไม่จริงน่าตามการวิเคราะห์ของชั้นแล้ว อันนั้นน่ะมันน่าจะขอให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุนะ?”    อย่าวิเคราะห์เอาเองสิฟ๊ะ ยิ่งไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้าอยู่ แล้วข้อมูลในเนตก็มีทำไมไม่เปิดดู! สรุปแล้วนายเดาเอาใช่ไหม? เดาเอาสินะ?!

 

เขาถอนหายใจก่อนจะถอยรถออกไป



 

 

 



แต่ก็ยังกลับไม่ถึงคอนโด เพราะตอนนี้หวังอี้คุนกำลังนั่งดื่มน้ำเลม่อนฮันนี่ยูสุกระป๋องอยู่ที่มุมเล็กๆแห่งหนึ่งในฮาราจูกุ

 

ดวงตาคมกล้าเหลือบมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา เขานั่งอยู่ในสวนแบบฮาร์ดสเคปที่ถูกจัดสรรมาจากพื้นที่เหลือๆ ม้านั่งที่มีอยู่ไม่กี่ตัวมีคนวัยทำงานบ้างวัยรุ่นบ้างนั่งอยู่ประปรายอาจจะด้วยเวลาที่มืดค่ำแล้ว

 

แล้วทำไมเขาถึงได้มานั่งอยู่นี่น่ะเหรอ?

 

ก็แค่ขับรถโผล่ออกมาจากศาลเจ้าไม่ทันไร เจ้าลูกกระต่ายก็ร้องอย่างตื่นเต้นว่า   “ฮาราจูกุๆๆ! ชั้นจะกินเครป จอดหน่อย!

 

ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองเครปอันเท่าบ้านที่อยู่ในมือบาง เจ้าลูกกระต่ายตักไอศครีมช็อกโกแลตโรยด้วยบราวนี่ตัดเป็นลูกเต๋าเข้าปากด้วยใบหน้าฟินสุดๆ เอาเถอะ ยังไงก็ไม่ได้รีบกลับไปไหนอยู่แล้ว

 

อี้คุน กินให้หน่อย”    มือบางยื่นช้อนที่มีบราวนี่ชุ่มโชกไปด้วยช็อกโกแลตมาตรงหน้าเขา

 

นายก็กินไปสิ ชั้นต้องควบคุมน้ำหนัก”    เขาเป็นนักขับเอฟวัน น้ำหนักของเขาจะมีผลกับตัวรถด้วยเพราะต้องชั่งรวมกัน จึงต้องพยายามรักษาให้เท่าเดิมอยู่เสมอ 

 

กินไม่หมดอ่ะ ชั้นอยากกินเครปแล้วแต่บราวนี่ไม่หมดซักทีอ่ะ”    คราวหลังก็สั่งแบบที่ไม่มีบราวนี่สิฟ๊ะ เจ้าตัววุ่นวายประจำบ้านนี่มันวุ่นวายจริงๆ

 

“.....”     เขายื่นหน้าไปงับบราวนี่ในช้อนที่อีกฝ่ายถืออยู่ กลับไปเขาคงโดนเทรนเนอร์รีดขนาดหนักแน่ๆ เฮ้อ

 

มือใหญ่ยกกระป๋องเลม่อนฮันนี่ขึ้นมาดื่มในขณะที่นั่งรอเจ้าลูกกระต่ายเล็มเครปไปเรื่อยๆ การได้มานั่งมองผู้คนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาอยู่แต่ในพิตการาจ เจอแต่เครื่องยนต์เจอแต่กลิ่นน้ำมัน ได้ยินแต่เสียงท่อไอเสียเสียงปืนน็อตล้อ

 

"อี้คุน...ทำไงดีอ่ะ…”     แล้วจู่ๆเสียงของเจ้าตัววุ่นวายก็ดังขึ้นขัดบรรยากาศที่กำลังชิวๆ อะไรอีกล่ะ? กินอะไรเหลืออีกรึไง?

