ป๋อจ้าน Au S.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] Juunana Sai : 17ฝน : 08
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Period / Romance / Suspense / Mystery / Crime
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
ฟูจิวาระ
อิตสึกิทอดสายตามองแฝดผู้น้องอย่างเวทนา...
ที่นายตำรวจคนนั้นบอกว่าพบตัวคิเสะ
ยูกิแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าจะพบเด็กนั่นในสภาพไร้ลมหายใจไปแล้ว
ศพของคิเสะ
ยูกิถูกพบอยู่ที่อาคารพยาบาลร้าง
มันยิ่งชัดเจนไปใหญ่
ว่าคนร้ายน่าจะเป็นซาคาโมโต้ คาโอรุจริงๆ
เด็กนั่นไม่ได้หายตัวไปแต่ตั้งใจหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าและศึกษาเส้นทางเป็นอย่างดี
พวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าคิเสะ ยูกิถูกล่อให้วิ่งไปทางไหนและนำศพกลับมาทิ้งไว้ที่นี่ได้ยังไง
"ใครเป็นคนพบศพครับ?" เขาหันไปถามนายตำรวจที่เฝ้าสถานที่เกิดเหตุอยู่
"ลุงภารโรงเป็นคนมาเจอครับ แกบอกว่าได้ยินเสียงโครมครามก็เลยเดินมาดู
แล้วก็เจอคิเสะ ยูกิอยู่ตรงนั้น…" เขาทอดสายตามองเด็กหนุ่มที่เคยเชิดหน้าราวกับราชินีซึ่งบัดนี้นอนหงายคอพับอยู่ในรถเข็นปูนเก่าๆคันหนึ่ง
รอยล้อของมันบ่งบอกว่าคิเสะ
ยูกิถูกเข็นมาจากที่อื่นก่อนรถจะถูกทิ้งไว้ในห้องร้างๆห้องหนึ่งในอาคารพยาบาล
แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างกระจกขุ่นมัวที่มีคิ้วเป็นตารางแบบประตูญี่ปุ่นเข้ามา
แขนขาที่ตกห้อยลงมาจากกะบะใส่ปูนมีร่องรอยฟกช้ำและดินโคลนกระดำกระด่าง
เหมือนเด็กคนนี้ล้มลุกคลุกคลานและพยายามหนีจากอะไรบางอย่าง
แต่จนแล้วจนรอดก็หนีไม่พ้น…
มีดเล่มหนึ่งปักอยู่คาอกทำให้เลือดไหลนองเต็มกะบะปูน
ร่างของคิเสะ ยูกิจมอยู่ในอ่างเลือดของตัวเองดูน่าสยดสยองมาก แต่หากเป็นผลงานศิลปะก็คงนับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกที่งดงามแบบหลอนไปจนถึงจิตวิญญาณเลยก็ว่าได้
เพราะในอ่างยังมีดอกเนโมฟีลาสีน้ำเงินหลายสิบดอกลอยอยู่ในเลือดสีแดงฉาน...
เนโมฟีลา...ที่มีอยู่ในบันทึกของซาคาโมโต้
คาโอรุเช่นกัน
ที่ข้อเท้าของร่างไร้ลมหายใจมีรอยเชือกเขียวช้ำ
ร่องรอยตามร่างกายบ่งบอกว่าก่อนตายคิเสะ ยูกิคงกลัวและพยายามดิ้นรนสุดชีวิต
ถ้าเช่นนั้นทำไมถึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือ?
และเมื่อเขาไล่สายตาไปยังใบหน้าซีดเซียว
เขาจึงเข้าใจว่าทำไมถึงไม่มีเสียงร้อง...คิเสะ ยูกิถูกปิดปากเอาไว้ด้วยผ้าผืนหนึ่ง
ใบหน้าที่เคยหยิ่งยโสถูกผ้าบาดแก้มจนเป็นรอยแดง
แฝดผู้น้องคนนี้คงพยายามตะโกนจนสุดเสียงแล้ว แต่สิ่งที่หลุดรอดออกมาก็คงเบาเสียยิ่งกว่าเสียงหริ่งเรไร
ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กหนุ่มเลยสักคน
หรือบางทีที่เกิดเหตุจริงๆอาจจะอยู่ไกลจากที่นี่มาก?
ถ้าเช่นนั้นแฟนหนุ่มที่วิ่งตามไปล่ะ?
“แล้วมุราซากิ
ชินยะล่ะครับ? เจอตัวหรือยัง?”
เขาหันไปถามนายตำรวจที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ยังเลยครับ”
หรือเด็กคนนั้นจะยังตามหาคนรักของตัวเองอยู่ในป่า โดยไม่รู้เลยว่าคิเสะ
ยูกิถูกฆ่าตายไปแล้ว
“ส่งกำลังออกไปค้นหาสัก5-6คนก็แล้วกัน เขาอาจจะยังตามหาคิเสะ ยูกิอยู่”
เขาหันไปสั่งลูกน้องเพราะคิดว่าเป้าหมายของคนร้ายคือกลุ่มเด็กบ้านรวยห้าคน
มุราซากิ ชินยะน่าจะยังปลอดภัยดี
คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้ก็คือเด็กในกลุ่มนี้คนเดียวที่เหลืออยู่อย่างอาคางิ
มาโมรุมากกว่า
“ไปพาตัวอาคางิ
มาโมรุมาที่ห้องสอบปากคำด้วยนะครับ ผมอยากจะถามอะไรเขาหน่อย
แล้วก็ช่วยเพิ่มคนคุ้มกันเขาด้วย”
“ครับ”
“เขาอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว
บอกครูใหญ่ให้ติดต่อผู้ปกครองมารับด่วนที่สุดเลยนะครับ
ถ้าผมสอบปากคำเสร็จก็ส่งตัวเขากลับบ้านทันที”
“ครับ”
หลังจากสั่งงานเสร็จ
ใบหน้าหล่อเหลาก็ค่อยๆกวาดมองห้องรกร้างห้องนี้อีกรอบ...ถึงหน้าต่างกระจกจะมีรอยแตกร้าวและไม้เถาข้างนอกก็พันขึ้นไปจนถึงหลังคา
ถึงผนังห้องจะมีรอยเชื้อราและคราบดำๆตามความอับชื้น
ถึงพื้นห้องจะหลุดร่อนและมีข้าวของกองไม่เป็นระเบียบ
แต่ห้องนี้กลับดูสะอาดหากเทียบกับเวลาที่มันถูกทิ้งร้างมา
แทบไม่มีฝุ่นติดอยู่บนพื้น โต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางของทั้งๆที่เก่าแสนเก่า...
