ป๋อจ้าน Au S.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] Juunana Sai : 17ฝน : 06
:
ป๋อจ้าน Fanfiction Au
:
หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
:
Period / Romance / Suspense / Mystery / Crime
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
ตลอดทางกลับมัตสึโมโตะพวกเขาต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ในหัวมีเพียงรูปถ่ายของคิมิสึกิ
วายะที่วนเวียนอยู่ไปมา
สิ่งที่พวกเขาต่างติดใจก็คือแล้วรูปถ่ายใบนี้ไปอยู่ที่ซาคาโมโต้ คาโอรุได้ยังไง?
“....ผมไม่เคยเห็นเขายิ้มแบบนั้นมาก่อนเลย” แล้วจู่ๆจิอากิซังก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา
แทบไม่ต้องบอกเขาก็รู้ทันทีว่าจิอากิซังหมายถึงอะไร
เพราะใบหน้าของคิมิสึกิ วายะในรูปถ่ายขาวดำใบนั้น...กำลังยิ้มอยู่
ยิ้ม...ให้คนที่ถ่ายรูปใบนี้...
ที่จริงแล้ว...คิมิสึกิ
วายะเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีมาก
ออกแนวอ่อนหวานน่าทะนุถนอมเหมือนดอกไม้ที่มีกลีบบางๆ
นี่ถ้าชาติกำเนิดดีกว่านี้ก็สามารถมองเป็นลูกหลานตระกูลมีฐานะได้ไม่ยากเลย
“เขาไม่เคยยิ้มเลย
ไม่เคยยิ้มให้ใครมาก่อนเลย คุณก็รู้ว่าแม่ของเขาเป็นเกอิชา เขาจึงไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากคนอื่น
เขามักทำหน้าเศร้าอยู่เสมอ ผมจึงแปลกใจ ว่าเขาเองก็ยิ้มได้สวยงามขนาดนี้
ใครกันนะที่ทำให้เขายิ้มได้”
จิอากิซังพึมพำให้ฟัง
“ซาคาโมโต้คุง...มีกล้องถ่ายรูปหรือเปล่าครับ?” เขาถามออกไป ของราคาแพงขนาดนั้น
ถ้าใครในโรงเรียนมีก็น่าจะเป็นที่รู้กันทั่ว เหมือนไวโอลินของจิอากิซัง
“ดูเหมือนสภานักเรียนจะมีอยู่ตัวหนึ่งนะครับ”
ถ้างั้นก็มีความเป็นไปได้...ว่าคนที่ถ่ายรูปใบนี้อาจจะเป็นซาคาโมโต้
คาโอรุ?
เด็กสองคนนั้น...อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ถูกปกปิดเป็นความลับและไม่เคยมีใครล่วงรู้มาก่อน
กับโรงเรียนที่มีแต่ชนชั้นแบบนี้มันก็มีความเป็นไปได้
รถเหล็กสีดำขับกลับมาถึงเมืองมัตสึโมโตะก็พลบค่ำพอดีและตอนนี้พวกเขาก็กำลังมีปัญหาใหญ่
"....ฝน...ตกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…" เสียงนุ่มออกแนวรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำถาม
ในขณะที่มือบางยื่นออกไปรับหยาดน้ำฟ้าที่หนาเม็ดขึ้นทุกทีๆใบหน้ามนก็มีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"......"
และเขาเองก็รู้ว่าจิอากิซังกังวลเรื่องอะไร
หากเป็นยามปกติการขับรถขึ้นเขาเพื่อกลับไปยังโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องยากถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืน
แต่นั่นต้องไม่ใช่วันที่มีฝนตก…
ทางไปยังโรงเรียนไคจิในวันฝนตกนับว่าอันตรายมาก
เพราะถนนที่คดโค้งไต่ไหล่เขาไปมานั้นจะลื่นมาก
วิสัยทัศน์ก็ไม่ดีทำให้มองแทบไม่เห็นอะไร ทั้งมืด ทั้งเสี่ยงที่ดินจากสองข้างทางจะถล่มลงมา…
"คุณ...จะว่าอะไรไหม ถ้าคืนนี้เราจะค้างกันในตัวเมือง…"
เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่หัวคิ้วขมวดมุ่น...นี่เขาคงจะไปติดนิสัยแย่ๆมาเสียแล้ว
ที่ดันคิดว่าสีหน้ายามกังวลของจิอากิซังแบบนี้ก็น่ารักดี
"........ผม...ก็คิดว่ามันน่าจะอันตรายเกินไปถ้าจะขับรถขึ้นเขาตอนนี้…"
จิอากิซังพูดงึมงำๆ
"แล้ว...คุณคิดจะไปพักที่ไหน?" ใบหน้าหวานค่อยๆช้อนสายตาขึ้นมามองเขา
แต่ณ.เวลานั้นนายตำรวจหนุ่มกลับรู้สึกอึกอักที่จะต้องพูดออกไปว่า
"โรงแรม...ได้ไหมครับ?"
