ป๋อจ้าน Au S.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] Juunana Sai : 17ฝน : 09
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Period / Romance / Suspense / Mystery / Crime
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
ปีไทโชที่
2 วันที่ 1 ตุลาคม
มุราซากิ
ชินยะ อายุ17ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โรงเรียนไคจิ เขตคามิโคจิ เมืองมัตสึโมโตะ
ลงนาม
ฟูจิวาระ อิตสึกิ สารวัตรตำรวจ
มือใหญ่วางปากกาที่ใช้ลงชื่อลงบนแฟ้มเอกสาร
ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หมวกทรงหม้อตาลของตำรวจถอนหายใจก่อนจะหันไปมองรอบกายที่กำลังวุ่นวาย
ศพของมุราซากิ
ชินยะยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม…
เขาทอดสายตามองเด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิต
ใบหน้าคมคายราวกับซามูไรนั่นกลับดูนิ่งเฉยไร้แววหวาดกลัวต่างจากคิเสะ ยูกิ บางที…อาจจะตายทั้งๆที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ภาพในหัวของเขากำลังจินตนาการถึงเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่วิ่งไล่ตามคนรักมา
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อหันซ้ายแลขวาท่ามกลางความมืด
หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่นด้วยความกังวลเพราะมองหาแผ่นหลังแบบบางของคิเสะ
ยูกิไม่เจอ เสียงหอบหายใจของตัวเองดังก้องอยู่ในหู
เสียงทุ้มตะโกนกร้าวออกไปเป็นชื่อของคนรัก
“ยูกิ! อยู่ที่ไหน? ตอบฉันที!”
เด็กหนุ่มวิ่งสะเปะสะปะฝ่าป่าหญ้าที่ดูน่ากลัวไปอย่างไม่แน่ใจในทิศทางนัก
ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ความมืดก็ทำให้ทุกอย่างเหมือนกันไปหมด
เสียงสวบสาบที่ดูวังเวงยิ่งกดดันจิตใต้สำนึก
หัวใจของเด็กหนุ่มคงจะเต้นระรัวแต่ก็ยังกัดฟันวิ่งต่อไป
ขนาดตนยังกลัวแล้วยูกิจะไม่กลัวได้ยังไง
ตนจะไม่ยอมทิ้งคนรักไว้ที่นี่ตามลำพังอย่างแน่นอน
ขายาววิ่งทะลุป่าออกมา
เงามืดที่เคยคุกคามจิตใจหายไปกลายเป็นแสงสีเงินของจันทราซึ่งฉาบไล้ทุ่งดอกไม้สีน้ำเงินตรงหน้า
คงจะทั้งสวยงามและเย็นชาจนเด็กหนุ่มหยุดยืนมอง
และเพราะแบบนั้น…มุราซากิ
ชินยะจึงไม่ทันสังเกตว่านอกจากตนแล้ว…ที่นี่…ยังมีใครคนอื่นอยู่ด้วย
ไม่รู้ว่ามาจากไหน? ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่?
จะรู้ตัวหรือไม่? แต่ลมหายใจสุดท้ายของเด็กหนุ่มถูกพรากไปในพริบตาด้วยคราดเหล็กสนิมเครอะ…
ดวงตาคมกล้าละจากใบหน้าไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ
ตามเนื้อตัวของมุราซากิ ชินยะไม่มีร่องรอยของการต่อสู้หรือขัดขืนใดๆ
ไม่มีร่องรอยการป้องกันตัวเอง
ซึ่งมันทำให้เขาสันนิษฐานว่าเด็กหนุ่มอาจจะถูกฆ่าตายโดยไม่รู้ตัว
แล้วเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามุราซากิ
ชินยะวิ่งมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง
เพราะเด็กหนุ่มเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ไหล่หนาและน่าจะหนักเอาการ หากถูกลากมา
ต้นหญ้าแห้งมากมายขนาดนี้ย่อมต้องทิ้งร่องรอยของการลากไว้แน่ๆ
เขาเดาว่าคนร้ายน่าจะไม่อยากสู้กับเด็กหนุ่มจึงใช้วิธีลอบทำร้ายเอา
ถ้าคิดว่าคนร้ายคือซาคาโมโต้ คาโอรุแล้วละก็มันก็จะลงล็อคพอดี
เพราะถึงซาคาโมโต้จะสูงแต่ก็ยังนับว่าตัวเล็กกว่ามุราซากิพอสมควร
เรี่ยวแรงก็คงสู้อันธพาลประจำโรงเรียนไม่ได้
การหลีกเลี่ยงการต่อสู้ซึ่งหน้าน่าจะดีที่สุด
แต่เรื่องที่ยังรบกวนใจเขาก็คือ
ทำไมซาคาโมโต้ถึงต้องฆ่ามุราซากิด้วย? ไม่ได้มีความแค้นแค่กับกลุ่มเด็กบ้านรวยห้าคนเท่านั้นหรือไง?