ห้องนี้...น่าจะเป็นห้องที่ซาคาโมโต้กับคิมิสึกิใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
ตอนที่เขาเข้ามากับจิอากิซังครั้งที่แล้วนั้นเป็นอีกห้องหนึ่ง
ห้องนั้นมีเพียงบางมุมเท่านั้นที่สะอาด ทั้งสองคนอาจจะเข้าไปใช้บ้างในบางครั้งแต่ห้องที่ใช้ประจำน่าจะเป็นห้องนี้มากกว่า
“สารวัตรครับ
ช่วยลงชื่อให้ด้วยครับ”
เสียงเรียกทำให้เขาละสายตาจากผนังห้องไป
เขามองแฟ้มเอกสารด้วยความปวดใจอีกรอบ ได้แต่หวังว่านี่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย
ปีไทโชที่
2 วันที่ 30 กันยายน
คิเสะ
ยูกิ อายุ17ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โรงเรียนไคจิ เขตคามิโคจิ เมืองมัตสึโมโตะ
ลงนาม
ฟูจิวาระ อิตสึกิ สารวัตรตำรวจ
สารวัตรหนุ่มเดินมาถึงห้องเรียนซึ่งถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้องสอบปากคำโดยแทบไม่ได้มองทาง
ในหัวเขากำลังครุ่นคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่าง
เมื่อคืนนี้...ทั้งๆที่ไม่มีเสียงไวโอลิน....แต่คิเสะ
ยูกิกลับถูกฆ่าตาย
หรือสถานที่เกิดเหตุจริงๆจะอยู่ไกลจากโรงเรียนมากอย่างที่เขาคิด
และมีเพียงฆาตกรกับเหยื่อเท่านั้นที่ได้ยิน?
จะเป็นไปได้ไหมว่าซาคาโมโต้อาจจะแอบฝึกสีไวโอลินจริงๆตามที่เขียนไว้ในบันทึก?
เพื่อไว้อาลัยแด่คิมิสึกิคนรักผู้ชอบเสียงไวโอลินของตน?
ดูจากฐานะแล้วเด็กหนุ่มก็น่าจะซื้อไวโอลินได้ไม่ยาก
ช่วงเวลาที่หายตัวไปนี้ก็เพื่อฝึกไวโอลินให้ได้ก่อนจะกลับมาลงมือแก้แค้น?
“สารวัตรมาแล้วเหรอครับ?
อาคางิ มาโมรุอยู่ทางนี้ครับ”
เขามัวแต่คิดเพลินจนเพิ่งรู้ตัวว่าเดินเข้าห้องสอบปากคำมาแล้ว
“ครับ” ดวงตาของตำรวจแต่ละนายโหลลึก
ขอบตาก็ดำคล้ำเพราะไม่ได้นอนติดๆกันมาหลายคืน
เขาเดินไปยังโต๊ะยาวที่มีเด็กหนุ่มประธานชมรมเคนโด้นั่งอยู่
บัดนี้ใบหน้าที่เคยสดใสกลับไม่เหลือเค้านั้นอีกต่อไป
เพื่อนทั้งกลุ่มถูกฆ่าตายอย่างโหดร้ายทารุณแบบนี้
ต่อให้เป็นเด็กร่าเริงแค่ไหนก็ต้องเศร้าสลดทั้งนั้น
“ฉันมีเรื่องจะถามเธอหน่อย” มือใหญ่ดึงเก้าอี้ออกมาก่อนจะนั่งลงไปอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำด้วยใบหน้าหมองๆ
“รู้จัก
คิมิสึกิ วายะไหม?”
สารวัตรหนุ่มเปิดประเด็นทันที
“ครับ?
รู้จักครับ?” อาคางิ
มาโมรุเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยแววตาสงสัย
คงไม่เข้าใจว่าเขาจะพูดถึงคนตายไปตั้งนานแล้วทำไม
“ฉันได้ข่าวมาว่ากลุ่มของพวกเธอชอบแกล้งเด็กคนนั้น?” อาคางิยังมีท่าทางงงๆ
แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้เขากลับมาด้วยความไม่พอใจ เด็กหนุ่มตอบคำถามด้วยใบหน้าเหนื่อยๆ
“ในสายตาคนอื่นมันก็คงเป็นแบบนั้นอยู่หรอกครับเพราะพวกเราห้าคนมักจะอยู่ด้วยกัน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบรังแกหมอนั่น ผมกับฮิโรกิไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
เคียวเฮกับยูกิยิ่งแทบไม่ชายตาแล จะมีก็แต่อัยนี่แหละที่เห็นไม่ได้
ไม่รู้ทำไมถึงชอบไปราวีหมอนั่นนัก แต่นิสัยอัยใครๆก็รู้
ขนาดเซริซาว่าซังยังกล้าไปหาเรื่อง ฮึๆ หมอนั่นมันนิสัยแย่จริงๆ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่อาคางิกลับยิ้มเศร้าๆ
เท่าที่เขารู้
โชโงะ อัยก็นิสัยไม่ค่อยดีจริงๆนั่นแหละ
แต่การที่อีกสี่คนในกลุ่มยังมองอย่างเอ็นดูแสดงว่าเด็กพวกนี้น่าจะเข้าใจความเจ็บปวดของกันและกันดี
ถึงได้ยังคบกันอยู่แบบนี้
ทั้งๆที่เอาจริงๆแล้วเขากลับรู้สึกว่าอาคางิกับนานาฮาระเป็นเด็กหนุ่มที่นิสัยดีทีเดียว
ส่วนฝาแฝดคิเสะถึงจะหยิ่งยโสแต่ก็ไม่ใช่คนเอาแต่ใจจนพูดไม่รู้เรื่อง
“ผมก็รู้ครับ
ว่าคนอื่นไม่ได้มองพวกเราดีนัก แต่บางครั้งพวกเรายังไม่ทันจะทำอะไร
แค่เดินผ่านแล้วยิ้มให้นิดเดียว คนอื่นก็คิดกันไปไกลว่าพวกเรายิ้มเหยียดบ้างละ
ดูถูกบ้างละ บางทีก็ถึงขั้นลุกลามไปไกลเพราะคิดว่าพวกเราไม่ชอบหน้าคนนู้นคนนี้แล้วก็พากันตั้งข้อรังเกียจกันไปเองเพื่อเอาใจพวกเรา
เพราะหวังผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากพวกเรา”
“ที่ยังคบกันอยู่ห้าคน
ก็เพราะพวกเราต่างเท่าเทียมกันและไม่จำเป็นต้องหาผลประโยชน์ใดๆจากกันอีก” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าๆ เพราะแบบนั้น...ตอนนี้ก็เลยอาจจะถูกเกลียดชัง
ถูกเคียดแค้นอย่างเข้าใจผิดอยู่ก็ได้
และเขาเองก็เข้าใจดี
เข้าใจคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดดี ว่ารอบกายมันมีแต่ความจอมปลอมแค่ไหน
เขาเองก็เคยผ่านวัย17ฝนแบบนี้มาแล้ว หากไม่เลือกที่จะปลีกวิเวกอยู่ตัวคนเดียวแบบจิอากิซัง
ก็ต้องรวมกลุ่มกับคนที่เท่าเทียมกันอย่างเด็กห้าคนนี้
พวกเขาถึงจะปลอดภัยและไม่ถูกใช้เป็นเส้นทางในการแสวงหาผลประโยชน์
เขาทิ้งช่วงเพื่อปรับอารมณ์ก่อนจะเอ่ยถามอาคางิต่อ
“ในคืนที่คิมิสึกิ
วายะตกตึกตาย เธออยู่ที่ไหน? มีส่วนรู้เห็นอะไรกับเรื่องในคืนนั้นหรือเปล่า? บอกฉันมาตามตรง
เรื่องนี้สำคัญมาก
เราจะจับฆาตกรที่ฆ่าเพื่อนของเธอได้ไหมก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของเธอนะอาคางิคุง” เขาเริ่มคาดคั้นเด็กหนุ่ม
“ห๋า?