"โรงแรม?!!" ไม่ใช่แค่เสียงนุ่มที่อุทานอย่างตกใจ
ใบหน้ามนก็ไปหมดเหมือนกัน ทั้งอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ไหล่บางสะดุ้งโหยงแถมยังขยับถอยหนีจนแผ่นหลังชิดประตูรถอีกต่างหาก
...ก็นะ...ต้องอย่าลืมว่า เซริซาว่า จิอากิเป็นคุณชายเล็กของบ้านผู้ดีมีสกุล
การเดินอาดๆเข้าไปค้างอ้างแรมกับใครก็ตามในโรงแรมนับเป็นเรื่องเสื่อมเสียและน่าอายมากถึงมากที่สุด
"ไม่ได้...สินะครับ?" สารวัตรหนุ่มเอ่ยอย่างเข้าใจสถานะของอีกฝ่ายและไม่ได้คิดจะบีบบังคับแต่อย่างใด
"มีที่อื่นอีกไหมครับ...โรงแรม...ไม่ได้จริงๆ…" คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอีกรอบราวกับกำลังรู้สึกผิดที่ทำให้เขายุ่งยาก
ในหัวเล็กๆนั่นคงกำลังโทษตัวเองอยู่แน่ๆ
ว่าเป็นผู้ชายแท้ๆแต่กลับยังสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้อยู่อีก
ทั้งๆที่บรรดาคุณชายยุคใหม่ไม่มีใครเขาสนใจเรื่องแบบนี้กันแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลาจึงยิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่ายแทนคำบอกกล่าวว่าไม่เป็นไร
เขากลับรู้สึกชื่นชมที่อีกฝ่ายให้ค่าและพยายามรักษาเกียรติของตัวเองขนาดนี้
เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ
เขาจึงอยากจะให้เกียรติอีกฝ่ายอยู่เสมอ
ไม่คิดจะบังคับหรือใช้กำลังทั้งๆที่ทำได้อย่างง่ายดาย
"ที่จริงมีอยู่ที่หนึ่ง แต่มันไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก
ข้าวของเครื่องใช้ก็อาจจะไม่สะดวกสบาย จิอากิซังคิดว่ายังไงครับ?"
จริงๆมันควรจะเป็นสถานที่แรกที่เขาควรจะนึกถึง
แต่พอคิดถึงสภาพของบ้านหลังนั้น
เขาก็กลัวว่าจิอากิซังจะลำบากเสียเปล่าๆเลยไม่ได้เสนอมันออกไป
"ที่ไหนเหรอครับ? แค่ไม่ใช่ที่ที่มีคนเห็นแบบโรงแรม
ก็น่าจะใช้ได้แล้วครับ"
"....บ้านพักตำรวจของผมเอง"
ยังดีที่ในรถยังมีร่มติดอยู่บ้าง
เขาจึงกางร่มที่ทำจากไม้ไผ่แล้วค่อยๆเดินฝ่าฝนมาด้วยกัน
ระยะที่กระชั้นชิดแค่นี้ทำให้จิอากิซังก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย
เขาเองก็เขินเหมือนกันเพราะไม่เคยอยู่ใต้ร่มคันเดียวกับใครมาก่อน
ไม่เคยเลย
ดวงตาคมกล้าเหลือบมองต้นคอขาวของคนที่เดินเบียดกันอยู่
หัวใจเต้นตึกตักๆจนจะดังยิ่งกว่าเสียงฝนแล้วแต่เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง
ป่านนี้จิอากิซังคงจะได้ยินหมดแล้วเพราะเช่นนั้นใบหูบางถึงได้แดงจัดขนาดนี้
เขาทำได้แค่บังคับตัวเองให้เดินต่อไปทั้งๆที่เขินจนหน้าร้อนเป็นไฟไปหมดแล้ว
“...รออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ” มือใหญ่หุบร่มเมื่อก้าวเข้ามาใต้ชายคาบ้านแล้ว
ฝนที่เปียกมะล่อกมะแล่กทำให้มือบางปัดๆไปตามเนื้อตัวก่อนจะยืนมองเขาไขกุญแจบ้าน
ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นมีแววลุ้นหน่อยๆเพราะไม่เคยก้าวขาเข้าไปในบ้านของหนุ่มโสดที่อยู่ตัวคนเดียวมาก่อนเลย
บ้านที่เคยไปส่วนใหญ่ก็จะเป็นครอบครัวเสียมากกว่า
“เชิญครับ” เขาเดินเข้าไปจุดไฟให้บ้านสว่างขึ้น
บ้านพักตำรวจหลังนี้เป็นเพียงบ้านไม้ชั้นเดียวที่ยกพื้นขึ้นมาจากดินสองสามขั้นบันได
ด้านหน้ามีเฉลียงเล็กๆ
เปิดประตูเข้ามาก็เป็นห้องรับแขกที่ไม่มีอะไรนอกจากโซฟาซึ่งยังถูกคลุมผ้าสีขาวไว้
ข้างๆเป็นห้องนอนกับห้องน้ำในตัวอีกหนึ่งห้อง
มีระเบียงหลังบ้านที่พอจะทำครัวได้นิดหน่อย
นี่ก็นับว่ายังดีแล้ว
เพราะนายตำรวจทั่วไปต้องไปนอนรวมกันอยู่ในหอพักตำรวจ ไม่ได้มีบ้านพักแยกเป็นหลังให้แบบนี้
“พอจะนอนได้ไหมครับ...”
เขาถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนักว่าจิอากิซังจะทนไหวไหม
ดวงตากลมโตกำลังกวาดมองกล่องลังอะไรต่อมิอะไรที่กองซ้อนๆกันอยู่ตรงมุมห้องรับแขกอย่างหวาดหวั่น
จากนั้นก็ไล่มองเข้าไปในห้องนอนที่ประตูเปิดอ้าอยู่ มีเตียงเพียงเตียงเดียวและแม้แต่ผ้าปูเตียงเขาก็ยังไม่ทันได้ปูด้วยซ้ำ
มือใหญ่ถึงกับยกขึ้นมาเกาขมับอย่างเขินๆที่ต้องให้อีกฝ่ายมาเห็นสภาพน่าอายขนาดนี้
“คือ...ก็...พอผมย้ายมาก็เจอคดีของโรงเรียนไคจิเลยนี่ครับ
ผมเลยแทบไม่ได้กลับมานอนที่นี่ สภาพมันก็เลยเป็นแบบนี้...”
เขาหัวเราะแห้งๆเมื่อเห็นจิอากิซังยืนตัวแข็งไปแล้ว
“ผมนอนไม่ได้แน่ๆ
ถ้าไม่ได้จัดบ้านคุณให้เรียบร้อยก่อน!”
เขาได้แต่ยิ้มอ่อนเมื่ออีกฝ่ายตวัดหน้ามาพูดแบบนั้น
จิอากิซังพับแขนเสื้อขึ้นด้วยสีหน้าเอาจริง
“ก่อนอื่น
คุณเอาผ้าคลุมโซฟานี่ออก เดี๋ยวผมจะไปปูเตียงเอง
อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านอยู่ไหนครับ? ไปเอามาให้ผมด้วย!”
....สรุปว่าคืนนี้กว่าจะได้นอนก็ผ่านไปค่อนคืน
แล้วก็ไม่ต้องมาถามหาความโรแมนติกหรือฉากรักกุ๊กกิ๊กใดๆ ถ้าให้พูดถึงการใช้แรงงานทาสยังจะง่ายกว่า
เขาได้เห็นอีกมุมหนึ่งของคุณชายเซริซาว่าที่ใครๆต่างก็เทิดทูนราวกับนางฟ้า
และขอบอกเลยว่าอย่าริเป็นพ่อบ้านใจกล้ากับจิอากิซังเด็ดขาด!