หรือจะเป็นเพราะมุราซากิวิ่งตามมาแล้วขัดขวางแผนการของตน?
เด็กหนุ่มที่ยืนตายอยู่ตรงหน้าตอบเขาไม่ได้แล้ว
คนที่จะตอบทุกคำถามของเขาได้ตอนนี้มีเพียงฆาตกรเท่านั้น เขาต้องตามจับตัวมาให้ได้
“ฝากจัดการตรงนี้ต่อทีนะครับ ผมอยากไปคุยกับครูห้องพยาบาลหน่อย”
เขาหันไปสั่งนายตำรวจที่ยืนจดบันทึกอยู่ก่อนจะรีบกลับไปที่โรงเรียน
ในเวลาแบบนี้ครูห้องพยาบาลเองก็วุ่นวายไม่แพ้ตำรวจอย่างเขา
เขาจึงยังไม่ทันได้สอบปากคำอีกฝ่าย
แต่พอมาคิดดูดีๆแล้วสถานที่ที่น่าสงสัยที่สุดก็น่าจะเป็นที่ห้องพยาบาลสิ
เพราะคนร้ายน่าจะแฝงตัวเข้ามาที่นั่นเพื่อพูดอะไรสักอย่างกับคิเสะ
ยูกิเพื่อหลอกล่อเด็กหนุ่มออกไป
และครูพยาบาลอาจจะบังเอิญเห็นคนร้ายโดยที่ไม่ตั้งใจและไม่ได้เอะใจเลยก็ได้
ขายาวแทบจะเปลี่ยนเป็นวิ่งตามความร้อนใจ
ระยะทางจากทุ่งเนโมฟีล่าก็ช่างไกลเหลือเกิน
“แฮ่ก…แฮ่ก…” มือใหญ่ถึงกับต้องท้าวประตูห้องพยาบาลเอาไว้ข้างหนึ่งในขณะที่ก้มลงไปหอบหายใจ
“ตายจริงคุณสารวัตร? มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ครูพยาบาลวิ่งออกมาดูด้วยท่าทางตกอกตกใจ
ใบหน้ากลมหวาดระแวงว่าจะมีเหตุร้ายอีกหรือไม่เมื่อเห็นหน้าเขา
“ผม…มีเรื่องอยากสอบถามคุณครูหน่อยครับ”
เขาพยายามผ่อนลมหายใจแล้วยืดตัวตรง
อีกฝ่ายรีบเชื้อเชิญเขานั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำแผล
“เชิญนั่งก่อนนะคะ มีอะไรก็ถามมาได้เลยค่ะ”
“ตอนที่คิเสะ ยูกิฟื้นขึ้นมา เขามีอาการยังไงบ้างครับ?”
“คิเสะ ยูกิ?” ครูพยาบาลทำท่านิ่งคิดก่อนจะพูดต่อ
“ตอนที่ฟื้นขึ้นมา…ยูกิคุงก็มีอาการปกติของคนที่สลบไปนะคะ
หมายถึงจะมึนๆเบลอๆไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะค่ะ
ดิฉันให้เขาลุกขึ้นนั่งเพราะอยากให้ทานข้าวสักหน่อยจะได้ทานยาก่อนนอน
แต่ใครจะไปคิดว่า…”
“ว่า?”
“จู่ๆ ยูกิคุงจะปัดถ้วยข้าวต้มทิ้งแล้วกรีดร้องด้วยความโกรธแค้น
จากที่มีอาการเซื่องซึมกลับตัวสั่นเหมือนคนที่กำลังโมโหสุดขีด
สีหน้าที่ปกติจะเชิดๆหยิ่งๆก็เหมือนกับผีเข้าเลยค่ะ ดวงตานี่แดงกล่ำเลย”
พูดไปครูพยาบาลก็ยังลูบแขนไป
“หลังจากกรีดร้องและอาละวาดจนข้าวของพังไปหมด จู่ๆยูกิคุงก็พุ่งไปหยิบมีดปอกผลไม้แล้ววิ่งออกไปเลยค่ะ”
“เขาได้พูดอะไรไหมครับ?”
“พูดค่ะ เด็กคนนั้นพูดเรื่องน่าขนลุกมากค่ะ ตอนนี้ดิฉันยังจำติดหูอยู่เลย”
“พูดว่าอะไรครับ?”
“ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแก! แบบนี้น่ะค่ะ”
“แกที่ว่านี่คือ…?”
