ป๋อจ้าน Au S.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] Juunana Sai : 17ฝน : 10
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Period / Romance / Suspense / Mystery / Crime
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
ที่คอของเด็กหนุ่มซึ่งเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณนั้นมีผ้าพันคอพันอยู่ด้วย
ถึงจะพยายามคิดว่าไม่ใช่แค่ไหน
แต่ผ้าพันคอไหมพรมสีน้ำเงินเข้มผืนนี้ก็ราวกับจะตอกย้ำความรู้สึกของเขาว่าคนที่สวมมันอยู่คือซาคาโมโต้
คาโอรุไม่ผิดแน่
มันเป็นลางสังหรณ์ของตำรวจ
"ผ้าพันคอผืนนั้นเป็นของคิมิสึกิ วายะใช่หรือเปล่า? พวกเธอสองคนจำได้ไหม?"
โอดะ ซาอิกับนิโตะ นากาอิถูกพาตัวมาที่หน้าหลุมศพปริศนา
ทั้งสองคนจ้องมองซากศพที่ถูกฝังอยู่ในดินด้วยสีหน้าพะอืดพะอม
ต่อให้เป็นนักเลงก็คงไม่ชินกับภาพอันน่าสยดสยองแบบนี้นัก
"ผม...ผมคิดว่าใช่ครับ" โอดะ ซาอิ
ตอบออกมาก่อนแล้วรีบเบือนหน้าหนี
"ผมก็คิดว่าใช่ครับ...เพราะตอนที่ยื้อแย่งกันบนหอคอย
ผมจำได้ว่าไหมที่ชายด้านหนึ่งของมันหลุดรุ่ยออกมา...เหมือนผืนนี้เลย…"
นิโตะ
นากาอิมองชายผ้าพันคอที่ไหมรุ่ยด้านหนึ่งด้วยท่าทางหวาดผวา
แสดงว่าใช่ผ้าพันคอผืนนั้นจริงๆ
เพราะขนาดเขายังไม่ทันจะชี้ให้ดูจุดที่เป็นตำหนิ
แต่เด็กทั้งสองคนกลับจำได้เพราะตนเป็นคนทำ
ถ้าอย่างงั้นก็ยิ่งชัดเจนว่าศพๆนี้คือซาคาโมโต้
คาโอรุ
ในคืนนั้น...ซาคาโมโต้อาจจะเก็บผ้าพันคอผืนนี้ได้
และคงรู้ว่าคิมิสึกิถักมันให้ตน…
เด็กหนุ่มสวมมันไว้ด้วยหัวใจที่แหลกสลายขนาดไหนกันนะ…
อาจจะมากพอให้คิดฆ่าตัวตายตามคนรักไปเลยก็ได้...
ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนความโศกเศร้านั้นเป็นความแค้น
บางที…การก้าวข้ามมันไปอาจจะเป็นเรื่องยากเต็มที
“ตอนที่คิมิสึกิตกลงไปจากหอคอยแล้ว ผ้าพันคอผืนนี้อยู่ที่ไหน?”
เขาหันไปถามเด็กหนุ่มสองคนอีกรอบ
“มันตกลงไปพร้อมกับคิมิสึกิครับ
หมอนั่นคว้ามันไว้ได้ในขณะที่ตัวเองร่วงลงไป…พวกผม…พวกผมถึงไม่กล้าไปเอา ถึงปล่อยมันไว้แบบนั้นจนเช้า
ชินยะเลยรวบรวมความกล้าไปหามัน…แต่ก็ไม่เจอแล้ว…”
“เพราะปลายมันรุ่ยแบบนี้
ตำรวจอาจจะคิดว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นจนหมอนั่นตกลงไปตาย แล้วก็อาจจะสืบมาถึงพวกผม…”
เด็กหนุ่มสองคนพูดด้วยสีหน้าเครียดขมึง
“ในคืนนั้น พวกเธอแน่ใจนะว่าไม่มีใครเห็นเหตุการณ์อีก?”