 

ชั้นโดนพี่อี้หยางจับกินไปซะแล้วอ่ะ"

 

"พรู้ดดด!!"   เลม่อนกระป๋องแทบจะพุ่งออกจากปากกับสิ่งที่ได้ยิน

 

"ห๊ะ?! เดี๋ยวนะ?! นายถูกหมอนั่นจับกดไปแล้วเหรอ?!"    เขาหันไปมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ

 

"อื้อ ทำไงดีอ่ะ ถ้าปะป๊าหม่าม้ารู้ชั้นต้องโดนตีแน่เลย แง๊~"     เจ้าลูกกระต่ายบีบก้นเครปในมือก่อนจะร้องงอแง

 

"เดี๋ยวก่อน เล่ามาให้หมดซิว่ามันยังไง หมอนั่นทำอะไรนายบ้าง?"  ไม่ใช่ว่าเขาจะเชื่อใจพี่อี้หยางหรอกนะ แต่กับเจ้าลูกกระต่ายบ๊องนี่บางทีก็เข้าใจผิดคิดไปเองอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน อีกอย่างเรื่องแบบนี้หวังอี้หยางไม่น่าจะใจร้อนขนาดนั้น?

 

คือว่านะ เรื่องมันก็มีอยู่ว่า…”

 

แล้วหลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมด เขาก็ได้แต่ยิ้มอย่างปลงๆ 

 

มือใหญ่ปากระป๋องเลม่อนฮันนี่เปล่าๆลงถังขยะก่อนจะหันไปดีดนิ้วใสหน้าผากใส

 

"โอ๊ย?! เจ็บนะ! ดีดหน้าผากชั้นทำไมเนี่ย? คนยิ่งกลุ้มๆอยู่?"

 

"กลุ้มแน่เหรอนายเนี่ย?"

 

"แน่สิ"

 

"งั้นก็เลิกกลุ้มไปเถอะ อย่างที่นายเล่ามาน่ะ เค้าไม่เรียกว่าโดนกินไปแล้วเฟ้ย"

 

"เอ๊ะ ยังหรอกเหรอ?"   ใบหน้าไร้เดียงสาเอียงคอมองเขาอย่าง งงๆ

 

"ยัง"

 

"แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าใช่อ่ะ?"

 

"........."    บ้าจริง ทำไมเขาต้องมาอธิบายเรื่องแบบนี้ให้เจ้ากระต่ายเด็กนี่ฟังด้วยเนี่ย! เขาก็อายเป็นนะเว้ย

 

"...กลับกันเถอะ"    เขาลุกขึ้นยืนอย่างตัดบททำให้อีกฝ่ายต้องลุกเดินตาม

 

"ห๊ะ? ยังไม่รู้เรื่องเลย"

 

"ยังไม่ต้องรู้หรอก"   ดูท่า อีกไม่นานนายคงได้รู้แน่ ดูจากอาการแล้วพี่ชายของเขาคงทนได้อีกไม่นานแล้วละ

 

"งื้อ ไม่ได้เรื่องเลยนายเนี่ย!"   ยังมีหน้ามาหงึใส่เขาอีก มันน่านัก!



 

 

 

 

 

หวังอี้คุนเดินแยกเข้าห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไป หวังเฟยเฟยจึงเดินเข้าห้องมาตามลำพัง คิ้วเรียวยังขมวดมุ่น ถึงแม้ตลอดทางที่ขับรถกลับมาเขาจะพยายามถามเจ้าลูกสิงโตนั่นยังไง อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบ

 

แล้วเขาจะรู้ได้ไงเนี่ยว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าโดนกินไปแล้ว?