“ไม่รู้หรอกค่ะ ทุกคนต่างตกใจและยืนงงทำอะไรไม่ถูก
ตอนนั้นมีครูพยาบาลอยู่อีกคน ขนาดเราช่วยกันจับยังสู้แรงยูกิคุงไม่ได้เลยค่ะ
ดีที่มุราซากิคุงมาพอดี
เห็นเขาวิ่งตามไปพวกเราก็เบาใจเพราะปกติแล้วมุราซากิคุงเป็นคนเดียวที่เอายูกิคุงอยู่
ไม่คิดว่าแม้แต่มุราซากิคุงก็……” ครูพยาบาลทำหน้าสลดเมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มที่วิ่งตามคนรักไป
ยิ่งได้ยินแบบนี้เขายิ่งคิดว่ามันต้องมีกลไกอะไรบางอย่างที่ใช้เรียกคิเสะ
ยูกิออกไป ไม่เช่นนั้นจากคนที่เพิ่งฟื้นจะมีอาการคุ้มคลั่งได้ยังไง?
“ถ้ายังไง ผมขอเดินดูรอบห้องหน่อยนะครับ”
“เชิญเลยค่ะ แต่เมื่อวันก่อนก็มีตำรวจมาค้นไปรอบหนึ่งแล้วนะคะ?”
ใช่ เขาให้ลูกน้องมาค้นไปรอบหนึ่งแล้วแต่ก็ไม่เจอหลักฐานอะไร
“ยูกิคุงนอนอยู่ที่เตียงไหนครับ?” เขาเอ่ยถามในขณะที่สายตาก็กวาดมองไปทั่ว
ตั้งแต่ตู้กระจกที่อัดแน่นไปด้วยยาแบบชาวตะวันตก ใต้โต๊ะ ใต้เตียง
“เตียงนี้ค่ะ” ครูพยาบาลชี้ไปที่เตียงข้างหน้าต่างซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
“มีใครเข้ามาในห้องบ้างครับ ช่วงที่ยูกิคุงหลับอยู่?” เสียงทุ้มเอ่ยถามทั้งๆที่ยังกวาดสายตามองตามซอกมุมห้อง
มองแม้แต่ในถังขยะแต่ก็ไม่พบอะไรน่าสงสัย
“ตอนนั้นคุณตำรวจมาสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม คนที่เข้ามาได้เลยมีแค่
ดิฉัน ครูพยาบาลอีกคน แม่บ้านที่เอาอาหารมาให้ มุราซากิคุง
แล้วก็ครูประจำชั้นของยูกิคุงค่ะ”
“ครูประจำชั้น?”
“เขามีหน้าที่ต้องคอยรายงานครูใหญ่กับผู้ปกครองน่ะค่ะ ดิฉันก็เลยให้เข้ามา”
….ถ้าครูพยาบาลไม่เห็น บางทีครูประจำชั้นอาจจะบังเอิญเห็นคนร้ายตอนที่เข้ามาดูอาการคิเสะ
ยูกิบ้างก็ได้?
“ครูประจำชั้นของยูกิคุงคือใครครับ?”
”ครูประจำห้องดนตรีไงคะ
คุณสารวัตรน่าจะเคยเจอแล้วเพราะคุณอยู่กับเซริซาว่าซังบ่อยๆ” อ่อ
เห็นทีเขาคงต้องแวะไปถามครูประจำห้องดนตรีอีกทีว่าเจอใครน่าสงสัยอยู่รอบๆห้องนี้บ้างไหม
“จริงสิ วันสองวันนี้มีใครมาทำแผลที่มือบ้างไหมครับ? เป็นแผลพวกรอยเชือกบาดน่ะครับ”
เขาเอ่ยถามในขณะที่มือยังคงลูบไปตามขอบเตียง
ถึงจะยกฟูกขึ้นมาดูแต่ก็ไม่เจออะไรเลย
“เอ…ไม่มีนะคะ ตั้งแต่เกิดคดีของเคียวเฮคุง
ก็ไม่มีใครมาทำแผลที่นี่เลยค่ะ พอไม่ได้ออกจากห้องนอนกันคงไม่มีใครได้แผล”
“ครับ” เขาเดินวนรอบห้องรอบแล้วรอบเล่า
แต่ไม่ว่าจะคิดหาวิธียังไงมันก็ยังไม่ใช่
เขาไม่พบอะไรที่น่าจะใช้เป็นกลไกการติดต่อระหว่างคนร้ายกับคิเสะ ยูกิได้เลย
สารวัตรหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงไปบนเตียงอย่างเพลียๆ
บนเตียงนี้…คิเสะ ยูกิเคยนอนอยู่เมื่อวันก่อน
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่
แล้วในขณะที่กำลังจะเหลือบสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง
ขนทั้งร่างก็ถึงกับลุกชัน….