“แน่ใจครับ ไม่มีใครเห็นแน่ๆ ประตูหอคอยปิดอยู่ตลอด
แล้วราวกั้นหอคอยมันก็ทึบ มองจากข้างล่างไม่เห็นแน่ๆ
ไม่งั้นพวกผมจะแอบไปสูบยากันบนนั้นเหรอ” เด็กหนุ่มทั้งคู่ตอบอย่างมั่นใจ
หลังจากได้ฟังแบบนั้น
เขาจึงสันนิษฐานว่าบางทีในคืนนั้นนอกจากซาคาโมโต้แล้วอาจจะมีบุคคลที่สามอีกคนที่ตามมาพบเข้าหลังจากที่คิมิสึกิตกลงไปตายแล้ว
ซาคาโมโต้อาจจะแค่นั่งช็อคอยู่ที่ศพของคิมิสึกิและเก็บผ้าพันคอไป
เด็กหนุ่มมีแต่ความโศกเศร้าเพราะไม่รู้ว่ามีคนทำให้คิมิสึกิตกลงมา
ส่วนบุคคลที่สามอาจจะขึ้นไปบนหอยคอยและเก็บเสื้อของคิเสะ
ยูกิได้จึงคิดว่าฝาแฝดและพวกเด็กบ้านรวยเป็นคนทำ
คนคนนี้ต่างหากที่มีแต่ความเคียดแค้น
เพื่อนร่วมห้องรวมถึงกลุ่มสภานักเรียนถูกพาตัวมาเพื่อยืนยันศพและทุกคนล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคนที่นอนอยู่ในหลุมดินชื้นแฉะนี้คือซาคาโมโต้
คาโอรุ
เด็กหนุ่มมีผมหยักศกอันเป็นเอกลักษณ์และถึงแม้ร่างกายจะย่อยสลายไปตามกาลเวลา
แต่เส้นผมพวกนี้กลับยังอยู่ในสภาพดี
“พอจะทราบสาเหตุการตายหรือยังครับ?” สารวัตรหนุ่มเอ่ยถามแพทย์นิติเวชที่เจอหน้ากันบ่อยเหลือเกินในช่วงนี้
ชายวัยกลางคนสวมแว่นกรอบหนาท่าทางพิลึกพิลั่นดูไม่เหมือนหมอหันมาขมวดคิ้วใส่เขาราวกับกำลังเข้าไปรบกวนความสุนทรีของอีกฝ่าย
ก่อนจะตอบกลับมาอย่างรำคาญๆว่า
“ผมยังตอบแน่ชัดไม่ได้
แต่เบื้องต้นสันนิษฐานว่าน่าจะขาดอากาศหายใจตายจากการถูกรัดคอ แขวนคอ ผูกคอตาย”
มือที่สวมถุงมือชี้ไปที่ซอกคอของศพที่แหว่งวิ้นจนแทบจะเหลือแต่กระดูก
“มีร่องรอยบาดแผลกดรัดของวัตถุจำพวกเชือกเส้นเล็กๆอยู่เหนือลูกกระเดือกพาดไปหลังหูทั้งสองข้าง
ปลายกระดูกไฮออยด์หักทั้งสองด้าน ปกติแล้วกระดูกชิ้นนี้มันอยู่ในตำแหน่งที่แตกหักได้ยากและส่วนใหญ่สาเหตุที่ทำให้มันหักก็คือการถูกบีบรัดคอ”
ถึงจะดูท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรนักแต่คุณหมอก็พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ
“ส่วนเขาจะแขวนคอตัวเอง หรือถูกใครจับมาแขวน
ก็เป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องสืบสวน” คุณหมอยักไหล่แล้วโบกมือไล่แม้แต่สารวัตรอย่างเขาออกไปจากการทำงานของตน
ร่างสูงสง่าละออกมาจากศพ
เขาเดินห่างออกไป พยายามมองภาพมุมกว้างแล้วคิดหลายๆแง่
ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะฆ่าตัวตายหลังจากรู้ว่าไม่อาจอยู่ร่วมกับคิมิสึกิในโลกนี้ได้อีกแล้วหรือถูกใครบางคนฆ่าตาย
แต่มันต้องมีคนที่ไปพบศพเด็กหนุ่มแล้วเอามาฝังที่นี่… บุคคลที่สามคนนี้เป็นใคร?
จะใช่คนร้ายในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนี้หรือไม่?
ซาคาโมโต้
คาโอรุเป็นศพแรกของฆาตกรคนนี้หรือเป็นสิ่งที่กระตุ้นความเคียดแค้นของฆาตกรกันแน่?