 

สิ่งที่เรียกว่าเซ็กส์จริงๆแล้วเป็นแบบไหนกันแน่

 

มือบางยกขึ้นมาปิดหน้าที่จู่ๆก็รู้สึกร้อนขึ้นมา

 

ใช่ว่าจะไม่เคยลองหาข้อมูลในเนตนะ แต่แค่เปิดหน้าแรกเขาก็รู้สึกกลัวจนขนหัวลุกแล้วอ่ะ 

 

ไม่เห็นอ่อนโยนเหมือนตอนที่พี่อี้หยางจูบเขาเลย

 

ไม่เห็นจะชวนใจเต้นเหมือนตอนที่ฝ่ามือของพี่อี้หยางดึงมือเขาไปสัมผัสมันเลย

 

ก็นั่นแหละ เพราะรู้สึกขนพองสยองเกล้ากับฉากรักอันดุเดือดแบบนั้นแหละเขาเลยทนดูวีดีโอพวกนั้นต่อไม่ไหว เรื่องแบบนี้คงจะเกินขีดจำกัดของเขามากไป ถึงได้ยังมาเฝ้าสงสัยอยู่แบบนี้

 

ฮึ่ย! เจ้าลูกสิงโตนั่นต้องรู้แน่ๆ! แต่ไม่ยอมบอกเขา! โทรไปฟ้องหม่าม้าซะดีไหม?! แต่จะไปบอกหม่าม้าว่ายังไงอ่ะ

 

ใบหน้ามนงอหงิกเพราะไม่ได้ดั่งใจ ปกติแล้วเขาจะคุยกับอี้คุนทุกเรื่อง จะมีก็แต่เรื่องนี้แหละที่เจ้าลูกสิงโตไม่ยอมบอก

 

กลับมาแล้วเหรอ?”   เสียงทุ้มของพี่ชายต่างสายเลือดทักขึ้นจากโซฟา เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาถึงนี่แล้ว ก็มัวแต่คิดเรื่องของพี่เนี่ยแหละ!

 

"กลับมาแล้วครับ"

 

ดวงตากลมโตเหลือบมองหวังอี้หยางที่ยังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โซฟา นายใหญ่ของDiamond crownไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียวแต่คุณอาเธอร์ก็อยู่ด้วย และนั่นก็ทำให้เขาหันไปมองสูทสีดำที่เลขาส่วนตัวคนนั้นนำออกมาแขวนไว้

 

มันไม่ใช่สูทแบบที่พี่อี้หยางใส่ทุกวัน แต่เป็นสูทแบบทักซิโด้? มีงานกาล่าหรือดินเนอร์สุดหรูที่ไหนหรือไง?

 

"พี่จะไปไหนอ่ะ? แล้วไปกับใคร?"   ดวงตากลมโตหรี่มองอย่างคาดคั้น ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับหลุดหัวเราะในความหวงของของเขา มือใหญ่ของพี่อี้หยางชูรูปหนึ่งในแท็บเล็ตมาให้ดู

 

มันเป็นรูปสร้อยข้อมือเพชรที่ดูเก่าแก่โบราณสองชิ้น

 

สร้อยพระกรของพระนางเจ้ามารี อองตัวเน็ต สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส พรุ่งนี้จะมีการประมูลสร้อยข้อมือเพชรสองเส้นนี้ที่ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์”   เสียงทุ้มเอ่ยออกไป ของชิ้นนี้ทำให้งานประมูลเพชรครั้งนี้เป็นที่ฮือฮามากทีเดียว ขนาดคนทั่วไปก็ยังสนใจ

 

ของพระนางเจ้ามารี อองตัวเน็ต?!”    เจ้าลูกกระต่ายตาลุกวาวขึ้นมาทันที ร่างโปร่งถลาลงมานั่งข้างๆเขาก่อนที่ดวงตากลมโตจะจ้องสร้อยข้อมือที่ทำจากเพชรสีขาวน้ำงามเม็ดโตนั่นอย่างสนใจ ถึงแม้ดีไซน์จะเรียบง่ายด้วยการนำเพชร 112 เม็ดมาเรียงเป็นสามแถวพันรอบข้อมือ แต่แค่ชื่อผู้เป็นเจ้าของอย่างพระราชีนีองค์สุดท้ายของฝรั่งเศสซึ่งถูกประหารด้วยกิโยตินพระองค์นั้นก็ทำให้ของชิ้นนี้มีราคาสูงลิ่วแล้ว