‘รายต่อไปคือแก รายต่อไปคือแก รายต่อไปคือแก รายต่อไปคือแก รายต่อไปคือแก รายต่อไปคือแก รายต่อไปคือแก รายต่อไปคือแก รายต่อไปคือแก รายต่อไปคือแก’
ถ้อยคำซ้ำๆถูกขีดเขียนอยู่เต็มกระจกหน้าต่าง
เขาตะลึงมองมันอย่างขนหัวลุก
นะ
นี่มัน….
ประโยคสาปแช่งพวกนี้อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว…แต่ที่เขาไม่เห็นเพราะมันถูกเขียนไว้ตอนกระจกขึ้นฝ้าและมันจะหายไปราวกับล่องหนเมื่อฝ้าหายไป…แต่เมื่อกี้เขาถอนหายใจ…อากาศหนาวๆปะทะกับลมหายใจอุ่นๆของเขาจึงเกิดฝ้าขึ้นที่กระจก
ประโยคพวกนี้จึงผุดพรายขึ้นมาราวกับคำสาปของผีร้าย
“คุณ…บอกว่ายูกิคุงกรีดร้องหลังจากที่กำลังจะทานข้าวต้มใช่ไหมครับ?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามครูพยาบาลอย่างเลื่อนลอย
“ใช่ค่ะ…อ๊ะ?! กรี๊ดดดดด!!”
ครูพยาบาลถึงกับกรีดร้องเสียงหลงเมื่อเข้ามาเห็นประโยคที่กระจกเข้า
ร่างอวบถอยครูดไปจนถึงประตูทางออก
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว…ว่าคนร้ายหลอกล่อคิเสะ
ยูกิออกไปได้ยังไง…
ไอข้าวต้มทำให้ที่กระจกขึ้นเป็นฝ้า
แล้วรอยที่มีคนเขียนอะไรบางอย่างไว้จึงปรากฏขึ้น…
‘รายต่อไปคือแก’
แค่ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนที่เพิ่งเสียพี่ชายฝาแฝดไปอย่างสยดสยองคุ้มคลั่งได้
แล้วดูจากนิสัยที่เย่อหยิ่งไม่ยอมใครอย่างคิเสะ ยูกิก็คงไม่ยอมอยู่เฉย
แต่คงคิดจะไปฆ่าคนร้ายก่อนถึงได้ถือมีดวิ่งออกไป
แล้วคิเสะ
ยูกิรู้ได้ยังไงว่าต้องไปที่ไหนน่ะเหรอ?
คำใบ้ต่อไปก็อยู่ใกล้ๆนี่เอง…
ดวงตาคมกล้าทอดมองดอกเนโมฟีล่าเหี่ยวๆดอกหนึ่งที่หล่นอยู่ตรงขอบหน้าต่าง… ถ้าไม่สังเกตและคิดตามดีๆก็คงไม่มีใครเอะใจเลยที่เห็นมัน…
“เด็กที่นี่รู้จักทุ่งเนโมฟีล่ากันทุกคนรึเปล่าครับ?” ทั้งเขาทั้งครูพยาบาลทำใจกันอยู่พักใหญ่และตอนนี้ตำรวจคนอื่นๆก็กำลังมาเก็บหลักฐานใหม่กันเต็มห้อง
“อืม…ไม่ทุกคนหรอกค่ะ
เพราะที่นั่นค่อนข้างไกลแล้วก็ต้องเดินฝ่าป่าไป มันน่ากลัวอยู่นะคะ
เด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครไปหรอกค่ะ
แต่ถ้าเป็นพวกเด็กที่คึกคะนองและไม่กลัวอะไรอย่างกลุ่มคิเสะ อาจจะเคยไปกันก็ได้”
ครูพยาบาลนั่งเอามืออังกับถ้วยชาอุ่นๆในขณะที่ตอบคำถามเขา
สีหน้าที่ยังซีดเผือดทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงตกใจมาก
เขาควรจะปล่อยให้เธอได้พักผ่อนจึงเอ่ยลาออกไป
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยตอบคำถามผม ขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
เขาตั้งใจว่าจะไปพบครูประจำห้องดนตรีเลยจึงยังไม่ได้เดินกลับไปที่หอพัก
ป่านนี้ไม่รู้ว่าจิอากิซังจะเป็นยังไงบ้าง
เมื่อเช้าเขาก็ต้องประคองอีกฝ่ายกลับมาตลอดทางหลังจากไปเห็นศพของมุราซากิเข้า
เนื้อตัวที่สั่นเทาคงจะตกใจน่าดู
เขาจึงอยากจะรีบๆไปสอบถามครูห้องดนตรีแล้วกลับไปดูจิอากิซังเสียหน่อย
แต่ดูเหมือนความตั้งใจของเขาจะถูกขัดขวางเข้าเสียแล้ว
เมื่อจู่ๆก็มีเด็กนักเรียนสองคนกระโดดออกมาขวางหน้า
“คะ คุณสารวัตร! ช่วย ช่วยพวกผมด้วยครับ!” เขาสะดุ้งน้อยๆที่จู่ๆก็มีคนโผล่พรวดออกมา ทว่า
อาการตกใจของเด็กสองคนตรงหน้ายังมีมากกว่าเขาเสียอีก
“เกิดอะไรขึ้น? แล้วนี่ออกจากอาคารหอพักมาได้ยังไง?