คืนนั้น? ไม่สิ คิมิสึกิมาเกี่ยวอะไรด้วย? ผมไม่เข้าใจ ผมงงไปหมดแล้ว?
หมอนั่นฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอครับ? แล้วทำไมคุณตำรวจถึงพูดเหมือนไม่ใช่แบบนั้นล่ะ?” อาคางิ มาโมรุมีท่าทางตกใจ
สับสนมึนงงกับคำถามของเขาจริงๆ เหมือนเด็กหนุ่มก็เชื่อมาตลอดว่าคิมิสึกิฆ่าตัวตายเอง
“ตอบมาก็พอว่าคืนนั้นเธอทำอะไรอยู่ที่ไหน?”
“อะไรของคุณเนี่ย?”
เด็กหนุ่มยกสองมือมากุมหัวก่อนจะขยี้ผมสั้นอย่างไม่เข้าใจ
แต่เมื่อเงยขึ้นมาเจอสายตาที่จริงจังของเขา
อาคางิก็เริ่มคิดทบทวนอย่างจริงๆจังๆถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนในคืนนั้น
“ผมไม่รู้นะว่าคุณตำรวจคิดอะไรอยู่
แต่ผมสาบานได้ว่าผมไม่รู้เรื่องของคิมิสึกิจริงๆ คืนนั้น...อืม...ผมกับฮิโรกิอยู่ที่ห้องนอนตลอด
ไม่ได้ออกจากห้องแน่ๆเพราะเราสองคนถูกทำโทษ ต้องคัดบทกวีหนึ่งร้อยจบอยู่ด้วยกัน
ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไปถามครูวิชาภาษาญี่ปุ่นก็ได้ น่าจะมีบันทึกวันที่ส่งงานอยู่ คุณไปถามดูก็จะรู้ว่าพวกผมส่งคัดหนึ่งร้อยจบนั่นด้วยสภาพสะโหลสะเหลขนาดไหน...พอส่งงานเสร็จยังไม่ทันได้แอบไปงีบ
ทั้งโรงเรียนก็แตกตื่นเพราะมีคนพบศพคิมิสึกินี่แหละ” เขามองทุกอากัปกิริยาของอาคางิ
แต่ก็ไม่พบพิรุธและดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ได้โกหก
“แล้วเพื่อนๆในกลุ่มของเธอล่ะ?
ในคืนนั้นมีอะไรผิดสังเกตุบ้างไหม?”
อาคางินิ่งคิดไปสักครู่ก่อนจะตอบออกมา
“....เท่าที่ผมนึกออก...น่าจะมีแค่ยูกิที่หายตัวไป
เพราะเคียวเฮแวะมาถามพวกผมตั้งหลายรอบว่าเห็นยูกิไหม
เจ้าบ้าฮิโรกิยังพยายามกอดแข้งกอดขาเคียวเฮไว้ให้อยู่ช่วยพวกผมคัดกวีร้อยจบเลย ที่ผมจำได้แม่นเนี่ยก็เพราะว่าปกติแล้วยูกิจะไม่ชอบออกไปเดินเพ่นพ่านตอนกลางคืน
หมอนั่นขยะแขยงพวกแมลงกลางคืน แต่คืนนั้นเคียวเฮกลับมาถามหาตั้งหลายรอบ
ผมเลยคิดว่ามันแปลก”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแสดงออกว่าพูดออกมาตามที่คิดจริงๆ
“แล้วโชโงะ
อัยล่ะ?”
“อืม...ไม่รู้เหมือนกันครับ
คืนนั้นมีแค่เคียวเฮมาที่ห้องพวกผม”
ถ้าอย่างงั้น...อาคางิ
มาโมรุและนานาฮาระ ฮิโรกิ ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่คิมิสึกิตกตึกตาย?
ดีไม่ดี
คิเสะ เคียวเฮก็อาจจะไม่รู้เรื่องในคืนนั้นด้วยซ้ำ? มีแค่คิเสะ ยูกิกับโชโงะ
อัยที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่
หมายความว่ายังไง?
พวกเด็กบ้านรวยห้าคนนี้อย่างน้อยก็มีสามคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่คิมิสึกิตกลงมาจากหอคอย?
ถ้าอย่างงั้นทำไมคนร้ายถึงยังเคียดแค้นจนถึงกับต้องลงมือฆ่าทั้งนานาฮาระ ฮิโรกิและคิเสะ
เคียวเฮอีก?
หรือเขาจะสันนิษฐานผิด?
คดีของคิมิสึกิอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคดีนี้เลย
และซาคาโมโต้ก็ไม่ใช่คนร้าย?
เขารู้สึกมืดแปดด้านอีกครั้ง...