เขารู้สึกเหมือนกลับมายืนอยู่ที่จุดเริ่มต้นใหม่
คนที่เขาเฝ้าสงสัยมาตลอดกลับเป็นเพียงแค่เหยื่อรายหนึ่ง
ถ้าอย่างงั้นฆาตกรตัวจริงคือใครกันแน่? ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่ามันใกล้จะจบแล้วทั้งๆที่เหมือนเพิ่งกลับมานับหนึ่ง
มือใหญ่ยกขึ้นมานวดหัวคิ้วอย่างเหนื่อยล้า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
เจ้าฆาตกรนั่นคิดจะฆ่าคนอีกเท่าไหร่ถึงจะพอ
“สารวัตรครับ ช่วยลงนามด้วยครับ” นายตำรวจเรียกให้เขาหลุดจากความคิดที่ดำดิ่งของตัวเอง
มือใหญ่รับแฟ้มและปากกามา
ปีไทโชที่
2
วันที่ 4 ตุลาคม
ซาคาโมโต้
คาโอรุ อายุ17ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โรงเรียนไคจิ เขตคามิโคจิ เมืองมัตสึโมโตะ
ลงนาม
ฟูจิวาระ อิตสึกิ สารวัตรตำรวจ
“คุณพอจะจำได้ไหม ว่าช่วงที่ซาคาโมโต้ คาโอรุหายตัวไป
ได้มีการค้นหามาถึงตรงนี้หรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามนายตำรวจในขณะที่ส่งแฟ้มคืน
บริเวณทุ่งเนโมฟีล่านี้จะว่าไกลก็ไกล ใกล้ก็ใกล้
มันขึ้นอยู่กับความต้องการในใจโดยแท้ว่าอยากจะมาแค่ไหน
“มีชุดค้นหามาถึงที่นี่ครับ แต่ตอนนั้นหิมะตกหนามาก ทั้งทุ่งนี่มีแต่หิมะ
หากใครเอาอะไรมาฝังไว้จริงๆ…น่าจะยากมากที่จะสังเกตเห็น…”
เขาฟังพลางคิดตาม ถ้าหิมะหนาขนาดนั้น
การจะขนศพของซาคาโมโต้มาที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
เท่าที่เขาสันนิษฐานมาโดยตลอด คนร้ายไม่ได้มีร่างกายที่ใหญ่โตนัก น่าจะเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง
การขนศพของเด็กหนุ่มตัวสูงยาวลุยหิมะสูงถึงเข่าคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ต่อให้มีรถเข็นหรืออุปกรณ์ช่วยใดๆก็ตาม
ถ้าอย่างงั้น
ศพของซาคาโมโต้อาจจะถูกเก็บไว้ที่ไหนสักแห่งในโรงเรียนจนถึงช่วงที่หิมะละลายเลยก็ได้?
อะไรบางอย่างรบกวนจิตใจเขา
เขาเหมือนจะนึกออกแต่ก็นึกไม่ออก เหมือนเขาเคยเห็น…หีบหรืออะไรบางอย่างที่สามารถซ่อนคนทั้งคนเอาไว้ในนั้นได้โดยที่ไม่มีใครสนใจเลย
“ผมกลับไปที่โรงเรียนก่อน คุณช่วยดูทางนี้ต่อที” เขาหันไปสั่งลูกน้องคนหนึ่งก่อนจะรีบก้าวขาออกจากทุ่งเนโมฟีล่า ตอนนี้ในหัวเขามีแต่อะไรบางอย่างที่นึกไม่ออกนั่น
ถ้าได้เห็นอีกสักครั้งเขาคงนึกออกทันที
เพราะฉะนั้นมีแต่จะต้องกลับไปที่โรงเรียนเพื่อมองหามัน
ก๊อกๆๆ
เงียบ…
ก๊อกๆๆๆ
“จิอากิซัง นี่ผมเองครับ อิตสึกิ” ….ก็ยังเงียบอยู่?
เขาล้วงกุญแจห้องขึ้นมาไขอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจิอากิซังจะหลับแล้ว
นี่เพิ่งจะโพล้เพล้เอง หรือจะอยู่ในห้องน้ำ?
“จิอากิซัง? อาบน้ำอยู่เหรอครับ?”
เขาว่าจะมาหยิบตะเกียงแต่กลับมาพบกับห้องที่ว่างเปล่า?
ใบหน้าหล่อเหลาชะโงกเข้าไปในห้องน้ำที่เปิดแง้มเอาไว้
ในนี้ก็ไม่มีเหมือนกัน จิอากิซังไปไหน?
ตอนนี้โรงเรียนยังไม่อนุญาติให้นักเรียนออกจากห้องพักได้
ไม่มีทางที่เซริซาว่า จิอากิจะฝ่าฝืนคำสั่งออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนแน่
เขาจึงเริ่มมองหาอีกฝ่ายอย่างร้อนลน ห้องทั้งห้องยังคงอยู่ในสภาพปกติ
ไม่ได้มีข้าวของกระจัดกระจาย ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน
หรือจะมีใครมาตามไปไหน?
ขายาวก้าวพรวดๆออกจากห้องไปยังฝั่งอาคารพักของพวกคุณครู
เขาไล่เคาะประตูถามครูทุกคนที่อยู่ในห้องว่ามีใครได้มาตามเซริซาว่า
จิอากิไปช่วยงานอะไรไหม?
ซึ่งทุกคนต่างส่ายหน้าปฏิเสธ
เพราะหากต้องการให้นักเรียนสักคนช่วยงาน ชื่อของคุณชายเล็กตระกูลเซริซาว่าย่อมเป็นชื่อสุดท้ายที่พวกตนนึกถึง
ไม่มีใครอยากไปรบกวนเซริซาว่าซังหรอก
ถ้างั้นจิอากิซังหายไปไหนกัน?