ใจเย็นๆก่อน ค่อยๆพูด” เด็กหนุ่มสองคนตัวสั่นงันงกและมองรอบกายอย่างหวาดระแวง
เหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่างสุดขีด
สองเท้าเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยคราบดินโคลนราวกับว่าปีนหนีออกมาเพราะตอนนี้เด็กทุกคนยังไม่ได้รับอนุญาติให้ออกจากหอพัก
เขามองหน้าทั้งสองคนแล้วก็รู้สึกว่าไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย
อาจจะเป็นเพราะไม่ใช่เด็กที่เกี่ยวข้องกับคดีที่เขากำลังสืบอยู่
“คุย คุยตรงนี้ไม่ได้ครับ” เด็กหนุ่มละล่ำละลักตอบ
เขามองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจ ใจก็อยากจะรีบไป แต่ดูจากอาการที่กลัวจนขนหัวลุกของทั้งสองคน
เขาจึงจำต้องพาเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องสอบปากคำที่อยู่ไม่ไกล
“ทำใจให้สงบลงก่อน แบบนี้จะรู้เรื่องได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น”
ตอนนั้น…เขาไม่คิดจริงๆว่าจะได้รู้ความจริงทั้งหมดจากเด็กหนุ่มสองคนนี้
เขาจึงนั่งลงฟังอย่างขอไปที
“บอกชื่อของพวกเธอสองคนมาก่อน”
“โอดะ ซาอิครับ”
“นิโตะ นากาอิครับ”
“มีอะไร ว่ามาสิ”
“ผม…พวกผมสองคน เป็นเพื่อนของชินยะ มุราซากิ
ชินยะน่ะครับ” อ๋อ แก๊งเด็กอันธพาลนี่เอง ถึงว่า
เขาแทบไม่เคยเห็นหน้าสองคนนี้เลย
“คือ…พวกผมก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหม
แต่จู่ๆเมื่อหลายวันก่อน…ชินยะก็พูดเรื่องในคืนนั้นขึ้นมา…ตะ ตอนแรกพวกผมก็ยังเห็นเป็นเรื่องตลกกันอยู่เลย แต่เมื่อเช้า…พอรู้ว่าชินยะตายแล้ว…พวกเราก็เลยคิดว่าหรือมันจะเป็นคำสาปของหมอนั่น
หมอนั่นอาจจะกลับมาหลอกหลอนพวกเรา กลับมาเอาชีวิตพวกเรา คุณตำรวจ
ช่วยพวกผมด้วยนะครับ!” จากที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้
ทั้งสองคนก็สติแตกขึ้นมาอีกจนเขาต้องกดไหล่ให้นั่งลง
“ใจเย็นๆ ฉันอยู่ที่นี่ทั้งคน ใครจะมาทำอะไรพวกเธอได้ ใจเย็นๆแล้วค่อยๆพูด…คืนนั้นที่พวกเธอพูดถึงนี่คือคืนไหน?” เด็กสองคนหันไปมองหน้ากันด้วยสีหน้าซีดเผือดจนเขาต้องขมวดคิ้ว
นี่น่าจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว และเมื่อคำพูดหลุดออกมาจากปากเด็กหนุ่ม
เขาก็ถึงกับชะงักค้างไปทั้งร่างกาย
“คืนนั้น…คืนที่คิมิสึกิ วายะตกตึกตายครับ…”
"....พวกเธอสองคน...อยู่ในเหตุการณ์ที่คิมิสึกิตกตึกตายด้วยอย่างงั้นเหรอ?"
เขาถามออกไปด้วยเสียงลอยๆเพราะไม่คิดว่าจะมาเจอจิกซอว์ชิ้นสุดท้ายเอาที่นี่
ไม่สิ
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นเด็กกลุ่มอื่นนอกจากเด็กบ้านรวยห้าคนนั่น
ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เหมือนมันเป็นความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้
แต่เป็นเพราะเด็กพวกนี้เก็บงำความลับนั่นเอาไว้ไม่ใช่หรือไง
ถึงได้มีคนตายมากมายขนาดนี้!