อาคางิ
มาโมรุถูกส่งตัวกลับบ้านที่โตเกียวเพื่อความปลอดภัยไปเรียบร้อยแล้ว
แต่สารวัตรหนุ่มแห่งสถานีตำรวจมัตสึโมโตะก็ยังหัวหมุนอยู่กับการสืบสวนแทบทั้งวัน
“ตรวจมือทุกคนในโรงเรียนเรียบร้อยหรือยังครับ” เขาติดตามงานที่สั่งลูกน้องเอาไว้
“ตรวจหมดแล้วครับ
ไม่มีใครมีแผลที่น่าจะเป็นรอยเชือกบาดเลยครับ”
“ครับ” เขาตอบรับอย่างไม่รู้สึกแปลกใจนัก
เพราะในใจเขามีความเป็นไปได้มากว่าคนร้ายจะเป็นซาคาโมโต้
คาโอรุที่ไม่ได้อยู่ในโรงเรียน
ถึงอาคางิ
มาโมรุจะให้การยืนยันว่าในคืนนั้นตนและนานาฮาระไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
แต่เขาลองมานึกดูดีๆ
มันก็ไม่น่ามีความแค้นอะไรที่จะทำให้โกรธเกลียดกันจนต้องฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเท่าความแค้นจากการสูญเสียคนที่รักอีกแล้ว
แค่การกลั่นแกล้งเล็กๆน้อยๆในโรงเรียนไม่น่าจะทำให้คนเราลงมือฆ่าคนได้
ยังไงเขาก็ยังปักใจเชื่อว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับคดีของคิมิสึกิ
วายะ
กว่าจะเก็บหลักฐาน
สอบพยาน แกะรอยล้อรถเข็น เคลียร์สถานที่เกิดเหตุ ส่งศพไปห้องชันสูตร รอพบพ่อแม่ของฝาแฝดคิเสะที่มีฐานะใหญ่โตในแวดวงเจ้าขุนมูลนาย
การสูญเสียลูกชายทีเดียวสองคนเป็นเรื่องที่พ่อแม่ย่อมรับไม่ได้และหนักหนาเกินกว่าคุณครูใหญ่จะรับมือไหว
เขาจึงถูกครูใหญ่ขอร้องให้อยู่ด้วยเพราะอีกฝ่ายคงเกรงใจนามสกุลฟูจิวาระของเขาบ้าง...กว่าจะทำทุกอย่างที่กล่าวมานั้นหมด
พระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว
เขาเหนื่อยล้าทั้งกายใจ
หัวสมองก็ตีบตันไปหมด จากที่คิดว่าน่าจะระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว
แต่หลังจากที่ได้คุยกับอาคางิ มาโมรุทำให้เขาต้องคิดทบทวนแล้วทบทวนอีก
ตำรวจหนุ่มเปิดประตูห้องพักด้วยสีหน้าเพลียๆ
ห้องทั้งห้องมีเพียงแสงสลัวๆจากตะเกียงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่าง
เขามองหาเจ้าของห้องแล้วก็พบร่างโปร่งบางนอนหลับอยู่บนเตียง
ดูจากท่าทางที่ไม่เป็นธรรมชาติจิอากิซังน่าจะนั่งรอเขาแล้วเผลอฟุ้บหลับไปมากกว่า
เขาอมยิ้มในขณะที่ทอดสายตามองใบหน้าหลับปุ๋ย
ขนาดเวลานอนก็ยังน่ารัก จิตใจที่เหนื่อยล้าของเขาราวกับได้รับการเยียวยา
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมผู้ชายถึงควรจะมีครอบครัว
ท่อนแขนแข็งแรงค่อยๆช้อนลำตัวบางขึ้นก่อนจะอุ้มให้นอนลงบนเตียงดีๆ
มือใหญ่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนถึงคอ แต่ในขณะที่เขากำลังจะละไป
สองหูก็ได้ยินเสียงงึมงำๆมาจากคนหลับ
“อิตสึกิซัง?...กลับมา...แล้วเหรอครับ?...”
เขาหันไปมองเจ้าของเสียงงัวเงียที่พยายามจะลืมตาขึ้นมา
“คุณนอนต่อเถอะครับ
ขอโทษที่ผมทำคุณตื่น” ใบหน้ามนส่ายน้อยๆแทนคำบอกว่าไม่เป็นไร
“คืนนี้ขึ้นมานอนด้วยกันบนเตียงสิครับ
วันนี้อากาศเย็นลงมาก ผมอยากจะดึงผ้านวมบนตู้ลงมาให้แต่ก็ยกไม่ไหว
นอนที่พื้นเดี๋ยวคุณจะเป็นหวัดเอา คุณยิ่งไม่ค่อยได้พักผ่อนอยู่ด้วย” จิอากิซังเอ่ยชวนเขาด้วยความห่วงใย
เขาเองก็เหนื่อยล้าทั้งกายใจจึงไม่คิดจะปฏิเสธ
“ครับ
ขอบคุณมากนะครับ ผมขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
ใบหน้าหวานพยักหงึกๆก่อนจะหลับไปอีกรอบ จิอากิซังก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน
เขารู้ว่าไม่ได้มีแค่ตำรวจที่เหนื่อยกับคดีนี้
แต่นักเรียนในโรงเรียนเองก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด ตั้งแต่เกิดเรื่องกับคิเสะ
เคียวเฮ เด็กนักเรียนทุกคนก็ถูกสั่งให้อยู่แต่ในห้องนอนของตัวเอง การเรียนการสอนก็ถูกยกเลิกทั้งหมด
ทำได้แค่เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ
จะกลับบ้านก็ไม่ได้แถมยังไม่รู้อีกว่าฆาตกรเป็นใครแล้วตัวเองจะตกเป็นเหยื่อไหม ที่ยังไม่มีใครสติแตกนี่ก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว
เขาพยายามสลัดคดีออกจากหัวในขณะอาบน้ำชำระล้างร่างกาย
ยูกาตะสีดำถูกหยิบมาสวมใส่ก่อนที่เขาจะเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง
เตียงของจิอากิซังกว้างกว่าเตียงในบ้านพักตำรวจของเขาแถมยังมีหมอนสองใบด้วย
เขาต้องยืนสงบจิตสงบใจอยู่พักใหญ่ไม่เช่นนั้นเสียงหัวใจของเขาคงจะไปปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้นมาอีกแน่ๆ
เขาค่อยๆนอนลงข้างๆร่างโปร่งบาง
มือใหญ่เนียนดึงเอวคนหลับเข้ามากอดไว้
กลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนกลิ่นดอกไม้ของจิอากิซังทำให้เขาผ่อนคลาย
ความเหน็ดเหนื่อยดูเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้ง
เขาสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากเส้นผมพร้อมกับพูดออกมาเบาๆ
“ราตรีสวัสดิ์ครับคนดี...ไว้พรุ่งนี้...ผมค่อยเอาผ้านวมลงมาให้คุณนะ…"
เป็นอีกเช้าที่เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง
ถึงแม้จิอากิซังจะลุกออกจากที่นอนแล้ว
เสียงคุ้นเคยที่ดังออกมาจากห้องน้ำทำให้เขาอมยิ้ม ถ้าเป็นยามปกติเขาคงได้นอนมองอีกฝ่ายเดินออกมาแต่งตัวอยู่หน้ากระจก
แต่เป็นเพราะวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน ภาพเหล่านั้นเขาจึงไม่ได้เห็น
“ตื่นแล้วเหรอครับ?”