เขาวิ่งไปตึกเรียนด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นสุข
เพราะเป็นตำรวจจึงมักคิดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อนเสมอ
เสียงทุ้มตะโกนเรียกตำรวจที่ประจำการอยู่ในห้องแถวนั้นให้ช่วยกันออกตามหาเซริซาว่า
จิอากิเป็นการเร่งด่วน
เขาสังหรณ์ใจไม่ดีเลย…
ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับจิอากิซังแน่ๆ
อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะทำให้ใครเป็นห่วง
ช่วงเวลาแบบนี้ไม่มีทางที่จิอากิซังจะออกไปไหนตามลำพังโดยไม่บอกเขาแน่ๆ
สันกรามของเขากัดกันแน่นในขณะที่ไล่เปิดประตูห้องเรียนหา
เสียงโครมครามดังขึ้นตามอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูงทุกทีๆของเขา หัวใจราวกับกำลังถูกบีบรัด เขาไม่เคยเป็นห่วงใครมากขนาดนี้มาก่อนเลย
เพราะรู้ถึงความโหดเหี้ยมของฆาตกรในคดีนี้ดี
พอคิดว่าหากจิอากิซังอาจจะต้องเป็นคนไปเจอมันเข้า เขาก็แทบจะสติแตกแล้ว
“บ้าเอ้ย!” เสียงทุ้มสบถออกมาเป็นคำหยาบคายอย่างที่คุณชายของตระกูลฟูจิวาระจะไม่พูดกัน
เขาลืมไปได้ยังไงว่าสาเหตุแรกเริ่มที่ทำให้คิมิสึกิ
วายะต้องไปพบกับจุดจบแบบนั้น…ก็เพราะจะไปฟังเสียงไวโอลิน
ฆาตกรลงมือเหมือนคนที่กำลังบ้าคลั่งและไม่สนใจตรรกะใดๆทั้งสิ้น
ไม่สนใจเหตุผล ไม่สนใจว่าจะถูกจับได้ ราวกับคนร้ายได้เสียสติไปแล้ว
ถึงแม้จะดูเล็กน้อยแค่ไหนแต่หากเกี่ยวข้องกับการตายของคิมิสึกิ
คนร้ายก็อาจจะเห็นมันเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้…
เพราะฉะนั้น…นอกจากพวกเด็กบ้านรวยห้าคนนั้นแล้ว
อีกคนที่น่าจะตกเป็นเป้าหมายของคนร้ายมากที่สุดก็คือเซริซาว่า จิอากินี่แหละ!
ฆาตกรมักจะลงมือในคืนที่มีเสียงไวโอลิน…มันต้องมีเหตุผลแน่ๆ
แฮ่ก…แฮ่ก…
เสียงหอบหายใจของเขาดังก้องไปทั่วโถงทางเดินหน้าห้องเรียนที่วังเวง
ความเป็นห่วง ความกังวลใจ ความร้อนรนทำให้เขาสูญเสียความเยือกเย็นไปจนหมด
ฝ่ามือใหญ่กำเข้าหากันจนเส้นเลือดปูดโปน
ถ้าเขายังวิ่งวนหาแบบนี้ต่อไป ไม่มีทางที่จะทันคนร้ายแน่ๆ
แต่จะทำยังไงให้ความหวาดกลัวในใจนี้ลดลงไปได้กันเล่า
ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่า
เซริซาว่า จิอากินั้นสำคัญสำหรับเขามากจริงๆ
เขารักจิอากิซัง
และถ้าอีกฝ่ายเป็นอะไรขึ้นมา…เขาคงลงมือฆ่าไอ้ฆาตกรนั่นได้อย่างไม่ลังเล
กึ้ด
เขากัดริมฝีปากจนเลือดซิบ
ต้องใช้ความเจ็บแสบนี้เพื่อบรรเทาความขาดสติของตัวเอง
ในหัวกำลังประมวลผลจนแทบมอดไหม้
คิดสิ คิดให้ออก ว่าฆาตกรจะเป็นใครได้บ้าง
คนคนนั้นต้องเป็นคนที่รักคิมิสึกิ
วายะมากพอๆกับซาคาโมโต้ คาโอรุ
และแล้ว...เขาก็นึกถึงคำพูดของครูใหญ่ที่ว่า…คิมิสึกิ
วายะเข้ามาเรียนที่นี่ได้เป็นเพราะการรับรองของครูประจำห้องดนตรี…
เด็กคนนั้นไม่มีพ่อ…
หรือว่าแท้จริงแล้วครูดนตรีจะเป็น…!!!
