ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] GLIDE : 2x4 It’s me :
520 N. again [Part4]
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: ข้อมูลจะไม่แน่นเท่า GLIDE
ภาคก่อนๆนะคะ เพราะภาคนี้ข้ามมา 2 ล้อ ตรูขี้เกียจหาข้อมูลฝั่ง Moto
GP โฟ้ยยยย // โดนตบด้วยหมวกกันน็อค
GLIDE
: 2x4 It’s me : Special Episode :
“520 นิวตัน”
.
.
.
หวังอี้คุนมาถึงโตเกียวเมื่อเช้านี้…
หลังจากจบการแข่งขันที่เรียกได้ว่ามหาโกลาหลที่สุดในปฏิทินเอฟวัน
เพราะฝนที่ถล่มลงมาตั้งแต่วันควอลิฟายทำให้ทุกอย่างพลิกผันไปหมด
รถของทีมเฟอร์รารี่แข่งไม่จบทั้งสองคัน อาคะชูชนมันตั้งแต่รอบแรก
ส่วนเขาก็ท้ายปัดเพราะน้ำที่ขังจนมองไม่เห็นอะไร
ดีที่รอดจากกำแพงที่พังยับทั้งแถบมาได้
ค็อกพิตของม้าลำพองยังไว้ใจได้เรื่องความแข็งแรงกว่าใคร
เมื่อวานนี้ธงแดงปลิวว่อนตลอดการแข่งขัน
น่าจะเหลือรถที่แข่งจบไม่ถึงสิบคันมั้งนั่น
ร่างสูงสง่ากวาดสายตามองสำรวจห้องที่ถูกเคลียจนว่างโล่ง
มีแค่โต๊ะตัวนี้กับเตียงคิงไซส์อีกหลังเท่านั้นที่ตั้งอยู่
...นี่ไม่ใช่ห้องของเจ้าลูกกระต่าย แต่เป็นอีกห้องที่อยู่ติดกัน
ปลายนิ้วยาวแตะลงไปที่โต๊ะไม้อย่างดีสีดำสนิท...นี่คือโต๊ะทำงานของหวังอี้หยาง…
ขายาวเดินอ้อมไปก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หนังสีดำอย่างไม่สนใจว่ามันคือเก้าอี้ของผู้บริหารแบรนด์เพชรระดับโลก
เขาเอนหลังพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆ
หมุนเก้าอี้ออกไปมองวิวย่านมารุโนะอุจินอกหน้าต่าง
ก่อนจะหมุนกลับมาหยุดที่โต๊ะสีดำตัวนั้นใหม่
โฮ่...ขนตราประทับและเอกสารสำคัญมานี่หมดคงไม่ต้องถามแล้วว่าเจ้าพี่บ้านั่นคิดจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน
เขาไล่มองตราประทับที่มีมูลค่ามหาศาลที่วางอยู่บนโต๊ะ มีทั้งของ Diamond crown และของตระกูลหวังอยู่ที่นี่ครบ
เขาไม่ต้องกังวลแล้วสินะว่าเจ้าลูกกระต่ายจะไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน
แขนแข็งแรงยกขึ้นเท้าคางในขณะที่ดวงตาก็ทอดมองกองเอกสารการประมูลเพชร
ตัวเลขไม่รู้กี่หลักบนนั้นทำให้เขาถามตัวเองอีกครั้งว่าเจ้าพี่บ้านั่นปล่อยให้เขาเข้ามาในห้องนี้ได้ง่ายๆนี่มันจะดีแน่เหรอ? ไม่กลัวเขาจะหักหลังล้วงความลับไปบอกใครบ้างเลยหรือไง?
แกร่ก
ดวงตาราชสีห์ละจากบรรดาตราประทับตรงหน้าไปมองสิงโตอีกตัวที่เดินเข้ามา
ในมือของนายใหญ่แห่ง Diamond
crownถือแก้วกาแฟมาสองใบ
"นายโอเคใช่ไหม? อาเฟยเป็นห่วงนายมาก"
อ้อ คงจะหมายถึงอุบัติเหตุเมื่อคืน
จะมองว่ามันน่ากลัวก็ได้อยู่หรอก ถึงแม้เขาจะปลอดภัยดีแต่ถ้ามองจากมุมคนนอก
การที่รถพังยับทั้งคันแบบนั้นมันก็คงน่าเป็นห่วงนั่นแหละ บอกตามตรงว่าตอนชนเขาเองก็ไม่คิดว่าจะออกมาอย่างไร้รอยขีดข่วนขนาดนี้
"ครับ แพทย์สนามตรวจแล้ว ไม่เจออะไรแตกหัก"
"ชั้นคงไม่บอกให้นายเลิกแข่งรถ แต่ยังไงก็นึกถึงคนที่ห่วงนายด้วยล่ะ"
"รู้แล้วน่า"
"แล้วก็ ตอนที่นายมา นายไปนอนกับอาเฟยก็ได้ เดี๋ยวชั้นนอนห้องนี้เอง"
พี่ชายผู้มีสายเลือดเดียวกันวางกาแฟแก้วหนึ่งลงมาตรงหน้าเขา
"ช่างเถอะ ผมไม่ได้อยู่ที่นี่ประจำ จะให้พี่ย้ายไปย้ายมามันก็ใช่เรื่อง
เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็ต้องบินไปอเมริกาแล้ว" F1สนามถัดไปแข่งต่อเนื่องสองอาทิตย์ติด
ที่จริงเขาไม่มีเวลามาโอ้เอ้อยู่นี่ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความห่วงเจ้าลูกกระต่าย
หม่าม้าเลยหาเวลาให้เขาแวะมาดูน้องหน่อย
"แต่ผมไม่นอนห้องนี้ ยังมีห้องอื่นอีกใช่ไหมล่ะ?" อย่างหวังอี้หยางคงเช่าไว้หมดทั้งฟลอร์แล้วไหม
"หึ นายไปเลือกเอาก็แล้วกัน ทำไม? อยู่กับโต๊ะทำงานไม่ได้เลยหรือไง?"
เขาหัวเราะเหอะๆใส่ แต่ก็เป็นความจริงที่เขาไม่อยากยุ่งกับโต๊ะทำงานของพี่อี้หยางนัก
เอกสารพวกนี้มีมูลค่าเป็นพันๆล้าน ใครจะอยากรับผิดชอบ
เขาทิ้งตัวลงไปในพนักเก้าอี้หนังสีดำ
ดวงตาคมกล้าจ้องมองใบหน้าของพี่ชายจนอีกฝ่ายหันมาทักอย่างสงสัย
"มีอะไร?"
"....ถ้าคุณปู่รู้จะทำยังไง?" ใบหน้าของพี่ชายนิ่งไป
อีกฝ่ายย่อมรู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของพี่อี้หยางกับอาเฟย
ในบรรดาพวกเราสามคนมีเพียงอาเฟยที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันเลย
เขากับเจ้าลูกกระต่ายเป็นเด็กหลอดแก้วด้วยกันทั้งคู่ เขามีสายเลือดของปะป๊า
อาเฟยมีสายเลือดของหม่าม้า ไข่ของแม่ก็เป็นคนละคนกัน
ตัวอ่อนของเราสองคนถูกฝังไว้ในครรภ์ของผู้ให้กำเนิดคนเดียวกันเพื่อให้เกิดมาพร้อมกันในฐานะฝาแฝด
เขาจึงเป็นคนเดียวที่มีสายเลือดเดียวกับพี่อี้หยาง แต่เป็นเพราะทั้งเขา เฟยเฟย
และพี่อี้หยางถูกเลี้ยงมาแบบพี่น้อง จึงหลีกเลี่ยงเรื่องความรักต้องห้ามไม่ได้
ถึงแม้พี่อี้หยางจะไม่เคยมองอาเฟยเป็นน้องชายสักวินาทีเลยก็เถอะ…
ป๊าม้าของเขาน่าจะพอคุยกันได้
เขารู้สึกว่าปะป๊ากับหม่าม้าเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างมาตลอด? แต่คุณปู่นี่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่
คุณปู่คาดหวังในตัวพี่อี้หยางเอาไว้สูงมากจึงเข้มงวดกับพี่ชายคนนี้มากกว่าเขาหลายเท่า
อีกทั้งคุณปู่ยังรักอาเฟยยิ่งกว่าอะไร
ถ้ารู้เรื่องความสัมพันธ์ที่มันไม่ถูกไม่ควรนี่เข้า บ้านคงแตกแน่นอน
แต่ทายาทลำดับที่หนึ่งของตระกูลหวังก็ยังเยือกเย็น
หวังอี้หยางไม่มีความตื่นตระหนกให้เขาเห็นเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งเขาเชื่อว่าผู้ชายคนนี้คงเตรียมรับมือคุณปู่เอาไว้อยู่แล้ว
"ก็ไม่ทำยังไง ชั้นต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ชั้นทำลงไปอยู่แล้ว"
เสียงทุ้มราบเรียบตอบออกมา...บ้าเอ้ย ทำไมเท่ห์แบบนี้วะ?!