จิอากิซังทักขึ้นเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วเห็นเขานอนลืมตาแป๋ว
“ยังไม่ค่อยอยากตื่นเลยครับ
เตียงของจิอากิซังนอนสบายมากเลย” เขายังคงทำตัวเกียจคร้านอยู่ในผ้าห่มจนอีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ
“ลุกเถอะครับ
เดี๋ยวลูกน้องคุณก็มาเรียกแต่เช้าอีก”
ร่างโปร่งบางเดินไปหยิบถ้วยชามาสองใบ
จากนั้นก็เดี๋ยวหยิบกาบ้างเดี๋ยวเลือกใบชาบ้าง ไม่ว่าจะทำอะไรก็มองเพลินไปหมด
“อิตสึกิซัง?” จนอีกฝ่ายต้องเรียกซ้ำนั่นแหละเขาถึงยอมลุกไปเตรียมตัว
เขาอยากจะมีเวลาทั้งชีวิตเพื่อนอนมองจิอากิซังทำนู่นทำนี่เสียจริงๆ
เขาเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับสวมเสื้อเชิ้ตตัวในของตำรวจเรียบร้อย
ดวงตาคมกล้ามองเห็นจิอากิซังนั่งมองบันทึกของซาคาโมโต้
คาโอรุอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง
ถึงแม้สองมือบางจะถือถ้วยชาเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ยกมันขึ้นมาจิบเลย
ดวงตากลมโตทอดมองบันทึกนั่นด้วยแววเศร้าๆ เขาจึงเดินไปนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามเงียบๆเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงมีความในใจอยากระบายให้ฟัง
"ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทั้งสองคนแอบคบกันอยู่…" จิอากิซังเริ่มพูดให้เขาฟัง
"ตอนที่อ่านบันทึก ผมทั้งดีใจกับคิมิสึกิ
ทั้งเศร้าใจเหลือเกินที่ความฝันของพวกเขาไม่อาจเป็นจริงได้อีกแล้ว…"
“บางครั้งโลกก็โหดร้ายเกินไปจริงๆ”
"ทั้งๆที่ได้พบคนที่รักจริง ทั้งๆที่วาดฝันอนาคตร่วมกันไว้
ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับพวกเขาด้วย ผมหดหู่ใจเหลือเกิน”
“ผมสงสารเด็กคนนั้น
ต่อให้โดนดูถูกเหยียดหยาม โดนกลั่นแกล้งรังแกแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีความหวัง
ยังมีรอยยิ้มเล็กๆ ยังมีซาคาโมโต้ที่คอยจับมือเขาเอาไว้
ทั้งๆที่ได้พบกับคนที่สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิตแล้วแท้ๆแต่ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้...น่าเศร้าจริงๆ" ใบหน้ามนเต็มไปด้วยแววหม่นหมอง
เขาเองก็รู้สึกไม่ได้ต่างไปจากที่จิอากิซังรู้สึกหรอก
ทำไมเด็กสองคนนั้นต้องมาเจอกับเรื่องที่โหดร้ายแบบนี้ด้วย
พวกเขาพยายามประคับประคองโลกใบเล็กๆของพวกเขาอย่างสุดกำลัง
แล้วทำไมทุกอย่างต้องมาพังทลายไปแบบนี้ด้วย
"เรื่องของพวกเขาสองคนทำให้ผมรู้สึกว่าผมโชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังสามารถรัก
ยังสามารถดูแลคนที่ผมรักได้อยู่"
เสียงทุ้มเอ่ยออกไป
"อิตสึกิซังคิดว่าคนร้ายในคดีฆาตกรรมสี่คนในกลุ่มคิเสะคือซาคาโมโต้เหรอครับ?
คิดว่าเขาจะหลบซ่อนตัวเพื่อแก้แค้นให้คิมิสึกิใช่ไหมครับ?" จิอากิซังเงยหน้าจากบันทึกขึ้นมาถามเขาตรงๆ
"ครับ...คุณคิดว่าพอจะเป็นไปได้ไหม? จากนิสัยของซาคาโมโต้เท่าที่คุณรู้จัก"
"อืม…ก็มีความเป็นไปได้นะครับ ซาคาโมโต้เป็นคนเก่ง
ถ้าเขาตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง เขาก็น่าจะทำจนได้…" จากที่เขาอ่านบันทึกมาเขาก็คิดว่าซาคาโมโต้
คาโอรุเป็นคนเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นมากทีเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าเลือกคิมิสึกิทั้งหัวใจขนาดนี้
“ผมสงสัยอีกอย่างหนึ่งนะครับ
ในเมื่อมีบันทึกเล่มนี้อยู่ ทำไมถึงไม่มีใครรู้เลยล่ะครับว่าทั้งสองคนแอบคบกัน
เป็นคนรักกัน ตอนที่ซาคาโมโต้หายตัวไป ตำรวจก็น่าจะได้อ่านบันทึกเล่มนี้แล้ว?” จิอากิซังได้แต่ส่ายหน้า
มันก็น่าแปลกจริงๆที่ไม่มีใครรู้เลย
ทุกคนทำเหมือนกับว่าบันทึกเล่มนี้ไม่เคยมีตัวตนมาก่อน? เพราะเขาเชื่อว่าข้อความต่างๆในบันทึกน่าจะช่วยหาตัวซาคาโมโต้ได้ง่ายขึ้น
และตำรวจก็ไม่น่าพลาดที่จะอ่านมันเพราะนี่คือเบาะแสที่ดีที่สุด
สงสัยว่ากลับสถานีตำรวจคราวหน้าเขาคงต้องกลับไปดูแฟ้มคดีนี้อีกสักรอบแล้วว่าในรายการหลักฐานมีรายชื่อบันทึกเล่มนี้อยู่ด้วยหรือไม่
จิอากิซังยังคงนั่งมองบันทึกที่ถูกปิดไว้เล่มนั้นด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
เขาเลยอยากให้อีกฝ่ายได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างจึงเอ่ยชวนออกไป
"จิอากิซัง"
"ครับ?"
"หมู่นี้ได้ไปดูกระต่ายที่คุณเลี้ยงไว้บ้างหรือเปล่าครับ?"