"เล่าเหตุการณ์ในคืนนั้นมาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้ พูด!" เขาเผลอตะคอกออกไปอย่างเหลืออดจนเด็กสองคนสะดุ้งโหยง
"คะ ครับ…."
"ปกติพวกเราสามคนจะรวมตัวกันอยู่ในห้องของชินยะ แต่ว่าคืนนั้น….ชินยะแอบเอากล้องยาสูบมาจากที่บ้าน…ถ้าสูบในห้องนอนคงจะถูกครูประจำหอจับได้
พวกเราก็เลยออกไปหาที่สูบข้างนอก…”
“อาคารเรียนตอนกลางคืนทั้งเงียบทั้งวังเวง
พวกผมจึงคิดว่าไม่น่ามีใครมาเจอแน่ ก็เลยขึ้นไปบนหอคอยกัน ก็ที่นั่นน่ะ
อยู่สูงลมก็พัดไปหมด ก็จะไม่มีใครได้กลิ่นยาสูบ” ทั้งสองคนผลัดกันเล่า อันที่จริงการแอบสูบยาแบบนี้ผิดกฎโรงเรียนจนอาจถึงขั้นพักการเรียนได้เลย
แต่ดูท่าทั้งสองคนคงจะกลัวเรื่องอื่นมากกว่าถึงยอมสารภาพออกมาแบบนี้
“แล้ว…ตอนที่พวกเรากำลังนั่งสูบยากันอยู่บนนั้น…จู่ๆคิมิสึกิก็ขึ้นมา…” เด็กหนุ่มมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดตอนที่พูดถึงคิมิสึกิ
วายะ
“คุณตำรวจครับ! พวกเราไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะครับ!
ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นเลย” โอดะ
ซาอิคู้ตัวลงไปเอาสองมือปิดหน้า น้ำหูน้ำตาไหลร่างกายสั่นระริก
ดูท่าจะสติแตกขึ้นมาอีกจนเขาต้องบีบไหล่เบาๆ เขาจึงหันไปหานิโตะ
นากาอิเพื่อให้เด็กหนุ่มเล่าต่อ
“ปะ ปกติ พวกผมไม่ได้สนใจหมอนั่นหรอก
หมอนั่นไม่ได้มาทำตัวขวางหูขวางตาพวกเรา ก็เลยไม่เคยมีเรื่องกัน…แต่คืนนั้น…จะด้วยยาที่สูบเข้าไปหรือด้วยความคึกคะนองอะไรก็ไม่รู้…พอเห็นหมอนั่นพรวดพราดออกมาจากประตูหอคอย พวกผมจึงมองอย่างสงสัย
ดึกดื่นป่านนี้หมอนั่นมาทำอะไรที่นี่คนเดียว? แถมยังถือถุงกระดาษอะไรมาด้วย”
“หมอนั่นมีท่าทางตกใจที่เห็นพวกเราแล้วก็เตรียมจะหันหลังหนี
ด้วยความคะนองผมจึงไปคว้าข้อมือหมอนั่นไว้แล้วแย่งถุงกระดาษนั่นมาดูว่ามันคืออะไร…”
“ทั้งๆที่คิดว่ามันคงจะเป็นของน่าสงสัยอย่างกล้องยาสูบหรือสาเก
หมอนั่นถึงต้องแอบมาสูบถึงนี่ แต่ที่ไหนได้…มันกลับเป็นแค่ผ้าพันคอผืนเดียว…”
“ฮึก…เป็นผ้าพันคอที่ถักด้วยมือครับ…หมอนั่น…น่าจะเตรียมไปให้ใครบางคน…” โอดะ ซาอิที่ยังร้องไห้ฟูมฟายพูดเสริม
จนถึงตรงนี้…เขาได้แต่ขนลุกและรู้สึกเศร้าใจในโชคชะตาอันโหดร้ายของคิมิสึกิ
วายะ เพราะเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มถักผ้าพันคอผืนนั้นให้ใคร
ถ้าแค่ไม่แวะมาแอบฟังเสียงไวโอลินบนหอคอย ผ้าพันคอผืนนั้นก็คงจะไปถึงซาคาโมโต้
คาโอรุและโศกนาฏกรรมนี้คงจะไม่เกิดขึ้น…
“พวกผมมองผ้าพันคอนั่นอย่างคิดว่าก็ไม่เห็นจะมีอะไร
แต่คิมิสึกิกลับพุ่งเข้ามาเพื่อจะเอามันคืน ดูท่าทางจะเป็นของสำคัญมาก…”