เขาตื่นขึ้นมาด้วยสภาพกระดูกลั่นไปทั้งร่างกาย
ไม่ได้ออกแรงขนาดนี้มานานแค่ไหนกันแล้วนะ
ดวงตาคมกล้าทอดมองใบหน้าของคนที่หลับอยู่ในอ้อมแขนด้วยรอยยิ้ม
เตียงที่ไม่ได้กว้างใหญ่ทำให้เราต้องนอนเบียดๆกัน หมอนที่มีอยู่ใบเดียวทำให้หัวสีดำต้องใช้ท่อนแขนของเขาแทนหมอนหนุน
ถึงจะไม่ได้สะดวกสบายแต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ยูกาตะตัวโคล่งที่จิอากิซังสวมอยู่ก็เป็นยูกาตะของเขาเช่นกัน
ยิ่งรู้สึกเหมือนคู่ข้าวใหม่ปลามันเข้าไปใหญ่
เขาเหลือบตามองบ้านพักที่มีค่อยดูเหมือนบ้านขึ้นมาหน่อย
อย่างน้อยข้าวของในกล่องก็ถูกจัดใส่ตู้ใส่ชั้นเรียบร้อย
เสื้อผ้าของเขาที่เดิมถูกรื้อออกมากองๆไว้ก็ถูกใส่ไม้แขวนอย่างดี
ชายหนุ่มที่มีศรีภรรยาคอยดูแลก็คงรู้สึกแบบนี้เองสินะ
‘จับใส่ชั้นไปก่อน เอาไว้วันหยุดสุดสัปดาห์หน้า ผมค่อยมาจัดให้คุณใหม่นะครับ
หนังสือก็ควรจะเรียงเล่มให้ถูกต้องสิครับ เวลาหยิบมาใช้งานจะได้หาง่ายๆ’
‘ถ้วยจานชามคุณไม่มีบ้างเลยหรือไง? ควรจะมีติดบ้านไว้นะครับ
ไว้คราวหน้าผมจะไปช่วยคุณเลือกซื้อนะครับ ซื้อหม้อใบเล็กๆมาสักใบด้วยดีไหมนะ?
เผื่อวันไหนอยากทำอาหารง่ายๆทานเอง?’
‘ไหนๆแล้วผมว่าผมหาแจกันมาให้คุณสักใบก็น่าจะดี
ที่โซฟาตรงนี้ดูแห้งแล้งมากเลยครับ มันควรจะมีดอกไม้ มีหมอนอิง
เอาไว้ผมไปช่วยคุณเลือกก็แล้วกัน รอคุณไปซื้อเองคงอีกหลายปีกว่าบ้านนี้จะมีแจกัน’
นั่นคือสิ่งที่จิอากิซังบอกเขาเอาไว้เมื่อคืน
แสดงว่าจะมาช่วยเขาจัดบ้านอีกสินะ? หรือถ้าอยากจะมาทำอาหารให้เขากินด้วย จะยกซื้อมาทั้งครัวเลยเขาก็ไม่ว่าอะไร
เขายิ้มจนแก้มยกเมื่อนึกถึงความน่ารักของอีกฝ่าย
เอาเป็นว่าเขายกบ้านของเขาให้จิอากิซังตกแต่งตามใจเลยก็แล้วกัน
“งื้ม...” เหมือนลมหายใจของเขาจะไปก่อกวนคนหลับเข้า
หัวคิ้วเรียวจึงขมวดมุ่นก่อนที่ดวงตาคู่โตจะค่อยๆลืมขึ้นมา
“...อิตสึกิซัง?...ตื่นแล้วเหรอครับ?” เสียงทักทายยามเช้าที่งัวเงียแบบนี้เขาเพิ่งเคยได้ยิน
เพราะปกติแล้วจิอากิซังจะตื่นเช้ากว่าเขา ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเขาเสมอ
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต้องดังนักเพราะอยู่ใกล้กันแค่นี้
และคนที่เพิ่งรู้ตัวว่านอนอยู่ในอ้อมแขนเขาก็ถึงกับชะงักไป
ใบหน้าหวานค่อยๆก้มงุดอย่างเขินอายก่อนจะค่อยๆดันตัวออกไปจากอกเขา
“ขะ
ขอโทษที่เข้าไปนอนเบียดนะครับ คุณไม่ได้ปวดเมื่อยตรงไหนใช่ไหม?” ดวงตากลมโตเหลือบมองเขาอย่างอายๆ
“สบายมากครับ” เขายิ้มให้ รู้สึกว่าเช้านี้ช่างสดใส ทว่า
บรรยากาศดีๆก็คงอยู่ได้แค่นี้ เพราะจู่ๆเสียงเคาะประตูลั่นก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ
ปังๆๆๆ
“สารวัตรครับ!!
อยู่ในบ้านหรือเปล่าครับ?!” น่าจะเป็นลูกน้องตำรวจของเขาสักคน รีบร้อนขนาดนี้มีอะไรกันนะ
ร่างสูงสง่าลุกไปดู
“ครับ?”
เมื่อเปิดประตูก็พบตำรวจนายหนึ่งหน้าตาตื่นยืนหอบอยู่ข้างๆกับภารโรงโรงเรียนไคจิ...อย่าบอกนะว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่จะเกิดเรื่องที่โรงเรียนอีกแล้ว?
“สารวัตรครับ...มีเด็กถูกฆ่าตายอีกแล้วครับ...”
ปั่บ!