ร่างสูงสง่าตวัดตัวกลับแทบจะทันที
นายตำรวจที่วิ่งตามมาถึงกับหลบกันไม่ทั่วไม่ทัน
ขายาวรีบวิ่งกลับไปยังห้องดนตรีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตึกเรียน สันกรามของเขาขบกันแน่น
จิอากิซังออกจากห้องไปทั้งๆที่ไม่มีการต่อสู้ขัดขืนใดๆ
แสดงว่าต้องมีคนมาตามออกไปแน่ๆ
และคนๆนั้นก็ไม่น่าจะเป็นนักเรียนเหมือนกันเพราะมันจะเป็นการขัดคำสั่งของโรงเรียน…แต่ถ้าเป็นคุณครูล่ะ
แล้วยิ่งเป็นคุณครูที่ตนไว้ใจอย่างครูห้องดนตรี…จิอากิซังคงย่อมตามออกไปโดยไม่ติดใจสงสัยแน่ๆ
จะว่าไป…ไวโอลินก็หายไปด้วยเหมือนกัน…
ใช่
เขาไม่เห็นมันวางอยู่บนขาตั้งในห้อง!
ปัง!!
มือใหญ่ผลักประตูห้องดนตรีจนมันแทบจะปลิวหลุดออกไป
ในห้องไม่มีใครอยู่…แต่เขากลับยืนตะลึงอยู่ตรงหน้าแกรนด์เปียโนหลังใหญ่
ราวกับมีไฟฟ้าช็อตอยู่ทั่วร่าง…นี่แหละ…เจ้าสิ่งนี้แหละที่เขานึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก…
หีบที่ใหญ่พอจะใส่คนได้ทั้งคนโดยที่จะไม่มีใครสนใจ
ทั้งๆที่มันก็ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนี้มาตลอด
สถานที่ซ่อนศพของซาคาโมโต้
คาโอรุ!
“อึก…” เขาถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูกเมื่อเปิดฝาหลังของเปียโนออก
บนสายโลหะกว่าสองร้อยเส้นเต็มไปด้วยคราบน้ำเหลืองและเลือดเกรอะกรัง
ศพของซาคาโมโต้เคยถูกซ่อนไว้ตรงนี้จริงๆ
เป็นเพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาวศพจึงแทบไม่เน่าเปื่อย
แล้วถ้าให้เขาเดา ในช่วงเวลานั้นครูคนนี้คงจะสอนโดยใช้เครื่องดนตรีอย่างอื่น...
นายตำรวจที่วิ่งตามเข้ามาต่างส่งเสียงอื้ออึง
แต่เขาก็ไม่มีเวลาอธิบายอะไรแล้ว ดวงตาคมกล้ายังคงกวาดมองไปทั่วห้องอย่างร้อนรน
มือใหญ่รื้อค้นไปตามชั้นต่างๆ
แล้วเขาก็ไปเจอแผ่นเสียงแผ่นหนึ่งเข้า…
Concerto
Grosso No.1 in D Major ,
Op.6
l.Largo
ประพันธ์โดย
Arcangelo
Corelli
นี่คือบทเพลงที่จิอากิซังเล่นเป็นประจำ
เขาตวัดสายตาไปมองเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลด้วยดวงตาที่เบิกค้าง…เขาไม่เคยเอะใจเลย…เพราะทุกอย่างมันดูเป็นธรรมชาติเกินไป…มันถูกวางไว้อย่างถูกที่ถูกทางมาก…
เขาจึงไม่เคยสงสัยเลยว่า
เสียงไวโอลินที่ดังขึ้นในคืนที่คิเสะ เคียวเฮถูกฆ่า…มันจะดังมาจากที่ห้องดนตรี…
คนร้ายของคดีนี้คือคุณครูประจำห้องดนตรีนี่เอง!
ถ้าอย่างงั้นตอนนี้หมอนั่นพาจิอากิซังไปที่ไหน?
เขาพยายามคิดจนหัวแทบจะระเบิด
พยายามเรียบเรียงสถานที่ที่เหลือซึ่งอยู่ในบันทึกของซาคาโมโต้
ที่ป่าหลังโรงเรียนเหรอ?
หรือว่าที่ไหนกันแน่? โว้ย!!
ปึ้ง!
กำปั้นทุบผนังจนคนทั้งห้องหันมามอง
เขาทั้งร้อนใจทั้งไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว
ได้แต่ภาวนาขอให้จิอากิซังอย่าเป็นอะไรไปเลย ไม่เช่นนั้นเขาคงรับไม่ได้แน่
แล้วในขณะที่เขากำลังจะอาละวาดเสียให้ได้…
เสียงเครื่องสายแว่วหวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบของราตรี
เขาถึงกับตัวแข็งทื่อ…
นั่นมันเสียงไวโอลินของจิอากิซัง…
เป็นฝีมือการสีสดๆของจิอากิซังไม่ผิดแน่
เขาฟังมาไม่รู้กี่ร้อยรอบทำไมจะจำไม่ได้
สองขาวิ่งออกจากห้องโดยไม่ต้องรอให้สมองสั่งทันที
หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำ
ไม่เคยรู้เลยว่าทางเดินในตึกเรียนมันจะยาวขนาดนี้
เสียงนั่น…ดังมาจากหอคอย…
มาจากหอคอยแน่ๆ!