"....ตั้งแต่ที่โรงเรียนเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ผมก็ไม่ได้ไปเลยครับ"
"อยากไปดูไหมครับ? ป่านนี้ลูกกระต่ายของคุณคงโตกันหมดแล้ว"
"เอ๋? ผมไปได้เหรอครับ? ไม่ใช่ว่านักเรียนทุกคนถูกสั่งให้อยู่แต่ในห้องเหรอครับ?"
"ไปกับผม ไม่เป็นไรหรอกครับ"
เขาเองก็อยากพักสักหน่อยเหมือนกัน
สมองเขาแทบจะคิดอะไรไม่ออกแล้ว บางทีการได้ไปนั่งเล่นอาจจะทำให้นึกอะไรออกบ้างก็ได้
"....ครับ คุณจะไม่ลำบากทีหลังใช่ไหม?" เขาส่ายหน้าอย่างเอ็นดูคนที่อุตส่าห์เป็นห่วงคนที่ใหญ่ที่สุดในโรงพักอย่างเขา
โรงเรียนไคจิไม่ได้มีรั้วรอบขอบชิด
เพราะถูกล้อมเอาไว้ด้วยป่าอยู่แล้วจึงไม่น่าจะมีโจรผู้ร้ายที่ไหนฝ่ามาถึง
นักเรียนเองก็ไม่น่าจะอยากเข้าไปหลงอยู่ในนั้นเช่นกัน
ป่าจึงเป็นปราการธรรมชาติอย่างดีที่คอยเป็นรั้วให้
จิอากิซังพาเขาเดินออกมาทางด้านข้างโรงเรียน
ป่านั้นแทรกซึมเข้ามาจนเขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่าได้เดินพ้นอาณาเขตของโรงเรียนมาแล้ว
เขารู้สึกตื่นเต้นน้อยๆที่อีกฝ่ายยอมพาเขาไปในที่ที่เสมือนฐานทัพลับของตัวเอง
ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนเลยว่าเวลายามว่างส่วนใหญ่แล้วเซริซาว่า จิอากิจะมาหลบอยู่แถวนี้
ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงเวิ้งน้ำเวิ้งหนึ่ง
ถึงจะเป็นแม่น้ำสายเดียวกันแต่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ริมน้ำที่พบศพโชโงะ อัยหรอก
เขาทอดสายตามองแม่น้ำตื้นๆที่สะท้อนเป็นสีเทอร์ควอยซ์
น้ำที่สูงแค่คืบนั้นใสมาก เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมจิอากิซังถึงชอบที่นี่ เพราะมันทำให้จิตใจรู้สึกสงบมาก
ทิวทัศน์รอบๆก็งดงาม
แม่น้ำอาซึสะที่คดโค้งทำให้เห็นชายป่าทบกันไปมา
เทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นมองจากตรงนี้ก็สวยมาก
ปลายยอดสลับซับซ้อนนั้นเป็นสีขาวราวกับมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี
แค่ได้มองธรรมชาติอันบริสุทธิ์นี้จิตใจก็รู้สึกสดชื่นแล้ว
“อยู่นี่กันนี่เอง
หื๋ม? เป็นไงบ้าง? ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีไหม? งื้ม” เขาหันไปมองเสียงพูดคุย แต่คนที่จิอากิซังพูดด้วยกลับไม่ใช่เขา
ร่างโปร่งนั่งยองๆอยู่หน้าโพรงหญ้าโพรงหนึ่ง
มือบางหิ้วคอกระต่ายสีขาวมาเทินไว้บนตักก่อนจะทำหน้างุ้งงิ้งใส่กันราวกับกำลังสื่อสาร
เขาเห็นภาพนี้แล้วอดยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ กระต่ายสองตัวนั้นน่ารักมาก
มือใหญ่วางหญ้าเขียวสดที่เพิ่งแวะไปเก็บก่อนจะมาที่นี่ลงข้างๆ
กระต่ายตัวนี้ดูคุ้นเคยกับจิอากิซังมาก
แค่มือบางยื่นยอดหญ้าไปให้มันก็เคี้ยวตุ้ยๆทันที
และไม่รู้เพราะกลิ่นหญ้าหรือเสียงที่ดังผิดปกติทำให้มีใบหน้าเล็กๆสามหน้าโผล่ออกมาจากโพรงแล้วจ้องมองพวกเขาอย่างสงสัย
“อ๊ะ!
คุณดูสิ นั่นลูกกระต่ายที่ผมเคยเล่าให้ฟัง โตขึ้นเยอะเลย” จิอากิซังยิ้มกว้างเมื่อมองไปยังปากโพรง
กระต่ายเด็กขนปุกปุยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูกระโดดหยองแหยงออกมาล้อมจิอากิซังไว้จนร่างโปร่งต้องนั่งลงไปแล้วป้อนหญ้าพวกมันพร้อมๆกัน
เขายืนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกเป็นสุขมาก
ณ.จุดนี้ทำให้เขาเข้าใจซาคาโมโต้อีกเรื่องหนึ่ง
ว่าทำไมถึงอยากจะถ่ายรูปเก็บรอยยิ้มของคนที่ตนรักเอาไว้
กว่าครอบครัวกระต่ายจะยอมปล่อยจิอากิซังออกมาก็ผ่านไปครึ่งค่อนชั่วโมง
ตอนนี้พวกมันคงจะกลับเข้าไปนอนพร้อมกับพุงที่กางปริแล้วแน่ๆ
ร่างในชุดกิโมโนสะโอดสะองเดินไปนั่งลงบนรากไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ชายน้ำ
หากเป็นยามปกติมือบางคงถือหนังสือสักเล่มเอาไว้เป็นแน่
จิอากิซังคงใช้ชีวิตปลีกวิเวกอยู่ตรงนี้เป็นวันๆโดยไม่มีใครมารบกวน
เขานั่งลงข้างๆ
ปล่อยใจให้ไหลไปตามกระแสน้ำ ความตึงเครียดที่สะสมมาหลายวันราวกับถูกชำระล้างด้วยความสงบของที่นี่
“ซาคาโมโต้น่ะ
อยากเป็นตำรวจเหมือนคุณเลยครับ”
จิอากิซังเอ่ยลอยๆออกมาในขณะที่นั่งมองฝูงปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำใสแจ๋ว
“ครับ?”