กล้องถ่ายรูปได้ทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง
ส่วนสารวัตรหนุ่มก็ได้แต่ยืนมองศพของ คิเสะ เคียวเฮ ด้วยดวงตาเหม่อลอย
เด็กในกลุ่มเด็กบ้านรวยห้าคนนั่นอีกแล้ว...คราวนี้แทบจะฟันธงได้เลยว่ามันเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างแน่นอน
ถึงแม้วิธีฆ่าจะแตกต่างกัน แต่คนร้ายกลับไม่คิดจะปกปิดความตั้งใจเลยสักนิด ว่าทุกคดีล้วนเกิดจากความแค้นที่มีต่อเด็กกลุ่มนี้
เขามองศพของฝาแฝดผู้พี่ที่ถูกแขวนคออยู่ในโรงเก็บวัตถุดิบสำหรับทำอาหารของโรงเรียน
สิ่งที่บ่งบอกได้ว่านี่เป็นคดีฆาตกรรมก็คือข้าวของที่ตกเกลื่อนกลาดกระจายอยู่เต็มพื้นราวกับมีการขัดขืนและต่อสู้กันอย่างหนักระหว่างผู้ตายกับคนร้าย
รอยลากที่พื้นบ่งบอกว่าคนร้ายคงจะรัดคอคิเสะ
เคียวเฮตั้งแต่อยู่ข้างนอกแล้วลากเข้ามาในนี้ และเจ้าตัวก็มีการขัดขืน การดิ้นรนในขณะที่ถูกลากเข้ามาทำให้แขนขาฟาดโดนสิ่งของล้มระเนระนาด
รอยข่วนที่คอจนเลือดไหลกับปลายเล็บที่ถลอกปอกเปิกของแฝดพี่คนนี้ทำให้รู้ว่าเขาคงพยายามจะเอาเชือกที่รัดคอตนออก
ถึงคิเสะ
เคียวเฮจะไม่ใช่เด็กหนุ่มที่มีร่างกายสูงใหญ่เหมือนพวกนักกีฬา
แต่หัวโจกของเด็กจอมร้ายกาจกลุ่มนี้ก็น่าจะมีแรงเยอะเหมือนเด็กผู้ชายทั่วๆไป
และเขาคิดว่าบางทีคิเสะ เคียวเฮอาจจะเกือบดิ้นหลุด
คนร้ายถึงได้ตัดสินใจทุบหัวเด็กหนุ่มด้วยท่อนฟืน...
คิเสะ
เคียวเฮถูกฆ่าตายก่อนจะถูกเอาไปแขวนไว้บนขื่อ...
จากการตายของแฝดผู้พี่ทำให้เขาพอจะบอกลักษณะของคนร้ายได้บ้าง
คนร้ายน่าจะเป็นผู้ชายรูปร่างธรรมดาที่ไม่ได้มีแรงมากมายอะไรนัก
ไม่น่าจะเป็นพวกนักกีฬา และก็ไม่ได้มีการวางแผนในการฆ่า ไม่ได้คิดมาอย่างดี
คนร้ายแทบจะไม่สนด้วยซ้ำว่าจะถูกจับได้ จึงลงมือในสถานที่ที่จะทิ้งหลักฐานไว้มากมายขนาดนี้
เขาเหลือบมองท่อนฟืนที่ยังมีเลือดติดอยู่ก่อนจะหันไปมองศพของคิเสะ
เคียวเฮที่ถูกแขวนให้มองเห็นได้ง่ายๆ...เหมือนเป็นการแก้แค้นเพื่อความสะใจ
เป็นการฆ่าเพื่อข่มขู่ให้ใครบางคนหวาดกลัวเสียมากกว่า
“แฝดคนน้อง...คิเสะ
ยูกิล่ะ?”
สารวัตรหนุ่มหันไปถามนายตำรวจที่เดินเก็บหลักฐานอยู่ใกล้ๆ
ถึงจะร้ายกาจกับคนอื่นแต่ดูเหมือนฝาแฝดคู่นี้จะรักกันดี
“เป็นลมล้มพับไปเลยครับตอนเห็นศพพี่ชาย
ตอนนี้น่าจะนอนอยู่ที่ห้องพยาบาลครับ”
เขานึกถึงมีดกับเสื้อคลุมของคิเสะ ยูกิขึ้นมาทันที
มีความเป็นไปได้มากว่านี่จะเป็นการทำเพื่อแก้แค้นแฝดผู้น้องคนนั้น
เห็นทีเขาคงต้องไปคาดคั้นเด็กนั่นเสียแล้วว่าเคยไปก่อเรื่องก่อราวอะไรไว้ โกรธแค้นกันขนาดนี้ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่ๆ
“แล้วเจอหลักฐานอะไรบ้างหรือยัง?”