"พี่ต้องโดนตัดออกจากกองมรดกแน่" เขาถอนหายใจอย่างยอมแพ้
หวังอี้หยางนะหวังอี้หยาง ถ้าหันไปเลือกคนอื่น ถ้าไม่มีเรื่องความรักต้องห้าม
ก็คงจะเป็นผู้ชายที่มีชีวิตดีจนทุกคนบนโลกต้องอิจฉา แต่ก็อย่างว่าละนะ
พระเจ้าคงไม่ลำเอียงให้ใครสักคนเพอร์เฟกต์ไปเสียหมดทุกอย่าง
มันต้องมีสักเรื่องที่เป็นจุดอ่อน
"ไม่โดนหรอกถ้านายให้ความร่วมมือ ยังไง...คุณปู่ก็ต้องเลือกชั้น"
ใบหน้าที่คล้ายเขายิ้มเย็นๆอย่างมั่นใจ
"หวะ...ทำไมชั่วร้ายได้ขนาดนี้เนี่ย พี่จับเจ้าลูกกระต่ายเป็นตัวประกันแท้ๆ
ผมจะมีทางเลือกอะไร" อาเฟยรักพี่อี้หยางสุดหัวใจ
แล้วเจ้าหมอนี่ก็รู้ด้วยว่าสำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขของอาเฟย
เพราะงั้นเขาไม่มีทางต่อต้านแน่
ถึงแม้ตระกูลหวังจะยังมีเขาเป็นทายาทอีกคน
แต่ตราบใดที่หวังอี้หยางยังคงทำทุกอย่างเพื่อเฟยเฟย เขาก็ไม่มีทางขัดขวางอยู่แล้ว
และตราบใดที่เขาไม่เอาเสียอย่าง
ต่อให้คุณปู่จะโกรธเกรี้ยวจนอยากจะปลดพี่อี้หยางออกจากกองมรดก
อยากจะเปลี่ยนตัวทายาทอันดับหนึ่งจากพี่อี้หยางมาเป็นเขา... ย่อมทำไม่ได้...
คุณปู่คงไม่ยอมเสี่ยงที่จะให้ตระกูลหวังต้องพังพินาศเพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดของเขาแน่
แล้วพี่อี้หยางก็ดันเก่งมากเสียด้วย
คุณปู่ไม่มีทางหาทายาทที่เก่งขนาดนี้ได้อีกแล้วในชาตินี้
ในรอบร้อยปีจะมีใครเทียบได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
อีกอย่าง
Diamond
crown ก็ไม่ใช่ของตระกูลหวัง
แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของหวังอี้หยางแต่เพียงผู้เดียว
แค่แบรนด์เพชรนั่นก็มีมูลค่าสูงกว่าทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลหวังอยู่แล้ว
โดนปลดจากทายาทลำดับหนึ่งไปเจ้าพี่บ้านี่ก็ไม่เดือดร้อนหรอก
แน่นอนว่าคุณปู่ไม่มีทางซ่อนเจ้าลูกกระต่ายจากผู้ชายที่ทรงอิทธิพลขนาดนี้ได้แน่
จับแยกไปก็ไม่มีประโยชน์ พี่อี้หยางเสียอีกที่อาจจะมีเซฟเฮ้าส์ซุกไว้ทั่วโลก
เกิดอะไรขึ้นจริงๆหมอนี่คงพาอาเฟยหนีแล้วพวกเขาก็คงหาตัวเจ้าลูกกระต่ายไม่เจออีกเลยก็ได้
ไม่ว่าจะคิดยังไง
คุณปู่ก็ต้องยอมพี่อี้หยางจริงๆนั่นแหละ ผู้ชายคนนี้…เตรียมรับมือคุณปู่มาร่วมยี่สิบปี
ทำเพื่อความรักอันยากลำบากนี้…
เฮ้อ...หมอนี่มันน่ากลัวชะมัด
เขาไปแข่งรถของเขาดีกว่า สบายใจ อีกอย่าง งานสายบริหารก็ไม่ใช่ทางของเขาด้วย
เขาไม่คิดจะแข่งกับพี่อี้หยางมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
มือแข็งแรงยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนจะลุกขึ้นยืน
เขาคว้ากุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเอ่ยกับเจ้าของห้อง
"เย็นนี้ผมไปรับอาเฟยเอง"
การใช้ชีวิตอยู่ในโตเกียวยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่หวังเฟยเฟยต้องเรียนรู้…
หนึ่งในนั้นก็คือการเข้าห้องน้ำให้ถูกต้องนี่แหละ!!
“โอ๊ย ฉี่จะราดอยู่แล้ว~” ร่างโปร่งบางวิ่งปรู๊ดออกจากแผนกออกแบบหลังจากมัวเพลิดเพลินกับการดูแบบรถไฟที่พวกรุ่นพี่เอามากองให้ศึกษาก่อนที่จะได้รับมอบหมายงานจริงๆจังๆ
กว่าจะรู้ตัวว่าปวดปัสสาวะก็แทบราดจนต้องวิ่งพรวดพราดออกมาแบบนี้
“ง่ะ?” และเมื่อมาถึงหน้าห้องน้ำ ใบหน้ามนก็ถึงกับผงะ
นะ นี่มันอะไรกัน?
ไม่มีรูปผู้หญิงหรือผู้ชาย
ไม่มีสีฟ้าหรือสีชมพู มีแต่ตัวหนังสือที่เขาอ่านไม่ออก! แล้วอันไหนมันห้องน้ำชาย
อันไหนมันห้องน้ำหญิงเนี่ย?!
ดวงตากลมโตเพ่งมองตัวอักษรฮิรางานะที่เหมือนจะทำมาให้อ่านง่ายแต่มันกลับไม่ช่วยอะไรเขาเลยสักนิด!
ถ้าเป็นคันจิยังพอจะเดาได้บ้างเพราะเขามีพื้นฐานภาษาจีนที่มีรากเหง้ามาจากที่เดียวกัน
บ้าจริง
ตึกนี้ไม่มีชาวต่างชาติอยู่เลยหรือไง
ทำไมไม่ใช้สัญลักษณ์แบบที่สากลโลกเค้าใช้กันเนี่ย!
ห้องน้ำสาธารณะที่อื่นยังโอเคเพราะมีการใช้สัญลักษณ์ที่เป็นสากล
แต่ห้องน้ำในออฟฟิศที่สร้างมากว่าครึ่งศตวรรษนี่สิที่เป็นปัญหาสำหรับเขามากกก
โอ๊ย
ไม่ไหวแล้ว! จะไหลแล้ว! ถ้างั้นก็หลับหูหลับตาเข้ามั่วๆไปก่อนก็แล้วกัน
ถ้าไม่ใช่ค่อยออกมาใหม่ก็แล้วกัน!
พอคิดได้แบบนั้น
ขาเรียวก็วิ่งเข้าห้องหนึ่งซึ่งเล็งไว้ว่ามันต้องเป็นห้องน้ำชายแน่ๆ
ทว่า… อ่างล้างหน้าและกระจกยาวเหยียดก็ทำให้รู้ตัวทันทีว่าที่เลือกมาน่ะมันผิด!
"ง่า…" ขาเรียวเตรียมจะเลี้ยวกลับแต่ว่า
“ฮึก…” แผ่นหลังของใครบางคนและยังเสียงสะอื้นที่ปนมาก็ทำให้ขาทั้งสองข้างถึงกับชะงักงัน
จากที่คิดจะรีบหันหลัง กลับทำไม่ได้ สายตาของเขาถูกดึงไปที่กระจกอย่างเลี่ยงไม่ได้
และผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาโดยอัตโนมัติเช่นกัน…อีกฝ่ายมีท่าทีตกใจ
ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะพยายามใช้มือเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลลงมาจนมาสคาร่าเลอะไปหมด
“เอ่อ…” เขาบังเอิญมาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า
ถึงจะไม่รู้จักกันแต่อีกฝ่ายก็กำลังร้องไห้อยู่…
เขาคงปลอบใจอะไรไม่ได้
ไม่รู้ด้วยว่าควรจะพูดอะไร เขาไม่ได้รู้เรื่องของอีกฝ่าย
ตอนนี้จึงทำได้เพียงยื่นมือไปดึงกระดาษทิชชูที่อยู่ใกล้เขามากกว่าแล้วส่งไปให้
“ใช้นี่เถอะครับ หน้าเลอะหมดแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นดูลังเล
แต่ในที่สุดก็ยอมยื่นมือมารับทิชชูไป เขาค่อมหัวให้ก่อนจะรีบเดินออกมาจากห้อง
ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร
แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายดูเศร้า ดูผิดหวัง ดูเสียใจมากๆเลย… อีกทั้ง…มืออีกข้างยังกุมท้องอยู่ตลอด…
หรือว่าจะปวดท้อง?
ชื่อของผมคือคุโรทากะ
ผมเป็นหนึ่งในเด็กฝึกงานของ
RTRIในปีนี้
เห็นแบบนี้แต่ผมก็มาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ของโทไดหรือมหาวิทยาลัยโตเกียวเชียวนะ
ถ้าการฝึกงานในครั้งนี้ราบรื่นดี
เกียรตินิยมอันดับหนึ่งก็คงไม่หนีมือผมไปไหน
"....."
แต่ตอนนี้ผมกำลังมีปัญหาใหญ่
เกียรตินิยมที่หวังไว้อาจจะหลุดลอยไปเพราะไอ้ตัววุ่นวายตรงหน้านี่แหละ!
"หัวหน้าแผนกเรียกพบ" เสียงทุ้มเอ่ยออกไป
ใบหน้าคมคายราวกับซามูไรเหลือบมองเจ้าคนที่เพิ่งเดินทำหน้ามึนกลับมาจากห้องน้ำ
"....นายไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกล่ะ?" เขาถามพลางถอนหายใจ
ตอนนี้ทั้งแผนกออกแบบไม่มีใครไม่รู้จักหวังเฟยเฟย เจ้าเด็กฝึกงานชาวต่างชาติที่เพิ่งมาทำงานได้แค่วันเดียวคนนี้
ถึงแม้จะเป็นคนที่หน้าตาดีมากแต่ที่รุ่นพี่ทุกคนรู้จักกลับมาจากความโก๊ะกังของอีกฝ่ายมากกว่า
แล้วเขาที่ต้องฝึกงานด้วยกันเลยต้องร่วมรับผิดชอบไปโดยปริยาย
“ห๊ะ? วันนี้ยังไม่ได้ก่อซักหน่อย
แค่เข้าห้องน้ำผิดไปเข้าห้องน้ำหญิงเอง? แล้วก็เพิ่งเกิดเมื่อกี้
หัวหน้าจะรู้ได้ไง?” ….เชื่อเค้าเลย
ห้องน้ำมีแค่สองห้องก็ยังจะเข้าผิดเข้าถูกอีก ชะโงกหน้าไปดูก่อนก็จบแล้วไหม?