เสียงไวโอลินเริ่มขาดๆหายๆ...เหมือนคนเล่นกำลังหวาดกลัว
น่าจะเป็นเพราะจิอากิซังถูกบังคับให้เล่นแน่ๆ เขาวิ่งไปใจก็จะขาดไป
กลัว…
กลัวเหลือเกินว่าจะวิ่งไปไม่ทัน…
กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้พบกันอีก…
ปัง!!!
ประตูที่เปิดสู่ดาดฟ้าของหอคอยแทบจะปลิวไปในอากาศ
เขาวิ่งพรวดพราดออกไปโดยไม่สนใจสักนิดว่าจะมีกับดักอะไรรออยู่หรือไม่
เขาร้อนใจจนทนไม่ไหวแล้ว
โครม!!!!!
หมัดหนักๆซัดไปที่ใบหน้าครูห้องดนตรีที่กำลังถือมีดขู่จิอากิซังอยู่
ร่างผอมแห้งล้มคว่ำเพราะไม่ทันตั้งตัว
“จิอากิซัง!” เขาตวัดสายตามองไปที่ร่างโปร่งซึ่งยืนถือไวโอลินตัวสั่น
แผ่นหลังบางถอยหนีจนชิดติดกับราวกันตกแล้ว
อีกนิด…อีกแค่นิดเดียว…จิอากิซังก็จะตกลงไปแล้ว…
“ไอ้บ้าเอ้ย!” เขาหันมาสถบหยาบคายใส่ครูห้องดนตรีที่บัดนี้มีสีหน้าราวกับคนเสียสติ
ผมเผ้าที่เคยถูกหวีอย่างเรียบร้อยกลับยุ่งเหยิง ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับแดงกล่ำ
มือยังคงกำมีดชี้มาที่หน้าเขาอย่างไม่ได้สำนึกในความผิดที่ตัวเองทำลงไป
“หึ…หึๆ ฉันจะฆ่าพวกแก” ใบหน้าบิดเบี้ยวพูดด้วยเสียงหัวเราะต่ำๆในลำคอ หมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมด! พวกแกก็แค่เกิดมาในที่ที่ดีกว่าคนอื่นเท่านั้น! มีสิทธิ์อะไรมาทำกับวายะที่น่าสงสารของฉันแบบนี้!!” เดี๋ยวๆก็ตะโกน เดี๋ยวๆก็หัวเราะ เดี๋ยวๆก็คร่ำครวญ หมอนี่ไม่มีสติแล้ว
คงเจรจากันไม่รู้เรื่องอีก
“เริ่มจากแกก่อนก็แล้วกัน ลงไปอยู่เป็นเพื่อนวายะของฉันซะ!” แล้วร่างโซเซก็ลุกพรวดพุ่งเข้าใส่จิอากิซังที่ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“หยุดนะ!” เสียงทุ้มตะโกนกร้าว
พร้อมกับหัวใจที่หล่นไปถึงตาตุ่ม สองขาก้าวออกไปอย่างไม่รู้เลยว่าจะทันไหม
“อ๊ะ?!” มือบางที่ถือคันสีไวโอลินพยายามยกขึ้นมาปิดหน้าตามปฏิกิริยาอัตโนมัติ
“อึก!” ชั่วพริบตาที่มีดจะปักลงไปบนหน้าท้องแบนเรียบ
มือของเขาก็จับมันเอาไว้ได้เสียก่อน
เลือดไหลทะลักลงมาตามข้อมือทันที
เขารับรู้ได้ว่าที่แผลมันเจ็บ
แต่ที่เจ็บกว่าคือหัวใจของเขาที่ต้องมาเห็นคนที่ตนรักถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา…
ในหัวมีแต่ภาพที่เขาจับไอ้บ้านี่ทุ่มลงหอคอยไป!
เขาอยากจะฆ่ามันให้รู้แล้วรู้รอด ฆ่ามันซ้ำๆ ซ้ำๆ
ให้สาสมกับที่มันคิดจะทำร้ายดวงใจของเขา!
โครม!
ฝ่าเท้าเตะตัดขาจนครูห้องดนตรีล้มหน้าคะมำ
มือใหญ่พลิกสับลงไปที่ข้อมือของอีกฝ่ายในชั่ววินาที
มีดส่องประกายสีเงินคมกล้าก่อนจะร่วงลงไปจากหอคอย
เคร้ง…
เสียงก้องกังวานดังอยู่เบื้องล่าง
ตอนนี้ไอ้คนเสียสตินี่ไม่มีอาวุธอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ประมาท ท่อนขาแข็งแรงเตะคนที่ผอมแห้งกว่ามากจนกระเด็นไปถึงผนังอีกฝั่ง
ยังไงเขาก็เป็นตำรวจ ครูห้องดนตรีหรือจะมาสู้เขาได้
ร่างสูงสง่าย่างสามขุมเข้าไปหาคนที่กองอยู่บนพื้นราวกับมัจจุราช
เขากระชากคอมันขึ้นมา หมัดหนักๆซัดเข้าที่ใบหน้าลวงโลกนั่นจนแตกยับ
เขาต่อยมันซ้ำๆ
ซ้ำๆ จนข้อนิ้วของตัวเองก็มีเลือดออกเช่นกัน แต่นี่ยังนับว่ามันน้อยไปด้วยซ้ำ!