“พบรอยเลือดที่ปลายเชือกอีกด้านครับ
น่าจะเป็นของคนร้าย?”
เขาขยับไปดูที่ปลายเชือกอีกด้าน มีรอยเลือดติดอยู่จริงๆ
บางทีในระหว่างที่ยื้อยุดฉุดกระชากกัน คนร้ายอาจจะถูกเชือกบาดมือจนเป็นแผลก็ได้
“โทรไปเรียกระดมพลตำรวจที่โรงพักให้มาที่นี่ทั้งหมด
เราต้องรีบตรวจมือนักเรียนทุกคนแล้วว่ามือใครมีแผลถูกเชือกบาดบาง
ไปเดี๋ยวนี้เลย” เขาหันไปสั่งลูกน้อง
“ครับ”
“เดี๋ยวก่อน”
“ครับ?”
“ไม่เฉพาะแค่นักเรียน
ให้ตรวจผู้ใหญ่ทุกคนในโรงเรียนด้วย ครู แม่บ้าน ภารโรง ห้ามละเว้นเด็ดขาด”
“ครับ!”
ไม่ว่าใครก็ดูน่าสงสัยไปหมดแล้วตอนนี้
นายตำรวจประจำสถานีมัตสึโมโตะถึงกับถอนหายใจ
“สารวัตรครับ
ช่วยลงชื่อด้วยครับ”
เขารับเอกสารมาอย่างปวดใจ เขาต้องรีบจับคนร้ายให้ได้ก่อนที่จะมีคนเคราะห์ร้ายไปมากกว่านี้
ปีไทโชที่
2 วันที่ 29 กันยายน
คิเสะ
เคียวเฮ อายุ17ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โรงเรียนไคจิ เขตคามิโคจิ
เมืองมัตสึโมโตะ
ลงนาม
ฟูจิวาระ อิตสึกิ สารวัตรตำรวจ
สารวัตรหนุ่มเดินกลับอาคารหอพักเพื่อมาเปลี่ยนเสื้อผ้า
เขาใช้เวลาทั้งวันอยู่ในที่เกิดเหตุจนลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ยกลังกระดาษที่เอามาจากบ้านซาคาโมโต้
คาโอรุลงมาจากรถ แต่ตอนนี้มันกลับวางนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง
“ผมไปขนมาให้...เอาวางไว้ตรงนั้นไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” เสียงนุ่มของคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยบอก
“ยังไม่ใช่หลักฐานในคดี
เอาไว้ที่นี่ไม่ต้องขนไปสถานีตำรวจก็ได้ครับ แล้วนี่คุณไปยกมายังไง?
ไม่หนักเหรอครับ?”
“ผมค่อยๆขนมาสองสามรอบ
จริงสิ ผมเจอสมุดบันทึกของซาคาโมโต้ด้วยนะครับ คุณน่าจะลองอ่านดูเผื่อจะเจออะไร”
“ครับ...แต่สองสามวันนี้ผมคงยุ่งจนหัวหมุนแน่” เขาถอดเครื่องแบบตำรวจออกแขวนไว้
ตอนนี้เย็นมากแล้ว การเก็บหลักฐานต่างๆจึงยุติลงชั่วคราว
“ไม่ควรที่ใครจะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้เลย
ถึงจะเป็นฝาแฝดคิเสะก็เถอะ...”
จิอากิซังทำหน้าสลดหดหู่ ตอนนี้บรรยากาศในโรงเรียนก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน
นักเรียนต่างก็หวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่ารายต่อไปจะเป็นใคร ต่างฝ่ายต่างระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน
นักเรียนส่วนใหญ่จึงอยู่แต่ในห้องพักแทบไม่ออกไปไหน
เขาหันไปมองจิอากิซังกับไวโอลิน
เป็นเพราะเมื่อคืนนี้ที่เกิดการฆาตกรรมขึ้นร่างบางอยู่กับเขาทั้งคืน
เท่านี้ก็น่าจะสามารถตัดอีกฝ่ายออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยได้แล้ว
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ
ไม่ว่าเขาจะถามใครๆ ทุกคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเมื่อคืนก็ยังได้ยินเสียงไวโอลินอยู่?
ไหนคุณครูประจำห้องดนตรีเคยบอกว่าจิอากิซังสีไวโอลินเป็นคนเดียว?
แถมไวโอลินของจิอากิซังก็วางอยู่ในห้องตลอด
พวกเขาล็อคกุญแจห้องอย่างดีไม่มีใครเข้ามาในนี้ได้แน่นอน
ถ้าอย่างนั้นเสียงไวโอลินมาจากไหนกัน?
แล้วทำไปเพื่ออะไร?