“จริงสิ เมื่อกี้ชั้นเห็นผู้หญิงร้องไห้อยู่ในห้องน้ำด้วยอ่ะ
เป็นคนใช่ไหมนะ? ที่นี่ไม่มีผีใช่ไหมนะ?”
….ถึงจะมี แต่ผีก็ไม่ออกมากลางวันแสกๆอย่างงี้หรอกครับ
“ไปกันเถอะ” เขาส่ายหน้าก่อนจะเดินนำเจ้ากระต่ายปีศาจนั่นไปยังห้องของหัวหน้าแผนกออกแบบ
ในใจได้แต่ภาวนา ขอให้การฝึกงานผ่านไปด้วยดีทีเถอะ…
ก๊อกๆ
“มาพอดีเลย เข้ามาสิ” เสียงของหัวหน้าทำให้พวกเขาเปิดประตูเข้าไป
แล้วแผ่นหลังของคนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วก็ทำให้หัวใจของเขากระตุกไปวูบหนึ่ง
ไม่คิด…ว่าจะได้เจอกันไวขนาดนี้…
ไม่สิ…เขาควรจะได้เจออีกฝ่ายก่อนใคร
แผนกออกแบบก็ใช่ว่าจะกว้างใหญ่ ที่เขาไม่เจอคนคนนี้เลยต่างหากที่น่าแปลกใจ
“รุ่นพี่…” เขาพึมพำอยู่ในริมฝีปาก
ใบหน้าได้รูปนั่นหันมามองเขากับหวังเฟยเฟยด้วยสีหน้าหงุดหงิดน้อยๆ…แต่ดูท่า…คงจะจำเขาไม่ได้เลยสินะ?
“นี่คือชิโรยูกิคุง หัวหน้าทีมออกแบบทีมCที่จะเป็นคนรับผิดชอบพวกเธอสองคน
จากนี้ไปก็ตั้งใจทำงานล่ะ เดี๋ยวชิโรยูกิคุงจะเป็นคนแจกงานให้พวกเธอเอง”
หัวหน้าแผนกออกแบบแนะนำตัวคร่าวๆ
แล้วก็คงจะเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าโชคดีที่มีหวังเฟยเฟยอยู่ตรงนี้
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมหวังเฟยเฟย มาจากอิตาลี” เจ้าตัววุ่นวายจับมือกับรุ่นพี่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวและมันก็ทำให้คนที่ไม่รู้จะทำหน้ายังไงอย่างเขาพอจะทำตามน้ำไปได้บ้าง
“คุโรทากะครับ…” รุ่นพี่มองเขาพลางเอียงคอขมวดคิ้ว…คงจะจำไม่ได้จริงๆ…มือบางยกมาจับตามมารยาทเพียงเท่านั้น
“ขอตัวเลยได้ไหมครับ?” รุ่นพี่ชิโรยูกิหันไปถามหัวหน้าแผนกที่ยิ้มแหยๆกับมารยาทยอดแย่ของหัวหน้าทีมC
มืออวบอูมโบกหยอยๆอย่างไม่ถือสา
“ตามมาสิ” เสียงห้วนๆห้าวๆไม่เข้ากับหน้าเอ่ยบอกพวกเขาก่อนจะเดินนำออกไป
มีเพียงหวังเฟยเฟยที่พยักหน้ารับอย่างกระตือรือล้น ส่วนเขา…ลึกๆในใจคงต้องบอกว่าผิดหวังอยู่หน่อยๆ
แต่ก็ช่วยไม่ได้…ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง
ตัวเองยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงตามมาถึงนี่…อะไรในตัวคนคนนี้ที่ดึงดูดเขาจนละสายตาไปไม่ได้
แผนกออกแบบของบริษัทใหญ่ๆโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งเป็นหลายๆทีม
เพราะโปรเจคที่ต้องทำมักจะมีมากกว่าหนึ่งโปรเจค
การแบ่งเป็นทีมย่อยจะรับผิดชอบได้ง่ายกว่า
ที่สถาบันวิจัยแห่งนี้ก็ใช้ระบบนั้นเช่นกัน
คุโรทากะมองไปรอบกาย
ในคอกกั้นทีมCของเขานั้นมียืนกันเหงาๆอยู่แค่สามคนถ้วน…ทั้งๆที่ทีมA
,B ,D ,Eซึ่งอยู่อีกฝั่งมีกันถึง7-8คนต่อทีม?
เอี๊ยด
ร่างเพรียวปราดเปรียวของรุ่นพี่ชิโรยูกิทิ้งตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้ก่อนจะไถมันมาตรงหน้าพวกเขาอย่างไม่สนใจพิธีรีตองใดๆ
ดวงตาดุร้ายเหมือนลูกแมวจ้องพวกเขาเขม็ง
“ทีมCอะไรนั่น…ก็คงเพิ่งตั้งขึ้นมาเมื่อเช้านั่นแหละ
ไม่ต้องไปสนใจหรอก
เจ้าหัวหน้าบ้าก็แค่อยากให้คนที่ไม่มีใครเอาอย่างชั้นคอยดูแลเด็กฝึกงานที่ใช้การอะไรไม่ได้อย่างพวกนายเท่านั้นแหละ”
เขามองเจ้าของใบหน้าบอกบุญไม่รับอย่างสงสัย ไม่สนใจจะดีแน่เหรอเนี่ย? ถ้าไม่นับรวมเด็กฝึกงานซึ่งคงจะดูเป็นตัวถ่วงของทีมอย่างพวกเขาสองคน
ก็เท่ากับว่าก่อนหน้านี้รุ่นพี่ทำงานตามลำพังมาตลอดเลยน่ะสิ?
ยังเป็นคนไม่สนใจใครไม่เปลี่ยนเลยแหะ…
แต่เขาก็แอบโล่งใจ
ที่สังคมของที่ทำงานไม่สามารถเปลี่ยนคนอย่างรุ่นพี่ได้…เพราะเขาไม่ได้ชอบคนที่ธรรมดาเหมือนใครๆแบบนั้น
“มาลองดูกันสักตั้งแล้วกัน ชั้นไม่เคยคิดว่าเด็กอย่างพวกนายจะไร้ประโยชน์”
ถึงจะไม่ยิ้มไม่แย้มแต่คนคนนี้ก็ไม่เคยดูถูกใคร
มือบางเปิดโน้ตบุคให้พวกเขาเห็นงานที่ทำค้างอยู่
“อันนี้คือ…” ในขณะที่บรรยากาศกำลังดูไม่รู้จะเริ่มต้นกันยังไง
แต่เจ้าตัววุ่นวายกลับมองภาพร่างของรถไฟในจอคอมพิวเตอร์ด้วยดวงตาเป็นประกายแล้วเปิดบทสนทนาออกมาง่ายๆ
“รถไฟต้นแบบ…ยังเป็นแค่คอนเซ็ปต์อยู่ละนะ”
รุ่นพี่ตอบด้วยเส้นเสียงที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
“นี่มันเจ๋งเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย? แอโร่ไดนามิกเนียนมาก”
หวังเฟยเฟยยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ
ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กเห็นของเล่นชิ้นใหม่
เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเพื่อเอาใจรุ่นพี่
แต่เจ้าเด็กจีนอิตาลีนั่นอาจจะมองออกจริงๆก็ได้
“นายก็คิดงั้นใช่ไหม? นายเพิ่งมายังเข้าใจแต่ทำไมไอ้พวกหัวโบราณนั่นกลับไม่รู้เรื่อง
น่าหงุดหงิดชะมัด” ดวงตาหาเรื่องตวัดไปมองพวกทีม A
ที่ยิ้มแห้งอยู่อีกฝั่งของพาทิชั่น…เอาเถอะ
เขาก็พอจะรู้อยู่หรอกนะว่าทำไมใครๆถึงไม่กล้ามายุ่งกับรุ่นพี่
นิสัยหัวร้อนชอบตีกับคนอื่นไปทั่วทั้งๆที่ตัวเท่าลูกแมวเนี่ย…เขาเห็นมาเป็นปีละ
ถึงรุ่นพี่จะเก่งเข้าขั้นอัจฉริยะก็เถอะนะ
เขามองทั้งสองคนที่หัวแทบจะชนกันอยู่ที่หน้าจอ
เหมือนจะเจอหัวข้อที่ใช้จูลกันได้? รุ่นพี่เริ่มอธิบายอะไรยืดยาวในขณะที่หวังเฟยเฟยก็พยักหน้าหงึกๆ
นี่มัน…เหมือนเด็กเนิร์ดสองคนกำลังคุยกันเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย?
แล้วเข้าใจสิ่งที่รุ่นพี่ชิโรยูกิพูดได้ เจ้ากระต่ายปีศาจนั่นก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันแหะ
เพราะเป็นพวกอัจฉริยะเลยอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ได้
หลายต่อหลายครั้งที่รุ่นพี่มักจะหงุดหงิดและสงสัยว่าทำไมคนอื่นจึงไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ(สำหรับตัวเองคนเดียว)แค่นี้
“เรา…กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอครับ?”
เสียงทุ้มเอ่ยออกไป
เขาแค่อยากรู้ที่มาที่ไปของโปรเจคนี้และพยายามลากทั้งสองคนกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“......”