“พวกผมจึงเห็นว่ามันสนุกดีที่หมอนั่นพยายามจะเข้ามาแย่ง
ก็เลยโยนรับส่งกันไปเรื่อยๆ…ได้เห็นสีหน้าดุๆของหมอนั่นแล้วมันก็แปลกดีเพราะปกติหมอนั่นชอบทำหน้าเหมือนจะร้องไห้น่ารำคาญ”
“เราแค่จะหยอกล้อเท่านั้น…ไม่ได้คิดจริงๆว่า…พื้นชุ่มหิมะที่กำลังละลาย…มันจะลื่นถึงขนาดทำให้คิมิสึกิลื่นจนพลัดตกลงไป…ขอโทษ ผมขอโทษ ฮึก…” นิโตะ
นากาอิสารภาพออกมาพร้อมกับร่ำไห้ หน้าตาแดงกล่ำไปหมด
ส่วนทางเขาก็ได้แต่ยืนอึ้ง…ถ้าสิ่งที่เด็กหนุ่มสองคนนี้สารภาพออกมาเป็นเรื่องจริง…นั่นก็เท่ากับว่าการตายของคิมิสึกิ วายะเป็นอุบัติเหตุ ไม่ได้เป็นทั้งการฆ่าตัวตายและไม่ใช่การฆาตกรรม…
การที่ซาคาโมโต้แก้แค้นอยู่นี้จึงเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด…
เป็นเพราะเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบนหอคอยกันแน่
อาจจะพบเพียงหลักฐานบางอย่างแล้วสันนิษฐานไปเองว่าเป็นฝีมือของพวกเด็กบ้านรวยห้าคน…
“คืนนั้น…มีแค่พวกเธอสี่คนเท่านั้นเหรอที่อยู่บนหหอคอย?
คิเสะ ยูกิอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า
ตอบมาตามความเป็นจริงเพราะเรื่องนี้สำคัญมาก” เขาปล่อยให้ทั้งสองคนปล่อยโฮด้วยความรู้สึกผิดจนอารมณ์เริ่มเย็นลงจึงเริ่มถามต่อ
“ยูกิ…ยูกิมาหาชินยะครับ
แต่ว่าขึ้นมาตอนที่คิมิสึกิตกลงไปแล้ว พวกเราตกใจมาก
ต่างก็แตกตื่นทำอะไรไม่ถูกก็เลยวิ่งหนีกลับไปหอพัก…”
“คิเสะ ยูกิทำเสื้อคลุมตกไว้หรือเปล่า?”
“ชะ ใช่ครับ…ยูกิตกใจมากและพยายามจะคาดคั้นชินยะว่ามันเกิดอะไรขึ้น
พวกเราเป็นคนทำให้คิมิสึกิตกลงไปหรือเปล่า ยูกิจะถามชินยะให้ได้ตรงนั้น
ชินยะเลยต้องอุ้มยูกิพาดบ่ากลับไปที่หอพักก่อนที่ใครจะมาเจอเข้า
เสื้อคลุมของยูกิคงจะหล่นไปตอนนั้น เพราะต้องฉุดกระชากกันพอสมควร…”
“ตอนเช้า…ชินยะพยายามมาหาเสื้อคลุมของยูกิกับผ้าพันคอของคิมิสึกิ
แต่ก็ไม่เจอทั้งสองอย่างแล้ว…พวกเรายังกลัวว่าคุณตำรวจจะเก็บไปเสียอีก…แต่รอเท่าไหร่คุณตำรวจก็ไม่เรียกพวกเราไปสอบปากคำแล้วยังสรุปว่าคิมิสึกิกระโดดตึกฆ่าตัวตายเองอีกต่างหาก…พวกเราก็เลยตกลงกันว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”
เพราะแบบนี้เองสินะ
ซาคาโมโต้ คาโอรุถึงคิดว่าเป็นฝีมือของกลุ่มเด็กบ้านรวยห้าคน
ซาคาโมโต้คงตามมาแล้วเจอศพของคิมิสึกิเข้า จากนั้นคงขึ้นไปบนหอคอยแล้วก็เจอเสื้อคลุมของยูกิคุงกับผ้าพันคอที่คิมิสึกิถักให้ตน
คงจะทั้งเศร้าโศกเสียใจ ทั้งเคียดแค้น
แล้วที่ไม่เอาหลักฐานพวกนั้นให้ตำรวจก็คงคิดว่าด้วยอิทธิพลของเด็กกลุ่มคิเสะ
ยังไงก็คงหลุดคดีได้ง่ายๆ จึงเก็บความแค้นนี้ไว้เพื่อแก้แค้นด้วยตัวเอง
“คุณตำรวจ…คิมิสึกิกำลังจะมาฆ่าพวกผมแล้วใช่ไหมครับ?