เสียงไวโอลินถูกคนร้ายใช้เพื่อต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?
ชื่อชื่อหนึ่งปรากฎชัดในหัวเขาอย่างสะบัดไม่หลุดถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานเกี่ยวพันไปถึง
คิมิสึกิ
วายะ...
เพราะเด็กคนนั้นก็ชอบเสียงไวโอลินเช่นกัน
ก๊อกๆๆๆ!!!
มือใหญ่ยังถือยูกาตะค้างอยู่อย่างนั้นยังไม่ทันได้เปลี่ยน
เสียงเคาะประตูดังสนั่นก็ทำให้เขาหันไปมอง เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วเนี่ย?
“ครับ?” เขาเปิดประตูออกไปดู
“สารวัตร
แย่แล้วครับ! คิเสะ
ยูกิที่เพิ่งฟื้นจู่ๆก็ลุกขึ้นมาโวยวายลั่นแล้วถือมีดวิ่งเข้าป่าหลังโรงเรียนไปแล้วครับ” ห๋า? นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันอีกเนี่ย?
“มีมุราซากิ
ชินยะที่ว่าเป็นคนรักกันวิ่งตามไปครับ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?” ว่าแล้วว่าคิเสะ ยูกิจะต้องรู้อะไรแน่ๆ
ยังไงก็ต้องรีบจับตัวมาสอบปากคำด่วน
“รีบตามไปดีกว่าครับ
ไปเรียกระดมพลเดี๋ยวนี้เลย พวกตำรวจที่เพิ่งมาจากสถานีด้วยนะครับ
ตอนนี้ให้ออกตามหาคิเสะ ยูกิกับมุราซากิ ชินยะก่อน”
“ครับ” นายตำรวจรับคำก่อนจะรีบเร่งจากไป
เขาจึงหันไปกำชับคนในห้อง
“คุณอยู่แต่ในห้องนะครับ
ใครมาเคาะประตูก็ห้ามเปิดเด็ดขาด”
“ครับ” จิอากิซังรับคำด้วยสีหน้ากังวล
เขาจึงลูบหัวสีดำอย่างปลอบโยน
“คุณเองก็ระวังตัวด้วยนะครับ” เขาพยักหน้ารับ มือใหญ่หยิบได้แค่ตะเกียง
เสื้อนอกอะไรยังไม่ทันจะได้ใส่เขาก็ไปทั้งเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในแค่นั้น
แสงไฟจากตะเกียงสาดส่องไปทั่วป่า
แต่ไม่ว่าจะร้องเรียกแค่ไหน คิเสะ ยูกิกับมุราซากิ ชินยะก็ไม่ขานรับกลับมาเลย...
การค้นหากินเวลาจนเช้า
เหล่าตำรวจต่างเดินออกจากป่ามาด้วยสภาพสะโหลสะเหลแต่กลับไม่เจอตัวทั้งสองคนเลย
วิ่งไปทางไหนกันแน่นะ?
รอบๆนี้ก็ดันมีแต่ป่าเสียด้วย สารวัตรหนุ่มถึงกับต้องยกนิ้วขึ้นมานวดหัวคิ้ว รู้อย่างนี้เขาน่าจะรีบไปสอบถามคิเสะ
ยูกิตั้งแต่เมื่อเย็นเลยก็ดี เขาไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะคลุ้มคลั่งหลังจากที่ตื่นขึ้นมา
ได้แต่หวังว่าแฟนหนุ่มที่วิ่งตามไปจะช่วยทำให้เด็กคนนั้นใจเย็นลงและออกจากป่ามาเอง
“ไปพักกันสักสองสามชั่วโมงก่อนก็แล้วกันนะครับ
อ่อ แล้วก็แบ่งคนตรวจมือเด็กๆตามที่คุยกันไว้ด้วย คงต้องทำไปพร้อมๆกัน” เขาหันไปสั่งลูกน้องที่ต่างก็มีท่าทางอิดโรย
“ครับ”
เขาเดินกลับห้องพักด้วยสภาพเหมือนผีดิบ
ดูเหมือนจิอากิซังจะอดใจไม่ไหว ในมือบางถือสมุดบันทึกของซาคาโมโต้
คาโอรุอยู่ตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไป
“เอ่อ...ผมอ่านได้ใช่ไหมครับ?” ใบหน้าหวานมองเขาอย่างไม่แน่ใจ
ว่าเขาจะว่าอะไรไหมที่ตัวเองเข้ามาก้าวก่ายการสืบสวนแบบนี้
“ไม่เป็นไรครับ
ถ้าเจออะไรน่าสงสัยก็บอกผมด้วยนะครับ”
เขาเหนื่อยและง่วงจนคิดอะไรไม่ออกแล้วตอนนี้
เห็นจิอากิซังนั่งอ่านบันทึกเล่มนั้นอยู่บนเตียง เขาก็เดินโซเซเข้าไปหาแล้วล้มตัวลงนอนหนุนตักนิ่มก่อนจะหลับไปในทันที
“อ๊ะ?...?...อิตสึกิซัง....” ใบหน้าหวานก้มมองคนที่จู่ๆก็เดินมาล้มตัวหนุนตักอย่างเลิ่กลั่กเล็กน้อย
แต่พอเห็นอีกฝ่ายหลับไปทันทีก็ไม่ได้ว่าอะไร
ดวงตากลมโตทอดมองใบหน้าสงบนิ่งด้วยหัวใจที่เต้นแรง
มือบางค่อยๆเอื้อมไปเกลี่ยปอยผมสีน้ำตาลธรรมชาติให้พ้นใบหน้าคนหลับอย่างอ่อนโยน
เหมือนเวลาหยุดลงอีกครั้ง...