“ผมอ่านเจอในบันทึกของเขาน่ะครับ”
ใบหน้าหวานอมยิ้มเศร้าๆในขณะที่พูดถึงบันทึกเล่มนั้น จะว่าไปก็ยังมีอีกหลายหน้าที่เขายังไม่ได้อ่านเพราะเขาอ่านเฉพาะหน้าที่จิอากิซังคั่นเอาไว้ให้
“ซาคาโมโต้ไม่ได้อยากเป็นนักปกครองที่ยิ่งใหญ่เหมือนพ่อ
แต่อยากเป็นตำรวจที่ประจำอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆไกลผู้ไกลคน
เขาตั้งใจว่าจะไปสร้างครอบครัวกับคิมิสึกิที่นั่น
ในเมืองใหญ่คงยากที่ใครจะยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่ถ้าเป็นในหมู่บ้านเล็กๆคงจะใช้ชีวิตได้ง่ายกว่า” นั่นคงจะเป็นแผนการในอนาคตที่ซาคาโมโต้พูดถึงสินะ
“แล้วคุณล่ะ
ในอนาคตอยากเป็นอะไรครับ?”
เขาพยายามเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้มันเศร้าหมองไปกว่านี้
“เอ๊ะ?
ผมเหรอ?” จิอากิซังมีท่าทีเลิ่กลั่ก
คงจะไม่เคยมีคนถามสินะเพราะอย่างลูกชายคนเล็กของตระกูลเซริซาว่าก็คงไม่พ้นมีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในกรมไหนสักกรมรออยู่นั่นแหละ
“อืม...”
ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นมาแตะริมฝีปากก่อนจะทำหน้านิ่งคิด
แล้วจู่ๆใบหน้ามนก็ฉายแววซุกซนก่อนจะตอบเขาว่า
“เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดดีไหมครับ?
คุณตำรวจจะได้เชื่อฟังผม”
จิอากิซังทำหน้าทะเล้นเป็นเชิงหยอกล้อเขา เพราะถึงจะเป็นสารวัตร
เขาก็ยังต้องฟังคำสั่งของผู้ว่าราชการอยู่ดี
เขายกยิ้มมองเจ้ากระต่ายน้อยที่อยากจะอยู่เหนือราชสีห์อย่างเอ็นดู
“มันมีอีกอาชีพหนึ่งนะครับ
ที่จะทำให้ตำรวจเชื่อฟังคุณได้”
“หื๋ม?
อาชีพอะไรครับ?” ร่างโปร่งทำหน้าอยากรู้อยากเห็นจนเขาอดขำไม่ได้
และคราวนี้เขาก็เป็นฝ่ายทำหน้าเจ้าเล่ห์บ้าง
“ก็เป็นภรรยาสารวัตรไงครับ
รับรอง ตำรวจทั้งโรงพักต้องฟังคุณแน่ๆ”
เขายิ้มแก้มแตกในขณะคนที่แกล้งหยอกเขาก่อนได้แต่อ้าปากพะงาบๆไปแล้ว
“งื้อ...นั่นเป็นอาชีพที่ไหนล่ะครับ?!” มือบางตีแขนเขาแก้เขิน
บรรยากาศหม่นหมองถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศชวนตัวบิดตัวงอ
ใบหน้าหวานอมยิ้มบางๆก่อนจะหันหนีมองนู่นมองนี่แต่เขาก็ยังขยับหน้าตามเพื่อไล่มองให้เขินกันไปข้าง
“พอแล้วครับ...คุณนี่เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง
ผมแค่แกล้งหยอกคุณนิดเดียวเอง”
มือบางยกมายันหน้าอกเขาแล้วเอียงหน้าหลบอย่างอายๆ เขาจึงยอมหยุดแต่โดยดี
“จริงสิ
คุณพอจะรู้จักทุ่งเนโมฟีลาที่อยู่ในบันทึกของซาคาโมโต้ไหมครับ?” เขาถามออกไปเมื่อนึกขึ้นได้
“อืม...ผมไม่แน่ใจว่าใช่ที่เดียวกันหรือเปล่านะครับ
ผมเคยหลงไปทีหนึ่ง ค่อนข้างอยู่ไกลพอสมควร
ต้องเดินทะลุป่าไป...คุณอยากจะลองไปดูไหมล่ะครับ ผมพาไปได้”
“รบกวนด้วยครับ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ
ยังไงผมก็ว่างอยู่แล้ว”
ร่างโปร่งบางลุกขึ้นยืนก่อนจะจดๆจ้องๆลงไปในแม่น้ำเหมือนหาอะไรสักอย่างจนเขาเอ่ยถามออกไป
“หาอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ต้องข้ามแม่น้ำไป
ผมเลยมองหาก้อนหินที่จะเหยียบ ผมไม่รู้ว่าต้องเข้าป่าลึกก็เลยสวมกิโมโนมา...” เขาก้มมองฝ่าเท้าเล็กๆที่สวมถุงเท้าอยู่ด้วย
รองเท้าหูคีบนั่นก็ไม่ได้สูงมากถ้าเดินข้ามน้ำไปทั้งอย่างนี้คงจะเปียกหมด
ถ้าเทียบกันแล้ว รองเท้าบูทตำรวจของเขาเดินลุยลงน้ำได้สบาย
“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยออกไปโดยไม่ได้กล่าวอะไรมาก
ก่อนที่จู่ๆท่อนแขนแข็งแรงจะอุ้มร่างโปร่งขึ้นมาในท่าอุ้มเจ้าสาว
“อ๊ะ?” คนถูกอุ้มตกใจจนอุทานเสียงหลง
เขาเพียงยิ้มให้แล้วก้าวขาเดินฝ่าน้ำตื้นๆไป
“...ทำอะไรของคุณเนี่ย...” จิอากิซังเขินจนหน้าแดง
เขาแกล้งเดินสะดุดจนอีกฝ่ายผวายกแขนขึ้นมากอดคอเขา เสียงหัวเราะเบาๆจึงหลุดออกไปจากริมฝีปากที่อยู่ใกล้ใบหน้ามนแค่คืบ
คุณชายเล็กของตระกูลเซริซาว่าทำหน้าหงึใส่แต่สองแขนก็ยังคล้องคอเขาไว้
โชคดีที่แม่น้ำสายนี้กว้างทีเดียว เขาจึงได้โอบอุ้มร่างกายนุ่มนิ่มอยู่นานสองนาน
“ไม่หนักเหรอครับ...” จิอากิซังเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ
“เบาเหมือนอุ้มตุ๊กตาเลยครับ” เขาเอ่ยหยอกเย้าแต่อีกฝ่ายก็เบาจริงๆ
ถึงจะตัวสูงแต่ก็ผอมบางมาก
มือแข็งแรงโอบเอวเล็กนิดเดียวอย่างเหมือนจะสำรวจไปในที
นี่กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่าเนี่ย? โดนกระแทกหนักๆจะหักไหม?