 

พี่จะประมูลมันเหรอ?”    เจ้าลูกกระต่ายดูสนอกสนใจ สำหรับดีไซน์เนอร์แล้วงานของราชวงศ์ฝรั่งเศสล้วนน่าศึกษาทั้งสิ้น

 

เขามองสร้อยข้อมือเพชรที่เจียระไนแบบดั้งเดิมเส้นนั้น อันที่จริงเป้าหมายในการไปงานประมูลของเขาเป็นอย่างอื่น ไม่ได้ใส่ใจว่าจะต้องประมูลได้หรือไม่ แต่ดูท่า เขาคงต้องจริงจังในการแย่งชิงมันมาเสียแล้ว

 

ใช่”    เสียงทุ้มตอบในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้ามน

 

ไว้ถ้าประมูลได้ เฟยขอดูหน่อยนะ ดูนิดดดเดียว นะ”    เฟยเฟยเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างตื่นเต้น อีกฝ่ายคงไม่รู้ตัวเลยว่าเผลออ้อนออกมาและมันก็ทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งดั่งภูผาถึงกับพังทลายลงได้

 

ได้สิแต่ต้องมีอะไรมาแลกนะ”    ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มเจ้าเล่ห์ และมันก็ทำให้เจ้าลูกกระต่ายชักหน้าหงึใส่   

 

ขี้งก!”     เจ้าลูกกระต่ายหน้าหงิกหน้างอใส่ก่อนจะถอยครูดไปนั่งที่โซฟาอีกตัวอย่างงอนๆ แต่เขากลับอมยิ้มกับท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่าย ก็แกล้งแล้วน่ารักแบบนี้ไงถึงได้ทำให้เขากลายเป็นผู้ชายนิสัยไม่ดี



 


 

"พรุ่งนี้อี้คุนจะบินไปอเมริกาตอนเที่ยง ส่วนชั้นจะกลับจากสวิตตอนค่ำๆ ระหว่างนี้ถ้านายมีอะไรก็โทรหาชั้นได้ตลอด จะมีคนอยู่ที่นี่กับนาย ไม่ต้องกลัว"   นายใหญ่แห่งDiamond crownเดินเสยเส้นผมเหยียดตรงปราศจากการจัดทรงใดๆออกมาจากในห้องน้ำ เตียงยุบยวบเมื่อร่างสูงสง่านั่งลงในฝั่งที่ตัวเองนอน

 

"ครับ ไม่ต้องห่วงน่า เฟยอยู่ได้"   ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้ม อยู่ได้ก็แปลกละ 

 

ดวงตาคมกล้าเหลือบมองอนิเมชั่นที่เคลื่อนไหวอยู่ในจอทีวียังดูอนิเมะคำสาปอะไรนั่นอยู่สินะ?

 

แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ยื่นมาตรงหน้าเขา ด้วยมือบางๆของเฟยเฟย

 

"นี่คือ?"   ดวงตาคมกล้าเหลือบมองถุงเล็กๆที่ทำจากผ้าปักลายโบราณสีขาว

 

"คะ เครื่องรางของชาวญี่ปุ่น...เชื่อว่าถ้าพกไว้จะทำให้โชคดีและปลอดภัยจากอันตราย...วันนี้...เฟยไปขอพรแล้วก็ซื้อมาให้พี่ จากศาลเจ้าเมจิ..."    ดวงตาของเขาถึงกับเบิกกว้าง 

 

หัวใจที่เต้นกระตุกไปทำให้มือใหญ่คว้าต้นแขนบางก่อนจะดึงร่างโปร่งเข้ามาโดยไม่ผ่านการสั่งงานจากสมอง

 

แต่เป็นหัวใจที่สั่งให้เขาทำแบบนี้

 

"อื้อ?"