ในที่ที่มีเพียงเราสองคน...
ไม่รู้เป็นเพราะว่าได้หลับลึกหรือเป็นเพราะตักนิ่มๆนี่กันแน่
ตอนนี้สารวัตรหนุ่มแห่งสถานีตำรวจมัตสึโมโตะจึงตื่นขึ้นมาด้วยหัวสมองที่สดใสและจิตใจที่กระปรี้กระเปร่าสุดๆ
“อืม...”
แต่เขาก็ยังไม่ยอมลุกจากตักของจิอากิซังหรอกนะ
ใบหน้าหล่อเหลายังคงซุกอ้อนไปมา
“ตื่นแล้วเหรอครับ?” ใบหน้าหวานก้มลงมามองเขาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
บรรยากาศละมุนละไมไหลอยู่รอบกายจนรู้สึกว่า
หากนี่เป็นแค่วันธรรมดาๆวันหนึ่งก็คงจะดี
“ครับ...แต่ไม่ค่อยอยากจะตื่นเลย...” ได้ยินเสียงจิอากิซังหัวเราะเบาๆ
“คุณคงเหนื่อยมาก”
มือบางขยับมาเกลี่ยปอยผมเขาเบาๆราวกับอยู่ในห้วงแห่งฝัน
เขาจับมือข้างนั้นก่อนจะเอามันมาแนบที่แก้มพร้อมกับหลับตาลง
“แค่คุณอยู่ข้างๆผมแบบนี้...ผมก็หายเหนื่อยแล้วครับ” เขารู้ว่าที่จิอากิซังเงียบไปก็เพราะกำลังเขินอายอยู่
“แล้ว...คุณอ่านบันทึกของซาคาโมโต้เจออะไรบ้างไหมครับ?” เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน
แต่จิอากิซังกลับมีอาการกระตือรือล้นและตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
มือบางเอื้อมไปหยิบสมุดบันทึกเล่มขนาดพอดีมือเล่มหนึ่งขึ้นมากางให้เขาดู
“ดูนี่สิครับ
หน้าที่ผมคั่นเอาไว้พวกนี้”
เขาไล่สายตาดูทั้งๆที่ยังนอนหนุนอยู่บนตักจิอากิซัง
และยิ่งไล่อ่านไปเรื่อยๆ ดวงตาของเขาก็ยิ่งเบิกกว้าง...
เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย...
ซาคาโมโต้
คาโอรุกับคิมิสึกิ วายะมีความเกี่ยวข้องกัน แล้วก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเพื่อนหรือมิตรสหายธรรมดาๆ
แต่ทั้งสองคนเป็น
“คู่รัก” กัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
เรื่องนี้แต่ละตอนๆจะสั้นหน่อยนาคะ
ถ้าลงยาวรวดเดียวเลยกลัวมันจะอัดเยอะไป ดำเนินเรื่องอย่างไวด้วย555
คือฟิคแต่ละซีรี่ย์ของคุณกวางจะมีธีมของมันอยู่อ่ะนะ
บางซีรี่ย์ก็ตัดฉับๆๆไม่เน้นบรรยาย เดินเรื่องแบบไม่รอใคร ^ ^a แต่บางซีรี่ย์อย่าง GLIDEหรือดาวตก
ก็จะเน้นบรรยายความรู้สึกของตัวละครและเก็บรายละเอียดของฉากแต่ละฉาก ซึ่งซีรี่ย์ 17ฝนมันจะเป็นแบบดำเนินเรื่องไวไม่เน้นบรรยายมากอ่ะนะคะ
ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆๆนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น