เขาจะไม่ฆ่ามันหรอก…เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นฆาตกรเหมือนมัน!
ตุ้บ!
โครม!
มือแข็งแรงสะบัดคนที่ถูกชกจนหมดสติลงไปกองกับพื้น
เป็นจังหวะเดียวกับที่นายตำรวจคนอื่นๆวิ่งตามมาช่วยกันรวบตัวครูห้องดนตรีพอดี
“จิอากิซัง” เขาจึงรีบหันไปหาร่างโปร่งบางที่ยังยืนตัวสั่นงันงก
ใบหน้ามนราวกับกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ยิ่งเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ่งปวดใจที่ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ จิอากิซัง” เขาเดินเข้าไปหา…แค่อ้าแขนออก…อีกฝ่ายก็โผเข้ามากอดเขาด้วยความกลัวทันที
สองแขนแข็งแรงโอบกอดร่างโปร่งบางไว้แนบแน่น
กอดจนแทบจะจมลงไปในอก มือใหญ่ลูบไหล่และแผ่นหลังบางอย่างปลอบโยน
“มันจบแล้วครับ ไม่เป็นไรแล้วนะ” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ที่ใบหู
พยายามให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้แล้ว
“อิตสึกิซัง…ผม..กลัวมาก….” เสียงสั่นเครือเอ่ยออกมาจากอ้อมอก
ทั้งเนื้อทั้งตัวของจิอากิซังยังคงสั่นสะท้าน
วินาทีที่ถูกบังคับให้สีไวโอลินไปและกระโดดลงจากหอคอยไป
จิอากิซังคงจะตกใจกลัวเป็นอย่างมาก ทั้งไม่คิดว่าครูที่ไว้ใจจะเป็นคนร้าย
ทั้งไม่คิดว่าตนจะเป็นหนึ่งในคนที่อีกฝ่ายอยากจะให้ตายตามคิมิสึกิไป
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับคนดี ผมอยู่ตรงนี้แล้ว จิอากิซัง” เสียงทุ้มเอ่ยกับกลุ่มผมสีดำหลังจากที่จรดริมฝีปากลงไป
เขาโอบกอดอีกฝ่ายไว้ให้ผ่อนคลายจากอาการหวาดกลัว
ไม่ว่าจะนานแค่ไหน
เขาก็จะกอดเอาไว้เอง…
“ผมไม่คิดว่าจะเป็นเขา…เขาบังคับให้ผมสีไวโอลินแล้วกระโดดลงไป
เขาบอกว่าคิมิสึกิคือลูกชายของเขา คิมิสึกิชอบเสียงไวโอลินของผมมาก
เขาอยากจะให้ผมไปสีให้คิมิสึกิฟังในปรโลก…ผมกลัว…ผมกลัวมาก…ฮึก…” คนในอ้อมแขนร่ายยาวออกมาราวกับกำลังระบายความหวาดกลัวในใจ
เสียงนุ่มขาดๆหายๆและมีเสียงสะอื้นแทรกซ้อนอยู่ด้วย จิอากิซังคงจะกลัวจนร้องไห้
แต่ไม่เป็นไร อยากร้องแค่ไหนก็ร้องออกมาเลย เขาจะใช้แผ่นอกของเขารับมันเอาไว้เอง
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ…” เขายังปลอบโยนด้วยคำเดิมซ้ำๆ
“คุณครูเคยเป็นคนใจดีแท้ๆ ทำไม ทำไมกัน…” จิอากิซังยังคงตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนเขา
มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบหัวสีดำแล้วกดจูบซ้ำลงไปอีก
“ผมคิดว่าจะต้องตกลงไปตายเสียแล้ว…ผมกลัวมาก…ผมคิดว่าคงจะไม่ได้เจอคุณอีกแล้ว…ฮึก…”
ร่างโปร่งยังคงระบายออกมาไม่หยุด
“ผมกลัว…อิตสึกิซัง ฮึก…” มือบางกำสาบเสื้อของเขาไว้แน่น มือใหญ่จึงลูบแผ่นหลังเบาๆ
เขายืนกอดอีกฝ่ายอยู่แบบนั้นนานสองนาน
“อ๊ะ! คุณบาดเจ็บไม่ใช่เหรออิตสึกิซัง? เมื่อกี้คุณเอามือมารับมีดแทนผม
ฮึก คุณต้องไปทำแผลก่อนนะ ฮึก” จิอากิซังพยายามผลักตัวเองออกมาแล้วดึงมือที่ถูกมีดบาดลึกของเขาไปดู
เลือดยังไหลออกมาไม่หยุดแต่เขากลับอมยิ้มที่ได้เห็นท่าทางสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆของอีกฝ่าย