 

ริมปีปากประกบลงไปบนกลีบปากนุ่มนิ่มที่ไม่ทันตั้งตัว เครื่องรางที่อีกฝ่ายตั้งใจมอบให้เขา ตั้งใจขอพรให้เขา อยากให้เขาเก็บไว้ อยากให้เขาปราศจากอันตราย มันแสดงถึงความห่วงใยที่อาเฟยมีให้เขาจนเขาควบคุมตัวเองไม่ไหว

 

เขาดีใจมาก

 

ริมฝีปากที่กดลึกลงไปในกลีบปากที่นุ่มหนึบราวกับเยลลี่จูบค้างไว้แบบนั้นหลายวินาที

 

ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดเลยนอกจากเสียงของหัวใจ

 

กลีบปากค่อยๆละจากกันอย่างอ้อยอิ่ง

 

ดวงตาคมกล้ายังจ้องสีราวกับกุหลาบนั้นไม่วางตาก่อนจะค่อยๆเลื่อนสายตาขึ้นไปสบกับดวงตากลมโตที่กำลังสั่นพร่าและมองตรงมาที่เขาราวกับรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

 

"อยากหนีไหม?"    เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าในขณะที่ขยับเข้าหาอีกรอบ รอยยิ้มเผยอยู่ที่มุมปากเมื่อได้ยินเสียงลูกกระต่ายใจกล้าตอบกลับมาว่า

 

"ไม่หนี…"

 

ริมฝีปากกระกบซ้ำลงไปที่เดิม

 

ต่างกันก็ตรงที่คราวนี้เรียวลิ้นของเขาบดเบียดสอดแทรกเข้าไปในกลีบปากที่เผยอออกน้อยๆ 

 

เขาจู่โจมเจ้าลูกกระต่ายราวกับสิงโตหิวกระหาย ลิ้นร้อนกวาดต้อนไปทั่วโพรงปาก บ้างเกี่ยวกระหวัดพัวพันลิ้นไร้เดียงสาจากบนพลิกลงไปด้านล่าง เสียงครางครือในลำคอกับฝ่ามือบางสั่นน้อยๆที่จับยึดสาบเสื้อของเขาเอาไว้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอาเฟยรู้สึกดีกับรสจูบที่เขามอบให้

 

อื้ม~”   เขาถอนริมฝีปากออกไปพอให้มีอากาศหายใจก่อนจะขยับเปลี่ยนมุมแล้วประกบริมฝีปากลงมาใหม่

 

มันเหมือนอยู่ในฝัน มันทั้งหอมหวานและรู้สึกดี มันทำให้ลุ่มหลงมัวเมาจนอยากจะจูบซ้ำๆอยู่แบบนี้ เขาชอบเขาชอบจูบเฟยเฟยที่สุด

 

ร่างโปร่งบางค่อยๆไหลลงไปนอนกับพื้นเตียงอย่างอ่อนระทวยทั้งๆที่ปากยังคงถูกเขาจูบไม่ปล่อย เส้นผมสีดำละเรื่อยจากพนักเตียงลงไปจนแผ่สยายอยู่บนหมอน

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าจูบกันไปกี่รอบ แต่เขาไม่อยากจะละออกไปเลยจริงๆ

 

อื้อ…”    เฟยเฟยทำได้แค่ร้องประท้วงในลำคอเมื่อต้องการอากาศหายใจ เขายอมปล่อยกลีบปากแดงช้ำจากการจูบอันยาวนาน จนใบหน้าหวานที่ดูล่องลอยน้อยๆต้องรีบโกยอากาศเข้าปอด

 

แฮ่กแฮ่ก….”   เขาย้ายริมฝีปากจูบละเรื่อยลงไปที่ลำคอราวกับยังเหลือแรงเฉื่อย 

 

ริมฝีปากร้อนๆกดจูบลำคอระหงต่อไปโดยเจ้าของมันทำได้แค่หันเอียงให้เพราะยังเคลิบเคลิ้มเผลอไผลไปกับจูบรสน้ำผึ้งที่เขามอบให้ ได้ยินเสียงหอบหายใจอยู่อีกพักใหญ่ และเมื่อลมหายใจเริ่มเข้าที่ เสียงนุ่มก็เอ่ยออกมาทำให้เขาต้องละจากต้นคอขึ้นไปมอง