รุ่นพี่หันมามองอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
ว่ายังไม่ได้อธิบายงานให้พวกเขาสองคนฟังเลย
“โทไคโด ชินคันเซ็น… เป็นรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งจากโตเกียวไปโอซาก้า
เดิมทีขบวนที่วิ่งเร็วที่สุดในตอนนี้คือโนโซมิ
แต่ทางเจอาร์อีสกำลังวางแผนจะสร้างรถไฟซีรี่ย์ใหม่ที่มีความเร็วมากกว่าเดิมเพื่อใช้กับเส้นทางนี้…”
รุ่นพี่เริ่มอธิบาย
“ก็เลยแบ่งทีมกันเพื่อประกวดแบบหัวรถไฟ…แบบที่ชนะจะถูกนำมาพัฒนาต่อไปเพื่อใช้งานจริง…แต่ก็อย่างที่เห็น ทีมของชั้นมีแค่ชั้นกับพวกนาย” แต่รุ่นพี่ก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์
แสดงว่าก่อนหน้านี้ก็คงคิดค้นมันขึ้นมาคนเดียวอย่างที่เขาคิดจริงๆสินะ
“งื้อ…ถ้าเจ้านี่ไม่ได้สร้างจริงชั้นคงนอนตายตาไม่หลับแน่เลยอ่ะ
เรามาทำให้มันชนะกันเถอะ!” หวังเฟยเฟยหน้านิ่วคิ้วขมวดมองสเก็ตต้นแบบหัวรถไฟในจอคอมพิวเตอร์
หมอนั่นไม่ได้พูดอย่างคนมองโลกในแง่ดีเหมือนพระเอกอนิเมะ ไม่ได้ให้กำลังใจคนในทีม
แต่เจ้าตัววุ่นวายทำหน้าเหมือนจะตายตาไม่หลับจริงๆเสียมากกว่าถ้าไม่ได้ออกแบบรถไฟสุดเจ๋งคันนี้…
จะไหวจริงๆใช่ไหม…ทีมของพวกเขาเนี่ย…แต่ละคน…
“แล้วกำหนดส่งเมื่อไหร่ครับ?” เขาถามออกไปเพราะรู้สึกตะหงิดใจเมื่อเห็นทีมอื่นๆเริ่มมีโมเดลตัวต้นแบบมาวางให้เห็นบ้างแล้ว
“ต้นเดือนหน้าไง” ห๋า? เดือนหน้า? เดือนหน้านี่มันก็อีกแค่สองอาทิตย์เองไม่ใช่เร๊อะ?
ยังมีแค่คอนเซ็ปต์อยู่เนี่ยนะครับ?!
เขาถึงกับต้องถามย้ำกับตัวเองอีกที…จะไหวแน่ใช่ไหมทีมนี้~!
วันนี้
Ferrari
portofino M สีขาวมาจอดรอก่อนเวลาเลิกงานอยู่นานทีเดียว
แค่รถซุปเปอร์คาร์แปะโลโก้ม้าลำพองก็ทำให้คนมองกันทั้งถนนอยู่แล้ว
ยิ่งมีชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลากับหุ่นราวกับนายแบบมายืนพิงรถเหมือนรอใครอยู่
ก็ยิ่งทำให้สาวออฟฟิศถึงกับหันไปกรี๊ดใส่กันเลยทีเดียว
ช้าแหะ…
หวังอี้คุนก้มมองนาฬิกา
นี่มันเลยเวลาเลิกงานมาสักพักแล้วไม่ใช่หรือไง? หรือเขาจำผิด?
แล้วในขณะที่กำลังจะส่งข้อความไปถาม
ก็มีเงาอะไรบางอย่างพุ่งเข้าใส่เขาอย่างแรง
"อี้คุน!!!!" อุก...เจ้าลูกกระต่ายนี่เอง
เจ้าตัววุ่นวายพุ่งใส่เขาราวกับอุกกาบาตพุ่งชนโลก
แถมตอนนี้ยังเขย่าคอเขาจนแทบหลุดจากบ่าอีก
"นายไม่เป็นไรใช่ไหม? ยังไม่ตายสินะ แง๊~ นายรู้ไหมว่าชั้นเป็นห่วงนายแค่ไหน
โทรไปหม่าม้าก็บอกว่านายนอนให้น้ำเกลืออยู่โรงพยาบาล ถ้านายตายชั้นต้องตายด้วยแน่ๆเลยก็เราเป็นฝาแฝดกัน
เพราะงั้นนายห้ามตายนะ!!"
"อือ" ชั้นจะตายเพราะนายเขย่าคอไม่หยุดนี่แหละ
แล้วตกลงว่าห่วงเขาหรือห่วงตัวเองกันแน่เนี่ยเจ้าลูกกระต่ายเอ้ย~
"แขนขาอยู่ครบไหมเนี่ย?" หลังจากหยุดเขย่าคอก็หันมาจับแขนจับขามองสำรวจไปทั่วตัวเขา
ก็นั่นแหละ เขาไม่ได้บอกก่อนว่าจะมา เจ้าลูกกระต่ายจะตื่นตูมก็ไม่แปลก
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุก็ยังไม่ได้คุยกันเลยด้วย
"ชั้นไม่เป็นไร ยังไม่ตาย และสบายดี" มือใหญ่ต้องยันหัวสีดำออกไปห่างๆ
"ค่อยยังชั่ว งื้อ…" ใบหน้ามนหน้านิ่วคิ้วขมวด
คงจะห่วงเขามากสินะ ในใจนึกขอโทษจึงเอื้อมมือไปโยกหัวสีดำนั่นเบาๆ
"กลับกันเถอะ"
"อื้อ อ๊ะ! ไม่สิ ยังไม่กลับ! นายมาก็ดีเลย
ชั้นจะพาไปที่ที่หนึ่ง" ถึงจะบอกว่าจะพาไปแต่เจ้าลูกกระต่ายกลับเปิดประตูนั่งลงที่เบาะข้างคนขับแถมคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย...ตกลงเขาต้องเป็นคนขับสินะ…
"จะไปไหนเนี่ย?" เขานั่งลงหลังพวงมาลัย
มือเปิดgpsระบุพิกัด เอาเถอะ เขาขับเองน่าจะดีกว่า
เจ้าลูกกระต่ายนี่ก็ขับรถไม่ธรรมดาเหมือนกัน
"ศาลเจ้าเมจิ!"
โตเกียว...เป็นเมืองหลวงที่รถแทบไม่ติด
นั่นเพราะประชาชนส่วนใหญ่ใช้วิธีการเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลัก แถมถนนหนทางก็ค่อนข้างแคบ
ที่จอดรถก็หายากและมีราคาแพง บนถนนจึงไม่ได้มีรถมากมายนัก
พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็ถึงเป้าหมาย
ศาลเจ้าเมจิเป็นศาลเจ้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
เป็นสถานที่ที่ชาวญี่ปุ่นมักจะไปขอพร
รวมถึงเป็นสถานที่ยอดนิยมในจัดพิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมด้วย
เฟอร์รารี่สีขาวจอดลงในลานจอดรถของศาลเจ้า
นักขับมือสองของทีมม้าลำพองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาทำอะไรที่นี่
แสงแดดยามเย็นแทบจะลาจากขอบฟ้าไปแล้ว ศาลเจ้ายังเปิดอยู่ไหมเขาก็ไม่แน่ใจ
"ถึงแล้ว จะเอาไงต่อ?" เขาหันไปถามเจ้าตัววุ่นวายที่เจ้ากี้เจ้าการให้เขาขับรถมาถึงนี่
แต่เจ้าตัวดีกลับกวาดตามองรอบๆกายอย่างหวาดผวา
"เป็นไร?" เขาถามออกไปอย่างสงสัย
แต่พอเงยหน้ามองทางที่เชื่อมจากลานจอดรถเข้าไปยังกลุ่มอาคารศาลเจ้า
เขาก็เริ่มไม่แปลกใจที่เจ้าลูกกระต่ายจะมีอาการแบบนี้
พื้นที่รอบๆศาลเจ้าที่มีขนาดกว้างใหญ่นี้ปลูกต้นไม้เอาไว้เต็มไปหมด
แล้วแต่ละต้นก็สูงใหญ่มากๆๆๆ หากเป็นเวลากลางวันคงจะร่มรื่นน่าดู
แต่พอเป็นช่วงเวลาพลบค่ำแบบนี้ ผืนป่ากลับดูน่ากลัวมาก
เงาวูบไหวที่ขยับไปมาจากทุกทิศทุกทางและเสียงลมพัดใบไม้สวบสาบดูราวกับปีศาจร้าย
ถึงคนทั่วไปคงไม่รู้สึกอะไร แต่คนข้างๆเขาดันเป็นเจ้าลูกกระต่ายขี้กลัวเอาตัวไม่ค่อยจะรอดนี่สิ…
"แง๊~ น่ากลัวอ่ะ~" มือบางยกกระเป๋าขึ้นมาปิดหน้าจนเหลือแค่ลูกกระตาที่กรอกไปมา
"ทำไมที่นี่น่ากลัวแบบนี้อ่ะ? นายมาถูกที่รึเปล่าเนี่ย?
นายดูเงาตรงนั้นสิ ไม่ไหวๆๆ ชั้นเดินผ่านไปไม่ได้แน่"
เจ้าลูกกระต่ายส่ายหัวดิกส่วนเขาก็ได้แต่ทำหน้าปลง
"ตกลงนายมาทำอะไรกันแน่เนี่ย?" มาถึงแล้วก็กลัวจนไม่กล้าเข้าเนี่ยนะ?!
"ก็ชั้นจะมาซื้อเครื่องรางให้นายไง นายจะได้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุไง
แต่ชั้นกลัวอ่ะ ชั้นไม่อยากเดินผ่านต้นไม้ตรงนั้นอ่ะ นายไปซื้อให้หน่อยนะอี้คุน~"
"......"