“ถึงแล้วครับ...ปล่อยผมลงได้แล้ว...” เสียงสวบสาบยามเมื่อรองเท้าเหยียบลงไปในกรวดแม่น้ำทำให้รู้ว่าเขาเดินถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ว
เขาจำต้องปล่อยร่างบางลงอย่างเสียดาย
แต่มือใหญ่ก็ยังตามไปเอื้อมจับมือบางไว้
จิอากิซังจึงหันมามองอย่างสงสัย
“ก็ในบันทึกของซาคาโมโต้บอกว่าต้องเดินจับมือกันไปนี่ครับ
ต้องเดินฝ่าพงหญ้าน่าจะล้มได้ง่าย”
“จับตั้งแต่ตรงนี้เลยเหรอครับ?”
ดวงตากลมโตเหลือบมองป่าชายน้ำที่ไม่มีหญ้าสักต้น
“ครับ
จับตั้งแต่ตรงนี้เลย”
ในเมื่อเขายืนยันเสียงแข็ง ร่างโปร่งบางจึงไม่ว่าอะไรแล้วหันไปเดินต่อ
เขาลอบยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินตาม
มือที่จับกันอยู่นี้ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของซาคาโมโต้
คาโอรุว่ามีความสุขขนาดไหน
และโลกที่พังทลายจะทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นผู้ร้ายได้อย่างไร
เขาว่าเขาเริ่มจะเข้าใจแล้ว
ยิ่งเดินเข้าไปในป่ามากเท่าไหร่หญ้าก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆเพราะที่นี่ไม่ใช่ป่าทึบ
แสงแดดยังส่องลงมาบนพื้นดินได้ทำให้หญ้าเจริญเติบโตมาก
ประกอบกับไม่มีใครผ่านเข้ามาจึงไม่มีแม้แต่ทางเดิน
พวกเขาต้องฝ่ามันเข้าไปเหมือนที่เขียนไว้ในบันทึกไม่มีผิด
ถึงอากาศจะเย็นแต่การต้องเดินป่าเป็นเวลากว่าครึ่งค่อนชั่วโมงก็ทำให้เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาตามไรผมของจิอากิซัง
มีหลายครั้งที่ร่างโปร่งบางสะดุดกิ่งไม้ที่มองไม่เห็นจนเขาต้องช่วยดึงเอาไว้
น่าแปลกที่เราไม่รู้สึกเหนื่อยหรือลำบากอะไร แต่ต่างฝ่ายต่างยังยิ้มให้กันและมองมันเป็นความสุขเสียมากกว่า
“น่าจะอยู่ข้างหน้านี่แหละครับ”
ปลายนิ้วเรียวชี้ไปที่ชายป่าซึ่งมีแสงสว่างจ้าส่องผ่านแนวต้นไม้เข้ามา
และเมื่อเดินทะลุแนวป่าออกไป
ก็กลายเป็นทุ่งหญ้าเวิ้งว้างอย่างที่อยู่ในบันทึกของซาคาโมโต้จริงๆ
แต่ดอกเนโมฟีลาที่ควรจะเป็นสีฟ้าเต็มทุ่งกลับแทบไม่มีเหลือแล้ว...
มีเพียงกลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงที่ลอยมาตามลม
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
ลางสังหรณ์กำลังตะโกนก้องว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เรื่องดี
“อึก...”
จิอากิซังถึงกับยกมือขึ้นมาปิดจมูกแต่ตัวเขากลับก้าวขาเข้าไปในทุ่งหญ้านั่นราวกับคนเสียสติ
เพราะกลิ่นนี้คือกลิ่นที่เขาได้พบเจอมาเป็นเวลาแรมเดือน...จากศพสี่ศพ
สองขาก้าวฝ่าต้นเนโมฟีลาแห้งๆเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาของเขาเบิกค้างจ้องมองอยู่ที่ก้อนอะไรบางอย่างที่อยู่กลางทุ่งดอกไม้นั่น...ยิ่งก้าวขาเข้าไปหัวใจก็ยั่งสั่นระรัว...ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย...
เมื่อเช้า...ก่อนจะมาที่นี่...เขายังจำคำถามที่ถามนายตำรวจที่เดินสวนกันได้เป็นอย่างดี
“เจอตัวมุราซากิ
ชินยะหรือยังครับ?”
“ยังเลยครับสารวัตร
ตำรวจที่ออกไปค้นหากลับเข้ามาเปลี่ยนเวรกันออกไปใหม่แล้วครับ”
จะไปเจอได้อย่างไร...ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ตรงนี้
อยู่ในที่ที่ไกลแสนไกลขนาดนี้
ดูจากสภาพแล้ว
บางที...อาจจะยืนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่คืนที่วิ่งตามคิเสะ ยูกิออกมาเลยก็ได้
เด็กหนุ่มยืนอยู่...โดยมีคราดเสียบทะลุลำคอราวกับเสาค้ำยัน
นี่มันอะไรกัน?
คนร้ายไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เด็กบ้านรวยห้าคนนั้นเท่านั้นหรอกเหรอ?
ทำไมมุราซากิ
ชินยะถึงโดนเล่นงานได้ล่ะ?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
ตอนนี้กำลังคิดเล่นๆอยู่ค่ะว่า
หรือจะเขียนฟิคเรื่องนี้เป็นแนวสืบสวนสอบสวนยาวๆไปเลยดี
คือไม่ได้จบอยู่แค่คดีนี้แต่ยังมีคดีอื่นๆอีก แบบ
พระนายเค้าจะได้ค่อยๆสานฟามสัมพันธ์ปลูกต้นรักถักทอไปเรื่อยๆผ่านคดีต่างๆงี้ //เอาคดีนี้ให้จบก่อนคุณกวาง
555 //ด้วยความเสียดายฉากกับคาร์แรกเตอร์ ^ ^ ฉากในยุคไทโช-โชวะของญี่ปุ่นเป็นอะไรที่คุณกวางชอบมาก
ดูลึกลับ ดูมีเสน่ห์ดี แล้วนี่ยังเป็นโรงเรียนประจำชายล้วนอีก งื้ออออ
ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์ด้วยนะค้า
ดีใจมากค่ะที่มีคนอ่านเรื่องนี้ด้วย ตัวละครเยอะและชื่อแบบญี่ปุ่นอาจจะจำยากหน่อย
ต้องขอบคุณมากจริงๆที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงนี่ เห็นคอมเม้นต์ละปริ่มมากค่ะ =/////= แล้วเจอกันตอนหน้าน้า อากาศหนาวแล้วรักษาสุขภาพด้วยนะก๊ะ
The Rise of Casino Gaming - DrmCD
ตอบลบHow To Play · 김제 출장안마 How to win at 영천 출장샵 casinos · 논산 출장샵 What to Know · Promotions & Rewards · How to Play 양산 출장안마 · Terms 과천 출장안마 of Service