 

นี่น่ะใช้แลกกับให้เฟยดูสร้อยข้อมือของพระนางเจ้ามารี อองตัวเน็ตได้ไหม?”    ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมาอ้อน เขาถึงกับยกยิ้ม

 

หึได้สิริมฝีปากของนายมีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น”   เสียงทุ้มเอ่ยด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์

 

“......งื้อออ เฟยหมายถึงเครื่องรางต่างหาก!”  ทำเอาเจ้าลูกกระต่ายถึงกับยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วพลิกตัวไปอีกฝั่งด้วยความเขินอาย ร่างกายที่หนากว่าจึงขยับเข้าไปกอดร่างบางจากทางด้านหลัง

 

อ๊ะ?”   และเมื่อร่างกายแนบชิดกัน อาเฟยก็ถึงกับอุทานออกมาเบาๆ เพราะแท่งอะไรใหญ่ๆร้อนๆบางอย่างถูกกดแนบอยู่กับบั้นท้ายกลมกลึง

 

"นอนเถอะ"   เสียงทุ้มกระซิบบอกที่ใบหูแดงระเรื่ออย่างพยายามข่มใจ

 

".....แต่ว่าของพี่…"

 

"ช่างเถอะ เดี๋ยวชั้นไปจัดการเอง"   เจ้าลูกกระต่ายเงียบไปและไม่กล้ากระดุกกระดิกราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ร่างโปร่งนอนนิ่งๆอยู่ในอ้อมแขนเขา ดวงตาใสแจ๋วยังไม่มีวี่แววว่าอยากจะหลับเลยสักนิด

 

"นายชอบให้นอนกอดไว้แบบนี้สินะ?"   เสียงทุ้มเอ่ยออกไปเพื่อหาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองและทำให้เจ้าลูกกระต่ายหายเกร็ง

 

"ครับอุณหภูมิของร่างกายกับเสียงของหัวใจมันทำให้เฟยรู้สึกปลอดภัย"   ท่อนแขนผอมบางยกขึ้นมากอดแขนเขาอีกที อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ไม่ได้มีเพื่อเฟยเฟยเพียงคนเดียว แต่มันช่วยเยียวยาเขาด้วยเช่นกัน 

 

จิตใจของเขาเองก็รู้สึกราวกับถูกรักษา เมื่อได้กลิ่นและได้สัมผัสไออุ่นที่มาจากตัวเฟยเฟย

 

"...อี้คุนบอกว่าแบบนี้ยังไม่ถือว่าพี่กินเฟยไปแล้ว?…"   เราสองคนยังนอนคุยกันต่อไป

 

"อืม"

 

"แต่ชั้นก็แทบคลั่งแล้วล่ะตอนนี้"   เขายอมรับสภาพของตัวเอง

 

"เมื่อไหร่จะถึงขีดจำกัดนั้นเหรอ?"    เสียงนุ่มถามออกมาเบาๆ เขาจึงขยับใบหน้าไปกระซิบอย่างหนักแน่นที่ใบหูบาง

 

"เมื่อคำว่ารักหลุดออกมาจากปากนาย ชั้นจะรอจนกว่าจะถึงวันนั้น"   เขาตั้งใจมานานแล้ว ว่าจะไม่ทำอะไรจนกว่าเฟยเฟยจะบอกรักเขาจากปากของตัวเอง ยอมรับว่ารักเขาจากใจจริง 

 

"........"   หวังเฟยเฟยถึงกับนิ่งค้างไป  งื้ออออ ผู้ชายคนนี้~ ทำไมเท่ห์แบบนี้นะ แล้วจะไม่ให้เขาเผลอใจได้ไง

 

"แล้วถ้าเฟยไม่ยอมพูดมันออกมาล่ะ?"