เขามองหน้าคนที่หลับตาปี๋อย่างอนาถใจ
นายอายุสามขวบเร๊อะเจ้าลูกกระต่าย
มันมีอย่างที่ไหนละฟ๊ะ
จะซื้อเครื่องรางให้เขาแต่ตัวเองดันกลัวจนไม่กล้าเข้าไปซื้อ
แล้วให้คนที่จะซื้อให้อย่างเขาไปซื้อเองเนี่ยนะ? เจ้าลูกกระต่ายเอ้ยยย
"เฮ้อ...นายนี่มันตัววุ่นวายจริงๆ แค่ลงไปซื้อเครื่องรางใช่ไหม?"
ไม่มีเขาจะมีชีวิตรอดได้ไหมเนี่ย? เขาถอนหายใจอย่างปลงๆ
"นายขอพรให้ตัวเองมาด้วยเลยนะอี้คุน" …...อืม
"อ่ะนี่ เอาแบบนี้นะ ชั้นหาข้อมูลมาแล้วไม่ผิดแน่" มือบางส่งรูปตัวอย่างมาให้ทางแชท เป็นถุงเครื่องรางแบบญี่ปุ่นสีชมพูอ่อน
ตัวคันจิที่ปักอยู่บนนั้นเขาอ่านไม่ออกหรอกจึงได้แต่พยักหน้าส่งๆไปในขณะที่ปลดเข็มขัดนิรภัยเตรียมจะก้าวขาลงจากรถ
"ดะ เดี๋ยวก่อนอี้คุน!..." เสียงใสเอ่ยเรียกเขาทำให้ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองอย่างสงสัย
อะไรอีกล่ะ?
"หื๋อ?"
"ฝะ ฝากซื้ออันนี้ด้วย…." แล้วก็มีอีกรูปส่งมาทางแชท
เป็นรูปถุงเครื่องรางสีขาว
"อือ รออยู่นี่นะ จริงๆเล้ย วุ่นวายไม่มีใครจะเกินจริงๆ"
ปากก็บ่นแต่ก็ยังเดินไปซื้อให้
ร่างสูงสง่าเดินผ่านป่ากลางกรุงที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่กลางโตเกียว
ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่ที่เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแบบนี้จะตั้งอยู่ระหว่างสองเขตที่วุ่นวายสุดขีดอย่างชินจูกุกับชิบุย่า
เขาไม่ได้ยินเสียงผู้คนหรือรถราเลย มีเพียงเสียงอันสงบของผืนป่าสูงใหญ่เท่านั้น
ตัวศาลเจ้าอยู่ไกลเหมือนกัน
คิดถูกแล้วละที่ไม่ลากเจ้าลูกกระต่ายเดินผ่านป่าที่ยาวเหยียดแบบนี้
ฝ่าเท้าเดินย่ำลงไปบนถนนโรยกรวดที่ส่งเสียงดังกรอกแกร่กๆไปเรื่อยๆ
ยังดีที่ยังพอมีผู้คนเดินสวนมาอยู่บ้าง
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ารอดเสาโทริอิไม้ขนาดใหญ่ที่สูงพอๆกับตึกสามชั้นเข้าไป ที่นี่…ทั้งๆที่เรียบง่ายแต่กลับให้ความรู้สึกทั้งสงบทั้งยิ่งใหญ่
เขาสัมผัสได้ถึงพลังของธรรมชาติอันเป็นรากฐานของชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดีเลย
ดวงตาคมกล้ามองเห็นแสงไฟเรืองๆมาจากกลุ่มอาคารศาลเจ้าที่ถูกสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณ การใช้สีที่ทำให้ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
รู้สึกราวกับถูกสายตาที่อ่อนโยนของเทพเจ้าผู้สถิตอยู่ณ.ที่นี้จ้องมองอยู่
เขายืนมองอาคารสีไม้กับหลังคาสีเขียวน้ำทะเลนั่นอย่างนิ่งงันอยู่หลายนาที
ร่างสูงสง่าก้าวขาเข้าไปด้านใน
เขาขอพรให้ทั้งตัวเองและครอบครัว ขอให้ทุกๆคนปลอดภัยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
โดยเฉพาะเจ้าลูกกระต่าย ขอให้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้ามนนั่นตลอดไป…
ทายาทลำดับที่สามของตระกูลหวังเดินกลับออกมา
อีกอาคารที่ยังเปิดไฟอยู่ก็คืออาคารที่ขายพวกเครื่องรางของศาลเจ้า
มิโกะที่สวมฮากามะสีแดงค่อมหัวให้เมื่อเขาเดินเข้าไป
มือใหญ่เปิดรูปจากมือถือเพื่อเอามาเทียบดู
แล้วก็เห็นเครื่องรางสีชมพูอ่อนตามที่เจ้าลูกกระต่ายส่งรูปมาให้
เขาจึงหยิบมันขึ้นมา
"แฟนกำลังจะคลอดเหรอคะ?" คุณมิโกะทักขึ้นทำให้เขาถึงกับชะงักไป
"เอ๊ะ?"
"ก็นี่มันเครื่องรางขอให้คลอดปลอดภัยนี่คะ?" ห๋า??? เขาถึงกับยืนอ้าปากค้าง
ไหนว่าหาข้อมูลมาดีแล้วไงฟ๊ะ เจ้าลูกกระต่ายบ๊องนี่~~!! คลอดปลอดภัยอะไรเล่า!!!
มันจะคุ้มครองเขาแน่ใช่ไหมเนี่ย?!
"เอ่อ...โทษทีครับ
ขอเปลี่ยนเป็นอันที่ขอให้ชนะและปลอดภัยจากอุบัติเหตุแทนครับ…" เขาคืนเครื่องรางอันนั้นด้วยสีหน้าอายๆ
คุณมิโกะอมยิ้มก่อนจะยื่นอันที่ถูกต้องมาให้...เจ้าตัววุ่นวายเอ้ย
กลับไปจะดีดหน้าผากให้แดงเลยคอยดู!
"แล้วอันนี้ล่ะครับ มีความหมายว่าอะไร?" เขายื่นเครื่องรางสีขาวอีกอันที่เจ้าลูกกระต่ายฝากซื้อไปถามย้ำกับมิโกะอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ซื้ออะไรแปลกๆกลับไป
"อันนี้...ขอให้แคล้วคลาดจากภยันตรายค่ะ" …..ของพี่อี้หยางสินะ? นายนี่ก็คลั่งรักไม่เบานะเนี่ยเจ้าตัวดี
ว่าแต่ ทำไมทีของหมอนั่นถึงหามาถูกต้องแต่ของพี่ชายฝาแฝดอย่างเขากลับผิดเนี่ย?!
มันน่านัก!
"ใช่ที่อยากได้ไหมคะ?"
"อ่า ใช่ครับ ขอบคุณครับ"
เขาเดินกลับมาที่รถก่อนจะส่งซองใส่เครื่องรางสีขาวอันนั้นไปให้เจ้าคนที่ยื่นมือมารับพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“งื้อ ขอบคุณนะ” สองมือของเจ้าลูกกระต่ายจับซองกระดาษนั่นเอาไว้ก่อนจะก้มมองมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก…นี่ขนาดยังไม่ได้คบกันเป็นเรื่องเป็นราวยังหวานน่าหมั่นไส้ขนาดนี้
ต่อไปเขาไม่ต้องคอยฉีดยาฆ่ามดทุกวันหรอกเหรอเนี่ย
“แล้วของนายล่ะ?”
“อยู่นี่” มือใหญ่ตบกระเป๋ากางเกง
เชือกสีดำของถุงเครื่องรางห้อยออกมาจากกระเป๋า
“ขอพรมาแล้วสินะ?”
“อือ” มันยังไงกันนะ
เครื่องรางที่อีกฝ่ายตั้งใจจะให้เขา แต่เขาต้องไปซื้อเอง ขอพรเอง
แถมออกเงินเองอีกต่างหาก! มันยังจะคุ้มครองเขาอยู่แน่ใช่ไหมเนี่ย?
“ดีมาก”
“ดีอะไรล่ะ เจ้าลูกกระต่ายวายร้าย~ นายรู้ไหม
อันที่นายให้ชั้นไปซื้อน่ะมันขอให้คลอดปลอดภัยเฟ้ย~” มือใหญ่บีบลงที่หัวสีดำอย่างหมั่นเขี้ยว
“เอ๊ะ? ผิดเหรอ? ผิดได้ไงอ่ะ?”
“จะไปรู้เร๊อะ บ๊องอย่างนายมันก็เป็นไปได้อยู่แล้วนี่”
“ไม่จริงน่า…ตามการวิเคราะห์ของชั้นแล้ว อันนั้นน่ะมันน่าจะขอให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุนะ?”
อย่าวิเคราะห์เอาเองสิฟ๊ะ
ยิ่งไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้าอยู่ แล้วข้อมูลในเนตก็มีทำไมไม่เปิดดู!
สรุปแล้วนายเดาเอาใช่ไหม? เดาเอาสินะ?!
เขาถอนหายใจก่อนจะถอยรถออกไป
แต่ก็ยังกลับไม่ถึงคอนโด
เพราะตอนนี้หวังอี้คุนกำลังนั่งดื่มน้ำเลม่อนฮันนี่ยูสุกระป๋องอยู่ที่มุมเล็กๆแห่งหนึ่งในฮาราจูกุ…
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา
เขานั่งอยู่ในสวนแบบฮาร์ดสเคปที่ถูกจัดสรรมาจากพื้นที่เหลือๆ
ม้านั่งที่มีอยู่ไม่กี่ตัวมีคนวัยทำงานบ้างวัยรุ่นบ้างนั่งอยู่ประปรายอาจจะด้วยเวลาที่มืดค่ำแล้ว
แล้วทำไมเขาถึงได้มานั่งอยู่นี่น่ะเหรอ?