ทั้งอยากจะอ้อนเขา
ทั้งกลัวและอยากจะให้เขากอดไว้ แต่ก็เป็นห่วงเขาและอยากจะทำแผลให้เขา
ท่าทางที่ไม่รู้จะทำอะไรก่อนแบบนั้นของจิอากิซังช่างน่ารักเหลือเกิน
“แผลแค่นี้ไม่เป็นไรมากหรอกครับ เดี๋ยวก็หาย” เขาใช้มืออีกข้างลูบหัวสีดำ
“ไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดคุณเสียเลือดจนตายไปจะทำยังไง? ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคงแย่แน่ถ้าไม่ได้เจอคุณอีก
ฮึก…” มือบางยกขึ้นมาปาดน้ำตาไปมองแผลที่มือเขาไป
จิอากิซังมองเลือดพวกนั้นด้วยดวงตาสั่นระริกอย่างไม่รู้จะห้ามมันให้หยุดไหลได้ยังไง
ดวงตากลมโตเหลือบไปมองชายกิโมโนของตัวเอง แต่ก่อนที่มือบางจะเอื้อมไปฉีกมันออกมา
เขาก็รีบตะครุบมือข้างนั้นไว้ก่อน
“ใช้นี่ดีกว่าครับ” เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง
ถึงมันจะรู้สึกดีที่อีกฝ่ายยอมฉีกชายกิโมโนของตัวเองให้ แต่เขาไม่แน่ใจว่ากิโมโนของจิอากิซังจะตัวละกี่แสนเยนนี่สิ
“ฮึก…ครับ…” ใบหน้ามนยังสะอึกสะอื้นอย่างน่ารัก
มือบางช่วยห้ามเลือดให้เขาอย่างตั้งใจ เขาเฝ้ามองภาพนั้นไม่วางตา
เขาก็รู้…ว่าไม่ควรจะรู้สึกแบบนั้นเลยในสถานการณ์แบบนี้
แต่มันก็อดที่จะดีใจไม่ได้
นี่เรียกว่าความรู้สึกของเราตรงกันแล้วหรือเปล่า?
จิอากิซังเอง…ก็รักเขาเหมือนกันใช่ไหม?
ต่างฝ่ายต่างหวาดกลัวว่าจะไม่ได้เจอกันอีก
กลัวว่าจะต้องแยกจากกันไปตลอดกาล
ตลอดทางที่วิ่งมาที่นี่เขาไม่เคยนึกกลัวและเป็นห่วงใครมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
“ผมนึกถึงแต่คุณ…ตลอดเวลาที่ตัวเองกำลังจะตาย…ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันนะ…” เสียงนุ่มเอ่ยออกมาในขณะที่ผูกปมผ้าพันแผลที่มือให้เขา
คำพูดเบาๆของจิอากิซังทำให้เขายิ้มอย่างผ่อนคลาย
อ่า…ใช่จริงๆด้วย…
“ผมก็นึกถึงแต่คุณ…ตลอดเวลาที่วิ่งตามหาตัวคุณ ผมก็ร้อนใจจนแทบจะเป็นบ้า…และผมรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร…” เขาสบประสานดวงตากับคนที่อยู่ตรงหน้า
ไม่ว่าสรรพเสียงรอบกายจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายแค่ไหนแต่ความรู้สึกเขาก็ราวกับมีเราอยู่กันแค่สองคน
เขาค่อยๆโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหูบาง...
ก่อนจะกระซิบถ้อยคำเบาๆ... ที่ทำเอาคนได้ยินถึงกับแดงไปทั้งตัว...
“นั่นก็เพราะว่าผมรักคุณยังไงล่ะครับ จิอากิซัง”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
โอ๊ย
ลงไปดิ้น~~ >/////<
เป็นเขินกับพระนายคู่นี้จริงจริ๊งงงงง โอ๊ยยยย ตายแล้วววว
บอกรักกันกลางสถานการณ์โชกเลือดงี้เลยเหรออออ >/////<
ปล่อยคุณกวางมันดิ้นไปค่ะ
ตอนหน้าก็น่าจะจบของคดีนี้แล้วนาคะ ขอเรียบเรียงสติเขียนบทสรุปนิดนึงถถถ
เขียนเองยังลืมเอง ^
^” <<เฮ้ยแก!
ขอบคุณทุกๆการติดตาม
ทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆโดเนทมากๆนะก๊า
นี่ถ้าไม่กลายสภาพเป็นฟิคยาวพิเศษ(?)ไปแล้วก็เกือบจะนับได้ว่าเขียนจบไปอีกเรื่องนึงแล้วนะนี่
ปลื้มปริ่ม >////< แล้วเจอกันตอนหน้านะค้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น