 

"ชั้นก็จะรักนายให้มากขึ้น ทำให้นายคิดถึงแต่เรื่องของชั้น และทำให้นายพูดออกมาจนได้"

 

"........"   ใบหน้าหวานแดงซ่านไปหมดแล้วตอนนี้ ร่างโปร่งพลิกตัวกลับมาแล้วกอดเอวร่างที่หนากว่าจนไม่เหลือที่ว่าง กอดจนแทบจะหายไปในแผ่นอกของกันและกัน

 

"เครื่องรางขอบใจนะ จะเก็บไว้อย่างดีเลย"   เสียงทุ้มเอ่ยกับกลุ่มผมสีดำ หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดั่งหินผาถึงกับเต้นโครมๆเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็พลิกตัวมากอดเขาแบบนั้น 

 

"เก็บไว้อย่างเดียวไม่ได้นะ พี่ต้องปลอดภัยด้วย แล้วก็แค่เรื่องเล็กน้อยเอง"    เสียงงึมงำๆดังออกมาจากแผงอก

 

"นายไม่รู้หรอกว่าแค่เรื่องเล็กน้อยที่นายทำให้ชั้น มันมีค่ามีความหมายขนาดไหน"   

 

นายเปลี่ยนโลกที่แสนเย็นชาของชั้นด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของนาย 

 

เอาหัวใจที่เขาทำหายไปกลับมาใส่ในร่างกายของเขาอีกครั้ง เขานึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีเฟยเฟย เขาจะกลายเป็นหวังอี้หยางที่โหดเหี้ยมขนาดไหน เพราะเขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะได้เจอเฟยเฟย เขาไม่เคยสนใจเพื่อนมนุษย์หรืออะไรเลยนอกจากDiamond crownและตระกูลหวัง ไม่เคยสนใจแม้แต่ตัวเอง 

 

แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะร่างกายนุ่มนิ่มและเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากของเจ้าลูกกระต่ายเบบี๋คนนี้ 

 

"พรุ่งนี้อยากให้นายไปด้วยกันจัง…"    เขากระชับอ้อมแขนก่อนจะกดจูบกลุ่มผมนิ่มนั่นเบาๆ ไม่อยากจะห่างกันสักวินาทีเลยตอนนี้

 

"เฟยต้องฝึกงานนี่นา"   เสียงนุ่มเอ่ยงึมงำออกมา ทั้งเสียดาย ทั้งเริ่มจะง่วงแล้ว อุณหภูมิของเขาคงอุ่นกำลังดี ดวงตาที่เคยใสแจ๋วอยู่จนถึงเมื่อกี้จึงเริ่มปรือปรอย 

 

ใบหน้าหล่อเหลาเลยยิ้มอย่างตัดใจ แต่เฟยเฟยไม่ไปก็ดีเหมือนกัน เพราะนอกจากเรื่องประมูลเพชรแล้วเขาก็ยังมีธุระสำคัญเรื่องอื่นต้องไปทำเสียด้วย

 

ธุระ...ที่ไม่อยากให้เฟยเฟยรู้สักเท่าไหร่

 

เพราะถ้าเจ้าลูกกระต่ายรู้ว่าเขากำลังทำเรื่องอันตรายอะไรอยู่ อีกฝ่ายจะกังวลเสียเปล่าๆ

 

 

 

 



ซ่า~~

 

มือใหญ่ปิดก๊อกอ่างล้างหน้าเมื่อล้างมือเสร็จ สองขาก้าวเดินออกจากห้องน้ำหลังจากเพิ่งไปเอามันออก

 

ดวงตาคมกล้าทอดมองคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปมองแสงไฟเรืองๆที่ลอดมาจากใต้ประตู 

 

อาเธอร์ยังอยู่อีกเหรอ?