ก็แค่ขับรถโผล่ออกมาจากศาลเจ้าไม่ทันไร
เจ้าลูกกระต่ายก็ร้องอย่างตื่นเต้นว่า “ฮาราจูกุๆๆ!
ชั้นจะกินเครป จอดหน่อย!”
ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบมองเครปอันเท่าบ้านที่อยู่ในมือบาง
เจ้าลูกกระต่ายตักไอศครีมช็อกโกแลตโรยด้วยบราวนี่ตัดเป็นลูกเต๋าเข้าปากด้วยใบหน้าฟินสุดๆ
เอาเถอะ ยังไงก็ไม่ได้รีบกลับไปไหนอยู่แล้ว
“อี้คุน กินให้หน่อย” มือบางยื่นช้อนที่มีบราวนี่ชุ่มโชกไปด้วยช็อกโกแลตมาตรงหน้าเขา
“นายก็กินไปสิ ชั้นต้องควบคุมน้ำหนัก” เขาเป็นนักขับเอฟวัน
น้ำหนักของเขาจะมีผลกับตัวรถด้วยเพราะต้องชั่งรวมกัน
จึงต้องพยายามรักษาให้เท่าเดิมอยู่เสมอ
“กินไม่หมดอ่ะ ชั้นอยากกินเครปแล้วแต่บราวนี่ไม่หมดซักทีอ่ะ”
คราวหลังก็สั่งแบบที่ไม่มีบราวนี่สิฟ๊ะ
เจ้าตัววุ่นวายประจำบ้านนี่มันวุ่นวายจริงๆ
“.....”
เขายื่นหน้าไปงับบราวนี่ในช้อนที่อีกฝ่ายถืออยู่
กลับไปเขาคงโดนเทรนเนอร์รีดขนาดหนักแน่ๆ เฮ้อ…
มือใหญ่ยกกระป๋องเลม่อนฮันนี่ขึ้นมาดื่มในขณะที่นั่งรอเจ้าลูกกระต่ายเล็มเครปไปเรื่อยๆ
การได้มานั่งมองผู้คนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาอยู่แต่ในพิตการาจ
เจอแต่เครื่องยนต์เจอแต่กลิ่นน้ำมัน ได้ยินแต่เสียงท่อไอเสียเสียงปืนน็อตล้อ
"อี้คุน...ทำไงดีอ่ะ…” แล้วจู่ๆเสียงของเจ้าตัววุ่นวายก็ดังขึ้นขัดบรรยากาศที่กำลังชิวๆ
อะไรอีกล่ะ? กินอะไรเหลืออีกรึไง?
“ชั้นโดนพี่อี้หยางจับกินไปซะแล้วอ่ะ"
"พรู้ดดด!!" เลม่อนกระป๋องแทบจะพุ่งออกจากปากกับสิ่งที่ได้ยิน
"ห๊ะ?! เดี๋ยวนะ?! นายถูกหมอนั่นจับกดไปแล้วเหรอ?!"
เขาหันไปมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ
"อื้อ ทำไงดีอ่ะ ถ้าปะป๊าหม่าม้ารู้ชั้นต้องโดนตีแน่เลย แง๊~"
เจ้าลูกกระต่ายบีบก้นเครปในมือก่อนจะร้องงอแง
"เดี๋ยวก่อน เล่ามาให้หมดซิว่ามันยังไง หมอนั่นทำอะไรนายบ้าง?"
ไม่ใช่ว่าเขาจะเชื่อใจพี่อี้หยางหรอกนะ
แต่กับเจ้าลูกกระต่ายบ๊องนี่บางทีก็เข้าใจผิดคิดไปเองอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน
อีกอย่างเรื่องแบบนี้หวังอี้หยางไม่น่าจะใจร้อนขนาดนั้น?
“คือว่านะ เรื่องมันก็มีอยู่ว่า…”
แล้วหลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมด
เขาก็ได้แต่ยิ้มอย่างปลงๆ
มือใหญ่ปากระป๋องเลม่อนฮันนี่เปล่าๆลงถังขยะก่อนจะหันไปดีดนิ้วใสหน้าผากใส
"โอ๊ย?! เจ็บนะ! ดีดหน้าผากชั้นทำไมเนี่ย? คนยิ่งกลุ้มๆอยู่?"
"กลุ้มแน่เหรอนายเนี่ย?"
"แน่สิ"
"งั้นก็เลิกกลุ้มไปเถอะ อย่างที่นายเล่ามาน่ะ เค้าไม่เรียกว่าโดนกินไปแล้วเฟ้ย"
"เอ๊ะ ยังหรอกเหรอ?" ใบหน้าไร้เดียงสาเอียงคอมองเขาอย่าง
งงๆ
"ยัง"
"แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าใช่อ่ะ?"
"........."
บ้าจริง
ทำไมเขาต้องมาอธิบายเรื่องแบบนี้ให้เจ้ากระต่ายเด็กนี่ฟังด้วยเนี่ย!
เขาก็อายเป็นนะเว้ย
"...กลับกันเถอะ" เขาลุกขึ้นยืนอย่างตัดบททำให้อีกฝ่ายต้องลุกเดินตาม
"ห๊ะ? ยังไม่รู้เรื่องเลย"
"ยังไม่ต้องรู้หรอก" ดูท่า
อีกไม่นานนายคงได้รู้แน่ ดูจากอาการแล้วพี่ชายของเขาคงทนได้อีกไม่นานแล้วละ
"งื้อ ไม่ได้เรื่องเลยนายเนี่ย!" ยังมีหน้ามาหงึใส่เขาอีก
มันน่านัก!
หวังอี้คุนเดินแยกเข้าห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไป
หวังเฟยเฟยจึงเดินเข้าห้องมาตามลำพัง คิ้วเรียวยังขมวดมุ่น
ถึงแม้ตลอดทางที่ขับรถกลับมาเขาจะพยายามถามเจ้าลูกสิงโตนั่นยังไง
อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบ
แล้วเขาจะรู้ได้ไงเนี่ยว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าโดนกินไปแล้ว?
สิ่งที่เรียกว่าเซ็กส์…จริงๆแล้วเป็นแบบไหนกันแน่…
มือบางยกขึ้นมาปิดหน้าที่จู่ๆก็รู้สึกร้อนขึ้นมา
ใช่ว่าจะไม่เคยลองหาข้อมูลในเนตนะ
แต่แค่เปิดหน้าแรกเขาก็รู้สึกกลัวจนขนหัวลุกแล้วอ่ะ
ไม่เห็นอ่อนโยน…เหมือนตอนที่พี่อี้หยางจูบเขาเลย…
ไม่เห็นจะชวนใจเต้น…เหมือนตอนที่ฝ่ามือของพี่อี้หยางดึงมือเขาไปสัมผัสมันเลย…
ก็นั่นแหละ
เพราะรู้สึกขนพองสยองเกล้ากับฉากรักอันดุเดือดแบบนั้นแหละเขาเลยทนดูวีดีโอพวกนั้นต่อไม่ไหว
เรื่องแบบนี้คงจะเกินขีดจำกัดของเขามากไป ถึงได้ยังมาเฝ้าสงสัยอยู่แบบนี้
ฮึ่ย!
เจ้าลูกสิงโตนั่นต้องรู้แน่ๆ! แต่ไม่ยอมบอกเขา! โทรไปฟ้องหม่าม้าซะดีไหม?! แต่จะไปบอกหม่าม้าว่ายังไงอ่ะ…
ใบหน้ามนงอหงิกเพราะไม่ได้ดั่งใจ
ปกติแล้วเขาจะคุยกับอี้คุนทุกเรื่อง
จะมีก็แต่เรื่องนี้แหละที่เจ้าลูกสิงโตไม่ยอมบอก
“กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มของพี่ชายต่างสายเลือดทักขึ้นจากโซฟา
เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาถึงนี่แล้ว ก็มัวแต่คิดเรื่องของพี่เนี่ยแหละ!
"กลับมาแล้วครับ"
ดวงตากลมโตเหลือบมองหวังอี้หยางที่ยังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โซฟา
นายใหญ่ของDiamond
crownไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียวแต่คุณอาเธอร์ก็อยู่ด้วย
และนั่นก็ทำให้เขาหันไปมองสูทสีดำที่เลขาส่วนตัวคนนั้นนำออกมาแขวนไว้
มันไม่ใช่สูทแบบที่พี่อี้หยางใส่ทุกวัน
แต่เป็นสูทแบบทักซิโด้?
มีงานกาล่าหรือดินเนอร์สุดหรูที่ไหนหรือไง?
"พี่จะไปไหนอ่ะ? แล้ว…ไปกับใคร?"