ถึงตายเป็นผีไปแล้วแต่ก็คงยังแค้นพวกเราอยู่ใช่ไหมครับ!”
ทั้งสองคนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ไม่ใช่ผีที่ไหนหรอกแต่น่าจะเป็นคนเป็นๆที่ทำทีเหมือนหายตัวไปเสียมากกว่า
ตอนนี้…เขาจึงพุ่งเป้าไปที่ซาคาโมโต้
คาโอรุยังมีชีวิตอยู่
บันทึกของซาคาโมโต้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนรวมถึงความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มกับคิมิสึกิ
วายะด้วย
เขาจึงเพิ่งรู้ว่าบันทึกเล่มนี้มันหายไปตอนที่ตำรวจเคยรวบรวมหลักฐานเพื่อค้นหาตัวเด็กหนุ่มที่หายตัวไป
ไม่มีใครรู้ว่าบันทึกเล่มนี้กลับมาอยู่ในกล่องข้าวของที่ส่งกลับบ้านได้ยังไง
เขาขอกำลังพลจากสถานีตำรวจใกล้ๆเพื่อปูพรมค้นหาตัวซาคาโมโต้
คาโอรุที่น่าจะซ่อนอยู่ในป่ารอบๆโรงเรียน
การค้นหากินเวลาไปถึงสองวันสองคืนโดยไม่หยุดพัก
ค้นกันทุกซอกทุกมุมของป่า กำลังตำรวจกว่าร้อยชีวิตกระจายตัวกันจนมั่นใจได้ว่าไม่มีทางที่เด็กหนุ่มจะหลุดรอดสายตาไปได้
“สารวัตรครับ! เจอตัวแล้วครับ!!!” เสียงตะโกนก้องป่าทำให้ฝ่าเท้าที่กำลังก้าวเดินถึงกับหยุดชะงัก
เขารีบเร่งตามนายตำรวจคนนั้นไปจนแทบไม่ได้พักหายใจ เหงื่อไคลเกาะพราวใบหน้าไปหมด
เขายืนหอบอยู่บนเนินลูกหนึ่งซึ่งอยู่เลยทุ่งเนโมฟีลาไป
ดวงตาคมกล้ามองต่ำราวกับนาฬิกาชีวิตได้หยุดเดินไปแล้ว…
นี่มันอะไรกัน?
ไม่จริงใช่ไหม?
ทำไมซาคาโมโต้
คาโอรุถึงอยู่ในสภาพนี้ได้ล่ะ?
เขามองหลุมศพหลุมหนึ่งซึ่งปักด้วยแผ่นไม้ง่ายๆอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา…ชื่อที่แกะสลักอยู่บนนั้นโย้ไปเย้มา…แต่มันอ่านได้ว่า ซาคาโมโต้ คาโอรุอย่างแน่นอน…
ไม่จริงใช่ไหม…คนที่เขาคิดว่าเป็นคนร้ายมาตลอดกลับถูกฝังอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?
ไม่ใช่
มันต้องไม่ใช่แบบนั้นแน่!
“ขุดศพขึ้นมาครับ” เขาหันไปสั่งลูกน้องด้วยเสียงเลื่อนลอย
แล้วศพที่ขุดพบก็เป็นศพของเด็กนักเรียนจริงๆ
ไม่ว่าจะขนาดตัว ความสูง หรือแม้แต่กักกุรันที่สวมอยู่ ก็มีชื่อของซาคาโมโต้
คาโอรุปักอยู่ที่สาปเสื้อทั้งนั้น
นี่เป็นศพของซาคาโมโต้
คาโอรุจริงๆ เด็กหนุ่มคนนั้นตายแล้วจริงๆ
และดูจากสภาพศพที่แทบจะเหลือแต่กระดูกก็คิดว่าน่าจะตายมานานแล้ว
ดีไม่ดีอาจจะตายตั้งแต่คืนที่หายตัวไปเลยก็ได้
ถ้างั้น…ใครเป็นฆาตกรในคดีนี้กันล่ะ?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
กำลังเข้มข้นเยย
อิๆ ใกล้จบแล้วค่ะคดีนี้~
ก่อนอื่นก็ต้องขอสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังกันนาคะขอให้เป็นปีที่ดีๆๆมีแต่เรื่องดีๆเข้ามากันนะคะ~~
ขอให้เป็นปีที่ราบรื่นปังๆของทั้งป๋อและพี่จ้านด้วยนะคะ
ติ่งจะติดตามผลงานต่อไปจนกว่าจะสิ้นแสงเบย
จริงๆตั้งใจว่าจะลง
GLIDE
ช่วงปีใหม่…แต่มันก็ยังไม่เสร็จ555 เฮ้อ…
ขอบคุณทุกๆการติดตาม
ทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจมากๆเลยนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น