 

"มีอะไรรึเปล่า?"   เสียงทุ้มทักขึ้นเมื่อเดินออกมาดูแล้วเห็นว่าเลขาประจำตัวยังอยู่จริงๆ

 

"นี่เป็นรูปที่พวกหมาล่าเนื้อส่งมาครับ"   อาเธอร์วางรูปถ่ายที่เป็นเพียงรูปอาคารสถานที่ลงบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา

 

"......"   ดวงตาคมกล้าเหลือบมองรูปทั้งหมดที่มาจากต่างโซนเวลา ต่างเมือง ต่างประเทศเหล่านั้น...สมเป็นหมาล่าเนื้อของเขา ทำงานรวดเร็วทันใจมาก

 

"อืม  ให้ล่าต่อไป พรุ่งนี้...แค่นี้ก็น่าจะพอ"

 

"ครับ"

 

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

520 N.

To be con.

 

 

อ้อหอ~~ ตอนแรกว่าจะเก็บไว้ลงพร้อมกันสองพาร์ททีเดียวเพราะมันเป็นตอนต่อเนื่อง แต่เมื่อคืนวันอาทิตย์ F1 ม้าชนะค่ะ!!! ม้าชนะแถมได้ที่1กับ2ด้วย กรี๊ดดดดดด เปิดสนามแรกปีนี้ดีมว๊ากกกกก รถเร็วมว๊ากกกก คือติ่งรอมาสองปีอ่ะวันนี้ ฮืออออ ลงฟิคฉลองหน่อย งื้ออออออ ฉลองที่คุมหมอกู้ฉายแบบสายฟ้าแล่บด้วย555 แล้วก็ขอบคุณเสียงทวงด้วยนะคะ ไฟลนเลยเนี่ย กร๊ากกก

 

แน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะเอาคลิปศาลเจ้าเมจิมาให้ดูด้วยค่ะ เพราะว่าเราเป็นฟิคนำเที่ยว 5555

 Amazing forest in the middle of Tokyo: Meiji Shrine (guide)

 

ร่มรื่นมากเลยเนอะ =v= คือแบบ นี่อยู่กลางโตเกียวเลยนะ แต่ต้นไม้คือใหญ่โตมโหฬารจนนึกว่าอยู่ในป่าดงดิบเลยอ่ะ สุดยอดสมเป็นญี่ปุ่นจริงๆ คืออีกฝั่งถนนนี่เป็นฮาราจูกุ ข้างๆคือชิบุย่า แล้วป่านี่มันอะไรกั๊นนน ตอนไปครั้งแรกถึงกับอึ้งอ่ะค่ะ ความรู้สึกเหมือนโลกสองใบที่ต่างกันมากๆมาอยู่ข้างๆกันอ่ะ555

 

=v=...ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และกำลังใจจากตอนที่แล้วมากๆๆนะค้า คือตอนลงก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ายังมีคนรออ่านอยู่ไหม หายไปนานจัด555 แถมกว่าจะแต่งเสร็จแต่ละตอนก็นานละเกิน // ซับน้ำตา //จริงๆต้องขออภัยก่อนค่ะ เพราะว่าตอนพิเศษเหล่านี้ไม่ได้มีการวางพล็อตมาก่อน เพราะงั้นกว่าจะเขียนเสร็จแต่ละตอนก็เลยใช้เวลาไปกับการคิดเนื้อเรื่องไปซะเยอะเลยค่ะ ^ ^a ไม่อยากให้เรื่องหนักเกินไปแต่ก็แบบ ถ้าใช้ชีวิตไปวันๆมันจะน่าอ่านไหมนะ? ยังไงก็ขอบคุณจริงๆๆที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ฟิคเรื่องอื่นๆด้วยน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า

 

ปล.ตอนต่อไปอาจจะมาช้าหน่อยนาคะ ขอปั่นฟิควันเกิดให้เอเลนแป๊บบบ ไททันซีซั่นล่าสุดทำให้คุณกวางมันใกล้จะเป็นบ้าแล้วค่ะ เพลงเปิดเพลงปิดก็คือตายไปเลยซีซั่นนี้ สะเทือนใจตูมาก ฮือออ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น