ดวงตากลมโตหรี่มองอย่างคาดคั้น
ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับหลุดหัวเราะในความหวงของของเขา มือใหญ่ของพี่อี้หยางชูรูปหนึ่งในแท็บเล็ตมาให้ดู
มันเป็นรูปสร้อยข้อมือเพชรที่ดูเก่าแก่โบราณสองชิ้น
“สร้อยพระกรของพระนางเจ้ามารี อองตัวเน็ต สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส
พรุ่งนี้จะมีการประมูลสร้อยข้อมือเพชรสองเส้นนี้ที่ นครเจนีวา
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์” เสียงทุ้มเอ่ยออกไป
ของชิ้นนี้ทำให้งานประมูลเพชรครั้งนี้เป็นที่ฮือฮามากทีเดียว
ขนาดคนทั่วไปก็ยังสนใจ
“ของพระนางเจ้ามารี อองตัวเน็ต?!” เจ้าลูกกระต่ายตาลุกวาวขึ้นมาทันที
ร่างโปร่งถลาลงมานั่งข้างๆเขาก่อนที่ดวงตากลมโตจะจ้องสร้อยข้อมือที่ทำจากเพชรสีขาวน้ำงามเม็ดโตนั่นอย่างสนใจ
ถึงแม้ดีไซน์จะเรียบง่ายด้วยการนำเพชร 112 เม็ดมาเรียงเป็นสามแถวพันรอบข้อมือ
แต่แค่ชื่อผู้เป็นเจ้าของอย่างพระราชีนีองค์สุดท้ายของฝรั่งเศสซึ่งถูกประหารด้วยกิโยตินพระองค์นั้นก็ทำให้ของชิ้นนี้มีราคาสูงลิ่วแล้ว
“พี่จะประมูลมันเหรอ?” เจ้าลูกกระต่ายดูสนอกสนใจ
สำหรับดีไซน์เนอร์แล้วงานของราชวงศ์ฝรั่งเศสล้วนน่าศึกษาทั้งสิ้น
เขามองสร้อยข้อมือเพชรที่เจียระไนแบบดั้งเดิมเส้นนั้น
อันที่จริงเป้าหมายในการไปงานประมูลของเขาเป็นอย่างอื่น
ไม่ได้ใส่ใจว่าจะต้องประมูลได้หรือไม่ แต่ดูท่า
เขาคงต้องจริงจังในการแย่งชิงมันมาเสียแล้ว
“ใช่” เสียงทุ้มตอบในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้ามน
“ไว้ถ้าประมูลได้ เฟยขอดูหน่อยนะ ดูนิดดดเดียว นะ” เฟยเฟยเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างตื่นเต้น
อีกฝ่ายคงไม่รู้ตัวเลยว่าเผลออ้อนออกมาและมันก็ทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งดั่งภูผาถึงกับพังทลายลงได้
“ได้สิ…แต่ต้องมีอะไรมาแลกนะ” ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มเจ้าเล่ห์ และมันก็ทำให้เจ้าลูกกระต่ายชักหน้าหงึใส่
“ขี้งก!” เจ้าลูกกระต่ายหน้าหงิกหน้างอใส่ก่อนจะถอยครูดไปนั่งที่โซฟาอีกตัวอย่างงอนๆ
แต่เขากลับอมยิ้มกับท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่าย
ก็แกล้งแล้วน่ารักแบบนี้ไงถึงได้ทำให้เขากลายเป็นผู้ชายนิสัยไม่ดี
"พรุ่งนี้อี้คุนจะบินไปอเมริกาตอนเที่ยง ส่วนชั้นจะกลับจากสวิตตอนค่ำๆ
ระหว่างนี้ถ้านายมีอะไรก็โทรหาชั้นได้ตลอด จะมีคนอยู่ที่นี่กับนาย ไม่ต้องกลัว"
นายใหญ่แห่งDiamond crownเดินเสยเส้นผมเหยียดตรงปราศจากการจัดทรงใดๆออกมาจากในห้องน้ำ
เตียงยุบยวบเมื่อร่างสูงสง่านั่งลงในฝั่งที่ตัวเองนอน
"ครับ ไม่ต้องห่วงน่า เฟยอยู่ได้" ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้ม
อยู่ได้ก็แปลกละ
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองอนิเมชั่นที่เคลื่อนไหวอยู่ในจอทีวี…ยังดูอนิเมะคำสาปอะไรนั่นอยู่สินะ?
แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ยื่นมาตรงหน้าเขา
ด้วยมือบางๆของเฟยเฟย
"นี่คือ?" ดวงตาคมกล้าเหลือบมองถุงเล็กๆที่ทำจากผ้าปักลายโบราณสีขาว
"คะ
เครื่องรางของชาวญี่ปุ่น...เชื่อว่าถ้าพกไว้จะทำให้โชคดีและปลอดภัยจากอันตราย...วันนี้...เฟยไปขอพรแล้วก็ซื้อมาให้พี่
จากศาลเจ้าเมจิ..." ดวงตาของเขาถึงกับเบิกกว้าง
หัวใจที่เต้นกระตุกไปทำให้มือใหญ่คว้าต้นแขนบางก่อนจะดึงร่างโปร่งเข้ามาโดยไม่ผ่านการสั่งงานจากสมอง
แต่เป็นหัวใจ…ที่สั่งให้เขาทำแบบนี้
"อื้อ?"
ริมปีปากประกบลงไปบนกลีบปากนุ่มนิ่มที่ไม่ทันตั้งตัว
เครื่องรางที่อีกฝ่ายตั้งใจมอบให้เขา ตั้งใจขอพรให้เขา อยากให้เขาเก็บไว้
อยากให้เขาปราศจากอันตราย
มันแสดงถึงความห่วงใยที่อาเฟยมีให้เขาจนเขาควบคุมตัวเองไม่ไหว
เขา…ดีใจมาก
ริมฝีปากที่กดลึกลงไปในกลีบปากที่นุ่มหนึบราวกับเยลลี่จูบค้างไว้แบบนั้นหลายวินาที
ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดเลยนอกจากเสียงของหัวใจ…
กลีบปากค่อยๆละจากกันอย่างอ้อยอิ่ง
ดวงตาคมกล้ายังจ้องสีราวกับกุหลาบนั้นไม่วางตา…ก่อนจะค่อยๆเลื่อนสายตาขึ้นไปสบกับดวงตากลมโตที่กำลังสั่นพร่าและมองตรงมาที่เขาราวกับรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
"อยากหนีไหม?" เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้าในขณะที่ขยับเข้าหาอีกรอบ
รอยยิ้มเผยอยู่ที่มุมปากเมื่อได้ยินเสียงลูกกระต่ายใจกล้าตอบกลับมาว่า
"ไม่หนี…"
ริมฝีปากกระกบซ้ำลงไปที่เดิม
ต่างกันก็ตรงที่คราวนี้เรียวลิ้นของเขาบดเบียดสอดแทรกเข้าไปในกลีบปากที่เผยอออกน้อยๆ
เขาจู่โจมเจ้าลูกกระต่ายราวกับสิงโตหิวกระหาย
ลิ้นร้อนกวาดต้อนไปทั่วโพรงปาก บ้างเกี่ยวกระหวัดพัวพันลิ้นไร้เดียงสาจากบนพลิกลงไปด้านล่าง
เสียงครางครือในลำคอกับฝ่ามือบางสั่นน้อยๆที่จับยึดสาบเสื้อของเขาเอาไว้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอาเฟยรู้สึกดีกับรสจูบที่เขามอบให้
“อื้ม~” เขาถอนริมฝีปากออกไปพอให้มีอากาศหายใจก่อนจะขยับเปลี่ยนมุมแล้วประกบริมฝีปากลงมาใหม่
มันเหมือนอยู่ในฝัน
มันทั้งหอมหวานและรู้สึกดี มันทำให้ลุ่มหลงมัวเมาจนอยากจะจูบซ้ำๆอยู่แบบนี้ เขาชอบ…เขาชอบจูบเฟยเฟยที่สุด
ร่างโปร่งบางค่อยๆไหลลงไปนอนกับพื้นเตียงอย่างอ่อนระทวยทั้งๆที่ปากยังคงถูกเขาจูบไม่ปล่อย
เส้นผมสีดำละเรื่อยจากพนักเตียงลงไปจนแผ่สยายอยู่บนหมอน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน
ไม่รู้ว่าจูบกันไปกี่รอบ แต่เขาไม่อยากจะละออกไปเลยจริงๆ
“อื้อ…” เฟยเฟยทำได้แค่ร้องประท้วงในลำคอเมื่อต้องการอากาศหายใจ
เขายอมปล่อยกลีบปากแดงช้ำจากการจูบอันยาวนาน
จนใบหน้าหวานที่ดูล่องลอยน้อยๆต้องรีบโกยอากาศเข้าปอด
“แฮ่ก…แฮ่ก….” เขาย้ายริมฝีปากจูบละเรื่อยลงไปที่ลำคอราวกับยังเหลือแรงเฉื่อย
ริมฝีปากร้อนๆกดจูบลำคอระหงต่อไปโดยเจ้าของมันทำได้แค่หันเอียงให้เพราะยังเคลิบเคลิ้มเผลอไผลไปกับจูบรสน้ำผึ้งที่เขามอบให้
ได้ยินเสียงหอบหายใจอยู่อีกพักใหญ่ และเมื่อลมหายใจเริ่มเข้าที่
เสียงนุ่มก็เอ่ยออกมาทำให้เขาต้องละจากต้นคอขึ้นไปมอง
“นี่น่ะ…ใช้แลกกับ…ให้เฟยดูสร้อยข้อมือของพระนางเจ้ามารี
อองตัวเน็ตได้ไหม?” ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมาอ้อน
เขาถึงกับยกยิ้ม
“หึ…ได้สิ…ริมฝีปากของนาย…มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์
“......งื้อออ เฟยหมายถึงเครื่องรางต่างหาก!” ทำเอาเจ้าลูกกระต่ายถึงกับยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วพลิกตัวไปอีกฝั่งด้วยความเขินอาย
ร่างกายที่หนากว่าจึงขยับเข้าไปกอดร่างบางจากทางด้านหลัง
“อ๊ะ?” และเมื่อร่างกายแนบชิดกัน
อาเฟยก็ถึงกับอุทานออกมาเบาๆ
เพราะแท่งอะไรใหญ่ๆร้อนๆบางอย่างถูกกดแนบอยู่กับบั้นท้ายกลมกลึง
"นอนเถอะ" เสียงทุ้มกระซิบบอกที่ใบหูแดงระเรื่ออย่างพยายามข่มใจ
".....แต่ว่าของพี่…"
"ช่างเถอะ เดี๋ยวชั้นไปจัดการเอง" เจ้าลูกกระต่ายเงียบไปและไม่กล้ากระดุกกระดิกราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ
ร่างโปร่งนอนนิ่งๆอยู่ในอ้อมแขนเขา
ดวงตาใสแจ๋วยังไม่มีวี่แววว่าอยากจะหลับเลยสักนิด
"นาย…ชอบให้นอนกอดไว้แบบนี้สินะ?"
เสียงทุ้มเอ่ยออกไปเพื่อหาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองและทำให้เจ้าลูกกระต่ายหายเกร็ง
"ครับ…อุณหภูมิของร่างกายกับเสียงของหัวใจ…มันทำให้เฟยรู้สึกปลอดภัย" ท่อนแขนผอมบางยกขึ้นมากอดแขนเขาอีกที
อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ไม่ได้มีเพื่อเฟยเฟยเพียงคนเดียว
แต่มันช่วยเยียวยาเขาด้วยเช่นกัน
จิตใจของเขาเองก็รู้สึกราวกับถูกรักษา
เมื่อได้กลิ่นและได้สัมผัสไออุ่นที่มาจากตัวเฟยเฟย
"...อี้คุนบอกว่า…แบบนี้…ยังไม่ถือว่าพี่กินเฟยไปแล้ว?…"
เราสองคนยังนอนคุยกันต่อไป
"อืม"
"แต่ชั้นก็แทบคลั่งแล้วล่ะตอนนี้" เขายอมรับสภาพของตัวเอง
"เมื่อไหร่…จะถึงขีดจำกัดนั้นเหรอ?"
เสียงนุ่มถามออกมาเบาๆ
เขาจึงขยับใบหน้าไปกระซิบอย่างหนักแน่นที่ใบหูบาง
"เมื่อคำว่ารักหลุดออกมาจากปากนาย ชั้นจะรอจนกว่าจะถึงวันนั้น"
เขาตั้งใจมานานแล้ว
ว่าจะไม่ทำอะไรจนกว่าเฟยเฟยจะบอกรักเขาจากปากของตัวเอง ยอมรับ…ว่ารักเขา…จากใจจริง
"........"
หวังเฟยเฟยถึงกับนิ่งค้างไป งื้ออออ
ผู้ชายคนนี้~ ทำไมเท่ห์แบบนี้นะ แล้วจะไม่ให้เขาเผลอใจได้ไง
"แล้วถ้าเฟยไม่ยอมพูดมันออกมาล่ะ?"
"ชั้นก็จะรักนายให้มากขึ้น ทำให้นายคิดถึงแต่เรื่องของชั้น
และทำให้นายพูดออกมาจนได้"
"........"
ใบหน้าหวานแดงซ่านไปหมดแล้วตอนนี้
ร่างโปร่งพลิกตัวกลับมาแล้วกอดเอวร่างที่หนากว่าจนไม่เหลือที่ว่าง
กอดจนแทบจะหายไปในแผ่นอกของกันและกัน
"เครื่องราง…ขอบใจนะ จะเก็บไว้อย่างดีเลย"
เสียงทุ้มเอ่ยกับกลุ่มผมสีดำ
หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดั่งหินผาถึงกับเต้นโครมๆเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็พลิกตัวมากอดเขาแบบนั้น
"เก็บไว้อย่างเดียวไม่ได้นะ พี่ต้องปลอดภัยด้วย แล้วก็…แค่เรื่องเล็กน้อยเอง" เสียงงึมงำๆดังออกมาจากแผงอก
"นายไม่รู้หรอกว่า…แค่เรื่องเล็กน้อยที่นายทำให้ชั้น
มันมีค่ามีความหมายขนาดไหน"
นายเปลี่ยนโลกที่แสนเย็นชาของชั้นด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของนาย
เอาหัวใจที่เขาทำหายไปกลับมาใส่ในร่างกายของเขาอีกครั้ง
เขานึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีเฟยเฟย เขาจะกลายเป็นหวังอี้หยางที่โหดเหี้ยมขนาดไหน
เพราะเขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะได้เจอเฟยเฟย
เขาไม่เคยสนใจเพื่อนมนุษย์หรืออะไรเลยนอกจากDiamond crownและตระกูลหวัง
ไม่เคยสนใจแม้แต่ตัวเอง
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะร่างกายนุ่มนิ่มและเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากของเจ้าลูกกระต่ายเบบี๋คนนี้
"พรุ่งนี้…อยากให้นายไปด้วยกันจัง…"
เขากระชับอ้อมแขนก่อนจะกดจูบกลุ่มผมนิ่มนั่นเบาๆ
ไม่อยากจะห่างกันสักวินาทีเลยตอนนี้
"เฟยต้องฝึกงานนี่นา" เสียงนุ่มเอ่ยงึมงำออกมา
ทั้งเสียดาย ทั้งเริ่มจะง่วงแล้ว อุณหภูมิของเขาคงอุ่นกำลังดี ดวงตาที่เคยใสแจ๋วอยู่จนถึงเมื่อกี้จึงเริ่มปรือปรอย
ใบหน้าหล่อเหลาเลยยิ้มอย่างตัดใจ
แต่เฟยเฟยไม่ไปก็ดีเหมือนกัน
เพราะนอกจากเรื่องประมูลเพชรแล้วเขาก็ยังมีธุระสำคัญเรื่องอื่นต้องไปทำเสียด้วย
ธุระ...ที่ไม่อยากให้เฟยเฟยรู้สักเท่าไหร่
เพราะถ้าเจ้าลูกกระต่ายรู้ว่าเขากำลังทำเรื่องอันตรายอะไรอยู่
อีกฝ่ายจะกังวลเสียเปล่าๆ
ซ่า~~
มือใหญ่ปิดก๊อกอ่างล้างหน้าเมื่อล้างมือเสร็จ
สองขาก้าวเดินออกจากห้องน้ำหลังจากเพิ่งไปเอามันออก…
ดวงตาคมกล้าทอดมองคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงด้วยความเอ็นดู
ก่อนจะหันไปมองแสงไฟเรืองๆที่ลอดมาจากใต้ประตู
อาเธอร์ยังอยู่อีกเหรอ?
"มีอะไรรึเปล่า?" เสียงทุ้มทักขึ้นเมื่อเดินออกมาดูแล้วเห็นว่าเลขาประจำตัวยังอยู่จริงๆ
"นี่เป็นรูปที่พวกหมาล่าเนื้อส่งมาครับ" อาเธอร์วางรูปถ่ายที่เป็นเพียงรูปอาคารสถานที่ลงบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา
"......"
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองรูปทั้งหมดที่มาจากต่างโซนเวลา
ต่างเมือง ต่างประเทศเหล่านั้น...สมเป็นหมาล่าเนื้อของเขา ทำงานรวดเร็วทันใจมาก
"อืม ให้ล่าต่อไป พรุ่งนี้...แค่นี้ก็น่าจะพอ"
"ครับ"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
520
N.
To
be con.
อ้อหอ~~ ตอนแรกว่าจะเก็บไว้ลงพร้อมกันสองพาร์ททีเดียวเพราะมันเป็นตอนต่อเนื่อง
แต่เมื่อคืนวันอาทิตย์ F1 ม้าชนะค่ะ!!! ม้าชนะแถมได้ที่1กับ2ด้วย กรี๊ดดดดดด เปิดสนามแรกปีนี้ดีมว๊ากกกกก
รถเร็วมว๊ากกกก คือติ่งรอมาสองปีอ่ะวันนี้ ฮืออออ ลงฟิคฉลองหน่อย งื้ออออออ ฉลองที่คุมหมอกู้ฉายแบบสายฟ้าแล่บด้วย555 แล้วก็ขอบคุณเสียงทวงด้วยนะคะ ไฟลนเลยเนี่ย กร๊ากกก
แน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะเอาคลิปศาลเจ้าเมจิมาให้ดูด้วยค่ะ
เพราะว่าเราเป็นฟิคนำเที่ยว 5555
ร่มรื่นมากเลยเนอะ
=v= คือแบบ นี่อยู่กลางโตเกียวเลยนะ
แต่ต้นไม้คือใหญ่โตมโหฬารจนนึกว่าอยู่ในป่าดงดิบเลยอ่ะ สุดยอดสมเป็นญี่ปุ่นจริงๆ
คืออีกฝั่งถนนนี่เป็นฮาราจูกุ ข้างๆคือชิบุย่า แล้วป่านี่มันอะไรกั๊นนน
ตอนไปครั้งแรกถึงกับอึ้งอ่ะค่ะ
ความรู้สึกเหมือนโลกสองใบที่ต่างกันมากๆมาอยู่ข้างๆกันอ่ะ555
=v=...ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และกำลังใจจากตอนที่แล้วมากๆๆนะค้า
คือตอนลงก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ายังมีคนรออ่านอยู่ไหม หายไปนานจัด555
แถมกว่าจะแต่งเสร็จแต่ละตอนก็นานละเกิน // ซับน้ำตา //จริงๆต้องขออภัยก่อนค่ะ
เพราะว่าตอนพิเศษเหล่านี้ไม่ได้มีการวางพล็อตมาก่อน
เพราะงั้นกว่าจะเขียนเสร็จแต่ละตอนก็เลยใช้เวลาไปกับการคิดเนื้อเรื่องไปซะเยอะเลยค่ะ
^ ^a ไม่อยากให้เรื่องหนักเกินไปแต่ก็แบบ
ถ้าใช้ชีวิตไปวันๆมันจะน่าอ่านไหมนะ? ยังไงก็ขอบคุณจริงๆๆที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ฟิคเรื่องอื่นๆด้วยน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ปล.ตอนต่อไปอาจจะมาช้าหน่อยนาคะ
ขอปั่นฟิควันเกิดให้เอเลนแป๊บบบ ไททันซีซั่นล่าสุดทำให้คุณกวางมันใกล้จะเป็นบ้าแล้วค่ะ
เพลงเปิดเพลงปิดก็คือตายไปเลยซีซั่นนี้ สะเทือนใจตูมาก ฮือออ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น